มอญ (มอญ: မန်, ออกเสียง: [mo̤n]; พม่า: မွန်, ออกเสียง: [mʊ̀ɰ̃]) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในพม่าตอนล่าง บริเวณรัฐมอญ รัฐกะเหรี่ยง รัฐกะยาภาคตะนาวศรี ภาคพะโค ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิรวดี และหลายพื้นที่ของประเทศไทย (ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดปทุมธานี จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดนนทบุรี) โดยมีภาษาแม่เป็นภาษามอญ ซึ่งอยู่ในภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติกสาขามอญ และมีต้นตอร่วมกับภาษาญัฮกุร ซึ่งพูดโดยชาวญัฮกุรที่อาศัยอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ภาษาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีปหลายภาษาได้รับอิทธิพลจากภาษามอญ และภาษามอญก็ได้รับอิทธิพลจากภาษาเหล่านั้นด้วยเช่นกัน
မန် | |
---|---|
เยาวชนมอญ เนื่องในวันเยาวชนมอญ พ.ศ. 2562 | |
ประชากรทั้งหมด | |
ป. 1.7 ล้านคน | |
ภูมิภาคที่มีประชากรอย่างมีนัยสำคัญ | |
พม่า | ป. 1.1 ล้านคน |
ไทย | 200,000 |
ลาว | 1,000 |
ภาษา | |
ภาษามอญ, ภาษาพม่า, ภาษาไทย, ภาษาลาว | |
ศาสนา | |
พุทธนิกายเถรวาท, ศาสนาพื้นบ้านมอญ | |
กลุ่มชาติพันธุ์ที่เกี่ยวข้อง | |
|
ชาวมอญเป็นหนึ่งในกลุ่มชนแรกที่อาศัยอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีส่วนเกี่ยวข้องต่อการเผยแผ่ศาสนาพุทธนิกายเถรวาทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีป อารยธรรมที่ชาวมอญเป็นผู้สถาปนาเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดทั้งในประเทศไทย และลาว ชาวมอญถือเป็นผู้ส่งออกวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รายใหญ่ ในอดีต เมืองหลายเมืองในประเทศพม่า ประเทศไทย และประเทศลาวในปัจจุบัน อย่างย่างกุ้ง กรุงเทพมหานคร และเวียงจันทน์ ได้รับการสถาปนาโดยชาวมอญหรือผู้นำเชื้อสายมอญ
ปัจจุบันชาวมอญเป็นและ โดยชาวมอญในพม่าเรียกเป็นชาวพม่าเชื้อสายมอญ แต่จะไม่ใช่ชาวพม่าที่มีเชื้อสายพม่า ส่วนชาวมอญในประเทศไทยมักเรียกเป็นชาวมอญรามัญหรือชาวไทยเชื้อสายมอญ ภาษาย่อยของชาวมอญในประเทศไทยและพม่า
ชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์
กลุ่มชนต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์เรียกชาวมอญด้วยชื่อหลายแบบ ในสมัยก่อนอาณานิคม ชาวพม่าเรียกชาวมอญว่า ตะเลง (တလိုင်း, Talaing) ซึ่งชาวบริติชในสมัยอาณานิคมนำมาใช้เรียกต่อ คำว่า "Peguan" สำหรับชาวยุโรปใช้เรียกกลุ่มชาติพันธุ์นี้ในสมัยที่พะโคเป็นเมืองหลักในพม่าตอนล่าง
คำว่า "ตะเลง" พบในศิลาจารึกที่สืบอายุได้ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 11 แต่ปัจจุบันถือเป็นคำเหยียดและไม่ใช้งานอย่างแพร่หลายอีกต่อไป เว้นแต่ในบริบทศัพท์เฉพาะทางประวัติศาสตร์ เช่น แนวเพลงที่มีชื่อเดียวกันใน ชุดเพลงคลาสสิกของพม่า ศัพทมูลวิทยาของตะเลงยังไม่ได้รับข้อสรุป โดยอาจมาจากคำว่ามอญ หรืออ้างอิงจาก หรือ แคว้นหนึ่งทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของอินเดีย
คำว่า "มอญ" ซึ่งพ้องกับศัพท์ในภาษาพม่าที่แปลว่า 'มีสกุล' น่าจะมาจากภาษามอญเก่าว่า "rmeñ" ผ่านภาษามอญสมัยกลางว่า "rman" (ရာမန်) ชื่อเรียก "รามัญ" (rmeñ) ได้รับการบันทึกครั้งแรกในศิลาจารึกพระราชวังใหม่ของพระเจ้าจานซิต้าที่พม่าใน ค.ศ. 1102 โดยค้นพบต้นตอของศัพท์นี้มาจากศิลาจารึกภาษาเขมรเก่าในคริสต์ศตวรรษที่ 6 ถึง 10 และภาษาชวาในคริสต์ศตวรรษที่ 11: 44–58 คำว่า (Rāmaññadesa) ศัพท์ทางภูมิศาสตร์ที่ปัจจุบันใช้เรียกใจกลางของชาวมอญในชายฝั่งพม่า ประดิษฐ์โดยพระเจ้าธรรมเจดีย์ใน ค.ศ. 1479
ชาวมอญในพม่าได้รับการแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อยตามภูมิภาคต้นตอในพม่าตอนล่าง ได้แก่ Mon Nya (မန်ည; /mòn ɲaˀ) จากพะสิม (ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิรวดี) ทางตะวันตก Mon Tang (မန်ဒိုင်; /mòn tàŋ/) ในพะโคทางตอนกลาง และ Mon Teh (မန်ဒ; /mòn tɛ̀ˀ/) ที่เมาะตะมะทางตะวันออกเฉียงใต้
ประวัติ
ก่อนประวัติศาสตร์
ชาวมอญ ซึ่งสืบเชื้อสายจากชาว เชื่อกันว่าอพยพมาจากแยงซีเกียงในจีนตอนใต้ไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามแนวแม่น้ำโขง แม่น้ำสาละวิน แม่น้ำสะโตง แม่น้ำอิรวดี แม่น้ำปิง และแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วง 3,000 ถึง 2,000 ปีก่อน ค.ศ.: 196 ภายหลังจึงตั้งถิ่นฐานไปไกลสุดถึงมาลายา พร้อมกับนำเอาวิถีเกษตรกรรมริมแม่น้ำ รวมถึงการเพาะปลูกนาข้าว การวิจัยทางภาษาศาสตร์สมัยใหม่โดย (2021) เสนอแนะว่าสถานที่ของชนออสโตรเอเชียติกดั้งเดิมอยู่ในพื้นที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดงในเมื่อประมาณ 4,000-4,500 ปีก่อนปัจจุบัน
สมัยประวัติศาสตร์
มอญเป็นชนชาติเก่าแก่ มีอารยธรรมรุ่งเรืองมากชนชาติหนึ่ง จากพงศาวดารพม่ากล่าวว่า "มอญเป็นชนชาติแรกที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในพม่า มาเป็นเวลาหลายศตวรรษก่อนคริสตกาล" คาดว่าน่าจะอพยพมาจากตอนกลางของทวีปเอเชีย เข้ามาตั้งอาณาจักรของตนทางตอนใต้ บริเวณลุ่มแม่น้ำสาละวิน และแม่น้ำสะโตง ซึ่งบริเวณนี้ในเอกสารของจีนและอินเดียเรียกว่า "ดินแดนสุวรรณภูมิ"
ในพุทธศตวรรษที่ 2 ศูนย์กลางของอาณาจักรมอญคืออาณาจักรสุธรรมวดีหรือสะเทิม (Thaton) จากพงศาวดารมอญกล่าวไว้ว่าอาณาจักรสะเทิมสร้างโดยพระราชโอรส 2 พระองค์ของ แห่งแคว้นหนึ่งของอินเดีย ก่อนปี พ.ศ. 241 พระองค์นำพลพรรคลงเรือสำเภามาจอดที่อ่าวเมาะตะมะ และตั้งรากฐานซึ่งต่อมาเป็นที่ตั้งของเมือง อาณาจักรสะเทิมรุ่งเรืองมากมีการค้าขายติดต่ออย่างใกล้ชิดกับประเทศอินเดียและลังกา และได้รับเอาอารยธรรมของอินเดียมาใช้ ทั้งทางด้านอักษรศาสตร์ และศาสนา โดยเฉพาะรับเอาพุทธศาสนานิกายเถรวาทมา มอญมีบทบาทในการถ่ายทอดอารยธรรมอินเดียไปยังชนชาติอื่นอย่างเช่น ชาวพม่า ไทย และลาว เจริญสูง มีความรู้ดีทางด้านการเกษตร และมีความชำนาญในการชลประทาน โดยเป็นผู้ริเริ่มระบบชลประทานขึ้นในลุ่มน้ำอิรวดีทางตอนกลางของประเทศพม่า
พวกน่านเจ้าเข้ามาทางตอนเหนือของพม่าและทำสงครามกับพวกปยู อาณาจักรมอญที่สะเทิมขยายอำนาจขึ้นไปทางภาคกลางของลุ่มแม่น้ำอิรวดีระยะหนึ่ง แต่เมื่อชนชาติพม่ามีอำนาจเหนืออาณาจักรปยู และได้ขยายอำนาจลงมาทางใต้เข้ารุกรานมอญ มอญจึงถอยลงมาดังเดิมและได้สร้างเมืองหลวงขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 1368 ที่ หงสาวดี
พระเจ้าอโนรธา กษัตริย์พม่าแห่งพุกาม ยกทัพมาตีอาณาจักรสุธรรมวดีและกวาดต้อนผู้คน ทรัพย์สมบัติ พระสงฆ์ พระไตรปิฎก กลับไปพุกามจำนวนมาก ต่อมาระหว่างปี 1600-1830 กรุงหงสาวดี ตกอยู่ใต้อำนาจพุกาม แต่กระนั้นพม่าก็รับวัฒนธรรมมอญมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นภาษามอญได้แทนที่ภาษาบาลีและสันสกฤตในจารึกหลวง และพุทธศาสนานิกายเถรวาทได้เป็นศาสนาที่นับถือสูงสุดในพุกาม มอญยังมีความใกล้ชิดกับลังกา ซึ่งขณะนั้นเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายเถรวาท และนิกายเถรวาทก็แพร่กระจายไปทั่วเอเชียอาคเนย์
พระเจ้าจานซิต้าทรงดำเนินนโยบายผูกมิตรกับราชตระกูลของพระเจ้ามนูหะ กษัตริย์มอญแห่งสะเทิม โดยยกพระราชธิดาให้กับเจ้าชายมอญ พระนัดดาที่ประสูติจากทั้งสองพระองค์นี้ ก็ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระองค์ พระนามว่า พระเจ้าอลองสิธู ในยุคที่พระองค์ปกครองอาณาจักรพุกามได้รวมตัวกันเป็นปึกแผ่นมากที่สุด นอกจากนี้ในสมัยของพระเจ้าจานซิต้ามีศิลาจารึกยกย่องไว้ว่า วัฒนธรรมมอญเหนือกว่าวัฒนธรรมพม่าอีกด้วย
ต่อมาในปี พ.ศ. 1830 จักรวรรดิมองโกลยกทัพมาตีพุกาม ทำให้มอญได้รับเอกราชอีกครั้ง มะกะโท หรือพระเจ้าฟ้ารั่ว ราชบุตรเขยของพ่อขุนรามคำแหงได้ทรงกอบกู้เอกราชมอญจากพม่า และสถาปนา อาณาจักรหงสาวดี พระองค์มีมเหสีเป็นราชธิดาของพ่อขุนรามคำแหง มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมาะตะมะ ต่อมาในสมัยพระยาอู่ ได้ย้ายราชธานีมาอยู่ ณ เมืองพะโคหรือหงสาวดี ราชบุตรของพระองค์คือพญาน้อย ซึ่งต่อมาก็คือ พระเจ้าราชาธิราช ผู้ทำสงครามยาวนานกับกษัตริย์พม่าอังวะ ในสมัยพระเจ้าสวาซอเก กับสมัยพระเจ้ามิงคอง (คนไทยเรียกว่า พระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง ในหนังสือเรื่อง ราชาธิราช) ขุนพลสำคัญของพระเจ้าราชาธิราช ก็คือ สมิงพระราม, ละกูนเอง และแอมูน-ทยา ในสมัยของพระเจ้าราชาธิราชนั้นหงสาวดีกลายเป็นอาณาจักรที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ ครอบคลุมตั้งแต่ชายฝั่งทะเลอ่าวเบงกอล จากแม่น้ำอิรวดีขยายลงไปทางตะวันออกถึงแม่น้ำสาละวิน และเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่ใหญ่โตมีเมืองท่าที่สำคัญหลายแห่งในหลายลุ่มน้ำ เช่น เมาะตะมะ, สะโตง, พะโค, พะสิม อาณาจักรมอญยุคนี้เจริญสูงสุดในสมัยพระนางเชงสอบูและสมัยพระเจ้าธรรมเจดีย์ หลังจากนั้นในสมัยพระเจ้าสการะวุตพีหงสาวดีก็เสียแก่พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ ในปี พ.ศ. 2081
พ.ศ. 2283 สมิงทอพุทธกิตติ กู้เอกราชคืนมาจากพม่าได้สำเร็จ และสถาปนา อาณาจักรหงสาวดีใหม่ ทั้งได้ยกทัพไปตีเมืองอังวะ ในปี พ.ศ. 2290 พญาทะละได้ครองอำนาจแทนสมิงทอพุทธกิตติ ขยายอาณาเขตอย่างกว้างขวางทำให้อาณาจักรตองอูของพม่าสลายตัวลง จนในปี พ.ศ. 2300 พระเจ้าอลองพญา ก็กู้อิสรภาพของพม่ากลับคืนมาได้ ทั้งยังได้โจมตีมอญ กษัตริย์องค์สุดท้ายของมอญคือ พระเจ้าพญามองธิราชหรือพญาทะละ
วัฒนธรรม
ภาษาและอักษรมอญ
ภาษามอญ มีการใช้มานานประมาณ 3,000-4,000 ปี เป็นภาษาในตระกูลภาษามอญ-เขมร มีผู้ใช้ภาษานี้อยู่ประมาณ 5,000,000 คน ส่วนอักษรมอญ พบหลักฐานในประเทศไทยที่จารึก อายุราวพุทธศตวรรษ 12 เป็นอักษรมอญโบราณที่เก่าแก่ที่สุด ในบรรดาจารึกภาษามอญที่ได้ค้นพบในแถบเอเชียอาคเนย์ เป็นจารึกที่เขียนด้วยตัวอักษรปัลลวะ ที่ยังไม่ได้ดัดแปลงให้เป็นอักษรมอญ พบว่ามีการประดิษฐ์อักษรมอญขึ้นเพื่อให้พอกับเสียงในภาษามอญ และในจารึกเสาแปดเหลี่ยมที่ศาลสูง เมืองลพบุรี จารึกในพุทธศตวรรษที่ 14 ราว พ.ศ. 1314 เป็นตัวอักษรมอญโบราณหลังปัลลวะ มีเนื้อหาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา
หลักฐานจารึกในสมัยกลางประมาณ พ.ศ. 1600 เป็นต้นมา มีบันทึกทั้งภาษามอญและอักษรมอญ ซึ่งพม่าก็รับอักษรมอญมาใช้เขียนภาษาพม่าเป็นครั้งแรก ประมาณพุทธศตวรรษที่ 16-17 ตัวอักษรได้คลี่คลายจากตัวอักษรปัลลวะ เป็นตัวอักษรสี่เหลี่ยมหรืออักษรมอญโบราณ และเปลี่ยนแปลงขนาดเล็กลงในระยะต่อมา จนในพุทธศตวรรษที่ 21 ก็ได้กลายเป็นอักษรมอญปัจจุบันที่มีลักษณะกลม สันนิษฐานว่าเกิดจากการจารหนังสือโดยใช้เหล็กจารลงบน อักษรมอญยุคนี้มีอายุ ประมาณ 400 ปีเศษ
ภาษามอญจัดอยู่ในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก (Austroasiatic Languages) ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันอยู่ในแถบอินโดจีนและทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย และเมื่อพิจารณาลักษณะทางไวยากรณ์ ภาษามอญจัดอยู่ในประเภทภาษาคำติดต่อ (Agglutinative) อยู่ในกลุ่มภาษาตะวันออกเฉียงใต้ (South Eastern Flank Group) นักภาษาศาสตร์ที่ชื่อ (Willhelm Schmidt) ได้จัดให้อยู่ในตระกูลภาษาสายใต้ (Austric Southern family)
พระยาอนุมานราชธน ได้กล่าวถึงภาษามอญไว้ว่า "ภาษามอญ นั้นมีลักษณะเป็นภาษาคำโดด ซึ่งมีรูปภาษาคำติดต่อปน ลักษณะคำมอญ จะมีลักษณะเป็นคำพยางค์เดียว หรือสองพยางค์ ส่วนคำหลายพยางค์ เป็นคำที่ได้รับอิทธิพลจากภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาบาลีและสันสกฤต และคำที่เกิดจากการเติมหน่วยคำผสาน กล่าวคือ การออกเสียงของคำซึ่งไม่เน้นการออกเสียงในพยางค์แรก จะสร้างคำโดยการใช้การผสานคำ (affixation) กับคำพยางค์แรก เพื่อให้มีหน้าที่ทางไวยากรณ์ อีกทั้งการใช้หน่วยผสานกลางศัพท์ และการใช้สระต่าง ๆ กับพยางค์แรก ในคำสองพยางค์ ก็จะเป็นการช่วยเน้นให้พยางค์แรกเด่นชัดขึ้นด้วย แต่พยางค์หลังเป็นส่วนที่มีความหมายเดิม"
สรุปคือภาษามอญเป็นภาษาที่มีโครงสร้างไม่ซับซ้อน ไม่มีการผันคำนาม คำกริยา ตามกฎบังคับทางไวยากรณ์ ประโยคประกอบด้วยคำที่ทำหน้าที่ประธาน กริยา และกรรม ส่วนขยายอยู่หลังคำที่ถูกขยาย
ในปัจจุบันชาวมอญรุ่นหลังหันมาใช้ภาษาพม่ากันมาก และมีจำนวนมากที่เลิกใช้ภาษามอญจนคิดว่าตนเป็นพม่า อีกทั้งไม่ทราบว่าตนมีเชื้อสายมอญ จากการสำรวจประชากรมอญในปี ค.ศ. 1931 พบว่ามีจำนวนแค่ 3 แสน 5 หมื่นคน ต่อมาในปี ค.ศ. 1939 ได้มีการก่อตั้งสมาคมชาวมอญและมีการสำรวจประชากรมอญอีกครั้ง พบว่ามีราว 6 แสนกว่าคน พอต้นสมัยสังคมนิยมสำรวจได้ว่ามีชาวมอญราว 1 ล้านกว่าคน ชาวมอญที่ยังพูดภาษามอญในชีวิตประจำวันส่วนใหญ่อาศัยอยู่ใน รัฐมอญ แต่ในเขตเมืองก็จะพบแต่ชาวมอญที่พูดภาษาพม่าเป็นส่วนมาก
ในประเทศไทยเอง ก็มีการใช้ภาษามอญในการสื่อสารตามชุมชนมอญในจังหวัดต่าง ๆ และแต่ละชุมชนก็มีสำเนียงเฉพาะที่แตกต่างกันไปตามที่อาศัย ซึ่งอาจได้รับอิทธิพลจากชุมชนอื่นที่ไม่ใช่ชาวมอญซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน โดยในบางชุมชนยังคงมีการสอนลูกหลานให้พูดภาษามอญกัน แต่บางชุมชนภาษามอญก็มีการใช้สื่อสารน้อยลง แต่อย่างไรก็ตามในจังหวัดสมุทรสาคร ก็มีชาวมอญจากประเทศพม่า ที่อพยพเข้ามาเป็นแรงงานต่างด้าวในจังหวัด ซึ่งได้นำภาษาพูดและภาษาเขียนกลับเข้ามาในชุมชนมอญแถบมหาชัยอีกครั้งหนึ่ง ทำให้มีการใช้ภาษามอญรวมไปถึงป้ายข้อความภาษามอญให้พบเห็นโดยทั่วไป
ศิลปะ
ศิลปวัฒนธรรมมอญนั้น กลายเป็นศิลปวัฒนธรรมของพม่าไปหมด เพราะศิลปวัฒนธรรมส่วนใหญ่นั้นพม่าได้รับไปจากมอญ ศิลปสถาปัตยกรรมประเภทเรือนยอด (กุฎาคาร) หรือหลังคาที่มียอดแหลมต่อขึ้นไป โดยเฉพาะเรือนยอดทรงมณฑปนี้ เป็นสถาปัตยกรรมมอญ ที่ไทยและพม่านำมาดัดแปลงใช้ต่อ
ศิลปดนตรีนั้น ไทยได้รับอิทธิพลจากมอญมามาก เช่น ไทยเรารับวงปี่พาทย์มอญ และรับได้ดีทั้งรักษาไว้จนปัจจุบัน และให้เกียรติเรียกว่า วงปี่พาทย์มอญ นิยมบรรเลงในงานศพ ดนตรีไทยที่มีชื่อเพลงว่า มอญ นั้น นับได้ 17 เพลง เช่น มอญดูดาว มอญชมจันทร์ มอญรำดาบ มอญอ้อยอิ่ง มอญร้องไห้ มอญนกขมิ้น ฯลฯ และยังมีแขกมอญ คือ ทำนองทั้งแขกทั้งมอญ เช่น แขกมอญบางขุนพรหม แขกมอญบางช้าง เป็นต้น เพลงทำนองของมอญมีความสง่าภาคภูมิ เป็นผู้มีวัฒนธรรมและค่อนข้างจะเย็นเศร้า แต่ที่สนุกสนานก็มีบ้าง เช่น กราวรำมอญ มอญแปลง ฯ ส่วนเครื่องดนตรีประเภทให้จังหวะ ที่เรียกว่าเปิงมางนั้นเป็นเครื่องดนตรีของมอญ ซึ่งไทยเรานำมาทำคอกล้อมเป็นวงกลมหลายวงเรียกว่า เปิงมางคอก ตีแล้วฟังสนุกสนาน และเครื่องดนตรีเช่น ปี่มอญ ฆ้องมอญ ตะโพนมอญ จะเข้ ล้วนได้รับอิทธิพลมาจากมอญ
ประเพณีและศาสนา
ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวมอญนั้น มีวัฒนธรรมเป็นแบบฉบับมายาวนาน บางอย่างมีอิทธิพลให้กับชนชาติใกล้เคียง เช่น ประเพณีสงกรานต์ ข้าวแช่ ฯลฯ บางอย่างก็ถือปฏิบัติกันแต่เฉพาะในหมู่ชนมอญเท่านั้น ชาวมอญมีเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง ขณะเดียวกันก็นับถือผีบรรพบุรุษกับผีอื่น ๆ ที่มีอิทธิฤทธิ์ รวมทั้งเทวดาองครักษ์
ประเพณีแห่หงส์ ธงตะขาบ ของภาคกลางใน จังหวัดสมุทรปราการ โดยชาวพระประแดง (มอญปากลัด) ปกติมักจัดขึ้นในวันที่ 13 เมษายนหรือตรงกับช่วงวันสงกรานต์ ความเป็นมาหรือสาระสำคัญของประเพณีแห่หงส์ ธงตะขาบ ก็เพื่อเป็นการระลึกและเป็นการบูชา รวมไปถึงการเฉลิมฉลองให้กับครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จกลับลงจากจากชั้นภพ ดาวดึงส์ เป็นการถือปฏิบัติสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน โดยผู้คนต่างมักจะนำเสาหงส์และธงตะขาบมาใช้คู่กัน
การแต่งกาย
ชายชาวมอญสวมเสื้อ เป็นเสื้อคอกลมผ่าอก แขนทรงกระบอก มีกระดุมผ้า หรือเชือกผูกเข้ากัน สมัยก่อนนิยมโพกศีรษะ ท่อนล่างสวมผ้านุ่ง เรียกว่า เกลิด และเวลาออกงานสำคัญนุ่งผ้าผืนยาวที่เรียกว่า เกลิดฮะเหลิ่น แปลว่า ผ้านุ่งยาว (ลอยชาย) มีสไบพาดไหล่สองข้างทิ้งชายไปข้างหลังหรือพาดบ่าด้วยผ้าขาวม้า หากเป็นงานบุญจะพาดด้านซ้ายมือ
หญิงชาวมอญสวมเสื้อตัวในคอกลมแขนกุดตัวสั้นแค่เอว เล็กพอดีตัว สีสันสดใส สวมทับด้วยเสื้อแขนยาวทรงกระบอก เป็นผ้าลูกไม้เนื้อบาง สีอ่อน มองเห็นเสื้อตัวใน หากยังสาวอยู่แขนเสื้อจะยาวถึงข้อมือ หากมีครอบครัวแล้ว จะเป็นแขนสามส่วน มีการคล้องผ้าสไบ ถ้าเป็นงานบุญจะคล้องผ้าทางด้านซ้ายมือ แต่หากไปงานรื่นเริงก็ใช้คล้องคอแทน หรือพาดลงมาตรง ๆ บนไหล่ซ้าย ท่อนล่างสวมสวม หนิ่น คล้ายผ้านุ่งของผู้ชาย แต่ลายของผู้หญิงจะละเอียดกว่าและวิธีการนุ่งต่างกัน หญิงมอญนิยมเกล้าผมมวย ค่อนต่ำลงมาทางด้านหลัง มีเครื่องประดับ 2 ชิ้น บังคับไม่ให้ผมมวยหลุด คือ โลหะรูปตัวยูคว่ำ และ โลหะรูปปีกกาตามแนวนอน และปักปิ่นปักผม
อาหาร
ชาวมอญนิยมนำผักตามฤดูกาลและปลาในท้องถิ่นมาประกอบอาหารเป็นแกงส้มและแกงเลียง ส่วนในเทศกาลสงกรานต์ ชาวมอญนิยมทำ ข้าวแช่ หรือ เปิงด้าจก์ หรือ เปิงซงกราน ที่แปลว่า ข้าวสงกรานต์ เพื่อบูชาเทวดา
มอญในประเทศไทย
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางโบราณคดีที่พบในสมัยพุทธศตวรรษที่ 11–13 คือเหรียญเงินเส้นผ่าศูนย์กลาง 19 ม.ม. พบที่นครปฐมและอู่ทองนั้น พบว่ามีอักษรจารึกไว้ว่า “ศรีทวารวดีศวร” และ มีรูปหม้อน้ำกลศอยู่อีกด้านหนึ่ง ทำให้เชื่อได้ว่า ชนชาติมอญโบราณ ได้ตั้งอาณาจักรทวารวดี (บางแห่งเรียกทวาราวดี) ขึ้นในภาคกลางของดินแดนสุวรรณภูมิ มีศูนย์กลางที่เมืองนครปฐมโบราณ (ลุ่มแม่น้ำท่าจีน หรือ นครชัยศรี) กับเมืองอู่ทองและเมืองละโว้ (ลพบุรี) ต่อมาได้ขยายอำนาจขึ้นไป ถึงหริภุญชัยหรือลำพูน มีหลักฐานเล่าไว้ว่า ราว พ.ศ. 1100 พระนางจามเทวี ราชธิดาของเจ้าเมืองลวปุระหรือละโว้ลพบุรี ได้อพยพผู้คนขึ้นไปตั้งเมืองหริภุญชัยที่ลำพูน
เมืองนครปฐมบริเวณพระปฐมเจดีย์ และใกล้เคียงมีการพบจารึกอักษรปัลลวะ บาลี สันสกฤต และ อักษรมอญโบราณ บันทึกเรื่องการสร้างพระพุทธรูป เสาหงส์ วิหาร และแนวต้นมะพร้าวเป็นอาณาเขตพระอารามที่วัดโพธิ์ร้าง จังหวัดนครปฐม อายุราวพุทธศตวรรษที่ 12 (ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระปฐมเจดีย์) และพบจารึกอักษรมอญโบราณ สมัยหริภุญชัย ราวพุทธศตวรรษที่ 17 จำนวน 7 หลัก ที่ลำพูน (ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย จังหวัดลำพูน)
ต่อมาอาณาจักรขอมหลังจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สวรรคตใน พ.ศ. 1732 อำนาจขอมก็เริ่มเสื่อมลง พ่อขุนบางกลางหาว ที่สถาปนาเป็น พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ประกาศตั้งอาณาจักรสุโขทัย เป็นอิสระจากการปกครองของขอม พ่อขุนรามคำแหง พระราชโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ที่ได้ครองราชย์สืบต่อมา ทรงดัดแปลงอักษรขอม และ อักษรมอญ มาประดิษฐ์เป็นลายสือไทย
ด้านจารึกภาษามอญบนใบลานนั้น พบมากมายตามหมู่บ้านมอญในประเทศไทย ส่วนที่ประเทศพม่าพบมากตามหมู่บ้านมอญในเมืองสะเทิมและเมืองไจคะมีในรัฐมอญ ซึ่งมีการคัดลอกและรวบรวมนำมาเก็บไว้ที่หอสมุดแห่งชาติเมืองย่างกุ้ง และที่ห้องสมุดมอญเมืองเมาะลำเลิง นอกจากนี้กองโบราณคดีและกองวัฒนธรรม ยังได้จัดพิมพ์วรรณกรรม ชาดก ตำรามอญ และเคยมีการริเริ่มจัดพิมพ์พจนานุกรมมอญ-พม่าอีกด้วย
มอญอพยพ
ทุกวันนี้ชนชาติมอญ ไม่มีอาณาเขตประเทศปกครองตนเอง เนื่องจากตกอยู่ในภาวะสงคราม การแย่งชิงราชสมบัติกันเอง และการรุกรานจากพม่า ชาวมอญอยู่อย่างแสนสาหัส ถูกกดขี่รีดไถ มีการเกณฑ์แรงงานก่อสร้าง ทำไร่นาหาเสบียงเพื่อการสงคราม และเกณฑ์เข้ากองทัพ โดยเฉพาะสงครามในปี พ.ศ. 2300 สมัยพระเจ้าอลองพญาเป็นสงครามครั้งสุดท้าย ที่ชาวมอญพ่ายแพ้แก่พม่าอย่างราบคาบ ชาวมอญส่วนหนึ่งจึงอพยพโยกย้ายเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนในเมืองไทยหลายต่อหลายครั้ง เท่าที่มีการจดบันทึกเอาไว้รวมทั้งสิ้น 9 ครั้ง
ครั้งที่ 1 เมื่อ พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ตีหงสาวดีแตกใน พ.ศ. 2082 ชาวมอญจำนวนมากหนีเข้ามากรุงศรีอยุธยา พระเจ้าแผ่นดินโปรดฯให้ตั้งบ้านเรือนอยู่แถบตัวเมืองกรุงศรีอยุธยาชั้นนอก พระยาเกียรติ พระยารามและครัวเรือนให้ตั้งบ้านเรือนอยู่แถบตัวเมืองชั้นใน ใกล้พระอารามวัดขุนแสน และเมื่อถึง พ.ศ. 2084 ราชวงศ์ตองอูตีเมืองเมาะตะมะแตก มีการฆ่าฟันชาวมอญลงขนาดใหญ่ ก็เข้าใจว่ามีชาวมอญหนีเข้ามาสู่กรุงศรีอยุธยาอีก ถือเป็นระลอกแรกของมอญอพยพ
ครั้งที่ 2 เมื่อพระนเรศวรเสด็จไปพม่าเมื่อคราวพระเจ้าบุเรงนองสิ้นพระชนม์ แล้วประกาศเอกราช ทรงชักชวนชาวมอญที่เข้าสวามิภักดิ์ ให้อพยพเข้ามาพร้อมกัน ราว พ.ศ. 2127 ในการอพยพครั้งนี้ไม่ปรากฏว่าพระเจ้าแผ่นดินโปรดฯ ให้ตั้งบ้านเรือนที่ใด แต่คาดว่าคงเป็นย่านเดียวกับการอพยพคราวแรก
ครั้งที่ 3 เกิดขึ้นเมื่อหงสาวดีถูกยะไข่ทำลายใน พ.ศ. 2138 ครั้งนี้ก็มีการอพยพใหญ่ของชาวมอญมาทางตะวันออกเข้าสู่ดินแดนของกรุงศรีอยุธยา
ครั้งที่ 4 หลังจากที่ราชวงศ์ตองอูย้ายราชธานีไปอยู่ที่อังวะ หลังจากหงสาวดีถูกทำลายแล้ว ชาวมอญก็ตั้งอำนาจขึ้นใหม่ในดินแดนของตน ต่อมาถึงรัชกาลพระเจ้าอโนเพตลุน พม่าจึงยกทัพมาปราบชาวมอญอีกใน พ.ศ. 2156 ทำให้เกิดการอพยพของชาวมอญเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา หลักฐานบางแห่งกล่าวว่า ชาวมอญกลุ่มนี้ได้รับอนุญาตให้ตั้งภูมิลำเนาอยู่ตามแนวชายแดนไทย
ครั้งที่ 5 ใน พ.ศ. 2204 หรือ 2205 ชาวมอญในเมืองเมาะตะมะก่อการกบฏขึ้นอีก แต่ถูกพม่าปราบลงได้ จึงต้องอพยพหนีเข้ากรุงศรีอยุธยาอีกระลอกหนึ่ง ผ่านทางด่านเจดีย์สามองค์ เข้าใจว่ากลุ่มนี้สัมพันธ์กับกลุ่มชาวมอญที่ตั้งอยู่ชายแดน
ครั้งที่ 6 หลังจากที่ชาวมอญสามารถตั้งอาณาจักรของตนขึ้นได้ใหม่ในปลายราชวงศ์ตองอู แล้วยกกำลังไปตีกรุงอังวะแตก ต่อมาสมัยพระเจ้าอลองพญารวบรวมกำลังพม่าแล้วลุกขึ้นต่อสู้จนในที่สุดก็ตั้งราชวงศ์โก้นบองได้ และใน พ.ศ. 2300 ก็สามารถตีหงสาวดีได้อีก นโยบายของราชวงศ์นี้คือกลืนมอญให้เป็นพม่าโดยวิธีรุนแรง จึงมีชาวมอญอพยพหนีมาสู่เมืองไทยอีกหลายระลอก รวมทั้งกลุ่มที่หนีขึ้นเหนือไปสู่ล้านนา และเรียกกันว่าพวกเม็งในปัจจุบันนี้
ครั้งที่ 7 ใน พ.ศ. 2316 ตรงกับสมัยกรุงธนบุรี ชาวมอญก่อกบฏในย่างกุ้ง พม่าปราบปรามอย่างทารุณแล้วเผาย่างกุ้งจนราบเรียบ ทำให้มอญอพยพเข้าไทยอีก พระเจ้าตากสินโปรดฯ ให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ปากเกร็ด ซึ่งทำให้เกิดกลุ่มมอญเก่า (พระยารามัญวงศ์) และมอญใหม่ (พระยาเจ่ง) คนที่นับตัวเองเป็นชาวมอญในปัจจุบันล้วนอพยพเข้ามาจากระลอกนี้หรือหลังจากนี้ ส่วนชาวมอญที่อพยพก่อนหน้านี้กลืนหายเป็นไทยไปหมด แม้แต่กลุ่มที่อยู่ตามชายแดนแถบเมืองกาญจนบุรี
ครั้งที่ 8 พ.ศ. 2336 เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ยึดเมืองทวายได้ แต่รักษาไว้ไม่ได้ ต้องถอยกลับเข้าไทย ก็นำเอาชาวมอญโดยเฉพาะที่เป็นพวกหัวหน้าเข้ามา
ครั้งที่ 9 พ.ศ. 2357 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อชาวมอญไม่พอใจที่ถูกพม่าเกณฑ์แรงงานก่อสร้างเจดีย์ ได้ก่อกบฏที่เมืองเมาะตะมะ ถูกพม่าปราบ ต้องหนีเข้าไทยเป็นระลอกใหญ่มาก ราว 40,000 คนเศษ เจ้าฟ้ามงกุฎ (ต่อมาคือรัชกาลที่ 4) เสด็จเป็นแม่กองพร้อมด้วยกรมหลวงพิทักษ์มนตรีออกไปรับถึงชายแดน พวกนี้มาตั้งรกรากที่สามโคก (ปทุมธานี), ปากเกร็ด และพระประแดง มอญที่อพยพเข้ามาครั้งนี้เรียกกันว่ามอญใหม่
ชุมชนมอญ
ชาวมอญได้อพยพมาพำนักอยู่ประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระยาเกียรติและพระยารามขุนนางมอญที่มีความดีความชอบในราชการและกลุ่มญาติพี่น้องได้รับพระราชทานที่ดินตั้งบ้านเรือน ณ บ้านขมิ้น ซึ่งได้แก่บริเวณวัดขุนแสนในปัจจุบัน มอญในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ทั้งกลุ่มชาวมอญเก่าที่อยู่มาแต่เดิมและกลุ่มชาวมอญใหม่ได้รับพระราชทานที่ดินให้ตั้งชุมชนอยู่ชานกรุงศรีอยุธยาบริเวณวัดตองปุและคลองคูจาม
ในปัจจุบันแม้จะไม่มีชุมชนของผู้สืบเชื้อสายมอญภายในกรุงศรีอยุธยาอยู่ในบริเวณที่กล่าวถึงในประวัติศาสตร์ แต่ก็ยังมีชุมชนมอญและกลุ่มวัฒนธรรมมอญกระจายอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาจากพระนครศรีอยุธยาลงมาจนถึงกรุงเทพหลายชุมชน ชาวมอญได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ทั่วไปตามที่ราบลุ่มริมน้ำภาคกลาง ได้แก่ ลพบุรี สระบุรี อยุธยา นครปฐม กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง นครนายก ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรสงคราม สมุทรปราการ สมุทรสาคร กรุงเทพฯ ฉะเชิงเทรา เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และบางส่วนตั้งภูมิลำเนาอยู่แถบภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ตาก กำแพงเพชร นครสวรรค์ อุทัยธานี ทางภาคอีสาน ได้แก่ นครราชสีมา มีบ้างเล็กน้อยที่อพยพลงใต้ อย่าง ชุมพร สุราษฎร์ธานี โดยมากเป็นแหล่งที่พระเจ้าแผ่นดินโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินทำกินให้แต่แรกอพยพเข้ามา
ตัวอย่างชุมชนมอญในประเทศไทย
|
|
อ้างอิง
- "The World Factbook". CIA.gov. สืบค้นเมื่อ January 24, 2018.
- Bauer 1990, p. 14.
- World Bank Group (October 1, 2019). Myanmar - Peaceful and Prosperous Communities Project : Social Assessment (PDF) (Report). สืบค้นเมื่อ April 4, 2021.
- Matisoff 1991, p. 482.
- McCormick & Jenny 2013, p. 86.
- Jenny 2013.
- Swearer 2002, p. 130–131.
- Khin May Aung (July 24, 2015). "Historical Perspective on Mon Settlements in Myanmar" (PDF). Burma/Myanmar in Transition: Connectivity, Changes and Challenge. International Conference on Burma/Myanmar Studies.
- Desakura (February 24, 2020). "Where does the Mon Pak Lad shortcut?". Stationremodel. สืบค้นเมื่อ August 7, 2020.
- Gaspar Ruiz-Canela (June 1, 2017). "Mon, Thai minority who once ruled Southeast Asia". Agencia EFE. สืบค้นเมื่อ September 5, 2019.
- Foster 1973, p. 211.
- Ngamying, Keeratiburana & Thidpad 2014.
- Bauer 1990, p. 34.
- Bauer 1990, p. 16.
- South 2002.
- "Miscellaneous Notes on the Word "Talaing"". SOAS Bulletin of Burma Research. 4 (2): 91−92. 2006.
- Garifas, Robert (1985). "The Development of the Modern Burmese Hsaing Ensemble". Asian Music. 16 (1): 1–28. doi:10.2307/834011. ISSN 0044-9202. JSTOR 834011.
- Aung-Thwin, Michael (2002-01-01), "Lower Burma and Bago in the History of Burma", The Maritime Frontier of Burma (ภาษาอังกฤษ), Brill, pp. 25–57, doi:10.1163/9789004502079_005, ISBN , สืบค้นเมื่อ 2023-09-28
- "SEAlang Library Burmese Lexicography". Myanmar–English Dictionary. Myanmar Language Commission. 1993. ISBN . สืบค้นเมื่อ September 12, 2018.
- Michael A. Aung-Thwin (January 1, 2005). The Mists Of Ramanna: The Legend That Was Lower Burma (ภาษาอังกฤษ). Univ of Hawaii Pr. ISBN .
- Aung-Thwin, Michael (2008). ""Mranma Pran": When Context Encounters Notion". Journal of Southeast Asian Studies. 39 (2): 193–217. doi:10.1017/S0022463408000179. ISSN 0022-4634. JSTOR 20071884. S2CID 154992861.
- "Rāmañña". Oxford Reference. สืบค้นเมื่อ April 11, 2021.
- "Ramanna, Rāmañña: 1 definition". Wisdom Library. 12 April 2009. สืบค้นเมื่อ April 11, 2021.
- Stewart 1937.
- Topich & Leitich 2013, p. 14–15.
- Tun, Than. History of Burma in pictures.
- Za Wa Na, V. (Jun 30, 2018). "The Trend of the Role of Ramañña Nikāya in the Next Decade in Mon State". 11 (3). The Journal of International Association of Buddhist Universities (JIABU): 194–211.
{{}}
: Cite journal ต้องการ|journal=
((help)) - Andaya 2001, p. 319.
- Pan Hla 1991.
- Blench 2018, p. 174–193.
- Sidwell, Paul (2022). "Austroasiatic Dispersal: the AA "Water-World" Extended" (PDF). JSEALS Special Publication No. 8: Papers from the 30th Meeting of the Southeast Asian Linguistics Society (2021). University of Hawai’i Press. (Video presentation)
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-05-30. สืบค้นเมื่อ 2013-07-27.
- "จารึกวัดโพธิ์ร้าง". ฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 มีนาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 6 พฤษภาคม 2017.
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-03-12. สืบค้นเมื่อ 2017-05-06.
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-08-30. สืบค้นเมื่อ 2013-07-27.
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-05-30. สืบค้นเมื่อ 2013-07-27.
- วิรัช นิยมธรรม, มอญ : ต้นตออารยธรรมอุษาคเนย์ 2008-05-30 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เรียบเรียงจากข้อเขียนของนายปันหละ พิมพ์ในสารานุกรมพม่า ฉบับที่ 10
- สุกัญญา เบาเนิด ว่าด้วยตัวตนคนมอญย้ายถิ่นในมหาชัย 2011-11-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. วารสารเมืองโบราณ
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-10-19. สืบค้นเมื่อ 2017-08-20.
- ดนตรีมอญในพม่าว่าด้วย"จะเข้"
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-08-26. สืบค้นเมื่อ 2017-08-20.
- จะเข้ในบริบทสังคมไทย
- วรลักษณ์ กรรณวัฒน์. . มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมจังหวัดราชบุรี. สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดราชบุรี. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-08-20. สืบค้นเมื่อ 2021-08-20.
- "@SAMUTPRAKAN Travel Issue 1". pp. 22–23.
- "เมียนมา - อาหาร". ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้.
- "จารึกกลุ่มอักษรมอญโบราณ". จารึกในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย. กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม.
- จุลลดา ภักดีภูมินทร์, เล่าเรื่องมอญ 2011-07-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน บทความ-สารคดี ฉบับที่ 2486 ปีที่ 48 ประจำวันอังคารที่ 11 มิถุนายน 2545
- ชุมชนมอญ 2008-05-30 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน monstudies.com
ข้อมูล
- Pan Hla, Nai (1991). "The Major Role of the Mons in Southeast Asia" (PDF). The Journal of the Siam Society. 79 (1): 13–21.
- Blench, Roger (2018). "Waterworld: Lexical evidence for aquatic subsistence strategies in Austroasiatic" (PDF). Journal of the Southeast Asian Linguistics Society: 174–193.
- Andaya, Leonard (2001). "The Search for the 'Origins' of Melayu" (PDF). Journal of Southeast Asian Studies. Cambridge University Press. 32 (3): 315–330. doi:10.1017/S0022463401000169. JSTOR 20072349. S2CID 62886471.
- Bauer, Christian (1991). "Notes on Mon Epigraphy" (PDF). Journal of the Siam Society. 79 (1): 31–84.
- Bauer, Christian (1991). "Notes on Mon Epigraphy II" (PDF). Journal of the Siam Society. 79 (2): 61–80.
- Peiros, Ilia (2011). "Some thoughts on the problem of the Austro-Asiatic homeland" (PDF). Journal of Language Relationship. 6: 101–113. doi:10.31826/jlr-2011-060110. S2CID 212688587. สืบค้นเมื่อ April 12, 2021.
- Sidwell, Paul (2021). "Austroasiatic Dispersal: the AA "Water-World" Extended". JSEALS - the Journal of the Southeast Asian Linguistics Society(Video)
{{}}
: แหล่งข้อมูลอื่นใน
((help))CS1 maint: postscript ()|postscript=
- Huffman, Franklin (1990). "Burmese Mon, Thai Mon, and Nyah Kur:a synchronic comparison" (PDF). Mon-Khmer Studies. Vol. 16–17. Summer Institute of Linguistics. pp. 31–84. ISBN . สืบค้นเมื่อ April 6, 2021.
- Topich, William; Leitich, Keith (2013). The History of Myanmar. ABC-CLIO. ISBN .
- Bauer, Christian (1990a). "Numismatics, dialectology, and the periodization of Old Mon" (PDF). Mon-Khmer Studies. Vol. 16–17. Summer Institute of Linguistics. pp. 155–176. ISBN . สืบค้นเมื่อ April 6, 2021.
- Thomas, David (1990). "On early Monic, Vietic and Bahnaric relations" (PDF). Mon-Khmer Studies. Vol. 16–17. Summer Institute of Linguistics. pp. 177–179. ISBN . สืบค้นเมื่อ April 6, 2021.
- Swearer, Donald (September 20, 2002). "Buddhism in Southeast Asia". ใน Joseph Kitagawa (บ.ก.). The Religious Traditions of Asia: Religion, History, and Culture. Routledge. pp. 119–142. ISBN .
- Bauer, Christian (1990). "Language and Ethnicity: The Mon in Burma and Thailand". ใน Gehan Wijeyewardene (บ.ก.). Ethnic Groups Across National Boundaries in Mainland Southeast Asia. Institute of Southeast Asian Studies. pp. 14–47. doi:10.1355/9789814379366-005. ISBN . สืบค้นเมื่อ April 4, 2021.
- South, Ashley (October 3, 2002). Mon Nationalism and Civil War in Burma: The Golden Sheldrake. Routledge; 1st edition. doi:10.4324/9780203037478. ISBN .
- Piumsomboon, Patcharin (1982). "Mon people in Nakhon Ratchasima" (PDF). Good things Korat: Korat's Diaries. Vol. 3. Office of the National Culture Commission. pp. 98–105. สืบค้นเมื่อ February 25, 2021.
- Ngamying, Dusittorn; Keeratiburana, Ying; Thidpad, Pairat (2014). "Mon Dance: Creating Standards to Continue the Performing Arts of Thai-Raman". Asian Culture and History. Canadian Center of Science and Education. 7 (1): 29–34. doi:10.5539/ach.v7n1p29.
- Smithies, Michael (1972). "Village mons or Bangkok" (PDF). Journal of the Siam Society. 60 (1): 307–333.
- McCormick, Patrick; Jenny, Mathias (2013). "Contact and convergence: The Mon language in Burma and Thailand". Cahiers de Linguistique Asie Orientale. 42 (2): 77–117. doi:10.1163/19606028-00422P01.
- Matisoff, James A. (1991). "Sino-Tibetan Linguistics: Present State and Future Prospects". Annual Review of Anthropology. 20: 469–504. doi:10.1146/annurev.an.20.100191.002345.
- Jenny, Mathias (2013). "The Mon language: Recipient and donor between Burmese and Thai". Journal of Language and Culture. 31 (2): 5–33.
- Foster, Brian (1973). "Ethnic Identity of the Mons in Thailand" (PDF). Journal of the Siam Society. 61: 203–226.
- Nuchprayoon, Issarang; Louicharoen, Chalisa; Warisa Charoenvej (2007). "Glucose-6-phosphate dehydrogenase mutations in Mon and Burmese of southern Myanmar". Journal of Human Genetics. 53 (1): 48–54. doi:10.1007/s10038-007-0217-3. PMID 18046504. S2CID 22331704.
- Stewart, J. A. (1937). "The Song of the Three Mons". Bulletin of the School of Oriental and African Studies. 9 (1): 33–39. doi:10.1017/s0041977x00070725. JSTOR 608173. S2CID 161601386.
- Petchaboon, Chatuporn (December 30, 2018). "Food in merit-making ceremonies of Thai-Mon descendants and Mon workers: A case study on food of Sao Kradong Mon community, Bang Pa-in District, Phra Nakhon Sri Ayutthaya Province". Journal of Liberal Arts. Prince of Songkla University. 10 (2): 35–57. สืบค้นเมื่อ February 25, 2021.
- Jaiklang, Watusiri; Arayaphan, Watsaporn; Muangyai, Nantawan (August 30, 2019). "Needs and Use of Learning Center and Learning Network of Mon Communities in Lamphun Province". Journal of Human Sciences. 20 (2): 101–132. สืบค้นเมื่อ February 25, 2021.
- Bunjoon, Ong (December 20, 2017). "Ban Thung-Khen: The Contemporary Mon Ethnic Community of Suphanburi" (PDF). Damrong Journal of the Faculty of Archaeology. 16 (2): 115–140. สืบค้นเมื่อ March 1, 2021.
- Rajanubhab, Damrong (2001). Our Wars With the Burmese. Bangkok: White Lotus Co. Ltd. ISBN .
- Harvey, G. E. (1925). History of Burma: From the Earliest Times to 10 March 1824. London: Frank Cass & Co. Ltd.
อ่านเพิ่ม
- Forbes, Andrew; Henley, David (2012). "Historic Lamphun: Capital of the Mon Kingdom of Hariphunchai". Ancient Chiang Mai. Vol. 4. Cognoscenti Books. B006J541LE.
- South, Ashley (2013). Mon Nationalism and Civil War in Burma: The Golden Sheldrake. Routledge. ISBN .
หมายเหตุ
- จากข้อมูลของเดอะเวิลด์แฟกต์บุ๊ก ชาวมอญคิดเป็น 2% ของประชากรทั้งหมดในประเทศพม่า (55 ล้านคน) หรือประมาณ 1.1 ล้านคน
- จำนวนที่แน่นอนของชาวมอญที่อาศัยอยู่ในประเทศอื่น ๆ ไม่เป็นที่แน่ชัด มักถูกนับเป็นชาวพม่าหรือชาวเอเชียอื่น ๆ ในสำมะโน
แหล่งข้อมูลอื่น
- Independent Mon News Agency
- Hariphunchai National Museum
- The Mon Information Home Page 2021-08-31 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
mxy mxy မန xxkesiyng mo n phma မ န xxkesiyng mʊ ɰ epnklumchatiphnthuthixasyxyuinphmatxnlang briewnrthmxy rthkaehriyng rthkayaphakhtanawsri phakhphaokh dindxnsamehliympakaemnaxirwdi aelahlayphunthikhxngpraethsithy swnihyxyuincnghwdpthumthani cnghwdsmuthrprakar aelacnghwdnnthburi odymiphasaaemepnphasamxy sungxyuinphasatrakulxxsotrexechiytiksakhamxy aelamitntxrwmkbphasayhkur sungphudodychawyhkurthixasyxyuinphakhtawnxxkechiyngehnuxkhxngithy phasainexechiytawnxxkechiyngitphakhphunthwiphlayphasaidrbxiththiphlcakphasamxy aelaphasamxykidrbxiththiphlcakphasaehlanndwyechnknmxyမန eyawchnmxy enuxnginwneyawchnmxy ph s 2562prachakrthnghmdp 1 7 lankhnphumiphakhthimiprachakrxyangminysakhy phmap 1 1 lankhn ithy200 000 law1 000phasaphasamxy phasaphma phasaithy phasalawsasnaphuththnikayethrwath sasnaphunbanmxyklumchatiphnthuthiekiywkhxngxxsotrexechiytikxun klumphasamxy yhkur chawmxyepnhnunginklumchnaerkthixasyxyuinexechiytawnxxkechiyngit aelamiswnekiywkhxngtxkarephyaephsasnaphuththnikayethrwathinexechiytawnxxkechiyngitphakhphunthwip xarythrrmthichawmxyepnphusthapnaepnhnunginxarythrrmthiekaaekthisudthnginpraethsithy aelalaw chawmxythuxepnphusngxxkwthnthrrmexechiytawnxxkechiyngitrayihy inxdit emuxnghlayemuxnginpraethsphma praethsithy aelapraethslawinpccubn xyangyangkung krungethphmhankhr aelaewiyngcnthn idrbkarsthapnaodychawmxyhruxphunaechuxsaymxy pccubnchawmxyepnaela odychawmxyinphmaeriykepnchawphmaechuxsaymxy aetcaimichchawphmathimiechuxsayphma swnchawmxyinpraethsithymkeriykepnchawmxyramyhruxchawithyechuxsaymxy phasayxykhxngchawmxyinpraethsithyaelaphmachuxeriykklumchatiphnthuklumchntang inprawtisastreriykchawmxydwychuxhlayaebb insmykxnxananikhm chawphmaeriykchawmxywa taelng တလ င Talaing sungchawbritichinsmyxananikhmnamaicheriyktx khawa Peguan sahrbchawyuorpicheriykklumchatiphnthuniinsmythiphaokhepnemuxnghlkinphmatxnlang khawa taelng phbinsilacarukthisubxayuidthungkhriststwrrsthi 11 aetpccubnthuxepnkhaehyiydaelaimichnganxyangaephrhlayxiktxip ewnaetinbribthsphthechphaathangprawtisastr echn aenwephlngthimichuxediywknin chudephlngkhlassikkhxngphma sphthmulwithyakhxngtaelngyngimidrbkhxsrup odyxacmacakkhawamxy hruxxangxingcak hrux aekhwnhnungthangphakhtawnxxkechiyngitkhxngxinediy khawa mxy sungphxngkbsphthinphasaphmathiaeplwa miskul nacamacakphasamxyekawa rmen phanphasamxysmyklangwa rman ရ မန chuxeriyk ramy rmen idrbkarbnthukkhrngaerkinsilacarukphrarachwngihmkhxngphraecacansitathiphmain kh s 1102 odykhnphbtntxkhxngsphthnimacaksilacarukphasaekhmrekainkhriststwrrsthi 6 thung 10 aelaphasachwainkhriststwrrsthi 11 44 58 khawa Ramannadesa sphththangphumisastrthipccubnicheriykicklangkhxngchawmxyinchayfngphma pradisthodyphraecathrrmecdiyin kh s 1479 chawmxyinphmaidrbkaraebngxxkepn 3 klumyxytamphumiphakhtntxinphmatxnlang idaek Mon Nya မန ည mon ɲaˀ cakphasim dindxnsamehliympakaemnaxirwdi thangtawntk Mon Tang မန ဒ င mon taŋ inphaokhthangtxnklang aela Mon Teh မန ဒ mon tɛ ˀ thiemaatamathangtawnxxkechiyngitprawtikxnprawtisastr chawmxy sungsubechuxsaycakchaw echuxknwaxphyphmacakaeyngsiekiyngincintxnitipyngexechiytawnxxkechiyngittamaenwaemnaokhng aemnasalawin aemnasaotng aemnaxirwdi aemnaping aelaaemnaecaphrayainchwng 3 000 thung 2 000 pikxn kh s 196 phayhlngcungtngthinthanipiklsudthungmalaya phrxmkbnaexawithiekstrkrrmrimaemna rwmthungkarephaapluknakhaw karwicythangphasasastrsmyihmody 2021 esnxaenawasthanthikhxngchnxxsotrexechiytikdngedimxyuinphunthidindxnsamehliympakaemnaaednginemuxpraman 4 000 4 500 pikxnpccubn smyprawtisastr xanackrhngsawdi sichmphuxxn raw kh s 1400 ph s 1943 mxyepnchnchatiekaaek mixarythrrmrungeruxngmakchnchatihnung cakphngsawdarphmaklawwa mxyepnchnchatiaerkthitngthinthanxyuinphma maepnewlahlaystwrrskxnkhristkal khadwanacaxphyphmacaktxnklangkhxngthwipexechiy ekhamatngxanackrkhxngtnthangtxnit briewnlumaemnasalawin aelaaemnasaotng sungbriewnniinexksarkhxngcinaelaxinediyeriykwa dinaednsuwrrnphumi inphuththstwrrsthi 2 sunyklangkhxngxanackrmxykhuxxanackrsuthrrmwdihruxsaethim Thaton cakphngsawdarmxyklawiwwaxanackrsaethimsrangodyphrarachoxrs 2 phraxngkhkhxng aehngaekhwnhnungkhxngxinediy kxnpi ph s 241 phraxngkhnaphlphrrkhlngeruxsaephamacxdthixawemaatama aelatngrakthansungtxmaepnthitngkhxngemuxng xanackrsaethimrungeruxngmakmikarkhakhaytidtxxyangiklchidkbpraethsxinediyaelalngka aelaidrbexaxarythrrmkhxngxinediymaich thngthangdanxksrsastr aelasasna odyechphaarbexaphuththsasnanikayethrwathma mxymibthbathinkarthaythxdxarythrrmxinediyipyngchnchatixunxyangechn chawphma ithy aelalaw ecriysung mikhwamrudithangdankarekstr aelamikhwamchanayinkarchlprathan odyepnphurierimrabbchlprathankhuninlumnaxirwdithangtxnklangkhxngpraethsphma phwknanecaekhamathangtxnehnuxkhxngphmaaelathasngkhramkbphwkpyu xanackrmxythisaethimkhyayxanackhunipthangphakhklangkhxnglumaemnaxirwdirayahnung aetemuxchnchatiphmamixanacehnuxxanackrpyu aelaidkhyayxanaclngmathangitekharukranmxy mxycungthxylngmadngedimaelaidsrangemuxnghlwngkhunihm emuxpi ph s 1368 thi hngsawdi phraecaxonrtha kstriyphmaaehngphukam ykthphmatixanackrsuthrrmwdiaelakwadtxnphukhn thrphysmbti phrasngkh phraitrpidk klbipphukamcanwnmak txmarahwangpi 1600 1830 krunghngsawdi tkxyuitxanacphukam aetkrannphmakrbwthnthrrmmxymadwy imwacaepnphasamxyidaethnthiphasabaliaelasnskvtincarukhlwng aelaphuththsasnanikayethrwathidepnsasnathinbthuxsungsudinphukam mxyyngmikhwamiklchidkblngka sungkhnannepnsunyklangkhxngphuththsasnanikayethrwath aelanikayethrwathkaephrkracayipthwexechiyxakheny phraecacansitathrngdaeninnoybayphukmitrkbrachtrakulkhxngphraecamnuha kstriymxyaehngsaethim odyykphrarachthidaihkbecachaymxy phranddathiprasuticakthngsxngphraxngkhni kkhunkhrxngrachytxcakphraxngkh phranamwa phraecaxlxngsithu inyukhthiphraxngkhpkkhrxngxanackrphukamidrwmtwknepnpukaephnmakthisud nxkcakniinsmykhxngphraecacansitamisilacarukykyxngiwwa wthnthrrmmxyehnuxkwawthnthrrmphmaxikdwy txmainpi ph s 1830 ckrwrrdimxngoklykthphmatiphukam thaihmxyidrbexkrachxikkhrng makaoth hruxphraecafarw rachbutrekhykhxngphxkhunramkhaaehngidthrngkxbkuexkrachmxycakphma aelasthapna xanackrhngsawdi phraxngkhmimehsiepnrachthidakhxngphxkhunramkhaaehng misunyklangkarpkkhrxngxyuthiemaatama txmainsmyphrayaxu idyayrachthanimaxyu n emuxngphaokhhruxhngsawdi rachbutrkhxngphraxngkhkhuxphyanxy sungtxmakkhux phraecarachathirach phuthasngkhramyawnankbkstriyphmaxngwa insmyphraecaswasxek kbsmyphraecamingkhxng khnithyeriykwa phraecafrngmngkhxng inhnngsuxeruxng rachathirach khunphlsakhykhxngphraecarachathirach kkhux smingphraram lakunexng aelaaexmun thya insmykhxngphraecarachathirachnnhngsawdiklayepnxanackrthimixanaekhtkwangihy khrxbkhlumtngaetchayfngthaelxawebngkxl cakaemnaxirwdikhyaylngipthangtawnxxkthungaemnasalawin aelaepnsunyklangthangkarkhathiihyotmiemuxngthathisakhyhlayaehnginhlaylumna echn emaatama saotng phaokh phasim xanackrmxyyukhniecriysungsudinsmyphranangechngsxbuaelasmyphraecathrrmecdiy hlngcaknninsmyphraecaskarawutphihngsawdikesiyaekphraecataebngchaewti inpi ph s 2081 ph s 2283 smingthxphuththkitti kuexkrachkhunmacakphmaidsaerc aelasthapna xanackrhngsawdiihm thngidykthphiptiemuxngxngwa inpi ph s 2290 phyathalaidkhrxngxanacaethnsmingthxphuththkitti khyayxanaekhtxyangkwangkhwangthaihxanackrtxngxukhxngphmaslaytwlng cninpi ph s 2300 phraecaxlxngphya kkuxisrphaphkhxngphmaklbkhunmaid thngyngidocmtimxy kstriyxngkhsudthaykhxngmxykhux phraecaphyamxngthirachhruxphyathalawthnthrrmphasaaelaxksrmxy carukemiyesdi kh s 1113 epncarukmxyinemuxngphukamsmyphraecacansita hnungincarukthiekaaekthisudkhxngphma phasamxy mikarichmananpraman 3 000 4 000 pi epnphasaintrakulphasamxy ekhmr miphuichphasanixyupraman 5 000 000 khn swnxksrmxy phbhlkthaninpraethsithythicaruk xayurawphuththstwrrs 12 epnxksrmxyobranthiekaaekthisud inbrrdacarukphasamxythiidkhnphbinaethbexechiyxakheny epncarukthiekhiyndwytwxksrpllwa thiyngimidddaeplngihepnxksrmxy phbwamikarpradisthxksrmxykhunephuxihphxkbesiynginphasamxy aelaincarukesaaepdehliymthisalsung emuxnglphburi carukinphuththstwrrsthi 14 raw ph s 1314 epntwxksrmxyobranhlngpllwa mienuxhaekiywkbphraphuththsasna hlkthancarukinsmyklangpraman ph s 1600 epntnma mibnthukthngphasamxyaelaxksrmxy sungphmakrbxksrmxymaichekhiynphasaphmaepnkhrngaerk pramanphuththstwrrsthi 16 17 twxksridkhlikhlaycaktwxksrpllwa epntwxksrsiehliymhruxxksrmxyobran aelaepliynaeplngkhnadelklnginrayatxma cninphuththstwrrsthi 21 kidklayepnxksrmxypccubnthimilksnaklm snnisthanwaekidcakkarcarhnngsuxodyichehlkcarlngbn xksrmxyyukhnimixayu praman 400 piess phasamxycdxyuintrakulphasaxxsotrexechiytik Austroasiatic Languages sungepnphasathiichknxyuinaethbxinodcinaelathangtawnxxkechiyngehnuxkhxngxinediy aelaemuxphicarnalksnathangiwyakrn phasamxycdxyuinpraephthphasakhatidtx Agglutinative xyuinklumphasatawnxxkechiyngit South Eastern Flank Group nkphasasastrthichux Willhelm Schmidt idcdihxyuintrakulphasasayit Austric Southern family phrayaxnumanrachthn idklawthungphasamxyiwwa phasamxy nnmilksnaepnphasakhaodd sungmirupphasakhatidtxpn lksnakhamxy camilksnaepnkhaphyangkhediyw hruxsxngphyangkh swnkhahlayphyangkh epnkhathiidrbxiththiphlcakphasatangpraeths echn phasabaliaelasnskvt aelakhathiekidcakkaretimhnwykhaphsan klawkhux karxxkesiyngkhxngkhasungimennkarxxkesiynginphyangkhaerk casrangkhaodykarichkarphsankha affixation kbkhaphyangkhaerk ephuxihmihnathithangiwyakrn xikthngkarichhnwyphsanklangsphth aelakarichsratang kbphyangkhaerk inkhasxngphyangkh kcaepnkarchwyennihphyangkhaerkednchdkhundwy aetphyangkhhlngepnswnthimikhwamhmayedim srupkhuxphasamxyepnphasathimiokhrngsrangimsbsxn immikarphnkhanam khakriya tamkdbngkhbthangiwyakrn praoykhprakxbdwykhathithahnathiprathan kriya aelakrrm swnkhyayxyuhlngkhathithukkhyay inpccubnchawmxyrunhlnghnmaichphasaphmaknmak aelamicanwnmakthielikichphasamxycnkhidwatnepnphma xikthngimthrabwatnmiechuxsaymxy cakkarsarwcprachakrmxyinpi kh s 1931 phbwamicanwnaekh 3 aesn 5 hmunkhn txmainpi kh s 1939 idmikarkxtngsmakhmchawmxyaelamikarsarwcprachakrmxyxikkhrng phbwamiraw 6 aesnkwakhn phxtnsmysngkhmniymsarwcidwamichawmxyraw 1 lankwakhn chawmxythiyngphudphasamxyinchiwitpracawnswnihyxasyxyuin rthmxy aetinekhtemuxngkcaphbaetchawmxythiphudphasaphmaepnswnmak inpraethsithyexng kmikarichphasamxyinkarsuxsartamchumchnmxyincnghwdtang aelaaetlachumchnkmisaeniyngechphaathiaetktangkniptamthixasy sungxacidrbxiththiphlcakchumchnxunthiimichchawmxysungxyuiklekhiyngkn odyinbangchumchnyngkhngmikarsxnlukhlanihphudphasamxykn aetbangchumchnphasamxykmikarichsuxsarnxylng aetxyangirktamincnghwdsmuthrsakhr kmichawmxycakpraethsphma thixphyphekhamaepnaerngngantangdawincnghwd sungidnaphasaphudaelaphasaekhiynklbekhamainchumchnmxyaethbmhachyxikkhrnghnung thaihmikarichphasamxyrwmipthungpaykhxkhwamphasamxyihphbehnodythwip silpa silpwthnthrrmmxynn klayepnsilpwthnthrrmkhxngphmaiphmd ephraasilpwthnthrrmswnihynnphmaidrbipcakmxy silpsthaptykrrmpraephtheruxnyxd kudakhar hruxhlngkhathimiyxdaehlmtxkhunip odyechphaaeruxnyxdthrngmnthpni epnsthaptykrrmmxy thiithyaelaphmanamaddaeplngichtx silpdntrinn ithyidrbxiththiphlcakmxymamak echn ithyerarbwngpiphathymxy aelarbiddithngrksaiwcnpccubn aelaihekiyrtieriykwa wngpiphathymxy niymbrrelnginngansph dntriithythimichuxephlngwa mxy nn nbid 17 ephlng echn mxydudaw mxychmcnthr mxyradab mxyxxyxing mxyrxngih mxynkkhmin l aelayngmiaekhkmxy khux thanxngthngaekhkthngmxy echn aekhkmxybangkhunphrhm aekhkmxybangchang epntn ephlngthanxngkhxngmxymikhwamsngaphakhphumi epnphumiwthnthrrmaelakhxnkhangcaeynesra aetthisnuksnankmibang echn krawramxy mxyaeplng swnekhruxngdntripraephthihcnghwa thieriykwaepingmangnnepnekhruxngdntrikhxngmxy sungithyeranamathakhxklxmepnwngklmhlaywngeriykwa epingmangkhxk tiaelwfngsnuksnan aelaekhruxngdntriechn pimxy khxngmxy taophnmxy caekh lwnidrbxiththiphlmacakmxy praephniaelasasna khawaech khnbthrrmeniympraephnikhxngchawmxynn miwthnthrrmepnaebbchbbmayawnan bangxyangmixiththiphlihkbchnchatiiklekhiyng echn praephnisngkrant khawaech l bangxyangkthuxptibtiknaetechphaainhmuchnmxyethann chawmxymieluxmisinphraphuththsasnaxyangluksung khnaediywknknbthuxphibrrphburuskbphixun thimixiththivththi rwmthngethwdaxngkhrks praephniaehhngs thngtakhab khxngphakhklangin cnghwdsmuthrprakar odychawphrapraaedng mxypakld pktimkcdkhuninwnthi 13 emsaynhruxtrngkbchwngwnsngkrant khwamepnmahruxsarasakhykhxngpraephniaehhngs thngtakhab kephuxepnkarralukaelaepnkarbucha rwmipthungkarechlimchlxngihkbkhrngthiphraphuththecaesdcklblngcakcakchnphph dawdungs epnkarthuxptibtisubthxdknmacnthungpccubn odyphukhntangmkcanaesahngsaelathngtakhabmaichkhukn karaetngkay hyingchawmxyniymswmesuxaekhnkrabxk nungphathung eklamwyphm khlxngsib chaychawmxyswmesux epnesuxkhxklmphaxk aekhnthrngkrabxk mikradumpha hruxechuxkphukekhakn smykxnniymophksirsa thxnlangswmphanung eriykwa eklid aelaewlaxxkngansakhynungphaphunyawthieriykwa eklidhaehlin aeplwa phanungyaw lxychay misibphadihlsxngkhangthingchayipkhanghlnghruxphadbadwyphakhawma hakepnnganbuycaphaddansaymux hyingchawmxyswmesuxtwinkhxklmaekhnkudtwsnaekhexw elkphxditw sisnsdis swmthbdwyesuxaekhnyawthrngkrabxk epnphalukimenuxbang sixxn mxngehnesuxtwin hakyngsawxyuaekhnesuxcayawthungkhxmux hakmikhrxbkhrwaelw caepnaekhnsamswn mikarkhlxngphasib thaepnnganbuycakhlxngphathangdansaymux aethakipnganruneringkichkhlxngkhxaethn hruxphadlngmatrng bnihlsay thxnlangswmswm hnin khlayphanungkhxngphuchay aetlaykhxngphuhyingcalaexiydkwaaelawithikarnungtangkn hyingmxyniymeklaphmmwy khxntalngmathangdanhlng miekhruxngpradb 2 chin bngkhbimihphmmwyhlud khux olharuptwyukhwa aela olharuppikkatamaenwnxn aelapkpinpkphm xahar chawmxyniymnaphktamvdukalaelaplainthxngthinmaprakxbxaharepnaekngsmaelaaekngeliyng swninethskalsngkrant chawmxyniymtha khawaech hrux epingdack hrux epingsngkran thiaeplwa khawsngkrant ephuxbuchaethwdamxyinpraethsithyhlkthanthangprawtisastr hlkthanthangobrankhdithiphbinsmyphuththstwrrsthi 11 13 khuxehriyyenginesnphasunyklang 19 m m phbthinkhrpthmaelaxuthxngnn phbwamixksrcarukiwwa srithwarwdiswr aela miruphmxnaklsxyuxikdanhnung thaihechuxidwa chnchatimxyobran idtngxanackrthwarwdi bangaehngeriykthwarawdi khuninphakhklangkhxngdinaednsuwrrnphumi misunyklangthiemuxngnkhrpthmobran lumaemnathacin hrux nkhrchysri kbemuxngxuthxngaelaemuxnglaow lphburi txmaidkhyayxanackhunip thunghriphuychyhruxlaphun mihlkthanelaiwwa raw ph s 1100 phranangcamethwi rachthidakhxngecaemuxnglwpurahruxlaowlphburi idxphyphphukhnkhuniptngemuxnghriphuychythilaphun emuxngnkhrpthmbriewnphrapthmecdiy aelaiklekhiyngmikarphbcarukxksrpllwa bali snskvt aela xksrmxyobran bnthukeruxngkarsrangphraphuththrup esahngs wihar aelaaenwtnmaphrawepnxanaekhtphraxaramthiwdophthirang cnghwdnkhrpthm xayurawphuththstwrrsthi 12 pccubnxyuthiphiphithphnthsthanaehngchatiphrapthmecdiy aelaphbcarukxksrmxyobran smyhriphuychy rawphuththstwrrsthi 17 canwn 7 hlk thilaphun pccubnxyuthiphiphithphnthsthanaehngchatihriphuyichy cnghwdlaphun txmaxanackrkhxmhlngcakphraecachywrmnthi 7 swrrkhtin ph s 1732 xanackhxmkerimesuxmlng phxkhunbangklanghaw thisthapnaepn phxkhunsrixinthrathity prakastngxanackrsuokhthy epnxisracakkarpkkhrxngkhxngkhxm phxkhunramkhaaehng phrarachoxrskhxngphxkhunsrixinthrathitythiidkhrxngrachysubtxma thrngddaeplngxksrkhxm aela xksrmxy mapradisthepnlaysuxithy dancarukphasamxybniblannn phbmakmaytamhmubanmxyinpraethsithy swnthipraethsphmaphbmaktamhmubanmxyinemuxngsaethimaelaemuxngickhamiinrthmxy sungmikarkhdlxkaelarwbrwmnamaekbiwthihxsmudaehngchatiemuxngyangkung aelathihxngsmudmxyemuxngemaalaeling nxkcaknikxngobrankhdiaelakxngwthnthrrm yngidcdphimphwrrnkrrm chadk taramxy aelaekhymikarrierimcdphimphphcnanukrmmxy phmaxikdwy mxyxphyph wdprmyyikawas thukwnnichnchatimxy immixanaekhtpraethspkkhrxngtnexng enuxngcaktkxyuinphawasngkhram karaeyngchingrachsmbtiknexng aelakarrukrancakphma chawmxyxyuxyangaesnsahs thukkdkhiridith mikareknthaerngngankxsrang thairnahaesbiyngephuxkarsngkhram aelaeknthekhakxngthph odyechphaasngkhraminpi ph s 2300 smyphraecaxlxngphyaepnsngkhramkhrngsudthay thichawmxyphayaephaekphmaxyangrabkhab chawmxyswnhnungcungxphyphoykyayekhamaphungphrabrmophthismphar tngthinthanbaneruxninemuxngithyhlaytxhlaykhrng ethathimikarcdbnthukexaiwrwmthngsin 9 khrng khrngthi 1 emux phraecataebngchaewtitihngsawdiaetkin ph s 2082 chawmxycanwnmakhniekhamakrungsrixyuthya phraecaaephndinoprdihtngbaneruxnxyuaethbtwemuxngkrungsrixyuthyachnnxk phrayaekiyrti phrayaramaelakhrweruxnihtngbaneruxnxyuaethbtwemuxngchnin iklphraxaramwdkhunaesn aelaemuxthung ph s 2084 rachwngstxngxutiemuxngemaatamaaetk mikarkhafnchawmxylngkhnadihy kekhaicwamichawmxyhniekhamasukrungsrixyuthyaxik thuxepnralxkaerkkhxngmxyxphyph khrngthi 2 emuxphranerswresdcipphmaemuxkhrawphraecabuerngnxngsinphrachnm aelwprakasexkrach thrngchkchwnchawmxythiekhaswamiphkdi ihxphyphekhamaphrxmkn raw ph s 2127 inkarxphyphkhrngniimpraktwaphraecaaephndinoprd ihtngbaneruxnthiid aetkhadwakhngepnyanediywkbkarxphyphkhrawaerk khrngthi 3 ekidkhunemuxhngsawdithukyaikhthalayin ph s 2138 khrngnikmikarxphyphihykhxngchawmxymathangtawnxxkekhasudinaednkhxngkrungsrixyuthya khrngthi 4 hlngcakthirachwngstxngxuyayrachthaniipxyuthixngwa hlngcakhngsawdithukthalayaelw chawmxyktngxanackhunihmindinaednkhxngtn txmathungrchkalphraecaxonephtlun phmacungykthphmaprabchawmxyxikin ph s 2156 thaihekidkarxphyphkhxngchawmxyekhasukrungsrixyuthya hlkthanbangaehngklawwa chawmxyklumniidrbxnuyatihtngphumilaenaxyutamaenwchayaednithy khrngthi 5 in ph s 2204 hrux 2205 chawmxyinemuxngemaatamakxkarkbtkhunxik aetthukphmaprablngid cungtxngxphyphhniekhakrungsrixyuthyaxikralxkhnung phanthangdanecdiysamxngkh ekhaicwaklumnismphnthkbklumchawmxythitngxyuchayaedn khrngthi 6 hlngcakthichawmxysamarthtngxanackrkhxngtnkhunidihminplayrachwngstxngxu aelwykkalngiptikrungxngwaaetk txmasmyphraecaxlxngphyarwbrwmkalngphmaaelwlukkhuntxsucninthisudktngrachwngsoknbxngid aelain ph s 2300 ksamarthtihngsawdiidxik noybaykhxngrachwngsnikhuxklunmxyihepnphmaodywithirunaerng cungmichawmxyxphyphhnimasuemuxngithyxikhlayralxk rwmthngklumthihnikhunehnuxipsulanna aelaeriykknwaphwkemnginpccubnni khrngthi 7 in ph s 2316 trngkbsmykrungthnburi chawmxykxkbtinyangkung phmaprabpramxyangtharunaelwephayangkungcnraberiyb thaihmxyxphyphekhaithyxik phraecataksinoprd ihiptngbaneruxnxyuthipakekrd sungthaihekidklummxyeka phrayaramywngs aelamxyihm phrayaecng khnthinbtwexngepnchawmxyinpccubnlwnxphyphekhamacakralxknihruxhlngcakni swnchawmxythixphyphkxnhnaniklunhayepnithyiphmd aemaetklumthixyutamchayaednaethbemuxngkaycnburi khrngthi 8 ph s 2336 emuxphrabathsmedcphraphuththyxdfaculaolk yudemuxngthwayid aetrksaiwimid txngthxyklbekhaithy knaexachawmxyodyechphaathiepnphwkhwhnaekhama khrngthi 9 ph s 2357 inrchsmyphrabathsmedcphraphuththelishlanphaly emuxchawmxyimphxicthithukphmaeknthaerngngankxsrangecdiy idkxkbtthiemuxngemaatama thukphmaprab txnghniekhaithyepnralxkihymak raw 40 000 khness ecafamngkud txmakhuxrchkalthi 4 esdcepnaemkxngphrxmdwykrmhlwngphithksmntrixxkiprbthungchayaedn phwknimatngrkrakthisamokhk pthumthani pakekrd aelaphrapraaedng mxythixphyphekhamakhrngnieriykknwamxyihm chumchnmxy khlxngmxy chawmxyidxphyphmaphankxyupraethsithytngaetsmykrungsrixyuthya insmysmedcphranerswrmharach phrayaekiyrtiaelaphrayaramkhunnangmxythimikhwamdikhwamchxbinrachkaraelaklumyatiphinxngidrbphrarachthanthidintngbaneruxn n bankhmin sungidaekbriewnwdkhunaesninpccubn mxyinrchsmysmedcphranarayn thngklumchawmxyekathixyumaaetedimaelaklumchawmxyihmidrbphrarachthanthidinihtngchumchnxyuchankrungsrixyuthyabriewnwdtxngpuaelakhlxngkhucam inpccubnaemcaimmichumchnkhxngphusubechuxsaymxyphayinkrungsrixyuthyaxyuinbriewnthiklawthunginprawtisastr aetkyngmichumchnmxyaelaklumwthnthrrmmxykracayxyubriewnrimfngaemnaecaphrayacakphrankhrsrixyuthyalngmacnthungkrungethphhlaychumchn chawmxyidtngbaneruxnxyuthwiptamthirablumrimnaphakhklang idaek lphburi sraburi xyuthya nkhrpthm kaycnburi rachburi suphrrnburi xangthxng nkhrnayk pthumthani nnthburi smuthrsngkhram smuthrprakar smuthrsakhr krungethph chaechingethra ephchrburi pracwbkhirikhnth aelabangswntngphumilaenaxyuaethbphakhehnux idaek echiyngihm laphun lapang tak kaaephngephchr nkhrswrrkh xuthythani thangphakhxisan idaek nkhrrachsima mibangelknxythixphyphlngit xyang chumphr surasdrthani odymakepnaehlngthiphraecaaephndinoprdekla phrarachthanthidinthakinihaetaerkxphyphekhama twxyangchumchnmxyinpraethsithy mxyhnxngdu c laphun banmxy c nkhrswrrkh mxybaneka c xuthythani mxybangkhnhmak c lphburi mxybanesakraodng c xyuthya mxysngkhlaburi c kaycnburi mxyithroykh c kaycnburi mxybanopng c rachburi mxyophtharam c rachburi mxykrathummud c nkhrpthm mxybangcaekrng c smuthrsngkhram mxybangpla c smuthrsakhr mxyecdriw c smuthrsakhr mxypakld mxyphrapraaedng c smuthrprakar mxypakekrd c nnthburi mxyekaaekrd c nnthburi mxyithrnxy c nnthburi mxypthumthani c pthumthani mxysamokhk c pthumthani mxykhlxngsi thungrngsit c pthumthani mxybanglaphu c ephchrburi mxykhlxngsamwa krungethph mxykhlxngsibsi mxyhnxngcxk krungethph mxybangisik krungethph mxybangkradi krungethph mxyladkrabng krungethph khlxngmxy krungethph saphanmxy krungethph mxysluy c chumphr mxyphraephling c nkhrrachsima mxybanna c nkhrnaykxangxing The World Factbook CIA gov subkhnemux January 24 2018 Bauer 1990 p 14 World Bank Group October 1 2019 Myanmar Peaceful and Prosperous Communities Project Social Assessment PDF Report subkhnemux April 4 2021 Matisoff 1991 p 482 McCormick amp Jenny 2013 p 86 Jenny 2013 Swearer 2002 p 130 131 Khin May Aung July 24 2015 Historical Perspective on Mon Settlements in Myanmar PDF Burma Myanmar in Transition Connectivity Changes and Challenge International Conference on Burma Myanmar Studies Desakura February 24 2020 Where does the Mon Pak Lad shortcut Stationremodel subkhnemux August 7 2020 Gaspar Ruiz Canela June 1 2017 Mon Thai minority who once ruled Southeast Asia Agencia EFE subkhnemux September 5 2019 Foster 1973 p 211 Ngamying Keeratiburana amp Thidpad 2014 Bauer 1990 p 34 Bauer 1990 p 16 South 2002 Miscellaneous Notes on the Word Talaing SOAS Bulletin of Burma Research 4 2 91 92 2006 Garifas Robert 1985 The Development of the Modern Burmese Hsaing Ensemble Asian Music 16 1 1 28 doi 10 2307 834011 ISSN 0044 9202 JSTOR 834011 Aung Thwin Michael 2002 01 01 Lower Burma and Bago in the History of Burma The Maritime Frontier of Burma phasaxngkvs Brill pp 25 57 doi 10 1163 9789004502079 005 ISBN 978 90 04 50207 9 subkhnemux 2023 09 28 SEAlang Library Burmese Lexicography Myanmar English Dictionary Myanmar Language Commission 1993 ISBN 1881265471 subkhnemux September 12 2018 Michael A Aung Thwin January 1 2005 The Mists Of Ramanna The Legend That Was Lower Burma phasaxngkvs Univ of Hawaii Pr ISBN 0824828860 Aung Thwin Michael 2008 Mranma Pran When Context Encounters Notion Journal of Southeast Asian Studies 39 2 193 217 doi 10 1017 S0022463408000179 ISSN 0022 4634 JSTOR 20071884 S2CID 154992861 Ramanna Oxford Reference subkhnemux April 11 2021 Ramanna Ramanna 1 definition Wisdom Library 12 April 2009 subkhnemux April 11 2021 Stewart 1937 Topich amp Leitich 2013 p 14 15 Tun Than History of Burma in pictures Za Wa Na V Jun 30 2018 The Trend of the Role of Ramanna Nikaya in the Next Decade in Mon State 11 3 The Journal of International Association of Buddhist Universities JIABU 194 211 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a Cite journal txngkar journal help Andaya 2001 p 319 Pan Hla 1991 Blench 2018 p 174 193 Sidwell Paul 2022 Austroasiatic Dispersal the AA Water World Extended PDF JSEALS Special Publication No 8 Papers from the 30th Meeting of the Southeast Asian Linguistics Society 2021 University of Hawai i Press Video presentation khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2008 05 30 subkhnemux 2013 07 27 carukwdophthirang thankhxmulcarukinpraethsithy sunymanusywithyasirinthr 2006 ekbcakaehlngedimemux 30 minakhm 2016 subkhnemux 6 phvsphakhm 2017 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2018 03 12 subkhnemux 2017 05 06 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2014 08 30 subkhnemux 2013 07 27 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2008 05 30 subkhnemux 2013 07 27 wirch niymthrrm mxy tntxxarythrrmxusakheny 2008 05 30 thi ewyaebkaemchchin eriyberiyngcakkhxekhiynkhxngnaypnhla phimphinsaranukrmphma chbbthi 10 sukyya ebaenid wadwytwtnkhnmxyyaythininmhachy 2011 11 13 thi ewyaebkaemchchin warsaremuxngobran khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2020 10 19 subkhnemux 2017 08 20 dntrimxyinphmawadwy caekh khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2017 08 26 subkhnemux 2017 08 20 caekhinbribthsngkhmithy wrlksn krrnwthn mrdkphumipyyathangwthnthrrmcnghwdrachburi sanknganwthnthrrmcnghwdrachburi khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2021 08 20 subkhnemux 2021 08 20 SAMUTPRAKAN Travel Issue 1 pp 22 23 emiynma xahar thankhxmulsngkhm wthnthrrmexechiytawnxxkechiyngit carukklumxksrmxyobran carukinphiphithphnthsthanaehngchati hriphuyichy krmsilpakr krathrwngwthnthrrm cullda phkdiphuminthr elaeruxngmxy 2011 07 28 thi ewyaebkaemchchin bthkhwam sarkhdi chbbthi 2486 pithi 48 pracawnxngkharthi 11 mithunayn 2545 chumchnmxy 2008 05 30 thi ewyaebkaemchchin monstudies com khxmul Pan Hla Nai 1991 The Major Role of the Mons in Southeast Asia PDF The Journal of the Siam Society 79 1 13 21 Blench Roger 2018 Waterworld Lexical evidence for aquatic subsistence strategies in Austroasiatic PDF Journal of the Southeast Asian Linguistics Society 174 193 Andaya Leonard 2001 The Search for the Origins of Melayu PDF Journal of Southeast Asian Studies Cambridge University Press 32 3 315 330 doi 10 1017 S0022463401000169 JSTOR 20072349 S2CID 62886471 Bauer Christian 1991 Notes on Mon Epigraphy PDF Journal of the Siam Society 79 1 31 84 Bauer Christian 1991 Notes on Mon Epigraphy II PDF Journal of the Siam Society 79 2 61 80 Peiros Ilia 2011 Some thoughts on the problem of the Austro Asiatic homeland PDF Journal of Language Relationship 6 101 113 doi 10 31826 jlr 2011 060110 S2CID 212688587 subkhnemux April 12 2021 Sidwell Paul 2021 Austroasiatic Dispersal the AA Water World Extended JSEALS the Journal of the Southeast Asian Linguistics Society Video a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a aehlngkhxmulxunin code class cs1 code postscript code help CS1 maint postscript lingk Huffman Franklin 1990 Burmese Mon Thai Mon and Nyah Kur a synchronic comparison PDF Mon Khmer Studies Vol 16 17 Summer Institute of Linguistics pp 31 84 ISBN 9780824813437 subkhnemux April 6 2021 Topich William Leitich Keith 2013 The History of Myanmar ABC CLIO ISBN 978 0313357244 Bauer Christian 1990a Numismatics dialectology and the periodization of Old Mon PDF Mon Khmer Studies Vol 16 17 Summer Institute of Linguistics pp 155 176 ISBN 9780824813437 subkhnemux April 6 2021 Thomas David 1990 On early Monic Vietic and Bahnaric relations PDF Mon Khmer Studies Vol 16 17 Summer Institute of Linguistics pp 177 179 ISBN 9780824813437 subkhnemux April 6 2021 Swearer Donald September 20 2002 Buddhism in Southeast Asia in Joseph Kitagawa b k The Religious Traditions of Asia Religion History and Culture Routledge pp 119 142 ISBN 9780700717620 Bauer Christian 1990 Language and Ethnicity The Mon in Burma and Thailand in Gehan Wijeyewardene b k Ethnic Groups Across National Boundaries in Mainland Southeast Asia Institute of Southeast Asian Studies pp 14 47 doi 10 1355 9789814379366 005 ISBN 9813035579 subkhnemux April 4 2021 South Ashley October 3 2002 Mon Nationalism and Civil War in Burma The Golden Sheldrake Routledge 1st edition doi 10 4324 9780203037478 ISBN 9780700716098 Piumsomboon Patcharin 1982 Mon people in Nakhon Ratchasima PDF Good things Korat Korat s Diaries Vol 3 Office of the National Culture Commission pp 98 105 subkhnemux February 25 2021 Ngamying Dusittorn Keeratiburana Ying Thidpad Pairat 2014 Mon Dance Creating Standards to Continue the Performing Arts of Thai Raman Asian Culture and History Canadian Center of Science and Education 7 1 29 34 doi 10 5539 ach v7n1p29 Smithies Michael 1972 Village mons or Bangkok PDF Journal of the Siam Society 60 1 307 333 McCormick Patrick Jenny Mathias 2013 Contact and convergence The Mon language in Burma and Thailand Cahiers de Linguistique Asie Orientale 42 2 77 117 doi 10 1163 19606028 00422P01 Matisoff James A 1991 Sino Tibetan Linguistics Present State and Future Prospects Annual Review of Anthropology 20 469 504 doi 10 1146 annurev an 20 100191 002345 Jenny Mathias 2013 The Mon language Recipient and donor between Burmese and Thai Journal of Language and Culture 31 2 5 33 Foster Brian 1973 Ethnic Identity of the Mons in Thailand PDF Journal of the Siam Society 61 203 226 Nuchprayoon Issarang Louicharoen Chalisa Warisa Charoenvej 2007 Glucose 6 phosphate dehydrogenase mutations in Mon and Burmese of southern Myanmar Journal of Human Genetics 53 1 48 54 doi 10 1007 s10038 007 0217 3 PMID 18046504 S2CID 22331704 Stewart J A 1937 The Song of the Three Mons Bulletin of the School of Oriental and African Studies 9 1 33 39 doi 10 1017 s0041977x00070725 JSTOR 608173 S2CID 161601386 Petchaboon Chatuporn December 30 2018 Food in merit making ceremonies of Thai Mon descendants and Mon workers A case study on food of Sao Kradong Mon community Bang Pa in District Phra Nakhon Sri Ayutthaya Province Journal of Liberal Arts Prince of Songkla University 10 2 35 57 subkhnemux February 25 2021 Jaiklang Watusiri Arayaphan Watsaporn Muangyai Nantawan August 30 2019 Needs and Use of Learning Center and Learning Network of Mon Communities in Lamphun Province Journal of Human Sciences 20 2 101 132 subkhnemux February 25 2021 Bunjoon Ong December 20 2017 Ban Thung Khen The Contemporary Mon Ethnic Community of Suphanburi PDF Damrong Journal of the Faculty of Archaeology 16 2 115 140 subkhnemux March 1 2021 Rajanubhab Damrong 2001 Our Wars With the Burmese Bangkok White Lotus Co Ltd ISBN 9747534584 Harvey G E 1925 History of Burma From the Earliest Times to 10 March 1824 London Frank Cass amp Co Ltd xanephimForbes Andrew Henley David 2012 Historic Lamphun Capital of the Mon Kingdom of Hariphunchai Ancient Chiang Mai Vol 4 Cognoscenti Books B006J541LE South Ashley 2013 Mon Nationalism and Civil War in Burma The Golden Sheldrake Routledge ISBN 9781136129629 hmayehtucakkhxmulkhxngedxaewildaefktbuk chawmxykhidepn 2 khxngprachakrthnghmdinpraethsphma 55 lankhn hruxpraman 1 1 lankhn canwnthiaennxnkhxngchawmxythixasyxyuinpraethsxun imepnthiaenchd mkthuknbepnchawphmahruxchawexechiyxun insamaonaehlngkhxmulxunwikimiediykhxmmxnsmisuxthiekiywkhxngkb chawmxy Independent Mon News Agency Hariphunchai National Museum The Mon Information Home Page 2021 08 31 thi ewyaebkaemchchin