ระบบสุริยะ (อังกฤษ: Solar System) คือระบบดาวซึ่งประกอบด้วยดวงอาทิตย์และวัตถุอื่น ๆ ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์เนื่องจากแรงโน้มถ่วง ได้แก่ ดาวเคราะห์ 8 ดวงกับดวงจันทร์บริวารที่ค้นพบแล้ว 279 ดวงดาวเคราะห์แคระ 5 ดวงกับดวงจันทร์บริวารที่ค้นพบแล้ว 4 ดวง กับวัตถุขนาดเล็กอื่น ๆ อีกนับล้านชิ้น ซึ่งรวมถึง ดาวเคราะห์น้อย วัตถุในแถบไคเปอร์ ดาวหาง สะเก็ดดาว และฝุ่นระหว่างดาวเคราะห์
อายุ | 4.568 พันล้านปี |
---|---|
ที่ตั้ง | |
มวลของระบบ | 1.0014 มวลดวงอาทิตย์ |
ดาวฤกษ์ที่ใกล้ที่สุด |
|
ระบบดาวเคราะห์ใกล้สุดที่ทราบ | ระบบพร็อกซิมาคนครึ่งม้า (4.2441 ปีแสง) |
ระบบดาวเคราะห์ | |
กึ่งแกนเอกของดาวเคราะห์นอกสุดที่ทราบ (ดาวเนปจูน) | 30.11 หน่วยดาราศาสตร์ (4.5 พันล้าน กม.; 2.8 พันล้าน ไมล์) |
ระยะห่างจากแถบไคเปอร์หน้าผา | ~50 หน่วยดาราศาสตร์ |
จำนวนดาวฤกษ์ | 1 ดวง (ดวงอาทิตย์) |
จำนวนดาวเคราะห์ที่ทราบ |
|
จำนวนดาวเคราะห์แคระที่ทราบ | |
จำนวนบริวารที่รู้จักกัน |
|
จำนวนดาวเคราะห์น้อยที่ทราบ | 1,199,224 ดวง |
จำนวนดาวหางที่ทราบ | 4,402 ดวง |
จำนวนวัตถุกลมที่ระบุได้ | 19 |
วงโคจรเกี่ยวกับศูนย์กลางดาราจักร | |
ความเอียงของถึง | 60.19° (สุริยวิถี) |
ระยะทางถึงศูนย์กลางดาราจักร | 27,000 ± 1,000 ปีแสง |
ความเร็วโคจร | 220 กม./วินาที; 136 ไมล์/วินาที |
ระยะเวลาการโคจร | 225–250 ล้านปี |
คุณสมบัติระดับที่เกี่ยวข้อง | |
ดาวแคระเหลือง | |
≈5 หน่วยดาราศาสตร์ | |
Distance to | ≈120 หน่วยดาราศาสตร์ |
รัศมีทรงกลมเนินเขา | ≈1–3 ปีแสง |
โดยทั่วไปแล้วจะแบ่งย่านต่าง ๆ ของระบบสุริยะ นับจากดวงอาทิตย์ออกมาดังนี้คือ ดาวเคราะห์ชั้นในจำนวน 4 ดวง แถบดาวเคราะห์น้อย ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่รอบนอกจำนวน 4 ดวง และแถบไคเปอร์ซึ่งประกอบด้วยวัตถุที่เย็นจัดเป็นน้ำแข็ง พ้นจากแถบไคเปอร์ออกไปเป็นเขตแถบจานกระจาย ขอบเขตเฮลิโอพอส (เขตแดนตามทฤษฎีที่ซึ่งลมสุริยะสิ้นกำลังลงเนื่องจากมวลสารระหว่างดวงดาว) และพ้นไปจากนั้นคือย่านของเมฆออร์ต
กระแสพลาสมาที่ไหลออกจากดวงอาทิตย์ (หรือลมสุริยะ) จะแผ่ตัวไปทั่วระบบสุริยะ สร้างโพรงขนาดใหญ่ขึ้นในสสารระหว่างดาวเรียกกันว่า เฮลิโอสเฟียร์ ซึ่งขยายออกไปจากใจกลางของแถบจานกระจาย
ดาวเคราะห์ชั้นเอกทั้ง 8 ดวงในระบบสุริยะ เรียงลำดับจากใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดออกไป มีดังนี้คือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน
นับถึงกลางปี ค.ศ. 2008 วัตถุขนาดย่อมกว่าดาวเคราะห์จำนวน 5 ดวง ได้รับการจัดระดับให้เป็นดาวเคราะห์แคระ ได้แก่ ซีรีสในแถบดาวเคราะห์น้อย กับวัตถุอีก 4 ดวงที่โคจรรอบดวงอาทิตย์อยู่ในย่านพ้นดาวเนปจูน คือ ดาวพลูโต (ซึ่งเดิมเคยถูกจัดระดับไว้เป็นดาวเคราะห์) เฮาเมอา มาคีมาคี และ เอริส
มีดาวเคราะห์ 6 ดวงและดาวเคราะห์แคระ 3 ดวงที่มีดาวบริวารโคจรอยู่รอบ ๆ เราเรียกดาวบริวารเหล่านี้ว่า "ดวงจันทร์" ตามอย่างดวงจันทร์ของโลก นอกจากนี้ดาวเคราะห์ชั้นนอกยังมีวงแหวนดาวเคราะห์อยู่รอบตัวอันประกอบด้วยเศษฝุ่นและอนุภาคขนาดเล็ก
สำหรับคำว่า ระบบดาวเคราะห์ ใช้เมื่อกล่าวถึงระบบดาวโดยทั่วไปที่มีวัตถุต่าง ๆ โคจรรอบดาวฤกษ์ คำว่า "ระบบสุริยะ" ควรใช้เฉพาะกับระบบดาวเคราะห์ที่มีโลกเป็นสมาชิก และไม่ควรเรียกว่า "ระบบสุริยจักรวาล" อย่างที่เรียกกันติดปาก เนื่องจากไม่เกี่ยวข้องกับคำว่า "จักรวาล" ตามนัยที่ใช้ในปัจจุบัน
ประวัติการค้นพบและการสำรวจ
นับเป็นเวลาหลายพันปีในอดีตกาลที่มนุษยชาติไม่เคยรับรู้มาก่อนว่ามีสิ่งที่เรียกว่า "ระบบสุริยะ" แต่เดิมมนุษย์นั้นเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางจักรวาลที่อยู่นิ่ง มีดวงดาวต่าง ๆ โคจรไปรอบ ๆ โลกผ่านไปบนท้องฟ้า แม้ว่านักดาราศาสตร์และนักคณิตศาสตร์ชาวอินเดีย อารยภัฏ (สันสกฤต: आर्यभट) และนักปรัชญาชาวกรีก แอริสตาร์คัส (กรีก: Ἀρίσταρχος ὁ Σάμιος) เคยมีแนวคิดเกี่ยวกับการที่ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจักรวาล และจัดลำดับจักรวาลเสียใหม่ แต่ผู้ที่สามารถคิดค้นแบบจำลองทางคณิตศาสตร์เพื่อพิสูจน์แนวคิดนี้ได้สำเร็จเป็นคนแรกคือ นิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีผู้สืบทอดแนวทางการศึกษาของเขาต่อมา คือ กาลิเลโอ กาลิเลอี, โยฮันเนิส เค็พเพลอร์ และไอแซค นิวตัน พวกเขาพยายามทำความเข้าใจระบบทางฟิสิกส์และเสาะหาหลักฐานการพิสูจน์ยืนยันว่า โลกเคลื่อนไปรอบ ๆ ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้งหลายต่างก็ดำเนินไปภายใต้กฎทางฟิสิกส์แบบเดียวกันนี้ ในยุคหลังต่อมาจึงเริ่มมีการสืบสวนค้นหาปรากฏการณ์ทางภูมิธรณีต่าง ๆ เช่น เทือกเขา แอ่งหิน ปรากฏการณ์สภาพอากาศที่แปรเปลี่ยนตามฤดูกาล การศึกษาเกี่ยวกับเมฆ พายุทราย และยอดเขาน้ำแข็งบนดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ
การสำรวจยุคแรก
การสำรวจระบบสุริยะในยุคแรกดำเนินไปได้โดยอาศัยกล้องโทรทรรศน์ เพื่อช่วยนักดาราศาสตร์จัดทำแผนภาพท้องฟ้าแสดงตำแหน่งของวัตถุที่จางเกินกว่าจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
กาลิเลโอ กาลิเลอี คือผู้แรกที่ค้นพบรายละเอียดทางกายภาพของวัตถุในระบบสุริยะ เขาค้นพบว่าผิวดวงจันทร์นั้นขรุขระ ส่วนดวงอาทิตย์ก็มีจุดด่างดำ และดาวพฤหัสบดีมีดาวบริวารสี่ดวงโคจรไปรอบ ๆคริสตียาน เฮยเคินส์ เจริญรอยตามกาลิเลโอโดยค้นพบ ดาวไททัน ดวงจันทร์ของดาวเสาร์ รวมถึงวงแหวนของดาวเสาร์ด้วย ในเวลาต่อมา จิโอวันนี โดเมนิโก กัสสินี ค้นพบดวงจันทร์ของดาวเสาร์เพิ่มอีก 4 ดวง ช่องว่างในวงแหวนของดาวเสาร์ รวมถึงจุดแดงใหญ่บนดาวพฤหัสบดี
ปี ค.ศ. 1705 เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์ ค้นพบว่าดาวหางหลายดวงในบันทึกประวัติศาสตร์ที่จริงเป็นดวงเดิมกลับมาปรากฏซ้ำ ถือเป็นการพบหลักฐานชิ้นแรกสำหรับการโคจรรอบดวงอาทิตย์ของวัตถุอื่นนอกเหนือจากดาวเคราะห์ ในช่วงระยะเวลาเดียวกันนี้จึงเริ่มมีการใช้คำว่า "ระบบสุริยะ" ขึ้นเป็นครั้งแรก
ค.ศ. 1781 วิลเลียม เฮอร์เชล ค้นพบดาวเคราะห์ดวงใหม่คือ ดาวยูเรนัส โดยที่ในตอนแรกเขาคิดว่าเป็นดาวหาง ต่อมาในปี ค.ศ. 1801 จูเซปเป ปีอัซซี ค้นพบวัตถุโคจรอยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี ในตอนแรกเขาคิดว่าเป็นดาวเคราะห์ แต่ต่อมาจึงมีการค้นพบวัตถุขนาดเล็กนับเป็นพันดวงในย่านอวกาศนั้น ซึ่งในเวลาต่อมาจึงเรียกวัตถุเหล่านั้นว่า ดาวเคราะห์น้อย
ไม่อาจระบุได้แน่ชัดว่า ระบบสุริยะถูก "ค้นพบ" เมื่อใดกันแน่ แต่การสังเกตการณ์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 สามรายการสามารถบรรยายลักษณะและตำแหน่งของระบบสุริยะในเอกภพได้อย่างไม่มีข้อสงสัย รายการแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1838 เมื่อฟรีดดริค เบสเซล สามารถวัดพารัลแลกซ์ของดาวได้ เขาพบว่าตำแหน่งปรากฏของดาวเปลี่ยนแปลงไปตามการเคลื่อนที่ของโลกที่โคจรไปรอบดวงอาทิตย์ นี่ไม่เพียงเป็นข้อพิสูจน์ทางตรงต่อแนวคิดดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจักรวาล แต่ยังได้เปิดเผยให้ทราบถึงระยะทางมหาศาลระหว่างระบบสุริยะของเรากับดวงดาวอื่นเป็นครั้งแรก ต่อมาในปี ค.ศ. 1859 โรเบิร์ต บุนเซน และ กุสตาฟ เคอร์ชอฟฟ์ ได้ใช้สเปกโตรสโคปที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ตรวจวัดจากดวงอาทิตย์ และพบว่ามันประกอบด้วยธาตุชนิดเดียวกันกับที่มีอยู่บนโลก นับเป็นครั้งแรกที่พบข้อมูลทางกายภาพที่เกี่ยวโยงกันระหว่างโลกกับสวรรค์ หลังจากนั้น บาทหลวงแองเจโล เซคคี เปรียบเทียบรายละเอียดสเปกตรัมของดวงอาทิตย์กับดาวฤกษ์ดวงอื่น และพบว่ามันเหมือนกันทุกประการ ข้อเท็จจริงที่พบว่าดวงอาทิตย์ก็เป็นดาวฤกษ์ดวงหนึ่งนำไปสู่ข้อสมมุติฐานว่าดาวฤกษ์ดวงอื่นก็อาจมีระบบดาวเคราะห์ของมันเองเช่นกัน แม้ว่ากว่าจะค้นพบหลักฐานสำหรับข้อสมมุติฐานนี้จะต้องใช้เวลาต่อมาอีกกว่า 140 ปี
ค.ศ. 1992 มีการค้นพบหลักฐานแรกที่ส่อถึงระบบดาวเคราะห์แห่งอื่นนอกเหนือจากระบบของเรา โคจรอยู่รอบดาวพัลซาร์ พีเอสอาร์ บี1257+12 สามปีต่อมาจึงพบดาวเคราะห์นอกระบบดวงแรกคือ 51 เพกาซี บี โคจรรอบดาวฤกษ์ลักษณะคล้ายดวงอาทิตย์ ตราบจนถึงปี ค.ศ. 2008 มีการค้นพบระบบดาวเคราะห์อื่นแล้วกว่า 221 ระบบ
การสำรวจด้วยยานอวกาศ
ยุคของการสำรวจอวกาศด้วยยานอวกาศเริ่มต้นขึ้นนับแต่สหภาพโซเวียต (ปัจจุบันคือประเทศรัสเซีย) ส่งดาวเทียมสปุตนิก 1 ขึ้นสู่วงโคจรรอบโลกเมื่อปี ค.ศ. 1957 โดยได้โคจรอยู่เป็นเวลา 1 ปี ต่อมายาน ของสหรัฐอเมริกา ขึ้นสู่วงโคจรในปี 1959 และสามารถถ่ายภาพโลกจากอวกาศได้เป็นครั้งแรก
ยานสำรวจลำแรกที่เดินทางไปถึงวัตถุอื่นในระบบสุริยะ คือยานลูนา 1 ซึ่งเดินทางผ่านดวงจันทร์ในปี ค.ศ. 1959 ในตอนแรกตั้งใจกันว่าจะให้มันตกลงบนดวงจันทร์ แต่ยานพลาดเป้าหมายแล้วจึงกลายเป็นยานที่สร้างโดยมนุษย์ลำแรกที่ได้โคจรรอบดวงอาทิตย์ ยาน เป็นยานอวกาศลำแรกที่เดินทางไปถึงดาวเคราะห์อื่นในระบบสุริยะ คือไปเยือนดาวศุกร์ในปี ค.ศ. 1962 ต่อมายาน ได้ไปถึงดาวอังคารในปี ค.ศ. 1965 และมาริเนอร์ 10 ไปถึงดาวพุธในปี ค.ศ. 1974
ยานอวกาศลำแรกที่ลงจอดบนวัตถุอื่นในระบบสุริยะได้คือยานลูนา 2 ของสหภาพโซเวียต ซึ่งลงจอดบนดวงจันทร์ได้ในปี ค.ศ. 1959 หลังจากนั้นก็มียานลงจอดบนดาวอื่นได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ยานเวเนรา 3 ลงจอดบนพื้นผิวดาวศุกร์ในปี 1966 ยานมาร์ส 3 ลงถึงพื้นดาวอังคารในปี 1971 (แต่การลงจอดที่สำเร็จจริง ๆ คือยานไวกิ้ง 1 ในปี 1976) ยานเนียร์ชูเมกเกอร์ไปถึงดาวเคราะห์น้อย 433 อีรอส ในปี 2001 และยานดีปอิมแพกต์ไปถึงดาวหางเทมเพล 1 ในปี 2005
ยานสำรวจลำแรกที่ไปถึงระบบสุริยะชั้นนอกคือยานไพโอเนียร์ 10 ที่เดินทางผ่านดาวพฤหัสบดีในปี ค.ศ. 1973 ต่อมาในปี ค.ศ. 1977 ยานสำรวจอวกาศในโครงการวอยเอจเจอร์จึงได้เริ่มต้นการเดินทางครั้งใหญ่ โดยเดินทางผ่านดาวพฤหัสบดีในปี 1979 ผ่านดาวเสาร์ในปี 1980-1981 ยานวอยเอจเจอร์ 2 ได้เข้าใกล้ดาวยูเรนัสในปี 1986 และเข้าใกล้ดาวเนปจูนในปี 1989 ปัจจุบันนี้ ยานสำรวจวอยเอจเจอร์ทั้ง 2 ลำได้เดินทางออกพ้นวงโคจรของดาวเนปจูนไปไกลแล้ว และมุ่งไปบนเส้นทางเพื่อค้นหาและศึกษากำแพงกระแทก เฮลิโอชีท และเฮลิโอพอส ข้อมูลล่าสุดจากองค์การนาซาแจ้งว่า ยานวอยเอจเจอร์ทั้ง 2 ลำได้เดินทางผ่านกำแพงกระแทกไปแล้วที่ระยะห่างประมาณ 93 หน่วยดาราศาสตร์จากดวงอาทิตย์
วันที่ 19 มกราคม 2006 นาซาส่งยานสำรวจแบบบินผ่าน นิวฮอไรซันส์ ขึ้นสู่อวกาศ ซึ่งเป็นยานสำรวจอวกาศแบบไร้คนขับลำแรกที่จะเดินทางไปสำรวจแถบไคเปอร์ ยานมีกำหนดบินผ่านดาวพลูโตในเดือนกรกฎาคม 2015 จากนั้นจะเดินทางเข้าสู่แถบไคเปอร์เพื่อสำรวจวัตถุในพื้นที่นั้นต่อไป
กำเนิดและวิวัฒนาการ
ระบบสุริยะถือกำเนิดขึ้นจากการแตกสลายด้วยแรงโน้มถ่วงภายในของเมฆโมเลกุลขนาดยักษ์เมื่อกว่า 4,600 ล้านปีมาแล้ว เมฆต้นกำเนิดนี้มีความกว้างหลายปีแสง และอาจเป็นต้นกำเนิดของดาวฤกษ์อื่นอีกจำนวนมาก
เมื่อย่านเนบิวลาก่อนสุริยะ ซึ่งน่าจะเป็นจุดกำเนิดของระบบสุริยะเกิดแตกสลายลง โมเมนตัมเชิงมุมที่มีอยู่ทำให้มันหมุนตัวไปเร็วยิ่งขึ้น ที่ใจกลางของย่านซึ่งเป็นศูนย์รวมมวลอันหนาแน่นมีอุณหภูมิเพิ่มสูงมากขึ้นกว่าแผ่นจานที่หมุนอยู่รอบ ๆ ขณะที่เนบิวลานี้หดตัวลง มันก็เริ่มมีทรงแบนยิ่งขึ้นและค่อย ๆ ม้วนตัวจนกลายเป็นจานดาวเคราะห์ก่อนเกิด ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 200 AU พร้อมกับมีดาวฤกษ์ก่อนเกิดที่หนาแน่นและร้อนจัดอยู่ ณ ใจกลาง เมื่อการวิวัฒนาการดำเนินมาถึงจุดนี้ เชื่อว่าดวงอาทิตย์ได้มีสภาพเป็นดาวฤกษ์ชนิด T Tauri ผลจากการศึกษาดาวฤกษ์ชนิด T Tauri พบว่ามันมักมีแผ่นจานของมวลสารดาวเคราะห์ก่อนเกิดที่มีมวลประมาณ 0.001-0.1 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ กับมวลของเนบิวลาในตัวดาวฤกษ์เองอีกเป็นส่วนใหญ่จำนวนมหาศาล ดาวเคราะห์ก่อตัวขึ้นจากแผ่นจานรวมมวลเหล่านี้
ภายในช่วงเวลา 50 ล้านปี ความดันและความหนาแน่นของไฮโดรเจนที่ใจกลางของดาวฤกษ์ก่อนเกิดก็มีมากพอจะทำให้เกิดปฏิกิริยาการหลอมนิวเคลียสขึ้นได้ ทั้งอุณหภูมิ อัตราการเกิดปฏิกิริยา ความดัน ตลอดจนความหนาแน่นต่างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงสภาวะสมดุลอุทกสถิต โดยมีพลังงานความร้อนที่มากพอจะต้านทานกับการหดตัวของแรงโน้มถ่วงได้ ณ จุดนี้ดวงอาทิตย์จึงได้วิวัฒนาการเข้าสู่แถบลำดับหลักอย่างสมบูรณ์
ระบบสุริยะจะดำรงสภาพอย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบันนี้ไปตราบจนกระทั่ง ดวงอาทิตย์ได้วิวัฒนาการจนออกพ้นจากแถบลำดับหลักบนไดอะแกรมของเฮิร์ตสปรัง-รัสเซลล์ เมื่อดวงอาทิตย์เผาผลาญเชื้อเพลิงไฮโดรเจนภายในไปเรื่อย ๆ พลังงานที่คอยค้ำจุนแกนกลางของดาวอยู่ก็จะลดน้อยถอยลง ทำให้มันหดตัวและแตกสลายลงไป การหดตัวจะทำให้แรงดันความร้อนในแกนกลางเพิ่มมากขึ้น และทำให้มันยิ่งเผาผลาญเชื้อเพลิงเร็วขึ้น ผลที่เกิดคือดวงอาทิตย์จะส่องสว่างมากยิ่งขึ้นโดยมีอัตราเพิ่มขึ้นประมาณ 10% ในทุก ๆ 1,100 ล้านปี
ในอีกประมาณ 5,400 ล้านปีข้างหน้า ไฮโดรเจนในแกนกลางของดวงอาทิตย์จะเปลี่ยนไปเป็นฮีเลียมทั้งหมด ซึ่งเป็นอันจบกระบวนการวิวัฒนาการบนแถบลำดับหลัก ในเวลานั้น ชั้นผิวรอบนอกของดวงอาทิตย์จะขยายใหญ่ขึ้นประมาณ 260 เท่าของขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางในปัจจุบัน ดวงอาทิตย์จะกลายเป็นดาวยักษ์แดง การที่พื้นผิวของดวงอาทิตย์ขยายตัวขึ้นอย่างมหาศาล ทำให้อุณหภูมิที่พื้นผิวของมันเย็นลงยิ่งกว่าที่เคยเป็นเมื่ออยู่บนแถบลำดับหลัก (ตำแหน่งเย็นที่สุดคือ 2600 K)
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ชั้นผิวนอกของดวงอาทิตย์จะแตกสลาย กลายไปเป็นดาวแคระขาว คือวัตถุที่มีความหนาแน่นอย่างยิ่งยวด มวลประมาณครึ่งหนึ่งของมวลดั้งเดิมของดวงอาทิตย์จะอัดแน่นอยู่ในพื้นที่ของวัตถุขนาดประมาณเท่ากับโลก การแตกสลายของชั้นผิวรอบนอกของดวงอาทิตย์จะทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า เนบิวลาดาวเคราะห์ ซึ่งเป็นการส่งคืนสสารต่าง ๆ อันประกอบขึ้นเป็นดวงอาทิตย์กลับคืนให้แก่สสารระหว่างดาว
โครงสร้างและองค์ประกอบ
องค์ประกอบหลักที่สำคัญของระบบสุริยะคือ ดวงอาทิตย์ ดาวฤกษ์ในแถบลำดับหลักประเภท G2 ซึ่งมีมวลคิดเป็น 99.86% ของมวลรวมทั้งระบบเท่าที่เป็นที่รู้จัก และเป็นแหล่งแรงโน้มถ่วงหลักของระบบ โดยมีดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ ซึ่งเป็นวัตถุในวงโคจรใหญ่ที่สุดสองดวงครอบครองมวลอีก 90% ของมวลส่วนที่เหลือ
วัตถุใหญ่ ๆ ในวงโคจรรอบดวงอาทิตย์จะเคลื่อนที่อยู่บนระนาบใกล้เคียงกับระนาบโคจรของโลก ที่เรียกว่า ระนาบสุริยวิถี ดาวเคราะห์ทั้งหมดจะเคลื่อนที่ใกล้เคียงกับระนาบนี้ ขณะที่ดาวหางและวัตถุในแถบไคเปอร์มักเคลื่อนที่ทำมุมกับระนาบค่อนข้างมาก
ดาวเคราะห์ทั้งหมดและวัตถุส่วนใหญ่ในระบบยังโคจรไปในทิศทางเดียวกับการหมุนรอบตัวเองของดวงอาทิตย์ (ทวนเข็มนาฬิกา เมื่อมองจากมุมมองด้านขั้วเหนือของดวงอาทิตย์) มีเพียงบางส่วนที่เป็นข้อยกเว้นไม่เป็นไปตามนี้ เช่น ดาวหางฮัลเลย์ เป็นต้น
ตามกฎการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ของเค็พเพลอร์ อธิบายถึงลักษณะการโคจรของวัตถุต่าง ๆ รอบดวงอาทิตย์ กล่าวคือ วัตถุแต่ละชิ้นจะเคลื่อนที่ไปตามแนวระนาบรอบดวงอาทิตย์โดยมีจุดโฟกัสหนึ่งจุด วัตถุที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่า (มีค่ากึ่งแกนเอกน้อยกว่า) จะใช้เวลาโคจรน้อยกว่า บนระนาบสุริยวิถีหนึ่ง ๆ ระยะห่างของวัตถุกับดวงอาทิตย์จะแปรผันไปตามเส้นทางบนทางโคจรของมัน จุดที่วัตถุอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดเรียกว่า "จุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด" (perihelion) ขณะที่ตำแหน่งซึ่งมันอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ที่สุด เรียกว่า "จุดไกลดวงอาทิตย์ที่สุด" (aphelion) วัตถุจะเคลื่อนที่ได้ความเร็วสูงที่สุดเมื่ออยู่ในตำแหน่งใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด และเคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ำสุดเมื่ออยู่ในตำแหน่งไกลดวงอาทิตย์ที่สุด ลักษณะของวงโคจรของดาวเคราะห์มีรูปร่างเกือบจะเป็นวงกลม ขณะที่ดาวหาง ดาวเคราะห์น้อย และวัตถุในแถบไคเปอร์ มีวงโคจรค่อนข้างจะเป็นวงรี
เมื่อศึกษาถึงระยะห่างระหว่างดาวเคราะห์ในที่ว่างมหาศาลของระบบ เราพบว่า ยิ่งดาวเคราะห์หรือแถบต่าง ๆ อยู่ไกลจากดวงอาทิตย์เท่าไร มันก็จะยิ่งอยู่ห่างจากวัตถุอื่นใกล้เคียงมากเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ดาวศุกร์มีระยะห่างจากดาวพุธประมาณ 0.33 หน่วยดาราศาสตร์ ส่วนดาวเสาร์อยู่ห่างจากดาวพฤหัสบดีไป 4.3 หน่วยดาราศาสตร์ และดาวเนปจูนอยู่ห่างจากดาวยูเรนัสออกไปถึง 10.5 หน่วยดาราศาสตร์ เคยมีความพยายามศึกษาและอธิบายถึงระยะห่างระหว่างวงโคจรของดาวต่าง ๆ (ดูรายละเอียดใน กฎของทีทซีอุส–โบเดอ) แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีทฤษฎีใดเป็นที่ยอมรับ
ดาวเคราะห์ส่วนมากในระบบสุริยะจะมีระบบเล็ก ๆ ของตัวเองด้วย โดยจะมีวัตถุคล้ายดาวเคราะห์ขนาดเล็กโคจรไปรอบตัวเองเป็นดาวบริวาร หรือดวงจันทร์ ดวงจันทร์บางดวงมีขนาดใหญ่กว่าดาวเคราะห์เสียอีก ดาวบริวารขนาดใหญ่เหล่านี้จะมีวงโคจรที่สอดคล้องกันเป็นส่วนใหญ่ คือจะหันหน้าด้านหนึ่งของดาวเข้าหาดาวเคราะห์ดวงแม่ของมันเสมอ ดาวเคราะห์ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ 4 ดวงยังมีวงแหวนดาวเคราะห์อยู่รอบตัวด้วย เป็นแถบบาง ๆ ที่ประกอบด้วยเศษชิ้นส่วนเล็ก ๆ โคจรไปรอบ ๆ อย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
คำจำกัดความ
ระบบสุริยะสามารถแบ่งออกเป็นย่านต่าง ๆ ได้แบบไม่เป็นทางการ ระบบสุริยะส่วนในประกอบด้วยดาวเคราะห์ 4 ดวงกับแถบดาวเคราะห์น้อย ระบบสุริยะส่วนนอกคือส่วนที่อยู่พ้นแถบดาวเคราะห์น้อยออกไป ประกอบด้วยดาวแก๊สยักษ์ 4 ดวง ต่อมาเมื่อมีการค้นพบแถบไคเปอร์ จึงจัดเป็นย่านไกลที่สุดของระบบสุริยะ เรียกรวม ๆ ว่าเป็นวัตถุพ้นดาวเนปจูน
เมื่อพิจารณาจากทั้งแง่กายภาพและการเคลื่อนที่ วัตถุที่โคจรรอบดวงอาทิตย์สามารถแบ่งออกได้เป็นสามประเภทคือ ดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์แคระ และ วัตถุขนาดเล็กในระบบสุริยะ ดาวเคราะห์ไม่ว่าจะมีขนาดใดก็ตามที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ จะมีมวลมากพอจะสร้างตัวเองให้มีรูปร่างเป็นสัณฐานกลม และขับไล่ชิ้นส่วนเล็ก ๆ ที่อยู่รอบตัวเองให้ออกไปให้พ้นระยะ จากคำจำกัดความนี้ ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจึงมี 8 ดวง ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน ส่วนดาวพลูโตถูกปลดออกจากตำแหน่งดาวเคราะห์เนื่องจากมันไม่สามารถขับไล่วัตถุเล็ก ๆ อื่น ๆ ในบริเวณแถบไคเปอร์ออกไปพ้นวงโคจรของมันได้
ดาวเคราะห์แคระ คือวัตถุท้องฟ้าที่โคจรรอบดวงอาทิตย์และมีมวลมากพอจะทำให้ตัวเองมีสัณฐานกลมเนื่องจากแรงโน้มถ่วง แต่ไม่สามารถขจัดชิ้นส่วนก่อนเกิดดาวเคราะห์ออกไป ทั้งไม่สามารถเป็นดาวบริวาร จากคำจำกัดความนี้ ระบบสุริยะจึงมีดาวเคราะห์แคระที่รู้จักแล้ว 5 ดวงคือ ซีรีส พลูโต เฮาเมอา มาคีมาคี และ เอริส วัตถุอื่น ๆ ที่อาจสามารถจัดประเภทเป็นดาวเคราะห์แคระได้ ได้แก่ เซดนา ออร์กัส และควาอัวร์ ดาวเคราะห์แคระที่โคจรอยู่ในย่านพ้นดาวเนปจูนเรียกชื่อรวม ๆ ว่า "พลูตอยด์" นอกเหนือจากนี้ วัตถุขนาดเล็กอื่น ๆ ที่โคจรไปรอบดวงอาทิตย์จัดว่าเป็นวัตถุขนาดเล็กในระบบสุริยะ
นักวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์ใช้คำศัพท์ แก๊ส น้ำแข็ง และ หิน เพื่ออธิบายถึงประเภทองค์ประกอบสสารต่าง ๆ ที่พบตลอดทั่วระบบสุริยะ หิน จะใช้ในการอธิบายองค์ประกอบที่มีจุดหลอมเหลวสูง (สูงกว่า 500 เคลวิน) เช่นพวก ซิลิเกต องค์ประกอบหินมักพบได้มากในกลุ่มระบบสุริยะชั้นใน เป็นส่วนประกอบหลักของดาวเคราะห์และดาวเคราะห์น้อย แก๊ส เป็นสสารที่มีจุดหลอมเหลวต่ำ เช่นอะตอมไฮโดรเจน ฮีเลียม และแก๊สมีสกุล มักพบในย่านกึ่งกลางระบบสุริยะ เป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่ของดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ น้ำแข็ง ซึ่งประกอบด้วยน้ำ มีเทน แอมโมเนีย และคาร์บอนไดออกไซด์ มีจุดหลอมเหลวเพียงไม่กี่ร้อยเคลวิน เป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่อยู่ในดาวบริวารของบรรดาดาวแก๊สยักษ์ รวมถึงเป็นองค์ประกอบอยู่ในดาวยูเรนัสและดาวเนปจูน (บางครั้งเรียกดาวทั้งสองนี้ว่า "ดาวน้ำแข็งยักษ์") และในวัตถุขนาดเล็กจำนวนมากที่อยู่พ้นจากวงโคจรดาวเนปจูนออกไป
ดวงอาทิตย์
ดวงอาทิตย์ คือดาวฤกษ์ดวงแม่ที่เป็นหัวใจของระบบสุริยะ มีขนาดประมาณ 332,830 เท่าของมวลของโลก ด้วยปริมาณมวลที่มีอยู่มหาศาลทำให้ดวงอาทิตย์มีความหนาแน่นภายในที่สูงมากพอจะทำให้เกิดปฏิกิริยาการหลอมนิวเคลียสอย่างต่อเนื่อง และปลดปล่อยพลังงานมหาศาลออกมา โดยมากเป็นพลังงานที่แผ่ออกไปในลักษณะของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น แสง
ดวงอาทิตย์จัดว่าเป็นดาวแคระเหลืองขนาดใหญ่ปานกลาง ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับดาวฤกษ์อื่น ๆ ที่อยู่ในดาราจักรของเรา ถือได้ว่าดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่และสว่างมาก การจัดประเภทของดาวฤกษ์นี้เป็นไปตามไดอะแกรมของเฮิร์ตสปรัง-รัสเซลล์ ซึ่งเป็นแผนภูมิของกราฟระหว่างความสว่างของดาวฤกษ์เทียบกับอุณหภูมิพื้นผิว โดยทั่วไปดาวฤกษ์ที่มีอุณหภูมิสูงกว่ามักจะสว่างกว่า ซึ่งดาวฤกษ์ใด ๆ ที่มีคุณสมบัติเป็นไปดังที่ว่ามานี้ก็จะเรียกว่าเป็นดาวฤกษ์ที่อยู่ในแถบลำดับหลัก ดวงอาทิตย์ของเราก็อยู่บนแถบลำดับหลักโดยอยู่ในช่วงกึ่งกลางทางด้านขวา แต่มีดาวฤกษ์จำนวนไม่มากนักที่จะสว่างกว่าและมีอุณหภูมิสูงกว่าดวงอาทิตย์ของเรา ส่วนมากจะอ่อนแสงกว่าและมีอุณหภูมิต่ำกว่าทั้งนั้น
เชื่อว่าตำแหน่งของดวงอาทิตย์บนแถบลำดับหลักนั้นจัดได้ว่าอยู่ใน "ช่วงรุ่งโรจน์ของยุค" ของอายุดาวฤกษ์ มันยังมีไฮโดรเจนมากเพียงพอที่จะสร้างปฏิกิริยาการหลอมนิวเคลียสไปอีกนาน ดวงอาทิตย์กำลังเพิ่มพูนความสว่างมากขึ้น ในอดีตดวงอาทิตย์เคยมีความสว่างเพียงแค่ 70% ของความสว่างอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ดวงอาทิตย์จัดเป็นดาวฤกษ์ชนิดดารากร 1 ถือกำเนิดขึ้นในช่วงปลาย ๆ ของวิวัฒนาการของเอกภพ มีองค์ประกอบธาตุหนักที่หนักกว่าไฮโดรเจนและฮีเลียม (ในภาษาดาราศาสตร์จะเรียกว่า "โลหะ") มากกว่าดาวฤกษ์ชนิดดารากร 2 ซึ่งมีอายุมากกว่า ธาตุหนักเหล่านี้ก่อกำเนิดขึ้นจากแก่นกลางของดาวฤกษ์โบราณที่ระเบิดออก ดังนั้นดาวฤกษ์ในยุคแรกเริ่มจึงต้องแตกดับไปเสียก่อนจึงจะทำให้เอกภพเต็มไปด้วยอะตอมธาตุเหล่านี้ได้ ดาวฤกษ์ที่มีอายุเก่าแก่มาก ๆ จะไม่ค่อยมีองค์ประกอบโลหะมากนัก ขณะที่ดาวฤกษ์ที่เกิดในยุคหลังจะมีโลหะมากกว่า สันนิษฐานว่า การมีองค์ประกอบโลหะจำนวนมากนี้น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ดวงอาทิตย์สามารถสร้างระบบดาวเคราะห์ของตัวเองขึ้นมาได้ เพราะดาวเคราะห์ก่อตัวขึ้นมาจากการรวมตัวกันของธาตุหนักเหล่านั้น
สสารระหว่างดาวเคราะห์
นอกเหนือจากแสง ดวงอาทิตย์ยังแผ่รังสีที่ประกอบด้วยกระแสของประจุอนุภาคจำนวนมากต่อเนื่องกัน (เป็นพลาสมาชนิดหนึ่งที่รู้จักกันในชื่อ ลมสุริยะ) กระแสประจุนี้แผ่ออกไปด้วยความเร็วประมาณ 1.5 ล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้เกิดชั้นบรรยากาศบาง ๆ ขึ้น เรียกว่า เฮลิโอสเฟียร์ ที่แผ่ปกคลุมทั่วระบบสุริยะออกไปเป็นระยะทางอย่างน้อย 100 หน่วยดาราศาสตร์ (ดูเพิ่มที่ เฮลิโอพอส) ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เรียกกันว่า สสารระหว่างดาวเคราะห์ พายุแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวดวงอาทิตย์เช่น โซลาร์แฟลร์ หรือลำอนุภาคโคโรนา จะทำให้เกิดการรบกวนต่อเฮลิโอสเฟียร์ และสร้างสภาวะที่เรียกว่า space weather ขึ้น สนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ที่หมุนวนไปสร้างผลกระทบต่อสสารระหว่างดาวเคราะห์ ทำให้เกิดแผ่นกระแสเฮลิโอสเฟียร์ (heliospheric current sheet) ขึ้น ซึ่งถือเป็นโครงสร้างที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ
สนามแม่เหล็กของโลกช่วยป้องกันชั้นบรรยากาศเอาไว้มิให้เกิดปฏิกิริยากับลมสุริยะ ขณะที่ดาวศุกร์กับดาวอังคารไม่มีสนามแม่เหล็ก ลมสุริยะจึงสามารถขับไล่ชั้นบรรยากาศของดาวทั้งสองออกสู่อวกาศไปทีละน้อยได้ การปะทะระหว่างลมสุริยะกับสนามแม่เหล็กของโลกทำให้เกิดปรากฏการณ์ออโรรา หรือแสงเหนือ-แสงใต้ ที่พบเห็นบริเวณใกล้ขั้วโลก
รังสีคอสมิก มีกำเนิดมาจากห้วงอวกาศอื่นนอกระบบสุริยะ เฮลิโอสเฟียร์ทำหน้าที่ปกป้องระบบสุริยะเอาไว้ส่วนหนึ่ง โดยสนามแม่เหล็กของดาวเคราะห์ (สำหรับดวงที่มี) ก็ช่วยทำหน้าที่ป้องกันรังสีด้วยอีกส่วนหนึ่ง ความหนาแน่นของรังสีคอสมิกในสสารระหว่างดาวกับความเข้มของสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์จะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเวลาผ่านไปนาน ๆ ดังนั้นระดับของการแผ่รังสีคอสมิกในระบบสุริยะจึงไม่แน่ไม่นอน แต่จะมีอยู่เป็นปริมาณเท่าใดไม่อาจระบุได้
สสารระหว่างดาวเคราะห์เป็นแหล่งกำเนิดของย่านแผ่นจานฝุ่นคอสมิกอย่างน้อย 2 แห่ง แห่งแรกคือเมฆฝุ่นจักรราศี ซึ่งอยู่ในระบบสุริยะชั้นในและเป็นต้นเหตุการเกิดแสงจักรราศี โดยมากเป็นเศษชิ้นส่วนในแถบดาวเคราะห์น้อยที่เกิดขึ้นจากการปะทะกับดาวเคราะห์ แผ่นจานฝุ่นแห่งที่สองแผ่ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ระยะ 10 หน่วยจนถึง 40 หน่วยดาราศาสตร์ ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นจากการปะทะในลักษณะเดียวกันในแถบไคเปอร์
ระบบสุริยะชั้นใน
ระบบสุริยะชั้นใน เป็นชื่อดั้งเดิมของย่านอวกาศที่ประกอบด้วยกลุ่มดาวเคราะห์ใกล้โลกและแถบดาวเคราะห์น้อย มีส่วนประกอบหลักเป็นซิลิเกตกับโลหะ วัตถุท้องฟ้าในระบบสุริยะชั้นในจะเกาะกลุ่มอยู่ด้วยกันและใกล้กับดวงอาทิตย์มาก รัศมีของย่านระบบสุริยะชั้นในนี้ยังสั้นกว่าระยะห่างจากดาวพฤหัสบดีไปดาวเสาร์เสียอีก
ดาวเคราะห์ชั้นใน
ดาวเคราะห์ชั้นในหรือดาวเคราะห์ใกล้โลก มี 4 ดวง โดยมากประกอบด้วยส่วนประกอบหิน มีความหนาแน่นสูง มีดวงจันทร์น้อยหรืออาจไม่มีเลย และไม่มีระบบวงแหวนรอบตัวเอง สสารที่เป็นองค์ประกอบมักเป็นแร่ธาตุที่มีจุดหลอมเหลวสูง เช่นซิลิเกตที่ชั้นเปลือกและผิว หรือโลหะ เหล็ก นิเกิล ที่เป็นแกนกลางของดาว สามในสี่ของดาวเคราะห์กลุ่มนี้ (ดาวศุกร์ โลก และดาวอังคาร) มีชั้นบรรยากาศที่เห็นได้ชัด พื้นผิวมีร่องรอยของหลุมบ่อที่เกิดจากการปะทะโดยชิ้นส่วนจากอวกาศ และมีความเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาที่พื้นผิวด้วยเช่น การแยกตัวของร่องหุบเขาและภูเขาไฟ
ดาวพุธ
- ดาวพุธ (0.4 AU) คือดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด และเป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดเล็กที่สุด (0.055 เท่าของมวลโลก) ดาวพุธไม่มีดาวบริวารของตัวเอง สภาพพื้นผิวที่มีนอกเหนือจากหลุมบ่อจากการปะทะ ก็จะเป็นสันเขาสูงชัน ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในช่วงยุคการก่อตัวในช่วงเริ่มแรกของประวัติศาสตร์ ชั้นบรรยากาศของดาวพุธเบาบางมากจนแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีบรรยากาศ ประกอบด้วยอะตอมที่ถูกลมสุริยะพัดพาขับไล่ไปจนเกือบหมด แกนกลางของดาวเป็นเหล็กที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่มาก ต่อมาเป็นชั้นเปลือกบาง ๆ ที่ยังไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน ทฤษฎีเกี่ยวกับชั้นเปลือกของดาวจำนวนหนึ่งอธิบายถึงชั้นผิวรอบนอกที่ถูกฉีกออกด้วยการปะทะครั้งใหญ่ บ้างก็ว่ามันถูกกีดกันจากการพอกรวมของชั้นผิวเนื่องจากพลังงานมหาศาลของดวงอาทิตย์อันเยาว์
ดาวศุกร์
- ดาวศุกร์ (0.7 AU) มีขนาดใกล้เคียงกับโลก (0.815 เท่าของมวลโลก) และมีลักษณะคล้ายโลกมาก มีชั้นเปลือกซิลิเกตอย่างหนาปกคลุมรอบแกนกลางของดาวซึ่งเป็นเหล็ก มีชั้นบรรยากาศ และมีหลักฐานแสดงถึงความเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาภายในของดาว ทว่าดาวศุกร์แห้งแล้งกว่าโลกมาก ชั้นบรรยากาศของมันก็หนาแน่นกว่าโลกถึงกว่า 90 เท่า ดาวศุกร์ไม่มีดาวบริวารของตัวเอง กล่าวได้ว่า ดาวศุกร์เป็นดาวเคราะห์ที่ร้อนที่สุด ด้วยอุณหภูมิพื้นผิวสูงถึงกว่า 400 °C ซึ่งเป็นผลจากปริมาณแก๊สเรือนกระจกที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในชั้นบรรยากาศ ในปัจจุบันไม่มีการตรวจพบการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาใหม่ ๆ บนดาวศุกร์อีกแล้ว แต่ดาวศุกร์ไม่มีสนามแม่เหล็กของตัวเองที่จะช่วยป้องกันการสูญเสียชั้นบรรยากาศ ดังนั้นการที่ดาวศุกร์ยังรักษาชั้นบรรยากาศของตัวเองไว้ได้จึงคาดว่าน่าจะเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ
โลก
- โลก (1.0 AU) เป็นดาวเคราะห์ที่ค่อนข้างใหญ่และมีความหนาแน่นมากที่สุดในกลุ่มดาวเคราะห์ชั้นใน เป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวที่พบว่ายังมีปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาอยู่ และเป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวเท่าที่ทราบว่ามีสิ่งมีชีวิต โลกเป็นดาวเคราะห์ที่มีน้ำมาก เป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากกลุ่มดาวเคราะห์ใกล้โลกทั้งหมด และยังเป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวที่ยังมีการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกอยู่ ชั้นบรรยากาศของโลกค่อนข้างจะแตกต่างกับดาวเคราะห์ดวงอื่น เนื่องจากการที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในบรรยากาศจึงมีออกซิเจนอิสระอยู่ถึง 21% โลกมีดาวเคราะห์บริวารหนึ่งดวง คือ ดวงจันทร์ ซึ่งเป็นดาวเคราะห์บริวารขนาดใหญ่เพียงดวงเดียวในเขตระบบสุริยะชั้นใน
ดาวอังคาร
- ดาวอังคาร (1.5 AU) มีขนาดเล็กกว่าโลกและดาวศุกร์ (0.107 เท่าของมวลโลก) มีชั้นบรรยากาศเจือจางที่เต็มไปด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ พื้นผิวของดาวอังคารระเกะระกะด้วยภูเขาไฟจำนวนมาก เช่น ภูเขาไฟโอลิมปัส และหุบเขาลึกชันมากมายเช่น Valles Marineris แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ สีของดาวอังคารที่เราเห็นเป็นสีแดง เป็นเพราะสนิมที่มีอยู่ในพื้นดินอันเต็มไปด้วยเหล็ก ดาวอังคารมีดวงจันทร์บริวารขนาดเล็กสองดวง (คือ ไดมอส กับ โฟบอส) ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นดาวเคราะห์น้อยที่บังเอิญถูกแรงดึงดูดของดาวอังคารจับตัวเอาไว้
แถบดาวเคราะห์น้อย
ดาวเคราะห์น้อย คือวัตถุขนาดเล็กในระบบสุริยะที่ประกอบด้วยหินและธาตุโลหะที่ไม่ระเหย
แถบดาวเคราะห์น้อยหลักกินพื้นที่วงโคจรที่อยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี ประมาณ 2.3 ถึง 3.3 หน่วยดาราศาสตร์จากดวงอาทิตย์ เชื่อกันว่าน่าจะเป็นเศษชิ้นส่วนจากการก่อตัวของระบบสุริยะในช่วงแรกที่ก่อตัวไม่สำเร็จ เนื่องจากแรงโน้มถ่วงรบกวนจากดาวพฤหัสบดี
ดาวเคราะห์น้อยมีขนาดต่าง ๆ กันตั้งแต่หลายร้อยกิโลเมตรไปจนถึงเศษหินเล็ก ๆ เหมือนฝุ่น ดาวเคราะห์น้อยทั้งหมดนอกเหนือจากดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่ที่สุด คือซีรีส จัดว่าเป็นวัตถุขนาดเล็กในระบบสุริยะ แต่ดาวเคราะห์น้อยบางดวงเช่น เวสต้า และ ไฮเจีย อาจจัดว่าเป็นดาวเคราะห์แคระได้ ถ้ามีหลักฐานว่ามันมีความสมดุลของความกดของน้ำมากเพียงพอ
แถบดาวเคราะห์น้อยประกอบด้วยวัตถุขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่า 1 กิโลเมตรเป็นจำนวนหลายหมื่นดวง หรืออาจจะถึงล้านดวง ถึงกระนั้น มวลรวมทั้งหมดของแถบหลักก็ยังมีเพียงประมาณหนึ่งในพันของมวลโลกเท่านั้น แถบหลักมีประชากรอยู่อย่างค่อนข้างเบาบาง ยานอวกาศหลายลำได้เดินทางผ่านแถบนี้ไปได้โดยไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเลย ดาวเคราะห์น้อยที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางระหว่าง 10 ถึง 10-4 เมตร จะเรียกว่า สะเก็ดดาว
ซีรีส
- ซีรีส (2.77 AU) เป็นวัตถุขนาดใหญ่ที่สุดในแถบดาวเคราะห์น้อย และได้รับการจัดประเภทให้เป็นดาวเคราะห์แคระ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณเกือบ ๆ 1,000 กิโลเมตร ซึ่งใหญ่พอจะสร้างแรงโน้มถ่วงของตัวเองเพื่อสร้างรูปทรงให้เป็นทรงกลมได้ ในตอนที่ค้นพบครั้งแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซีรีสถูกเข้าใจว่าเป็นดาวเคราะห์ แต่ต่อมาได้รับการจัดประเภทใหม่ให้เป็นดาวเคราะห์น้อยในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1850 เมื่อการสังเกตการณ์เพิ่มเติมพบดาวเคราะห์น้อยดวงอื่น ๆ อีก ครั้นถึงปี ค.ศ. 2006 จึงได้รับการจัดประเภทใหม่ให้เป็นดาวเคราะห์แคระ
ตระกูลดาวเคราะห์น้อย
- ดาวเคราะห์น้อยในแถบหลักจะแบ่งออกเป็นกลุ่มและตระกูลต่าง ๆ โดยพิจารณาจากคุณลักษณะการโคจรของพวกมัน ดวงจันทร์ดาวเคราะห์น้อย คือดาวเคราะห์น้อยที่โคจรรอบดาวเคราะห์น้อยดวงอื่นที่ใหญ่กว่า มันไม่ได้ถูกจัดประเภทให้เป็นดวงจันทร์บริวารของดาวเคราะห์ เพราะบางครั้งมันมีขนาดใหญ่เกือบเท่าดาวเคราะห์น้อยดวงแม่ของมันด้วยซ้ำ ในบริเวณแถบดาวเคราะห์น้อยยังมีดาวหางในแถบหลักซึ่งอาจเป็นต้นกำเนิดของน้ำมหาศาลบนโลกก็ได้
- ดาวเคราะห์น้อยโทรจันตั้งอยู่ใกล้เคียงกับ L4 หรือ L5 ของดาวพฤหัสบดี (คือย่านที่แรงโน้มถ่วงค่อนข้างเสถียร ทำให้ดาวเคราะห์น้อยในบริเวณนี้สามารถอยู่ในวงโคจรได้) คำว่า "โทรจัน" หรือ "แห่งทรอย" นี้ยังใช้กับวัตถุขนาดเล็กในระบบดาวเคราะห์หรือระบบบริวารอื่นที่อยู่ในตำแหน่งลากรองจ์ด้วย อยู่ที่ระยะการสั่นพ้อง 2:3 กับดาวพฤหัสบดี นั่นหมายถึง มันจะโคจรรอบดวงอาทิตย์ 3 รอบ ต่อการโคจรของดาวพฤหัสบดี 2 รอบ
- ระบบสุริยะชั้นในนี้ยังหมายรวมถึงวัตถุอื่น ๆ เช่น ดาวเคราะห์น้อยใกล้โลก ซึ่งดาวเคราะห์น้อยในกลุ่มนี้จำนวนมากมีวงโคจรที่ตัดกับวงโคจรของดาวเคราะห์ชั้นในด้วย
ระบบสุริยะชั้นนอก
บริเวณรอบนอกของระบบสุริยะเป็นถิ่นที่อยู่ของดาวแก๊สยักษ์และบรรดาดาวบริวารของมันที่มีขนาดใหญ่พอจะเป็นดาวเคราะห์ได้ นอกจากนี้ยังมีดาวหางคาบสั้น และเซนทอร์ ที่โคจรอยู่ในย่านนี้เช่นกัน วัตถุตันที่อยู่ในย่านนี้จะมีองค์ประกอบของสสารที่ระเหยง่าย (เช่น น้ำ แอมโมเนีย มีเทน ในทางวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์จะเรียกว่าเป็น น้ำแข็ง) ไม่ค่อยมีส่วนประกอบของสสารประเภทหินเหมือนอย่างวัตถุท้องฟ้าในระบบสุริยะชั้นใน
ดาวเคราะห์ชั้นนอก
ดาวเคราะห์ชั้นนอก 4 ดวง หรือดาวแก๊สยักษ์ (บางครั้งเรียกว่า ดาวเคราะห์โจเวียน) มีมวลรวมกันถึงกว่า 99% ของมวลสารทั้งหมดที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ ดาวพฤหัสบดีกับดาวเสาร์มีองค์ประกอบเต็มไปด้วยไฮโดรเจนและฮีเลียม ดาวยูเรนัสกับดาวเนปจูนมีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นน้ำแข็ง นักดาราศาสตร์จำนวนหนึ่งเห็นว่าดาวสองดวงหลังนี้ควรจัดเป็นประเภทเฉพาะของมันเอง คือ "ดาวน้ำแข็งยักษ์" ดาวแก๊สยักษ์ทั้งสี่มีวงแหวนอยู่รอบตัว แม้เมื่อมองจากโลกจะเห็นได้ชัดแต่เพียงวงแหวนของดาวเสาร์เท่านั้น
ดาวพฤหัสบดี
- ดาวพฤหัสบดี (5.2 AU) มีมวลประมาณ 318 เท่าของมวลโลก นับเป็นมวลมหาศาลถึง 2.5 เท่าของมวลรวมทั้งหมดของดาวเคราะห์ที่เหลือรวมกัน ประกอบด้วยก๊าซไฮโดรเจนและฮีเลียมจำนวนมาก ความร้อนที่สูงมากภายในของดาวทำให้เกิดคุณลักษณะแบบกึ่งถาวรหลายประการในสภาพบรรยากาศของดาว เช่นแถบเมฆ และจุดแดงใหญ่ ดาวพฤหัสบดีมีดวงจันทร์บริวารที่รู้จักแล้วทั้งสิ้น 67 ดวง ดวงที่ใหญ่ที่สุด 4 ดวงคือ แกนิมีด คัลลิสโต ไอโอ และยูโรปา มีลักษณะคล้ายคลึงกับลักษณะของดาวเคราะห์ใกล้โลก เช่นมีภูเขาไฟ และมีกระบวนการความร้อนภายในของดาว ดวงจันทร์แกนิมีดเป็นดาวบริวารที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ มีขนาดใหญ่กว่าดาวพุธเสียอีก
ดาวเสาร์
- ดาวเสาร์ (9.5 AU) เป็นดาวเคราะห์ที่โดดเด่นเนื่องจากระบบวงแหวนขนาดใหญ่ที่เห็นได้ชัด ลักษณะของดาวรวมถึงสภาพบรรยากาศคล้ายคลึงกับดาวพฤหัสบดี แต่มีมวลน้อยกว่ามาก โดยมีมวลโดยประมาณ 95 เท่าของมวลโลก ดาวเสาร์มีดวงจันทร์บริวารที่รู้จักแล้ว 63 ดวง ในจำนวนดวงจันทร์ทั้งหมดมีอยู่ 2 ดวงคือ ไททันและเอนเซลาดัส แสดงให้เห็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา แม้ว่าองค์ประกอบส่วนใหญ่จะเป็นน้ำแข็งก็ตาม ดวงจันทร์ไททันมีขนาดใหญ่กว่าดาวพุธ และเป็นดวงจันทร์บริวารเพียงดวงเดียวในระบบสุริยะที่มีชั้นบรรยากาศ
ดาวยูเรนัส
- ดาวยูเรนัส (19.6 AU) มีขนาดประมาณ 14 เท่าของมวลโลก เป็นดาวเคราะห์มวลน้อยที่สุดในระบบสุริยะชั้นนอก ลักษณะการโคจรของดาวยูเรนัสไม่เหมือนดาวเคราะห์ดวงอื่น มันจะโคจรรอบดวงอาทิตย์แบบตะแคงข้าง โดยมีความเอียงของแกนมากกว่า 90 องศาเมื่อเทียบกับระนาบสุริยวิถี ทำให้ดูเหมือนดาวยูเรนัสกลิ้งไปบนทางโคจร แกนกลางของดาวค่อนข้างเย็นกว่าดาวแก๊สยักษ์ดวงอื่น ๆ และแผ่ความร้อนออกมาสู่อวกาศภายนอกเพียงน้อยนิด ดาวยูเรนัสมีดวงจันทร์บริวารที่รู้จักแล้ว 27 ดวง กลุ่มของดวงจันทร์ขนาดใหญ่ได้แก่ และ
ดาวเนปจูน
- ดาวเนปจูน (30 AU) แม้จะมีขนาดเล็กกว่าดาวยูเรนัส แต่มีมวลมากกว่า คือประมาณ 17 เท่าของมวลโลก ดังนั้นมันจึงเป็นดาวที่มีความหนาแน่นมาก ดาวเนปจูนแผ่รังสีความร้อนจากแกนกลางออกมามาก แต่ก็ยังน้อยกว่าดาวพฤหัสบดีหรือดาวเสาร์ เนปจูนมีดวงจันทร์บริวารที่รู้จักแล้ว 13 ดวง ดวงที่ใหญ่ที่สุดคือ ไทรทัน มีสภาพการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาอยู่ เช่นมีน้ำพุร้อน และเป็นดาวบริวารขนาดใหญ่เพียงดวงเดียวที่มีวงโคจรย้อนถอยหลัง ดาวเนปจูนยังส่งดาวเคราะห์เล็ก ๆ จำนวนหนึ่งหรือ เข้าไปในวงโคจรของดวงจันทร์ไทรทันด้วย โดยมีการสั่นพ้องของวงโคจรแบบ 1:1 กับดวงจันทร์
ดาวหาง
ดาวหาง เป็นวัตถุขนาดเล็กในระบบสุริยะ โดยมากมีขนาดเพียงไม่กี่กิโลเมตรในแนวขวาง ประกอบด้วยสสารจำพวกน้ำแข็งระเหยง่ายเป็นส่วนใหญ่ วงโคจรของดาวหางจะเบี้ยวมาก จุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดมักเข้าไปถึงชั้นวงโคจรของดาวเคราะห์ชั้นใน ส่วนจุดไกลดวงอาทิตย์ที่สุดอาจออกไปไกลพ้นจากดาวพลูโต เมื่อดาวหางโคจรผ่านเข้ามาในระบบสุริยะชั้นใน ผลกระทบจากดวงอาทิตย์ทำให้พื้นผิวน้ำแข็งของมันระเหยและแตกตัวเป็นประจุ ทำให้เกิดเป็นโคมา คือหางขนาดยาวประกอบด้วยแก๊สและฝุ่นที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ดาวหางคาบสั้นมีวงโคจรประมาณไม่ถึง 200 ปี ส่วนดาวหางคาบยาวมีวงโคจรนานถึงหลายพันปี เชื่อว่าดาวหางคาบสั้นมีกำเนิดมาจากแถบไคเปอร์ ขณะที่ดาวหางคาบยาวเช่นดาวหางเฮล-บอปป์ น่าจะมีกำเนิดมาจากแถบเมฆออร์ต มีตระกูลของดาวหางอยู่หลายตระกูล เช่น ดาวหางเฉียดดวงอาทิตย์ตระกูล Kreutz เกิดขึ้นจากการแตกตัวออกมาของดาวหางดวงแม่ ดาวหางบางดวงที่มีวงโคจรแบบไฮเพอร์โบลิกอาจจะมีกำเนิดมาจากห้วงอวกาศภายนอกของระบบสุริยะ แต่การคำนวณเส้นทางโคจรที่แน่นอนของพวกมันทำได้ยากมาก ดาวหางโบราณที่องค์ประกอบอันระเหยได้ได้ถูกขับออกไปจนหมดเนื่องจากความร้อนของดวงอาทิตย์ อาจกลายสภาพไปเป็นดาวเคราะห์น้อยได้
เซนทอร์
เซนทอร์ คือวัตถุน้ำแข็งคล้ายดาวหางที่มีค่ากึ่งแกนเอกมากกว่าดาวพฤหัสบดี (5.5 AU) แต่น้อยกว่าดาวเนปจูน (30 AU) เซนทอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่รู้จัก คือ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 250 กิโลเมตร เซนทอร์ชิ้นแรกที่ค้นพบคือ 2060 ไครอน ซึ่งเมื่อแรกถูกจัดประเภทว่าเป็นดาวหาง (95P) เพราะมันมีหางโคมาเหมือนกับที่ดาวหางเป็นเมื่อเคลื่อนเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ นักดาราศาสตร์บางกลุ่มจัดประเภทเซนทอร์ให้เป็นวัตถุในแถบไคเปอร์ที่กระจายตัวอยู่รอบใน โดยมีวัตถุแถบไคเปอร์อีกจำนวนหนึ่งกระจายตัวทางรอบนอกออกไปจนถึงแถบหินกระจาย
ย่านพ้นดาวเนปจูน
ย่านอวกาศที่อยู่เลยดาวเนปจูนออกไป หรือ "ย่านพ้นดาวเนปจูน" ยังเป็นพื้นที่ที่ไม่ค่อยได้รับการสำรวจมากนัก เท่าที่ทราบดูเหมือนจะเป็นบริเวณที่เต็มไปด้วยโลกเล็ก ๆ (วัตถุขนาดใหญ่ที่สุดในย่านนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางราวหนึ่งในห้าของโลก และมีมวลน้อยกว่ามวลของดวงจันทร์) ที่ประกอบขึ้นด้วยหินกับน้ำแข็ง บางครั้งก็เรียกย่านนี้ว่า "ย่านระบบสุริยะรอบนอก" ซึ่งจะคล้ายกับความหมายของวัตถุที่อยู่เลยจากแถบดาวเคราะห์น้อย
แถบไคเปอร์
แถบไคเปอร์ คือบริเวณของการก่อตัวครั้งแรกในระบบ มีลักษณะเป็นแถบวงแหวนมหึมาของเศษวัตถุกระจัดกระจายคล้ายกับแถบดาวเคราะห์น้อย แต่ส่วนมากวัตถุเหล่านั้นเป็นน้ำแข็ง ครอบคลุมพื้นที่ช่วงที่ห่างดวงอาทิตย์ออกมาตั้งแต่ 30-50 หน่วยดาราศาสตร์ สมาชิกในแถบไคเปอร์ส่วนมากเป็นวัตถุขนาดเล็กในระบบสุริยะ แต่ก็มีวัตถุขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งในแถบไคเปอร์ เช่น ควาอัวร์ และ ออร์กัส ที่สามารถจัดประเภทเป็นดาวเคราะห์แคระ ประมาณว่า มีวัตถุในแถบไคเปอร์มากกว่า 100,000 ชิ้นที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 50 กิโลเมตร แต่มวลรวมของวัตถุในแถบไคเปอร์ทั้งหมดมีเพียงประมาณ 1 ใน 10 หรืออาจเพียง 1 ใน 100 เท่าของมวลโลกเท่านั้น วัตถุในแถบไคเปอร์จำนวนมากที่มีดาวบริวารของตัวเองหลายดวง และส่วนใหญ่จะมีวงโคจรที่อยู่นอกระนาบสุริยวิถี
วัตถุในแถบไคเปอร์สามารถแบ่งได้อย่างหยาบ ๆ เป็น 2 พวก คือ "" และ "" กลุ่มสั่นพ้องมีวงโคจรที่เชื่อมโยงกับดาวเนปจูน (เช่น 2 รอบต่อ 3 รอบโคจรของเนปจูน หรือ 1 รอบต่อ 2) โดยที่การสั่นพ้องของวงโคจรครั้งแรกเกิดขึ้นในวงโคจรของดาวเนปจูนเอง แถบดั้งเดิมประกอบด้วยวัตถุที่ไม่มีการสั่นพ้องของวงโคจรกับดาวเนปจูน มีย่านโคจรอยู่ระหว่าง 39.4 - 47.7 หน่วยดาราศาสตร์. การจัดประเภทสมาชิกแถบไคเปอร์ดั้งเดิมว่าเป็นพวก เกิดขึ้นหลังจากมีการพ้นพบสมาชิกดวงแรกในกลุ่มนี้ คือ 15760 1992 QB1 เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1992
พลูโตกับคารอน
- ดาวพลูโต (39 AU โดยเฉลี่ย) เป็นดาวเคราะห์แคระ และเป็นวัตถุในแถบไคเปอร์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เป็นที่รู้จัก เมื่อแรกที่ค้นพบดาวพลูโตในปี ค.ศ. 1930 มันถูกจัดว่าเป็นดาวเคราะห์ดวงที่เก้า แต่ในปี ค.ศ. 2006 มีการจัดประเภทใหม่หลังจากที่มีการกำหนดคำจำกัดความของ "ดาวเคราะห์" อย่างเป็นทางการ ดาวพลูโตมีความเยื้องศูนย์กลางของวงโคจรประมาณ 17 องศาเทียบกับระนาบสุริยวิถี มีจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดที่ 29.7 AU (ในระดับวงโคจรของดาวเนปจูน) และมีจุดไกลดวงอาทิตย์ที่สุดที่ 49.5 AU
- คารอน เป็นดวงจันทร์บริวารขนาดใหญ่ที่สุดของดาวพลูโต แต่ยังไม่มีการยืนยันชัดเจนว่ามันจะยังสามารถจัดประเภทเป็นดาวเคราะห์แคระได้หรือไม่ ทั้งพลูโตและคารอนมีจุดศูนย์รวมแรงโน้มถ่วงในการโคจรอยู่ระหว่างกันและกัน ทำให้ดูเหมือนว่า พลูโตกับคารอนเป็นระบบดาวคู่ ยังมีดวงจันทร์ขนาดย่อมกว่าอีก 2 ดวงคือ และ ไฮดรา โคจรรอบพลูโตกับคารอน
- วงโคจรของดาวพลูโตอยู่ในแถบการสั่นพ้อง มีค่าสั่นพ้องวงโคจรกับดาวเนปจูนที่ 3:2 หมายความว่า พลูโตโคจรรอบดวงอาทิตย์ 2 รอบต่อการโคจรของดาวเนปจูน 3 รอบ วัตถุในแถบไคเปอร์ที่ร่วมอยู่ในวงโคจรการสั่นพ้องจะเรียกว่าเป็นพวก
เฮาเมอากับมาคีมาคี
- เฮาเมอา (43.34 AU โดยเฉลี่ย) และมาคีมาคี (45.79 AU โดยเฉลี่ย) เป็นวัตถุดั้งเดิมในแถบไคเปอร์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เป็นที่รู้จัก เฮาเมอามีรูปสัณฐานเหมือนไข่ มีดวงจันทร์บริวาร 2 ดวง มาคีมาคีเป็นวัตถุสว่างที่สุดในแถบไคเปอร์รองจากดาวพลูโต แต่เดิมดาวทั้งสองมีชื่อรหัสว่า 2003 EL61 และ 2005 FY9 ตามลำดับ ต่อมาจึงมีการตั้งชื่อดาว (พร้อมทั้งยกสถานะเป็นดาวเคราะห์แคระ) ในปี ค.ศ. 2008 วงโคจรของดาวทั้งสองยิ่งมีความเยื้องมากกว่าดาวพลูโตเสียอีก (ที่ 28° และ 29°) แต่ดาวทั้งสองนี้ไม่ได้รับผลกระทบจากวงโคจรของดาวเนปจูน เพราะอยู่ในย่านที่เป็นสมาชิกดั้งเดิมของแถบไคเปอร์
แถบหินกระจาย
แถบหินกระจายมีย่านคาบเกี่ยวกันกับแถบไคเปอร์ แต่แผ่ตัวออกไปทางด้านนอกของระบบเป็นบริเวณกว้าง เชื่อว่าในแถบหินกระจายนี้เป็นต้นกำเนิดของบรรดาดาวหางคาบสั้น วัตถุในแถบหินกระจายถูกแรงโน้มถ่วงรบกวนจากดาวเนปจูนในยุคต้น ๆ ผลักไปมาจนทำให้มีวงโคจรที่ไม่แน่นอน โดยมากจะมีจุดโคจรใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดอยู่ในย่านของแถบไคเปอร์ ส่วนจุดไกลดวงอาทิตย์ที่สุดอาจอยู่ห่างออกไปถึง 150 หน่วยดาราศาสตร์ วงโคจรของวัตถุในแถบหินกระจายยังมีความเอียงระนาบสูงมากเมื่อเทียบกับระนาบสุริยวิถี บางครั้งถึงกับตั้งฉากกับระนาบนี้เลยก็เป็นได้ นักดาราศาสตร์บางกลุ่มจัดให้แถบหินกระจายเป็นอีกย่านหนึ่งของแถบไคเปอร์ และเรียกวัตถุในแถบหินกระจายว่า "วัตถุกระจายในแถบไคเปอร์"
เอริส
- เอริส (68 AU โดยเฉลี่ย) เป็นวัตถุในแถบหินกระจายขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่รู้จัก เป็นต้นเหตุของการถกเถียงกันเรื่องคุณสมบัติของการเป็นดาวเคราะห์ เพราะมันมีขนาดใหญ่กว่าดาวพลูโตอย่างน้อย 5% โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2,400 กิโลเมตร (1,500 ไมล์) ถือเป็นดาวเคราะห์แคระขนาดใหญ่ที่สุดที่เป็นที่รู้จัก เอริสมี ลักษณะวงโคจรมีค่าความเยื้องศูนย์กลางค่อนข้างสูงเหมือนกับดาวพลูโต จุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดอยู่ที่ประมาณ 38.2 AU (ประมาณระยะวงโคจรของดาวพลูโต) ส่วนจุดไกลดวงอาทิตย์ที่สุดอยู่ประมาณ 97.6 AU มีความเอียงกับระนาบสุริยวิถีสูงมาก
ย่านไกลที่สุดของระบบ
เราไม่อาจระบุได้แน่ชัดว่า ระบบสุริยะสิ้นสุดที่จุดไหน หรืออวกาศระหว่างดาวเริ่มต้นขึ้นที่จุดไหน เพราะขอบเขตรอบนอกของระบบเป็นไปด้วยอิทธิพลของแรง 2 ชนิดที่แตกต่างกัน คือ ลมสุริยะ และแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ อิทธิพลด้านนอกสุดของลมสุริยะกินเนื้อที่ออกไปประมาณ 4 เท่าของระยะห่างจากดวงอาทิตย์ถึงดาวพลูโต เรียกว่าขอบเขตเฮลิโอพอส ซึ่งอาจนับเป็นจุดเริ่มต้นของสสารระหว่างดาวก็ได้ อย่างไรก็ดี เชื่อว่าของดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นเนื้อที่ภายใต้อิทธิพลแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ กินพื้นที่ไกลออกไปมากกว่านั้นถึงกว่าหนึ่งพันเท่า
เฮลิโอพอส
บริเวณของเฮลิโอสเฟียร์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ย่าน ลมสุริยะเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วประมาณ 40,000 กิโลเมตร/วินาที จนกระทั่งมันสลายตัวลงด้วยกระแสของพลาสมาในสสารระหว่างดาว การสลายตัวนี้เกิดขึ้นที่กำแพงกระแทกซึ่งอยู่ที่ระยะประมาณ 80-100 AU จากดวงอาทิตย์ในทิศทางย้อนกระแสลม และประมาณ 200 AU จากดวงอาทิตย์ในทิศทางตามกระแสลม ที่บริเวณนี้กระแสของลมจะอ่อนลง มวลสารเกาะกลุ่มหนาแน่นขึ้นแล้วกลายเป็นลมหมุน ทำให้เกิดโครงสร้างรูปไข่ขนาดใหญ่เรียกว่า เฮลิโอชีท (heliosheath) หรือ ฝักสุริยะ ซึ่งมีหน้าตาและพฤติกรรมคล้ายคลึงกับหางของดาวหาง คือทอดแผ่ตัวออกไปไกลถึง 40 AU ทางฝั่งทวนกระแสลม ถ้าเป็นด้านตามกระแสลมจะยิ่งแผ่ออกไปไกลกว่านั้น ทั้งยานวอยเอจเจอร์ 1 และ วอยเอจเจอร์ 2 ต่างรายงานกลับมาว่าได้ผ่านบริเวณกำแพงกระแทกไปแล้วและได้เข้าสู่บริเวณเฮลิโอชีท ที่ระยะประมาณ 94 และ 84 AU ตามลำดับ. ขอบด้านนอกสุดของทรงกลมเฮลิโอสเฟียร์ หรือ เฮลิโอพอส เป็นจุดที่กระแสของลมสุริยะสิ้นกำลังลง และเป็นจุดเริ่มต้นย่านอวกาศระหว่างดาว
ลักษณะรูปร่างและทรงของขอบนอกของเฮลิโอสเฟียร์เป็นผลจากการถูกกระทบด้วยปฏิกิริยาพลศาสตร์ของไหลจากสสารระหว่างดาว และจากสนามแม่เหล็กสุริยะที่มีอยู่อย่างมากในทางตอนใต้ ทางซีกด้านบนจะเป็นทรงมนมีความกว้างประมาณ 9 AU (ราว 900 ล้านไมล์) ซึ่งกว้างกว่าครึ่งซีกล่าง พ้นจากเขตแดนเฮลิโอพอส ที่ระยะประมาณ 230 AU เป็นตำแหน่ง ซึ่งพลาสมาจากดวงอาทิตย์จะละทิ้งระบบและเดินทางไปในดินแดนอื่นในทางช้างเผือก
ยังไม่เคยมียานอวกาศลำใดเดินทางพ้นออกไปจากเฮลิโอพอสเลย จึงไม่อาจรู้ได้แน่ชัดถึงสภาวะเงื่อนไขในอวกาศระหว่างดาว คาดว่ายานอวกาศวอยเอจเจอร์ขององค์การนาซาจะเดินทางออกจากเฮลิโอพอสในราวหนึ่งทศวรรษข้างหน้า และจะส่งข้อมูลอันมีค่าเกี่ยวกับระดับของรังสีและลมสุริยะกลับมายังโลก เพราะความเข้าใจเกี่ยวกับการที่เกราะเฮลิโอสเฟียร์ ช่วยปกป้องระบบสุริยะเอาไว้จากรังสีคอสมิกยังมีอยู่น้อยมาก ทีมงานหนึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนจากนาซาได้พัฒนาแนวคิดโครงการ "Vision Mission" ขึ้น มีภารกิจหลักเกี่ยวกับการส่งยานอวกาศไปในเฮลิโอสเฟียร์
เมฆออร์ต
เมฆออร์ต เป็นข้อสมมุติฐานถึงกลุ่มมวลขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยวัตถุน้ำแข็งนับล้านล้านชิ้น ที่เชื่อว่าเป็นแหล่งกำเนิดของดาวหางคาบยาว และครอบคลุมบริเวณรอบนอกของระบบสุริยะเอาไว้ในระยะทางประมาณ 50,000 AU (ประมาณ 1 ปีแสง) หรืออาจกว้างได้ถึง 100,000 AU (1.87 ปีแสง) เชื่อว่าองค์ประกอบของมันคือดาวหางที่ถูกดีดออกมาจากระบบสุริยะชั้นใน ด้วยปฏิกิริยาแรงโน้มถ่วงกับดาวเคราะห์ชั้นนอก วัตถุในเมฆออร์ตมีการเคลื่อนที่ต่ำมาก และอาจถูกกระทบกระทั่งเส้นทางด้วยเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก เช่นการปะทะ แรงโน้มถ่วงรบกวนจากดาวที่เคลื่อนผ่าน หรือแรงดึงดูดระหว่างดาราจักร เช่นแรงไทดัลของทางช้างเผือก
เซดนา
90377 เซดนา (525.86 AU โดยเฉลี่ย) เป็นวัตถุขนาดใหญ่คล้ายดาวพลูโต มีสีแดง และมีวงโคจรวงรีขนาดใหญ่มากที่มีจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดที่ 76 AU ส่วนจุดไกลที่สุดอยู่ที่ 928 AU ใช้เวลาในการโคจรรอบละ 12,050 ปี เป็นผู้ค้นพบดาวนี้เมื่อปี ค.ศ. 2003 เขาคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นสมาชิกทั้งของแถบหินกระจายหรือแถบไคเปอร์ เพราะจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดยังอยู่ห่างเกินกว่าจะเป็นวัตถุที่ถูกดีดออกมาด้วยแรงโน้มถ่วงของดาวเนปจูน เขากับนักดาราศาสตร์คนอื่น ๆ เห็นว่ามันน่าจะเป็นวัตถุชิ้นแรกในกลุ่มประชากรใหม่ของระบบ ซึ่งน่าจะรวมถึง 2000 CR105 ซึ่งมีจุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดที่ 45 AU และจุดไกลดวงอาทิตย์ที่สุดที่ 415 AU มีรอบการโคจร 3,420 ปี บราวน์เรียกประชากรใหม่ของระบบเหล่านี้ว่า "เมฆออร์ตกลุ่มใน" เพราะมันอาจมีลักษณะเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าก็ตาม มีความเป็นไปได้ที่เซดนาจะเป็นดาวเคราะห์แคระ แม้จะยังต้องพิสูจน์ถึงสัณฐานของมันเสียก่อน
ขอบนอก
ยังมีสิ่งต่าง ๆ อีกมากมายในระบบสุริยะที่เรายังไม่รู้จัก ประมาณว่า สนามแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์มีอิทธิพลครอบคลุมดาวฤกษ์ต่าง ๆ ในย่านใกล้เคียงเป็นระยะทางราว 2 ปีแสง (125,000 AU) รัศมีต่ำสุดของเมฆออร์ตที่ประมาณกันไว้น่าจะไม่ต่ำกว่า 50,000 AU แม้จะมีการค้นพบที่น่าประหลาดใจเช่นการค้นพบเซดนา แต่ย่านอวกาศระหว่างแถบไคเปอร์กับเมฆออร์ต ซึ่งกินเนื้อที่กว้างในรัศมีหลายหมื่นหน่วยดาราศาสตร์ก็ยังไม่สามารถสำรวจและจัดทำแผนผังออกมาได้ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาสำรวจเพิ่มเติมสำหรับดินแดนระหว่างดาวพุธกับดวงอาทิตย์ เราอาจจะได้ค้นพบวัตถุต่าง ๆ อีกมากในย่านต่าง ๆ ของระบบสุริยะที่ยังไม่ได้จัดทำแผนผังเอาไว้
บริบทเชิงดาราจักร
ระบบสุริยะตั้งอยู่ในดาราจักรทางช้างเผือก ซึ่งเป็นดาราจักรชนิดก้นหอยมีคาน มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 100,000 ปีแสง มีดาวฤกษ์สมาชิกประมาณ 200,000 ล้านดวง ดวงอาทิตย์ของเราเป็นดาวฤกษ์สมาชิกดวงหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางแขนก้นหอยด้านนอกของทางช้างเผือก ในส่วนที่เรียกกันว่า หรือสเปอร์ท้องถิ่น ห่างจากบริเวณศูนย์กลางของดาราจักรประมาณ 25,000 ถึง 28,000 ปีแสง ความเร็วที่เคลื่อนที่ภายในดาราจักรอยู่ที่ประมาณ 220 กิโลเมตรต่อวินาที ดังนั้นมันจะเคลื่อนที่วนครบหนึ่งรอบในเวลา 225-250 ล้านปี การวนครบรอบนี้เรียกกันว่าเป็น ของระบบสุริยะ
ตำแหน่งของระบบสุริยะในดาราจักรน่าจะเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตบนโลก เพราะวงโคจรของมันจะค่อนข้างเป็นวงกลม และมีระดับความเร็วพอกันกับแขนก้นหอยของดาราจักร ซึ่งแสดงว่ามันไม่ได้เคลื่อนผ่านไปในดาราจักรมากนัก แขนก้นหอยนี้เป็นถิ่นที่อยู่ของวัตถุท้องฟ้าที่กว่าจะกลายเป็นซูเปอร์โนวาก็ต้องใช้เวลาอีกนาน ทำให้โลกมีเวลาอันยาวนานที่จะสร้างสภาวะเสถียรภาพมากพอสำหรับการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต นอกจากนี้ระบบสุริยะยังตั้งอยู่นอกเขตแดนอันหนาแน่นของดาวฤกษ์ในใจกลางดาราจักร ที่บริเวณใจกลางนั้นจะมีแรงโน้มถ่วงรบกวนจากดาวฤกษ์ใกล้เคียงสูงมาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อวัตถุในเขตเมฆออร์ต อันจะทำให้เกิดดาวหางมากมายพุ่งเข้าสู่ระบบสุริยะชั้นในได้ ทำให้เกิดการปะทะที่อาจสร้างสภาวะอันไม่เหมาะสมต่อชีวิต ปริมาณรังสีเข้มข้นที่ใจกลางดาราจักรก็อาจส่งผลรบกวนต่อวิวัฒนาการของชีวิตอันซับซ้อนด้วย ถึงกระนั้นในตำแหน่งของระบบสุริยะปัจจุบัน ก็มีนักวิทยาศาสตร์บางส่วนตั้งทฤษฎีว่าเคยเกิดซูเปอร์โนวามาก่อน และส่งผลกระทบในทางกลับกันกับข้อสมมุติฐานก่อนหน้านั้น คือในช่วง 35,000 ปีสุดท้ายมานี้แรงระเบิดจากซูเปอร์โนวา ได้แพร่กระจายสสารในแกนกลางของมันออกมายังดวงอาทิตย์ในรูปของฝุ่นกัมมันตรังสี รวมถึงชิ้นส่วนขนาดใหญ่ที่คล้ายดาวหาง
ย่านใกล้เคียง
ย่านใกล้เคียงในดาราจักรที่อยู่ติดกันกับดาราจักรของเรา มีชื่อเรียกว่า (Local Intersteller Cloud) หรือ ฟลัฟฟ์ท้องถิ่น (Local Fluff) เป็นบริเวณที่มีเมฆหนาแน่นซึ่งตั้งอยู่ใน ฟองท้องถิ่น อันเป็นห้วงอวกาศที่ค่อนข้างโปร่งรูปร่างคล้ายนาฬิกาทรายอยู่ในสสารระหว่างดาว กินเนื้อที่กว้างประมาณ 300 ปีแสง ในฟองท้องถิ่นนี้เต็มไปด้วยพลาสมาอุณหภูมิสูงซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นส่วนที่หลงเหลืออยู่จากซูเปอร์โนวาครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้น
ทิศทางที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนไปในอวกาศระหว่างดาวเรียกว่า โซลาร์เอเพกซ์ (solar apex) อยู่ใกล้กับกลุ่มดาวเฮอร์คิวลีสในทิศทางเดียวกับตำแหน่งปัจจุบันของดาวเวกา
มีดาวฤกษ์อยู่ค่อนข้างน้อยในช่วงระยะ 10 ปีแสง (ประมาณ 95 ล้านล้านกิโลเมตร) จากดวงอาทิตย์ ดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ที่สุดคือระบบดาวสามดวง แอลฟาคนครึ่งม้า ซึ่งอยู่ห่างออกไป 4.4 ปีแสง แอลฟาคนครึ่งม้า เอ และ บี เป็นดาวคู่ที่มีลักษณะคล้ายดวงอาทิตย์ มีดาวแคระแดงขนาดเล็กชื่อ แอลฟาคนครึ่งม้า ซี (หรือดาวพร็อกซิมาคนครึ่งม้า) โคจรรอบดาวคู่ทั้งสองนั้นที่ระยะห่าง 0.2 ปีแสง ดาวฤกษ์อื่นที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ในลำดับถัดออกไปได้แก่ดาวแคระแดง (5.9 ปีแสง) (7.8 ปีแสง) และ (8.3 ปีแสง) ดาวฤกษ์ดวงใหญ่ที่สุดในระยะ 10 ปีแสงจากดวงอาทิตย์ได้แก่ ดาวซิริอุส เป็นดาวฤกษ์สว่างบนแถบลำดับหลักที่มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ราว 2 เท่า มีดาวแคระขาวชื่อ ซิริอุส บี โคจรอยู่รอบ ๆ ห่างจากดวงอาทิตย์ของเราไป 8.6 ปีแสง ระบบอื่น ๆ ที่มีอยู่ในระยะ 10 ปีแสงได้แก่ ระบบดาวแคระแดงคู่ (8.7 ปีแสง) ดาวแคระแดงเดี่ยว (9.7 ปีแสง) สำหรับดาวฤกษ์เดี่ยวที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับดวงอาทิตย์ที่อยู่ใกล้ที่สุดคือ อยู่ห่างออกไป 11.9 ปีแสง มันมีมวลประมาณ 80% ของมวลดวงอาทิตย์ แต่มีความส่องสว่างเพียง 60% ของดวงอาทิตย์เท่านั้นดาวเคราะห์นอกระบบที่อยู่ใกล้ที่สุดเท่าที่รู้จัก เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ในระบบดาวของ ซึ่งเป็นดาวฤกษ์ที่ค่อนข้างหรี่จางและมีสีแดงกว่าดวงอาทิตย์ อยู่ห่างออกไป 10.5 ปีแสง มีดาวเคราะห์ในระบบที่ได้รับการยืนยันแล้ว 1 ดวง คือ มีขนาดราว 1.5 เท่าของมวลของดาวพฤหัสบดี คาบโคจรรอบดาวฤกษ์แม่ของมันใช้เวลา 6.9 ปี
ดูเพิ่ม
- สัญลักษณ์ทางดาราศาสตร์
- เซเลสเทีย - ซอฟต์แวร์เสรีสำหรับใช้จำลองวัตถุทางดาราศาสตร์แบบ 3 มิติ
- เส้นเวลาการสำรวจระบบสุริยะ
- เส้นเวลาการค้นพบดาวเคราะห์และดวงจันทร์ในระบบสุริยะ
- รายชื่อวัตถุในระบบสุริยะ
- การสำรวจอวกาศ
เชิงอรรถ
- ในภาพไม่มีการเพิ่มแถบดาวเคราะห์น้อยและแถบไคเปอร์ เนื่องจากดาวเคราะห์น้อยแต่ละดวงมีขนาดเล็กเกินกว่าที่จะแสดงบนแผนภาพได้
- เมื่อวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 2022
อ้างอิง
- "Solar System Objects". NASA/JPL Solar System Dynamics. จากแหล่งเดิมเมื่อ 7 July 2021. สืบค้นเมื่อ 2 April 2022.
- "Latest Published Data". The International Astronomical Union Minor Planet Center. จากแหล่งเดิมเมื่อ 5 March 2019. สืบค้นเมื่อ 2 April 2022.
- Mumma, M. J.; Disanti, M. A.; Dello Russo, N.; Magee-Sauer, K.; Gibb, E.; Novak, R. (2003). "Remote infrared observations of parent volatiles in comets: A window on the early solar system". Advances in Space Research. 31 (12): 2563–2575. Bibcode:2003AdSpR..31.2563M. 10.1.1.575.5091. doi:10.1016/S0273-1177(03)00578-7.
- สก็อตต์ เอส. เชพพาร์ด. The Jupiter Satellite Page. Carnegie Institution for Science, Department of Terrestrial Magnetism.
- Eric W. Weisstein (2006). "Galileo Galilei (1564–1642)". Wolfram Research. เก็บข้อมูลเมื่อ 2006-11-08.
- "Discoverer of Titan: Christiaan Huygens". ESA Space Science. 2005. เก็บข้อมูลเมื่อ 2006-11-08.
- "Giovanni Domenico Cassini (June 8, 1625–September 14, 1712)". SEDS.org. เก็บข้อมูลเมื่อ 2006-11-08.
- "Comet Halley". University of Tennessee. เก็บข้อมูลเมื่อ 2006-12-27.
- "Etymonline: Solar System". เก็บข้อมูลเมื่อ 2008-01-24.
- "Herschel, Sir William (1738–1822)". enotes.com. เก็บข้อมูลเมื่อ 2006-11-08.
- "Discovery of Ceres: 2nd Centenary, January 1, 1801–January 1, 2001". astropa.unipa.it. 2000. เก็บข้อมูลเมื่อ 2006-11-08.
- "Spectroscopy and the Birth of Astrophysics" 2015-09-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Center for History of Physics, a Division of the American Institute of Physics. เก็บข้อมูลเมื่อ 2008-04-30.
- "Extrasolar Planets Encyclopedia". Paris Observatory. เก็บข้อมูลเมื่อ 2008-01-24.
- Stone EC, Cummings AC, Mcdonald FB, Heikkila BC, Lal N, Webber WR (September 2005). "Voyager 1 explores the termination shock region and the heliosheath beyond". Science (New York, N.Y.). 309 (5743): 2017–20. doi:10.1126/science.1117684. ISSN 0036-8075. PMID 16179468.
- "New Horizons NASA's Pluto-Kuiper Belt Mission". 2006. สืบค้นเมื่อ 2006-07-01.
- "Lecture 13: The Nebular Theory of the origin of the Solar System". University of Arizona. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-08-22. สืบค้นเมื่อ 2006-12-27.
- Irvine, W. M. "The chemical composition of the pre-solar nebula". Amherst College, Massachusetts. สืบค้นเมื่อ 2007-02-15.
- Greaves, Jane S. (2005-01-07). "Disks Around Stars and the Growth of Planetary Systems". Science 307 (5706) : 68–71. DOI:10.1126/science.1101979 abstract full text.
- . National Academy of Sciences. 2000-04-05. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-08-03. สืบค้นเมื่อ 2007-01-19.
- M Momose; Y Kitamura; S Yokogawa; R Kawabe; M Tamura; S Ida (2003). Ikeuchi, S.; Hearnshaw, J.; Hanawa, T. (บ.ก.). Investigation of the Physical Properties of Protoplanetary Disks around T Tauri Stars by a High-resolution Imaging Survey at lambda = 2 mm (PDF). The Proceedings of the IAU 8th Asian-Pacific Regional Meeting, Volume I. Vol. 289. Astronomical Society of the Pacific Conference Series. p. 85.
- Boss, A. P. (2005). "Chondrule-forming Shock Fronts in the Solar Nebula: A Possible Unified Scenario for Planet and Chondrite Formation". The Astrophysical Journal. 621: L137. doi:10.1086/429160.
- Sukyoung Yi; Pierre Demarque; Yong-Cheol Kim; Young-Wook Lee; Chang H Ree; Thibault Lejeune; Sydney Barnes (2001). "Toward Better Age Estimates for Stellar Populations: The Isochrones for Solar Mixture". Astrophysical Journal Supplement. 136: 417. doi:10.1086/321795. arXiv astro-ph/0104292
- A. Chrysostomou; P. W. Lucas (2005). "The Formation of Stars". Contemporary Physics. 46: 29. doi:10.1080/0010751042000275277.
- Jeff Hecht (1994). "Science: Fiery future for planet Earth". NewScientist. สืบค้นเมื่อ 2007-10-29.
- K. P. Schroder; Robert Cannon Smith (2008). "Distant future of the Sun and Earth revisited". Monthly Notices of the Royal Astronomical Society. 386: 155–163. doi:10.1111/j.1365-2966.2008.13022.x.
- Pogge, Richard W. (1997). . New Vistas in Astronomy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 May 2005. สืบค้นเมื่อ 2005-12-07.
- M Woolfson (2000). "The origin and evolution of the solar system". Astronomy & Geophysics. 41: 1.12. doi:10.1046/j.1468-4004.2000.00012.x.
- nineplanets.org. "An Overview of the Solar System". เก็บข้อมูลเมื่อ 2007-02-15.
- Amir Alexander (2006). "New Horizons Set to Launch on 9-Year Voyage to Pluto and the Kuiper Belt" 2006-02-22 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. The Planetary Society. เก็บข้อมูลเมื่อ 2006-11-08.
- "The Final IAU Resolution on the definition of "planet" ready for voting" 2009-01-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, IAU (2006-08-24). เก็บข้อมูลเมื่อ 2 มีนาคม 2007.
- "Dwarf Planets and their Systems". Working Group for Planetary System Nomenclature (WGPSN). U.S. Geological Survey (2008-11-07). เก็บข้อมูลเมื่อ 2008-07-13.
- "Plutoid chosen as name for Solar System objects like Pluto" 2008-06-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. International Astronomical Union (News Release - IAU0804) (June 11, 2008, Paris). เก็บข้อมูลเมื่อ 2008-06-11.
- Feaga, L (2007). "Asymmetries in the distribution of H2O and CO2 in the inner coma of Comet 9P/Tempel 1 as observed by Deep Impact". Icarus. 190: 345. Bibcode:2007Icar..190..345F. doi:10.1016/j.icarus.2007.04.009.
- Michael Zellik (2002). Astronomy: The Evolving Universe (9th ed.). Cambridge University Press. p. 240. ISBN . OCLC 223304585.
- Smart, R. L.; Carollo, D.; Lattanzi, M. G.; McLean, B.; Spagna, A. (2001). "The Second Guide Star Catalogue and Cool Stars". Perkins Observatory. เก็บข้อมูลเมื่อ 2006-12-26.
- Nir J. Shaviv. "Towards a Solution to the Early Faint Sun Paradox: A Lower Cosmic Ray Flux from a Stronger Solar Wind". Journal of Geophysical Research. doi:10.1029. เก็บข้อมูลเมื่อ 26 มกราคม 2009.
- T. S. van Albada; Norman Baker (1973). "On the Two Oosterhoff Groups of Globular Clusters". Astrophysical Journal. 185: 477–498. doi:10.1086/152434.
- Charles H. Lineweaver (2001-03-09). "An Estimate of the Age Distribution of Terrestrial Planets in the Universe: Quantifying Metallicity as a Selection Effect". University of New South Wales. สืบค้นเมื่อ 2006-07-23.
- . Marshall Space Flight Center. 2006-07-16. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-08-13. สืบค้นเมื่อ 2006-10-03.
- Phillips, Tony (2001-02-15). . Science@NASA. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-05-12. สืบค้นเมื่อ 2007-02-04.
- . Wilcox Solar Observatory. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-09-01. สืบค้นเมื่อ 2006-06-22.
- Lundin, Richard (2001-03-09). "Erosion by the Solar Wind". Science 291 (5510) : 1909. DOI:10.1126/science.1059763 abstract 2009-05-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน full text 2007-03-10 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน.
- Langner, U. W.; Potgieter, M. S. (2005). "Effects of the position of the solar wind termination shock and the heliopause on the heliospheric modulation of cosmic rays". Advances in Space Research. 35 (12): 2084–2090. doi:10.1016/j.asr.2004.12.005. สืบค้นเมื่อ 2007-02-11.
- . 1998. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-09-29. สืบค้นเมื่อ 2007-02-03.
- "ESA scientist discovers a way to shortlist stars that might have planets". ESA Science and Technology. 2003. สืบค้นเมื่อ 2007-02-03.
- Landgraf, M.; Liou, J.-C.; Zook, H. A.; Grün, E. (May 2002). "Origins of Solar System Dust beyond Jupiter". The Astronomical Journal. 123 (5): 2857–2861. doi:10.1086/339704. สืบค้นเมื่อ 2007-02-09.
- Schenk P., Melosh H.J. (1994) , Lobate Thrust Scarps and the Thickness of Mercury's Lithosphere, Abstracts of the 25th Lunar and Planetary Science Conference, 1994LPI....25.1203S
- Bill Arnett (2006). "Mercury". The Nine Planets. สืบค้นเมื่อ 2006-09-14.
- Benz, W., Slattery, W. L., Cameron, A. G. W. (1988) , Collisional stripping of Mercury's mantle, Icarus, v. 74, p. 516–528.
- Cameron, A. G. W. (1985) , The partial volatilization of Mercury, Icarus, v. 64, p. 285–294.
- Mark Alan Bullock. "The Stability of Climate on Venus" 2007-06-14 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (PDF). Southwest Research Institute. เก็บข้อมูลเมื่อ 2006-12-26.
- Paul Rincon (1999). (PDF). Johnson Space Center Houston, TX, Institute of Meteoritics, University of New Mexico, Albuquerque, NM. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2007-06-14. สืบค้นเมื่อ 2006-11-19.
- Anne E. Egger (M.A./M.S.). . VisionLearning.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-02-21. สืบค้นเมื่อ 2006-12-26.
- David Noever (2004). . NASA Astrobiology Magazine. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-03-13. สืบค้นเมื่อ 2006-07-23.
- Scott S. Sheppard; David Jewitt; Jan Kleyna (2004). "A Survey for Outer Satellites of Mars: Limits to Completeness". The Astronomical Journal. สืบค้นเมื่อ 2006-12-26.
- . ESA. 2002. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-01-13. สืบค้นเมื่อ 2006-06-23.
- Krasinsky, G. A.; Pitjeva, E. V.; Vasilyev, M. V.; Yagudina, E. I. (July 2002). "Hidden Mass in the Asteroid Belt". Icarus. 158 (1): 98–105. doi:10.1006/icar.2002.6837.
- Beech, M.; Steel, Duncan I. (September 1995). "On the Definition of the Term Meteoroid". Quarterly Journal of the Royal Astronomical Society. 36 (3): 281–284. สืบค้นเมื่อ 2006-08-31.
- "History and Discovery of Asteroids" (DOC). NASA. สืบค้นเมื่อ 2006-08-29.
- Phil Berardelli (2006). "Main-Belt Comets May Have Been Source Of Earths Water". SpaceDaily. สืบค้นเมื่อ 2006-06-23.
- Jack J. Lissauer; David J. Stevenson (2006). (PDF). NASA Ames Research Center; California Institute of Technology. คลังข้อมูลเก่าเก็บจาก(PPV).pdf แหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2009-03-26. สืบค้นเมื่อ 2006-01-16.
{{}}
: ตรวจสอบค่า|url=
((help)) - Pappalardo, R T (1999). . Brown University. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-09-30. สืบค้นเมื่อ 2006-01-16.
- J. S. Kargel (1994). "Cryovolcanism on the icy satellites". U.S. Geological Survey. สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2022.
- Hawksett, David; Longstaff, Alan; Cooper, Keith; Clark, Stuart (2005). "10 Mysteries of the Solar System". Astronomy Now. สืบค้นเมื่อ 2006-01-16.
- Podolak, M.; Reynolds, R. T.; Young, R. (1990). "Post Voyager comparisons of the interiors of Uranus and Neptune". NASA, Ames Research Center. สืบค้นเมื่อ 2006-01-16.
- Duxbury, N.S.; Brown, R.H. (1995). . Beacon eSpace. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-04-26. สืบค้นเมื่อ 2006-01-16.
- Sekanina, Zdenek (2001). "Kreutz sungrazers: the ultimate case of cometary fragmentation and disintegration?". Publications of the Astronomical Institute of the Academy of Sciences of the Czech Republic. 89: 78–93.
- Królikowska, M. (2001). "A study of the original orbits of hyperbolic comets". Astronomy & Astrophysics. 376 (1): 316–324. doi:10.1051/0004-6361:20010945. สืบค้นเมื่อ 2007-01-02.
- Fred L. Whipple (เมษายน 1992). "The activities of comets related to their aging and origin". สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2022.
- John Stansberry; Will Grundy; Mike Brown; Dale Cruikshank; John Spencer; David Trilling; Jean-Luc Margot (2007). "Physical Properties of Kuiper Belt and Centaur Objects: Constraints from Spitzer Space Telescope". สืบค้นเมื่อ 2008-09-21.
- Patrick Vanouplines (1995). . Vrije Universitiet Brussel. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-05-02. สืบค้นเมื่อ 2006-06-23.
- "List Of Centaurs and Scattered-Disk Objects". IAU: Minor Planet Center. สืบค้นเมื่อ 2007-04-02.
- Audrey Delsanti; David Jewitt (2006). "The Solar System Beyond The Planets" (PDF). Institute for Astronomy, University of Hawaii. สืบค้นเมื่อ 2007-01-03.
- M W Buie; R L Millis; L H Wasserman; J L Elliot; S D Kern; K B Clancy; E I Chiang; A B Jordan; K J Meech; R M Wagner; D E Trilling (2005). . Lowell Observatory, University of Pennsylvania, Large Binocular Telescope Observatory, Massachusetts Institute of Technology, University of Hawaii, University of California at Berkeley. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-01-18. สืบค้นเมื่อ 2006-09-07.
- E. Dotto; M.A. Barucci; M. Fulchignoni (2006-08-24). "Beyond Neptune, the new frontier of the Solar System" (PDF). สืบค้นเมื่อ 2006-12-26.
- Fajans, J.; L. Frièdland (13 September 2001). "Autoresonant (nonstationary) excitation of pendulums, Plutinos, plasmas, and other nonlinear oscillators" (PDF). American Journal of Physics. 69 (10): 1096–1102. doi:10.1119/1.1389278.
- Marc W. Buie (2008-04-05). "Orbit Fit and Astrometric record for 136472". SwRI (Space Science Department). สืบค้นเมื่อ 2008-07-13.
- David Jewitt (2005). "The 1000 km Scale KBOs". University of Hawaii. สืบค้นเมื่อ 2006-07-16.
- Mike Brown (2005). "The discovery of
2003 UB313Eris, the10th planetlargest known dwarf planet". CalTech. สืบค้นเมื่อ 2006-09-15. - . NASA. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-05-16. สืบค้นเมื่อ 2007-04-02.
- Fahr, H. J.; Kausch, T.; Scherer, H. (2000). . Astronomy & Astrophysics. 357: 268. Bibcode:2000A&A...357..268F. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2019-01-07. สืบค้นเมื่อ 2009-02-01. See Figures 1 and 2.
- Stone EC, Cummings AC, Mcdonald FB, Heikkila BC, Lal N, Webber WR (July 2008). "An asymmetric solar wind termination shock". Nature. 454 (7200): 71–4. doi:10.1038/nature07022. ISSN 0028-0836. PMID 18596802.
- P. C. Frisch (University of Chicago) (2002-06-24). "The Sun's Heliosphere & Heliopause". Astronomy Picture of the Day. สืบค้นเมื่อ 2006-06-23.
- "Voyager: Interstellar Mission". NASA Jet Propulsion Laboratory. 2007. http://voyager.jpl.nasa.gov/mission/interstellar.html. เก็บข้อมูลเมื่อ 2008-05-08.
- R. L. McNutt, Jr.; และคณะ (2006). Innovative Interstellar Explorer. Physics of the Inner Heliosheath: Voyager Observations, Theory, and Future Prospects. Vol. 858. AIP Conference Proceedings. pp. 341–347. doi:10.1063/1.2359348.
- Anderson, Mark (2007-01-05). . New Scientist. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-04-16. สืบค้นเมื่อ 2007-02-05.
- Stern SA; Weissman PR (2001). "Rapid collisional evolution of comets during the formation of the Oort cloud". Space Studies Department, Southwest Research Institute, Boulder, Colorado. สืบค้นเมื่อ 2006-11-19.
- Bill Arnett (2006). "The Kuiper Belt and the Oort Cloud". nineplanets.org. สืบค้นเมื่อ 2006-06-23.
- David Jewitt (2004). "Sedna – 2003 VB12". University of Hawaii. สืบค้นเมื่อ 2006-06-23.
- Mike Brown. "Sedna". CalTech. สืบค้นเมื่อ 2007-05-02.
- T Encrenaz; JP Bibring; M Blanc; MA Barucci; F Roques; PH Zarka (2004). The Solar System: Third edition. Springer. p. 1.
- Durda DD, Stern SA, Colwell WB, Parker JW, Levison HF, Hassler DM (2004). "A New Observational Search for Vulcanoids in SOHO/LASCO Coronagraph Images". สืบค้นเมื่อ 2006-07-23.
- A.D. Dolgov (2003). "Magnetic fields in cosmology". สืบค้นเมื่อ 2006-07-23.
- R. Drimmel; D. N. Spergel (2001). "Three Dimensional Structure of the Milky Way Disk". สืบค้นเมื่อ 2006-07-23.
- Leong, Stacy (2002). "Period of the Sun's Orbit around the Galaxy (Cosmic Year". The Physics Factbook. สืบค้นเมื่อ 2007-04-02.
- Leslie Mullen (2001). "Galactic Habitable Zones". Astrobiology Magazine. สืบค้นเมื่อ 2006-06-23.
- "Supernova Explosion May Have Caused Mammoth Extinction". Physorg.com. 2005. สืบค้นเมื่อ 2007-02-02.
- . NASA. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-03-13. สืบค้นเมื่อ 2006-07-23.
- C. Barbieri (2003). "Elementi di Astronomia e Astrofisica per il Corso di Ingegneria Aerospaziale V settimana". IdealStars.com. สืบค้นเมื่อ 2007-02-12.
- "Stars within 10 light years". SolStation. สืบค้นเมื่อ 2007-04-02.
- "Tau Ceti". SolStation. สืบค้นเมื่อ 2007-04-02.
- "HUBBLE ZEROES IN ON NEAREST KNOWN EXOPLANET". Hubblesite. 2006. สืบค้นเมื่อ 2008-01-13.
แหล่งข้อมูลอื่น
- "ระบบสุริยะ" 1 กรกฎาคม 2007 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ข้อมูลจากโครงการสำรวจระบบสุริยะขององค์การนาซา (ในภาษาอังกฤษ)
- แบบจำลองระบบสุริยะขององค์การนาซา (ในภาษาอังกฤษ)
- "ระบบสุริยะ" 17 ธันวาคม 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน จากโครงการ NASA/JPL (ในภาษาอังกฤษ)
- รายงานพิเศษ : การประชุมกำหนดนิยาม "ดาวเคราะห์" จากเว็บไซต์สมาคมดาราศาสตร์ไทย
- "ระบบสุริยะ" 23 มีนาคม 2015 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน จากสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
rabbsuriya xngkvs Solar System khuxrabbdawsungprakxbdwydwngxathityaelawtthuxun thiokhcrrxbdwngxathityenuxngcakaerngonmthwng idaek dawekhraah 8 dwngkbdwngcnthrbriwarthikhnphbaelw 279 dwngdawekhraahaekhra 5 dwngkbdwngcnthrbriwarthikhnphbaelw 4 dwng kbwtthukhnadelkxun xiknblanchin sungrwmthung dawekhraahnxy wtthuinaethbikhepxr dawhang saekddaw aelafunrahwangdawekhraahrabbsuriyadwngxathity dawekhraah aeladawekhraahaekhra rayahangimethaxtraswncring xayu4 568 phnlanpithitngfxngthxngthin aekhnnayphran hngs thangchangephuxkmwlkhxngrabb1 0014 mwldwngxathitydawvksthiiklthisudphrxksimakhnkhrungma 4 2441 piaesng aexlfakhnkhrungma 4 37 piaesng rabbdawekhraahiklsudthithrabrabbphrxksimakhnkhrungma 4 2441 piaesng rabbdawekhraahkungaeknexkkhxngdawekhraahnxksudthithrab dawenpcun 30 11 hnwydarasastr 4 5 phnlan km 2 8 phnlan iml rayahangcakaethbikhepxrhnapha 50 hnwydarasastrcanwndawvks1 dwng dwngxathity canwndawekhraahthithrab8 dwng prakasodyshphnthdarasastrsakl dawphuthdawsukrolkdawxngkhardawphvhsbdidawesardawyuernsdawenpcuncanwndawekhraahaekhrathithrab9 dwng odychnthamtithwip sirisxxrksphluotehaemxakhwaxwrmakhimakhiexrisesdnacanwnbriwarthiruckkn657 dwng dawekhraah 206 dwngdawekhraahnxy 451 dwng canwndawekhraahnxythithrab1 199 224 dwngcanwndawhangthithrab4 402 dwngcanwnwtthuklmthirabuid19wngokhcrekiywkbsunyklangdarackrkhwamexiyngkhxngthung60 19 suriywithi rayathangthungsunyklangdarackr27 000 1 000 piaesngkhwamerwokhcr220 km winathi 136 iml winathirayaewlakarokhcr225 250 lanpikhunsmbtiradbthiekiywkhxngdawaekhraehluxng 5 hnwydarasastrDistance to 120 hnwydarasastrrsmithrngklmeninekha 1 3 piaesngbthkhwamnixangxingkhristskrach khristthswrrs khriststwrrs sungepnsarasakhykhxngenuxha odythwipaelwcaaebngyantang khxngrabbsuriya nbcakdwngxathityxxkmadngnikhux dawekhraahchnincanwn 4 dwng aethbdawekhraahnxy dawekhraahkhnadihyrxbnxkcanwn 4 dwng aelaaethbikhepxrsungprakxbdwywtthuthieyncdepnnaaekhng phncakaethbikhepxrxxkipepnekhtaethbcankracay khxbekhtehlioxphxs ekhtaedntamthvsdithisunglmsuriyasinkalnglngenuxngcakmwlsarrahwangdwngdaw aelaphnipcaknnkhuxyankhxngemkhxxrt kraaesphlasmathiihlxxkcakdwngxathity hruxlmsuriya caaephtwipthwrabbsuriya srangophrngkhnadihykhuninssarrahwangdaweriykknwa ehlioxsefiyr sungkhyayxxkipcakicklangkhxngaethbcankracay dawekhraahchnexkthng 8 dwnginrabbsuriya eriyngladbcakikldwngxathitythisudxxkip midngnikhux dawphuth dawsukr olk dawxngkhar dawphvhsbdi dawesar dawyuerns aeladawenpcun nbthungklangpi kh s 2008 wtthukhnadyxmkwadawekhraahcanwn 5 dwng idrbkarcdradbihepndawekhraahaekhra idaek sirisinaethbdawekhraahnxy kbwtthuxik 4 dwngthiokhcrrxbdwngxathityxyuinyanphndawenpcun khux dawphluot sungedimekhythukcdradbiwepndawekhraah ehaemxa makhimakhi aela exris midawekhraah 6 dwngaeladawekhraahaekhra 3 dwngthimidawbriwarokhcrxyurxb eraeriykdawbriwarehlaniwa dwngcnthr tamxyangdwngcnthrkhxngolk nxkcaknidawekhraahchnnxkyngmiwngaehwndawekhraahxyurxbtwxnprakxbdwyessfunaelaxnuphakhkhnadelk sahrbkhawa rabbdawekhraah ichemuxklawthungrabbdawodythwipthimiwtthutang okhcrrxbdawvks khawa rabbsuriya khwrichechphaakbrabbdawekhraahthimiolkepnsmachik aelaimkhwreriykwa rabbsuriyckrwal xyangthieriykkntidpak enuxngcakimekiywkhxngkbkhawa ckrwal tamnythiichinpccubnprawtikarkhnphbaelakarsarwcnbepnewlahlayphnpiinxditkalthimnusychatiimekhyrbrumakxnwamisingthieriykwa rabbsuriya aetedimmnusynnechuxwaolkepnsunyklangckrwalthixyuning midwngdawtang okhcriprxb olkphanipbnthxngfa aemwankdarasastraelankkhnitsastrchawxinediy xarypht snskvt आर यभट aelankprchyachawkrik aexristarkhs krik Ἀristarxos ὁ Samios ekhymiaenwkhidekiywkbkarthidwngxathityepnsunyklangckrwal aelacdladbckrwalesiyihm aetphuthisamarthkhidkhnaebbcalxngthangkhnitsastrephuxphisucnaenwkhidniidsaercepnkhnaerkkhux niokhelas okhepxrnikhs inkhriststwrrsthi 17 miphusubthxdaenwthangkarsuksakhxngekhatxma khux kalielox kalielxi oyhnenis ekhphephlxr aelaixaeskh niwtn phwkekhaphyayamthakhwamekhaicrabbthangfisiksaelaesaahahlkthankarphisucnyunynwa olkekhluxniprxb dwngxathity aeladawekhraahthnghlaytangkdaeninipphayitkdthangfisiksaebbediywknni inyukhhlngtxmacungerimmikarsubswnkhnhapraktkarnthangphumithrnitang echn ethuxkekha aexnghin praktkarnsphaphxakasthiaeprepliyntamvdukal karsuksaekiywkbemkh phayuthray aelayxdekhanaaekhngbndawekhraahdwngxun karsarwcyukhaerk klxngothrthrrsncalxngcakchudthiixaesk niwtnich karsarwcrabbsuriyainyukhaerkdaeninipidodyxasyklxngothrthrrsn ephuxchwynkdarasastrcdthaaephnphaphthxngfaaesdngtaaehnngkhxngwtthuthicangekinkwacamxngehniddwytaepla kalielox kalielxi khuxphuaerkthikhnphbraylaexiydthangkayphaphkhxngwtthuinrabbsuriya ekhakhnphbwaphiwdwngcnthrnnkhrukhra swndwngxathitykmicuddangda aeladawphvhsbdimidawbriwarsidwngokhcriprxb khristiyan ehyekhins ecriyrxytamkalieloxodykhnphb dawiththn dwngcnthrkhxngdawesar rwmthungwngaehwnkhxngdawesardwy inewlatxma cioxwnni odemniok kssini khnphbdwngcnthrkhxngdawesarephimxik 4 dwng chxngwanginwngaehwnkhxngdawesar rwmthungcudaedngihybndawphvhsbdi pi kh s 1705 exdmnd hlely khnphbwadawhanghlaydwnginbnthukprawtisastrthicringepndwngedimklbmapraktsa thuxepnkarphbhlkthanchinaerksahrbkarokhcrrxbdwngxathitykhxngwtthuxunnxkehnuxcakdawekhraah inchwngrayaewlaediywknnicungerimmikarichkhawa rabbsuriya khunepnkhrngaerk kh s 1781 wileliym ehxrechl khnphbdawekhraahdwngihmkhux dawyuerns odythiintxnaerkekhakhidwaepndawhang txmainpi kh s 1801 cuespep pixssi khnphbwtthuokhcrxyurahwangdawxngkharkbdawphvhsbdi intxnaerkekhakhidwaepndawekhraah aettxmacungmikarkhnphbwtthukhnadelknbepnphndwnginyanxwkasnn sunginewlatxmacungeriykwtthuehlannwa dawekhraahnxy imxacrabuidaenchdwa rabbsuriyathuk khnphb emuxidknaen aetkarsngektkarninchwngkhriststwrrsthi 19 samraykarsamarthbrryaylksnaaelataaehnngkhxngrabbsuriyainexkphphidxyangimmikhxsngsy raykaraerkekidkhuninpi kh s 1838 emuxfriddrikh ebsesl samarthwdpharlaelkskhxngdawid ekhaphbwataaehnngpraktkhxngdawepliynaeplngiptamkarekhluxnthikhxngolkthiokhcriprxbdwngxathity niimephiyngepnkhxphisucnthangtrngtxaenwkhiddwngxathityepnsunyklangckrwal aetyngidepidephyihthrabthungrayathangmhasalrahwangrabbsuriyakhxngerakbdwngdawxunepnkhrngaerk txmainpi kh s 1859 orebirt bunesn aela kustaf ekhxrchxff idichsepkotrsokhpthipradisthkhunihmtrwcwdcakdwngxathity aelaphbwamnprakxbdwythatuchnidediywknkbthimixyubnolk nbepnkhrngaerkthiphbkhxmulthangkayphaphthiekiywoyngknrahwangolkkbswrrkh hlngcaknn bathhlwngaexngecol eskhkhi epriybethiybraylaexiydsepktrmkhxngdwngxathitykbdawvksdwngxun aelaphbwamnehmuxnknthukprakar khxethccringthiphbwadwngxathitykepndawvksdwnghnungnaipsukhxsmmutithanwadawvksdwngxunkxacmirabbdawekhraahkhxngmnexngechnkn aemwakwacakhnphbhlkthansahrbkhxsmmutithannicatxngichewlatxmaxikkwa 140 pi kh s 1992 mikarkhnphbhlkthanaerkthisxthungrabbdawekhraahaehngxunnxkehnuxcakrabbkhxngera okhcrxyurxbdawphlsar phiexsxar bi1257 12 sampitxmacungphbdawekhraahnxkrabbdwngaerkkhux 51 ephkasi bi okhcrrxbdawvkslksnakhlaydwngxathity trabcnthungpi kh s 2008 mikarkhnphbrabbdawekhraahxunaelwkwa 221 rabb karsarwcdwyyanxwkas phaphwadyaniphoxeniyr 10 khnaphanwngokhcrkhxngdawphluotemuxpi 1983 idrbsyyankhrngsudthayemuxmkrakhm 2003 sngmacakraya 82 AU yukhkhxngkarsarwcxwkasdwyyanxwkaserimtnkhunnbaetshphaphosewiyt pccubnkhuxpraethsrsesiy sngdawethiymsputnik 1 khunsuwngokhcrrxbolkemuxpi kh s 1957 odyidokhcrxyuepnewla 1 pi txmayan khxngshrthxemrika khunsuwngokhcrinpi 1959 aelasamarththayphapholkcakxwkasidepnkhrngaerk yansarwclaaerkthiedinthangipthungwtthuxuninrabbsuriya khuxyanluna 1 sungedinthangphandwngcnthrinpi kh s 1959 intxnaerktngicknwacaihmntklngbndwngcnthr aetyanphladepahmayaelwcungklayepnyanthisrangodymnusylaaerkthiidokhcrrxbdwngxathity yan epnyanxwkaslaaerkthiedinthangipthungdawekhraahxuninrabbsuriya khuxipeyuxndawsukrinpi kh s 1962 txmayan idipthungdawxngkharinpi kh s 1965 aelamarienxr 10 ipthungdawphuthinpi kh s 1974 yanxwkaslaaerkthilngcxdbnwtthuxuninrabbsuriyaidkhuxyanluna 2 khxngshphaphosewiyt sunglngcxdbndwngcnthridinpi kh s 1959 hlngcaknnkmiyanlngcxdbndawxunidmakkhuneruxy yanewenra 3 lngcxdbnphunphiwdawsukrinpi 1966 yanmars 3 lngthungphundawxngkharinpi 1971 aetkarlngcxdthisaerccring khuxyaniwking 1 inpi 1976 yaneniyrchuemkekxripthungdawekhraahnxy 433 xirxs inpi 2001 aelayandipximaephktipthungdawhangethmephl 1 inpi 2005 yansarwclaaerkthiipthungrabbsuriyachnnxkkhuxyaniphoxeniyr 10 thiedinthangphandawphvhsbdiinpi kh s 1973 txmainpi kh s 1977 yansarwcxwkasinokhrngkarwxyexcecxrcungiderimtnkaredinthangkhrngihy odyedinthangphandawphvhsbdiinpi 1979 phandawesarinpi 1980 1981 yanwxyexcecxr 2 idekhaikldawyuernsinpi 1986 aelaekhaikldawenpcuninpi 1989 pccubnni yansarwcwxyexcecxrthng 2 laidedinthangxxkphnwngokhcrkhxngdawenpcunipiklaelw aelamungipbnesnthangephuxkhnhaaelasuksakaaephngkraaethk ehlioxchith aelaehlioxphxs khxmullasudcakxngkhkarnasaaecngwa yanwxyexcecxrthng 2 laidedinthangphankaaephngkraaethkipaelwthirayahangpraman 93 hnwydarasastrcakdwngxathity wnthi 19 mkrakhm 2006 nasasngyansarwcaebbbinphan niwhxirsns khunsuxwkas sungepnyansarwcxwkasaebbirkhnkhblaaerkthicaedinthangipsarwcaethbikhepxr yanmikahndbinphandawphluotineduxnkrkdakhm 2015 caknncaedinthangekhasuaethbikhepxrephuxsarwcwtthuinphunthinntxipkaenidaelawiwthnakarphaphthayaephncandawekhraahkxnekidinenbiwlanayphran cakklxnghbebil aesdngihehn aehlngxphibaldawvks thikwang 1 piaesng milksnakhlaykhlungkbenbiwlainyukhobransungfumfkdwngxathitykhxngeraihthuxkaenidkhun rabbsuriyathuxkaenidkhuncakkaraetkslaydwyaerngonmthwngphayinkhxngemkhomelkulkhnadyksemuxkwa 4 600 lanpimaaelw emkhtnkaenidnimikhwamkwanghlaypiaesng aelaxacepntnkaenidkhxngdawvksxunxikcanwnmak emuxyanenbiwlakxnsuriya sungnacaepncudkaenidkhxngrabbsuriyaekidaetkslaylng omemntmechingmumthimixyuthaihmnhmuntwiperwyingkhun thiicklangkhxngyansungepnsunyrwmmwlxnhnaaennmixunhphumiephimsungmakkhunkwaaephncanthihmunxyurxb khnathienbiwlanihdtwlng mnkerimmithrngaebnyingkhunaelakhxy mwntwcnklayepncandawekhraahkxnekid thimiesnphansunyklangraw 200 AU phrxmkbmidawvkskxnekidthihnaaennaelarxncdxyu n icklang emuxkarwiwthnakardaeninmathungcudni echuxwadwngxathityidmisphaphepndawvkschnid T Tauri phlcakkarsuksadawvkschnid T Tauri phbwamnmkmiaephncankhxngmwlsardawekhraahkxnekidthimimwlpraman 0 001 0 1 ethakhxngmwldwngxathity kbmwlkhxngenbiwlaintwdawvksexngxikepnswnihycanwnmhasal dawekhraahkxtwkhuncakaephncanrwmmwlehlani phayinchwngewla 50 lanpi khwamdnaelakhwamhnaaennkhxngihodrecnthiicklangkhxngdawvkskxnekidkmimakphxcathaihekidptikiriyakarhlxmniwekhliyskhunid thngxunhphumi xtrakarekidptikiriya khwamdn tlxdcnkhwamhnaaenntangephimkhuneruxy cnkrathngthungsphawasmdulxuthksthit odymiphlngngankhwamrxnthimakphxcatanthankbkarhdtwkhxngaerngonmthwngid n cudnidwngxathitycungidwiwthnakarekhasuaethbladbhlkxyangsmburn phaphwadodysilpinaesdngihehnwiwthnakarkhxngdwngxathity say dwngxathitykhxngerainpccubnsungxyuinaethbladbhlk klang dawyksaedng khwa dawaekhrakhaw rabbsuriyacadarngsphaphxyangthieraruckkninpccubnniiptrabcnkrathng dwngxathityidwiwthnakarcnxxkphncakaethbladbhlkbnidxaaekrmkhxngehirtsprng rsesll emuxdwngxathityephaphlayechuxephlingihodrecnphayiniperuxy phlngnganthikhxykhacunaeknklangkhxngdawxyukcaldnxythxylng thaihmnhdtwaelaaetkslaylngip karhdtwcathaihaerngdnkhwamrxninaeknklangephimmakkhun aelathaihmnyingephaphlayechuxephlingerwkhun phlthiekidkhuxdwngxathitycasxngswangmakyingkhunodymixtraephimkhunpraman 10 inthuk 1 100 lanpi inxikpraman 5 400 lanpikhanghna ihodrecninaeknklangkhxngdwngxathitycaepliynipepnhieliymthnghmd sungepnxncbkrabwnkarwiwthnakarbnaethbladbhlk inewlann chnphiwrxbnxkkhxngdwngxathitycakhyayihykhunpraman 260 ethakhxngkhnadesnphansunyklanginpccubn dwngxathitycaklayepndawyksaedng karthiphunphiwkhxngdwngxathitykhyaytwkhunxyangmhasal thaihxunhphumithiphunphiwkhxngmneynlngyingkwathiekhyepnemuxxyubnaethbladbhlk taaehnngeynthisudkhux 2600 K singthiekidkhuntammakkhux chnphiwnxkkhxngdwngxathitycaaetkslay klayipepndawaekhrakhaw khuxwtthuthimikhwamhnaaennxyangyingywd mwlpramankhrunghnungkhxngmwldngedimkhxngdwngxathitycaxdaennxyuinphunthikhxngwtthukhnadpramanethakbolk karaetkslaykhxngchnphiwrxbnxkkhxngdwngxathitycathaihekidpraktkarnthieriykwa enbiwladawekhraah sungepnkarsngkhunssartang xnprakxbkhunepndwngxathityklbkhunihaekssarrahwangdawokhrngsrangaelaxngkhprakxbkhnadwngokhcrkhxngwtthutang inrabbsuriya cakelkipihy erimcakdansaybnwntamekhmnalika xngkhprakxbhlkthisakhykhxngrabbsuriyakhux dwngxathity dawvksinaethbladbhlkpraephth G2 sungmimwlkhidepn 99 86 khxngmwlrwmthngrabbethathiepnthiruck aelaepnaehlngaerngonmthwnghlkkhxngrabb odymidawphvhsbdiaeladawesar sungepnwtthuinwngokhcrihythisudsxngdwngkhrxbkhrxngmwlxik 90 khxngmwlswnthiehlux wtthuihy inwngokhcrrxbdwngxathitycaekhluxnthixyubnranabiklekhiyngkbranabokhcrkhxngolk thieriykwa ranabsuriywithi dawekhraahthnghmdcaekhluxnthiiklekhiyngkbranabni khnathidawhangaelawtthuinaethbikhepxrmkekhluxnthithamumkbranabkhxnkhangmak dawekhraahthnghmdaelawtthuswnihyinrabbyngokhcripinthisthangediywkbkarhmunrxbtwexngkhxngdwngxathity thwnekhmnalika emuxmxngcakmummxngdankhwehnuxkhxngdwngxathity miephiyngbangswnthiepnkhxykewnimepniptamni echn dawhanghlely epntn tamkdkarekhluxnthikhxngdawekhraahkhxngekhphephlxr xthibaythunglksnakarokhcrkhxngwtthutang rxbdwngxathity klawkhux wtthuaetlachincaekhluxnthiiptamaenwranabrxbdwngxathityodymicudofkshnungcud wtthuthixyuikldwngxathitymakkwa mikhakungaeknexknxykwa caichewlaokhcrnxykwa bnranabsuriywithihnung rayahangkhxngwtthukbdwngxathitycaaeprphniptamesnthangbnthangokhcrkhxngmn cudthiwtthuxyuikldwngxathitythisuderiykwa cudikldwngxathitythisud perihelion khnathitaaehnngsungmnxyuhangcakdwngxathitythisud eriykwa cudikldwngxathitythisud aphelion wtthucaekhluxnthiidkhwamerwsungthisudemuxxyuintaaehnngikldwngxathitythisud aelaekhluxnthidwykhwamerwtasudemuxxyuintaaehnngikldwngxathitythisud lksnakhxngwngokhcrkhxngdawekhraahmiruprangekuxbcaepnwngklm khnathidawhang dawekhraahnxy aelawtthuinaethbikhepxr miwngokhcrkhxnkhangcaepnwngri emuxsuksathungrayahangrahwangdawekhraahinthiwangmhasalkhxngrabb eraphbwa yingdawekhraahhruxaethbtang xyuiklcakdwngxathityethair mnkcayingxyuhangcakwtthuxuniklekhiyngmakethann twxyangechn dawsukrmirayahangcakdawphuthpraman 0 33 hnwydarasastr swndawesarxyuhangcakdawphvhsbdiip 4 3 hnwydarasastr aeladawenpcunxyuhangcakdawyuernsxxkipthung 10 5 hnwydarasastr ekhymikhwamphyayamsuksaaelaxthibaythungrayahangrahwangwngokhcrkhxngdawtang duraylaexiydin kdkhxngthithsixus obedx aetcnthungpccubnyngimmithvsdiidepnthiyxmrb dawekhraahswnmakinrabbsuriyacamirabbelk khxngtwexngdwy odycamiwtthukhlaydawekhraahkhnadelkokhcriprxbtwexngepndawbriwar hruxdwngcnthr dwngcnthrbangdwngmikhnadihykwadawekhraahesiyxik dawbriwarkhnadihyehlanicamiwngokhcrthisxdkhlxngknepnswnihy khuxcahnhnadanhnungkhxngdawekhahadawekhraahdwngaemkhxngmnesmx dawekhraahihythisudinrabbsuriya 4 dwngyngmiwngaehwndawekhraahxyurxbtwdwy epnaethbbang thiprakxbdwyesschinswnelk okhcriprxb xyangepnxnhnungxnediywkn khacakdkhwam yantang inrabbsuriya rabbsuriyasamarthaebngxxkepnyantang idaebbimepnthangkar rabbsuriyaswninprakxbdwydawekhraah 4 dwngkbaethbdawekhraahnxy rabbsuriyaswnnxkkhuxswnthixyuphnaethbdawekhraahnxyxxkip prakxbdwydawaeksyks 4 dwng txmaemuxmikarkhnphbaethbikhepxr cungcdepnyaniklthisudkhxngrabbsuriya eriykrwm waepnwtthuphndawenpcun emuxphicarnacakthngaengkayphaphaelakarekhluxnthi wtthuthiokhcrrxbdwngxathitysamarthaebngxxkidepnsampraephthkhux dawekhraah dawekhraahaekhra aela wtthukhnadelkinrabbsuriya dawekhraahimwacamikhnadidktamthiokhcrrxbdwngxathity camimwlmakphxcasrangtwexngihmiruprangepnsnthanklm aelakhbilchinswnelk thixyurxbtwexngihxxkipihphnraya cakkhacakdkhwamni dawekhraahinrabbsuriyacungmi 8 dwng idaek dawphuth dawsukr olk dawxngkhar dawphvhsbdi dawesar dawyuerns aeladawenpcun swndawphluotthukpldxxkcaktaaehnngdawekhraahenuxngcakmnimsamarthkhbilwtthuelk xun inbriewnaethbikhepxrxxkipphnwngokhcrkhxngmnid dawekhraahaekhra khuxwtthuthxngfathiokhcrrxbdwngxathityaelamimwlmakphxcathaihtwexngmisnthanklmenuxngcakaerngonmthwng aetimsamarthkhcdchinswnkxnekiddawekhraahxxkip thngimsamarthepndawbriwar cakkhacakdkhwamni rabbsuriyacungmidawekhraahaekhrathiruckaelw 5 dwngkhux siris phluot ehaemxa makhimakhi aela exris wtthuxun thixacsamarthcdpraephthepndawekhraahaekhraid idaek esdna xxrks aelakhwaxwr dawekhraahaekhrathiokhcrxyuinyanphndawenpcuneriykchuxrwm wa phlutxyd nxkehnuxcakni wtthukhnadelkxun thiokhcriprxbdwngxathitycdwaepnwtthukhnadelkinrabbsuriya nkwithyasastrdawekhraahichkhasphth aeks naaekhng aela hin ephuxxthibaythungpraephthxngkhprakxbssartang thiphbtlxdthwrabbsuriya hin caichinkarxthibayxngkhprakxbthimicudhlxmehlwsung sungkwa 500 ekhlwin echnphwk siliekt xngkhprakxbhinmkphbidmakinklumrabbsuriyachnin epnswnprakxbhlkkhxngdawekhraahaeladawekhraahnxy aeks epnssarthimicudhlxmehlwta echnxatxmihodrecn hieliym aelaaeksmiskul mkphbinyankungklangrabbsuriya epnswnprakxbswnihykhxngdawphvhsbdiaeladawesar naaekhng sungprakxbdwyna miethn aexmomeniy aelakharbxnidxxkisd micudhlxmehlwephiyngimkirxyekhlwin epnxngkhprakxbswnihyxyuindawbriwarkhxngbrrdadawaeksyks rwmthungepnxngkhprakxbxyuindawyuernsaeladawenpcun bangkhrngeriykdawthngsxngniwa dawnaaekhngyks aelainwtthukhnadelkcanwnmakthixyuphncakwngokhcrdawenpcunxxkipdwngxathityphaphthaydwngxathityinrngsiexks dwngxathity khuxdawvksdwngaemthiepnhwickhxngrabbsuriya mikhnadpraman 332 830 ethakhxngmwlkhxngolk dwyprimanmwlthimixyumhasalthaihdwngxathitymikhwamhnaaennphayinthisungmakphxcathaihekidptikiriyakarhlxmniwekhliysxyangtxenuxng aelapldplxyphlngnganmhasalxxkma odymakepnphlngnganthiaephxxkipinlksnakhxngkhlunaemehlkiffa echn aesng dwngxathitycdwaepndawaekhraehluxngkhnadihypanklang thwaemuxepriybethiybkbdawvksxun thixyuindarackrkhxngera thuxidwadwngxathitymikhnadihyaelaswangmak karcdpraephthkhxngdawvksniepniptamidxaaekrmkhxngehirtsprng rsesll sungepnaephnphumikhxngkrafrahwangkhwamswangkhxngdawvksethiybkbxunhphumiphunphiw odythwipdawvksthimixunhphumisungkwamkcaswangkwa sungdawvksid thimikhunsmbtiepnipdngthiwamanikcaeriykwaepndawvksthixyuinaethbladbhlk dwngxathitykhxngerakxyubnaethbladbhlkodyxyuinchwngkungklangthangdankhwa aetmidawvkscanwnimmaknkthicaswangkwaaelamixunhphumisungkwadwngxathitykhxngera swnmakcaxxnaesngkwaaelamixunhphumitakwathngnn echuxwataaehnngkhxngdwngxathitybnaethbladbhlknncdidwaxyuin chwngrungorcnkhxngyukh khxngxayudawvks mnyngmiihodrecnmakephiyngphxthicasrangptikiriyakarhlxmniwekhliysipxiknan dwngxathitykalngephimphunkhwamswangmakkhun inxditdwngxathityekhymikhwamswangephiyngaekh 70 khxngkhwamswangxyangthiepnxyuinpccubn dwngxathitycdepndawvkschniddarakr 1 thuxkaenidkhuninchwngplay khxngwiwthnakarkhxngexkphph mixngkhprakxbthatuhnkthihnkkwaihodrecnaelahieliym inphasadarasastrcaeriykwa olha makkwadawvkschniddarakr 2 sungmixayumakkwa thatuhnkehlanikxkaenidkhuncakaeknklangkhxngdawvksobranthiraebidxxk dngnndawvksinyukhaerkerimcungtxngaetkdbipesiykxncungcathaihexkphphetmipdwyxatxmthatuehlaniid dawvksthimixayuekaaekmak caimkhxymixngkhprakxbolhamaknk khnathidawvksthiekidinyukhhlngcamiolhamakkwa snnisthanwa karmixngkhprakxbolhacanwnmakninacaepnsaehtusakhythithaihdwngxathitysamarthsrangrabbdawekhraahkhxngtwexngkhunmaid ephraadawekhraahkxtwkhunmacakkarrwmtwknkhxngthatuhnkehlann ssarrahwangdawekhraah phaphcalxngokhrngsrang aephnkraaesehlioxsefiyr nxkehnuxcakaesng dwngxathityyngaephrngsithiprakxbdwykraaeskhxngpracuxnuphakhcanwnmaktxenuxngkn epnphlasmachnidhnungthiruckkninchux lmsuriya kraaespracuniaephxxkipdwykhwamerwpraman 1 5 lankiolemtrtxchwomng thaihekidchnbrryakasbang khun eriykwa ehlioxsefiyr thiaephpkkhlumthwrabbsuriyaxxkipepnrayathangxyangnxy 100 hnwydarasastr duephimthi ehlioxphxs thnghmdniepnsingthieriykknwa ssarrahwangdawekhraah phayuaemehlkiffathiekidkhunbnphunphiwdwngxathityechn oslaraeflr hruxlaxnuphakhokhorna cathaihekidkarrbkwntxehlioxsefiyr aelasrangsphawathieriykwa space weather khun snamaemehlkkhxngdwngxathitythihmunwnipsrangphlkrathbtxssarrahwangdawekhraah thaihekidaephnkraaesehlioxsefiyr heliospheric current sheet khun sungthuxepnokhrngsrangthiihythisudinrabbsuriya snamaemehlkkhxngolkchwypxngknchnbrryakasexaiwmiihekidptikiriyakblmsuriya khnathidawsukrkbdawxngkharimmisnamaemehlk lmsuriyacungsamarthkhbilchnbrryakaskhxngdawthngsxngxxksuxwkasipthilanxyid karpatharahwanglmsuriyakbsnamaemehlkkhxngolkthaihekidpraktkarnxxorra hruxaesngehnux aesngit thiphbehnbriewniklkhwolk rngsikhxsmik mikaenidmacakhwngxwkasxunnxkrabbsuriya ehlioxsefiyrthahnathipkpxngrabbsuriyaexaiwswnhnung odysnamaemehlkkhxngdawekhraah sahrbdwngthimi kchwythahnathipxngknrngsidwyxikswnhnung khwamhnaaennkhxngrngsikhxsmikinssarrahwangdawkbkhwamekhmkhxngsnamaemehlkkhxngdwngxathitycaepliynaeplngipemuxewlaphanipnan dngnnradbkhxngkaraephrngsikhxsmikinrabbsuriyacungimaenimnxn aetcamixyuepnprimanethaidimxacrabuid ssarrahwangdawekhraahepnaehlngkaenidkhxngyanaephncanfunkhxsmikxyangnxy 2 aehng aehngaerkkhuxemkhfunckrrasi sungxyuinrabbsuriyachninaelaepntnehtukarekidaesngckrrasi odymakepnesschinswninaethbdawekhraahnxythiekidkhuncakkarpathakbdawekhraah aephncanfunaehngthisxngaephkhrxbkhlumphunthitngaetraya 10 hnwycnthung 40 hnwydarasastr sungnacaekidkhuncakkarpathainlksnaediywkninaethbikhepxrrabbsuriyachninrabbsuriyachnin epnchuxdngedimkhxngyanxwkasthiprakxbdwyklumdawekhraahiklolkaelaaethbdawekhraahnxy miswnprakxbhlkepnsiliektkbolha wtthuthxngfainrabbsuriyachnincaekaaklumxyudwyknaelaiklkbdwngxathitymak rsmikhxngyanrabbsuriyachninniyngsnkwarayahangcakdawphvhsbdiipdawesaresiyxik dawekhraahchnin phaphepriybethiybkhnadkhxngdawekhraahiklolk sdswnepriybethiybepniptamkhnadcring dawekhraahchninhruxdawekhraahiklolk mi 4 dwng odymakprakxbdwyswnprakxbhin mikhwamhnaaennsung midwngcnthrnxyhruxxacimmiely aelaimmirabbwngaehwnrxbtwexng ssarthiepnxngkhprakxbmkepnaerthatuthimicudhlxmehlwsung echnsiliektthichnepluxkaelaphiw hruxolha ehlk niekil thiepnaeknklangkhxngdaw saminsikhxngdawekhraahklumni dawsukr olk aeladawxngkhar michnbrryakasthiehnidchd phunphiwmirxngrxykhxnghlumbxthiekidcakkarpathaodychinswncakxwkas aelamikhwamepliynaeplngthangthrniwithyathiphunphiwdwyechn karaeyktwkhxngrxnghubekhaaelaphuekhaif dawphuth dawphuth 0 4 AU khuxdawekhraahthixyuikldwngxathitymakthisud aelaepndawekhraahthimikhnadelkthisud 0 055 ethakhxngmwlolk dawphuthimmidawbriwarkhxngtwexng sphaphphunphiwthiminxkehnuxcakhlumbxcakkarpatha kcaepnsnekhasungchn sungxaccaekidkhuninchwngyukhkarkxtwinchwngerimaerkkhxngprawtisastr chnbrryakaskhxngdawphuthebabangmakcnaethbcaeriykidwaimmibrryakas prakxbdwyxatxmthithuklmsuriyaphdphakhbilipcnekuxbhmd aeknklangkhxngdawepnehlkthimikhnadkhxnkhangihymak txmaepnchnepluxkbang thiyngimsamarthxthibayidxyangchdecn thvsdiekiywkbchnepluxkkhxngdawcanwnhnungxthibaythungchnphiwrxbnxkthithukchikxxkdwykarpathakhrngihy bangkwamnthukkidkncakkarphxkrwmkhxngchnphiwenuxngcakphlngnganmhasalkhxngdwngxathityxneyawdawsukr dawsukr 0 7 AU mikhnadiklekhiyngkbolk 0 815 ethakhxngmwlolk aelamilksnakhlayolkmak michnepluxksiliektxyanghnapkkhlumrxbaeknklangkhxngdawsungepnehlk michnbrryakas aelamihlkthanaesdngthungkhwamepliynaeplngthangthrniwithyaphayinkhxngdaw thwadawsukraehngaelngkwaolkmak chnbrryakaskhxngmnkhnaaennkwaolkthungkwa 90 etha dawsukrimmidawbriwarkhxngtwexng klawidwa dawsukrepndawekhraahthirxnthisud dwyxunhphumiphunphiwsungthungkwa 400 C sungepnphlcakprimanaekseruxnkrackthimixyuepncanwnmakinchnbrryakas inpccubnimmikartrwcphbkarepliynaeplngthangthrniwithyaihm bndawsukrxikaelw aetdawsukrimmisnamaemehlkkhxngtwexngthicachwypxngknkarsuyesiychnbrryakas dngnnkarthidawsukryngrksachnbrryakaskhxngtwexngiwidcungkhadwanacaekidcakkarraebidkhxngphuekhaifolk olk 1 0 AU epndawekhraahthikhxnkhangihyaelamikhwamhnaaennmakthisudinklumdawekhraahchnin epndawekhraahephiyngdwngediywthiphbwayngmipraktkarnthangthrniwithyaxyu aelaepndawekhraahephiyngdwngediywethathithrabwamisingmichiwit olkepndawekhraahthiminamak epnexklksnthiaetktangcakklumdawekhraahiklolkthnghmd aelayngepndawekhraahephiyngdwngediywthiyngmikarepliynaeplngkhxngepluxkolkxyu chnbrryakaskhxngolkkhxnkhangcaaetktangkbdawekhraahdwngxun enuxngcakkarthimisingmichiwitxasyxyu inbrryakascungmixxksiecnxisraxyuthung 21 olkmidawekhraahbriwarhnungdwng khux dwngcnthr sungepndawekhraahbriwarkhnadihyephiyngdwngediywinekhtrabbsuriyachnindawxngkhar dawxngkhar 1 5 AU mikhnadelkkwaolkaeladawsukr 0 107 ethakhxngmwlolk michnbrryakasecuxcangthietmipdwykharbxnidxxkisd phunphiwkhxngdawxngkharraekarakadwyphuekhaifcanwnmak echn phuekhaifoxlimps aelahubekhalukchnmakmayechn Valles Marineris aesdngihehnthungkarepliynaeplngthangthrniwithyathiekhyekidkhunkxnhnani sikhxngdawxngkharthieraehnepnsiaedng epnephraasnimthimixyuinphundinxnetmipdwyehlk dawxngkharmidwngcnthrbriwarkhnadelksxngdwng khux idmxs kb ofbxs sungkhadwanacaepndawekhraahnxythibngexiythukaerngdungdudkhxngdawxngkharcbtwexaiwaethbdawekhraahnxy aephnphaphaethbdawekhraahnxyhlkkbdawekhraahnxytrakulthrxy dawekhraahnxy khuxwtthukhnadelkinrabbsuriyathiprakxbdwyhinaelathatuolhathiimraehy aethbdawekhraahnxyhlkkinphunthiwngokhcrthixyurahwangdawxngkharkbdawphvhsbdi praman 2 3 thung 3 3 hnwydarasastrcakdwngxathity echuxknwanacaepnesschinswncakkarkxtwkhxngrabbsuriyainchwngaerkthikxtwimsaerc enuxngcakaerngonmthwngrbkwncakdawphvhsbdi dawekhraahnxymikhnadtang kntngaethlayrxykiolemtripcnthungesshinelk ehmuxnfun dawekhraahnxythnghmdnxkehnuxcakdawekhraahnxykhnadihythisud khuxsiris cdwaepnwtthukhnadelkinrabbsuriya aetdawekhraahnxybangdwngechn ewsta aela iheciy xaccdwaepndawekhraahaekhraid thamihlkthanwamnmikhwamsmdulkhxngkhwamkdkhxngnamakephiyngphx aethbdawekhraahnxyprakxbdwywtthukhnadesnphansunyklangihykwa 1 kiolemtrepncanwnhlayhmundwng hruxxaccathunglandwng thungkrann mwlrwmthnghmdkhxngaethbhlkkyngmiephiyngpramanhnunginphnkhxngmwlolkethann aethbhlkmiprachakrxyuxyangkhxnkhangebabang yanxwkashlaylaidedinthangphanaethbniipidodyimmixubtiehtuekidkhunely dawekhraahnxythimikhnadesnphansunyklangrahwang 10 thung 10 4 emtr caeriykwa saekddaw siris siris 2 77 AU epnwtthukhnadihythisudinaethbdawekhraahnxy aelaidrbkarcdpraephthihepndawekhraahaekhra mikhnadesnphansunyklangpramanekuxb 1 000 kiolemtr sungihyphxcasrangaerngonmthwngkhxngtwexngephuxsrangrupthrngihepnthrngklmid intxnthikhnphbkhrngaerkinkhriststwrrsthi 19 siristhukekhaicwaepndawekhraah aettxmaidrbkarcdpraephthihmihepndawekhraahnxyinchwngkhristthswrrs 1850 emuxkarsngektkarnephimetimphbdawekhraahnxydwngxun xik khrnthungpi kh s 2006 cungidrbkarcdpraephthihmihepndawekhraahaekhratrakuldawekhraahnxy dawekhraahnxyinaethbhlkcaaebngxxkepnklumaelatrakultang odyphicarnacakkhunlksnakarokhcrkhxngphwkmn dwngcnthrdawekhraahnxy khuxdawekhraahnxythiokhcrrxbdawekhraahnxydwngxunthiihykwa mnimidthukcdpraephthihepndwngcnthrbriwarkhxngdawekhraah ephraabangkhrngmnmikhnadihyekuxbethadawekhraahnxydwngaemkhxngmndwysa inbriewnaethbdawekhraahnxyyngmidawhanginaethbhlksungxacepntnkaenidkhxngnamhasalbnolkkiddawekhraahnxyothrcntngxyuiklekhiyngkb L4 hrux L5 khxngdawphvhsbdi khuxyanthiaerngonmthwngkhxnkhangesthiyr thaihdawekhraahnxyinbriewnnisamarthxyuinwngokhcrid khawa othrcn hrux aehngthrxy niyngichkbwtthukhnadelkinrabbdawekhraahhruxrabbbriwarxunthixyuintaaehnnglakrxngcdwy xyuthirayakarsnphxng 2 3 kbdawphvhsbdi nnhmaythung mncaokhcrrxbdwngxathity 3 rxb txkarokhcrkhxngdawphvhsbdi 2 rxbrabbsuriyachninniynghmayrwmthungwtthuxun echn dawekhraahnxyiklolk sungdawekhraahnxyinklumnicanwnmakmiwngokhcrthitdkbwngokhcrkhxngdawekhraahchnindwyrabbsuriyachnnxkbriewnrxbnxkkhxngrabbsuriyaepnthinthixyukhxngdawaeksyksaelabrrdadawbriwarkhxngmnthimikhnadihyphxcaepndawekhraahid nxkcakniyngmidawhangkhabsn aelaesnthxr thiokhcrxyuinyanniechnkn wtthutnthixyuinyannicamixngkhprakxbkhxngssarthiraehyngay echn na aexmomeniy miethn inthangwithyasastrdawekhraahcaeriykwaepn naaekhng imkhxymiswnprakxbkhxngssarpraephthhinehmuxnxyangwtthuthxngfainrabbsuriyachnin dawekhraahchnnxk phaphdawekhraahchnnxkthng 4 dwng cakbnlnglang dawenpcun dawyuerns dawesar aeladawphvhsbdi imichsdswncring dawekhraahchnnxk 4 dwng hruxdawaeksyks bangkhrngeriykwa dawekhraahocewiyn mimwlrwmknthungkwa 99 khxngmwlsarthnghmdthiokhcrrxbdwngxathity dawphvhsbdikbdawesarmixngkhprakxbetmipdwyihodrecnaelahieliym dawyuernskbdawenpcunmixngkhprakxbswnihyepnnaaekhng nkdarasastrcanwnhnungehnwadawsxngdwnghlngnikhwrcdepnpraephthechphaakhxngmnexng khux dawnaaekhngyks dawaeksyksthngsimiwngaehwnxyurxbtw aememuxmxngcakolkcaehnidchdaetephiyngwngaehwnkhxngdawesarethann dawphvhsbdi dawphvhsbdi 5 2 AU mimwlpraman 318 ethakhxngmwlolk nbepnmwlmhasalthung 2 5 ethakhxngmwlrwmthnghmdkhxngdawekhraahthiehluxrwmkn prakxbdwykasihodrecnaelahieliymcanwnmak khwamrxnthisungmakphayinkhxngdawthaihekidkhunlksnaaebbkungthawrhlayprakarinsphaphbrryakaskhxngdaw echnaethbemkh aelacudaedngihy dawphvhsbdimidwngcnthrbriwarthiruckaelwthngsin 67 dwng dwngthiihythisud 4 dwngkhux aeknimid khllisot ixox aelayuorpa milksnakhlaykhlungkblksnakhxngdawekhraahiklolk echnmiphuekhaif aelamikrabwnkarkhwamrxnphayinkhxngdaw dwngcnthraeknimidepndawbriwarthiihythisudinrabbsuriya mikhnadihykwadawphuthesiyxikdawesar dawesar 9 5 AU epndawekhraahthioddednenuxngcakrabbwngaehwnkhnadihythiehnidchd lksnakhxngdawrwmthungsphaphbrryakaskhlaykhlungkbdawphvhsbdi aetmimwlnxykwamak odymimwlodypraman 95 ethakhxngmwlolk dawesarmidwngcnthrbriwarthiruckaelw 63 dwng incanwndwngcnthrthnghmdmixyu 2 dwngkhux iththnaelaexneslads aesdngihehnsyyankhxngkarepliynaeplngthangthrniwithya aemwaxngkhprakxbswnihycaepnnaaekhngktam dwngcnthriththnmikhnadihykwadawphuth aelaepndwngcnthrbriwarephiyngdwngediywinrabbsuriyathimichnbrryakas dawyuerns dawyuerns 19 6 AU mikhnadpraman 14 ethakhxngmwlolk epndawekhraahmwlnxythisudinrabbsuriyachnnxk lksnakarokhcrkhxngdawyuernsimehmuxndawekhraahdwngxun mncaokhcrrxbdwngxathityaebbtaaekhngkhang odymikhwamexiyngkhxngaeknmakkwa 90 xngsaemuxethiybkbranabsuriywithi thaihduehmuxndawyuernsklingipbnthangokhcr aeknklangkhxngdawkhxnkhangeynkwadawaeksyksdwngxun aelaaephkhwamrxnxxkmasuxwkasphaynxkephiyngnxynid dawyuernsmidwngcnthrbriwarthiruckaelw 27 dwng klumkhxngdwngcnthrkhnadihyidaek aeladawenpcun dawenpcun 30 AU aemcamikhnadelkkwadawyuerns aetmimwlmakkwa khuxpraman 17 ethakhxngmwlolk dngnnmncungepndawthimikhwamhnaaennmak dawenpcunaephrngsikhwamrxncakaeknklangxxkmamak aetkyngnxykwadawphvhsbdihruxdawesar enpcunmidwngcnthrbriwarthiruckaelw 13 dwng dwngthiihythisudkhux ithrthn misphaphkarepliynaeplngthangthrniwithyaxyu echnminaphurxn aelaepndawbriwarkhnadihyephiyngdwngediywthimiwngokhcryxnthxyhlng dawenpcunyngsngdawekhraahelk canwnhnunghrux ekhaipinwngokhcrkhxngdwngcnthrithrthndwy odymikarsnphxngkhxngwngokhcraebb 1 1 kbdwngcnthrdawhang dawhangehl bxpp dawhang epnwtthukhnadelkinrabbsuriya odymakmikhnadephiyngimkikiolemtrinaenwkhwang prakxbdwyssarcaphwknaaekhngraehyngayepnswnihy wngokhcrkhxngdawhangcaebiywmak cudikldwngxathitythisudmkekhaipthungchnwngokhcrkhxngdawekhraahchnin swncudikldwngxathitythisudxacxxkipiklphncakdawphluot emuxdawhangokhcrphanekhamainrabbsuriyachnin phlkrathbcakdwngxathitythaihphunphiwnaaekhngkhxngmnraehyaelaaetktwepnpracu thaihekidepnokhma khuxhangkhnadyawprakxbdwyaeksaelafunthimxngehniddwytaepla dawhangkhabsnmiwngokhcrpramanimthung 200 pi swndawhangkhabyawmiwngokhcrnanthunghlayphnpi echuxwadawhangkhabsnmikaenidmacakaethbikhepxr khnathidawhangkhabyawechndawhangehl bxpp nacamikaenidmacakaethbemkhxxrt mitrakulkhxngdawhangxyuhlaytrakul echn dawhangechiyddwngxathitytrakul Kreutz ekidkhuncakkaraetktwxxkmakhxngdawhangdwngaem dawhangbangdwngthimiwngokhcraebbihephxroblikxaccamikaenidmacakhwngxwkasphaynxkkhxngrabbsuriya aetkarkhanwnesnthangokhcrthiaennxnkhxngphwkmnthaidyakmak dawhangobranthixngkhprakxbxnraehyididthukkhbxxkipcnhmdenuxngcakkhwamrxnkhxngdwngxathity xacklaysphaphipepndawekhraahnxyid esnthxr esnthxr khuxwtthunaaekhngkhlaydawhangthimikhakungaeknexkmakkwadawphvhsbdi 5 5 AU aetnxykwadawenpcun 30 AU esnthxrthimikhnadihythisudethathiruck khux mikhnadesnphansunyklangpraman 250 kiolemtr esnthxrchinaerkthikhnphbkhux 2060 ikhrxn sungemuxaerkthukcdpraephthwaepndawhang 95P ephraamnmihangokhmaehmuxnkbthidawhangepnemuxekhluxnekhaikldwngxathity nkdarasastrbangklumcdpraephthesnthxrihepnwtthuinaethbikhepxrthikracaytwxyurxbin odymiwtthuaethbikhepxrxikcanwnhnungkracaytwthangrxbnxkxxkipcnthungaethbhinkracayyanphndawenpcunyanxwkasthixyuelydawenpcunxxkip hrux yanphndawenpcun yngepnphunthithiimkhxyidrbkarsarwcmaknk ethathithrabduehmuxncaepnbriewnthietmipdwyolkelk wtthukhnadihythisudinyannimiesnphansunyklangrawhnunginhakhxngolk aelamimwlnxykwamwlkhxngdwngcnthr thiprakxbkhundwyhinkbnaaekhng bangkhrngkeriykyanniwa yanrabbsuriyarxbnxk sungcakhlaykbkhwamhmaykhxngwtthuthixyuelycakaethbdawekhraahnxy aethbikhepxr aephnphngwtthutang inaethbikhepxrethathiruck ethiybkbdawekhraahchnnxkthng 4 dwngphluot kharxn kbdwngcnthrbriwarthngsxngdwng aethbikhepxr khuxbriewnkhxngkarkxtwkhrngaerkinrabb milksnaepnaethbwngaehwnmhumakhxngesswtthukracdkracaykhlaykbaethbdawekhraahnxy aetswnmakwtthuehlannepnnaaekhng khrxbkhlumphunthichwngthihangdwngxathityxxkmatngaet 30 50 hnwydarasastr smachikinaethbikhepxrswnmakepnwtthukhnadelkinrabbsuriya aetkmiwtthukhnadihycanwnhnunginaethbikhepxr echn khwaxwr aela xxrks thisamarthcdpraephthepndawekhraahaekhra pramanwa miwtthuinaethbikhepxrmakkwa 100 000 chinthimiesnphansunyklangmakkwa 50 kiolemtr aetmwlrwmkhxngwtthuinaethbikhepxrthnghmdmiephiyngpraman 1 in 10 hruxxacephiyng 1 in 100 ethakhxngmwlolkethann wtthuinaethbikhepxrcanwnmakthimidawbriwarkhxngtwexnghlaydwng aelaswnihycamiwngokhcrthixyunxkranabsuriywithi wtthuinaethbikhepxrsamarthaebngidxyanghyab epn 2 phwk khux aela klumsnphxngmiwngokhcrthiechuxmoyngkbdawenpcun echn 2 rxbtx 3 rxbokhcrkhxngenpcun hrux 1 rxbtx 2 odythikarsnphxngkhxngwngokhcrkhrngaerkekidkhuninwngokhcrkhxngdawenpcunexng aethbdngedimprakxbdwywtthuthiimmikarsnphxngkhxngwngokhcrkbdawenpcun miyanokhcrxyurahwang 39 4 47 7 hnwydarasastr karcdpraephthsmachikaethbikhepxrdngedimwaepnphwk ekidkhunhlngcakmikarphnphbsmachikdwngaerkinklumni khux 15760 1992 QB1 emuxwnthi 30 singhakhm kh s 1992 phluotkbkharxn dawphluot 39 AU odyechliy epndawekhraahaekhra aelaepnwtthuinaethbikhepxrthiihythisudethathiepnthiruck emuxaerkthikhnphbdawphluotinpi kh s 1930 mnthukcdwaepndawekhraahdwngthieka aetinpi kh s 2006 mikarcdpraephthihmhlngcakthimikarkahndkhacakdkhwamkhxng dawekhraah xyangepnthangkar dawphluotmikhwameyuxngsunyklangkhxngwngokhcrpraman 17 xngsaethiybkbranabsuriywithi micudikldwngxathitythisudthi 29 7 AU inradbwngokhcrkhxngdawenpcun aelamicudikldwngxathitythisudthi 49 5 AUkharxn epndwngcnthrbriwarkhnadihythisudkhxngdawphluot aetyngimmikaryunynchdecnwamncayngsamarthcdpraephthepndawekhraahaekhraidhruxim thngphluotaelakharxnmicudsunyrwmaerngonmthwnginkarokhcrxyurahwangknaelakn thaihduehmuxnwa phluotkbkharxnepnrabbdawkhu yngmidwngcnthrkhnadyxmkwaxik 2 dwngkhux aela ihdra okhcrrxbphluotkbkharxnwngokhcrkhxngdawphluotxyuinaethbkarsnphxng mikhasnphxngwngokhcrkbdawenpcunthi 3 2 hmaykhwamwa phluotokhcrrxbdwngxathity 2 rxbtxkarokhcrkhxngdawenpcun 3 rxb wtthuinaethbikhepxrthirwmxyuinwngokhcrkarsnphxngcaeriykwaepnphwkehaemxakbmakhimakhi ehaemxa 43 34 AU odyechliy aelamakhimakhi 45 79 AU odyechliy epnwtthudngediminaethbikhepxrthiihythisudethathiepnthiruck ehaemxamirupsnthanehmuxnikh midwngcnthrbriwar 2 dwng makhimakhiepnwtthuswangthisudinaethbikhepxrrxngcakdawphluot aetedimdawthngsxngmichuxrhswa 2003 EL61 aela 2005 FY9 tamladb txmacungmikartngchuxdaw phrxmthngyksthanaepndawekhraahaekhra inpi kh s 2008 wngokhcrkhxngdawthngsxngyingmikhwameyuxngmakkwadawphluotesiyxik thi 28 aela 29 aetdawthngsxngniimidrbphlkrathbcakwngokhcrkhxngdawenpcun ephraaxyuinyanthiepnsmachikdngedimkhxngaethbikhepxraethbhinkracay aephnphaphaesdngkhwameyuxngsunyklangaelakhwamexiyngkhxngranabokhcr esnsidakhuxaethbhinkracay sinaenginkhuxaethbikhepxrdngedim aelasiekhiywkhuxyankarsnphxngkhxngwngokhcr aethbhinkracaymiyankhabekiywknkbaethbikhepxr aetaephtwxxkipthangdannxkkhxngrabbepnbriewnkwang echuxwainaethbhinkracayniepntnkaenidkhxngbrrdadawhangkhabsn wtthuinaethbhinkracaythukaerngonmthwngrbkwncakdawenpcuninyukhtn phlkipmacnthaihmiwngokhcrthiimaennxn odymakcamicudokhcrikldwngxathitythisudxyuinyankhxngaethbikhepxr swncudikldwngxathitythisudxacxyuhangxxkipthung 150 hnwydarasastr wngokhcrkhxngwtthuinaethbhinkracayyngmikhwamexiyngranabsungmakemuxethiybkbranabsuriywithi bangkhrngthungkbtngchakkbranabnielykepnid nkdarasastrbangklumcdihaethbhinkracayepnxikyanhnungkhxngaethbikhepxr aelaeriykwtthuinaethbhinkracaywa wtthukracayinaethbikhepxr exris exris 68 AU odyechliy epnwtthuinaethbhinkracaykhnadihythisudethathiruck epntnehtukhxngkarthkethiyngkneruxngkhunsmbtikhxngkarepndawekhraah ephraamnmikhnadihykwadawphluotxyangnxy 5 odymiesnphansunyklangpraman 2 400 kiolemtr 1 500 iml thuxepndawekhraahaekhrakhnadihythisudthiepnthiruck exrismi lksnawngokhcrmikhakhwameyuxngsunyklangkhxnkhangsungehmuxnkbdawphluot cudikldwngxathitythisudxyuthipraman 38 2 AU pramanrayawngokhcrkhxngdawphluot swncudikldwngxathitythisudxyupraman 97 6 AU mikhwamexiyngkbranabsuriywithisungmakyaniklthisudkhxngrabberaimxacrabuidaenchdwa rabbsuriyasinsudthicudihn hruxxwkasrahwangdawerimtnkhunthicudihn ephraakhxbekhtrxbnxkkhxngrabbepnipdwyxiththiphlkhxngaerng 2 chnidthiaetktangkn khux lmsuriya aelaaerngonmthwngkhxngdwngxathity xiththiphldannxksudkhxnglmsuriyakinenuxthixxkippraman 4 ethakhxngrayahangcakdwngxathitythungdawphluot eriykwakhxbekhtehlioxphxs sungxacnbepncuderimtnkhxngssarrahwangdawkid xyangirkdi echuxwakhxngdwngxathitysungepnenuxthiphayitxiththiphlaerngonmthwngkhxngdwngxathity kinphunthiiklxxkipmakkwannthungkwahnungphnetha ehlioxphxs yanwxyexcecxrthngsxngedinthangphankaaephngkraaethkekhasuyanehlioxchith briewnkhxngehlioxsefiyrsamarthaebngxxkidepn 2 yan lmsuriyaekhluxnthiipdwykhwamerwpraman 40 000 kiolemtr winathi cnkrathngmnslaytwlngdwykraaeskhxngphlasmainssarrahwangdaw karslaytwniekidkhunthikaaephngkraaethksungxyuthirayapraman 80 100 AU cakdwngxathityinthisthangyxnkraaeslm aelapraman 200 AU cakdwngxathityinthisthangtamkraaeslm thibriewnnikraaeskhxnglmcaxxnlng mwlsarekaaklumhnaaennkhunaelwklayepnlmhmun thaihekidokhrngsrangrupikhkhnadihyeriykwa ehlioxchith heliosheath hrux fksuriya sungmihnataaelaphvtikrrmkhlaykhlungkbhangkhxngdawhang khuxthxdaephtwxxkipiklthung 40 AU thangfngthwnkraaeslm thaepndantamkraaeslmcayingaephxxkipiklkwann thngyanwxyexcecxr 1 aela wxyexcecxr 2 tangraynganklbmawaidphanbriewnkaaephngkraaethkipaelwaelaidekhasubriewnehlioxchith thirayapraman 94 aela 84 AU tamladb khxbdannxksudkhxngthrngklmehlioxsefiyr hrux ehlioxphxs epncudthikraaeskhxnglmsuriyasinkalnglng aelaepncuderimtnyanxwkasrahwangdaw lksnaruprangaelathrngkhxngkhxbnxkkhxngehlioxsefiyrepnphlcakkarthukkrathbdwyptikiriyaphlsastrkhxngihlcakssarrahwangdaw aelacaksnamaemehlksuriyathimixyuxyangmakinthangtxnit thangsikdanbncaepnthrngmnmikhwamkwangpraman 9 AU raw 900 laniml sungkwangkwakhrungsiklang phncakekhtaednehlioxphxs thirayapraman 230 AU epntaaehnng sungphlasmacakdwngxathitycalathingrabbaelaedinthangipindinaednxuninthangchangephuxk yngimekhymiyanxwkaslaidedinthangphnxxkipcakehlioxphxsely cungimxacruidaenchdthungsphawaenguxnikhinxwkasrahwangdaw khadwayanxwkaswxyexcecxrkhxngxngkhkarnasacaedinthangxxkcakehlioxphxsinrawhnungthswrrskhanghna aelacasngkhxmulxnmikhaekiywkbradbkhxngrngsiaelalmsuriyaklbmayngolk ephraakhwamekhaicekiywkbkarthiekraaehlioxsefiyr chwypkpxngrabbsuriyaexaiwcakrngsikhxsmikyngmixyunxymak thimnganhnungidrbenginthunsnbsnuncaknasaidphthnaaenwkhidokhrngkar Vision Mission khun mipharkichlkekiywkbkarsngyanxwkasipinehlioxsefiyr emkhxxrt phaphcalxngaethbikhepxr aelaklumemkhxxrttamthvsdi emkhxxrt epnkhxsmmutithanthungklummwlkhnadihythiprakxbdwywtthunaaekhngnblanlanchin thiechuxwaepnaehlngkaenidkhxngdawhangkhabyaw aelakhrxbkhlumbriewnrxbnxkkhxngrabbsuriyaexaiwinrayathangpraman 50 000 AU praman 1 piaesng hruxxackwangidthung 100 000 AU 1 87 piaesng echuxwaxngkhprakxbkhxngmnkhuxdawhangthithukdidxxkmacakrabbsuriyachnin dwyptikiriyaaerngonmthwngkbdawekhraahchnnxk wtthuinemkhxxrtmikarekhluxnthitamak aelaxacthukkrathbkrathngesnthangdwyehtukarnbangxyangthiimekidkhunbxynk echnkarpatha aerngonmthwngrbkwncakdawthiekhluxnphan hruxaerngdungdudrahwangdarackr echnaerngithdlkhxngthangchangephuxk esdna 90377 esdna 525 86 AU odyechliy epnwtthukhnadihykhlaydawphluot misiaedng aelamiwngokhcrwngrikhnadihymakthimicudikldwngxathitythisudthi 76 AU swncudiklthisudxyuthi 928 AU ichewlainkarokhcrrxbla 12 050 pi epnphukhnphbdawniemuxpi kh s 2003 ekhakhidwamnimnacaepnsmachikthngkhxngaethbhinkracayhruxaethbikhepxr ephraacudikldwngxathitythisudyngxyuhangekinkwacaepnwtthuthithukdidxxkmadwyaerngonmthwngkhxngdawenpcun ekhakbnkdarasastrkhnxun ehnwamnnacaepnwtthuchinaerkinklumprachakrihmkhxngrabb sungnacarwmthung 2000 CR105 sungmicudikldwngxathitythisudthi 45 AU aelacudikldwngxathitythisudthi 415 AU mirxbkarokhcr 3 420 pi brawneriykprachakrihmkhxngrabbehlaniwa emkhxxrtklumin ephraamnxacmilksnaechnediywkn aemwacaxyuikldwngxathitymakkwaktam mikhwamepnipidthiesdnacaepndawekhraahaekhra aemcayngtxngphisucnthungsnthankhxngmnesiykxn khxbnxk yngmisingtang xikmakmayinrabbsuriyathierayngimruck pramanwa snamaerngonmthwngkhxngdwngxathitymixiththiphlkhrxbkhlumdawvkstang inyaniklekhiyngepnrayathangraw 2 piaesng 125 000 AU rsmitasudkhxngemkhxxrtthipramankniwnacaimtakwa 50 000 AU aemcamikarkhnphbthinaprahladicechnkarkhnphbesdna aetyanxwkasrahwangaethbikhepxrkbemkhxxrt sungkinenuxthikwanginrsmihlayhmunhnwydarasastrkyngimsamarthsarwcaelacdthaaephnphngxxkmaid nxkcakniyngmikarsuksasarwcephimetimsahrbdinaednrahwangdawphuthkbdwngxathity eraxaccaidkhnphbwtthutang xikmakinyantang khxngrabbsuriyathiyngimidcdthaaephnphngexaiwbribthechingdarackrtaaehnngkhxngrabbsuriyainaekhnknhxykhxngdarackr cudsiehluxng rabbsuriyatngxyuindarackrthangchangephuxk sungepndarackrchnidknhxymikhan miesnphansunyklangpraman 100 000 piaesng midawvkssmachikpraman 200 000 landwng dwngxathitykhxngeraepndawvkssmachikdwnghnungthitngxyuthangaekhnknhxydannxkkhxngthangchangephuxk inswnthieriykknwa hruxsepxrthxngthin hangcakbriewnsunyklangkhxngdarackrpraman 25 000 thung 28 000 piaesng khwamerwthiekhluxnthiphayindarackrxyuthipraman 220 kiolemtrtxwinathi dngnnmncaekhluxnthiwnkhrbhnungrxbinewla 225 250 lanpi karwnkhrbrxbnieriykknwaepn khxngrabbsuriya taaehnngkhxngrabbsuriyaindarackrnacaepnxngkhprakxbsakhytxwiwthnakarkhxngsingmichiwitbnolk ephraawngokhcrkhxngmncakhxnkhangepnwngklm aelamiradbkhwamerwphxknkbaekhnknhxykhxngdarackr sungaesdngwamnimidekhluxnphanipindarackrmaknk aekhnknhxyniepnthinthixyukhxngwtthuthxngfathikwacaklayepnsuepxronwaktxngichewlaxiknan thaiholkmiewlaxnyawnanthicasrangsphawaesthiyrphaphmakphxsahrbkarwiwthnakarkhxngsingmichiwit nxkcaknirabbsuriyayngtngxyunxkekhtaednxnhnaaennkhxngdawvksinicklangdarackr thibriewnicklangnncamiaerngonmthwngrbkwncakdawvksiklekhiyngsungmak sungcasngphlkrathbtxwtthuinekhtemkhxxrt xncathaihekiddawhangmakmayphungekhasurabbsuriyachninid thaihekidkarpathathixacsrangsphawaxnimehmaasmtxchiwit primanrngsiekhmkhnthiicklangdarackrkxacsngphlrbkwntxwiwthnakarkhxngchiwitxnsbsxndwy thungkrannintaaehnngkhxngrabbsuriyapccubn kminkwithyasastrbangswntngthvsdiwaekhyekidsuepxronwamakxn aelasngphlkrathbinthangklbknkbkhxsmmutithankxnhnann khuxinchwng 35 000 pisudthaymaniaerngraebidcaksuepxronwa idaephrkracayssarinaeknklangkhxngmnxxkmayngdwngxathityinrupkhxngfunkmmntrngsi rwmthungchinswnkhnadihythikhlaydawhang yaniklekhiyng phaphwadkhxngsilpinaesdngthung fxngthxngthin yaniklekhiyngindarackrthixyutidknkbdarackrkhxngera michuxeriykwa Local Intersteller Cloud hrux flffthxngthin Local Fluff epnbriewnthimiemkhhnaaennsungtngxyuin fxngthxngthin xnepnhwngxwkasthikhxnkhangoprngruprangkhlaynalikathrayxyuinssarrahwangdaw kinenuxthikwangpraman 300 piaesng infxngthxngthinnietmipdwyphlasmaxunhphumisungsungechuxwanacaepnswnthihlngehluxxyucaksuepxronwakhrnglasudthiekidkhun thisthangthidwngxathityekhluxnipinxwkasrahwangdaweriykwa oslarexephks solar apex xyuiklkbklumdawehxrkhiwlisinthisthangediywkbtaaehnngpccubnkhxngdawewka midawvksxyukhxnkhangnxyinchwngraya 10 piaesng praman 95 lanlankiolemtr cakdwngxathity dawvksthixyuiklthisudkhuxrabbdawsamdwng aexlfakhnkhrungma sungxyuhangxxkip 4 4 piaesng aexlfakhnkhrungma ex aela bi epndawkhuthimilksnakhlaydwngxathity midawaekhraaedngkhnadelkchux aexlfakhnkhrungma si hruxdawphrxksimakhnkhrungma okhcrrxbdawkhuthngsxngnnthirayahang 0 2 piaesng dawvksxunthixyuikldwngxathityinladbthdxxkipidaekdawaekhraaedng 5 9 piaesng 7 8 piaesng aela 8 3 piaesng dawvksdwngihythisudinraya 10 piaesngcakdwngxathityidaek dawsirixus epndawvksswangbnaethbladbhlkthimimwlmakkwadwngxathityraw 2 etha midawaekhrakhawchux sirixus bi okhcrxyurxb hangcakdwngxathitykhxngeraip 8 6 piaesng rabbxun thimixyuinraya 10 piaesngidaek rabbdawaekhraaedngkhu 8 7 piaesng dawaekhraaedngediyw 9 7 piaesng sahrbdawvksediywthimilksnakhlaykhlungkbdwngxathitythixyuiklthisudkhux xyuhangxxkip 11 9 piaesng mnmimwlpraman 80 khxngmwldwngxathity aetmikhwamsxngswangephiyng 60 khxngdwngxathityethanndawekhraahnxkrabbthixyuiklthisudethathiruck epndawekhraahthixyuinrabbdawkhxng sungepndawvksthikhxnkhanghricangaelamisiaedngkwadwngxathity xyuhangxxkip 10 5 piaesng midawekhraahinrabbthiidrbkaryunynaelw 1 dwng khux mikhnadraw 1 5 ethakhxngmwlkhxngdawphvhsbdi khabokhcrrxbdawvksaemkhxngmnichewla 6 9 piduephimsylksnthangdarasastr eselsethiy sxftaewresrisahrbichcalxngwtthuthangdarasastraebb 3 miti esnewlakarsarwcrabbsuriya esnewlakarkhnphbdawekhraahaeladwngcnthrinrabbsuriya raychuxwtthuinrabbsuriya karsarwcxwkasechingxrrthinphaphimmikarephimaethbdawekhraahnxyaelaaethbikhepxr enuxngcakdawekhraahnxyaetladwngmikhnadelkekinkwathicaaesdngbnaephnphaphid emuxwnthi 2 emsayn kh s 2022xangxing Solar System Objects NASA JPL Solar System Dynamics cakaehlngedimemux 7 July 2021 subkhnemux 2 April 2022 Latest Published Data The International Astronomical Union Minor Planet Center cakaehlngedimemux 5 March 2019 subkhnemux 2 April 2022 Mumma M J Disanti M A Dello Russo N Magee Sauer K Gibb E Novak R 2003 Remote infrared observations of parent volatiles in comets A window on the early solar system Advances in Space Research 31 12 2563 2575 Bibcode 2003AdSpR 31 2563M 10 1 1 575 5091 doi 10 1016 S0273 1177 03 00578 7 skxtt exs echphphard The Jupiter Satellite Page Carnegie Institution for Science Department of Terrestrial Magnetism Eric W Weisstein 2006 Galileo Galilei 1564 1642 Wolfram Research ekbkhxmulemux 2006 11 08 Discoverer of Titan Christiaan Huygens ESA Space Science 2005 ekbkhxmulemux 2006 11 08 Giovanni Domenico Cassini June 8 1625 September 14 1712 SEDS org ekbkhxmulemux 2006 11 08 Comet Halley University of Tennessee ekbkhxmulemux 2006 12 27 Etymonline Solar System ekbkhxmulemux 2008 01 24 Herschel Sir William 1738 1822 enotes com ekbkhxmulemux 2006 11 08 Discovery of Ceres 2nd Centenary January 1 1801 January 1 2001 astropa unipa it 2000 ekbkhxmulemux 2006 11 08 Spectroscopy and the Birth of Astrophysics 2015 09 07 thi ewyaebkaemchchin Center for History of Physics a Division of the American Institute of Physics ekbkhxmulemux 2008 04 30 Extrasolar Planets Encyclopedia Paris Observatory ekbkhxmulemux 2008 01 24 Stone EC Cummings AC Mcdonald FB Heikkila BC Lal N Webber WR September 2005 Voyager 1 explores the termination shock region and the heliosheath beyond Science New York N Y 309 5743 2017 20 doi 10 1126 science 1117684 ISSN 0036 8075 PMID 16179468 New Horizons NASA s Pluto Kuiper Belt Mission 2006 subkhnemux 2006 07 01 Lecture 13 The Nebular Theory of the origin of the Solar System University of Arizona khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2011 08 22 subkhnemux 2006 12 27 Irvine W M The chemical composition of the pre solar nebula Amherst College Massachusetts subkhnemux 2007 02 15 Greaves Jane S 2005 01 07 Disks Around Stars and the Growth of Planetary Systems Science 307 5706 68 71 DOI 10 1126 science 1101979 abstract full text National Academy of Sciences 2000 04 05 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2009 08 03 subkhnemux 2007 01 19 M Momose Y Kitamura S Yokogawa R Kawabe M Tamura S Ida 2003 Ikeuchi S Hearnshaw J Hanawa T b k Investigation of the Physical Properties of Protoplanetary Disks around T Tauri Stars by a High resolution Imaging Survey at lambda 2 mm PDF The Proceedings of the IAU 8th Asian Pacific Regional Meeting Volume I Vol 289 Astronomical Society of the Pacific Conference Series p 85 Boss A P 2005 Chondrule forming Shock Fronts in the Solar Nebula A Possible Unified Scenario for Planet and Chondrite Formation The Astrophysical Journal 621 L137 doi 10 1086 429160 Sukyoung Yi Pierre Demarque Yong Cheol Kim Young Wook Lee Chang H Ree Thibault Lejeune Sydney Barnes 2001 Toward Better Age Estimates for Stellar Populations The Y2 displaystyle Y 2 Isochrones for Solar Mixture Astrophysical Journal Supplement 136 417 doi 10 1086 321795 arXiv astro ph 0104292 A Chrysostomou P W Lucas 2005 The Formation of Stars Contemporary Physics 46 29 doi 10 1080 0010751042000275277 Jeff Hecht 1994 Science Fiery future for planet Earth NewScientist subkhnemux 2007 10 29 K P Schroder Robert Cannon Smith 2008 Distant future of the Sun and Earth revisited Monthly Notices of the Royal Astronomical Society 386 155 163 doi 10 1111 j 1365 2966 2008 13022 x Pogge Richard W 1997 New Vistas in Astronomy khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 27 May 2005 subkhnemux 2005 12 07 M Woolfson 2000 The origin and evolution of the solar system Astronomy amp Geophysics 41 1 12 doi 10 1046 j 1468 4004 2000 00012 x nineplanets org An Overview of the Solar System ekbkhxmulemux 2007 02 15 Amir Alexander 2006 New Horizons Set to Launch on 9 Year Voyage to Pluto and the Kuiper Belt 2006 02 22 thi ewyaebkaemchchin The Planetary Society ekbkhxmulemux 2006 11 08 The Final IAU Resolution on the definition of planet ready for voting 2009 01 07 thi ewyaebkaemchchin IAU 2006 08 24 ekbkhxmulemux 2 minakhm 2007 Dwarf Planets and their Systems Working Group for Planetary System Nomenclature WGPSN U S Geological Survey 2008 11 07 ekbkhxmulemux 2008 07 13 Plutoid chosen as name for Solar System objects like Pluto 2008 06 13 thi ewyaebkaemchchin International Astronomical Union News Release IAU0804 June 11 2008 Paris ekbkhxmulemux 2008 06 11 Feaga L 2007 Asymmetries in the distribution of H2O and CO2 in the inner coma of Comet 9P Tempel 1 as observed by Deep Impact Icarus 190 345 Bibcode 2007Icar 190 345F doi 10 1016 j icarus 2007 04 009 Michael Zellik 2002 Astronomy The Evolving Universe 9th ed Cambridge University Press p 240 ISBN 978 0 521 80090 7 OCLC 223304585 Smart R L Carollo D Lattanzi M G McLean B Spagna A 2001 The Second Guide Star Catalogue and Cool Stars Perkins Observatory ekbkhxmulemux 2006 12 26 Nir J Shaviv Towards a Solution to the Early Faint Sun Paradox A Lower Cosmic Ray Flux from a Stronger Solar Wind Journal of Geophysical Research doi 10 1029 ekbkhxmulemux 26 mkrakhm 2009 T S van Albada Norman Baker 1973 On the Two Oosterhoff Groups of Globular Clusters Astrophysical Journal 185 477 498 doi 10 1086 152434 Charles H Lineweaver 2001 03 09 An Estimate of the Age Distribution of Terrestrial Planets in the Universe Quantifying Metallicity as a Selection Effect University of New South Wales subkhnemux 2006 07 23 Marshall Space Flight Center 2006 07 16 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2015 08 13 subkhnemux 2006 10 03 Phillips Tony 2001 02 15 Science NASA khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2009 05 12 subkhnemux 2007 02 04 Wilcox Solar Observatory khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2006 09 01 subkhnemux 2006 06 22 Lundin Richard 2001 03 09 Erosion by the Solar Wind Science 291 5510 1909 DOI 10 1126 science 1059763 abstract 2009 05 06 thi ewyaebkaemchchin full text 2007 03 10 thi ewyaebkaemchchin Langner U W Potgieter M S 2005 Effects of the position of the solar wind termination shock and the heliopause on the heliospheric modulation of cosmic rays Advances in Space Research 35 12 2084 2090 doi 10 1016 j asr 2004 12 005 subkhnemux 2007 02 11 1998 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2006 09 29 subkhnemux 2007 02 03 ESA scientist discovers a way to shortlist stars that might have planets ESA Science and Technology 2003 subkhnemux 2007 02 03 Landgraf M Liou J C Zook H A Grun E May 2002 Origins of Solar System Dust beyond Jupiter The Astronomical Journal 123 5 2857 2861 doi 10 1086 339704 subkhnemux 2007 02 09 Schenk P Melosh H J 1994 Lobate Thrust Scarps and the Thickness of Mercury s Lithosphere Abstracts of the 25th Lunar and Planetary Science Conference 1994LPI 25 1203S Bill Arnett 2006 Mercury The Nine Planets subkhnemux 2006 09 14 Benz W Slattery W L Cameron A G W 1988 Collisional stripping of Mercury s mantle Icarus v 74 p 516 528 Cameron A G W 1985 The partial volatilization of Mercury Icarus v 64 p 285 294 Mark Alan Bullock The Stability of Climate on Venus 2007 06 14 thi ewyaebkaemchchin PDF Southwest Research Institute ekbkhxmulemux 2006 12 26 Paul Rincon 1999 PDF Johnson Space Center Houston TX Institute of Meteoritics University of New Mexico Albuquerque NM khlngkhxmulekaekbcakaehlngedim PDF emux 2007 06 14 subkhnemux 2006 11 19 Anne E Egger M A M S VisionLearning com khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2007 02 21 subkhnemux 2006 12 26 David Noever 2004 NASA Astrobiology Magazine khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2010 03 13 subkhnemux 2006 07 23 Scott S Sheppard David Jewitt Jan Kleyna 2004 A Survey for Outer Satellites of Mars Limits to Completeness The Astronomical Journal subkhnemux 2006 12 26 ESA 2002 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2009 01 13 subkhnemux 2006 06 23 Krasinsky G A Pitjeva E V Vasilyev M V Yagudina E I July 2002 Hidden Mass in the Asteroid Belt Icarus 158 1 98 105 doi 10 1006 icar 2002 6837 Beech M Steel Duncan I September 1995 On the Definition of the Term Meteoroid Quarterly Journal of the Royal Astronomical Society 36 3 281 284 subkhnemux 2006 08 31 History and Discovery of Asteroids DOC NASA subkhnemux 2006 08 29 Phil Berardelli 2006 Main Belt Comets May Have Been Source Of Earths Water SpaceDaily subkhnemux 2006 06 23 Jack J Lissauer David J Stevenson 2006 PDF NASA Ames Research Center California Institute of Technology khlngkhxmulekaekbcak PPV pdf aehlngedim PDF emux 2009 03 26 subkhnemux 2006 01 16 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite web title aemaebb Cite web cite web a trwcsxbkha url help Pappalardo R T 1999 Brown University khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2007 09 30 subkhnemux 2006 01 16 J S Kargel 1994 Cryovolcanism on the icy satellites U S Geological Survey subkhnemux 23 mithunayn 2022 Hawksett David Longstaff Alan Cooper Keith Clark Stuart 2005 10 Mysteries of the Solar System Astronomy Now subkhnemux 2006 01 16 Podolak M Reynolds R T Young R 1990 Post Voyager comparisons of the interiors of Uranus and Neptune NASA Ames Research Center subkhnemux 2006 01 16 Duxbury N S Brown R H 1995 Beacon eSpace khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2009 04 26 subkhnemux 2006 01 16 Sekanina Zdenek 2001 Kreutz sungrazers the ultimate case of cometary fragmentation and disintegration Publications of the Astronomical Institute of the Academy of Sciences of the Czech Republic 89 78 93 Krolikowska M 2001 A study of the original orbits of hyperbolic comets Astronomy amp Astrophysics 376 1 316 324 doi 10 1051 0004 6361 20010945 subkhnemux 2007 01 02 Fred L Whipple emsayn 1992 The activities of comets related to their aging and origin subkhnemux 23 mithunayn 2022 John Stansberry Will Grundy Mike Brown Dale Cruikshank John Spencer David Trilling Jean Luc Margot 2007 Physical Properties of Kuiper Belt and Centaur Objects Constraints from Spitzer Space Telescope subkhnemux 2008 09 21 Patrick Vanouplines 1995 Vrije Universitiet Brussel khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2009 05 02 subkhnemux 2006 06 23 List Of Centaurs and Scattered Disk Objects IAU Minor Planet Center subkhnemux 2007 04 02 Audrey Delsanti David Jewitt 2006 The Solar System Beyond The Planets PDF Institute for Astronomy University of Hawaii subkhnemux 2007 01 03 M W Buie R L Millis L H Wasserman J L Elliot S D Kern K B Clancy E I Chiang A B Jordan K J Meech R M Wagner D E Trilling 2005 Lowell Observatory University of Pennsylvania Large Binocular Telescope Observatory Massachusetts Institute of Technology University of Hawaii University of California at Berkeley khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2012 01 18 subkhnemux 2006 09 07 E Dotto M A Barucci M Fulchignoni 2006 08 24 Beyond Neptune the new frontier of the Solar System PDF subkhnemux 2006 12 26 Fajans J L Friedland 13 September 2001 Autoresonant nonstationary excitation of pendulums Plutinos plasmas and other nonlinear oscillators PDF American Journal of Physics 69 10 1096 1102 doi 10 1119 1 1389278 Marc W Buie 2008 04 05 Orbit Fit and Astrometric record for 136472 SwRI Space Science Department subkhnemux 2008 07 13 David Jewitt 2005 The 1000 km Scale KBOs University of Hawaii subkhnemux 2006 07 16 Mike Brown 2005 The discovery of 2003 UB313 Eris the 10th planet largest known dwarf planet CalTech subkhnemux 2006 09 15 NASA khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2020 05 16 subkhnemux 2007 04 02 Fahr H J Kausch T Scherer H 2000 Astronomy amp Astrophysics 357 268 Bibcode 2000A amp A 357 268F khlngkhxmulekaekbcakaehlngedim PDF emux 2019 01 07 subkhnemux 2009 02 01 See Figures 1 and 2 Stone EC Cummings AC Mcdonald FB Heikkila BC Lal N Webber WR July 2008 An asymmetric solar wind termination shock Nature 454 7200 71 4 doi 10 1038 nature07022 ISSN 0028 0836 PMID 18596802 P C Frisch University of Chicago 2002 06 24 The Sun s Heliosphere amp Heliopause Astronomy Picture of the Day subkhnemux 2006 06 23 Voyager Interstellar Mission NASA Jet Propulsion Laboratory 2007 http voyager jpl nasa gov mission interstellar html ekbkhxmulemux 2008 05 08 R L McNutt Jr aelakhna 2006 Innovative Interstellar Explorer Physics of the Inner Heliosheath Voyager Observations Theory and Future Prospects Vol 858 AIP Conference Proceedings pp 341 347 doi 10 1063 1 2359348 Anderson Mark 2007 01 05 New Scientist khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2008 04 16 subkhnemux 2007 02 05 Stern SA Weissman PR 2001 Rapid collisional evolution of comets during the formation of the Oort cloud Space Studies Department Southwest Research Institute Boulder Colorado subkhnemux 2006 11 19 Bill Arnett 2006 The Kuiper Belt and the Oort Cloud nineplanets org subkhnemux 2006 06 23 David Jewitt 2004 Sedna 2003 VB12 University of Hawaii subkhnemux 2006 06 23 Mike Brown Sedna CalTech subkhnemux 2007 05 02 T Encrenaz JP Bibring M Blanc MA Barucci F Roques PH Zarka 2004 The Solar System Third edition Springer p 1 Durda DD Stern SA Colwell WB Parker JW Levison HF Hassler DM 2004 A New Observational Search for Vulcanoids in SOHO LASCO Coronagraph Images subkhnemux 2006 07 23 A D Dolgov 2003 Magnetic fields in cosmology subkhnemux 2006 07 23 R Drimmel D N Spergel 2001 Three Dimensional Structure of the Milky Way Disk subkhnemux 2006 07 23 Leong Stacy 2002 Period of the Sun s Orbit around the Galaxy Cosmic Year The Physics Factbook subkhnemux 2007 04 02 Leslie Mullen 2001 Galactic Habitable Zones Astrobiology Magazine subkhnemux 2006 06 23 Supernova Explosion May Have Caused Mammoth Extinction Physorg com 2005 subkhnemux 2007 02 02 NASA khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2010 03 13 subkhnemux 2006 07 23 C Barbieri 2003 Elementi di Astronomia e Astrofisica per il Corso di Ingegneria Aerospaziale V settimana IdealStars com subkhnemux 2007 02 12 Stars within 10 light years SolStation subkhnemux 2007 04 02 Tau Ceti SolStation subkhnemux 2007 04 02 HUBBLE ZEROES IN ON NEAREST KNOWN EXOPLANET Hubblesite 2006 subkhnemux 2008 01 13 aehlngkhxmulxunwikimiediykhxmmxnsmisuxthiekiywkhxngkb rabbsuriya rabbsuriya 1 krkdakhm 2007 thi ewyaebkaemchchin khxmulcakokhrngkarsarwcrabbsuriyakhxngxngkhkarnasa inphasaxngkvs aebbcalxngrabbsuriyakhxngxngkhkarnasa inphasaxngkvs rabbsuriya 17 thnwakhm 2016 thi ewyaebkaemchchin cakokhrngkar NASA JPL inphasaxngkvs raynganphiess karprachumkahndniyam dawekhraah cakewbistsmakhmdarasastrithy rabbsuriya 23 minakhm 2015 thi ewyaebkaemchchin caksthabnwicydarasastraehngchati xngkhkarmhachn