ดาวฤกษ์ (อังกฤษ: star) คือวัตถุท้องฟ้าที่เป็นก้อนพลาสมาสว่างขนาดใหญ่ที่คงอยู่ได้ด้วยแรงโน้มถ่วง ดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้โลกมากที่สุด คือ ดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของโลก เราสามารถมองเห็นดาวฤกษ์อื่น ๆ ได้บนท้องฟ้ายามราตรี หากไม่มีแสงจากดวงอาทิตย์บดบัง ในประวัติศาสตร์ ดาวฤกษ์ที่โดดเด่นที่สุดบนทรงกลมท้องฟ้าจะถูกจัดเข้าด้วยกันเป็นกลุ่มดาว และดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดจะได้รับการตั้งชื่อโดยเฉพาะ นักดาราศาสตร์ได้จัดทำสารบัญแฟ้มดาวฤกษ์เพิ่มเติมขึ้นมากมาย เพื่อใช้เป็นมาตรฐานการตั้งชื่อดาวฤกษ์
ตลอดอายุขัยส่วนใหญ่ของดาวฤกษ์ มันจะเปล่งแสงได้เนื่องจากปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ฟิวชันที่แกนของดาว ซึ่งจะปลดปล่อยพลังงานจากภายในของดาว จากนั้นจึงแผ่รังสีออกไปสู่อวกาศ ธาตุเคมีเกือบทั้งหมดซึ่งเกิดขึ้นโดยธรรมชาติและหนักกว่าฮีเลียมมีกำเนิดมาจากดาวฤกษ์ทั้งสิ้น โดยอาจเกิดจากการสังเคราะห์นิวเคลียสของดาวฤกษ์ระหว่างที่ดาวยังมีชีวิตอยู่ หรือเกิดจากการสังเคราะห์นิวเคลียสของมหานวดาราหลังจากที่ดาวฤกษ์เกิดการระเบิดหลังสิ้นอายุขัย นักดาราศาสตร์สามารถระบุขนาดของมวล อายุ ส่วนประกอบทางเคมี และคุณสมบัติของดาวฤกษ์อีกหลายประการได้จากการสังเกตสเปกตรัม กำลังส่องสว่าง และการเคลื่อนที่ในอวกาศ มวลรวมของดาวฤกษ์เป็นตัวกำหนดหลักในลำดับวิวัฒนาการและชะตากรรมในบั้นปลายของดาว ส่วนคุณสมบัติอื่นของดาวฤกษ์ เช่น เส้นผ่านศูนย์กลาง การหมุน การเคลื่อนที่ และอุณหภูมิ ถูกกำหนดจากประวัติวิวัฒนาการของมัน แผนภาพคู่ลำดับระหว่างอุณหภูมิกับโชติมาตรของดาวฤกษ์จำนวนมาก ที่รู้จักกันในชื่อ แผนภาพของแฮร์ตสปรอง–รัสเซิล (แผนภาพ H-R) ช่วยทำให้สามารถระบุอายุและรูปแบบวิวัฒนาการของดาวฤกษ์ได้
ดาวฤกษ์ถือกำเนิดขึ้นจากเมฆโมเลกุลที่ยุบตัวโดยมีไฮโดรเจนเป็นส่วนประกอบหลัก รวมไปถึงฮีเลียม และธาตุอื่นที่หนักกว่าอีกจำนวนหนึ่ง เมื่อแก่นของดาวฤกษ์มีความหนาแน่นมากเพียงพอ ไฮโดรเจนบางส่วนจะถูกเปลี่ยนเป็นฮีเลียมผ่านกระบวนการนิวเคลียร์ฟิวชันอย่างต่อเนื่อง ส่วนภายในที่เหลือของดาวฤกษ์จะนำพลังงานออกจากแก่นผ่านทางกระบวนการแผ่รังสีและการพาความร้อนประกอบกัน ความดันภายในของดาวฤกษ์ป้องกันมิให้มันยุบตัวต่อไปจากแรงโน้มถ่วงของมันเอง เมื่อเชื้อเพลิงไฮโดรเจนที่แก่นของดาวหมด ดาวฤกษ์ที่มีมวลอย่างน้อย 0.4 เท่าของดวงอาทิตย์ จะพองตัวออกจนกลายเป็นดาวยักษ์แดง ซึ่งในบางกรณี ดาวเหล่านี้จะหลอมธาตุที่หนักกว่าที่แก่นหรือในเปลือกรอบแก่นของดาว จากนั้น ดาวยักษ์แดงจะวิวัฒนาการไปสู่รูปแบบเสื่อม มีการรีไซเคิลบางส่วนของสสารไปสู่สสารระหว่างดาว สสารเหล่านี้จะก่อให้เกิดดาวฤกษ์รุ่นใหม่ซึ่งมีอัตราส่วนของธาตุหนักที่สูงกว่า
ระบบดาวคู่และระบบดาวหลายดวงประกอบด้วยดาวฤกษ์สองดวงหรือมากกว่านั้นซึ่งยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงโน้มถ่วง และส่วนใหญ่มักจะโคจรรอบกันในวงโคจรที่เสถียร เมื่อดาวฤกษ์ในระบบดาวดังกล่าวสองดวงมีวงโคจรใกล้กันมากเกินไป ปฏิกิริยาแรงโน้มถ่วงระหว่างดาวฤกษ์อาจส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อวิวัฒนาการของพวกเราให้เกิดประโยชน์นำมาซึ่งการปฏิสัมพันธ์ในเซลล์ร่างกายในภาชนะแห่งนี้ให้เกิดออร่าแผ่อณูแห่งแสงวงจรกระทบ ดาวฤกษ์สามารถรวมตัวกันเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในโครงสร้างขนาดใหญ่ที่ยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงโน้มถ่วง (เช่นกระจุกดาวหรือดาราจักร) ได้
ประวัติการสังเกต
ดาวฤกษ์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออารยธรรมต่าง ๆ ทั่วโลกมานับแต่อดีตกาล โดยเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมทางศาสนา เป็นองค์ประกอบสำคัญในศาสตร์ของการเดินเรือ รวมไปถึงการกำหนดทิศทาง นักดาราศาสตร์ยุคโบราณส่วนใหญ่เชื่อว่าดาวฤกษ์อยู่นิ่งกับที่บน และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ จากความเชื่อนี้ทำให้นักดาราศาสตร์จัดกลุ่มดาวฤกษ์เข้าด้วยกันเป็นกลุ่มดาวต่าง ๆ และใช้กลุ่มดาวเหล่านี้ในการตรวจติดตามการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ รวมถึงเส้นทางการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ ตำแหน่งการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์เมื่อเทียบกับกลุ่มดาวฤกษ์ที่อยู่เบื้องหลัง (และเส้นขอบฟ้า) นำมาใช้ในการกำหนดปฏิทินสุริยคติ ซึ่งสามารถใช้เพื่อกำหนดกิจวัตรในทางการเกษตรได้ปฏิทินกริกอเรียน ซึ่งใช้กันอยู่แพร่หลายในโลกปัจจุบัน จัดเป็นปฏิทินสุริยคติที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของมุมของแกนหมุนของโลก โดยเทียบกับดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ที่สุด คือ ดวงอาทิตย์
อันแม่นยำที่เก่าแก่ที่สุด ปรากฏขึ้นในสมัยอียิปต์โบราณ เมื่อราว 1,534 ปีก่อนคริสตกาล นักดาราศาสตร์บาบิโลน แห่งเมโสโปเตเมียได้รวบรวม ซึ่งเป็นสารบัญแฟ้มดาวฤกษ์ที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยรู้จักขึ้นในช่วงปลายคริสต์สหัสวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล ระหว่างสมัย (ประมาณ 1531-1155 ปีก่อนคริสตกาล) แผนที่ดาวฉบับแรกในดาราศาสตร์กรีกสร้างขึ้นโดยอริสติลลอส เมื่อราว 300 ปีก่อนคริสตกาล ด้วยความช่วยเหลือของทิโมคาริส แผนที่ดาวของฮิปปาร์คอส (2 ศตวรรษก่อนคริสตกาล) ปรากฏดาวฤกษ์ 1,020 ดวง และใช้เพื่อรวบรวมแผนที่ดาวของปโตเลมี ฮิปปาร์คอสเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นผู้ค้นพบโนวา (ดาวใหม่) คนแรกเท่าที่เคยมีการบันทึก ชื่อของกลุ่มดาวและดาวฤกษ์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้โดยมากแล้วสืบมาจากดาราศาสตร์กรีก
ถึงแม้จะมีความเชื่อเก่าแก่อยู่ว่าสรวงสวรรค์นั้นไม่เปลี่ยนแปลง ทว่านักดาราศาสตร์ชาวจีนกลับพบว่ามีดวงดาวใหม่ปรากฏขึ้นได้ ในปี ค.ศ. 185 ชาวจีนเป็นพวกแรกที่สังเกตการณ์และบันทึกเกี่ยวกับมหานวดารา ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า เหตุการณ์ของดวงดาวที่สว่างที่สุดเท่าที่เคยบันทึกในประวัติศาสตร์ คือ มหานวดารา ซึ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1006 สังเกตพบโดยนักดาราศาสตร์ชาวอียิปต์ อาลี อิบนุ ริดวาน และนักดาราศาสตร์ชาวจีนอีกหลายคน มหานวดารา SN 1054 ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเนบิวลาปู ถูกสังเกตพบโดยนักดาราศาสตร์ชาวจีนและชาวอิสลาม
นักดาราศาสตร์ชาวอิสลามในยุคกลางได้ตั้งชื่อภาษาอารบิกให้แก่ดาวฤกษ์หลายดวง และยังคงมีการใช้ชื่อเหล่านั้นอยู่จนถึงปัจจุบัน พวกเขายังคิดค้นเครื่องมือวัดทางดาราศาสตร์มากมายซึ่งสามารถคำนวณตำแหน่งของดวงดาวได้ พวกเขายังได้ก่อตั้งสถาบันวิจัยหอดูดาวขนาดใหญ่แห่งแรก โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการจัดทำแผนที่ดาว ในหมู่นักดาราศาสตร์เหล่านี้ (Book of Fixed Stars; ค.ศ. 964) ถูกเขียนขึ้นโดยนักดาราศาสตร์ชาวเปอร์เซีย ผู้ซึ่งสามารถค้นพบดาวฤกษ์ รวมทั้งกระจุกดาว (รวมทั้ง และ) และดาราจักร (รวมทั้ง ดาราจักรแอนโดรเมดา) เป็นจำนวนมาก ในคริสต์ศตวรรษที่ 11 นักวิชาการผู้รู้รอบด้านชาวเปอร์เซีย (Abū Rayhān al-Bīrūnī) ได้พรรณนาลักษณะของดาราจักรทางช้างเผือกว่าประกอบด้วยชิ้นส่วนดาวฤกษ์ซึ่งมีคุณสมบัติเหมือนเมฆจำนวนมาก และยังระบุละติจูดของดาวฤกษ์หลายดวงได้ในระหว่างปรากฏการณ์จันทรุปราคาในปี ค.ศ. 1019 นักดาราศาสตร์ชาวอันดะลุส เสนอว่าทางช้างเผือกประกอบขึ้นจากดาวฤกษ์จำนวนมากจนดาวดวงหนึ่งเกือบจะสัมผัสกับดาวอีกดวงหนึ่ง และปรากฏให้เห็นเป็นภาพต่อเนื่องกันด้วยผลของการหักเหจากสารที่อยู่เหนือโลก เขาอ้างอิงจากหลักฐานการสังเกตจากปรากฏการณ์ดาวล้อมเดือนของดาวพฤหัสบดีและดาวอังคาร เมื่อราวฮ.ศ. 500 (ค.ศ. 1106/1107)
นักดาราศาสตร์ยุโรปในยุคต้น ๆ เช่น ทือโก ปราเออ ได้ค้นพบดาวฤกษ์ใหม่ปรากฏบนท้องฟ้ากลางคืน (ต่อมาเรียกชื่อว่า โนวา) และเสนอว่า แท้จริงแล้วสรวงสวรรค์ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงมิได้ ปี ค.ศ. 1584 เสนอแนวคิดว่าดาวฤกษ์ต่าง ๆ ก็เป็นเหมือนดวงอาทิตย์ดวงอื่น ๆ และอาจมีดาวเคราะห์ของมันเองโคจรอยู่รอบ ๆ ซึ่งดาวเคราะห์บางดวงอาจมีลักษณะเหมือนโลกก็เป็นได้ แนวคิดทำนองนี้เคยมีการนำเสนอมาก่อนแล้วตั้งแต่สมัยกรีกโบราณโดยนักปรัชญาบางคนเช่น ดีโมครีตุสและ เช่นเดียวกับนักจักรวาลวิทยาชาวอิสลามในยุคกลาง อย่างเช่น เมื่อล่วงมาถึงศตวรรษต่อมา แนวคิดที่ว่าดาวฤกษ์เป็นเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่อยู่ห่างไกลออกไป ได้เป็นที่ยอมรับในหมู่นักดาราศาสตร์ ไอแซก นิวตัน เสนอแนวคิดเพื่ออธิบายว่าเหตุใดดาวฤกษ์จึงไม่มีแรงดึงดูดผูกพันกับระบบสุริยะ เขาคิดว่าดาวฤกษ์แต่ละดวงกระจัดกระจายกันอยู่ในระยะห่างเท่า ๆ กัน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนักเทววิทยา
นักดาราศาสตร์ชาวอิตาลี ได้บันทึกผลสังเกตการเปลี่ยนแปลงความส่องสว่างปรากฏของดาวอัลกอลในปี ค.ศ. 1667 เอ็ดมันด์ แฮลลีย์ ตีพิมพ์ผลการวัดความเร็วแนวเล็งของดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้เคียงกันคู่หนึ่ง เพื่อแสดงให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของดาวนับจากช่วงเวลาที่ปโตเลมีกับฮิปปาร์คอส นักดาราศาสตร์กรีกโบราณ เคยบันทึกเอาไว้ การวัดระยะทางระหว่างดาวโดยตรงครั้งแรกทำโดย ฟรีดริช เบ็สเซิล ในปี ค.ศ. 1838 โดยใช้วิธีพารัลแลกซ์กับดาว ซึ่งอยู่ห่างไป 11.4 ปีแสง การตรวจวัดด้วยวิธีพารัลแลกซ์นี้ช่วยให้มนุษย์ทราบระยะทางอันกว้างใหญ่ระหว่างดวงดาวต่าง ๆ บนสรวงสวรรค์
วิลเลียม เฮอร์เชล เป็นนักดาราศาสตร์คนแรกที่พยายามตรวจหาการกระจายตัวของดาวฤกษ์บนท้องฟ้า ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1780 เขาได้ทำการตรวจวัดดวงดาวในทิศทางต่าง ๆ มากกว่า 600 แบบ และนับจำนวนดาวฤกษ์ที่มองเห็นในแต่ละทิศทางนั้น ด้วยวิธีนี้เขาพบว่า จำนวนของดาวฤกษ์เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอไปทางด้านหนึ่งของท้องฟ้า คือในทิศทางที่มุ่งเข้าสู่ใจกลางของทางช้างเผือก จอห์น เฮอร์เชล บุตรชายของเขาได้ทำการศึกษาซ้ำเช่นนี้อีกครั้งในเขตซีกโลกใต้ และพบผลลัพธ์ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน นอกเหนือจากผลสำเร็จด้านอื่น ๆ แล้ว วิลเลียม เฮอร์เชลได้รับยกย่องจากผลสังเกตของเขาครั้งนี้ว่า มีดาวฤกษ์บางดวงไม่ได้อยู่บนแนวเส้นสังเกตอันเดียวกัน แต่มีดาวอื่นใกล้เคียงซึ่งเป็นระบบดาวคู่
ศาสตร์การศึกษาสเปกโทรสโกปีของดาวฤกษ์เริ่มบุกเบิกโดย โยเซ็ฟ ฟ็อน เฟราน์โฮเฟอร์ และ โดยการเปรียบเทียบสเปกตรัมของดาวฤกษ์เช่น เปรียบดาวซิริอุสกับดวงอาทิตย์ พวกเขาพบว่ากำลังและจำนวนของเส้นดูดกลืนสเปกตรัมของดาวมีความแตกต่างกัน คือส่วนของแถบมืดในสเปกตรัมดาวฤกษ์ที่เกิดจากการดูดกลืนคลื่นความถี่เฉพาะอันเป็นผลจากบรรยากาศ ปี ค.ศ. 1865 เซคคีเริ่มต้นจัดประเภทของดาวฤกษ์ตามลักษณะสเปกตรัมของมัน อย่างไรก็ดี รูปแบบการจัดประเภทดาวฤกษ์ดังที่ใช้กันอยู่ในยุคปัจจุบันได้พัฒนาขึ้นโดย แอนนี เจ. แคนนอน ในระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1900
การเฝ้าสังเกตดาวคู่เริ่มมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในปี ค.ศ. 1834 ฟรีดริช เบ็สเซิล ได้เฝ้าสังเกตการเปลี่ยนแปลงความเร็วแนวเล็งของดาวซิริอุส และสรุปว่ามันมีดาวคู่ที่ซ่อนตัวอยู่ ค้นพบการแยกสีของดาวคู่เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1899 ขณะที่กำลังสังเกตการกระจายแสงตามรอบเวลาของซึ่งมีช่วงเวลา 104 วัน รายละเอียดการเฝ้าสังเกตระบบดาวคู่อื่น ๆ ก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยนักดาราศาสตร์หลายคน เช่น วิลเลียม สตรูฟ และ เอส. ดับเบิลยู เบิร์นแฮม และทำให้สามารถคำนวณมวลของดาวฤกษ์ได้จากองค์ประกอบวงโคจรของมัน ความสำเร็จแรกในการคำนวณวงโคจรของระบบดาวคู่จากการสังเกตการณ์ทางกล้องโทรทรรศน์ทำได้โดย เฟลิกซ์ ซาวารี ในปี ค.ศ. 1827
การศึกษาดาวฤกษ์มีความก้าวหน้าขึ้นอย่างมากตลอดช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ภาพถ่ายกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่มีค่ายิ่งสำหรับการศึกษาทางดาราศาสตร์ คาร์ล สวาซชิลด์ค้นพบว่า สีของดาวฤกษ์ซึ่งหมายถึงอุณหภูมิของมันนั้น สามารถตรวจสอบได้โดยการเปรียบเทียบค่าโชติมาตรปรากฏกับความสว่างในภาพถ่าย มีการพัฒนาโฟโตมิเตอร์แบบโฟโตอิเล็กทริกซึ่งช่วยให้การตรวจวัดความสว่างที่ความยาวคลื่นหลาย ๆ ช่วงทำได้แม่นยำยิ่งขึ้น ปี ค.ศ. 1921 อัลเบิร์ต เอ. มิเชลสัน ได้ทำการตรวจวัดเส้นผ่านศูนย์กลางของดาวฤกษ์ได้เป็นครั้งแรกโดยใช้อินเตอร์เฟอโรมิเตอร์ของกล้องโทรทรรศน์ฮุกเกอร์
ผลงานที่สำคัญในการศึกษาลักษณะทางกายภาพของดาวฤกษ์เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษแรก ๆ ของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ในปี ค.ศ. 1913 ได้มีการพัฒนาไดอะแกรมของเฮิร์ตสปรัง-รัสเซลล์ ซึ่งช่วยกระตุ้นการศึกษาด้านฟิสิกส์ดาราศาสตร์ของดาวฤกษ์มากยิ่งขึ้น แบบจำลองเกี่ยวกับโครงสร้างภายในของดาวฤกษ์และวิวัฒนาการของดาวก็ได้รับการพัฒนาขึ้นจนสำเร็จ รวมไปถึงการพยายามอธิบายสเปกตรัมของดาวซึ่งสามารถทำได้โดยความก้าวหน้าอย่างยิ่งของควอนตัมฟิสิกส์ ทั้งหมดนี้นำไปสู่การอธิบายองค์ประกอบทางเคมีของชั้นบรรยากาศของดาวฤกษ์อีกด้วย
นอกเหนือจากมหานวดาราแล้ว ได้มีการเฝ้าสังเกตดาวฤกษ์เดี่ยวจำนวนมากในดาราจักรต่าง ๆ ที่อยู่ในกลุ่มท้องถิ่นของทางช้างเผือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเฝ้าสังเกตทางช้างเผือกในส่วนที่สามารถมองเห็นได้ (ดังที่ได้แสดงในสารบัญแฟ้มดาวฤกษ์เท่าที่พบในดาราจักรทางช้างเผือก) แต่ยังมีดาวฤกษ์ที่เฝ้าสังเกตบางดวงอยู่ในดาราจักร M100 ใน ซึ่งอยู่ห่างจากโลกไปราว 100 ล้านปีแสง เราสามารถที่จะมองเห็นกระจุกดาวภายใน กล้องโทรทรรศน์ในยุคปัจจุบันโดยทั่วไปสามารถใช้สังเกตดาวฤกษ์เดี่ยวจาง ๆ ในได้ ดาวฤกษ์ที่อยู่ไกลที่สุดที่เคยเฝ้าสังเกตอยู่ไกลออกไปนับหลายร้อยล้านปีแสง (ดูเพิ่มเติมใน ดาวเซเฟอิด) อย่างไรก็ดี ยังไม่เคยมีการเฝ้าสังเกตดาวฤกษ์เดี่ยวหรือกระจุกดาวอื่นใดที่อยู่พ้นจากกระจุกดาราจักรยวดยิ่งของเราออกไปเลย นอกจากภาพถ่ายจาง ๆ ภาพเดียวที่แสดงถึงกระจุกดาวขนาดใหญ่อันประกอบด้วยดาวฤกษ์หลายแสนดวง อยู่ห่างออกไปมากกว่าหนึ่งพันล้านปีแสง ซึ่งไกลเป็นสิบเท่าของระยะห่างของกระจุกดาวไกลที่สุดที่เคยมีการสังเกตการณ์มา
การตั้งชื่อ
หลักการเกี่ยวกับกลุ่มดาวเป็นที่รู้จักกันมานานแล้วตั้งแต่ยุคสมัยบาบิโลน ผู้ที่เฝ้าสังเกตท้องฟ้ายามราตรีในยุคโบราณจินตนาการรูปร่างการรวมตัวของดวงดาวออกมาเป็นรูปแบบต่าง ๆ กัน และนำมาเกี่ยวโยงกับตำนานปรัมปราตามความเชื่อของตน มีกลุ่มดาว 12 รูปแบบเรียงตัวกันอยู่ตามแนวสุริยวิถี ในเวลาต่อมากลุ่มดาวทั้ง 12 กลุ่มนี้กลายเป็นพื้นฐานของวิชาโหราศาสตร์ นอกจากนี้ยังมีดาวฤกษ์ที่แยกจากกลุ่มอีกจำนวนหนึ่งที่โดดเด่น ก็ได้รับการตั้งชื่อให้ด้วย โดยมากเป็นชื่อในภาษาอารบิกหรือภาษาละติน
นอกเหนือไปจากกลุ่มดาวและดวงอาทิตย์แล้ว บรรดาดวงดาวทั้งหมดก็มีตำนานเป็นของตัวเองด้วย ตามความเชื่อของชาวกรีกโบราณ ดวงดาวบางดวง หรือที่แท้คือ ดาวเคราะห์ (ภาษากรีกโบราณว่า πλανήτης (planētēs) หมายถึง "ผู้พเนจร") เป็นตัวแทนของเทพเจ้าองค์สำคัญหลายองค์ ซึ่งชื่อของเทพเจ้าเหล่านั้นก็เป็นที่มาของชื่อดาวด้วย เช่น ดาวพุธ (เมอร์คิวรี) ดาวศุกร์ (วีนัส) ดาวอังคาร () ดาวพฤหัสบดี (จูปิเตอร์) และดาวเสาร์ (แซตเทิร์น) สำหรับดาวยูเรนัสและดาวเนปจูนก็เป็นชื่อของตำนานเทพเจ้ากรีกและตำนานเทพเจ้าโรมันเช่นเดียวกัน แม้ในอดีตดาวทั้งสองนี้ยังไม่เป็นที่รู้จัก เพราะมันมีความสว่างต่ำมาก แต่นักดาราศาสตร์ในยุคหลังก็ตั้งชื่อดาวทั้งสองตามชื่อของเทพเจ้าด้วยเช่นกัน
ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1600 มีการใช้ชื่อของกลุ่มดาวไปใช้ตั้งชื่อดาวฤกษ์อื่นที่พบอยู่ในย่านฟ้าเดียวกัน นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน โยฮัน ไบเออร์ ได้สร้างชุดแผนที่ดาวขึ้นชุดหนึ่งชื่อ เขาใช้อักษรกรีกในการตั้งรหัสดาวแต่ละดวงในกลุ่มดาว ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อ การตั้งชื่อระบบไบเออร์ ที่นิยมใช้มาจนถึงปัจจุบัน ต่อมา จอห์น แฟลมสตีด คิดค้นระบบตัวเลขประสมเข้าไปโดยอ้างอิงจากค่าไรต์แอสเซนชันของดาว เขาจัดทำรายชื่อดาวไว้ในหนังสือ "Historia coelestis Britannica" (ฉบับปี ค.ศ. 1712) ในเวลาต่อมาระบบตัวเลขนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ การตั้งชื่อระบบแฟลมสตีด หรือ ระบบตัวเลขแฟลมสตีด
ภายใต้กฎหมายอวกาศ หน่วยงานเพียงแห่งเดียวซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วโลกว่ามีอำนาจหน้าที่ในการตั้งชื่อวัตถุท้องฟ้าต่าง ๆ คือ สหพันธ์ดาราศาสตร์สากล ยังมีบริษัทเอกชนอีกจำนวนหนึ่งที่อ้างการจำหน่ายชื่อแก่ดวงดาว (ดังเช่น "สำนักจดทะเบียนดาวฤกษ์ระหว่างประเทศ") อย่างไรก็ดี ชื่อจากองค์กรเหล่านี้ไม่เป็นที่ยอมรับจากชุมชนวิทยาศาสตร์ และไม่มีใครใช้ด้วย นักวิทยาศาสตร์เห็นว่าองค์กรเหล่านี้เป็นพวกหลอกลวงที่ต้มตุ๋นประชาชนทั่วไปซึ่งไม่เข้าใจกระบวนการตั้งชื่อดาวฤกษ์ แต่กระนั้น ลูกค้าที่ทราบเรื่องนี้ก็ยังคงมีความปรารถนาที่จะตั้งชื่อดาวฤกษ์ด้วยตนเอง
หน่วยวัด
คุณลักษณะของดาวฤกษ์โดยมากจะระบุโดยใช้มาตราเอสไอ หรืออาจมีที่ใช้มาตราซีจีเอสบ้างจำนวนหนึ่ง (ตัวอย่างเช่น การระบุค่ากำลังส่องสว่างเป็น เออร์กต่อวินาที) ค่าของมวล กำลังส่องสว่าง และรัศมี มักระบุในหน่วยของดวงอาทิตย์ โดยอ้างอิงจากคุณลักษณะของดวงอาทิตย์ ดังนี้
สำหรับหน่วยความยาวที่ยาวมาก ๆ เช่นรัศมีของดาวฤกษ์ยักษ์ หรือค่ากึ่งแกนเอกของระบบดาวคู่ มักระบุโดยใช้หน่วยดาราศาสตร์ (AU) ซึ่งมีค่าโดยประมาณเท่ากับระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์ (ประมาณ 150 ล้านกิโลเมตร หรือ 93 ล้านไมล์)
กำเนิดและวิวัฒนาการ
ดาวฤกษ์จะก่อตัวขึ้นภายในเขตขยายของมวลสารระหว่างดาวที่มีความหนาแน่นสูงกว่า ถึงแม้ว่าความหนาแน่นนี้จะยังคงต่ำกว่าห้องสุญญากาศบนโลกก็ตาม ในบริเวณนี้ซึ่งเรียกว่า เมฆโมเลกุล และประกอบด้วยไฮโดรเจนเป็นส่วนใหญ่ โดยมีฮีเลียมราวร้อยละ 23-28 และธาตุที่หนักกว่าอีกจำนวนหนึ่ง ตัวอย่างหนึ่งของบริเวณที่มีการก่อตัวของดาวฤกษ์อยู่ในเนบิวลานายพราน และเมื่อดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ก่อตั้งขึ้นจากเมฆโมเลกุล ดาวฤกษ์เหล่านี้ก็ได้ให้ความสว่างแก่เมฆเหล่านี้ นอกจากนี้ยังเปลี่ยนไฮโดรเจนให้กลายเป็นไอออน ทำให้เกิดบริเวณที่เรียกว่า บริเวณเอช 2
การก่อตัวของดาวฤกษ์ก่อนเกิด
จุดกำเนิดของดาวฤกษ์เกิดขึ้นจากแรงโน้มถ่วงที่ไม่เสถียรภายในเมฆโมเลกุล โดยมากมักเกิดจากคลื่นกระแทกจากมหานวดารา (การระเบิดขนาดใหญ่ของดาวฤกษ์) หรือจากการแตกสลายของดาราจักรสองแห่งที่ปะทะกัน (เช่นในดาราจักรชนิดดาวกระจาย) เมื่อย่านเมฆนั้นมีความหนาแน่นเพียงพอจนถึงขอบเขตความไม่เสถียรของฌ็อง มันจึงยุบตัวลงด้วยแรงโน้มถ่วงภายในของมันเอง
ขณะที่เมฆโมเลกุลยุบตัวลง ฝุ่นและแก๊สหนาแน่นก็เข้ามาเกาะกลุ่มอยู่ด้วยกัน เรียกว่า กลุ่มเมฆบอก ยิ่งกลุ่มเมฆยุบตัวลง ความหนาแน่นภายในก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ พลังงานจากแรงโน้มถ่วงถูกแปลงไปกลายเป็นความร้อนซึ่งทำให้อุณหภูมิสูงยิ่งขึ้น เมื่อเมฆดาวฤกษ์ก่อนเกิดนี้ดำเนินไปจนกระทั่งถึงสภาวะสมดุลของอุทกสถิต จึงเริ่มมีดาวฤกษ์ก่อนเกิดก่อตัวขึ้นที่ใจกลางดาวฤกษ์ก่อนแถบลำดับหลักมักจะมีแผ่นจานดาวเคราะห์ก่อนเกิดล้อมรอบอยู่ ช่วงเวลาของการแตกสลายด้วยแรงโน้มถ่วงนี้กินเวลาประมาณ 10-15 ล้านปี
ดาวฤกษ์ยุคแรกที่มีมวลน้อยกว่า 2 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ จะเรียกว่าเป็นดาวประเภท T Tauri ส่วนพวกที่มีมวลมากกว่านั้นจะเรียกว่าเป็น (ดาวเฮอร์บิก Ae/Be) ดาวฤกษ์เกิดใหม่เหล่านี้จะแผ่ลำพลังงานของแก๊สออกมาตามแนวแกนการหมุน ซึ่งอาจช่วยลดโมเมนตัมเชิงมุมของดาวฤกษ์ที่กำลังยุบตัวลงและทำให้กลุ่มเมฆเรืองแสงเป็นหย่อม ๆ ซึ่งรู้จักกันในชื่อ วัตถุเฮอร์บิก–อาโร ลำแก๊สเหล่านี้ เมื่อประกอบกับการแผ่รังสีจากดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียง อาจช่วยขับกลุ่มเมฆซึ่งปกคลุมอยู่รอบดาวฤกษ์ที่ดาวนั้นก่อตั้งอยู่ออกไป
แถบลำดับหลัก
ช่วงเวลากว่า 90% ของดาวฤกษ์จะใช้ไปในการเผาผลาญไฮโดรเจนเพื่อสร้างฮีเลียมด้วยปฏิกิริยาแรงดันสูงและอุณหภูมิสูงที่บริเวณใกล้แกนกลาง เรียกดาวฤกษ์เหล่านี้ว่าเป็นดาวฤกษ์ที่อยู่ในแถบลำดับหลักหรือดาวแคระ นับแต่ช่วงอายุเป็น 0 ในแถบลำดับหลัก สัดส่วนฮีเลียมในแกนกลางดาวจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผลที่เกิดขึ้นตามมาเพื่อการรักษาอัตราการเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันในแกนกลางคือ ดาวฤกษ์จะค่อย ๆ มีอุณหภูมิสูงขึ้นและกำลังส่องสว่างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตัวอย่างเช่น ดวงอาทิตย์มีค่ากำลังส่องสว่างเพิ่มขึ้นนับจากเมื่อครั้งเข้าสู่แถบลำดับหลักครั้งแรกเมื่อ 4,600 ล้านปีก่อนราว 40%
ดาวฤกษ์ทุกดวงจะสร้างลมดาวฤกษ์ ซึ่งประกอบด้วยอนุภาคเล็ก ๆ ของแก๊สที่ไหลออกจากดาวฤกษ์ไปในห้วงอวกาศ โดยมากแล้วมวลที่สูญเสียไปจากลมดาวฤกษ์นี้ถือว่าน้อยมาก แต่ละปีดวงอาทิตย์จะสูญเสียมวลออกไปประมาณ 10-14 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ หรือคิดเป็นประมาณ 0.01% ของมวลทั้งหมดของมันตลอดช่วงอายุ แต่สำหรับดาวฤกษ์มวลมากอาจจะสูญเสียมวลไปราว 10−7 ถึง 10−5 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ต่อปี ซึ่งค่อนข้างส่งผลกระทบต่อวิวัฒนาการของตัวมันเอง ดาวฤกษ์ที่มีมวลเริ่มต้นมากกว่า 50 เท่าของมวลดวงอาทิตย์อาจสูญเสียมวลออกไปราวครึ่งหนึ่งของมวลทั้งหมดตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในแถบลำดับหลัก
ระยะเวลาที่ดาวฤกษ์จะอยู่บนแถบลำดับหลักขึ้นอยู่กับมวลเชื้อเพลิงตั้งต้นกับอัตราเผาผลาญเชื้อเพลิงของดาวฤกษ์นั้น ๆ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือมวลตั้งต้นและกำลังส่องสว่างของดาวฤกษ์นั่นเอง สำหรับดวงอาทิตย์ ประมาณว่าจะอยู่บนแถบลำดับหลักประมาณ 1010 ปี ดาวฤกษ์ขนาดใหญ่จะเผาผลาญเชื้อเพลิงในอัตราเร็วมากและมีอายุสั้น ขณะที่ดาวฤกษ์ขนาดเล็ก (คือดาวแคระ) จะเผาผลาญเชื้อเพลิงในอัตราที่ช้ากว่าและสามารถอยู่บนแถบลำดับหลักได้นานหลายหมื่นหรือหลายแสนล้านปี ซึ่งในบั้นปลายของอายุ มันจะค่อย ๆ หรี่จางลงเรื่อย ๆ อย่างไรก็ดี อายุของเอกภพที่ประมาณการไว้ในปัจจุบันอยู่ที่ 13,700 ล้านปี ดังนั้นจึงไม่อาจค้นพบดาวฤกษ์ดังที่กล่าวมานี้ได้
นอกเหนือจากมวล องค์ประกอบของธาตุหนักที่หนักกว่าฮีเลียมก็มีบทบาทสำคัญต่อวิวัฒนาการของดาวฤกษ์เช่นกัน ในทางดาราศาสตร์ ธาตุที่หนักกว่าฮีเลียมจะเรียกว่าเป็น "โลหะ" และความเข้มข้นทางเคมีของธาตุเหล่านี้จะเรียกว่า ค่าความเป็นโลหะ ค่านี้มีอิทธิพลต่อช่วงเวลาที่ดาวฤกษ์เผาผลาญเชื้อเพลิง รวมถึงควบคุมการกำเนิดสนามแม่เหล็กของดาวฤกษ์ และมีผลต่อความเข้มของลมดาวฤกษ์ด้วย ดาวฤกษ์ชนิดดารากร 2 ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่าจะมีค่าความเป็นโลหะน้อยกว่าดาวฤกษ์รุ่นใหม่ หรือดาวฤกษ์แบบดารากร 3 เนื่องมาจากองค์ประกอบที่มีอยู่ในเมฆโมเลกุลอันดาวฤกษ์ถือกำเนิดขึ้นมานั่นเอง ยิ่งเวลาผ่านไป เมฆเหล่านี้จะมีส่วนประกอบของธาตุหนักเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อดาวฤกษ์เก่าแก่สิ้นอายุขัยและส่งคืนสารประกอบภายในชั้นบรรยากาศของมันกลับไปในอวกาศ
หลังแถบลำดับหลัก
เมื่อดาวฤกษ์ที่มีมวลอย่างน้อย 0.4 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ หมดไฮโดรเจนในแกนกลาง พื้นผิวชั้นนอกของมันจะขยายตัวอย่างมากและดาวจะเย็นลง ซึ่งเป็นการก่อตั้งของดาวยักษ์แดง ยกตัวอย่างเช่น อีกภายใน 5 พันล้านปี เมื่อดวงอาทิตย์กลายเป็นดาวยักษ์แดง มันจะขยายตัวออกจนมีรัศมีสูงสุดราว 1 หน่วยดาราศาสตร์ (150,000,000 กม.) หรือคิดเป็นขนาด 250 เท่าของขนาดในปัจจุบัน และเมื่อดวงอาทิตย์กลายเป็นดาวยักษ์แดง มันจะสูญเสียมวลไปราว 30% ของมวลดวงอาทิตย์ในปัจจุบัน
ในดาวยักษ์แดงที่มีมวลมากถึง 2.25 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ ปฏิกิริยาฟิวชันไฮโดรเจนจะยังคงดำเนินต่อไปในพื้นผิวเปลือกรอบแกนกลาง ในที่สุด แกนกลางจะบีบอัดจนกระทั่งเริ่มปฏิกิริยาฟิวชันฮีเลียม และดาวฤกษ์จะมีรัศมีหดตัวลงอย่างต่อเนื่องและมีอุณหภูมิพื้นผิวสูงขึ้น ในดาวฤกษ์ที่มีขนาดใหญ่กว่านี้ พื้นที่แกนกลางจะเปลี่ยนจากการฟิวชันไฮโดรเจนไปเป็นการฟิวชันฮีเลียมโดยตรง
หลังจากดาวฤกษ์ได้ใช้ฮีเลียมที่แกนกลางจนหมด ปฏิกิริยาฟิวชันจะยังคงดำเนินต่อไปในเปลือกหุ้มแกนกลางซึ่งประกอบด้วยคาร์บอนและออกซิเจน ดาวฤกษ์นั้นก็จะยังคงดำเนินต่อไปในเส้นทางวิวัฒนาการคู่ขนานไปกับระยะดาวยักษ์แดงในช่วงแรก แต่มีอุณหภูมิพื้นผิวสูงกว่ามาก
ดาวมวลมาก
ระหว่างช่วงการเผาผลาญฮีเลียมของดาวฤกษ์เหล่านี้ ดาวมวลมากซึ่งมีมวลมากกว่า 9 เท่าของมวลดวงอาทิตย์จะพองตัวออกจนกระทั่งกลายเป็นดาวยักษ์ใหญ่แดง เมื่อเชื้อเพลิงที่แกนกลางของดาวยักษ์ใหญ่แดงหมด พวกมันจะยังคงฟิวชันธาตุที่หนักกว่าฮีเลียม
แกนกลางจะหดตัวลงต่อไปจนกระทั่งมีอุณหภูมิและความดันเพียงพอที่จะฟิวชันคาร์บอน กระบวนการดังกล่าวดำเนินต่อไป ต่อด้วยกระบวนการใช้นีออนเป็นเชื้อเพลิง ตามด้วยออกซิเจนและซิลิคอน เมื่ออายุขัยของดาวฤกษ์ใกล้จะสิ้นสุด ฟิวชันจะสามารถเกิดขึ้นไปพร้อม ๆ กับชั้นเปลือกหัวหอมจำนวนมากภายในดาวฤกษ์ เปลือกเหล่านี้จะฟิวชันธาตุที่แตกต่างกัน โดยเปลือกชั้นนอกสุดจะฟิวชันไฮโดรเจน ชั้นต่อไปฟิวชันฮีเลียม เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ
ดาวฤกษ์เข้าสู่ระยะสุดท้ายของอายุขัยเมื่อมันเริ่มผลิตเหล็ก เนื่องจากนิวเคลียสของเหล็กมียึดเหนี่ยวระหว่างกันอย่างแน่นหนากว่านิวเคลียสที่หนักกว่าใด ๆ ถ้าหากเหล็กถูกฟิวชันก็จะไม่ก่อให้เกิดการปลดปล่อยพลังงานแต่อย่างใด แต่ในทางกลับกัน กระบวนการดังกล่าวต้องใช้พลังงาน เช่นเดียวกัน นับตั้งแต่เหล็กยึดเหนี่ยวอย่างแน่นหนากว่านิวเคลียสที่เบากว่าทั้งหมด พลังงานจึงไม่สามารถถูกปลดปล่อยออกมาโดยปฏิกิริยาฟิชชั่นได้ ในดาวฤกษ์ที่ค่อนข้างมีอายุและมวลมาก แกนกลางขนาดใหญ่ของดาวจะประกอบด้วยเหล็กเพิ่มมากขึ้น ธาตุที่หนักกว่าในดาวฤกษ์เหล่านี้จะยังคงถูกส่งขึ้นมายังพื้นผิว ก่อให้เกิดวัตถุวิวัฒนาการซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า ดาวฤกษ์วูล์ฟ-ราเยท์ ซึ่งมีลมดาวฤกษ์หนาแน่นเกิดขึ้นบริเวณบรรยากาศชั้นนอก
การยุบตัว
เมื่อถึงขั้นนี้ ดาวฤกษ์มวลปานกลางซึ่งวิวัฒนาการแล้วจะสลัดพื้นผิวชั้นนอกออกมาเป็นเนบิวลาดาวเคราะห์ หากสิ่งที่เหลือจากบรรยากาศชั้นนอกที่ลอยกระจายออกไปมีมวลน้อยกว่า 1.4 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ มันจะยุบตัวลงจนกลายเป็นวัตถุขนาดค่อนข้างเล็ก (มีขนาดเท่ากับขนาดของโลก) ซึ่งไม่มีมวลมากพอที่จะมีแรงกดดันเกิดขึ้นไปมากกว่านี้อีก หรือที่รู้จักกันว่า ดาวแคระขาวสสารเสื่อมอิเล็กตรอนภายในดาวแคระขาวจะไม่ใช่พลาสม่าอีกต่อไป ถึงแม้ว่าดาวฤกษ์จะหมายความถึงทรงกลมซึ่งประกอบไปด้วยพลาสม่าก็ตาม ในที่สุด ดาวแคระขาวก็จะจางลงจนกลายเป็นดาวแคระดำ หลังจากเวลาผ่านไป
ในดาวฤกษ์ที่มีขนาดใหญ่กว่า ปฏิกิริยาฟิวชันจะยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งแกนกลางเหล็กมีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างมาก (มีมวลมากกว่า 1.4 เท่าของมวลดวงอาทิตย์) จนกระทั่งมันไม่สามารถรองรับมวลอันมหาศาลของตัวมันเองได้ แกนกลางนี้จะยุบตัวลงอย่างเฉียบพลัน เมื่ออิเล็กตรอนเข้าไปอยู่ในโปรตอน ทำให้เกิดนิวตรอนและนิวตริโนในการสลายให้อนุภาคบีตาผกผันหรือการจับยึดอิเล็กตรอน คลื่นกระแทกอันเกิดจากการยุบตัวกะทันหันนี้ได้ทำให้ส่วนที่เหลือของดาวฤกษ์ระเบิดออกเป็นมหานวดารา มหานวดารามีความสว่างมากเสียจนแสงสว่างของมันบดบังแสงจากดาวฤกษ์ทั้งหมดในดาราจักรที่ดาวนั้นอยู่ และเมื่อมหานวดาราเกิดขึ้นในดาราจักรทางช้างเผือก ในประวัติศาสตร์ มหานวดาราได้รับการสังเกตโดยผู้สังเกตการณ์ด้วยตาเปล่าว่าเป็น "ดาวฤกษ์ดวงใหม่" ที่ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
สสารส่วนใหญ่ของดาวฤกษ์จะถูกระเบิดออกจากการระเบิดมหานวดารา (ทำให้เกิดเนบิวลา อย่างเช่น เนบิวลาปู) และส่วนที่เหลืออยู่จะกลายมาเป็นดาวนิวตรอน (ซึ่งในบางครั้งมีคุณสมบัติชัดเจน อย่างเช่น พัลซาร์ หรือ ดาวระเบิดรังสีเอกซ์) หรือในกรณีของดาวฤกษ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด (มีขนาดใหญ่มากพอที่การระเบิดออกยังคงเหลือซากที่มีมวลโดยประมาณอย่างน้อย 4 เท่าของมวลดวงอาทิตย์) ดาวฤกษ์เหล่านี้จะกลายไปเป็นหลุมดำ สสารที่อยู่ในดาวนิวตรอนจะอยู่ในสถานะที่เรียกกันว่า สสารเสื่อมนิวตรอน กับรูปแบบของสสารเสื่อมอื่นที่ประหลาดกว่านั้น เช่น สสารควาร์ก เกิดขึ้นที่แกนกลาง ส่วนสถานะของสสารภายในหลุมดำนั้นในปัจจุบันยังไม่เป็นที่เข้าใจเลย
พื้นผิวชั้นนอกส่วนที่ถูกระเบิดออกจากดาวที่ตายแล้วรวมไปถึงธาตุหนักซึ่งอาจเป็นสารเริ่มต้นระหว่างการก่อตั้งของดาวฤกษ์ดวงใหม่ได้ ธาตุหนักเหล่านี้ทำให้เกิดดาวเคราะห์หิน การไหลออกจากมหานวดาราและลมดาวฤกษ์ได้มีส่วนสำคัญในการก่อให้เกิดมวลสารระหว่างดาว
การกระจายตัว
นอกจากดาวนาเม็กที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว ระบบดาวหลายดวงมักประกอบด้วยดาวฤกษ์ตั้งแต่ 2 ดวงขึ้นไปที่เกี่ยวพันกันอยู่ด้วยแรงโน้มถ่วงดึงดูดระหว่างกัน ทำให้ต่างโคจรไปรอบกันและกัน ระบบดาวหลายดวงที่พบมากที่สุดคือ ระบบดาวคู่ แต่ก็มีระบบดาว 3 ดวงหรือมากกว่านั้นให้พบเห็นด้วยเช่นกัน ตามหลักการเสถียรภาพของวงโคจร ในระบบดาวหลายดวงมักแบ่งสัดส่วนการโคจรออกเป็นระดับชั้นซึ่งแต่ละชั้นมีลักษณะคล้ายกับระบบดาวคู่ นอกจากนี้ยังมีระบบดาวที่ใหญ่ขึ้นไปอีกเรียกว่า กระจุกดาว ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มของดาวฤกษ์ที่อยู่ด้วยกันอย่างหลวม ๆ อาจมีดาวเพียงไม่กี่ดวง ไปจนถึงกระจุกดาวทรงกลมที่มีดาวฤกษ์สมาชิกนับหลายร้อยหลายพันดวง
มีข้อสมมุติฐานมานานแล้วว่าดาวฤกษ์ส่วนใหญ่จะเป็นสมาชิกอยู่ในระบบดาวหลายดวงที่มีแรงโน้มถ่วงดึงดูดระหว่างกัน ข้อสมมุติฐานนี้เป็นจริงอย่างมากกับดาวฤกษ์มวลมากประเภท O และ B ซึ่งเชื่อว่ากว่า 80% ของดาวฤกษ์ในประเภทนี้อยู่ในระบบดาวหลายดวง อย่างไรก็ดีมีการค้นพบระบบดาวเดี่ยวเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะกับดาวฤกษ์ขนาดเล็ก เชื่อว่ามีเพียงประมาณ 25% ของดาวแคระแดงเท่านั้นที่มีดาวอื่นอยู่ในระบบเดียวกัน จากจำนวนดาวฤกษ์ทั้งหมดเป็นดาวแคระแดงไปถึง 85% ดาวฤกษ์ส่วนใหญ่ในทางช้างเผือกก็เป็นดาวฤกษ์เดี่ยวมานับแต่ถือกำเนิด
ตลอดทั่วเอกภพ ดาวฤกษ์ไม่ได้กระจายตัวกันอยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่มีการรวมกลุ่มอยู่ด้วยกันในลักษณะของดาราจักร รวมถึงส่วนของแก๊สและฝุ่นระหว่างดวงดาว ดาราจักรโดยทั่วไปมีดาวฤกษ์อยู่เป็นจำนวนหลายแสนล้านดวง และภายในเอกภพที่สังเกตได้ มีดาราจักรอยู่ทั้งสิ้นมากกว่าหนึ่งแสนล้านแห่ง แม้จะเชื่อกันว่า ดาวฤกษ์โดยทั่วไปควรอยู่ในดาราจักรแห่งใดแห่งหนึ่ง ทว่าก็มีการค้นพบดาวฤกษ์ที่อยู่ระหว่างดาราจักรด้วยเช่นกัน นักดาราศาสตร์คาดการณ์ว่า น่าจะมีดาวฤกษ์อยู่ทั้งสิ้นประมาณ 7 หมื่นล้านล้านล้านดวง (7×1022) ภายในเอกภพที่สังเกตได้
ดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้โลกที่สุดนอกไปจากดวงอาทิตย์ คือดาวพร็อกซิมาคนครึ่งม้า ซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 39.9 ล้านล้านกิโลเมตร (1012 กิโลเมตร) หรือประมาณ 4.2 ปีแสง แสงจากดาวพร็อกซิมาคนครึ่งม้าใช้เวลาเดินทาง 4.2 ปีจึงจะมาถึงโลก ถ้าเดินทางด้วยความเร็ววงโคจรของกระสวยอวกาศ (ประมาณ 5 ไมล์ต่อวินาที หรือประมาณ 30,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) จะต้องใช้เวลาประมาณ 150,000 ปีจึงจะไปถึงดาวแห่งนั้น ระยะทางที่เอ่ยถึงนี้เป็นระยะทางภายในจานดาราจักรซึ่งครอบคลุมบริเวณระบบสุริยะ หากเป็นบริเวณใจกลางของดาราจักรหรือในกระจุกดาวทรงกลม ดาวฤกษ์จะอยู่ใกล้ชิดกันมากกว่านี้
เมื่อดาวฤกษ์ในบริเวณห่างไกลจากใจกลางดาราจักรอยู่ห่างกันขนาดนี้ จึงเชื่อว่าโอกาสที่ดาวฤกษ์จะปะทะกันมีค่อนข้างน้อย ขณะที่ในย่านซึ่งมีดาวฤกษ์อยู่อย่างหนาแน่นเช่นในกระจุกดาวทรงกลมหรือใจกลางดาราจักร การที่ดาวฤกษ์ปะทะกันถึงเป็นเรื่องสามัญที่เกิดขึ้นทั่วไป การปะทะของดาวฤกษ์นี้จะทำให้เกิดดาวฤกษ์ประหลาดชนิดใหม่ที่เรียกว่า ดาวแปลกพวกสีน้ำเงิน ซึ่งมีค่าอุณหภูมิพื้นผิวสูงกว่าดาวฤกษ์ในแถบลำดับหลักโดยทั่วไปในกระจุกดาวเดียวกันทั้งที่มีกำลังส่องสว่างเท่ากัน
คุณสมบัติ
การอธิบายถึงคุณสมบัติต่าง ๆ ของดาวฤกษ์ส่วนใหญ่ล้วนอ้างอิงถึงมวลเริ่มต้นของดาว แม้กระทั่งคุณลักษณะอันละเอียดอ่อนเช่น การส่องสว่าง และขนาด ตลอดจนถึงวิวัฒนาการของดาว ช่วงอายุ และสภาพหลังจากการแตกดับ
อายุ
ดาวฤกษ์ส่วนใหญ่มีอายุอยู่ระหว่าง 1 พันล้านถึง 1 หมื่นล้านปี มีบ้างบางดวงที่อาจมีอายุถึง 13,700 ล้านปีซึ่งเป็นอายุโดยประมาณของเอกภพ ดาวฤกษ์ที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่ค้นพบขณะนี้คือ HE 1523-0901 ซึ่งมีอายุโดยประมาณ 13,200 ล้านปี
ยิ่งดาวฤกษ์มีมวลมากเท่าใด ก็จะยิ่งมีอายุสั้นเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากดาวฤกษ์ที่มีมวลมากจะมีแรงดันภายในแกนกลางที่สูงกว่า ทำให้การเผาผลาญไฮโดรเจนเป็นไปในอัตราที่สูงกว่า ดาวฤกษ์มวลมากที่สุดมีอายุเฉลี่ยเท่าที่พบราว 1 ล้านปี ส่วนดาวฤกษ์ที่มีมวลน้อยที่สุด (ดาวแคระแดง) เผาผลาญพลังงานภายในตัวเองในอัตราที่ต่ำมาก และมีอายุอยู่ยาวนานตั้งแต่หลักพันล้านจนถึงหมื่นล้านปี
องค์ประกอบทางเคมี
เมื่อแรกที่ดาวฤกษ์ก่อตัวขึ้น มันประกอบด้วยไฮโดรเจน 71% และฮีเลียม 27% โดยมวล กับสัดส่วนของธาตุหนักอีกเล็กน้อย โดยทั่วไปเราวัดปริมาณของธาตุหนักในรูปขององค์ประกอบเหล็กในชั้นบรรยากาศของดาวฤกษ์ เนื่องจากเหล็กเป็นธาตุพื้นฐาน และการตรวจวัดเส้นการดูดซับของมันก็ทำได้ง่าย ในเมฆโมเลกุลอันเป็นต้นกำเนิดของดาวฤกษ์จะอุดมไปด้วยธาตุหนักมากมายที่ได้มาจากมหานวดาราหรือการระเบิดของดาวฤกษ์รุ่นแรก ดังนั้นการตรวจวัดองค์ประกอบทางเคมีของดาวฤกษ์จึงสามารถใช้ประเมินอายุของมันได้ เราอาจใช้องค์ประกอบธาตุหนักในการวินิจฉัยได้ด้วยว่าดาวฤกษ์ดวงนั้นน่าจะมีระบบดาวเคราะห์ของตนเองหรือไม่
ดาวฤกษ์ที่มีองค์ประกอบธาตุเหล็กต่ำที่สุดเท่าที่เคยตรวจพบ คือดาวแคระ โดยมีองค์ประกอบเหล็กเพียง 1 ใน 200,000 ส่วนของดวงอาทิตย์ ในด้านตรงข้าม ดาวฤกษ์ที่มีโลหะธาตุสูงมากคือ ซึ่งมีธาตุเหล็กสูงกว่าดวงอาทิตย์เกือบสองเท่า อีกดวงหนึ่งคือ ซึ่งมีดาวเคราะห์เป็นของตนเองด้วย มีธาตุเหล็กสูงกว่าดวงอาทิตย์เกือบสามเท่า นอกจากนี้ยังมีดาวฤกษ์ที่มีองค์ประกอบทางเคมีอันแปลกประหลาดอีกหลายดวงซึ่งสังเกตได้จากเส้นสเปกตรัมของมัน โดยที่มีทั้งโครเมียมกับธาตุหายากบนโลก
เส้นผ่านศูนย์กลาง
ดาวฤกษ์ต่าง ๆ อยู่ห่างจากโลกมาก ดังนั้นนอกจากดวงอาทิตย์แล้ว เราจึงมองเห็นดาวฤกษ์ต่าง ๆ เป็นเพียงจุดแสงเล็ก ๆ ในเวลากลางคืน ส่องแสงกะพริบวิบวับเนื่องมาจากผลจากชั้นบรรยากาศของโลก ดวงอาทิตย์ก็เป็นดาวฤกษ์ดวงหนึ่ง แต่อยู่ใกล้กับโลกมากพอจะปรากฏเห็นเป็นรูปวงกลม และให้แสงสว่างในเวลากลางวัน นอกเหนือจากดวงอาทิตย์แล้ว ดาวฤกษ์ที่มีขนาดปรากฏใหญ่ที่สุดคือ ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางเชิงมุมเพียง 0.057 พิลิปดา
ภาพของดาวฤกษ์ส่วนมากที่มองเห็นและวัดได้ในขนาดเชิงมุมจะเล็กมากจนต้องอาศัยการสังเกตการณ์บนโลกด้วยกล้องโทรทรรศน์ บางครั้งต้องใช้กล้องโทรทรรศน์ในเทคนิค interferometer เพื่อช่วยขยายภาพ เทคนิคอีกประการหนึ่งในการตรวจวัดขนาดเชิงมุมของดาวฤกษ์คือ occultation โดยการตรวจวัดโชติมาตรของดาวที่ลดลงเนื่องมาจากความสว่างของดวงจันทร์ (หรือจากโชติมาตรที่เพิ่มขึ้นเมื่อมันปรากฏขึ้นใหม่) แล้วจึงนำมาคำนวณขนาดเชิงมุมของดาวฤกษ์นั้น
ขนาดของดาวฤกษ์เรียงตามลำดับตั้งแต่เล็กสุดคือ ดาวนิวตรอน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางระหว่าง 20 ถึง 40 กิโลเมตร ไปจนถึงดาวยักษ์ใหญ่เช่น ดาวบีเทลจุสในกลุ่มดาวนายพราน ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่าดวงอาทิตย์ราว 650 เท่า คือกว่า 900 ล้านกิโลเมตร แต่ดาวบีเทลจุสยังมีความหนาแน่นต่ำกว่าดวงอาทิตย์ของเรา
การเคลื่อนที่
ลักษณะการเคลื่อนที่ของดาวฤกษ์เมื่อเปรียบเทียบกับดวงอาทิตย์ของเรา สามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเรียนรู้ถึงจุดกำเนิดและอายุของดาว รวมไปถึงโครงสร้างและวิวัฒนาการของดาราจักรโดยรอบ องค์ประกอบการเคลื่อนที่ของดาวฤกษ์ประกอบด้วย ความเร็วแนวเล็ง ที่วิ่งเข้าหาหรือวิ่งออกจากดวงอาทิตย์ และการเคลื่อนที่เชิงมุมที่เรียกว่า การเคลื่อนที่เฉพาะ
การตรวจวัดความเร็วแนวเล็งทำได้โดยอาศัยการเคลื่อนดอปเปลอร์ของเส้นสเปกตรัมของดาว หน่วยที่วัดเป็นกิโลเมตรต่อวินาที การตรวจวัดการเคลื่อนที่เฉพาะของดาวฤกษ์ทำได้จากเครื่องมือตรวจวัดทางดาราศาสตร์ที่มีความแม่นยำสูง หน่วยที่วัดเป็นมิลลิพิลิปดาต่อปี เมื่ออาศัยการตรวจสอบพารัลแลกซ์ของดาวฤกษ์ เราจึงสามารถแปลงการเคลื่อนที่เฉพาะให้ไปเป็นหน่วยของความเร็วได้ ดาวฤกษ์ที่มีค่าการเคลื่อนที่เฉพาะสูงมีแนวโน้มที่จะอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าดาวดวงอื่น จึงเป็นตัวแทนที่ดีสำหรับใช้ตรวจวัดพารัลแลกซ์ของดาวได้
เมื่อเราทราบอัตราการเคลื่อนที่ทั้งสองตัวนี้แล้ว ก็จะสามารถคำนวณความเร็วในการเคลื่อนที่อวกาศของดาวฤกษ์ดวงนั้นเปรียบเทียบกับดวงอาทิตย์หรือดาราจักรได้ ในบรรดาดาวฤกษ์ใกล้เคียงที่ตรวจวัด พบว่าดาวฤกษ์ชนิดดารากร 1 มีความเร็วต่ำกว่าดาวฤกษ์ที่มีอายุมากกว่าเช่น ดาวฤกษ์ชนิดดารากร 2 ดาวฤกษ์ในกลุ่มหลังมีระนาบโคจรที่ค่อนข้างใกล้เคียงกับระนาบดาราจักร เมื่อเปรียบเทียบจลนศาสตร์ของดาวฤกษ์ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน ทำให้เราสามารถจัดกลุ่มของดาวฤกษ์ได้ ซึ่งมีแนวโน้มที่ดาวฤกษ์ในกลุ่มเดียวกันจะกำเนิดมาจากเมฆโมเลกุลชุดเดียวกัน
สนามแม่เหล็ก
สนามแม่เหล็กของดาวฤกษ์เกิดขึ้นจากบริเวณภายในของดาวที่ซึ่งเกิดการไหลเวียนของการพาความร้อน การเคลื่อนที่นี้ทำให้ประจุในพลาสมาทำตัวเสมือนเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบไดนาโม ซึ่งทำให้เกิดสนามแม่เหล็กแผ่ขยายออกมาภายนอกดวงดาว กำลังของสนามแม่เหล็กนี้แปรตามขนาดของมวลและองค์ประกอบของดาว ส่วนขนาดของกิจกรรมพื้นผิวสนามแม่เหล็กก็ขึ้นกับอัตราการหมุนรอบตัวเองของดาวฤกษ์นั้น กิจกรรมที่พื้นผิวสนามแม่เหล็กนี้ทำให้เกิดจุดบนดาวฤกษ์ อันเป็นบริเวณที่มีสนามแม่เหล็กเข้มกว่าปกติและมีอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำกว่าปกติ วงโคโรนาคือแนวสนามแม่เหล็กโค้งที่แผ่เข้าไปในโคโรนา ส่วนเปลวดาวฤกษ์คือการระเบิดของอนุภาคพลังงานสูงที่แผ่ออกมาเนื่องจากกิจกรรมพื้นผิวสนามแม่เหล็ก
ดาวฤกษ์ที่อายุน้อยและหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วสูงมีแนวโน้มจะมีกิจกรรมพื้นผิวในระดับที่สูงเนื่องมาจากกำลังสนามแม่เหล็กของมัน สนามแม่เหล็กของดาวยังส่งอิทธิพลต่อลมดาวฤกษ์ด้วย โดยทำหน้าที่เหมือนตัวหน่วง ทำให้อัตราการหมุนรอบตัวเองของดาวฤกษ์ช้าลงเมื่อดาวมีอายุมากขึ้น ดังนั้น ดาวฤกษ์ที่มีอายุมากกว่าเช่นดวงอาทิตย์ของเราจึงมีอัตราการหมุนรอบตัวเองที่ต่ำกว่า และมีกิจกรรมพื้นผิวที่น้อยกว่าดาวฤกษ์อายุเยาว์ ระดับของกิจกรรมพื้นผิวของดาวฤกษ์ที่หมุนรอบตัวเองช้าค่อนข้างเปลี่ยนแปลงเป็นวงรอบและอาจหยุดกิจกรรมบางอย่างไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ช่วงเวลานี้เรียกว่า ช่วงต่ำสุดมอนเดอร์ ซึ่งดวงอาทิตย์ก็เคยผ่านระยะเวลานี้เป็นเวลา 70 ปี ที่ไม่มีกิจกรรมใด ๆ เกี่ยวกับจุดบนดวงอาทิตย์เกิดขึ้นเลย
มวล
หนึ่งในบรรดาดาวฤกษ์ที่มีมวลมากที่สุดเท่าที่รู้จักกัน คือ ดาวอีตากระดูกงูเรือ (Eta Carinae) ซึ่งมีมวลมากกว่ามวลดวงอาทิตย์ราว 100-150 เท่า ช่วงอายุของมันสั้นมาก เพียงประมาณไม่กี่ล้านปีเท่านั้น ผลจากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้แสดงให้เห็นว่า มวลขนาด 150 เท่าของมวลดวงอาทิตย์จัดเป็นขีดจำกัดสูงสุดของดาวฤกษ์ในเอกภพในยุคปัจจุบัน สาเหตุของขีดจำกัดนี้ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่น่าจะมีความเกี่ยวข้องส่วนหนึ่งกับ ซึ่งอธิบายถึงสูงสุดที่สามารถแผ่ผ่านได้โดยไม่ยิงพวยแก๊สออกไปในอวกาศ
ดาวฤกษ์กลุ่มแรก ๆ ที่ก่อตัวขึ้นหลังจากการถือกำเนิดของเอกภพตามทฤษฎีบิกแบงอาจมีมวลมากกว่านั้น เช่น 300 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ หรือสูงกว่า ทั้งนี้เนื่องจากมันไม่มีองค์ประกอบของธาตุที่หนักกว่าลิเทียมเลย อย่างไรก็ดี ดาวฤกษ์มวลมากยิ่งยวดเหล่านี้ (หรือดาวฤกษ์ชนิด population III) ได้สูญสลายไปจนหมดแล้ว มีแต่เพียงทฤษฎีที่กล่าวถึงเท่านั้น
ดาว ซึ่งเป็นดาวคู่ของ มีมวลประมาณ 93 เท่าของมวลดาวพฤหัสบดี จัดว่าเป็นดาวฤกษ์ที่เล็กที่สุดเท่าที่รู้จักซึ่งยังคงมีปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันดำเนินอยู่ภายในแกนกลาง ด้วยลักษณะของดาวที่มีค่าความเป็นโลหะคล้ายคลึงกับดวงอาทิตย์ ตามทฤษฎีแล้ว มวลน้อยที่สุดของดาวฤกษ์ที่ยังสามารถดำรงสภาวะนิวเคลียร์ฟิวชันในแกนกลางได้ คือประมาณ 75 เท่าของมวลดาวพฤหัสบดี ทว่ามันจะมีค่าความเป็นโลหะต่ำมาก ผลการศึกษาดาวฤกษ์ที่จางแสงที่สุดเมื่อไม่นานมานี้ พบว่าขนาดที่เล็กที่สุดที่เป็นไปได้ของดาวฤกษ์อยู่ที่ประมาณ 8.3% ของมวลดวงอาทิตย์ หรือประมาณ 87 เท่าของมวลดาวพฤหัสบดี วัตถุที่เล็กกว่านี้จะเรียกว่า ดาวแคระน้ำตาล ซึ่งเป็นดาวที่มีลักษณะเทาอันขุ่นมัว อยู่กึ่งกลางระหว่างดาวฤกษ์กับดาวเคราะห์แก๊สยักษ์
ความสัมพันธ์ระหว่างรัศมีของดาวกับมวลของดาว บอกได้จากแรงโน้มถ่วงพื้นผิว ดาวฤกษ์ขนาดยักษ์จะมีแรงโน้มถ่วงพื้นผิวน้อยกว่าดาวฤกษ์ในแถบลำดับหลัก และในทางกลับกันดาวที่มีแรงโน้มถ่วงมากคือดาวที่กำลังเสื่อมสลายและมีขนาดเล็กเช่นดาวแคระขาว แรงโน้มถ่วงพื้นผิวมีอิทธิพลต่อลักษณะปรากฏของสเปกตรัมของดาวฤกษ์ โดยที่ดาวซึ่งมีแรงโน้มถ่วงสูงกว่าจะมีเส้นการดูดซับพลังงานที่กว้างกว่า
การหมุนรอบตัวเอง
เราสามารถประมาณอัตราการหมุนรอบตัวเองของดาวฤกษ์ได้โดยอาศัยวิธีการวัดสเปกโทรสโกปี หรือจะวัดให้แม่นยำยิ่งขึ้นได้โดยการติดตามอัตราการหมุนของจุดบนดาวฤกษ์ ดาวฤกษ์ที่มีอายุน้อยจะมีอัตราการหมุนรอบตัวเองที่เร็วกว่าประมาณ 100 กม/วินาทีที่แนวศูนย์สูตร ดาวฤกษ์ชนิด B เช่นดาว มีความเร็วการหมุนรอบตัวเองที่เส้นศูนย์สูตรประมาณ 225 กม/วินาทีหรือมากกว่านั้น ซึ่งทำให้มันมีเส้นผ่านศูนย์กลางบริเวณศูนย์สูตรใหญ่กว่าระยะห่างระหว่างขั้วถึงกว่า 50% อัตราการหมุนรอบตัวเองนี้ต่ำกว่าค่าความเร็ววิกฤตที่ 300 กม/วินาทีเพียงเล็กน้อย ซึ่งเป็นอัตราเร็วที่จะทำให้ดาวฤกษ์แตกสลายลง สำหรับดวงอาทิตย์ของเรามีอัตราหมุนรอบตัวเองรอบละ 25-35 วัน หรือความเร็วที่แนวศูนย์สูตรประมาณ 1.994 กม/วินาที สนามแม่เหล็กของดาวฤกษ์กับลมดาวฤกษ์ต่างมีผลที่ช่วยให้อัตราการหมุนรอบตัวเองของดาวฤกษ์ในแถบลำดับหลักช้าลงอย่างมีนัยสำคัญ
ดาวฤกษ์ที่กำลังเสื่อมสลายจะหดตัวลงเป็นมวลขนาดเล็กหนาแน่นมาก ซึ่งเป็นผลให้การหมุนรอบตัวเองของมันดำเนินไปในอัตราสูง แต่เมื่อเปรียบกับอัตราที่ควรจะเป็นเมื่อคิดจากการรักษาโมเมนตัมเชิงมุมเอาไว้ก็ยังถือว่าค่อนข้างต่ำ โมเมนตัมเชิงมุมของดาวฤกษ์สูญหายไปเป็นจำนวนมากเนื่องจากการสูญเสียมวลของดาวฤกษ์ไปกับลมดาวฤกษ์ ถึงกระนั้น อัตราการหมุนรอบตัวเองของพัลซาร์ก็ยังสูงมาก ตัวอย่างเช่นพัลซาร์ที่อยู่ ณ ใจกลางของเนบิวลาปู หมุนรอบตัวเองในอัตรา 30 รอบต่อวินาที อัตราการหมุนรอบตัวเองของพัลซาร์จะค่อย ๆ ลดลงเนื่องมาจากการแผ่รังสีของดาว
อุณหภูมิ
อุณหภูมิพื้นผิวของดาวฤกษ์ในแถบลำดับหลักสามารถทราบได้จากอัตราการสร้างพลังงานจากแกนกลางของดาวและรัศมีของดาวดวงนั้น โดยมากจะประมาณจากดัชนีสีของดาวฤกษ์ ค่าที่ได้จะเรียกว่าอุณหภูมิยังผล ซึ่งเป็นค่าอุณหภูมิของวัตถุดำในอุดมคติที่แผ่พลังงานออกมาจนได้ระดับกำลังส่องสว่างต่อพื้นที่ผิวเท่ากันกับดาวฤกษ์นั้น ๆ พึงทราบว่าค่าอุณหภูมิยังผลนี้เป็นเพียงค่าเทียบเท่า อย่างไรก็ดีเนื่องจากอุณหภูมิของดาวฤกษ์จะค่อย ๆ ลดลงตามระดับชั้นของเปลือกที่อยู่ห่างจากแกนกลางออกมา ดังนั้นอุณหภูมิที่แท้จริงในย่านแกนกลางของดาวจะสูงมากถึงหลายล้านเคลวิน
อุณหภูมิของดาวฤกษ์เป็นตัวบ่งบอกถึงอัตราการแผ่พลังงานหรือการแผ่ประจุของธาตุที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลถึงคุณสมบัติการดูดกลืนเส้นสเปกตรัมที่แตกต่างกันด้วย เมื่อเราทราบค่าอุณหภูมิพื้นผิวของดาวฤกษ์ ค่าโชติมาตรปรากฏ โชติมาตรสัมบูรณ์ และคุณสมบัติการดูดกลืนแสง เราจึงสามารถจัดประเภทของดาวฤกษ์ได้ (ดูในหัวข้อการจัดประเภทดาวฤกษ์ด้านล่าง)
ดาวฤกษ์มวลมากในแถบลำดับหลักอาจมีอุณหภูมิพื้นผิวสูงถึง 50,000 เคลวิน ดาวฤกษ์ที่มีขนาดเล็กลงมาเช่นดวงอาทิตย์ จะมีอุณหภูมิพื้นผิวเพียงไม่กี่พันเคลวิน ดาวยักษ์แดงจะมีอุณหภูมิพื้นผิวค่อนข้างต่ำ ประมาณ 3,600 เคลวินเท่านั้น แต่จะมีกำลังส่องสว่างมากกว่าเนื่องจากมีพื้นที่ผิวชั้นนอกที่ใหญ่กว่ามาก
การแผ่รังสี
พลังงานที่เกิดขึ้นเป็นผลพลอยได้จากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันภายในดาวฤกษ์ จะแผ่ตัวออกไปในอวกาศในรูปของรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และรังสีอนุภาคซึ่งแผ่ออกไปในรูปของลมดาวฤกษ์ (เป็นสายธารกระแสอนุภาคของประจุไฟฟ้าที่เคลื่อนที่ไปอย่างคงที่ ประกอบด้วยฟรีโปรตอน อนุภาคอัลฟา และอนุภาคเบตา ที่ระเหยออกมาจากชั้นผิวเปลือกนอกของดาวฤกษ์) รวมถึงกระแสนิวตริโนที่เกิดจากแกนกลางของดาวฤกษ์
การกำเนิดพลังงานในแกนกลางของดาวเป็นต้นกำเนิดของแสงสว่างมหาศาลของดาวนั้น ทุกครั้งที่นิวเคลียสของธาตุตั้งแต่ 2 ชนิดหรือมากกว่าหลอมละลายเข้าด้วยกัน จะทำให้เกิดนิวเคลียสอะตอมของธาตุใหม่ที่หนักกว่าเดิม ทำให้ปลดปล่อยโฟตอนรังสีแกมมาออกมาจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน เมื่อพลังงานที่เกิดขึ้นนี้แผ่ตัวออกมาจนถึงเปลือกนอกของดาว มันจะเปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงแสงที่ตามองเห็น
สีของดาวฤกษ์ซึ่งระบุได้จากความถี่สูงสุดของแสงที่ตามองเห็น ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของชั้นผิวรอบนอกของดาวฤกษ์และโฟโตสเฟียร์ของดาว นอกจากแสงที่ตามองเห็นแล้ว ดาวฤกษ์ยังแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารูปแบบอื่น ๆ ออกมาอีกที่ตาของมนุษย์มองไม่เห็น ว่าที่จริงแล้วรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออกมาจากดาวฤกษ์นั้นแผ่ครอบคลุมย่านสเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งหมด ตั้งแต่ช่วงคลื่นยาวที่สุดเช่นคลื่นวิทยุหรืออินฟราเรด ไปจนถึงช่วงคลื่นสั้นที่สุดเช่นอัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์ และรังสีแกมมา องค์ประกอบการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของดาวฤกษ์ทั้งส่วนที่ตามองเห็นและมองไม่เห็นล้วนมีความสำคัญเหมือน ๆ กัน
จากสเปกตรัมของดาวฤกษ์นี้ นักดาราศาสตร์จะสามารถบอกค่าอุณหภูมิพื้นผิวของดาว แรงโน้มถ่วงพื้นผิว ค่าความเป็นโลหะ และความเร็วในการหมุนรอบตัวเองของดาว หากเราทราบระยะห่างของดาวฤกษ์นั้นด้วย เช่นทราบจากการตรวจวัดพารัลแลกซ์ เราก็จะสามารถคำนวณโชติมาตรของดาวฤกษ์นั้นได้ จากนั้นจึงใช้แบบจำลองของดาวฤกษ์ในการประมาณการค่ามวล รัศมี แรงโน้มถ่วงพื้นผิว และอัตราการหมุนรอบตัวเอง (ดาวฤกษ์ในระบบดาวคู่จะสามารถตรวจวัดมวลได้โดยตรง สำหรับมวลของดาวฤกษ์เดี่ยวจะประเมินได้จากเทคนิคไมโครเลนส์ของแรงโน้มถ่วง) จากตัวแปรต่าง ๆ เหล่านี้จึงทำให้นักดาราศาสตร์สามารถประเมินอายุของดาวฤกษ์ได้
กำลังส่องสว่าง
ในทางดาราศาสตร์ กำลังส่องสว่างคือปริมาณของแสงและพลังงานการแผ่รังสีในรูปแบบอื่นที่ดาวฤกษ์แผ่ออกจากนับเป็นจำนวนหน่วยต่อเวลา กำลังส่องสว่างของดาวฤกษ์สามารถบอกได้จากรัศมีและอุณหภูมิพื้นผิวของดาว อย่างไรก็ดี ดาวฤกษ์จำนวนหนึ่งไม่ได้แผ่พลังงานเป็น (คือปริมาณพลังงานที่แผ่ออกมาต่อหน่วยพื้นที่) ที่เป็นเอกภาพตลอดทั่วพื้นผิวทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ดาวเวกา ซึ่งเป็นดาวฤกษ์ที่หมุนรอบตัวเองเร็วมาก จะมีฟลักซ์ที่ขั้วดาวสูงกว่าบริเวณเส้นศูนย์สูตรของดาว
พื้นผิวบางส่วนของดาวที่มีอุณหภูมิต่ำและกำลังส่องสว่างต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งหมด จะเรียกว่า จุดมืดดาวฤกษ์ จุดมืดของดาวฤกษ์แคระหรือดาวฤกษ์ที่มีขนาดเล็กจะไม่ค่อยเป็นที่สังเกตโดดเด่น ขณะที่จุดมืดของดาวยักษ์หรือดาวฤกษ์ขนาดใหญ่จะยิ่งสังเกตเห็นได้ง่าย และทำให้เกิดลักษณะการมืดคล้ำที่ขอบของดาวฤกษ์ได้มาก นั่นคือ ความสว่างของดาวทางด้านขอบ (เมื่อมองเป็นแผ่นจานกลม) จะลดลงไปเรื่อย ๆ ดาวแปรแสงที่เป็นดาวแคระแดง (หรือ flare star) บางดวง เช่นดาว ก็อาจมีจุดมืดดาวฤกษ์ที่โดดเด่นเช่นกัน
โชติมาตร
โชติมาตรของดาวฤกษ์ที่ปรากฏวัดได้จากค่าโชติมาตรปรากฏ ซึ่งเป็นค่าความสว่างที่ขึ้นกับค่าโชติมาตรของดาว ระยะห่างจากโลก และการเปลี่ยนแปรของแสงดาวระหว่างที่มันผ่านชั้นบรรยากาศโลกลงมา ส่วนความสว่างที่แท้จริงหรือโชติมาตรสัมบูรณ์คือค่าโชติมาตรปรากฏของดาวถ้าระยะห่างระหว่างโลกกับดาวเท่ากับ 10 พาร์เซก (32.6 ปีแสง) เป็นค่าที่ขึ้นกับโชติมาตรของดาวเท่านั้น
โชติมาตร ปรากฏ | จำนวน ดาวฤกษ์ |
---|---|
0 | 4 |
1 | 15 |
2 | 48 |
3 | 171 |
4 | 513 |
5 | 1,602 |
6 | 4,800 |
7 | 14,000 |
ทั้งค่าโชติมาตรปรากฏและโชติมาตรสัมบูรณ์เป็นตัวเลขที่แสดงใน ค่าที่ต่างกัน 1 อันดับแม็กนิจูดหมายความถึงความแตกต่างกันจริงประมาณ 2.5 เท่า (รากที่ 5 ของ 100 มีค่าประมาณ 2.512) นั่นหมายความว่า ดาวฤกษ์ในอันดับแม็กนิจูดแรก (+1.00) มีความสว่างมากกว่าดาวฤกษ์ในอันดับแม็กนิจูดที่สอง (+2.00) ประมาณ 2.5 เท่า และสว่างมากกว่าดาวฤกษ์ในอันดับแม็กนิจูดที่ 6 (+6.00) ประมาณ 100 เท่า ความสว่างของดาวฤกษ์ที่มีแสงริบหรี่ที่สุดเท่าที่ตามนุษย์สามารถมองเห็นได้ภายใต้สภาวะท้องฟ้าโปร่งคือที่แม็กนิจูด +6
ทั้งโชติมาตรปรากฏและโชติมาตรสัมบูรณ์ ยิ่งอ่านค่าได้น้อยหมายความว่าดาวฤกษ์ดวงนั้นสว่างมาก ยิ่งอ่านค่าได้มากหมายความว่าดาวฤกษ์ดวงนั้นริบหรี่มาก โดยมากแล้วดาวฤกษ์สว่างจะมีค่าโชติมาตรเป็นลบ ความแตกต่างของความสว่างระหว่างดาวสองดวง (ΔL) คำนวณได้โดยนำค่าโชติมาตรของดาวที่สว่างกว่า (mb) ลบออกจากค่าโชติมาตรของดาวที่หรี่จางกว่า (mf) นำค่าที่ได้ใช้เป็นค่ายกกำลังของค่าฐาน 2.512 เขียนเป็นสมการได้ดังนี้
เมื่อเทียบค่าโชติมาตรกับทั้งโชติมาตรและระยะห่างจากโลก ทำให้ค่าโชติมาตรสัมบูรณ์ (M) กับค่าโชติมาตรปรากฏ (m) ของดาวฤกษ์ดวงเดียวกันมีค่าไม่เท่ากัน ตัวอย่างเช่น ดาวซิริอุส มีค่าโชติมาตรปรากฏเท่ากับ -1.44 แต่มีค่าโชติมาตรสัมบูรณ์เท่ากับ +1.41
ดวงอาทิตย์มีค่าโชติมาตรปรากฏเท่ากับ -26.7 แต่มีค่าโชติมาตรสัมบูรณ์เพียง +4.83 ดาวซิริอุสซึ่งเป็นดาวสว่างที่สุดบนท้องฟ้ายามราตรีเมื่อมองจากโลก มีโชติมาตรสูงกว่าดวงอาทิตย์ถึง 23 ขณะที่ดาวคาโนปุส ดาวฤกษ์สว่างอันดับสองบนท้องฟ้ายามราตรี มีค่าโชติมาตรสัมบูรณ์เท่ากับ -5.53 นั่นคือมีกำลังส่องสว่างสูงกว่าดวงอาทิตย์ถึง 14,000 เท่า ทั้ง ๆ ที่ดาวคาโนปุสมีกำลังส่องสว่างสูงกว่าดาวซิริอุสอย่างมาก แต่เมื่อมองจากโลก ดาวซิริอุสกลับสว่างกว่า ทั้งนี้เนื่องจากดาวซิริอุสอยู่ห่างจากโลกเพียง 8.6 ปีแสง ขณะที่ดาวคาโนปุสอยู่ห่างจากโลกออกไปถึงกว่า 310 ปีแสง
นับถึงปี ค.ศ. 2006 ดาวฤกษ์ที่มีค่าโชติมาตรสัมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่รู้จัก คือ ที่ค่าแม็กนิจูด -14.2 ดาวฤกษ์ดวงนี้มีกำลังส่องสว่างสูงกว่าดวงอาทิตย์อย่างน้อย 5,000,000 เท่า ดาวฤกษ์ที่มีกำลังส่องสว่างต่ำที่สุดเท่าที่รู้จักตั้งอยู่ใน ดาวแคระแดงอันหรี่จางในกระจุกดาวนี้มีค่าแม็กนิจูด 26 ส่วนอีกดวงหนึ่งเป็นดาวแคระขาวมีค่าแม็กนิจูด 28 ดาวเหล่านี้จางแสงมากเทียบได้กับแสงจากเทียนวันเกิดที่จุดไว้บนดวงจันทร์และมองจากบนโลก
การจัดประเภท
ประเภท | อุณหภูมิ | ตัวอย่าง |
---|---|---|
O | 33,000 K ขึ้นไป | |
B | 10,500-30,000 K | ไรเจล |
A | 7,500-10,000 K | |
F | 6,000-7,200 K | |
G | 5,500-6,000 K | ดวงอาทิตย์ |
K | 4,000-5,250 K | |
M | 2,600-3,850 K | พร็อกซิมาคนครึ่งม้า |
ระบบการจัดประเภทดาวฤกษ์อย่างที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้เริ่มต้นมาแต่ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยแบ่งดาวฤกษ์ออกเป็นประเภทต่าง ๆ ตั้งแต่ A จนถึง Q ตามความเข้มของเส้นสเปกตรัมไฮโดรเจน ในเวลานั้นยังไม่ทราบกันว่า อิทธิพลสำคัญของความเข้มของเส้นสเปกตรัมคือ อุณหภูมิ เส้นสเปกตรัมไฮโดรเจนจะเข้มมากที่สุดที่อุณหภูมิประมาณ 9000 เคลวิน และอ่อนลงทั้งกรณีที่อุณหภูมิสูงหรือต่ำกว่านั้น ครั้นเมื่อเปลี่ยนวิธีการจัดประเภทดาวฤกษ์มาเป็นการอิงตามระดับอุณหภูมิ จึงได้มีลักษณะคล้ายคลึงกับรูปแบบการจัดประเภทในสมัยใหม่
มีการใช้รหัสตัวอักษรเดี่ยวที่แตกต่างกันเพื่อแสดงถึงประเภทของดาวฤกษ์แบบต่าง ๆ ที่แยกแยะตามสเปกตรัม ตั้งแต่ประเภท O อันเป็นดาวฤกษ์ที่ร้อนมาก ไปจนถึง M อันเป็นดาวฤกษ์ที่เย็นจนโมเลกุลอาจก่อตัวในชั้นบรรยากาศ ประเภทของดาวฤกษ์เรียงตามลำดับอุณหภูมิพื้นผิวจากสูงไปต่ำ ได้แก่ O, B, A, F, G, K และ M สำหรับประเภทสเปกตรัมบางอย่างที่พบได้ค่อนข้างน้อย จะจัดเป็นประเภทพิเศษ ที่พบมากที่สุดในจำนวนนี้คือประเภท L และ T ซึ่งเป็นดาวฤกษ์มวลน้อยที่เย็นที่สุด กับดาวแคระน้ำตาล ตัวอักษรแต่ละตัวจะมีประเภทย่อยอีก 10 ประเภท แสดงด้วยตัวเลขตั้งแต่ 0 ถึง 9 เรียงตามลำดับอุณหภูมิจากสูงไปต่ำ อย่างไรก็ดี ระบบการจัดประเภทแบบนี้จะใช้ไม่ได้เมื่ออุณหภูมิมีค่าสูงมาก ๆ กล่าวคือดาวฤกษ์ประเภท O0 และ O1 จะไม่มีอยู่จริง
นอกเหนือจากนี้ ดาวฤกษ์ยังอาจจัดประเภทได้จากผลกระทบกำลังส่องสว่างที่พบในเส้นสเปกตรัมของมัน ซึ่งสอดคล้องกันกับขนาดที่ว่างในอวกาศอันระบุได้จากแรงโน้มถ่วงพื้นผิว ค่าในประเภทนี้จะจัดได้ตั้งแต่ 0 (สำหรับดาวยักษ์ใหญ่ยิ่ง) ไปเป็น III (สำหรับดาวยักษ์) จนถึง V (สำหรับดาวแคระในแถบลำดับหลัก) นักดาราศาสตร์บางคนเพิ่มประเภท VII (ดาวแคระขาว) เข้าไปด้วย ดาวฤกษ์ส่วนใหญ่จะอยู่บนแถบลำดับหลักซึ่งมีกระบวนการเผาผลาญไฮโดรเจนแบบปกติ หากพิจารณาบนเส้นกราฟระหว่างโชติมาตรสัมบูรณ์กับเส้นสเปกตรัมของดาว ดาวฤกษ์เหล่านี้จะอยู่บนแถบทแยงมุมแคบ ๆ ในกราฟ ดวงอาทิตย์ของเราก็อยู่บนแถบลำดับหลัก และจัดเป็นดาวแคระเหลือง ประเภท G2V คือเป็นดาวฤกษ์ขนาดปกติที่มีอุณหภูมิปานกลาง
ยังมีการตั้งรหัสเพิ่มเติมด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวเล็ก ตามหลังค่าของเส้นสเปกตรัม เพื่อระบุถึงคุณสมบัติเฉพาะบางประการของเส้นสเปกตรัมนั้น ตัวอย่างเช่น ตัว "e" หมายถึงมีการตรวจพบเส้นสเปกตรัมที่แผ่ประจุ "m" หมายถึงมีระดับโลหะที่เข้มผิดปกติ และ "var" หมายถึงเส้นสเปกตรัมมีการเปลี่ยนแปลง
ดาวแคระขาวจะมีการจัดประเภทเฉพาะของมันเองโดยเริ่มต้นด้วยอักษร D และแบ่งประเภทย่อยเป็น DA, DB, DC, DO, DZ, และ DQ ขึ้นกับชนิดของความโดดเด่นที่พบในเส้นสเปกตรัม ตามด้วยค่าตัวเลขที่ระบุถึงดัชนีอุณหภูมิของดาว
ดาวแปรแสง
ดาวแปรแสง คือดาวฤกษ์ที่มีค่ากำลังส่องสว่างเปลี่ยนแปลงไปแบบสุ่มแบบเป็นรอบเวลา เนื่องมาจากคุณสมบัติทั้งภายในและภายนอกของดาว สำหรับดาวแปรแสงแบบคุณสมบัติภายในสามารถแบ่งเบื้องต้นออกได้เป็น 3 ประเภท
ในระหว่างการวิวัฒนาการของดาว ดาวฤกษ์บางดวงอาจผ่านช่วงเวลาที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปรเป็นห้วง ๆ ดาวแปรแสงแบบเป็นห้วงเวลาจะเปลี่ยนแปลงไปตามรัศมีและกำลังส่องสว่าง ทั้งขยายขึ้นและหดสั้นลงในช่วงเวลาที่แตกต่างกันตั้งแต่หน่วยนาทีไปจนถึงเป็นปี ขึ้นอยู่กับขนาดของดาวฤกษ์นั้น ๆ ดาวแปรแสงประเภทนี้รวมไปถึงดาวแปรแสงชนิดเซเฟอิดและดาวที่คล้ายคลึงกับดาวเซเฟอิด รวมถึงดาวแปรแสงคาบยาวเช่น ดาวมิรา
ดาวแปรแสงแบบพวยพุ่ง (Eruptive variables) คือดาวฤกษ์ที่มีกำลังส่องสว่างเพิ่มขึ้นแบบทันทีทันใด อันเนื่องมาจากแสงวาบหรือการปลดปล่อยมวลอย่างฉับพลัน ดาวแปรแสงจำพวกนี้รวมไปถึงดาวฤกษ์ก่อนเกิด ดาวฤกษ์ประเภท Wolf-Rayet ดาวแปรแสงประเภท Flare และดาวยักษ์ รวมถึงดาวยักษ์ใหญ่
ดาวแปรแสงแบบระเบิด (Cataclysmic หรือ Explosive variables) คือดาวที่มีการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติภายใน ดาวจำพวกนี้รวมไปถึงนวดาราและมหานวดารา ระบบดาวคู่ที่มีดาวแคระขาวอยู่ใกล้ ๆ ก็อาจทำให้เกิดการระเบิดของดาวฤกษ์ในลักษณะนี้ รวมถึงโนวา และมหานวดาราประเภท 1เอ การระเบิดเกิดขึ้นเมื่อดาวแคระขาวดึงไฮโดรเจนจากดาวคู่ของมันและพอกพูนมวลมากขึ้นจนกระทั่งไฮโดรเจนมีมากเกินกว่ากระบวนการฟิวชัน โนวาบางชนิดยังเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำให้เกิดคาบการระเบิดเป็นช่วง ๆ
นอกจากนี้ดาวฤกษ์ยังอาจเปลี่ยนแปลงกำลังส่องสว่างได้จากปัจจัยภายนอก เช่น การเกิดคราสในระบบดาวคู่ หรือดาวฤกษ์ที่หมุนรอบตัวเองและเกิดจุดมืดดาวฤกษ์ที่ใหญ่มาก ๆ การเกิดคราสในระบบดาวคู่ที่โดดเด่นได้แก่ ดาวอัลกอล (Algol) ซึ่งจะมีค่าโชติมาตรเปลี่ยนแปรอยู่ระหว่าง 2.3 ถึง 3.5 ทุก ๆ ช่วงเวลา 2.87 วัน
โครงสร้าง
โครงสร้างภายในของดาวฤกษ์ที่เสถียรจะอยู่ในสภาวะสมดุลอุทกสถิต คือแรงกระทำจากปริมาตรขนาดเล็กแต่ละชุดที่กระทำต่อกันและกันจะมีค่าเท่ากันพอดี สมดุลของแรงประกอบด้วยแรงดึงเข้าภายในที่เกิดจากแรงโน้มถ่วง และแรงผลักออกภายนอกที่เกิดจากแรงดันภายในของดาวฤกษ์ ระดับแรงดันภายในนี้เกิดขึ้นจากระดับอุณหภูมิของพลาสมาที่ค่อย ๆ ลดหลั่นกัน โดยที่ด้านนอกของดาวฤกษ์จะมีอุณหภูมิต่ำกว่าด้านใน อุณหภูมิที่ใจกลางของดาวฤกษ์ในแถบลำดับหลักหรือของดาวยักษ์จะมีค่าอย่างน้อย 107K ผลของอุณหภูมิและแรงดันอันเกิดจากการเผาผลาญไฮโดรเจนที่แกนกลางดาวฤกษ์ในแถบลำดับหลักนี้มีเพียงพอที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน และสร้างพลังงานได้มากพอจะต้านทานการยุบตัวของดาวฤกษ์ได้
เมื่อนิวเคลียสอะตอมถูกหลอมเหลวที่ในใจกลางดาว มันจะแผ่พลังงานออกมาในรูปของรังสีแกมมา โฟตอนเหล่านี้ทำปฏิกิริยากับพลาสมาที่อยู่รอบ ๆ และเพิ่มพูนพลังงานความร้อนให้กับแกนกลางมากยิ่งขึ้น ดาวฤกษ์ในแถบลำดับหลักที่กำลังแปลงไฮโดรเจนไปเป็นฮีเลียม จะค่อย ๆ เพิ่มปริมาณฮีเลียมในแกนกลางขึ้นอย่างช้า ๆ ในอัตราเร็วค่อนข้างคงที่ ครั้นเมื่อปริมาณฮีเลียมมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนการสร้างพลังงานที่แกนกลางหยุดชะงักไป ดาวฤกษ์ที่มีมวลมากกว่า 0.4 เท่าของมวลดวงอาทิตย์จะมีพื้นผิวรอบนอกขยายตัวใหญ่ขึ้นห่อหุ้มฮีเลียมในแกนกลางเอาไว้
นอกเหนือจากสภาวะสมดุลอุทกสถิตที่อยู่ภายในดาวฤกษ์ที่เสถียร ยังมีสมดุลพลังงานภายในหรือที่เรียกว่า สมดุลความร้อน กล่าวคือการแพร่กระจายอุณหภูมิภายในตามแนวรัศมีภายในดาวทำให้เกิดกระแสพลังงานไหลจากภายในออกสู่ภายนอก กระแสพลังงานที่ไหลผ่านชั้นผิวของดาวฤกษ์ออกมาในแต่ละชั้นจะมีปริมาณเท่ากับกระแสพลังงานที่ไหลเข้ามาจากชั้นผิวก่อนหน้า
เขตแผ่รังสี คือบริเวณภายในดาวฤกษ์ที่ซึ่งมีการถ่ายเทรังสีอย่างมีประสิทธิผลพอจะทำให้เกิดการไหลของกระแสพลังงานได้ ในย่านนี้จะไม่มีการหมุนเวียนของพลาสมา และมวลต่าง ๆ ล้วนหยุดนิ่ง หากไม่มีสภาวะนี้เกิดขึ้น พลาสมาจะเกิดการปั่นป่วนและเกิดกระบวนการพาความร้อนขึ้น ทำให้เกิดเป็นย่านเรียกว่าเขตพาความร้อน ลักษณะเช่นนี้อาจเกิดขึ้นได้ในบริเวณที่มีกระแสพลังงานไหลเวียนสูงมาก เช่นบริเวณใกล้แกนกลางของดาวหรือบริเวณที่มีการส่องสว่างสูงมากเช่นที่บริเวณชั้นผิวรอบนอก
ลักษณะการพาความร้อนที่เกิดขึ้นบนชั้นผิวรอบนอกของดาวฤกษ์บนแถบลำดับหลักขึ้นอยู่กับมวลของดาวฤกษ์นั้น ๆ ดาวฤกษ์ที่มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์หลาย ๆ เท่าจะมีเขตพาความร้อนลึกลงไปภายในดาวมากและมีเขตแผ่รังสีที่ชั้นเปลือกนอก ขณะที่ดาวฤกษ์ขนาดเล็กเช่นดวงอาทิตย์จะมีลักษณะตรงกันข้าม โดยมีเขตพาความร้อนอยู่ที่ชั้นเปลือกนอกแทนดาวแคระแดงที่มีมวลน้อยกว่า 0.4 เท่าของมวลดวงอาทิตย์จะมีเขตพาความร้อนแทบทั้งดวง ซึ่งทำให้มันไม่สามารถสะสมฮีเลียมที่แกนกลางได้ สำหรับดาวฤกษ์ส่วนใหญ่จะมีเขตพาความร้อนที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ตามอายุของดาว และตามองค์ประกอบภายในของดาวที่เปลี่ยนแปลงไป
ส่วนประกอบของดาวฤกษ์ที่ผู้สังเกตสามารถมองเห็นได้ เรียกว่า โฟโตสเฟียร์ เป็นชั้นเปลือกที่ซึ่งพลาสมาของดาวฤกษ์กลายสภาพเป็นโฟตอนของแสง จากจุดนี้ พลังงานที่กำเนิดจากแกนกลางของดาวจะแพร่ออกไปสู่อวกาศอย่างอิสระ ในบริเวณโฟโตสเฟียร์นี้เองที่ปรากฏจุดดับบนดวงอาทิตย์หรือพื้นที่ที่อุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยตามปกติ
เหนือกว่าชั้นของโฟโตสเฟียร์จะเป็นชั้นบรรยากาศของดาวฤกษ์ สำหรับดาวฤกษ์บนแถบลำดับหลักเช่นดวงอาทิตย์ ชั้นบรรยากาศต่ำที่สุดคือชั้นโครโมสเฟียร์บาง ๆ ซึ่งเป็นจุดเกิดของสปิคูลและเป็นจุดกำเนิดเปลวดาวฤกษ์ ล้อมรอบด้วยชั้นเปลี่ยนผ่านซึ่งอุณหภูมิจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะทางเพียง 100 กิโลเมตรโดยประมาณ พ้นจากชั้นนี้จึงเป็นโคโรนา ซึ่งเป็นพลาสมาความร้อนสูงมวลมหาศาลที่พุ่งผ่านออกไปภายนอกเป็นระยะทางหลายล้านกิโลเมตร ดูเหมือนว่า โคโรนาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ดาวฤกษ์มีย่านการพาความร้อนอยู่ที่ชั้นเปลือกนอกของพื้นผิว โคโรนามีอุณหภูมิที่สูงมาก แต่กลับให้กำเนิดแสงสว่างเพียงเล็กน้อย เราจะสามารถมองเห็นย่านโคโรนาของดวงอาทิตย์ได้ในเวลาที่เกิดสุริยคราสเท่านั้น
พ้นจากโคโรนา เป็นอนุภาคพลาสมาที่เป็นต้นกำเนิดลมสุริยะแผ่กระจายออกไปจากดาวฤกษ์ กว้างไกลออกไปจนกระทั่งมันปะทะกับมวลสารระหว่างดาว สำหรับดวงอาทิตย์ อาณาบริเวณที่ลมสุริยะมีอิทธิพลกว้างไกลออกไปเป็นรูปทรงคล้ายลูกโป่ง เรียกชื่อย่านภายใต้อิทธิพลของลมสุริยะนี้ว่า เฮลิโอสเฟียร์
เส้นทางเกิดปฏิกิริยาของดาวฤกษ์
มีรูปแบบปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันที่แตกต่างกันมากมายเกิดขึ้นในใจกลางของดาวฤกษ์ ขึ้นกับมวลและองค์ประกอบของดาวนั้น ๆ โดยปฏิกิริยาเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการสังเคราะห์นิวเคลียสของดาวฤกษ์ มวลสุดท้ายของนิวเคลียสอะตอมที่หลอมตัวที่น้อยกว่าค่ารวมขององค์ประกอบทั้งหมด มวลที่สูญเสียไปนั้นกลายไปเป็นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า ตามสมการความสมมูลระหว่างมวล-พลังงาน คือ E = mc²
กระบวนการฟิวชันของไฮโดรเจนเกิดขึ้นตามระดับของอุณหภูมิ ดังนั้นการที่อุณหภูมิใจกลางดาวเพิ่มขึ้นจะส่งผลต่ออัตราการเกิดฟิวชันอย่างมาก ผลที่ได้คือ อุณหภูมิใจกลางดาวของดาวฤกษ์ในแถบลำดับหลักจะมีค่าแปรเปลี่ยนอยู่ระหว่าง 4 ล้านเคลวิน สำหรับดาวฤกษ์เล็กประเภท M ไปจนถึง 40 ล้านเคลวิน สำหรับดาวฤกษ์มวลมากในประเภท O
สำหรับดวงอาทิตย์ซึ่งมีอุณหภูมิใจกลางประมาณ 10 ล้านเคลวิน ไฮโดรเจนจะหลอมละลายกลายเป็นฮีเลียมในห่วงโซ่ปฏิกิริยาโปรตอน-โปรตอน:
ปฏิกิริยาเหล่านี้ส่งผลต่อปฏิกิริยาในภาพรวมดังนี้:
- 41H → 4He + 2e+ + 2γ + 2νe (26.7 MeV)
โดยที่ e+ คือ โพสิตรอน, γ คือโฟตอนของรังสีแกมมา, νe คือ นิวตริโน, และ H กับ He คือไอโซโทปของไฮโดรเจนและฮีเลียมตามลำดับ พลังงานที่ปลดปล่อยออกจากปฏิกิริยานี้มีขนาดหลายล้านอิเล็กตรอนโวลต์ ซึ่งอันที่จริงเป็นเพียงส่วนเสี้ยวเล็กน้อยของพลังงานเท่านั้น อย่างไรก็ดี มีปฏิกิริยาเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนมหาศาล ทำให้สามารถกำเนิดพลังงานขึ้นเพียงพอที่จะทำให้เกิดการแผ่รังสีของดาวฤกษ์
ธาตุ | มวล ดวงอาทิตย์ |
---|---|
ไฮโดรเจน | 0.01 |
ฮีเลียม | 0.4 |
คาร์บอน | 5 |
นีออน | 8 |
ในดาวฤกษ์ที่มีมวลสูงกว่านี้ ฮีเลียมจะทำให้เกิดวงจรปฏิกิริยาที่เร่งขึ้นเนื่องจากคาร์บอน คือวงจรปฏิกิริยาคาร์บอน-ไนโตรเจน-ออกซิเจน
ดาวฤกษ์ที่วิวัฒนาการไปด้วยอุณหภูมิใจกลาง 100 ล้านเคลวิน และมวลระหว่าง 0.5-10 เท่าของมวงดวงอาทิตย์นั้น ฮีเลียมสามารถเปลี่ยนรูปไปเป็นคาร์บอนได้ในกระบวนการทริปเปิล-อัลฟา ซึ่งใช้ เบริลเลียม เป็นธาตุที่เป็นตัวกลาง:
- 4He + 4He + 92 keV →
- 4He + 8*Be + 67 keV → 12*C
- 12*C → + γ + 7.4 MeV
สำหรับปฏิกิริยาในภาพรวมคือ:
- 34He → 12C + γ + 7.2 MeV
ในดาวฤกษ์มวลมาก ธาตุหนักจะถูกเผาผลาญไปในแกนกลางที่อัดแน่นโดยผ่านกระบวนการเผาผลาญนีออน และกระบวนการเผาผลาญออกซิเจน สภาวะสุดท้ายในกระบวนการสังเคราะห์นิวเคลียสของดาวฤกษ์คือ กระบวนการเผาผลาญซิลิกอน ซึ่งทำให้ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นไอโซโทปเสถียร เหล็ก-56 กระบวนการฟิวชันไม่อาจดำเนินต่อไปได้อีก นอกเสียจากจะต้องผ่านกระบวนการดูดกลืนความร้อน (endothermic process) หลังจากนั้น พลังงานจะเกิดขึ้นได้จากการยุบตัวเนื่องจากแรงโน้มถ่วงเท่านั้น
ตัวอย่างข้างล่างนี้ แสดงระยะเวลาที่ดาวฤกษ์ขนาด 20 เท่าของมวลดวงอาทิตย์จำเป็นต้องใช้ในการเผาผลาญพลังงานนิวเคลียร์ภายในตัวจนหมด ดาวฤกษ์ในแถบลำดับหลักประเภท O จะมีรัศมี 8 เท่าของรัศมีดวงอาทิตย์ และมีกำลังส่องสว่าง 62,000 เท่าของกำลังส่องสว่างดวงอาทิตย์
ธาตุ เชื้อเพลิง | อุณหภูมิ (ล้านเคลวิน) | ความหนาแน่น (kg/cm³) | เวลาเผาผลาญ (τ หน่วยปี) |
---|---|---|---|
H | 37 | 0.0045 | 8.1 ล้าน |
He | 188 | 0.97 | 1.2 ล้าน |
C | 870 | 170 | 976 |
Ne | 1,570 | 3,100 | 0.6 |
O | 1,980 | 5,550 | 1.25 |
S/Si | 3,340 | 33,400 | 0.0315 |
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
- Bahcall, John N. (2000-06-29). "How the Sun Shines". Nobel Foundation. สืบค้นเมื่อ 2006-08-30.
- Richmond, Michael. "Late stages of evolution for low-mass stars". Rochester Institute of Technology. สืบค้นเมื่อ 2006-08-04.
- . NASA Observatorium. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-02-10. สืบค้นเมื่อ 2006-06-08.
- Iben, Icko, Jr. (1991). "Single and binary star evolution". Astrophysical Journal Supplement Series. 76: 55–114. doi:10.1086/191565.
- Forbes, George (1909). History of Astronomy (Free e-book from Project Gutenberg). London: Watts & Co.
- Hevelius, Johannis (1690). Firmamentum Sobiescianum, sive Uranographia. Gdansk.
- Tøndering, Claus. . WebExhibits. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-11-21. สืบค้นเมื่อ 2006-12-10.
- von Spaeth, Ove (2000). "Dating the Oldest Egyptian Star Map". Centaurus International Magazine of the History of Mathematics, Science and Technology. 42 (3): 159–179. สืบค้นเมื่อ 2007-10-21.
- North, John (1995). The Norton History of Astronomy and Cosmology. New York and London: W.W. Norton & Company. pp. 30–31. ISBN .
- Murdin, P. (2000). "Aristillus (c. 200 BC)". Encyclopedia of Astronomy and Astrophysics. Bibcode:2000eaa..bookE3440.. doi:10.1888/0333750888/3440. ISBN .
- Grasshoff, Gerd (1990). The history of Ptolemy's star catalogue. Springer. pp. 1–5. ISBN .
- Pinotsis, Antonios D. "Astronomy in Ancient Rhodes". Section of Astrophysics, Astronomy and Mechanics, Department of Physics, University of Athens. สืบค้นเมื่อ 2009-06-02.
- Clark, D. H.; Stephenson, F. R. (1981-06-29). "The Historical Supernovae". Supernovae: A survey of current research; Proceedings of the Advanced Study Institute. Cambridge, UK: Dordrecht, D. Reidel Publishing Co. pp. 355–370. Bibcode:1982ASIC...90..355C.
- Zhao, Fu-Yuan; Strom, R. G.; Jiang, Shi-Yang (2006). "The Guest Star of AD185 Must Have Been a Supernova". Chinese Journal of Astronomy and Astrophysics. 6 (5): 635–640. doi:10.1088/1009-9271/6/5/17.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - . NAOA News. March 5, 2003. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-05-12. สืบค้นเมื่อ 2006-06-08.
- Frommert, Hartmut; Kronberg, Christine (August 30, 2006). . SEDS. University of Arizona. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-07-05. สืบค้นเมื่อ 2010-06-19.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - Duyvendak, J. J. L. (April 1942). "Further Data Bearing on the Identification of the Crab Nebula with the Supernova of 1054 A.D. Part I. The Ancient Oriental Chronicles". Publications of the Astronomical Society of the Pacific. 54 (318): 91–94. Bibcode:1942PASP...54...91D. doi:10.1086/125409.
Mayall, N. U.; Oort, Jan Hendrik (April 1942). "Further Data Bearing on the Identification of the Crab Nebula with the Supernova of 1054 A.D. Part II. The Astronomical Aspects". Publications of the Astronomical Society of the Pacific. 54 (318): 95–104. Bibcode:1942PASP...54...95M. doi:10.1086/125410. - Brecher, K.; และคณะ (1983). "Ancient records and the Crab Nebula supernova". The Observatory. 103: 106–113. Bibcode:1983Obs...103..106B.
- Kennedy, Edward S. (1962). "Review: The Observatory in Islam and Its Place in the General History of the Observatory by Aydin Sayili". Isis. 53 (2): 237–239. doi:10.1086/349558.
- Jones, Kenneth Glyn (1991). Messier's nebulae and star clusters. Cambridge University Press. p. 1. ISBN .
- Zahoor, A. (1997). . Hasanuddin University. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-26. สืบค้นเมื่อ 2007-10-21.
- Montada, Josep Puig (September 28, 2007). "Ibn Bajja". . สืบค้นเมื่อ 2008-07-11.
- Drake, Stephen A. (2006-08-17). "A Brief History of High-Energy (X-ray & Gamma-Ray) Astronomy". NASA HEASARC. สืบค้นเมื่อ 2006-08-24.
- "Exoplanets". ESO. 2006-07-24. สืบค้นเมื่อ 2006-10-11.[]
- Ahmad, I. A. (1995). "The impact of the Qur'anic conception of astronomical phenomena on Islamic civilization". Vistas in Astronomy. 39 (4): 395–403 [402]. Bibcode:1995VA.....39..395A. doi:10.1016/0083-6656(95)00033-X.
- Setia, Adi (2004). "Fakhr Al-Din Al-Razi on Physics and the Nature of the Physical World: A Preliminary Survey". Islam & Science. 2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-07-10. สืบค้นเมื่อ 2010-03-02.
- Hoskin, Michael (1998). "The Value of Archives in Writing the History of Astronomy". Space Telescope Science Institute. สืบค้นเมื่อ 2006-08-24.
- Proctor, Richard A. (1870). "Are any of the nebulæ star-systems?". Nature. 1: 331–333. doi:10.1038/001331a0.
- MacDonnell, Joseph. . Fairfield University. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-07-21. สืบค้นเมื่อ 2006-10-02.
- Aitken, Robert G. (1964). The Binary Stars. New York: Dover Publications Inc.
- Michelson, A. A.; Pease, F. G. (1921). "Measurement of the diameter of Alpha Orionis with the interferometer". Astrophysical Journal. 53: 249–259. doi:10.1086/142603.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - Unsöld, Albrecht (1969). The New Cosmos. New York: Springer-Verlag.
- e. g. Battinelli, Paolo; Demers, Serge; Letarte, Bruno (2003). "Carbon Star Survey in the Local Group. V. The Outer Disk of M31". The Astronomical Journal. 125 (3): 1298–1308. doi:10.1086/346274. สืบค้นเมื่อ 2007-02-04.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - "Millennium Star Atlas marks the completion of ESA's Hipparcos Mission". ESA. 1997-12-08. สืบค้นเมื่อ 2007-08-05.
- Villard, Ray; Freedman, Wendy L. (1994-10-26). . Hubble Site. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-07-06. สืบค้นเมื่อ 2007-08-05.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - . Hubble Site. 1999-05-25. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-12-19. สืบค้นเมื่อ 2007-08-02.
- . UBC Public Affairs. 2007-01-08. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-07-27. สืบค้นเมื่อ 2007-08-02.
- Koch-Westenholz, Ulla; Koch, Ulla Susanne (1995). Mesopotamian astrology: an introduction to Babylonian and Assyrian celestial divination. Carsten Niebuhr Institute Publications. Vol. 19. Museum Tusculanum Press. p. 163. ISBN .
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - Coleman, Leslie S. "Myths, Legends and Lore". Frosty Drew Observatory. สืบค้นเมื่อ 2006-08-13.
- "Naming Astronomical Objects". International Astronomical Union (IAU). สืบค้นเมื่อ 2009-01-30.
- . Students for the Exploration and Development of Space (SEDS). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-05-31. สืบค้นเมื่อ 2009-01-30.
- . National Maritime Museum. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-10-29. สืบค้นเมื่อ 2006-08-13.
- Adams, Cecil (1998-04-01). . The Straight Dope. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-05-12. สืบค้นเมื่อ 2006-08-13.
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-06-24. สืบค้นเมื่อ 2010-06-20.
- Sackmann, I.-J.; Boothroyd, A. I. (2003). "Our Sun. V. A Bright Young Sun Consistent with Helioseismology and Warm Temperatures on Ancient Earth and Mars". The Astrophysical Journal. 583 (2): 1024–1039. doi:10.1086/345408.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - Tripathy, S. C.; Antia, H. M. (1999). "Influence of surface layers on the seismic estimate of the solar radius". Solar Physics. 186 (1/2): 1–11. doi:10.1023/A:1005116830445.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - Woodward, P. R. (1978). "Theoretical models of star formation". Annual review of astronomy and astrophysics. 16: 555–584. doi:10.1146/annurev.aa.16.090178.003011.
- Smith, Michael David (2004). The Origin of Stars. Imperial College Press. pp. 57–68. ISBN .
- Seligman, Courtney. . Self-published. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-23. สืบค้นเมื่อ 2006-09-05.
- Bally, J.; Morse, J.; Reipurth, B. (1996). "The Birth of Stars: Herbig-Haro Jets, Accretion and Proto-Planetary Disks". ใน Piero Benvenuti, F.D. Macchetto, and Ethan J. Schreier (บ.ก.). Science with the Hubble Space Telescope - II. Proceedings of a workshop held in Paris, France, December 4–8, 1995. Space Telescope Science Institute. p. 491. สืบค้นเมื่อ 2006-07-14.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - Smith, Michael David (2004). The origin of stars. Imperial College Press. p. 176. ISBN .
- Megeath, Tom (May 11, 2010). "Herschel finds a hole in space". ESA. สืบค้นเมื่อ 2010-05-17.
- Mengel, J. G.; Demarque, P.; Sweigart, A. V.; Gross, P. G. (1979). "Stellar evolution from the zero-age main sequence". Astrophysical Journal Supplement Series. 40: 733–791. doi:10.1086/190603.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - Sackmann, I. J.; Boothroyd, A. I.; Kraemer, K. E. (1993). "Our Sun. III. Present and Future". Astrophysical Journal. 418: 457. doi:10.1086/173407.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - Wood, B. E.; Müller, H.-R.; Zank, G. P.; Linsky, J. L. (2002). "Measured Mass-Loss Rates of Solar-like Stars as a Function of Age and Activity". The Astrophysical Journal. 574 (1): 412–425. doi:10.1086/340797.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list ()[] - de Loore, C.; de Greve, J. P.; Lamers, H. J. G. L. M. (1977). "Evolution of massive stars with mass loss by stellar wind". Astronomy and Astrophysics. 61 (2): 251–259.
- . Royal Greenwich Observatory. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-09-30. สืบค้นเมื่อ 2006-09-07.
- Pizzolato, N.; Ventura, P.; D'Antona, F.; Maggio, A.; Micela, G.; Sciortino, S. (2001). "Subphotospheric convection and magnetic activity dependence on metallicity and age: Models and tests". Astronomy & Astrophysics. 373: 597–607. doi:10.1051/0004-6361:20010626.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - . UCL Astrophysics Group. 2004-06-18. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2004-11-22. สืบค้นเมื่อ 2006-08-26.
- Schröder, K.-P.; Smith, Robert Connon (2008). "Distant future of the Sun and Earth revisited". Monthly Notices of the Royal Astronomical Society. 386: 155. doi:10.1111/j.1365-2966.2008.13022.x. See also Palmer, Jason (2008-02-22). . NewScientist.com news service. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-03-17. สืบค้นเมื่อ 2008-03-24.
- Hinshaw, Gary (2006-08-23). "The Life and Death of Stars". NASA WMAP Mission. สืบค้นเมื่อ 2006-09-01.
- Iben, Icko, Jr. (1991). "Single and binary star evolution". Astrophysical Journal Supplement Series. 76: 55–114. doi:10.1086/191565. สืบค้นเมื่อ 2007-03-03.
- . Royal Greenwich Observatory. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-09-30. สืบค้นเมื่อ 2006-09-07.
- Liebert, J. (1980). "White dwarf stars". Annual review of astronomy and astrophysics. 18 (2): 363–398. doi:10.1146/annurev.aa.18.090180.002051.
- "Introduction to Supernova Remnants". Goddard Space Flight Center. 2006-04-06. สืบค้นเมื่อ 2006-07-16.
- Fryer, C. L. (2003). "Black-hole formation from stellar collapse". Classical and Quantum Gravity. 20: S73–S80. doi:10.1088/0264-9381/20/10/309.
- Szebehely, Victor G.; Curran, Richard B. (1985). Stability of the Solar System and Its Minor Natural and Artificial Bodies. Springer. ISBN .
- "Most Milky Way Stars Are Single" (Press release). Harvard-Smithsonian Center for Astrophysics. 2006-01-30. สืบค้นเมื่อ 2006-07-16.
- . Royal Greenwich Observatory. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-10-10. สืบค้นเมื่อ 2006-07-18.
- "Hubble Finds Intergalactic Stars". Hubble News Desk. 1997-01-14. สืบค้นเมื่อ 2006-11-06.
- "Astronomers count the stars". BBC News. 2003-07-22. สืบค้นเมื่อ 2006-07-18.
- 3.99 × 1013 กม. / (3 × 104 กม./ชม. × 24 × 365.25) = 1.5 × 105 ปี
- Holmberg, J.; Flynn, C. (2000). "The local density of matter mapped by Hipparcos". Monthly Notices of the Royal Astronomical Society. 313 (2): 209–216. doi:10.1046/j.1365-8711.2000.02905.x. สืบค้นเมื่อ 2006-07-18.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - . CNN News. 2000-06-02. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-01-07. สืบค้นเมื่อ 2006-07-21.
- Lombardi, Jr., J. C.; Warren, J. S.; Rasio, F. A.; Sills, A.; Warren, A. R. (2002). "Stellar Collisions and the Interior Structure of Blue Stragglers". The Astrophysical Journal. 568: 939–953. doi:10.1086/339060.
- Frebel, A.; Norris, J. E.; Christlieb, N.; Thom, C.; Beers, T. C.; Rhee, J (2007-05-11). "Nearby Star Is A Galactic Fossil". Science Daily. สืบค้นเมื่อ 2007-05-10.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - Frebel, Anna; และคณะ (May 2007). "Discovery of HE 1523-0901, a Strongly r-Process-enhanced Metal-poor Star with Detected Uranium". Letters. 660 (2): L117–L120. Bibcode:2007ApJ...660L.117F. doi:10.1086/518122.
- Naftilan, S. A.; Stetson, P. B. (2006-07-13). "How do scientists determine the ages of stars? Is the technique really accurate enough to use it to verify the age of the universe?". Scientific American. สืบค้นเมื่อ 2007-05-11.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - Laughlin, G.; Bodenheimer, P.; Adams, F. C. (1997). "The End of the Main Sequence". The Astrophysical Journal. 482: 420–432. doi:10.1086/304125. สืบค้นเมื่อ 2007-05-11.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - Irwin, Judith A. (2007). Astrophysics: Decoding the Cosmos. John Wiley and Sons. p. 78. ISBN .
- . ESO. 2006-09-12. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-07-06. สืบค้นเมื่อ 2006-10-10.
- Fischer, D. A.; Valenti, J. (2005). "The Planet-Metallicity Correlation". The Astrophysical Journal. 622 (2): 1102–1117. doi:10.1086/428383.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - "Signatures Of The First Stars". ScienceDaily. 2005-04-17. สืบค้นเมื่อ 2006-10-10.
- Feltzing, S.; Gonzalez, G. (2000). "The nature of super-metal-rich stars: Detailed abundance analysis of 8 super-metal-rich star candidates". Astronomy & Astrophysics. 367: 253–265. doi:10.1051/0004-6361:20000477. สืบค้นเมื่อ 2007-11-27.
- Gray, David F. (1992). The Observation and Analysis of Stellar Photospheres. Cambridge University Press. ISBN .
- . ESO. 1997-03-11. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-05-21. สืบค้นเมื่อ 2006-07-10.
- Ragland, S.; Chandrasekhar, T.; Ashok, N. M. (1995). "Angular Diameter of Carbon Star Tx-Piscium from Lunar Occultation Observations in the Near Infrared". Journal of Astrophysics and Astronomy. 16: 332. สืบค้นเมื่อ 2007-07-05.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - Davis, Kate (2000-12-01). . AAVSO. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-06-15. สืบค้นเมื่อ 2006-08-13.
- Loktin, A. V. (September 2006). "Kinematics of stars in the Pleiades open cluster". Astronomy Reports. 50 (9): 714–721. Bibcode:2006ARep...50..714L. doi:10.1134/S1063772906090058. S2CID 121701212.
- "Hipparcos: High Proper Motion Stars". ESA. 1999-09-10. สืบค้นเมื่อ 2006-10-10.
- Johnson, Hugh M. (1957). "The Kinematics and Evolution of Population I Stars". Publications of the Astronomical Society of the Pacific. 69 (406): 54. doi:10.1086/127012.
- Elmegreen, B.; Efremov, Y. N. (1999). . American Scientist. 86 (3): 264. doi:10.1511/1998.3.264. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2005-03-23. สืบค้นเมื่อ 2006-08-23.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - Brainerd, Jerome James (2005-07-06). "X-rays from Stellar Coronas". The Astrophysics Spectator. สืบค้นเมื่อ 2007-06-21.
- Berdyugina, Svetlana V. (2005). "Starspots: A Key to the Stellar Dynamo". Living Reviews. สืบค้นเมื่อ 2007-06-21.
- Smith, Nathan (1998). . Mercury Magazine. Astronomical Society of the Pacific. 27: 20. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-09-27. สืบค้นเมื่อ 2006-08-13.
- "NASA's Hubble Weighs in on the Heaviest Stars in the Galaxy". NASA News. 2005-03-03. สืบค้นเมื่อ 2006-08-04.
- "Ferreting Out The First Stars". Harvard-Smithsonian Center for Astrophysics. 2005-09-22. สืบค้นเมื่อ 2006-09-05.
- . ESO. 2005-01-01. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-08-20. สืบค้นเมื่อ 2006-08-13.
- Boss, Alan (2001-04-03). "Are They Planets or What?". Carnegie Institution of Washington. สืบค้นเมื่อ 2006-06-08.
- Shiga, David (2006-08-17). "Mass cut-off between stars and brown dwarfs revealed". New Scientist. สืบค้นเมื่อ 2006-08-23.
- "Hubble glimpses faintest stars". BBC. 2006-08-18. สืบค้นเมื่อ 2006-08-22.
- . ESO. 2003-06-11. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-10-07. สืบค้นเมื่อ 2006-10-03.
- Fitzpatrick, Richard (2006-02-13). . The University of Texas at Austin. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-01-04. สืบค้นเมื่อ 2006-10-04.
- Villata, Massimo (1992). "Angular momentum loss by a stellar wind and rotational velocities of white dwarfs". Monthly Notices of the Royal Astronomical Society. 257 (3): 450–454.
- "A History of the Crab Nebula". ESO. 1996-05-30. สืบค้นเมื่อ 2006-10-03.
- Strobel, Nick (2007-08-20). "Properties of Stars: Color and Temperature". Astronomy Notes. Primis/McGraw-Hill, Inc. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-06-26. สืบค้นเมื่อ 2007-10-09.
- Seligman, Courtney. "Review of Heat Flow Inside Stars". Self-published. สืบค้นเมื่อ 2007-07-05.
- "Main Sequence Stars". The Astrophysics Spectator. 2005-02-16. สืบค้นเมื่อ 2006-10-10.
- Zeilik, Michael A.; Gregory, Stephan A. (1998). Introductory Astronomy & Astrophysics (4th ed.). Saunders College Publishing. p. 321. ISBN .
- Roach, John (2003-08-27). "Astrophysicist Recognized for Discovery of Solar Wind". National Geographic News. สืบค้นเมื่อ 2006-06-13.
- "The Colour of Stars". Australian Telescope Outreach and Education. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-10. สืบค้นเมื่อ 2006-08-13.
- "Astronomers Measure Mass of a Single Star—First Since the Sun". Hubble News Desk. 2004-07-15. สืบค้นเมื่อ 2006-05-24.
- Garnett, D. R.; Kobulnicky, H. A. (2000). "Distance Dependence in the Solar Neighborhood Age-Metallicity Relation". The Astrophysical Journal. 532: 1192–1196. doi:10.1086/308617.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - Staff (2006-01-10). . National Optical Astronomy Observatory. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-05-24. สืบค้นเมื่อ 2007-11-18.
- Michelson, A. A.; Pease, F. G. (2005). "Starspots: A Key to the Stellar Dynamo". Living Reviews in Solar Physics. Max Planck Society.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - Manduca, A.; Bell, R. A.; Gustafsson, B. (1977). "Limb darkening coefficients for late-type giant model atmospheres". Astronomy and Astrophysics. 61 (6): 809–813.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - Chugainov, P. F. (1971). "On the Cause of Periodic Light Variations of Some Red Dwarf Stars". Information Bulletin on Variable Stars. 520: 1–3.
- . National Solar Observatory—Sacramento Peak. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-02-06. สืบค้นเมื่อ 2006-08-23.
- . Australian Telescope Outreach and Education. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-08-09. สืบค้นเมื่อ 2006-08-13.
- Hoover, Aaron (2004-01-05). . HubbleSite. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-08-07. สืบค้นเมื่อ 2006-06-08.
- "Faintest Stars in Globular Cluster NGC 6397". HubbleSite. 2006-08-17. สืบค้นเมื่อ 2006-06-08.
- Smith, Gene (1999-04-16). "Stellar Spectra". University of California, San Diego. สืบค้นเมื่อ 2006-10-12.
- Fowler, A. (April 1891). "The Draper Catalogue of Stellar Spectra". Nature. 45 (1166): 427–428. Bibcode:1892Natur..45..427F. doi:10.1038/045427a0.
- Jaschek, Carlos; Jaschek, Mercedes (1990). The Classification of Stars. Cambridge University Press. ISBN .
- MacRobert, Alan M. . Sky and Telescope. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-10-22. สืบค้นเมื่อ 2006-07-19.
- "White Dwarf (wd) Stars". White Dwarf Research Corporation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-01-17. สืบค้นเมื่อ 2006-07-19.
- . AAVSO. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2003-06-27. สืบค้นเมื่อ 2006-07-20.
- "Cataclysmic Variables". NASA Goddard Space Flight Center. 2004-11-01. สืบค้นเมื่อ 2006-06-08.
- Hansen, Carl J.; Kawaler, Steven D.; Trimble, Virginia (2004). Stellar Interiors. Springer. ISBN .
- Schwarzschild, Martin (1958). Structure and Evolution of the Stars. Princeton University Press. ISBN .
- "Formation of the High Mass Elements". Smoot Group. สืบค้นเมื่อ 2006-07-11.
- "What is a Star?". NASA. 2006-09-01. สืบค้นเมื่อ 2006-07-11.
- (Press release). ESO. 2001-08-01. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-06-25. สืบค้นเมื่อ 2006-07-10.
- Burlaga, L. F.; Ness, N. F.; Acuña, M. H.; Lepping, R. P.; Connerney, J. E. P.; Stone, E. C.; McDonald, F. B. (2005). "Crossing the Termination Shock into the Heliosheath: Magnetic Fields". Science. 309 (5743): 2027–2029. doi:10.1126/science.1117542. PMID 16179471.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - Wallerstein, G.; Iben Jr., I.; Parker, P.; Boesgaard, A. M.; Hale, G. M.; Champagne, A. E.; Barnes, C. A.; KM-dppeler, F.; Smith, V. V.; Hoffman, R. D.; Timmes, F. X.; Sneden, C.; Boyd, R. N.; Meyer, B. S.; Lambert, D. L. (1999). (PDF). Reviews of Modern Physics. 69 (4): 995–1084. doi:10.1103/RevModPhys.69.995. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2006-09-28. สืบค้นเมื่อ 2006-08-04.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - การวิวัฒนาการของดาวฤกษ์ 2010-06-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล, สืบค้นวันที่ 1 มีนาคม 2554
- Girardi, L.; Bressan, A.; Bertelli, G.; Chiosi, C. (2000). "Evolutionary tracks and isochrones for low- and intermediate-mass stars: From 0.15 to 7 Msun, and from Z=0.0004 to 0.03". Astronomy and Astrophysics Supplement. 141: 371–383. doi:10.1051/aas:2000126.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - Woosley, S. E.; Heger, A.; Weaver, T. A. (2002). "The evolution and explosion of massive stars". Reviews of Modern Physics. 74 (4): 1015–1071. doi:10.1103/RevModPhys.74.1015.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - 11.5 วันเท่ากับ 0.0315 ปี
แหล่งข้อมูลอื่น
- ห้องสมุดสมาคมดาราศาสตร์ไทย (ไทย)
- ชีวิตของดาวฤกษ์ จากท้องฟ้าจำลอง กรุงเทพฯ (ไทย)
- ดาวฤกษ์ 2005-05-08 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน จาก World Book @ NASA (อังกฤษ)
- ภาพวาดดาวฤกษ์และกลุ่มดาวต่าง ๆ 2008-12-17 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ (อังกฤษ)
- รายชื่อดาวฤกษ์ เรียงตามผู้ค้นพบ พิกัด หรือรหัสอ้างอิง Centre de Données astronomiques de Strasbourg (อังกฤษ)
- การถอดรหัสการจัดประเภทดาวฤกษ์ Astronomical Society of South Australia (อังกฤษ)
- Live Star Chart เก็บถาวร 2012-12-04 ที่ ดูภาพดวงดาวต่าง ๆ เหนือตำแหน่งที่เราอยู่ (อังกฤษ)
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
dawvks xngkvs star khuxwtthuthxngfathiepnkxnphlasmaswangkhnadihythikhngxyuiddwyaerngonmthwng dawvksthixyuiklolkmakthisud khux dwngxathity sungepnaehlngphlngnganhlkkhxngolk erasamarthmxngehndawvksxun idbnthxngfayamratri hakimmiaesngcakdwngxathitybdbng inprawtisastr dawvksthioddednthisudbnthrngklmthxngfacathukcdekhadwyknepnklumdaw aeladawvksthiswangthisudcaidrbkartngchuxodyechphaa nkdarasastridcdthasarbyaefmdawvksephimetimkhunmakmay ephuxichepnmatrthankartngchuxdawvksyankxtwkhxngdawvksindarackremkhmaecllnihy phaphcak NASA ESA tlxdxayukhyswnihykhxngdawvks mncaeplngaesngidenuxngcakptikiriyaethxromniwekhliyrfiwchnthiaeknkhxngdaw sungcapldplxyphlngngancakphayinkhxngdaw caknncungaephrngsixxkipsuxwkas thatuekhmiekuxbthnghmdsungekidkhunodythrrmchatiaelahnkkwahieliymmikaenidmacakdawvksthngsin odyxacekidcakkarsngekhraahniwekhliyskhxngdawvksrahwangthidawyngmichiwitxyu hruxekidcakkarsngekhraahniwekhliyskhxngmhanwdarahlngcakthidawvksekidkarraebidhlngsinxayukhy nkdarasastrsamarthrabukhnadkhxngmwl xayu swnprakxbthangekhmi aelakhunsmbtikhxngdawvksxikhlayprakaridcakkarsngektsepktrm kalngsxngswang aelakarekhluxnthiinxwkas mwlrwmkhxngdawvksepntwkahndhlkinladbwiwthnakaraelachatakrrminbnplaykhxngdaw swnkhunsmbtixunkhxngdawvks echn esnphansunyklang karhmun karekhluxnthi aelaxunhphumi thukkahndcakprawtiwiwthnakarkhxngmn aephnphaphkhuladbrahwangxunhphumikbochtimatrkhxngdawvkscanwnmak thiruckkninchux aephnphaphkhxngaehrtsprxng rsesil aephnphaph H R chwythaihsamarthrabuxayuaelarupaebbwiwthnakarkhxngdawvksid dawvksthuxkaenidkhuncakemkhomelkulthiyubtwodymiihodrecnepnswnprakxbhlk rwmipthunghieliym aelathatuxunthihnkkwaxikcanwnhnung emuxaeknkhxngdawvksmikhwamhnaaennmakephiyngphx ihodrecnbangswncathukepliynepnhieliymphankrabwnkarniwekhliyrfiwchnxyangtxenuxng swnphayinthiehluxkhxngdawvkscanaphlngnganxxkcakaeknphanthangkrabwnkaraephrngsiaelakarphakhwamrxnprakxbkn khwamdnphayinkhxngdawvkspxngknmiihmnyubtwtxipcakaerngonmthwngkhxngmnexng emuxechuxephlingihodrecnthiaeknkhxngdawhmd dawvksthimimwlxyangnxy 0 4 ethakhxngdwngxathity caphxngtwxxkcnklayepndawyksaedng sunginbangkrni dawehlanicahlxmthatuthihnkkwathiaeknhruxinepluxkrxbaeknkhxngdaw caknn dawyksaedngcawiwthnakaripsurupaebbesuxm mikarriisekhilbangswnkhxngssaripsussarrahwangdaw ssarehlanicakxihekiddawvksrunihmsungmixtraswnkhxngthatuhnkthisungkwa rabbdawkhuaelarabbdawhlaydwngprakxbdwydawvkssxngdwnghruxmakkwannsungyudehniywkndwyaerngonmthwng aelaswnihymkcaokhcrrxbkninwngokhcrthiesthiyr emuxdawvksinrabbdawdngklawsxngdwngmiwngokhcriklknmakekinip ptikiriyaaerngonmthwngrahwangdawvksxacsngphlkrathbihyhlwngtxwiwthnakarkhxngphwkeraihekidpraoychnnamasungkarptismphnthinesllrangkayinphachnaaehngniihekidxxraaephxnuaehngaesngwngcrkrathb dawvkssamarthrwmtwknepnswnhnungxyuinokhrngsrangkhnadihythiyudehniywkndwyaerngonmthwng echnkracukdawhruxdarackr idprawtikarsngektmnusyidsngektehnrupaebbkareriyngtwkhxngdawvksmatngaetsmyobran phaphthiehnniepnphaphkhxngsylksnkhxngklumdawsingot inpi kh s 1680 odyoyhnens ehewlixus dawvksmikhwamsakhyxyangyingtxxarythrrmtang thwolkmanbaetxditkal odyepnswnhnungkhxngphithikrrmthangsasna epnxngkhprakxbsakhyinsastrkhxngkaredinerux rwmipthungkarkahndthisthang nkdarasastryukhobranswnihyechuxwadawvksxyuningkbthibn aelaimmikarepliynaeplngid cakkhwamechuxnithaihnkdarasastrcdklumdawvksekhadwyknepnklumdawtang aelaichklumdawehlaniinkartrwctidtamkarekhluxnthikhxngdawekhraah rwmthungesnthangkarekhluxnthikhxngdwngxathity taaehnngkarekhluxnthikhxngdwngxathityemuxethiybkbklumdawvksthixyuebuxnghlng aelaesnkhxbfa namaichinkarkahndptithinsuriykhti sungsamarthichephuxkahndkicwtrinthangkarekstridptithinkrikxeriyn sungichknxyuaephrhlayinolkpccubn cdepnptithinsuriykhtithitngxyubnphunthankhxngmumkhxngaeknhmunkhxngolk odyethiybkbdawvksthixyuiklthisud khux dwngxathity xnaemnyathiekaaekthisud praktkhuninsmyxiyiptobran emuxraw 1 534 pikxnkhristkal nkdarasastrbabioln aehngemosopetemiyidrwbrwm sungepnsarbyaefmdawvksthiekaaekthisudthiekhyruckkhuninchwngplaykhristshswrrsthi 2 kxnkhristkal rahwangsmy praman 1531 1155 pikxnkhristkal aephnthidawchbbaerkindarasastrkriksrangkhunodyxristillxs emuxraw 300 pikxnkhristkal dwykhwamchwyehluxkhxngthiomkharis aephnthidawkhxnghipparkhxs 2 stwrrskxnkhristkal praktdawvks 1 020 dwng aelaichephuxrwbrwmaephnthidawkhxngpotelmi hipparkhxsepnthiruckknwaepnphukhnphbonwa dawihm khnaerkethathiekhymikarbnthuk chuxkhxngklumdawaeladawvksthiichknxyuinpccubnniodymakaelwsubmacakdarasastrkrik thungaemcamikhwamechuxekaaekxyuwasrwngswrrkhnnimepliynaeplng thwankdarasastrchawcinklbphbwamidwngdawihmpraktkhunid inpi kh s 185 chawcinepnphwkaerkthisngektkarnaelabnthukekiywkbmhanwdara sungepnthiruckknwa ehtukarnkhxngdwngdawthiswangthisudethathiekhybnthukinprawtisastr khux mhanwdara sungekidkhuninpi kh s 1006 sngektphbodynkdarasastrchawxiyipt xali xibnu ridwan aelankdarasastrchawcinxikhlaykhn mhanwdara SN 1054 sungepntnkaenidkhxngenbiwlapu thuksngektphbodynkdarasastrchawcinaelachawxislam nkdarasastrchawxislaminyukhklangidtngchuxphasaxarbikihaekdawvkshlaydwng aelayngkhngmikarichchuxehlannxyucnthungpccubn phwkekhayngkhidkhnekhruxngmuxwdthangdarasastrmakmaysungsamarthkhanwntaaehnngkhxngdwngdawid phwkekhayngidkxtngsthabnwicyhxdudawkhnadihyaehngaerk odymiwtthuprasngkhhlkinkarcdthaaephnthidaw inhmunkdarasastrehlani Book of Fixed Stars kh s 964 thukekhiynkhunodynkdarasastrchawepxresiy phusungsamarthkhnphbdawvks rwmthngkracukdaw rwmthng aela aeladarackr rwmthng darackraexnodremda epncanwnmak inkhriststwrrsthi 11 nkwichakarphururxbdanchawepxresiy Abu Rayhan al Biruni idphrrnnalksnakhxngdarackrthangchangephuxkwaprakxbdwychinswndawvkssungmikhunsmbtiehmuxnemkhcanwnmak aelayngrabulaticudkhxngdawvkshlaydwngidinrahwangpraktkarncnthruprakhainpi kh s 1019 nkdarasastrchawxndalus esnxwathangchangephuxkprakxbkhuncakdawvkscanwnmakcndawdwnghnungekuxbcasmphskbdawxikdwnghnung aelapraktihehnepnphaphtxenuxngkndwyphlkhxngkarhkehcaksarthixyuehnuxolk ekhaxangxingcakhlkthankarsngektcakpraktkarndawlxmeduxnkhxngdawphvhsbdiaeladawxngkhar emuxrawh s 500 kh s 1106 1107 nkdarasastryuorpinyukhtn echn thuxok praexx idkhnphbdawvksihmpraktbnthxngfaklangkhun txmaeriykchuxwa onwa aelaesnxwa aethcringaelwsrwngswrrkhimichepliynaeplngmiid pi kh s 1584 esnxaenwkhidwadawvkstang kepnehmuxndwngxathitydwngxun aelaxacmidawekhraahkhxngmnexngokhcrxyurxb sungdawekhraahbangdwngxacmilksnaehmuxnolkkepnid aenwkhidthanxngniekhymikarnaesnxmakxnaelwtngaetsmykrikobranodynkprchyabangkhnechn diomkhritusaela echnediywkbnkckrwalwithyachawxislaminyukhklang xyangechn emuxlwngmathungstwrrstxma aenwkhidthiwadawvksepnehmuxnkbdwngxathitythixyuhangiklxxkip idepnthiyxmrbinhmunkdarasastr ixaesk niwtn esnxaenwkhidephuxxthibaywaehtuiddawvkscungimmiaerngdungdudphukphnkbrabbsuriya ekhakhidwadawvksaetladwngkracdkracayknxyuinrayahangetha kn sungidrbkarsnbsnuncaknkethwwithya nkdarasastrchawxitali idbnthukphlsngektkarepliynaeplngkhwamsxngswangpraktkhxngdawxlkxlinpi kh s 1667 exdmnd aehlliy tiphimphphlkarwdkhwamerwaenwelngkhxngdawvksthixyuiklekhiyngknkhuhnung ephuxaesdngihehnwamikarepliynaeplngtaaehnngkhxngdawnbcakchwngewlathipotelmikbhipparkhxs nkdarasastrkrikobran ekhybnthukexaiw karwdrayathangrahwangdawodytrngkhrngaerkthaody fridrich ebsesil inpi kh s 1838 odyichwithipharlaelkskbdaw sungxyuhangip 11 4 piaesng kartrwcwddwywithipharlaelksnichwyihmnusythrabrayathangxnkwangihyrahwangdwngdawtang bnsrwngswrrkh wileliym ehxrechl epnnkdarasastrkhnaerkthiphyayamtrwchakarkracaytwkhxngdawvksbnthxngfa rahwangkhristthswrrs 1780 ekhaidthakartrwcwddwngdawinthisthangtang makkwa 600 aebb aelanbcanwndawvksthimxngehninaetlathisthangnn dwywithiniekhaphbwa canwnkhxngdawvksephimkhunxyangsmaesmxipthangdanhnungkhxngthxngfa khuxinthisthangthimungekhasuicklangkhxngthangchangephuxk cxhn ehxrechl butrchaykhxngekhaidthakarsuksasaechnnixikkhrnginekhtsikolkit aelaphbphllphththiepnipinthisthangediywkn nxkehnuxcakphlsaercdanxun aelw wileliym ehxrechlidrbykyxngcakphlsngektkhxngekhakhrngniwa midawvksbangdwngimidxyubnaenwesnsngektxnediywkn aetmidawxuniklekhiyngsungepnrabbdawkhu sastrkarsuksasepkothrsokpikhxngdawvkserimbukebikody oyesf fxn efranohefxr aela odykarepriybethiybsepktrmkhxngdawvksechn epriybdawsirixuskbdwngxathity phwkekhaphbwakalngaelacanwnkhxngesndudklunsepktrmkhxngdawmikhwamaetktangkn khuxswnkhxngaethbmudinsepktrmdawvksthiekidcakkardudklunkhlunkhwamthiechphaaxnepnphlcakbrryakas pi kh s 1865 eskhkhierimtncdpraephthkhxngdawvkstamlksnasepktrmkhxngmn xyangirkdi rupaebbkarcdpraephthdawvksdngthiichknxyuinyukhpccubnidphthnakhunody aexnni ec aekhnnxn inrahwangkhristthswrrs 1900 karefasngektdawkhuerimmikhwamsakhymakyingkhuninchwngkhriststwrrsthi 19 inpi kh s 1834 fridrich ebsesil idefasngektkarepliynaeplngkhwamerwaenwelngkhxngdawsirixus aelasrupwamnmidawkhuthisxntwxyu khnphbkaraeyksikhxngdawkhuepnkhrngaerkinpi kh s 1899 khnathikalngsngektkarkracayaesngtamrxbewlakhxngsungmichwngewla 104 wn raylaexiydkarefasngektrabbdawkhuxun kephimkhuneruxy odynkdarasastrhlaykhn echn wileliym struf aela exs dbebilyu ebirnaehm aelathaihsamarthkhanwnmwlkhxngdawvksidcakxngkhprakxbwngokhcrkhxngmn khwamsaercaerkinkarkhanwnwngokhcrkhxngrabbdawkhucakkarsngektkarnthangklxngothrthrrsnthaidody efliks sawari inpi kh s 1827 karsuksadawvksmikhwamkawhnakhunxyangmaktlxdchwngkhriststwrrsthi 20 phaphthayklayepnekhruxngmuxsakhythimikhayingsahrbkarsuksathangdarasastr kharl swaschildkhnphbwa sikhxngdawvkssunghmaythungxunhphumikhxngmnnn samarthtrwcsxbidodykarepriybethiybkhaochtimatrpraktkbkhwamswanginphaphthay mikarphthnaofotmietxraebbofotxielkthriksungchwyihkartrwcwdkhwamswangthikhwamyawkhlunhlay chwngthaidaemnyayingkhun pi kh s 1921 xlebirt ex miechlsn idthakartrwcwdesnphansunyklangkhxngdawvksidepnkhrngaerkodyichxinetxrefxormietxrkhxngklxngothrthrrsnhukekxr phlnganthisakhyinkarsuksalksnathangkayphaphkhxngdawvksekidkhuninchwngthswrrsaerk khxngkhriststwrrsthi 20 inpi kh s 1913 idmikarphthnaidxaaekrmkhxngehirtsprng rsesll sungchwykratunkarsuksadanfisiksdarasastrkhxngdawvksmakyingkhun aebbcalxngekiywkbokhrngsrangphayinkhxngdawvksaelawiwthnakarkhxngdawkidrbkarphthnakhuncnsaerc rwmipthungkarphyayamxthibaysepktrmkhxngdawsungsamarththaidodykhwamkawhnaxyangyingkhxngkhwxntmfisiks thnghmdninaipsukarxthibayxngkhprakxbthangekhmikhxngchnbrryakaskhxngdawvksxikdwy nxkehnuxcakmhanwdaraaelw idmikarefasngektdawvksediywcanwnmakindarackrtang thixyuinklumthxngthinkhxngthangchangephuxk odyechphaaxyangyingkarefasngektthangchangephuxkinswnthisamarthmxngehnid dngthiidaesdnginsarbyaefmdawvksethathiphbindarackrthangchangephuxk aetyngmidawvksthiefasngektbangdwngxyuindarackr M100 in sungxyuhangcakolkipraw 100 lanpiaesng erasamarththicamxngehnkracukdawphayin klxngothrthrrsninyukhpccubnodythwipsamarthichsngektdawvksediywcang inid dawvksthixyuiklthisudthiekhyefasngektxyuiklxxkipnbhlayrxylanpiaesng duephimetimin dawesefxid xyangirkdi yngimekhymikarefasngektdawvksediywhruxkracukdawxunidthixyuphncakkracukdarackrywdyingkhxngeraxxkipely nxkcakphaphthaycang phaphediywthiaesdngthungkracukdawkhnadihyxnprakxbdwydawvkshlayaesndwng xyuhangxxkipmakkwahnungphnlanpiaesng sungiklepnsibethakhxngrayahangkhxngkracukdawiklthisudthiekhymikarsngektkarnmakartngchuxhlkkarekiywkbklumdawepnthiruckknmananaelwtngaetyukhsmybabioln phuthiefasngektthxngfayamratriinyukhobrancintnakarruprangkarrwmtwkhxngdwngdawxxkmaepnrupaebbtang kn aelanamaekiywoyngkbtananprmpratamkhwamechuxkhxngtn miklumdaw 12 rupaebberiyngtwknxyutamaenwsuriywithi inewlatxmaklumdawthng 12 klumniklayepnphunthankhxngwichaohrasastr nxkcakniyngmidawvksthiaeykcakklumxikcanwnhnungthioddedn kidrbkartngchuxihdwy odymakepnchuxinphasaxarbikhruxphasalatin nxkehnuxipcakklumdawaeladwngxathityaelw brrdadwngdawthnghmdkmitananepnkhxngtwexngdwy tamkhwamechuxkhxngchawkrikobran dwngdawbangdwng hruxthiaethkhux dawekhraah phasakrikobranwa planhths planetes hmaythung phuphencr epntwaethnkhxngethphecaxngkhsakhyhlayxngkh sungchuxkhxngethphecaehlannkepnthimakhxngchuxdawdwy echn dawphuth emxrkhiwri dawsukr wins dawxngkhar dawphvhsbdi cupietxr aeladawesar aestethirn sahrbdawyuernsaeladawenpcunkepnchuxkhxngtananethphecakrikaelatananethphecaormnechnediywkn aeminxditdawthngsxngniyngimepnthiruck ephraamnmikhwamswangtamak aetnkdarasastrinyukhhlngktngchuxdawthngsxngtamchuxkhxngethphecadwyechnkn inchwngkhristthswrrs 1600 mikarichchuxkhxngklumdawipichtngchuxdawvksxunthiphbxyuinyanfaediywkn nkdarasastrchaweyxrmn oyhn ibexxr idsrangchudaephnthidawkhunchudhnungchux ekhaichxksrkrikinkartngrhsdawaetladwnginklumdaw sungtxmaepnthiruckinchux kartngchuxrabbibexxr thiniymichmacnthungpccubn txma cxhn aeflmstid khidkhnrabbtwelkhprasmekhaipodyxangxingcakkhairtaexsesnchnkhxngdaw ekhacdtharaychuxdawiwinhnngsux Historia coelestis Britannica chbbpi kh s 1712 inewlatxmarabbtwelkhniepnthiruckinchux kartngchuxrabbaeflmstid hrux rabbtwelkhaeflmstid phayitkdhmayxwkas hnwynganephiyngaehngediywsungepnthiyxmrbthwolkwamixanachnathiinkartngchuxwtthuthxngfatang khux shphnthdarasastrsakl yngmibristhexkchnxikcanwnhnungthixangkarcahnaychuxaekdwngdaw dngechn sankcdthaebiyndawvksrahwangpraeths xyangirkdi chuxcakxngkhkrehlaniimepnthiyxmrbcakchumchnwithyasastr aelaimmiikhrichdwy nkwithyasastrehnwaxngkhkrehlaniepnphwkhlxklwngthitmtunprachachnthwipsungimekhaickrabwnkartngchuxdawvks aetkrann lukkhathithraberuxngnikyngkhngmikhwamprarthnathicatngchuxdawvksdwytnexnghnwywdkhunlksnakhxngdawvksodymakcarabuodyichmatraexsix hruxxacmithiichmatrasiciexsbangcanwnhnung twxyangechn karrabukhakalngsxngswangepn exxrktxwinathi khakhxngmwl kalngsxngswang aelarsmi mkrabuinhnwykhxngdwngxathity odyxangxingcakkhunlksnakhxngdwngxathity dngni mwldwngxathity M 1 9891 1030 displaystyle begin smallmatrix M odot 1 9891 times 10 30 end smallmatrix kk kalngsxngswangdwngxathity L 3 827 1026 displaystyle begin smallmatrix L odot 3 827 times 10 26 end smallmatrix wttrsmidwngxathity R 6 960 108 displaystyle begin smallmatrix R odot 6 960 times 10 8 end smallmatrix m sahrbhnwykhwamyawthiyawmak echnrsmikhxngdawvksyks hruxkhakungaeknexkkhxngrabbdawkhu mkrabuodyichhnwydarasastr AU sungmikhaodypramanethakbrayathangcakolkthungdwngxathity praman 150 lankiolemtr hrux 93 laniml kaenidaelawiwthnakardawvkscakxtwkhunphayinekhtkhyaykhxngmwlsarrahwangdawthimikhwamhnaaennsungkwa thungaemwakhwamhnaaennnicayngkhngtakwahxngsuyyakasbnolkktam inbriewnnisungeriykwa emkhomelkul aelaprakxbdwyihodrecnepnswnihy odymihieliymrawrxyla 23 28 aelathatuthihnkkwaxikcanwnhnung twxyanghnungkhxngbriewnthimikarkxtwkhxngdawvksxyuinenbiwlanayphran aelaemuxdawvkskhnadihykxtngkhuncakemkhomelkul dawvksehlanikidihkhwamswangaekemkhehlani nxkcakniyngepliynihodrecnihklayepnixxxn thaihekidbriewnthieriykwa briewnexch 2 karkxtwkhxngdawvkskxnekid cudkaenidkhxngdawvksekidkhuncakaerngonmthwngthiimesthiyrphayinemkhomelkul odymakmkekidcakkhlunkraaethkcakmhanwdara karraebidkhnadihykhxngdawvks hruxcakkaraetkslaykhxngdarackrsxngaehngthipathakn echnindarackrchniddawkracay emuxyanemkhnnmikhwamhnaaennephiyngphxcnthungkhxbekhtkhwamimesthiyrkhxngchxng mncungyubtwlngdwyaerngonmthwngphayinkhxngmnexng phaphwadkarkxtwkhxngdawvksinemkhomelkultamcintnakarkhxngsilpin khnathiemkhomelkulyubtwlng funaelaaekshnaaennkekhamaekaaklumxyudwykn eriykwa klumemkhbxk yingklumemkhyubtwlng khwamhnaaennphayinkephimsungkhuneruxy phlngngancakaerngonmthwngthukaeplngipklayepnkhwamrxnsungthaihxunhphumisungyingkhun emuxemkhdawvkskxnekidnidaeninipcnkrathngthungsphawasmdulkhxngxuthksthit cungerimmidawvkskxnekidkxtwkhunthiicklangdawvkskxnaethbladbhlkmkcamiaephncandawekhraahkxnekidlxmrxbxyu chwngewlakhxngkaraetkslaydwyaerngonmthwngnikinewlapraman 10 15 lanpi dawvksyukhaerkthimimwlnxykwa 2 ethakhxngmwldwngxathity caeriykwaepndawpraephth T Tauri swnphwkthimimwlmakkwanncaeriykwaepn dawehxrbik Ae Be dawvksekidihmehlanicaaephlaphlngngankhxngaeksxxkmatamaenwaeknkarhmun sungxacchwyldomemntmechingmumkhxngdawvksthikalngyubtwlngaelathaihklumemkheruxngaesngepnhyxm sungruckkninchux wtthuehxrbik xaor laaeksehlani emuxprakxbkbkaraephrngsicakdawvkskhnadihythixyuiklekhiyng xacchwykhbklumemkhsungpkkhlumxyurxbdawvksthidawnnkxtngxyuxxkip aethbladbhlk chwngewlakwa 90 khxngdawvkscaichipinkarephaphlayihodrecnephuxsranghieliymdwyptikiriyaaerngdnsungaelaxunhphumisungthibriewniklaeknklang eriykdawvksehlaniwaepndawvksthixyuinaethbladbhlkhruxdawaekhra nbaetchwngxayuepn 0 inaethbladbhlk sdswnhieliyminaeknklangdawcaephimkhuneruxy phlthiekidkhuntammaephuxkarrksaxtrakarekidptikiriyaniwekhliyrfiwchninaeknklangkhux dawvkscakhxy mixunhphumisungkhunaelakalngsxngswangephimkhuneruxy twxyangechn dwngxathitymikhakalngsxngswangephimkhunnbcakemuxkhrngekhasuaethbladbhlkkhrngaerkemux 4 600 lanpikxnraw 40 dawvksthukdwngcasranglmdawvks sungprakxbdwyxnuphakhelk khxngaeksthiihlxxkcakdawvksipinhwngxwkas odymakaelwmwlthisuyesiyipcaklmdawvksnithuxwanxymak aetlapidwngxathitycasuyesiymwlxxkippraman 10 14 ethakhxngmwldwngxathity hruxkhidepnpraman 0 01 khxngmwlthnghmdkhxngmntlxdchwngxayu aetsahrbdawvksmwlmakxaccasuyesiymwlipraw 10 7 thung 10 5 ethakhxngmwldwngxathitytxpi sungkhxnkhangsngphlkrathbtxwiwthnakarkhxngtwmnexng dawvksthimimwlerimtnmakkwa 50 ethakhxngmwldwngxathityxacsuyesiymwlxxkiprawkhrunghnungkhxngmwlthnghmdtlxdchwngewlathixyuinaethbladbhlk twxyangaesdngtaaehnngkhxngdawvkstang bnidxaaekrmkhxngehirtsprng rsesll dwngxathityxyubriewnekuxbkungklangkhxngaethb duephimin karcdpraephthdawvks rayaewlathidawvkscaxyubnaethbladbhlkkhunxyukbmwlechuxephlingtngtnkbxtraephaphlayechuxephlingkhxngdawvksnn klawxiknyhnungkhuxmwltngtnaelakalngsxngswangkhxngdawvksnnexng sahrbdwngxathity pramanwacaxyubnaethbladbhlkpraman 1010 pi dawvkskhnadihycaephaphlayechuxephlinginxtraerwmakaelamixayusn khnathidawvkskhnadelk khuxdawaekhra caephaphlayechuxephlinginxtrathichakwaaelasamarthxyubnaethbladbhlkidnanhlayhmunhruxhlayaesnlanpi sunginbnplaykhxngxayu mncakhxy hricanglngeruxy xyangirkdi xayukhxngexkphphthipramankariwinpccubnxyuthi 13 700 lanpi dngnncungimxackhnphbdawvksdngthiklawmaniid nxkehnuxcakmwl xngkhprakxbkhxngthatuhnkthihnkkwahieliymkmibthbathsakhytxwiwthnakarkhxngdawvksechnkn inthangdarasastr thatuthihnkkwahieliymcaeriykwaepn olha aelakhwamekhmkhnthangekhmikhxngthatuehlanicaeriykwa khakhwamepnolha khanimixiththiphltxchwngewlathidawvksephaphlayechuxephling rwmthungkhwbkhumkarkaenidsnamaemehlkkhxngdawvks aelamiphltxkhwamekhmkhxnglmdawvksdwy dawvkschniddarakr 2 sungmixayuekaaekkwacamikhakhwamepnolhanxykwadawvksrunihm hruxdawvksaebbdarakr 3 enuxngmacakxngkhprakxbthimixyuinemkhomelkulxndawvksthuxkaenidkhunmannexng yingewlaphanip emkhehlanicamiswnprakxbkhxngthatuhnkekhmkhnkhuneruxy emuxdawvksekaaeksinxayukhyaelasngkhunsarprakxbphayinchnbrryakaskhxngmnklbipinxwkas hlngaethbladbhlk emuxdawvksthimimwlxyangnxy 0 4 ethakhxngmwldwngxathity hmdihodrecninaeknklang phunphiwchnnxkkhxngmncakhyaytwxyangmakaeladawcaeynlng sungepnkarkxtngkhxngdawyksaedng yktwxyangechn xikphayin 5 phnlanpi emuxdwngxathityklayepndawyksaedng mncakhyaytwxxkcnmirsmisungsudraw 1 hnwydarasastr 150 000 000 km hruxkhidepnkhnad 250 ethakhxngkhnadinpccubn aelaemuxdwngxathityklayepndawyksaedng mncasuyesiymwlipraw 30 khxngmwldwngxathityinpccubn indawyksaedngthimimwlmakthung 2 25 ethakhxngmwldwngxathity ptikiriyafiwchnihodrecncayngkhngdaenintxipinphunphiwepluxkrxbaeknklang inthisud aeknklangcabibxdcnkrathngerimptikiriyafiwchnhieliym aeladawvkscamirsmihdtwlngxyangtxenuxngaelamixunhphumiphunphiwsungkhun indawvksthimikhnadihykwani phunthiaeknklangcaepliyncakkarfiwchnihodrecnipepnkarfiwchnhieliymodytrng hlngcakdawvksidichhieliymthiaeknklangcnhmd ptikiriyafiwchncayngkhngdaenintxipinepluxkhumaeknklangsungprakxbdwykharbxnaelaxxksiecn dawvksnnkcayngkhngdaenintxipinesnthangwiwthnakarkhukhnanipkbrayadawyksaednginchwngaerk aetmixunhphumiphunphiwsungkwamak dawmwlmak rahwangchwngkarephaphlayhieliymkhxngdawvksehlani dawmwlmaksungmimwlmakkwa 9 ethakhxngmwldwngxathitycaphxngtwxxkcnkrathngklayepndawyksihyaedng emuxechuxephlingthiaeknklangkhxngdawyksihyaednghmd phwkmncayngkhngfiwchnthatuthihnkkwahieliym aeknklangcahdtwlngtxipcnkrathngmixunhphumiaelakhwamdnephiyngphxthicafiwchnkharbxn krabwnkardngklawdaenintxip txdwykrabwnkarichnixxnepnechuxephling tamdwyxxksiecnaelasilikhxn emuxxayukhykhxngdawvksiklcasinsud fiwchncasamarthekidkhunipphrxm kbchnepluxkhwhxmcanwnmakphayindawvks epluxkehlanicafiwchnthatuthiaetktangkn odyepluxkchnnxksudcafiwchnihodrecn chntxipfiwchnhieliym epnechnniiperuxy dawvksekhasurayasudthaykhxngxayukhyemuxmnerimphlitehlk enuxngcakniwekhliyskhxngehlkmiyudehniywrahwangknxyangaennhnakwaniwekhliysthihnkkwaid thahakehlkthukfiwchnkcaimkxihekidkarpldplxyphlngnganaetxyangid aetinthangklbkn krabwnkardngklawtxngichphlngngan echnediywkn nbtngaetehlkyudehniywxyangaennhnakwaniwekhliysthiebakwathnghmd phlngngancungimsamarththukpldplxyxxkmaodyptikiriyafichchnid indawvksthikhxnkhangmixayuaelamwlmak aeknklangkhnadihykhxngdawcaprakxbdwyehlkephimmakkhun thatuthihnkkwaindawvksehlanicayngkhngthuksngkhunmayngphunphiw kxihekidwtthuwiwthnakarsungepnthiruckknwa dawvkswulf raeyth sungmilmdawvkshnaaennekidkhunbriewnbrryakaschnnxk karyubtw emuxthungkhnni dawvksmwlpanklangsungwiwthnakaraelwcasldphunphiwchnnxkxxkmaepnenbiwladawekhraah haksingthiehluxcakbrryakaschnnxkthilxykracayxxkipmimwlnxykwa 1 4 ethakhxngmwldwngxathity mncayubtwlngcnklayepnwtthukhnadkhxnkhangelk mikhnadethakbkhnadkhxngolk sungimmimwlmakphxthicamiaerngkddnekidkhunipmakkwanixik hruxthiruckknwa dawaekhrakhawssaresuxmxielktrxnphayindawaekhrakhawcaimichphlasmaxiktxip thungaemwadawvkscahmaykhwamthungthrngklmsungprakxbipdwyphlasmaktam inthisud dawaekhrakhawkcacanglngcnklayepndawaekhrada hlngcakewlaphanip enbiwlapu sakcakmhanwdarathiidrbkarbnthukkhrngaerkinprawtisastr raw kh s 1054 indawvksthimikhnadihykwa ptikiriyafiwchncayngkhngdaenintxipcnkrathngaeknklangehlkmikhnadihykhunxyangmak mimwlmakkwa 1 4 ethakhxngmwldwngxathity cnkrathngmnimsamarthrxngrbmwlxnmhasalkhxngtwmnexngid aeknklangnicayubtwlngxyangechiybphln emuxxielktrxnekhaipxyuinoprtxn thaihekidniwtrxnaelaniwtrioninkarslayihxnuphakhbitaphkphnhruxkarcbyudxielktrxn khlunkraaethkxnekidcakkaryubtwkathnhnniidthaihswnthiehluxkhxngdawvksraebidxxkepnmhanwdara mhanwdaramikhwamswangmakesiycnaesngswangkhxngmnbdbngaesngcakdawvksthnghmdindarackrthidawnnxyu aelaemuxmhanwdaraekidkhunindarackrthangchangephuxk inprawtisastr mhanwdaraidrbkarsngektodyphusngektkarndwytaeplawaepn dawvksdwngihm thisungimekhyekidkhunmakxn ssarswnihykhxngdawvkscathukraebidxxkcakkarraebidmhanwdara thaihekidenbiwla xyangechn enbiwlapu aelaswnthiehluxxyucaklaymaepndawniwtrxn sunginbangkhrngmikhunsmbtichdecn xyangechn phlsar hrux dawraebidrngsiexks hruxinkrnikhxngdawvksthimikhnadihythisud mikhnadihymakphxthikarraebidxxkyngkhngehluxsakthimimwlodypramanxyangnxy 4 ethakhxngmwldwngxathity dawvksehlanicaklayipepnhlumda ssarthixyuindawniwtrxncaxyuinsthanathieriykknwa ssaresuxmniwtrxn kbrupaebbkhxngssaresuxmxunthiprahladkwann echn ssarkhwark ekidkhunthiaeknklang swnsthanakhxngssarphayinhlumdanninpccubnyngimepnthiekhaicely phunphiwchnnxkswnthithukraebidxxkcakdawthitayaelwrwmipthungthatuhnksungxacepnsarerimtnrahwangkarkxtngkhxngdawvksdwngihmid thatuhnkehlanithaihekiddawekhraahhin karihlxxkcakmhanwdaraaelalmdawvksidmiswnsakhyinkarkxihekidmwlsarrahwangdawkarkracaytwdawaekhrakhawokhcrrxbdawsirixus phaphwadcakcintnakarkhxngsilpin nxkcakdawnaemkthixyuxyangoddediyw rabbdawhlaydwngmkprakxbdwydawvkstngaet 2 dwngkhunipthiekiywphnknxyudwyaerngonmthwngdungdudrahwangkn thaihtangokhcriprxbknaelakn rabbdawhlaydwngthiphbmakthisudkhux rabbdawkhu aetkmirabbdaw 3 dwnghruxmakkwannihphbehndwyechnkn tamhlkkaresthiyrphaphkhxngwngokhcr inrabbdawhlaydwngmkaebngsdswnkarokhcrxxkepnradbchnsungaetlachnmilksnakhlaykbrabbdawkhu nxkcakniyngmirabbdawthiihykhunipxikeriykwa kracukdaw sungprakxbdwyklumkhxngdawvksthixyudwyknxyanghlwm xacmidawephiyngimkidwng ipcnthungkracukdawthrngklmthimidawvkssmachiknbhlayrxyhlayphndwng mikhxsmmutithanmananaelwwadawvksswnihycaepnsmachikxyuinrabbdawhlaydwngthimiaerngonmthwngdungdudrahwangkn khxsmmutithanniepncringxyangmakkbdawvksmwlmakpraephth O aela B sungechuxwakwa 80 khxngdawvksinpraephthnixyuinrabbdawhlaydwng xyangirkdimikarkhnphbrabbdawediywephimmakkhunodyechphaakbdawvkskhnadelk echuxwamiephiyngpraman 25 khxngdawaekhraaedngethannthimidawxunxyuinrabbediywkn cakcanwndawvksthnghmdepndawaekhraaedngipthung 85 dawvksswnihyinthangchangephuxkkepndawvksediywmanbaetthuxkaenid tlxdthwexkphph dawvksimidkracaytwknxyuxyangsmaesmx aetmikarrwmklumxyudwykninlksnakhxngdarackr rwmthungswnkhxngaeksaelafunrahwangdwngdaw darackrodythwipmidawvksxyuepncanwnhlayaesnlandwng aelaphayinexkphphthisngektid midarackrxyuthngsinmakkwahnungaesnlanaehng aemcaechuxknwa dawvksodythwipkhwrxyuindarackraehngidaehnghnung thwakmikarkhnphbdawvksthixyurahwangdarackrdwyechnkn nkdarasastrkhadkarnwa nacamidawvksxyuthngsinpraman 7 hmunlanlanlandwng 7 1022 phayinexkphphthisngektid dawvksthixyuiklolkthisudnxkipcakdwngxathity khuxdawphrxksimakhnkhrungma sungxyuhangippraman 39 9 lanlankiolemtr 1012 kiolemtr hruxpraman 4 2 piaesng aesngcakdawphrxksimakhnkhrungmaichewlaedinthang 4 2 picungcamathungolk thaedinthangdwykhwamerwwngokhcrkhxngkraswyxwkas praman 5 imltxwinathi hruxpraman 30 000 kiolemtrtxchwomng catxngichewlapraman 150 000 picungcaipthungdawaehngnn rayathangthiexythungniepnrayathangphayincandarackrsungkhrxbkhlumbriewnrabbsuriya hakepnbriewnicklangkhxngdarackrhruxinkracukdawthrngklm dawvkscaxyuiklchidknmakkwani emuxdawvksinbriewnhangiklcakicklangdarackrxyuhangknkhnadni cungechuxwaoxkasthidawvkscapathaknmikhxnkhangnxy khnathiinyansungmidawvksxyuxyanghnaaennechninkracukdawthrngklmhruxicklangdarackr karthidawvkspathaknthungepneruxngsamythiekidkhunthwip karpathakhxngdawvksnicathaihekiddawvksprahladchnidihmthieriykwa dawaeplkphwksinaengin sungmikhaxunhphumiphunphiwsungkwadawvksinaethbladbhlkodythwipinkracukdawediywknthngthimikalngsxngswangethaknkhunsmbtikarxthibaythungkhunsmbtitang khxngdawvksswnihylwnxangxingthungmwlerimtnkhxngdaw aemkrathngkhunlksnaxnlaexiydxxnechn karsxngswang aelakhnad tlxdcnthungwiwthnakarkhxngdaw chwngxayu aelasphaphhlngcakkaraetkdb xayu dawvksswnihymixayuxyurahwang 1 phnlanthung 1 hmunlanpi mibangbangdwngthixacmixayuthung 13 700 lanpisungepnxayuodypramankhxngexkphph dawvksthiekaaekthisudethathikhnphbkhnanikhux HE 1523 0901 sungmixayuodypraman 13 200 lanpi yingdawvksmimwlmakethaid kcayingmixayusnethann thngnienuxngcakdawvksthimimwlmakcamiaerngdnphayinaeknklangthisungkwa thaihkarephaphlayihodrecnepnipinxtrathisungkwa dawvksmwlmakthisudmixayuechliyethathiphbraw 1 lanpi swndawvksthimimwlnxythisud dawaekhraaedng ephaphlayphlngnganphayintwexnginxtrathitamak aelamixayuxyuyawnantngaethlkphnlancnthunghmunlanpi xngkhprakxbthangekhmi emuxaerkthidawvkskxtwkhun mnprakxbdwyihodrecn 71 aelahieliym 27 odymwl kbsdswnkhxngthatuhnkxikelknxy odythwiperawdprimankhxngthatuhnkinrupkhxngxngkhprakxbehlkinchnbrryakaskhxngdawvks enuxngcakehlkepnthatuphunthan aelakartrwcwdesnkardudsbkhxngmnkthaidngay inemkhomelkulxnepntnkaenidkhxngdawvkscaxudmipdwythatuhnkmakmaythiidmacakmhanwdarahruxkarraebidkhxngdawvksrunaerk dngnnkartrwcwdxngkhprakxbthangekhmikhxngdawvkscungsamarthichpraeminxayukhxngmnid eraxacichxngkhprakxbthatuhnkinkarwinicchyiddwywadawvksdwngnnnacamirabbdawekhraahkhxngtnexnghruxim dawvksthimixngkhprakxbthatuehlktathisudethathiekhytrwcphb khuxdawaekhra odymixngkhprakxbehlkephiyng 1 in 200 000 swnkhxngdwngxathity indantrngkham dawvksthimiolhathatusungmakkhux sungmithatuehlksungkwadwngxathityekuxbsxngetha xikdwnghnungkhux sungmidawekhraahepnkhxngtnexngdwy mithatuehlksungkwadwngxathityekuxbsametha nxkcakniyngmidawvksthimixngkhprakxbthangekhmixnaeplkprahladxikhlaydwngsungsngektidcakesnsepktrmkhxngmn odythimithngokhremiymkbthatuhayakbnolk esnphansunyklang khnadepriybethiybdawvks dawvkstang xyuhangcakolkmak dngnnnxkcakdwngxathityaelw eracungmxngehndawvkstang epnephiyngcudaesngelk inewlaklangkhun sxngaesngkaphribwibwbenuxngmacakphlcakchnbrryakaskhxngolk dwngxathitykepndawvksdwnghnung aetxyuiklkbolkmakphxcapraktehnepnrupwngklm aelaihaesngswanginewlaklangwn nxkehnuxcakdwngxathityaelw dawvksthimikhnadpraktihythisudkhux sungmiesnphansunyklangechingmumephiyng 0 057 philipda phaphkhxngdawvksswnmakthimxngehnaelawdidinkhnadechingmumcaelkmakcntxngxasykarsngektkarnbnolkdwyklxngothrthrrsn bangkhrngtxngichklxngothrthrrsninethkhnikh interferometer ephuxchwykhyayphaph ethkhnikhxikprakarhnunginkartrwcwdkhnadechingmumkhxngdawvkskhux occultation odykartrwcwdochtimatrkhxngdawthildlngenuxngmacakkhwamswangkhxngdwngcnthr hruxcakochtimatrthiephimkhunemuxmnpraktkhunihm aelwcungnamakhanwnkhnadechingmumkhxngdawvksnn khnadkhxngdawvkseriyngtamladbtngaetelksudkhux dawniwtrxn mikhnadesnphansunyklangrahwang 20 thung 40 kiolemtr ipcnthungdawyksihyechn dawbiethlcusinklumdawnayphran sungmiesnphansunyklangmakkwadwngxathityraw 650 etha khuxkwa 900 lankiolemtr aetdawbiethlcusyngmikhwamhnaaenntakwadwngxathitykhxngera karekhluxnthi kracukdawlukik kracukdawepidinklumdawww dawvksehlanimikaraelkepliynkarekhluxnthiinxwkasrupaebbediywkn lksnakarekhluxnthikhxngdawvksemuxepriybethiybkbdwngxathitykhxngera samarthihkhxmulthiepnpraoychnxyangyinginkareriynruthungcudkaenidaelaxayukhxngdaw rwmipthungokhrngsrangaelawiwthnakarkhxngdarackrodyrxb xngkhprakxbkarekhluxnthikhxngdawvksprakxbdwy khwamerwaenwelng thiwingekhahahruxwingxxkcakdwngxathity aelakarekhluxnthiechingmumthieriykwa karekhluxnthiechphaa kartrwcwdkhwamerwaenwelngthaidodyxasykarekhluxndxpeplxrkhxngesnsepktrmkhxngdaw hnwythiwdepnkiolemtrtxwinathi kartrwcwdkarekhluxnthiechphaakhxngdawvksthaidcakekhruxngmuxtrwcwdthangdarasastrthimikhwamaemnyasung hnwythiwdepnmilliphilipdatxpi emuxxasykartrwcsxbpharlaelkskhxngdawvks eracungsamarthaeplngkarekhluxnthiechphaaihipepnhnwykhxngkhwamerwid dawvksthimikhakarekhluxnthiechphaasungmiaenwonmthicaxyuikldwngxathitymakkwadawdwngxun cungepntwaethnthidisahrbichtrwcwdpharlaelkskhxngdawid emuxerathrabxtrakarekhluxnthithngsxngtwniaelw kcasamarthkhanwnkhwamerwinkarekhluxnthixwkaskhxngdawvksdwngnnepriybethiybkbdwngxathityhruxdarackrid inbrrdadawvksiklekhiyngthitrwcwd phbwadawvkschniddarakr 1 mikhwamerwtakwadawvksthimixayumakkwaechn dawvkschniddarakr 2 dawvksinklumhlngmiranabokhcrthikhxnkhangiklekhiyngkbranabdarackr emuxepriybethiybclnsastrkhxngdawvksthixyuinbriewniklekhiyngkn thaiherasamarthcdklumkhxngdawvksid sungmiaenwonmthidawvksinklumediywkncakaenidmacakemkhomelkulchudediywkn snamaemehlk snamaemehlkphunphiwkhxngdaw SU Aur dawvksxayunxyaebb T Tauri namaprbaetngdwyethkhnikhkarsrangphaphaebb Zeeman Doppler snamaemehlkkhxngdawvksekidkhuncakbriewnphayinkhxngdawthisungekidkarihlewiynkhxngkarphakhwamrxn karekhluxnthinithaihpracuinphlasmathatwesmuxnepnekhruxngkaenidiffaaebbidnaom sungthaihekidsnamaemehlkaephkhyayxxkmaphaynxkdwngdaw kalngkhxngsnamaemehlkniaeprtamkhnadkhxngmwlaelaxngkhprakxbkhxngdaw swnkhnadkhxngkickrrmphunphiwsnamaemehlkkkhunkbxtrakarhmunrxbtwexngkhxngdawvksnn kickrrmthiphunphiwsnamaemehlknithaihekidcudbndawvks xnepnbriewnthimisnamaemehlkekhmkwapktiaelamixunhphumiechliytakwapkti wngokhornakhuxaenwsnamaemehlkokhngthiaephekhaipinokhorna swneplwdawvkskhuxkarraebidkhxngxnuphakhphlngngansungthiaephxxkmaenuxngcakkickrrmphunphiwsnamaemehlk dawvksthixayunxyaelahmunrxbtwexngdwykhwamerwsungmiaenwonmcamikickrrmphunphiwinradbthisungenuxngmacakkalngsnamaemehlkkhxngmn snamaemehlkkhxngdawyngsngxiththiphltxlmdawvksdwy odythahnathiehmuxntwhnwng thaihxtrakarhmunrxbtwexngkhxngdawvkschalngemuxdawmixayumakkhun dngnn dawvksthimixayumakkwaechndwngxathitykhxngeracungmixtrakarhmunrxbtwexngthitakwa aelamikickrrmphunphiwthinxykwadawvksxayueyaw radbkhxngkickrrmphunphiwkhxngdawvksthihmunrxbtwexngchakhxnkhangepliynaeplngepnwngrxbaelaxachyudkickrrmbangxyangipchwrayaewlahnung chwngewlanieriykwa chwngtasudmxnedxr sungdwngxathitykekhyphanrayaewlaniepnewla 70 pi thiimmikickrrmid ekiywkbcudbndwngxathityekidkhunely mwl hnunginbrrdadawvksthimimwlmakthisudethathiruckkn khux dawxitakraduknguerux Eta Carinae sungmimwlmakkwamwldwngxathityraw 100 150 etha chwngxayukhxngmnsnmak ephiyngpramanimkilanpiethann phlcakkarsuksaemuxerw niaesdngihehnwa mwlkhnad 150 ethakhxngmwldwngxathitycdepnkhidcakdsungsudkhxngdawvksinexkphphinyukhpccubn saehtukhxngkhidcakdniyngimepnthithrabaenchd aetnacamikhwamekiywkhxngswnhnungkb sungxthibaythungsungsudthisamarthaephphanidodyimyingphwyaeksxxkipinxwkas enbiwlasathxnaesng NGC 1999 thiswangecidcadwydaw V380 Orionis trngklangphaph dawaepraesngthimikhnadraw 3 5 ethakhxngmwldwngxathity phaphcaknasa dawvksklumaerk thikxtwkhunhlngcakkarthuxkaenidkhxngexkphphtamthvsdibikaebngxacmimwlmakkwann echn 300 ethakhxngmwldwngxathity hruxsungkwa thngnienuxngcakmnimmixngkhprakxbkhxngthatuthihnkkwaliethiymely xyangirkdi dawvksmwlmakyingywdehlani hruxdawvkschnid population III idsuyslayipcnhmdaelw miaetephiyngthvsdithiklawthungethann daw sungepndawkhukhxng mimwlpraman 93 ethakhxngmwldawphvhsbdi cdwaepndawvksthielkthisudethathirucksungyngkhngmiptikiriyaniwekhliyrfiwchndaeninxyuphayinaeknklang dwylksnakhxngdawthimikhakhwamepnolhakhlaykhlungkbdwngxathity tamthvsdiaelw mwlnxythisudkhxngdawvksthiyngsamarthdarngsphawaniwekhliyrfiwchninaeknklangid khuxpraman 75 ethakhxngmwldawphvhsbdi thwamncamikhakhwamepnolhatamak phlkarsuksadawvksthicangaesngthisudemuximnanmani phbwakhnadthielkthisudthiepnipidkhxngdawvksxyuthipraman 8 3 khxngmwldwngxathity hruxpraman 87 ethakhxngmwldawphvhsbdi wtthuthielkkwanicaeriykwa dawaekhranatal sungepndawthimilksnaethaxnkhunmw xyukungklangrahwangdawvkskbdawekhraahaeksyks khwamsmphnthrahwangrsmikhxngdawkbmwlkhxngdaw bxkidcakaerngonmthwngphunphiw dawvkskhnadykscamiaerngonmthwngphunphiwnxykwadawvksinaethbladbhlk aelainthangklbkndawthimiaerngonmthwngmakkhuxdawthikalngesuxmslayaelamikhnadelkechndawaekhrakhaw aerngonmthwngphunphiwmixiththiphltxlksnapraktkhxngsepktrmkhxngdawvks odythidawsungmiaerngonmthwngsungkwacamiesnkardudsbphlngnganthikwangkwa karhmunrxbtwexng erasamarthpramanxtrakarhmunrxbtwexngkhxngdawvksidodyxasywithikarwdsepkothrsokpi hruxcawdihaemnyayingkhunidodykartidtamxtrakarhmunkhxngcudbndawvks dawvksthimixayunxycamixtrakarhmunrxbtwexngthierwkwapraman 100 km winathithiaenwsunysutr dawvkschnid B echndaw mikhwamerwkarhmunrxbtwexngthiesnsunysutrpraman 225 km winathihruxmakkwann sungthaihmnmiesnphansunyklangbriewnsunysutrihykwarayahangrahwangkhwthungkwa 50 xtrakarhmunrxbtwexngnitakwakhakhwamerwwikvtthi 300 km winathiephiyngelknxy sungepnxtraerwthicathaihdawvksaetkslaylng sahrbdwngxathitykhxngeramixtrahmunrxbtwexngrxbla 25 35 wn hruxkhwamerwthiaenwsunysutrpraman 1 994 km winathi snamaemehlkkhxngdawvkskblmdawvkstangmiphlthichwyihxtrakarhmunrxbtwexngkhxngdawvksinaethbladbhlkchalngxyangminysakhy dawvksthikalngesuxmslaycahdtwlngepnmwlkhnadelkhnaaennmak sungepnphlihkarhmunrxbtwexngkhxngmndaeninipinxtrasung aetemuxepriybkbxtrathikhwrcaepnemuxkhidcakkarrksaomemntmechingmumexaiwkyngthuxwakhxnkhangta omemntmechingmumkhxngdawvkssuyhayipepncanwnmakenuxngcakkarsuyesiymwlkhxngdawvksipkblmdawvks thungkrann xtrakarhmunrxbtwexngkhxngphlsarkyngsungmak twxyangechnphlsarthixyu n icklangkhxngenbiwlapu hmunrxbtwexnginxtra 30 rxbtxwinathi xtrakarhmunrxbtwexngkhxngphlsarcakhxy ldlngenuxngmacakkaraephrngsikhxngdaw xunhphumi xunhphumiphunphiwkhxngdawvksinaethbladbhlksamarththrabidcakxtrakarsrangphlngngancakaeknklangkhxngdawaelarsmikhxngdawdwngnn odymakcapramancakdchnisikhxngdawvks khathiidcaeriykwaxunhphumiyngphl sungepnkhaxunhphumikhxngwtthudainxudmkhtithiaephphlngnganxxkmacnidradbkalngsxngswangtxphunthiphiwethaknkbdawvksnn phungthrabwakhaxunhphumiyngphlniepnephiyngkhaethiybetha xyangirkdienuxngcakxunhphumikhxngdawvkscakhxy ldlngtamradbchnkhxngepluxkthixyuhangcakaeknklangxxkma dngnnxunhphumithiaethcringinyanaeknklangkhxngdawcasungmakthunghlaylanekhlwin xunhphumikhxngdawvksepntwbngbxkthungxtrakaraephphlngnganhruxkaraephpracukhxngthatuthiaetktangkn sungsngphlthungkhunsmbtikardudklunesnsepktrmthiaetktangkndwy emuxerathrabkhaxunhphumiphunphiwkhxngdawvks khaochtimatrprakt ochtimatrsmburn aelakhunsmbtikardudklunaesng eracungsamarthcdpraephthkhxngdawvksid duinhwkhxkarcdpraephthdawvksdanlang dawvksmwlmakinaethbladbhlkxacmixunhphumiphunphiwsungthung 50 000 ekhlwin dawvksthimikhnadelklngmaechndwngxathity camixunhphumiphunphiwephiyngimkiphnekhlwin dawyksaedngcamixunhphumiphunphiwkhxnkhangta praman 3 600 ekhlwinethann aetcamikalngsxngswangmakkwaenuxngcakmiphunthiphiwchnnxkthiihykwamakkaraephrngsiphlngnganthiekidkhunepnphlphlxyidcakptikiriyaniwekhliyrfiwchnphayindawvks caaephtwxxkipinxwkasinrupkhxngrngsikhlunaemehlkiffa aelarngsixnuphakhsungaephxxkipinrupkhxnglmdawvks epnsaytharkraaesxnuphakhkhxngpracuiffathiekhluxnthiipxyangkhngthi prakxbdwyfrioprtxn xnuphakhxlfa aelaxnuphakhebta thiraehyxxkmacakchnphiwepluxknxkkhxngdawvks rwmthungkraaesniwtrionthiekidcakaeknklangkhxngdawvks karkaenidphlngnganinaeknklangkhxngdawepntnkaenidkhxngaesngswangmhasalkhxngdawnn thukkhrngthiniwekhliyskhxngthatutngaet 2 chnidhruxmakkwahlxmlalayekhadwykn cathaihekidniwekhliysxatxmkhxngthatuihmthihnkkwaedim thaihpldplxyoftxnrngsiaekmmaxxkmacakptikiriyaniwekhliyrfiwchn emuxphlngnganthiekidkhunniaephtwxxkmacnthungepluxknxkkhxngdaw mncaepliynrupipepnphlngngankhlunaemehlkiffainrupaebbtang rwmthungaesngthitamxngehn sikhxngdawvkssungrabuidcakkhwamthisungsudkhxngaesngthitamxngehn khunxyukbxunhphumikhxngchnphiwrxbnxkkhxngdawvksaelaofotsefiyrkhxngdaw nxkcakaesngthitamxngehnaelw dawvksyngaephrngsikhlunaemehlkiffarupaebbxun xxkmaxikthitakhxngmnusymxngimehn wathicringaelwrngsikhlunaemehlkiffathiaephxxkmacakdawvksnnaephkhrxbkhlumyansepktrmkhlunaemehlkiffathnghmd tngaetchwngkhlunyawthisudechnkhlunwithyuhruxxinfraerd ipcnthungchwngkhlunsnthisudechnxltraiwoxelt rngsiexks aelarngsiaekmma xngkhprakxbkaraephrngsikhlunaemehlkiffakhxngdawvksthngswnthitamxngehnaelamxngimehnlwnmikhwamsakhyehmuxn kn caksepktrmkhxngdawvksni nkdarasastrcasamarthbxkkhaxunhphumiphunphiwkhxngdaw aerngonmthwngphunphiw khakhwamepnolha aelakhwamerwinkarhmunrxbtwexngkhxngdaw hakerathrabrayahangkhxngdawvksnndwy echnthrabcakkartrwcwdpharlaelks erakcasamarthkhanwnochtimatrkhxngdawvksnnid caknncungichaebbcalxngkhxngdawvksinkarpramankarkhamwl rsmi aerngonmthwngphunphiw aelaxtrakarhmunrxbtwexng dawvksinrabbdawkhucasamarthtrwcwdmwlidodytrng sahrbmwlkhxngdawvksediywcapraeminidcakethkhnikhimokhrelnskhxngaerngonmthwng caktwaeprtang ehlanicungthaihnkdarasastrsamarthpraeminxayukhxngdawvksid kalngsxngswang inthangdarasastr kalngsxngswangkhuxprimankhxngaesngaelaphlngngankaraephrngsiinrupaebbxunthidawvksaephxxkcaknbepncanwnhnwytxewla kalngsxngswangkhxngdawvkssamarthbxkidcakrsmiaelaxunhphumiphunphiwkhxngdaw xyangirkdi dawvkscanwnhnungimidaephphlngnganepn khuxprimanphlngnganthiaephxxkmatxhnwyphunthi thiepnexkphaphtlxdthwphunphiwthnghmd twxyangechn dawewka sungepndawvksthihmunrxbtwexngerwmak camiflksthikhwdawsungkwabriewnesnsunysutrkhxngdaw phunphiwbangswnkhxngdawthimixunhphumitaaelakalngsxngswangtakwakhaechliythnghmd caeriykwa cudmuddawvks cudmudkhxngdawvksaekhrahruxdawvksthimikhnadelkcaimkhxyepnthisngektoddedn khnathicudmudkhxngdawykshruxdawvkskhnadihycayingsngektehnidngay aelathaihekidlksnakarmudkhlathikhxbkhxngdawvksidmak nnkhux khwamswangkhxngdawthangdankhxb emuxmxngepnaephncanklm caldlngiperuxy dawaepraesngthiepndawaekhraaedng hrux flare star bangdwng echndaw kxacmicudmuddawvksthioddednechnkn ochtimatr ochtimatrkhxngdawvksthipraktwdidcakkhaochtimatrprakt sungepnkhakhwamswangthikhunkbkhaochtimatrkhxngdaw rayahangcakolk aelakarepliynaeprkhxngaesngdawrahwangthimnphanchnbrryakasolklngma swnkhwamswangthiaethcringhruxochtimatrsmburnkhuxkhaochtimatrpraktkhxngdawtharayahangrahwangolkkbdawethakb 10 pharesk 32 6 piaesng epnkhathikhunkbochtimatrkhxngdawethann canwnkhxngdawvksthiswangkwakhaprakt ochtimatr prakt canwn dawvks0 41 152 483 1714 5135 1 6026 4 8007 14 000 thngkhaochtimatrpraktaelaochtimatrsmburnepntwelkhthiaesdngin khathitangkn 1 xndbaemknicudhmaykhwamthungkhwamaetktangkncringpraman 2 5 etha rakthi 5 khxng 100 mikhapraman 2 512 nnhmaykhwamwa dawvksinxndbaemknicudaerk 1 00 mikhwamswangmakkwadawvksinxndbaemknicudthisxng 2 00 praman 2 5 etha aelaswangmakkwadawvksinxndbaemknicudthi 6 6 00 praman 100 etha khwamswangkhxngdawvksthimiaesngribhrithisudethathitamnusysamarthmxngehnidphayitsphawathxngfaoprngkhuxthiaemknicud 6 thngochtimatrpraktaelaochtimatrsmburn yingxankhaidnxyhmaykhwamwadawvksdwngnnswangmak yingxankhaidmakhmaykhwamwadawvksdwngnnribhrimak odymakaelwdawvksswangcamikhaochtimatrepnlb khwamaetktangkhxngkhwamswangrahwangdawsxngdwng DL khanwnidodynakhaochtimatrkhxngdawthiswangkwa mb lbxxkcakkhaochtimatrkhxngdawthihricangkwa mf nakhathiidichepnkhaykkalngkhxngkhathan 2 512 ekhiynepnsmkariddngni Dm mf mb displaystyle Delta m m mathrm f m mathrm b 2 512Dm DL displaystyle 2 512 Delta m Delta L emuxethiybkhaochtimatrkbthngochtimatraelarayahangcakolk thaihkhaochtimatrsmburn M kbkhaochtimatrprakt m khxngdawvksdwngediywknmikhaimethakn twxyangechn dawsirixus mikhaochtimatrpraktethakb 1 44 aetmikhaochtimatrsmburnethakb 1 41 dwngxathitymikhaochtimatrpraktethakb 26 7 aetmikhaochtimatrsmburnephiyng 4 83 dawsirixussungepndawswangthisudbnthxngfayamratriemuxmxngcakolk miochtimatrsungkwadwngxathitythung 23 khnathidawkhaonpus dawvksswangxndbsxngbnthxngfayamratri mikhaochtimatrsmburnethakb 5 53 nnkhuxmikalngsxngswangsungkwadwngxathitythung 14 000 etha thng thidawkhaonpusmikalngsxngswangsungkwadawsirixusxyangmak aetemuxmxngcakolk dawsirixusklbswangkwa thngnienuxngcakdawsirixusxyuhangcakolkephiyng 8 6 piaesng khnathidawkhaonpusxyuhangcakolkxxkipthungkwa 310 piaesng nbthungpi kh s 2006 dawvksthimikhaochtimatrsmburnmakthisudethathiruck khux thikhaaemknicud 14 2 dawvksdwngnimikalngsxngswangsungkwadwngxathityxyangnxy 5 000 000 etha dawvksthimikalngsxngswangtathisudethathirucktngxyuin dawaekhraaedngxnhricanginkracukdawnimikhaaemknicud 26 swnxikdwnghnungepndawaekhrakhawmikhaaemknicud 28 dawehlanicangaesngmakethiybidkbaesngcakethiynwnekidthicudiwbndwngcnthraelamxngcakbnolkkarcdpraephthchwngxunhphumiphunphiw khxngdawvksinpraephthtang praephth xunhphumi twxyangO 33 000 K khunipB 10 500 30 000 K ireclA 7 500 10 000 KF 6 000 7 200 KG 5 500 6 000 K dwngxathityK 4 000 5 250 KM 2 600 3 850 K phrxksimakhnkhrungma rabbkarcdpraephthdawvksxyangthiichknxyuinpccubnnierimtnmaaetchwngtnkhriststwrrsthi 20 odyaebngdawvksxxkepnpraephthtang tngaet A cnthung Q tamkhwamekhmkhxngesnsepktrmihodrecn inewlannyngimthrabknwa xiththiphlsakhykhxngkhwamekhmkhxngesnsepktrmkhux xunhphumi esnsepktrmihodrecncaekhmmakthisudthixunhphumipraman 9000 ekhlwin aelaxxnlngthngkrnithixunhphumisunghruxtakwann khrnemuxepliynwithikarcdpraephthdawvksmaepnkarxingtamradbxunhphumi cungidmilksnakhlaykhlungkbrupaebbkarcdpraephthinsmyihm mikarichrhstwxksrediywthiaetktangknephuxaesdngthungpraephthkhxngdawvksaebbtang thiaeykaeyatamsepktrm tngaetpraephth O xnepndawvksthirxnmak ipcnthung M xnepndawvksthieyncnomelkulxackxtwinchnbrryakas praephthkhxngdawvkseriyngtamladbxunhphumiphunphiwcaksungipta idaek O B A F G K aela M sahrbpraephthsepktrmbangxyangthiphbidkhxnkhangnxy cacdepnpraephthphiess thiphbmakthisudincanwnnikhuxpraephth L aela T sungepndawvksmwlnxythieynthisud kbdawaekhranatal twxksraetlatwcamipraephthyxyxik 10 praephth aesdngdwytwelkhtngaet 0 thung 9 eriyngtamladbxunhphumicaksungipta xyangirkdi rabbkarcdpraephthaebbnicaichimidemuxxunhphumimikhasungmak klawkhuxdawvkspraephth O0 aela O1 caimmixyucring nxkehnuxcakni dawvksyngxaccdpraephthidcakphlkrathbkalngsxngswangthiphbinesnsepktrmkhxngmn sungsxdkhlxngknkbkhnadthiwanginxwkasxnrabuidcakaerngonmthwngphunphiw khainpraephthnicacdidtngaet 0 sahrbdawyksihyying ipepn III sahrbdawyks cnthung V sahrbdawaekhrainaethbladbhlk nkdarasastrbangkhnephimpraephth VII dawaekhrakhaw ekhaipdwy dawvksswnihycaxyubnaethbladbhlksungmikrabwnkarephaphlayihodrecnaebbpkti hakphicarnabnesnkrafrahwangochtimatrsmburnkbesnsepktrmkhxngdaw dawvksehlanicaxyubnaethbthaeyngmumaekhb inkraf dwngxathitykhxngerakxyubnaethbladbhlk aelacdepndawaekhraehluxng praephth G2V khuxepndawvkskhnadpktithimixunhphumipanklang yngmikartngrhsephimetimdwytwxksrphasaxngkvstwelk tamhlngkhakhxngesnsepktrm ephuxrabuthungkhunsmbtiechphaabangprakarkhxngesnsepktrmnn twxyangechn tw e hmaythungmikartrwcphbesnsepktrmthiaephpracu m hmaythungmiradbolhathiekhmphidpkti aela var hmaythungesnsepktrmmikarepliynaeplng dawaekhrakhawcamikarcdpraephthechphaakhxngmnexngodyerimtndwyxksr D aelaaebngpraephthyxyepn DA DB DC DO DZ aela DQ khunkbchnidkhxngkhwamoddednthiphbinesnsepktrm tamdwykhatwelkhthirabuthungdchnixunhphumikhxngdawdawaepraesngphaphpraktkhxngdawmirasungimsmmatr aesdngthungkarepliynaepraesngswangkhxngdawaepraesng phaphthaycakklxnghbebilodyxngkhkarnasa dawaepraesng khuxdawvksthimikhakalngsxngswangepliynaeplngipaebbsumaebbepnrxbewla enuxngmacakkhunsmbtithngphayinaelaphaynxkkhxngdaw sahrbdawaepraesngaebbkhunsmbtiphayinsamarthaebngebuxngtnxxkidepn 3 praephth inrahwangkarwiwthnakarkhxngdaw dawvksbangdwngxacphanchwngewlathithaihekidkarepliynaeprepnhwng dawaepraesngaebbepnhwngewlacaepliynaeplngiptamrsmiaelakalngsxngswang thngkhyaykhunaelahdsnlnginchwngewlathiaetktangkntngaethnwynathiipcnthungepnpi khunxyukbkhnadkhxngdawvksnn dawaepraesngpraephthnirwmipthungdawaepraesngchnidesefxidaeladawthikhlaykhlungkbdawesefxid rwmthungdawaepraesngkhabyawechn dawmira dawaepraesngaebbphwyphung Eruptive variables khuxdawvksthimikalngsxngswangephimkhunaebbthnthithnid xnenuxngmacakaesngwabhruxkarpldplxymwlxyangchbphln dawaepraesngcaphwknirwmipthungdawvkskxnekid dawvkspraephth Wolf Rayet dawaepraesngpraephth Flare aeladawyks rwmthungdawyksihy dawaepraesngaebbraebid Cataclysmic hrux Explosive variables khuxdawthimikarepliynaeplngkhunsmbtiphayin dawcaphwknirwmipthungnwdaraaelamhanwdara rabbdawkhuthimidawaekhrakhawxyuikl kxacthaihekidkarraebidkhxngdawvksinlksnani rwmthungonwa aelamhanwdarapraephth 1ex karraebidekidkhunemuxdawaekhrakhawdungihodrecncakdawkhukhxngmnaelaphxkphunmwlmakkhuncnkrathngihodrecnmimakekinkwakrabwnkarfiwchn onwabangchnidyngekidsaaelwsaxik thaihekidkhabkarraebidepnchwng nxkcaknidawvksyngxacepliynaeplngkalngsxngswangidcakpccyphaynxk echn karekidkhrasinrabbdawkhu hruxdawvksthihmunrxbtwexngaelaekidcudmuddawvksthiihymak karekidkhrasinrabbdawkhuthioddednidaek dawxlkxl Algol sungcamikhaochtimatrepliynaeprxyurahwang 2 3 thung 3 5 thuk chwngewla 2 87 wnokhrngsrangokhrngsrangphayinkhxngdawvksthiesthiyrcaxyuinsphawasmdulxuthksthit khuxaerngkrathacakprimatrkhnadelkaetlachudthikrathatxknaelakncamikhaethaknphxdi smdulkhxngaerngprakxbdwyaerngdungekhaphayinthiekidcakaerngonmthwng aelaaerngphlkxxkphaynxkthiekidcakaerngdnphayinkhxngdawvks radbaerngdnphayinniekidkhuncakradbxunhphumikhxngphlasmathikhxy ldhlnkn odythidannxkkhxngdawvkscamixunhphumitakwadanin xunhphumithiicklangkhxngdawvksinaethbladbhlkhruxkhxngdawykscamikhaxyangnxy 107K phlkhxngxunhphumiaelaaerngdnxnekidcakkarephaphlayihodrecnthiaeknklangdawvksinaethbladbhlknimiephiyngphxthicathaihekidptikiriyaniwekhliyrfiwchn aelasrangphlngnganidmakphxcatanthankaryubtwkhxngdawvksid emuxniwekhliysxatxmthukhlxmehlwthiinicklangdaw mncaaephphlngnganxxkmainrupkhxngrngsiaekmma oftxnehlanithaptikiriyakbphlasmathixyurxb aelaephimphunphlngngankhwamrxnihkbaeknklangmakyingkhun dawvksinaethbladbhlkthikalngaeplngihodrecnipepnhieliym cakhxy ephimprimanhieliyminaeknklangkhunxyangcha inxtraerwkhxnkhangkhngthi khrnemuxprimanhieliymmiephimkhuneruxy cnkarsrangphlngnganthiaeknklanghyudchangkip dawvksthimimwlmakkwa 0 4 ethakhxngmwldwngxathitycamiphunphiwrxbnxkkhyaytwihykhunhxhumhieliyminaeknklangexaiw nxkehnuxcaksphawasmdulxuthksthitthixyuphayindawvksthiesthiyr yngmismdulphlngnganphayinhruxthieriykwa smdulkhwamrxn klawkhuxkaraephrkracayxunhphumiphayintamaenwrsmiphayindawthaihekidkraaesphlngnganihlcakphayinxxksuphaynxk kraaesphlngnganthiihlphanchnphiwkhxngdawvksxxkmainaetlachncamiprimanethakbkraaesphlngnganthiihlekhamacakchnphiwkxnhna phaphtdkhwangaesdngswnprakxbkhxngdawvks ekhtaephrngsi khuxbriewnphayindawvksthisungmikarthayethrngsixyangmiprasiththiphlphxcathaihekidkarihlkhxngkraaesphlngnganid inyannicaimmikarhmunewiynkhxngphlasma aelamwltang lwnhyudning hakimmisphawaniekidkhun phlasmacaekidkarpnpwnaelaekidkrabwnkarphakhwamrxnkhun thaihekidepnyaneriykwaekhtphakhwamrxn lksnaechnnixacekidkhunidinbriewnthimikraaesphlngnganihlewiynsungmak echnbriewniklaeknklangkhxngdawhruxbriewnthimikarsxngswangsungmakechnthibriewnchnphiwrxbnxk lksnakarphakhwamrxnthiekidkhunbnchnphiwrxbnxkkhxngdawvksbnaethbladbhlkkhunxyukbmwlkhxngdawvksnn dawvksthimimwlmakkwadwngxathityhlay ethacamiekhtphakhwamrxnluklngipphayindawmakaelamiekhtaephrngsithichnepluxknxk khnathidawvkskhnadelkechndwngxathitycamilksnatrngknkham odymiekhtphakhwamrxnxyuthichnepluxknxkaethndawaekhraaedngthimimwlnxykwa 0 4 ethakhxngmwldwngxathitycamiekhtphakhwamrxnaethbthngdwng sungthaihmnimsamarthsasmhieliymthiaeknklangid sahrbdawvksswnihycamiekhtphakhwamrxnthiepliynaeplngiperuxy tamxayukhxngdaw aelatamxngkhprakxbphayinkhxngdawthiepliynaeplngip swnprakxbkhxngdawvksthiphusngektsamarthmxngehnid eriykwa ofotsefiyr epnchnepluxkthisungphlasmakhxngdawvksklaysphaphepnoftxnkhxngaesng cakcudni phlngnganthikaenidcakaeknklangkhxngdawcaaephrxxkipsuxwkasxyangxisra inbriewnofotsefiyrniexngthipraktcuddbbndwngxathityhruxphunthithixunhphumitakwaxunhphumiechliytampkti ehnuxkwachnkhxngofotsefiyrcaepnchnbrryakaskhxngdawvks sahrbdawvksbnaethbladbhlkechndwngxathity chnbrryakastathisudkhuxchnokhromsefiyrbang sungepncudekidkhxngspikhulaelaepncudkaenideplwdawvks lxmrxbdwychnepliynphansungxunhphumicaephimsungkhunxyangrwderwinrayathangephiyng 100 kiolemtrodypraman phncakchnnicungepnokhorna sungepnphlasmakhwamrxnsungmwlmhasalthiphungphanxxkipphaynxkepnrayathanghlaylankiolemtr duehmuxnwa okhornacamiswnekiywkhxngkbkarthidawvksmiyankarphakhwamrxnxyuthichnepluxknxkkhxngphunphiw okhornamixunhphumithisungmak aetklbihkaenidaesngswangephiyngelknxy eracasamarthmxngehnyanokhornakhxngdwngxathityidinewlathiekidsuriykhrasethann phncakokhorna epnxnuphakhphlasmathiepntnkaenidlmsuriyaaephkracayxxkipcakdawvks kwangiklxxkipcnkrathngmnpathakbmwlsarrahwangdaw sahrbdwngxathity xanabriewnthilmsuriyamixiththiphlkwangiklxxkipepnrupthrngkhlaylukopng eriykchuxyanphayitxiththiphlkhxnglmsuriyaniwa ehlioxsefiyresnthangekidptikiriyakhxngdawvksphaphthwipkhxnghwngos oprtxn oprtxnwngcrptikiriya kharbxn inotrecn xxksiecn mirupaebbptikiriyaniwekhliyrfiwchnthiaetktangknmakmayekidkhuninicklangkhxngdawvks khunkbmwlaelaxngkhprakxbkhxngdawnn odyptikiriyaehlaniepnswnhnungkhxngkarsngekhraahniwekhliyskhxngdawvks mwlsudthaykhxngniwekhliysxatxmthihlxmtwthinxykwakharwmkhxngxngkhprakxbthnghmd mwlthisuyesiyipnnklayipepnphlngnganaemehlkiffa tamsmkarkhwamsmmulrahwangmwl phlngngan khux E mc krabwnkarfiwchnkhxngihodrecnekidkhuntamradbkhxngxunhphumi dngnnkarthixunhphumiicklangdawephimkhuncasngphltxxtrakarekidfiwchnxyangmak phlthiidkhux xunhphumiicklangdawkhxngdawvksinaethbladbhlkcamikhaaeprepliynxyurahwang 4 lanekhlwin sahrbdawvkselkpraephth M ipcnthung 40 lanekhlwin sahrbdawvksmwlmakinpraephth O sahrbdwngxathitysungmixunhphumiicklangpraman 10 lanekhlwin ihodrecncahlxmlalayklayepnhieliyminhwngosptikiriyaoprtxn oprtxn 41H 22H 2e 2ne 4 0 MeV 1 0 MeV 21H 22H 2 2g 5 5 MeV 23He 21H 12 9 MeV ptikiriyaehlanisngphltxptikiriyainphaphrwmdngni 41H 4He 2e 2g 2ne 26 7 MeV odythi e khux ophsitrxn g khuxoftxnkhxngrngsiaekmma ne khux niwtrion aela H kb He khuxixosothpkhxngihodrecnaelahieliymtamladb phlngnganthipldplxyxxkcakptikiriyanimikhnadhlaylanxielktrxnowlt sungxnthicringepnephiyngswnesiywelknxykhxngphlngnganethann xyangirkdi miptikiriyaehlaniekidkhunxyangtxenuxngepncanwnmhasal thaihsamarthkaenidphlngngankhunephiyngphxthicathaihekidkaraephrngsikhxngdawvks mwlnxythisudkhxngdawvksthitxngichsahrbfiwchn thatu mwl dwngxathityihodrecn 0 01hieliym 0 4kharbxn 5nixxn 8 indawvksthimimwlsungkwani hieliymcathaihekidwngcrptikiriyathierngkhunenuxngcakkharbxn khuxwngcrptikiriyakharbxn inotrecn xxksiecn dawvksthiwiwthnakaripdwyxunhphumiicklang 100 lanekhlwin aelamwlrahwang 0 5 10 ethakhxngmwngdwngxathitynn hieliymsamarthepliynrupipepnkharbxnidinkrabwnkarthripepil xlfa sungich ebrileliym epnthatuthiepntwklang 4He 4He 92 keV 4He 8 Be 67 keV 12 C 12 C g 7 4 MeV sahrbptikiriyainphaphrwmkhux 34He 12C g 7 2 MeV indawvksmwlmak thatuhnkcathukephaphlayipinaeknklangthixdaennodyphankrabwnkarephaphlaynixxn aelakrabwnkarephaphlayxxksiecn sphawasudthayinkrabwnkarsngekhraahniwekhliyskhxngdawvkskhux krabwnkarephaphlaysilikxn sungthaihidphllphthxxkmaepnixosothpesthiyr ehlk 56 krabwnkarfiwchnimxacdaenintxipidxik nxkesiycakcatxngphankrabwnkardudklunkhwamrxn endothermic process hlngcaknn phlngngancaekidkhunidcakkaryubtwenuxngcakaerngonmthwngethann twxyangkhanglangni aesdngrayaewlathidawvkskhnad 20 ethakhxngmwldwngxathitycaepntxngichinkarephaphlayphlngnganniwekhliyrphayintwcnhmd dawvksinaethbladbhlkpraephth O camirsmi 8 ethakhxngrsmidwngxathity aelamikalngsxngswang 62 000 ethakhxngkalngsxngswangdwngxathity thatu echuxephling xunhphumi lanekhlwin khwamhnaaenn kg cm ewlaephaphlay t hnwypi H 37 0 0045 8 1 lanHe 188 0 97 1 2 lanC 870 170 976Ne 1 570 3 100 0 6O 1 980 5 550 1 25S Si 3 340 33 400 0 0315duephimklumdaw darasastrdawvksxangxingBahcall John N 2000 06 29 How the Sun Shines Nobel Foundation subkhnemux 2006 08 30 Richmond Michael Late stages of evolution for low mass stars Rochester Institute of Technology subkhnemux 2006 08 04 NASA Observatorium khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2008 02 10 subkhnemux 2006 06 08 Iben Icko Jr 1991 Single and binary star evolution Astrophysical Journal Supplement Series 76 55 114 doi 10 1086 191565 Forbes George 1909 History of Astronomy Free e book from Project Gutenberg London Watts amp Co Hevelius Johannis 1690 Firmamentum Sobiescianum sive Uranographia Gdansk Tondering Claus WebExhibits khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2019 11 21 subkhnemux 2006 12 10 von Spaeth Ove 2000 Dating the Oldest Egyptian Star Map Centaurus International Magazine of the History of Mathematics Science and Technology 42 3 159 179 subkhnemux 2007 10 21 North John 1995 The Norton History of Astronomy and Cosmology New York and London W W Norton amp Company pp 30 31 ISBN 0393036561 Murdin P 2000 Aristillus c 200 BC Encyclopedia of Astronomy and Astrophysics Bibcode 2000eaa bookE3440 doi 10 1888 0333750888 3440 ISBN 978 0 333 75088 9 Grasshoff Gerd 1990 The history of Ptolemy s star catalogue Springer pp 1 5 ISBN 0387971815 Pinotsis Antonios D Astronomy in Ancient Rhodes Section of Astrophysics Astronomy and Mechanics Department of Physics University of Athens subkhnemux 2009 06 02 Clark D H Stephenson F R 1981 06 29 The Historical Supernovae Supernovae A survey of current research Proceedings of the Advanced Study Institute Cambridge UK Dordrecht D Reidel Publishing Co pp 355 370 Bibcode 1982ASIC 90 355C Zhao Fu Yuan Strom R G Jiang Shi Yang 2006 The Guest Star of AD185 Must Have Been a Supernova Chinese Journal of Astronomy and Astrophysics 6 5 635 640 doi 10 1088 1009 9271 6 5 17 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint multiple names authors list lingk NAOA News March 5 2003 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2020 05 12 subkhnemux 2006 06 08 Frommert Hartmut Kronberg Christine August 30 2006 SEDS University of Arizona khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2008 07 05 subkhnemux 2010 06 19 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite web title aemaebb Cite web cite web a CS1 maint multiple names authors list lingk Duyvendak J J L April 1942 Further Data Bearing on the Identification of the Crab Nebula with the Supernova of 1054 A D Part I The Ancient Oriental Chronicles Publications of the Astronomical Society of the Pacific 54 318 91 94 Bibcode 1942PASP 54 91D doi 10 1086 125409 Mayall N U Oort Jan Hendrik April 1942 Further Data Bearing on the Identification of the Crab Nebula with the Supernova of 1054 A D Part II The Astronomical Aspects Publications of the Astronomical Society of the Pacific 54 318 95 104 Bibcode 1942PASP 54 95M doi 10 1086 125410 Brecher K aelakhna 1983 Ancient records and the Crab Nebula supernova The Observatory 103 106 113 Bibcode 1983Obs 103 106B Kennedy Edward S 1962 Review The Observatory in Islam and Its Place in the General History of the Observatory by Aydin Sayili Isis 53 2 237 239 doi 10 1086 349558 Jones Kenneth Glyn 1991 Messier s nebulae and star clusters Cambridge University Press p 1 ISBN 0521370795 Zahoor A 1997 Hasanuddin University khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2008 06 26 subkhnemux 2007 10 21 Montada Josep Puig September 28 2007 Ibn Bajja subkhnemux 2008 07 11 Drake Stephen A 2006 08 17 A Brief History of High Energy X ray amp Gamma Ray Astronomy NASA HEASARC subkhnemux 2006 08 24 Exoplanets ESO 2006 07 24 subkhnemux 2006 10 11 lingkesiy Ahmad I A 1995 The impact of the Qur anic conception of astronomical phenomena on Islamic civilization Vistas in Astronomy 39 4 395 403 402 Bibcode 1995VA 39 395A doi 10 1016 0083 6656 95 00033 X Setia Adi 2004 Fakhr Al Din Al Razi on Physics and the Nature of the Physical World A Preliminary Survey Islam amp Science 2 ekbcakaehlngedimemux 2012 07 10 subkhnemux 2010 03 02 Hoskin Michael 1998 The Value of Archives in Writing the History of Astronomy Space Telescope Science Institute subkhnemux 2006 08 24 Proctor Richard A 1870 Are any of the nebulae star systems Nature 1 331 333 doi 10 1038 001331a0 MacDonnell Joseph Fairfield University khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2011 07 21 subkhnemux 2006 10 02 Aitken Robert G 1964 The Binary Stars New York Dover Publications Inc Michelson A A Pease F G 1921 Measurement of the diameter of Alpha Orionis with the interferometer Astrophysical Journal 53 249 259 doi 10 1086 142603 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint multiple names authors list lingk Unsold Albrecht 1969 The New Cosmos New York Springer Verlag e g Battinelli Paolo Demers Serge Letarte Bruno 2003 Carbon Star Survey in the Local Group V The Outer Disk of M31 The Astronomical Journal 125 3 1298 1308 doi 10 1086 346274 subkhnemux 2007 02 04 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint multiple names authors list lingk Millennium Star Atlas marks the completion of ESA s Hipparcos Mission ESA 1997 12 08 subkhnemux 2007 08 05 Villard Ray Freedman Wendy L 1994 10 26 Hubble Site khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2016 07 06 subkhnemux 2007 08 05 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite web title aemaebb Cite web cite web a CS1 maint multiple names authors list lingk Hubble Site 1999 05 25 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2016 12 19 subkhnemux 2007 08 02 UBC Public Affairs 2007 01 08 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2013 07 27 subkhnemux 2007 08 02 Koch Westenholz Ulla Koch Ulla Susanne 1995 Mesopotamian astrology an introduction to Babylonian and Assyrian celestial divination Carsten Niebuhr Institute Publications Vol 19 Museum Tusculanum Press p 163 ISBN 8772892870 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite book title aemaebb Cite book cite book a CS1 maint multiple names authors list lingk Coleman Leslie S Myths Legends and Lore Frosty Drew Observatory subkhnemux 2006 08 13 Naming Astronomical Objects International Astronomical Union IAU subkhnemux 2009 01 30 Students for the Exploration and Development of Space SEDS khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2010 05 31 subkhnemux 2009 01 30 National Maritime Museum khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2007 10 29 subkhnemux 2006 08 13 Adams Cecil 1998 04 01 The Straight Dope khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2008 05 12 subkhnemux 2006 08 13 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2010 06 24 subkhnemux 2010 06 20 Sackmann I J Boothroyd A I 2003 Our Sun V A Bright Young Sun Consistent with Helioseismology and Warm Temperatures on Ancient Earth and Mars The Astrophysical Journal 583 2 1024 1039 doi 10 1086 345408 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint multiple names authors list lingk Tripathy S C Antia H M 1999 Influence of surface layers on the seismic estimate of the solar radius Solar Physics 186 1 2 1 11 doi 10 1023 A 1005116830445 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint multiple names authors list lingk Woodward P R 1978 Theoretical models of star formation Annual review of astronomy and astrophysics 16 555 584 doi 10 1146 annurev aa 16 090178 003011 Smith Michael David 2004 The Origin of Stars Imperial College Press pp 57 68 ISBN 1860945015 Seligman Courtney Self published khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2008 06 23 subkhnemux 2006 09 05 Bally J Morse J Reipurth B 1996 The Birth of Stars Herbig Haro Jets Accretion and Proto Planetary Disks in Piero Benvenuti F D Macchetto and Ethan J Schreier b k Science with the Hubble Space Telescope II Proceedings of a workshop held in Paris France December 4 8 1995 Space Telescope Science Institute p 491 subkhnemux 2006 07 14 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite conference title aemaebb Cite conference cite conference a CS1 maint multiple names authors list lingk Smith Michael David 2004 The origin of stars Imperial College Press p 176 ISBN 1860945015 Megeath Tom May 11 2010 Herschel finds a hole in space ESA subkhnemux 2010 05 17 Mengel J G Demarque P Sweigart A V Gross P G 1979 Stellar evolution from the zero age main sequence Astrophysical Journal Supplement Series 40 733 791 doi 10 1086 190603 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint multiple names authors list lingk Sackmann I J Boothroyd A I Kraemer K E 1993 Our Sun III Present and Future Astrophysical Journal 418 457 doi 10 1086 173407 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint multiple names authors list lingk Wood B E Muller H R Zank G P Linsky J L 2002 Measured Mass Loss Rates of Solar like Stars as a Function of Age and Activity The Astrophysical Journal 574 1 412 425 doi 10 1086 340797 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint multiple names authors list lingk lingkesiy de Loore C de Greve J P Lamers H J G L M 1977 Evolution of massive stars with mass loss by stellar wind Astronomy and Astrophysics 61 2 251 259 Royal Greenwich Observatory khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2007 09 30 subkhnemux 2006 09 07 Pizzolato N Ventura P D Antona F Maggio A Micela G Sciortino S 2001 Subphotospheric convection and magnetic activity dependence on metallicity and age Models and tests Astronomy amp Astrophysics 373 597 607 doi 10 1051 0004 6361 20010626 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint multiple names authors list lingk UCL Astrophysics Group 2004 06 18 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2004 11 22 subkhnemux 2006 08 26 Schroder K P Smith Robert Connon 2008 Distant future of the Sun and Earth revisited Monthly Notices of the Royal Astronomical Society 386 155 doi 10 1111 j 1365 2966 2008 13022 x See also Palmer Jason 2008 02 22 NewScientist com news service khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2008 03 17 subkhnemux 2008 03 24 Hinshaw Gary 2006 08 23 The Life and Death of Stars NASA WMAP Mission subkhnemux 2006 09 01 Iben Icko Jr 1991 Single and binary star evolution Astrophysical Journal Supplement Series 76 55 114 doi 10 1086 191565 subkhnemux 2007 03 03 Royal Greenwich Observatory khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2007 09 30 subkhnemux 2006 09 07 Liebert J 1980 White dwarf stars Annual review of astronomy and astrophysics 18 2 363 398 doi 10 1146 annurev aa 18 090180 002051 Introduction to Supernova Remnants Goddard Space Flight Center 2006 04 06 subkhnemux 2006 07 16 Fryer C L 2003 Black hole formation from stellar collapse Classical and Quantum Gravity 20 S73 S80 doi 10 1088 0264 9381 20 10 309 Szebehely Victor G Curran Richard B 1985 Stability of the Solar System and Its Minor Natural and Artificial Bodies Springer ISBN 9027720460 Most Milky Way Stars Are Single Press release Harvard Smithsonian Center for Astrophysics 2006 01 30 subkhnemux 2006 07 16 Royal Greenwich Observatory khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2007 10 10 subkhnemux 2006 07 18 Hubble Finds Intergalactic Stars Hubble News Desk 1997 01 14 subkhnemux 2006 11 06 Astronomers count the stars BBC News 2003 07 22 subkhnemux 2006 07 18 3 99 1013 km 3 104 km chm 24 365 25 1 5 105 pi Holmberg J Flynn C 2000 The local density of matter mapped by Hipparcos Monthly Notices of the Royal Astronomical Society 313 2 209 216 doi 10 1046 j 1365 8711 2000 02905 x subkhnemux 2006 07 18 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint multiple names authors list lingk CNN News 2000 06 02 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2007 01 07 subkhnemux 2006 07 21 Lombardi Jr J C Warren J S Rasio F A Sills A Warren A R 2002 Stellar Collisions and the Interior Structure of Blue Stragglers The Astrophysical Journal 568 939 953 doi 10 1086 339060 Frebel A Norris J E Christlieb N Thom C Beers T C Rhee J 2007 05 11 Nearby Star Is A Galactic Fossil Science Daily subkhnemux 2007 05 10 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite news title aemaebb Cite news cite news a CS1 maint multiple names authors list lingk Frebel Anna aelakhna May 2007 Discovery of HE 1523 0901 a Strongly r Process enhanced Metal poor Star with Detected Uranium Letters 660 2 L117 L120 Bibcode 2007ApJ 660L 117F doi 10 1086 518122 Naftilan S A Stetson P B 2006 07 13 How do scientists determine the ages of stars Is the technique really accurate enough to use it to verify the age of the universe Scientific American subkhnemux 2007 05 11 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite web title aemaebb Cite web cite web a CS1 maint multiple names authors list lingk Laughlin G Bodenheimer P Adams F C 1997 The End of the Main Sequence The Astrophysical Journal 482 420 432 doi 10 1086 304125 subkhnemux 2007 05 11 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint multiple names authors list lingk Irwin Judith A 2007 Astrophysics Decoding the Cosmos John Wiley and Sons p 78 ISBN 0470013060 ESO 2006 09 12 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2008 07 06 subkhnemux 2006 10 10 Fischer D A Valenti J 2005 The Planet Metallicity Correlation The Astrophysical Journal 622 2 1102 1117 doi 10 1086 428383 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint multiple names authors list lingk Signatures Of The First Stars ScienceDaily 2005 04 17 subkhnemux 2006 10 10 Feltzing S Gonzalez G 2000 The nature of super metal rich stars Detailed abundance analysis of 8 super metal rich star candidates Astronomy amp Astrophysics 367 253 265 doi 10 1051 0004 6361 20000477 subkhnemux 2007 11 27 Gray David F 1992 The Observation and Analysis of Stellar Photospheres Cambridge University Press ISBN 0521408687 ESO 1997 03 11 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2008 05 21 subkhnemux 2006 07 10 Ragland S Chandrasekhar T Ashok N M 1995 Angular Diameter of Carbon Star Tx Piscium from Lunar Occultation Observations in the Near Infrared Journal of Astrophysics and Astronomy 16 332 subkhnemux 2007 07 05 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint multiple names authors list lingk Davis Kate 2000 12 01 AAVSO khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2010 06 15 subkhnemux 2006 08 13 Loktin A V September 2006 Kinematics of stars in the Pleiades open cluster Astronomy Reports 50 9 714 721 Bibcode 2006ARep 50 714L doi 10 1134 S1063772906090058 S2CID 121701212 Hipparcos High Proper Motion Stars ESA 1999 09 10 subkhnemux 2006 10 10 Johnson Hugh M 1957 The Kinematics and Evolution of Population I Stars Publications of the Astronomical Society of the Pacific 69 406 54 doi 10 1086 127012 Elmegreen B Efremov Y N 1999 American Scientist 86 3 264 doi 10 1511 1998 3 264 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2005 03 23 subkhnemux 2006 08 23 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint multiple names authors list lingk Brainerd Jerome James 2005 07 06 X rays from Stellar Coronas The Astrophysics Spectator subkhnemux 2007 06 21 Berdyugina Svetlana V 2005 Starspots A Key to the Stellar Dynamo Living Reviews subkhnemux 2007 06 21 Smith Nathan 1998 Mercury Magazine Astronomical Society of the Pacific 27 20 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2006 09 27 subkhnemux 2006 08 13 NASA s Hubble Weighs in on the Heaviest Stars in the Galaxy NASA News 2005 03 03 subkhnemux 2006 08 04 Ferreting Out The First Stars Harvard Smithsonian Center for Astrophysics 2005 09 22 subkhnemux 2006 09 05 ESO 2005 01 01 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2006 08 20 subkhnemux 2006 08 13 Boss Alan 2001 04 03 Are They Planets or What Carnegie Institution of Washington subkhnemux 2006 06 08 Shiga David 2006 08 17 Mass cut off between stars and brown dwarfs revealed New Scientist subkhnemux 2006 08 23 Hubble glimpses faintest stars BBC 2006 08 18 subkhnemux 2006 08 22 ESO 2003 06 11 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2006 10 07 subkhnemux 2006 10 03 Fitzpatrick Richard 2006 02 13 The University of Texas at Austin khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2010 01 04 subkhnemux 2006 10 04 Villata Massimo 1992 Angular momentum loss by a stellar wind and rotational velocities of white dwarfs Monthly Notices of the Royal Astronomical Society 257 3 450 454 A History of the Crab Nebula ESO 1996 05 30 subkhnemux 2006 10 03 Strobel Nick 2007 08 20 Properties of Stars Color and Temperature Astronomy Notes Primis McGraw Hill Inc cakaehlngedimemux 2007 06 26 subkhnemux 2007 10 09 Seligman Courtney Review of Heat Flow Inside Stars Self published subkhnemux 2007 07 05 Main Sequence Stars The Astrophysics Spectator 2005 02 16 subkhnemux 2006 10 10 Zeilik Michael A Gregory Stephan A 1998 Introductory Astronomy amp Astrophysics 4th ed Saunders College Publishing p 321 ISBN 0030062284 Roach John 2003 08 27 Astrophysicist Recognized for Discovery of Solar Wind National Geographic News subkhnemux 2006 06 13 The Colour of Stars Australian Telescope Outreach and Education khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2012 03 10 subkhnemux 2006 08 13 Astronomers Measure Mass of a Single Star First Since the Sun Hubble News Desk 2004 07 15 subkhnemux 2006 05 24 Garnett D R Kobulnicky H A 2000 Distance Dependence in the Solar Neighborhood Age Metallicity Relation The Astrophysical Journal 532 1192 1196 doi 10 1086 308617 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint multiple names authors list lingk Staff 2006 01 10 National Optical Astronomy Observatory khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2019 05 24 subkhnemux 2007 11 18 Michelson A A Pease F G 2005 Starspots A Key to the Stellar Dynamo Living Reviews in Solar Physics Max Planck Society a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint multiple names authors list lingk Manduca A Bell R A Gustafsson B 1977 Limb darkening coefficients for late type giant model atmospheres Astronomy and Astrophysics 61 6 809 813 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint multiple names authors list lingk Chugainov P F 1971 On the Cause of Periodic Light Variations of Some Red Dwarf Stars Information Bulletin on Variable Stars 520 1 3 National Solar Observatory Sacramento Peak khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2008 02 06 subkhnemux 2006 08 23 Australian Telescope Outreach and Education khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2014 08 09 subkhnemux 2006 08 13 Hoover Aaron 2004 01 05 HubbleSite khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2007 08 07 subkhnemux 2006 06 08 Faintest Stars in Globular Cluster NGC 6397 HubbleSite 2006 08 17 subkhnemux 2006 06 08 Smith Gene 1999 04 16 Stellar Spectra University of California San Diego subkhnemux 2006 10 12 Fowler A April 1891 The Draper Catalogue of Stellar Spectra Nature 45 1166 427 428 Bibcode 1892Natur 45 427F doi 10 1038 045427a0 Jaschek Carlos Jaschek Mercedes 1990 The Classification of Stars Cambridge University Press ISBN 0521389968 MacRobert Alan M Sky and Telescope khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2013 10 22 subkhnemux 2006 07 19 White Dwarf wd Stars White Dwarf Research Corporation khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2010 01 17 subkhnemux 2006 07 19 AAVSO khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2003 06 27 subkhnemux 2006 07 20 Cataclysmic Variables NASA Goddard Space Flight Center 2004 11 01 subkhnemux 2006 06 08 Hansen Carl J Kawaler Steven D Trimble Virginia 2004 Stellar Interiors Springer ISBN 0387200894 Schwarzschild Martin 1958 Structure and Evolution of the Stars Princeton University Press ISBN 0 691 08044 5 Formation of the High Mass Elements Smoot Group subkhnemux 2006 07 11 What is a Star NASA 2006 09 01 subkhnemux 2006 07 11 Press release ESO 2001 08 01 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2006 06 25 subkhnemux 2006 07 10 Burlaga L F Ness N F Acuna M H Lepping R P Connerney J E P Stone E C McDonald F B 2005 Crossing the Termination Shock into the Heliosheath Magnetic Fields Science 309 5743 2027 2029 doi 10 1126 science 1117542 PMID 16179471 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint multiple names authors list lingk Wallerstein G Iben Jr I Parker P Boesgaard A M Hale G M Champagne A E Barnes C A KM dppeler F Smith V V Hoffman R D Timmes F X Sneden C Boyd R N Meyer B S Lambert D L 1999 PDF Reviews of Modern Physics 69 4 995 1084 doi 10 1103 RevModPhys 69 995 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedim PDF emux 2006 09 28 subkhnemux 2006 08 04 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint multiple names authors list lingk karwiwthnakarkhxngdawvks 2010 06 20 thi ewyaebkaemchchin phakhwichafisiks khnawithyasastr mhawithyalyethkhonolyirachmngkhl subkhnwnthi 1 minakhm 2554 Girardi L Bressan A Bertelli G Chiosi C 2000 Evolutionary tracks and isochrones for low and intermediate mass stars From 0 15 to 7 Msun and from Z 0 0004 to 0 03 Astronomy and Astrophysics Supplement 141 371 383 doi 10 1051 aas 2000126 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint multiple names authors list lingk Woosley S E Heger A Weaver T A 2002 The evolution and explosion of massive stars Reviews of Modern Physics 74 4 1015 1071 doi 10 1103 RevModPhys 74 1015 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint multiple names authors list lingk 11 5 wnethakb 0 0315 piaehlngkhxmulxunhxngsmudsmakhmdarasastrithy ithy chiwitkhxngdawvks cakthxngfacalxng krungethph ithy dawvks 2005 05 08 thi ewyaebkaemchchin cak World Book NASA xngkvs phaphwaddawvksaelaklumdawtang 2008 12 17 thi ewyaebkaemchchin mhawithyalyxillinxys xngkvs raychuxdawvks eriyngtamphukhnphb phikd hruxrhsxangxing Centre de Donnees astronomiques de Strasbourg xngkvs karthxdrhskarcdpraephthdawvks Astronomical Society of South Australia xngkvs Live Star Chart ekbthawr 2012 12 04 thi duphaphdwngdawtang ehnuxtaaehnngthieraxyu xngkvs