ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
บทความนี้อาจต้องการตรวจสอบต้นฉบับ ในด้านไวยากรณ์ รูปแบบการเขียน การเรียบเรียง คุณภาพ หรือการสะกด คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ |
วันเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของสหรัฐมีการถกเถียงกันในหมู่นักประวัติศาสตร์ ตำราเก่าเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1492 ที่เน้นพื้นหลังของยุโรป หรือเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1600 ที่เน้นชายแดนอเมริกา ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โรงเรียนและมหาวิทยาลัยในอเมริกามักจะขยับไปรวมประวัติศาสตร์ของชนพื้นเมืองมากขึ้น แทนที่จะรวมแค่ยุคอาณานิคม
ชนพื้นเมืองที่เคยอาศัยอยู่ในส่วนที่เป็นสหรัฐในตอนนี้เป็นพัน ๆ ปี และพัฒนาวัฒนธรรมที่ซับซ้อนก่อนชาวอาณานิคมของยุโรปเริ่มที่จะมาถึง ส่วนใหญ่จากประเทศอังกฤษ หลังปีค.ศ. 1600 สเปนมีการตั้งถิ่นฐานในช่วงต้นของรัฐฟลอริดาและทางตะวันตกเฉียงใต้ และฝรั่งเศสตั้งถิ่นฐานตามแม่น้ำมิสซิสซิปปีและชายฝั่งอ่าวเม็กซิโก ในช่วงทศวรรษที่ 1770 สิบสามอาณานิคมของอังกฤษมีจำนวนประชากรประมาณ 2.5 ล้านคนอยู่ตามแนวชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกและทางตะวันออกของ แนวเทือกเขาแอปพาเลเชียน หลังจากขับไล่ชาวฝรั่งเศสออกจากทวีปอเมริกาเหนือในปีค.ศ. 1763 อังกฤษได้กำหนดชุดของภาษีใหม่ในขณะที่ปฏิเสธข้อโต้แย้งของอเมริกันว่า ภาษีจำเป็นที่จะต้องเข้าสภา แรงต้านภาษีโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปาร์ตี้น้ำชาที่บอสตัน (อังกฤษ: Boston Tea Party) ในปีค.ศ. 1774 นำไปสู่การลงโทษโดยสภาที่ได้รับการออกแบบในตัวเองของรัฐบาลในแมสซาชูเซตส์ ทั้ง 13 อาณานิคมรวมตัวกันในสภาคองเกรสที่นำไปสู่ความขัดแย้งที่ใช้อาวุธในเดือนเมษายน ค.ศ. 1775 ในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 สภาคองเกรสลงมติยอมรับการคำประกาศอิสรภาพสหรัฐ (อังกฤษ: Declaration of Independence) ที่เขียนขึ้นโดย ทอมัส เจฟเฟอร์สัน ที่ประกาศว่ามนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นให้เท่าเทียมกันและก่อตั้งประเทศใหม่ นั่นก็คือสหรัฐ ด้วยกองกำลังทหารขนาดใหญ่และการสนับสนุนทางการเงินจากฝรั่งเศส และความเป็นผู้นำทางทหารนำโดยนายพล จอร์จ วอชิงตัน ผู้รักชาติทั้งหลายชาวอเมริกันชนะสงครามปฏิวัติอเมริกา สนธิสัญญาสันติภาพปีค.ศ. 1783 ให้ประเทศใหม่ส่วนใหญ่ของดินแดนทางตะวันออกของแม่น้ำมิสซิสซิปปี (ยกเว้นฟลอริดา) รัฐบาลแห่งชาติที่จัดตั้งขึ้นตามข้อบังคับของสมาพันธ์ (อังกฤษ: Articles of Confederation) ได้พิสูจน์แล้วว่าใช้ไม่ได้ผลที่จะให้ความมั่นคงกับประเทศใหม่ เนื่องจากไม่มีอำนาจในการเก็บภาษีและไม่มีผู้บริหารระดับสูง การประชุมที่จัดขึ้นในฟิลาเดลเฟีย ในปีค.ศ. 1787 เพื่อปรับปรุงข้อบังคับของ สมาพันธ์ส่งผลให้มีการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่แทน ซึ่งถูกยอมรับ ในปีค.ศ. 1789 และในปีค.ศ. 1791 ซึ่งบัญญัติว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมือง (อังกฤษ: Bill of Rights) ถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อรับประกันสิทธิ์ต่าง ๆ ที่ชอบธรรมสำหรับการปฏิวัติ ซึ่งมี จอร์จ วอชิงตัน เป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศ และมีอเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน เป็นที่ปรึกษาทางการเมืองและทางการเงินของเขา รัฐบาลแห่งชาติที่แข็งแกร่งได้ถูกสร้างขึ้นเมื่อ โทมัส เจฟเฟอร์สัน ได้เป็นประธานาธิบดี เขาได้ซื้อหลุยเซียนาจากฝรั่งเศส ทำให้ขนาดของประเทศใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่า และได้ทำสงครามกับอังกฤษเป็นครั้งที่สองและครั้งสุดท้ายในปีค.ศ. 1812
ประเทศถูกผลักดันโดยความเชื่อของชะตากรรมที่เด่นชัด ได้ขยายตัวเกินกว่าการซื้อลุยเซียนาตลอดทางไปถึงแคลิฟอร์เนียและโอเรกอน การขยายตัวได้รับการผลักดันโดยการแสวงหาที่ดินราคาไม่แพงสำหรับเกษตรกร เสรีชน และเจ้าของทาส การขยายตัวนี้เป็นที่ถกเถียงกันและเติมเชื้อความแตกต่างที่แก้ไขไม่ได้ระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ในเรื่องสถาบันของการเป็นทาสในดินแดนใหม่ ทาสถูกยกเลิกในทุกรัฐทางตอนเหนือของเส้นเมสัน-ดิกซันในปีค.ศ. 1804 แต่ภาคใต้ยังคงมีกำไรจากสถาบันเพื่อผลิตฝ้ายส่งออกในมูลค่าสูงเพื่อให้ทันความต้องการที่สูงขึ้นในยุโรป ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 1860 ของนักต่อต้านการเป็นทาสจากพรรครีพับลิกัน อับราฮัม ลินคอล์น จุดชนวนให้เกิดการแยกตัวของเจ็ดรัฐ (ต่อมาเป็นสิบเอ็ดรัฐ) รัฐทาสที่จัดตั้งสมาพันธรัฐในปีค.ศ. 1861 ก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองอเมริกัน (ค.ศ.1861 - 1865) ผลที่ตามมาคือวัสดุท่วมท้นและข้อได้เปรียบกำลังคนของภาคเหนือเป็นตัวชี้ขาดในสงครามที่ยาวนาน ในขณะที่อังกฤษและฝรั่งเศสยังคงเป็นกลาง ผลก็คือการฟื้นฟูของสหภาพ การแร้นแค้นของภาคใต้ และการเลิกทาส ในยุคบูรณะ (อังกฤษ: Reconstruction era 1863 - 1877) สิทธิตามกฎหมายและการออกเสียงลงคะแนนถูกขยายไปยังเสรีชน (เสรีทาส) รัฐบาลแห่งชาติเกิดความเข้มแข็งมากขึ้น เพราะคำแปรญัตติที่สิบสี่ (อังกฤษ: Fourteenth Amendment) มันได้รับหน้าที่ที่ชัดเจนในการปกป้องสิทธิส่วนบุคคล อย่างไรก็ตามกฎหมายที่แยกจากกันและกฎหมายของ จิม โครว ทิ้งให้คนผิวดำเป็นพลเมืองชั้นสองในภาคใต้ที่มีอำนาจน้อยจนถึงปีค.ศ. 1960
สหรัฐกลายเป็นมหาอำนาจทางอุตสาหกรรมชั้นนำของโลกในช่วงเปลี่ยนผ่านศตวรรษที่ 20 เนื่องจากการระเบิดของผู้ประกอบการในภาคตะวันออกตอนเหนือและตะวันตกตอนกลาง และการมาถึงของแรงงานอพยพและเกษตรกรจากยุโรป เครือข่ายทางรถไฟของประเทศถูกสร้างให้แล้วเสร็จโดยการทำงานของผู้อพยพชาวจีน และการทำเหมืองแร่และโรงงานขนาดใหญ่สร้างงานอุตสาหกรรมให้กับภาคตะวันออกตอนเหนือและภาคตะวันตกตอนกลาง ทำให้ความไม่พอใจของมวลชนกับการทุจริตและการเมืองแบบดั้งเดิมกระตุ้นการเคลื่อนไหวก้าวหน้า จากยุคทศวรรษที่ 1890 - 1920 ซึ่งนำไปสู่การปฏิรูปมากมายรวมทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 16 - 19 ซึ่งทำให้เกิดภาษีเงินได้ของรัฐบาลกลางในการเลือกตั้งวุฒิสภาโดยตรง ข้อห้ามและสิทธิในการออกเสียงของสตรี ในขั้นแรก การเป็นกลางในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สหรัฐได้ประกาสสงครามกับเยอรมนีในปีค.ศ. 1917 และได้รับชัยชนะจากพันธมิตรในปีต่อไป สตรีได้รับสิทธิในการลงคะแนนเสียงในปีค.ศ. 1920 โดยชาวพื้นเมืองอเมริกันได้รับสัญชาติและสิทธิในการลงคะแนนเสียงในปีค.ศ. 1924
ตอนแรกที่สหรัฐเป็นกลางในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สหรัฐประกาศสงครามกับเยอรมนีในปีค.ศ. 1917 และให้เงินสนับสนุนพันธมิตรจนได้ชัยชนะในปีต่อมา หลังจากทศวรรษที่เจริญรุ่งเรืองในปีค.ศ. 1920 วอลล์สตรีทพังทลายในปีค.ศ. 1929 ทำให้เกิดการเริ่มต้นการตกต่ำของเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ที่แผ่ขยายทั่วโลกนานนับทศวรรษ แฟรงกลิน โรสเวลต์ แห่งพรรคเดโมแครตจบการครอบงำทำเนียบขาวของพรรครีพับลิกันและดำเนินการโปรแกรมของเขา ข้อตกลงใหม่เพื่อบรรเทา กู้คืน และปฏิรูป พวกเขาให้คำนิยามว่าเป็นเสรีนิยมอเมริกันที่ทันสมัยเหล่านี้รวมถึงการบรรเทาการว่างงาน การสนับสนุนเกษตรกร การประกันสังคม และค่าจ้างขั้นต่ำ หลังจากที่ญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 สหรัฐได้เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองร่วมกับพันธมิตรโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหราชอาณาจักร และสหภาพโซเวียต พวกเขาจ่ายทุนสงครามให้กับพันธมิตรและช่วยให้ชนะนาซีเยอรมนีในยุโรปและการทิ้งระเบิดปรมาณูที่ญี่ปุ่นในตะวันออกไกล
สหรัฐและสหภาพโซเวียตกลายเป็นมหาอำนาจคู่แข่งหลังสงครามโลกครั้งที่สองราวปีค.ศ. 1947 พวกเขาเริ่มสงครามเย็นการเผชิญหน้ากับอีกคนหนึ่งโดยทางอ้อมในการแข่งขันด้านอาวุธและอวกาศ นโยบายต่างประเทศของสหรัฐในช่วงสงครามเย็นถูกสร้างขึ้นรอบ ๆ การสนับสนุนของยุโรปตะวันตกและญี่ปุ่น นโยบายของ "เอาอยู่" หรือการหยุดการแพร่กระจายของลัทธิคอมมิวนิสต์ สหรัฐมีส่วนร่วมในสงครามเกาหลีและสงครามเวียดนาม เพื่อหยุดการแพร่กระจายในปีค.ศ. 1960 โดยเฉพาะอย่างยิ่งความแรงของการเคลื่อนไหวของสิทธิมนุษยชน คลื่นอื่น ๆ ของการปฏิรูปทางสังคมถูกนำมาใช้ในระหว่างการบริหารของเคนเนดีและจอห์นสัน การบังคับใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญของการลงคะแนนและเสรีภาพในการเคลื่อนไหวของคนแอฟริกัน-อเมริกัน และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ การเคลื่อนไหวของชาวอเมริกันพื้นเมืองก็เพิ่มขึ้นด้วย สงครามเย็นสิ้นสุดลงเมื่อสหภาพโซเวียตสลายในปีค.ศ. 1991 ปล่อยให้สหรัฐเป็นมหาอำนาจของโลกเพียงผู้เดียว เมื่อศตวรรษที่ 21 เริ่มต้น ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่มีศูนย์กลางรอบ ๆ ตะวันออกกลางและแพร่กระจายไปยังเอเชียและแอฟริกา ตามด้วยการโจมตีในเหตุการณ์ 11 กันยายน โดยอัลกออิดะฮ์ ต่อสหรัฐ ในปีค.ศ. 2008 สหรัฐมีวิกฤตทางเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งตามมาด้วยอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้ากว่าปกติในยุคทศวรรษที่ 2010
สมัยก่อนโคลัมบัส
นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมุติฐานว่ามนุษย์มาถึงทวีปอเมริกาครั้งแรกเมื่อ 40,000 ถึง 14,000 ปีก่อนในยุคน้ำแข็ง เพราะระดับน้ำทะเลลดลงทำให้ช่องแคบแบริ่งตื้นเขิน ทำให้ชาวเอเชียอพยพเข้ามากลายเป็นชาวอินเดียนพื้นเมืองต่าง ๆ ทั้งทวีปอเมริกาในปัจจุบัน
ผิดกับอเมริกากลาง ในอเมริกาเหนือชาวพื้นเมืองไม่ได้สร้างอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ดังเช่นอัซเทคหรืออินคา แต่เป็นชนเผ่าเร่ร่อนล่าสัตว์ (Hunter-gatherers) หรือบางพวกก็ตั้งถิ่นฐานทำเกษตรกรรม อารยธรรมเกษตรกรรมในอเมริกาเหนือที่พัฒนามากที่สุดคือ (Mississipian Culture) ในประมาณ ค.ศ. 1000 ถึง ค.ศ. 1400 มักจะสร้างมูลดินขึ้นมาเพื่ออยู่อาศัยและพิธีกรรมศาสนา จึงเรียกว่า พวกสร้างมูลดิน (Mound-builders) ชุมชนที่ใหญ่ที่สุดของวัฒนธรรมมิสซิสซิปปี คือคาโฮเกีย (Cahokia) ในรัฐอิลลินอยส์
อาณานิคมของยุโรป
แม้โคลัมบัสจะพบทวีปอเมริกาใน ค.ศ. 1492 แต่ก็วนเวียนอยู่ในหมู่เกาะแคริบเบียนเท่านั้น ใน ค.ศ. 1513 ควน ปองเซ เด เลออง (Juan Ponce de Léon) นักสำรวจชาวสเปนมาฟลอริดาเพื่อค้นหาน้ำพุแห่งความเยาว์วัย (Fountain of Youth) สเปนเป็นชาติแรกที่ตั้งอาณานิคมในอเมริกา แต่แค่ผิวชายฝั่ง ไม่เข้าไปลึกมาก ใน ค.ศ. 1540 (Francisco Vásquez de Coronado) ชาวสเปนสำรวจทะเลทรายทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ พบแกรนด์แคนยอน
ส่วนอังกฤษนั้นตั้งอาณานิคมแรกคือเจมส์ทาวน์ (Jamestown) ใน ค.ศ. 1607 ตั้งชื่อตามพระนามพระเจ้าเจมส์ที่ 1 โดยบริษัทลอนดอนเวอร์จิเนีย (London Virginia Company) ซึ่งจะพัฒนากลายเป็นรัฐเวอร์จิเนีย ในปีแรก ๆ ฤดูหนาวนั้นหนาวเหน็บผู้คนล้มตายเพราะขาดอาหาร แต่ด้วยความช่วยเหลือของชาวพื้นเมือง ทำให้อาณานิคมยังอยู่รอด และได้ยาสูบ (tobacco) เป็นพืชเศรษฐกิจชนิดใหม่ ปลูกเป็นไร่ขนาดใหญ่ (Plantation) มีการนำทาสผิวดำจากแอฟริกามาใช้
ในอังกฤษเกิดสงครามกลางเมืองอังกฤษและการกดขี่ศาสนา ทำให้พวกนิกายต่าง ๆ หลบหนีมาอเมริกาเพื่อตั้งรกราก พวก (Pilgrim) นั่งเรือเมย์ฟลาวเวอร์ (Mayflower) มาตั้งอาณานิคมพลิมัธ ประกาศ Mayflower Compact เพื่อปกครองตนเอง พวกกลุ่มเพียวริตัน ได้รับการกดขี่ในอังกฤษหนีมาตั้ง (Massachusette Bay) เพื่อสร้างดินแดนในอุดมคติของนิกายพิวริตัน ใน ค.ศ. 1675 ชาวอาณานิคมทำสงครามกับชาวพื้นเมืองอย่างดุเดือดในสงครามพระเจ้าฟิลิป (King Philip's War) ทำให้ชาวพื้นเมืองและชาวอาณานิคมล้มตายมากมาย อาณานิคมพลีมัธและแมสซาชูเซตรวมกันใน ค.ศ. 1691 รวมเรียกว่า (New England)
ชาติอื่นก็มาตั้งอาณานิคมเช่นกัน ใน ค.ศ. 1638 สวีเดนตั้งอาณานิคมเดลาแวร์ แต่ถูกฮอลันดายึด ฮอลันดาตั้งอาณานิคม (New Netherlands) ประกอบด้วยนิวอัมสเตอร์ดาม (New Amsterdam กลายเป็นนิวยอร์ก) นิวเจอร์ซีย์ เดลาแวร์ และเพนซิลเวเนีย การแข่งขันระหว่างอังกฤษและฮอลันดาทำให้เกิด ใน ค.ศ. 1652 ถึง ค.ศ. 1674 อังกฤษยึดนิวอัมสเตอร์ดามได้ใน ค.ศ. 1664 และสนธิสัญญาบรีดาใน ค.ศ. 1667 ยกนิวเนเธอร์แลนด์ให้อังกฤษ
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ พระราชทานรางวัลแก่ผู้ที่ช่วยพระองค์ขึ้นกลับครองบัลลังก์ โดยทรงแต่งตั้งให้เป็นเจ้าครองที่ดินในค.ศ. 1663 (Lord Proprietor) เพื่อไปตั้งอาณานิคมส่วนตัวในอเมริกาทางใต้ของเวอร์จิเนีย กลายเป็นแคโรไลนา (Carolina) ซึ่งเป็นสถานที่ปลูกพืชเขตร้อนมีค่า เช่น อ้อย และใช้ทาสผิวดำจำนวนมากเป็นแรงงาน แต่การกดขี่พวกอูเกอโนต์ในฝรั่งเศสและอาณานิคม ทำให้พวกอูเกอโนต์หลบหนีมาอยู่อาณานิคมอังกฤษ ทำให้สองชาติเกิดความขัดแย้งแย่งที่ทำมาหากิน
สงครามใหญ่สี่ครั้ง สงครามในยุโรปลุกลามมาถึงอาณานิคมด้วย ใน ค.ศ. 1689 สงครามมหาสัมพันธมิตร (War of the Grand Alliance) เมื่อชาติต่าง ๆ รวมทั้งอังกฤษรวมตัวกันต่อต้านฝรั่งเศส กลายเป็นสงครามพระเจ้าวิลเลียม (King William's War) ในอาณานิคม อังกฤษยึดพอร์ต รอยัล (Port Royal) ในอคาเดีย (Acadia) ของฝรั่งเศส และบุกควิเบก เมืองหลวงของอาณานิคมฝรั่งเศส แต่ไม่สำเร็จและถูกยึดพอร์ตรอยัลคืน จนสงครามในยุโรปสิ้นสุดใน ค.ศ. 1697
ใน ค.ศ. 1702 สงครามสืบราชสมบัติสเปน (War of the Spanish Succession) กลายเป็นสงครามพระนางแอนน์ (Queen Anne's War) ในอาณานิคม ด้วยความช่วยเหลือของเผ่าอิโรคอยส์ ทำให้บริเตนได้อคาเดีย ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นสกอตแลนด์ใหม่ หรือ (Nova Scotia) และอ่าวฮัดสัน (Hudson Bay) อันเป็นแหล่งขนบีเวอร์สำคัญ
ใน ค.ศ. 1739 บริเตนทำสงครามกับสเปนใน (War of Jenkin's Ear) ใน ค.ศ. 1740 สงครามสืบราชสมบัติออสเตรีย (War of the Austrian Succession) กลายเป็นสงครามพระเจ้าจอร์จ (King George's War) ในอาณานิคมเมื่อฝรั่งเศสเข้าพวกสเปน อังกฤษยึดหลุยส์บอร์ก (Louisbourg) จากฝรั่งเศส แต่ฝรั่งเศสบุกทำลายนิวยอร์ก จน ค.ศ. 1748 สงครามสิ้นสุด กลับสู่สภาพเดิม แต่ไม่นานนัก สงครามฝรั่งเศสและอินเดียน (French and Indian Wars) คู่กับสงครามเจ็ดปี (Seven Years' War) ในยุโรป ในตอนแรกบริเตนพ่ายแพ้ยับเยิน แต่มองต์คาล์ม (Montcalm) นำทัพอาณานิคมชนะฝรั่งเศสและชาวพื้นเมืองได้ ในค.ศ. 1759 บริเตนขนะฝรั่งเศสในการรบที่ราบอับฮราฮัม (Plains of Abraham) ยึดเมืองควิเบกได้ ใน ค.ศ. 1763 สนธิสัญญาปารีส ยกแคนาดาทั้งหมดให้บริเตน อาณานิคมบริเตนจึงขยายกว้างใหญ่ไพศาล
การปฏิวัติอเมริกา
ในปี ค.ศ. 1492 คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เดินเรือจากยุโรปไปทางทิศตะวันตกเพื่อสำรวจเส้นทางเดินเรือไปประเทศจีน และได้พบกับทวีปหนึ่ง ในตอนนั้นเขาคิดว่าคือประเทศอินเดีย ต่อมาสเปนกับโปรตุเกสเดินเรือไปทางใต้ ทำให้พบทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งมีทองคำจำนวนมาก ทำให้อังกฤษและฝรั่งเศสเดินทางไปสำรวจในเวลาต่อมา โดยอังกฤษขึ้นฝั่งที่ตะวันออก แถบนิวอิงแลนด์ นิวยอร์ก ฝรั่งเศสขึ้นฝั่งที่ตอนกลาง บริเวณลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปี ทั้งสองได้ต่างขยายอาณานิคมจนมาปะทะกัน ทำให้เกิดสงคราม 7 ปี ในทวีปยุโรป ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายแพ้อังกฤษ ทำให้อังกฤษเข้ายึดดินแดนเดิมของฝรั่งเศส
สหรัฐช่วงแรก (ค.ศ. 1789 ถึง ค.ศ. 1797)
สมัยของประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน (ค.ศ. 1789 - 1797)
จอร์จ วอชิงตัน ได้รับเลือกตั้งอย่างเป็นเอกฉันท์ให้เป็นประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐเมื่อ ค.ศ. 1789 ผลงานชิ้นแรกของวอชิงตันคือการยกคำประกาศสิทธิหรือรัฐบัญญัติสิทธิ (Bill of Rights) ขึ้นเป็นมาตราในรัฐธรรมนูญ (Amendments) สิบมาตราแรกเมื่อ ค.ศ. 1791 อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน (Alexander Hamilton) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (Secretary of Treasury) เป็นผู้วางรากฐานทางเศรษฐกิจของสหรัฐในช่วงแรก โดยการจัดตั้งธนาคารแห่งชาติสหรัฐ การกำหนดภาษีเงินได้และภาษีศุลกากร และการส่งเสริมอุตสาหกรรมภายในประเทศ โดยมุ่งเน้นการค้าขายกับสหราชอาณาจักรหรืออดีตเจ้าอาณานิคมเป็นหลัก โดยการทำสนธิสัญญาสงบศึกและสนธิสัญญาการค้ากับบริเทน คือ สนธิสัญญาเจย์ (Jay Treaty) ในปี ค.ศ. 1794 นอกจากนี้วอชิงตันยังวางระบบตุลาการของประเทศผ่านทางกฎหมายตุลาการ (Judiciary Act) ค.ศ. 1789 ให้ศาลฎีกาสูงสุดเป็นศาลสูงสุดของประเทศเหนือศาลของแต่ละรัฐ ประชาชนในรัฐเพนซิลวาเนียผู้ไม่พอใจการเก็บภาษีวิสกี้ของรัฐบาลกลางก่อการกบฏวิสกี้ (Whiskey Rebellion) ใน ค.ศ. 1794 ประธานาธิบดีวอชิงตันจึงเกณฑ์ไพร่พลจากรัฐต่าง ๆ มาทำการปราบกบฏ นับเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลกลางใช้อำนาจทางทหารโดยใช้กำลังรวมจากหลายรัฐ และเป็นครั้งเดียวที่ประธานาธิบดีเป็นผู้นำทัพด้วยตนเอง
ในสมัยนี้เองที่เกิดความแตกแยกทางการเมืองขึ้นในหมู่ผู้นำของสหรัฐ ฝ่ายเฟเดอรัลลิสต์ (Federalist) หรือฝ่ายสมาพันธรัฐนิยม นำโดยรัฐมนตรีการคลังอเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน มีนโยบายรวมอำนาจทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจเข้าสู่รัฐบาลกลาง ส่งเสริมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของสหรัฐ โดยมีบริเทนเป็นแบบอย่างในทางเศรษฐกิจและการเมือง และฝ่ายรีพับบลีกัน (Republican) มีแนวคิดสาธารณรัฐนิยม (Republicanism) แบบสุดโต่ง นำโดยโธมัส เจฟเฟอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศ (Secretary of State) และเจมส์ แมดิสัน (James Madison) ซึ่งมีความเห็นว่าการรวมอำนาจเข้าศูนย์กลางเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนและแต่ละรัฐ การส่งเสริมอุตสาหกรรมจะเป็นการทำลายชีวิตเกษตรกรรมของชาวอเมริกันส่วนใหญ่ในขณะนั้น และให้การสนับสนุนการปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งการแตกแยกทางการเมืองออกเป็นสองฝ่ายนำไปสู่การจัดตั้งพรรคการเมืองสองพรรคแรกของสหรัฐ ได้แก่ พรรคเฟเดอรัลลิสต์ (Federalist Party) และพรรครีพับบลีกัน (Republican Party) เกิดเป็นระบบพรรคการเมืองครั้งที่หนึ่ง (First Party System) ในประวัติศาสตร์สหรัฐ ฝ่ายประธานาธิบดีวอชิงตันแม้ว่าจะสนับสนุนนโยบายของพรรคเฟเดอรัลลิสต์ แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งพรรคการเมืองเพราะเป็นการสร้างความแตกแยกภายในรัฐบาล
ประธานาธิบดีวอชิงตันดำรงตำแหน่งอยู่เป็นเวลาสองสมัย และปฏิเสธที่จะดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่สาม จนเกิดเป็นธรรมเนียมว่าประธานาธิบดีสหรัฐจะอยู่ในตำแหน่งได้ไม่เกินสองสมัย
สมัยของประธานาธิบดีจอห์น แอดัมส์ (ค.ศ. 1797 - 1801)
รองประธานาธิบดีจอห์น แอดัมส์ (John Adams) จากพรรคเฟเดอรัลลิสต์ สามารถเอาชนะโธมัส เจฟเฟอร์สันได้ในการเลือกตั้งเมื่อ ค.ศ. 1797 ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีคนที่สอง ในขณะเดียวกันนั้นเองรัฐบาลของฝรั่งเศสหลังจากที่ทราบว่าสหรัฐได้มีสัมพันธ์ทางการค้ากับบริเทน ซึ่งในขณะนั้นบริเทนและฝรั่งเศสกำลังทำสงครามขับเคี่ยวกันอยู่ จึงส่งทูตชื่อว่า เอมองต์-ชาร์ลส์ เยเนต์ (Edmond-Charles Genêt) มาเพื่อทวงสัญญาพันธมิตรตั้งแต่ครั้งสงครามปฏิวัติอเมริกาและเรียกร้องให้รัฐบาลยุติความสัมพันธ์กับบริเทน แม้ว่าทูตฝรั่งเศสจะได้รับการสนับสนุนจากนักการเมืองและประชาชนฝ่ายรีพับบลีกันเป็นอย่างมาก แต่ประธานาธิบดีแอดัมส์และฝ่ายเฟเดอรัลลิสต์ได้ใช้การกระทำนี้ เรียกว่า (XYZ Affair) ในการตีความว่าฝรั่งเศสคุกคามอธิปไตยของสหรัฐ เมื่อเจรจาไม่เป็นผลสำเร็จ ฝรั่งเศสจึงใช้นโยบายเข้าปล้นเรือสินค้าของสหรัฐอเมริก ทำให้สถานะความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและฝรั่งเศสอยู่ในฐานะกึ่งสงคราม (Quasi-War)
รัฐบาลเฟเดอรัลลิสต์ของนายแอดัมส์เห็นว่าการที่ฝ่ายรีพับบลีกันให้การสนับสนุนฝรั่งเศสนั้นเป็นภัยต่อประเทศชาติ จึงออกกฎหมายต่างด้าวและการจลาจล (Alien and Sedition Act) ใน ค.ศ. 1798 ลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง
ในค.ศ. 1800 ประธานาธิบดีแอดัมส์ส่งตัวแทนไปยังฝรั่งเศสเพื่อเจรจาขอสงบศึกได้เป็นผลสำเร็จ
ศควรรษที่ 19
สมัยของประธานาธิบดีโธมัส เจฟเฟอร์สัน (ค.ศ. 1801 - 1809)
การปกครองของรัฐบาลเฟเดอรัลลิสต์ที่กดขี่ทำให้พรรคเฟเดอรัลลิสต์มีความนิยมที่เสื่อมลง โธมัส เจฟเฟอร์สัน จากพรรครีพับบลีกัน ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีคนที่สามและสาบานตนเข้าดำรงตำแหน่งใน ค.ศ. 1801 ประธานาธิบดีเจฟเฟอร์สันได้ชื่อว่าเป็นผู้ส่งเสริมแนวคิดเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพอย่างมาก ตามหลักประชาธิปไตยแบบเจฟเฟอร์สัน (Jeffersonian Democracy) มีแนวความคิดในการตีความรัฐธรรมนูญแบบเคร่งครัดตามตัวอักษร มีนโยบายกระจายอำนาจสู่รัฐบาลของแต่ละรัฐ และส่งเสริมการเกษตรหลีกเลี่ยงลัทธิพาณิชยนิยม (Mercantilism) และการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป ในปีเดียวกันประธานาธิบดีเจฟเฟอร์สันส่งนักการทูตเจมส์ มอนโร (James Monroe) ไปยังกรุงปารีสเพื่อเจรจาของซื้อนครนิวออร์ลีนส์จากฝรั่งเศส ซึ่งตรงกับสมัยของพระจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 จักรพรรดินโปเลียนได้เสนอที่จะขายอาณานิคมลุยเซียนา (Louisiana) ทั้งหมด อันเป็นผืนแผ่นดินรกร้างกว้างใหญ่ประกอบด้วยชาวฝรั่งเศส ชาวสเปน และชาวอเมริกันพื้นเมือง เจฟเฟอร์สันเห็นว่าชาวอเมริกันควรจะมีที่ดินอย่างเพียงพอในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม จึงตัดสินใจที่จะซื้ออาณานิคมลุยเซียนาจากฝรั่งเศสในค.ศ. 1803 ราคาสิบห้าล้านดอลลาร์ (เทียบเท่าจำนวนเงิน 230 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน) เรียกว่า การซื้อลุยเซียนา (Louisiana Purchase) ทำให้อาณาเขตของสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของฝ่ายเฟอเดอรัลลิสต์อย่างมาก ว่าเป็นการผลาญเงินโดยไม่จำเป็น เจฟเฟอร์สันส่งนายเมอรีเวเทอร์ ลูอิส (Meriwether Lewis) และวิลเลียม คลาร์ก (William Clark) ไปทำการสำรวจดินแดนลุยเซียนาอันกว้างใหญ่ไพศาล ใน (Lewis and Clark Expedition)
แต่เกษตรกรรมในความหมายนี้ คนผิวขาวมิได้ลงแรงในการประกอบเกษตรกรรมเองแต่อย่างใด แต่ใช้ทาสชาวแอฟริกันให้เป็นผู้ำทำการเพาะปลูก ภายใต้การกำกับของชาวอเมริกันผิวขาวในฐานะเจ้าของที่ดิน รัฐบาลสมัยประธานาธิบดีเจฟเฟอร์สันแม้จะให้ความสำคัญแก่สิทธิเสรีภาพ แต่ก็จำต้องปล่อยให้ระบอบทาสคงอยู่เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจเกษตรกรรมสามารถดำรงอยู่ได้
ในยุโรปกำลังเกิดสงครามนโปเลียน ประธานาธิบดีเจฟเฟอร์สันพยายามที่จะธำรงความเป็นกลางของสหรัฐเอาไว้ แม้กระนั้นเรือสินค้าของสหรัฐก็ยังคงถูกตรวจค้นและปล้มสะดมโดยทางการบริเทน และกองทัพเรือบริเทนยังลักพาตัวชายชาวอเมริกาจำนวนมากเพื่อนำไปเข้าร่วมกองทัพเรือในการสู้รบกับฝรั่งเศส เรียกว่า Impressment ในปี ค.ศ. 1807 สภาองคมนตรีของบริเทนออกคำสั่งให้ทัพเรือบริเทนนำกำลังเข้าปิดล้อมมิให้สหรัฐสามารถทำการค้าขายกับฝรั่งเศสได้ เจฟเฟอร์สันจึงตอบโต้ออกกฎหมายคว่ำบาตรทางการค้า (Embargo Act) ในปีเดียวกัน ห้ามมิให้ชาวอเมริกาทำการค้าขายกับประเทศใด ๆ ในยุโรปและอาณานิคมของประเทศเหล่านั้น นโยบายนี้ทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐตกต่ำลงในขณะที่อังกฤษและฝรั่งเศสไม่ได้รับผลเสียใด ๆ จากนโยบายนี้ และกฎหมายคว่ำบาตรยังทำให้ประชาชนเสื่อมความนิยมในตัวประธานาธิบดีเจฟเฟอร์สันและพรรครีพับบลีกันอีกด้วย จนกระทั่งกฎหมายนี้ถูกยกเลิกไปในค.ศ. 1810
ในค.ศ. 1803 รัฐบาลสหรัฐได้ผนวกเอาดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือ (Northwest Territory) บริเวณลุ่มแม่น้ำโอไฮโอ (Ohio River) อันเป็นดินแดนอิสระของชาวอเมริกันพื้นเมือง เข้ามาเป็นดินแดนอินเดียนา (Indiana Territory) และรัฐโอไฮโอ (Ohio) ปกครองโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ผู้นำเผ่าอเมริกันพื้นเมืองชื่อว่า (Tecumseh) และ เทนสกวาตาวา (Tenskwatawa) นำกำลังเข้าโจมตีเมืองของสหรัฐต่าง ๆ ในบริเวณตะวันตกเฉียงเหนืออย่างหนักหน่วง เพื่อต่อต้านการแผ่ขยายอิทธิพลของคนผิวขาว โดยที่การกบฏของชาวพื้นเมืองในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากบริเทน
สงครามปีค.ศ. 1812
รัฐมนตรีต่างประเทศเจมส์ แมดิสัน แห่งพรรครีพับบลีกัน ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีต่อจากเจฟเฟอร์สันในค.ศ. 1810 รัฐบาลสหรัฐเริ่มที่จะทนไม่ได้กับการกระทำของกองทัพเรืองบริเทนต่อเรือของสหรัฐฯ การขัดขวางการค้าของสหรัฐฯ และการที่บริเทนให้การสนับสนุนกบฏของอเมริกันพื้นเมือง นักการเมืองฝ่ายรีพับบลีกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้แทนจากรัฐทางตอนใต้และจากลุยเซียนา สนับสนุนให้ประกาศสงครามกับบริเทน ในขณะที่นักการเมืองฝ่ายเฟเดอรัลลิสต์จากเขตนิวอิงแลนด์ทางเหนือ ซึ่งได้รับผลประโยชน์จากการค้ากับยุโรปเป็นสำคัญ คัดค้านการทำสงคราม ในที่สุดสภาคองเกรสก็ได้ประกาศสงครามกับบริเทนด้วยเสียงข้างมากในค.ศ 1812 ฝ่ายบริเทนในขณะนั้นมีทัพเรือที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกจากการเอาชนะทัพเรือของนโปเลียนในยุทธการทราฟัลการ์ ฝ่ายอเมริกาและบริเทนปะทะกันในสองช่องทางได้แก่ ทางทะเลโดยที่ทัพเรือบริเทนเข้าโจมตีเมื่องชายฝั่งทะเลต่าง ๆ ของอเมริกา และทางบกทัพอเมริกายกเข้าบุกแคนาดาซึ่งในขณะนั้นเป็นอาณานิคมของบริเทน
ในค.ศ. 1811 นายพลวิลเลียม เฮนรี แฮร์ริสัน (William Henry Harrison) บุกเข้าทำลายฐานที่มั่นของอินเดียนแดงได้ใน (Battle of Tippecanoe) ทัพอเมริกามีความพยายามในการรุกรานแคนาดาแต่ถูกขัดขวางจากการที่มลรัฐทางตอนเหนือไม่ให้ความร่วมมือ และในปีค.ศ. 1812 เสียเมืองดีทรอยต์ให้แก่บริเทน และทัพอเมริกาพ่ายแพ้แก่ทัพบริเทนใน (Battle of Queenston Heights) ในปีเดียวกัน ทางทะเลบริเทนนำทัพเข้ามาปิดล้อมชายฝั่งทั้งหมดของสหรัฐ ทั้งทางฝั่งและฝั่งอ่าวเม็กซิโก ปีต่อมาค.ศ. 1813 ทัพอเมริกาสามารถบุกเข้ายึดและเผาเมืองโตรอนโตของแคนาดาได้ และพลจัตวาโอลิเวอร์ ฮาซาร์ด เพอร์รี่ (Oliver Hazard Perry) นำทัพเรือเมริกาเอาชนะทัพเรือบริเทนในยุทธการทะเลสาบอีรี (Battle of Lake Erie) สามารถขับบริเทนออกจากบริเวณดีทรอยต์ได้ นายพลแฮร์ริสันนำทัพเข้าปราบชาวอินเดียนแดงในยุทธการเธมส์ (Battle of the Thames) สังหารเทคัมเซผู้นำอินเดียนแดงเสียชีวิตในสนามรบ
ในปี 1814 บริเทนสามารถโค่นอำนาจของนโปเลียนได้ในยุโรป จึงหันความสนใจมายังสหรัฐ ทัพเรือบริเทนเข้ายึดเมืองวอชิงตัน ดี.ซี. และเผาทำลายทำเนียบขาว ทางตอนเหนือทัพเรืออเมริกาต้านทานการรุกรานของทัพบริเทนจากมอนทรีออลได้ในยุทธการทะเลสาบชองแปลง (Battle of Lake Champlain) ทั้งฝ่ายเริ่มการเจรจายุติสงครามที่เมืองเกนต์ ประเทศเบลเยี่ยม นำไปสู่ (Treaty of Ghent) ในค.ศ. 1814 สิ้นสุดสงครามโดยที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงของดินแดนในครอบครองทั้งสองฝ่าย กลับไปสู่สภาวะเดิมก่อนเกิดสงคราม
แม้ว่าจะเจรจายุติสงครามแล้ว แต่ข่าวการยุติสงครามยังมาไม่ถึงยังสหรัฐ ในค.ศ. 1815 ทัพเรือบริเทนเข้าโจมตีเมืองท่านิวออร์ลีนส์ ทัพอเมริกานำโดยแอนดรูว์ แจ็กสัน (Andrew Jackson) สามารถต้านทานการรุกรานของบริเทนได้ ใน (Battle of New Orleans)
วาทะมอนโรและสมัยแห่งความรู้สึกดี
ค.ศ. 1819 รัฐบาลสหรัฐและราชอาณาจักรสเปนทำ (Adams-Onis Treaty) โดยสหรัฐทำการซื้อฟลอริดามาจากสเปน และกำหนดเส้นแบ่งอาณาเขตระหว่างสองประเทศทางตะวันตก โดยสเปนถือครองดินแดนตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐในปัจจุบัน
การที่สหรัฐสามารถรับมือกับการรุกรานของมหาอำนาจอย่างเช่นสหราชอาณาจักรได้ ทำให้ชาวอเมริกันเกิดความภาคภูมิใจและเกิดเป็นกระแสชาตินิยมขึ้นในที่สุด ผลทางการเมืองของสงครามปีค.ศ. 1812 คือทำให้อำนาจและความนิยมของพรรคเฟเดอรัลลิสต์ อันมีฐานอำนาจอยู่ในเขตนิวอิงแลนด์ทางเหนือนั้น ล่มสลายไปในที่สุดในฐานะเป็นฝ่ายที่คัดค้านสงคราม ทำให้พรรครีพับบลีกันซึ่งมีฐานเสียงอยู่มลรัฐทางใต้เป็นพรรคการเมืองพรรคเดียวที่คงอำนาจ ความภาคภูมิใจในชาติ และเสถียรภาพทางการเมือง ทำให้เกิดสมัยแห่งความรู้สึกดี (Era of Good Feelings)
ในขณะเดียวกันนั้นอาณานิคมต่าง ๆ ของยุโรปในทวีปอเมริกา โดยเฉพาะในอเมริกาใต้กำลังทำสงครามเรียกร้องเอกราชจากประเทศแม่ในยุโรป ปีค.ศ. 1823 ประธานาธิบดีเจมส์ มอนโร และรัฐมนตรีต่างประเทศจอห์น ควินซี แอดัมส์ (John Quincy Adams) ประกาศวาทะมอนโร (Monroe Doctrine) ว่า รัฐบาลสหรัฐฯจะไม่ข้องแวะกับกิจการใด ๆ ของชาติยุโรป และชาติต่าง ๆ ในยุโรปจะต้องไม่แทรกแซงกิจการใด ๆ ของรัฐเอกราชในทวีปอเมริกา
ระบบทาส
ความขัดแย้งในเรื่องระบอบทาส เกิดขึ้นครั้งแรกในค.ศ. 1819 เมื่อมีการก่อตั้งมลรัฐมิสซูรี (Missouri) ขึ้นมาเป็นมลรัฐใหม่ โดยที่พลเมืองคนขาวในรัฐมิสซูรีส่วนใหญ่มีทาสชาวแอฟริกันไว้ในครอบครอง และประชาชนได้ร่างกฎหมายประจำมลรัฐและยื่นเรื่องขออนุมัติจัดตั้งรัฐใหม่ไปยังสภาคองเกรส แต่ทว่ามีสมาชิกรัฐสภาคนหนึ่งชื่อว่า จอห์น ทัลมาดจ์ (John Tallmadge) จากมลรัฐนิวยอร์ก เสนอให้มีการแก้กฎหมายให้มลรัฐมิสซูรีห้ามการนำทาสเข้ามาในมลรัฐเพิ่มเติม ซึ่งวุฒิสภาสหรัฐฯคัดค้านการแก้ไขนี้ จนในที่สุดรัฐบาลกลางก็อนุญาตให้รัฐมิสซูรีมีทาสได้ในปีค.ศ. 1820 และในปีเดียวกันมีการจัดตั้งมลรัฐแอละแบมาเป็นรัฐมีทาส ทำให้จำนวนรัฐมีทาสและรัฐปลอดทาสเท่ากัน จึงมีการจัดตั้งรัฐเมนขึ้นเป็นรัฐปลอดทาส เพื่อถ่วงเสียงกับฝ่ายรัฐมีทาส และกำหนดว่าห้ามมีระบอบทาสเหนือเส้นขนานที่ 36 องศา 30 ลิปดาเหนือ เรียกว่า เส้นขนานข้อตกลง (Compromise Line) ยกเว้นมลรัฐมิสซูรีซึ่งอยู่เหนือต่อเส้นข้อตกลง เรียกว่า (Missouri Compromise) ปีค.ศ. 1820 ซึ่งเป็นบรรทัดฐานในการจัดตั้งระบอบทาสและเขตปลอดทาสในสหรัฐต่อมาเป็นเวลาสามสิบปี
การเคลื่อนย้ายชาวอเมริกันอินเดียน
ในปี 1830 สภาคองเกรสผ่านกฎหมายการเคลื่อนย้ายชาวอินเดียน (อังกฤษ: Indian Removal Act) ซึ่งให้มีอำนาจประธานาธิบดีในการเจรจาสนธิสัญญาที่จะแลกเปลี่ยนดินแดนของชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกันในรัฐทางตะวันออกกับดินแดนทางตะวันตกของแม่น้ำมิสซิสซิปปี้. เป้าหมายหลักคือเพื่อเคลื่อนย้ายชนพื้นเมืองอเมริกัน, รวมทั้ง ห้าอารยะชนเผ่า, จากตะวันออกเฉียงใต้ของอเมริกาซึ่งพวกเขาครอบครองที่ดินที่ผู้ตั้งถิ่นฐานต้องการ. ประธานาธิบดีแจ็คสันแห่งพรรคเดโมแครต (อังกฤษ: Jacksonian Democrats) เรียกร้องให้ใช้กำลังในการเคลื่อนย้ายประชากรพื้นเมืองที่ปฏิเสธที่จะยอมรับ กฎหมายของรัฐไปยังเขตสงวนทางตะวันตก; สมาชิกพรรคการเมือง (อังกฤษ: Whigs) และผู้นำศาสนาต่อต้านการย้ายที่ไร้มนุษยธรรม. มีการเสียชีวิตหลายพันคนที่มีผลมาจากการโยกย้าย, เท่าที่เห็นใน รอยน้ำตาของเชอโรกี (อังกฤษ: Cherokee Trail of Tears) อินเดียนแดงเผ่า Seminole หลายคนในฟลอริดาปฏิเสธที่จะย้ายไปทิศตะวันตก; พวกเขาต่อสู้กับกองทัพมานานหลายปีในสงคราม Seminole
การฟื้นคืนชีพที่ยิ่งใหญ่ครั้งที่สอง
บทความหลัก : Second Great Awakening การฟื้นคืนชีพที่ยิ่งใหญ่ครั้งที่สองเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อฟื้นฟูนิกายโปรเตสแตนต์ที่สร้างผลกระทบทั้งประเทศในช่วงศตวรรษที่ 19 และนำไปสู่การเจริญเติบโตของคริสตจักรอย่างรวดเร็ว. การเคลื่อนไหวเริ่มราวปี ค.ศ. 1790 ได้รับแรงโมเมนตั้มในปี 1800, และ, หลังปี 1820 สมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในหมู่การชุมนุมของกลุ่มแบบติสท์และเมทอดิสท์, ซึ่งนักเทศน์ของพวกเขาได้นำการเคลื่อนไหว. มันผ่านจุดสูงสุดในยุค 1840s.
มีคนลงทะเบียนเป็นสมาชิกใหม่นับล้านคนในนิกาย evangelic ที่มีอยู่เดิมและนำไปสู่การก่อตัวของนิกายใหม่ ผู้นับถือหลายคนเชื่อว่าการฟื้นคืนชีพจะเป็นการป่าวประกาศถึงยุคพันปีใหม่. การฟื้นคืนชีพที่ยิ่งใหญ่ครั้งที่สองได้กระตุ้นการเคลื่อนไหวเพือการการปฏิรูปหลายอย่าง-รวมทั้งการเลิกทาสและยับยั้งชั่งใจที่ออกแบบมาเพื่อลบความชั่วร้ายของสังคมก่อนการคาดว่าจะเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์.
การเลิกทาส
หลังปี 1840 การเจริญเติบโตของการเคลื่อนไหวเพื่อเลิกทาสให้นิยามใหม่ของตัวมันเองว่าเป็น สงครามต่อสู้กับความบาปของเจ้าของทาส. มันทำการรวบรวมฝ่ายสนับสนุน (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในหมู่ผู้หญิงเคร่งศาสนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ได้รับผลกระทบจากการการฟื้นคืนชีพที่ยิ่งใหญ่ครั้งที่สอง) วิลเลียม ลอยด์ แกร์ริสัน ได้เผยแพร่หนังสือพิมพ์ต่อต้านทาสหลายเล่มที่มีอิทธิพลมากที่สุด, The Liberator, ในขณะที่ เฟรเดอริค ดักลาส, อดีตทาส, เริ่มเขียนให้กับหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นในราวปี 1840 และเริ่มหนังสือพิมพ์นักปลดปล่อยทาสของเขาเอง, North Star ในปี ค.ศ. 1847 นักเคลื่อนไหวต่อต้านระบบทาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุด, เช่น อับราฮัม ลิงคอล์น, ปฏิเสธศาสนศาสตร์ของแกร์ริสันและถือได้ว่า การเป็นทาสเป็นความชั่วร้ายทางสังคม, ไม่ใช่บาป.
แผ่ขยายไปทางตะวันตก (ค.ศ. 1824 ถึง ค.ศ. 1861)
การเลือกตั้งทั่วไปในปีค.ศ. 1824 เสียงของประชาชนชาวอเมริกันแตกออกระหว่างผู้สมัครจากพรรครีพับบลีกันสี่คน ได้แก่ โฆษกรัฐบาลนาย (Henry Clay) จากมลรัฐ รัฐมนตรีต่างประเทศจอห์น ควินซี แอดัมส์ จากมลรัฐแมสซาชูเซตต์ รัฐมนตรีการคลัง วิลเลียม ครอว์เฟิร์ด (William Crawfurd) และแอนดรูว์ แจ็กสัน นายพลผู้โด่งดังจากการนำทัพเรือสหรัฐฯเอาชนะทัพเรือบริเทนในยุทธการนิวออร์ลีนส์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากชาวมลรัฐเทนเนสซีและเพนซิลวาเนีย ไม่มีผู้สมัครคนใดได้รับเสียงข้างมากในคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ที่เพียงพอที่จะเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ จึงให้สภาผู้แทนราษฏรเป็นผู้ทำการเลือกประธานาธิบดีเป็นขั้นตอนถัดมา โฆษกรัฐบาลเฮนรี เคลย์ ได้ทำการล็อบบี้ให้ผู้สนับสนุนของตนในสภาผู้แทนราษฏรเลือกนายจอห์น ควินซี แอดัมส์ เป็นประธานาธิบดี โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือตัวนายเฮนรี เคลย์ จะได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีการต่างประเทศ เป็นผลให้นายจอห์น ควินซี แอดัมส์ ได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ สร้างความไม่พอใจให้แก่นายแอนดรูว์ แจ็กสันเป็นอย่างมาก ผู้ซึ่งได้ประณามข้อตกลงทางการเมืองนี้ว่าเป็น "ข้อแลกเปลี่ยนอันฉ้อฉล" (The Corrupt Bargain)
เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เกิดความแตกแยกในพรรครีพับบลีกัน คือนายแอนดรูว์ แจ็กสัน ร่วมกับนายมาร์ติน แวน บิวเรน (Martin van Buren) ได้นำผู้สนับสนุนของตนแยกตัวออกมาจากพรรครีพับบลีกันออกมาตั้งเป็นพรรคการเมืองใหม่ คือ พรรคเดโมแครต (Democratic Party) ในขณะที่สมาชิกที่ยังคงอยู่ในพรรคเดิมนั้นเรียกว่า (Republican Party) หรือต่อมาเรียกว่าพรรควิก (Whig Party) นำโดยเฮนรี เคลย์ เป็นจุดเริ่มต้นของระบบพรรคการเมืองที่สอง (Second Party System) รัฐบาลของนายแอดัมส์บริหารงานไม่เป็นที่พึงพอใจของประชาชนมากนัก ส่งผลให้แอนดรูว์ แจ็กสัน สามารถชนะการเลือกตั้งในค.ศ. 1828 ขึ้นเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯได้ในที่สุด
สมัยของประธานาธิบดีแอนดรูว์ แจ็กสัน (ค.ศ. 1828 - 1837)
ประธานาธิบดีแจ็กสันและพรรคเดโมแครตมีแนวความคิดที่แตกต่างจากพรรครีพับบลีกัน เรียกว่า (Jacksonian democracy) คือ การเปิดโอกาสให้ประชาชนคนชั้นล่างคนยากคนจนเข้ามามีส่วนร่วมในการเมืองมากขึ้น โดยการส่งเสริมให้ชายผิวขาวชาวอเมริกันทุกคนมีสิทธิ์เลือกตั้ง (Universal suffrage of all white men) ซึ่งในสมัยก่อนหน้านั้นชายอเมริกันจะต้องมีที่ดินไว้ในครอบครองจำหนวนหนึ่งจึงจะมีสิทธิ์เลือกตั้งได้ (ตามแนวความคิดประชาธิปไตยแบบเจฟเฟอร์สันที่ว่า มนุษย์จะต้องมีที่ดินไว้ทำกินพึ่งพาตนเองได้ จึงจะถือว่ามีอิสรภาพจากตลาดและอุตสาหกรรม) อย่างไรก็ตามสตรีและทาสผิวดำชาวแอฟริกันยังคงไม่ได้รับสิทธิเลือกตั้ง ประธานาธิบดีแจ็กสันพยายามที่จะสร้างฐานความนิยมในชนชั้นล่างและผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมลรัฐทางใต้ และต่อต้านอิทธิพลทางเศรษฐกิจของชนชั้นกลางผู้มีฐานะจากการประกอบอุตสาหกรรมและธุรกิจการเงิน ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ในมลรัฐทางตอนเหนือ
ประธานาธิบดีแจ็กสันเชื่อในอำนาจของฝ่าบบริหาร ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศ ในขณะที่ฝ่ายนิติบัญญัติอันประกอบด้วยสภาคองเกรสนั้นเป็นเพียงตัวแทนของแต่ละเขต ในคณะที่พรรคฝ่ายค้านกล่าวหาแจ็กสันว่าใช้อำนาจบาตรใหญ่จนถึงขั้นจะตั้งตนเป็นกษัตริย์อย่างในยุโรป แจ็กสันพยายามลดทอนอำนาจของรัฐบาลกลางลง แต่ทว่าประธานาธิบดีแจ็กสันได้กระทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับแนวความคิดของตนที่ได้ประกาศไป ปีค.ศ. 1828 รัฐบาลกลางได้ออกรัฐบัญญัติภาษีศุลกากร (Tariff Act of 1828) หรือศุลกากรแห่งความเกลียดชัง (Tariff of Abominations) เป็นการเก็บภาษีศุลกากรจากการค้าขายระหว่างมลรัฐ ซึ่งทำให้ราคาของผลิตภัณฑ์จากขนสัตว์เช่นเสื้อผ้า และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเหล็กมีราคาสูงขึ้น ซึ่งประชาชนชาวมลรัฐทางใต้ได้รับผลกระทบมากที่สุดเนื่องจากจะต้องซื้อสินค้าเหล่านี้จากอุตสาหกรรมในมลรัฐทางเหนือ รัฐบาลรัฐเซาท์แคโรไลนาข่มขู่ว่าจะประกาศยกเลิกและไม่ยอมรับกฎหมายฉบับนี้ ต่อมาในปีค.ศ. 1832 รัฐบาลกลางได้ออกรัฐบัญญัติศุลกากรออกมาอีกฉบับหนึ่ง ซึ่งรัฐบาลรัฐเซาท์แคโรไลนาได้ประกาศไม่ยอมรับกฎหมายฉบับนี้ เรียกเหตุการณ์นี้ว่า (Nullification Crisis) เป็นการที่รัฐบาลท้องถิ่นไม่ยอมรับกฎหมายที่มาจากรัฐบาลกลาง ประธานาธิบดีแจ็กสันจึงตอบโต้โดยการออกรัฐบัญญัติว่าจะใช้กำลังทหารเข้าเก็บภาษี
ประธานาธิบดีแจ็กสันมีนโยบายขยายอาณาเขตเพื่อให้ประชาชนมีที่ดินในการประกอบเกษตรกรรมมากขึ้น ประกอบกับความเกลียดชังส่วนตัวของแจ็กสันที่มีต่อชาวอินเดียนแดงพื้นเมือง นำไปสู่นโยบายการขับชาวพื้นเมืองออกจากดินแดนดั้งเดิมของตนเพื่อให้คนขาวนำมาทำการเกษตร ในค.ศ. 1830 รัฐบาลแจ็กสันออกรัฐบัญญัติขับไล่อินเดียนแดง (Indian Removal Act) ให้ชาวอินเดียนแดงทั้งหมดห้าเผ่าในมลรัฐทางตอนใต้ออกจากถิ่นเดิมของตนแล้วไปตั้งรกรากใหม่ที่มลรัฐโอคลาโฮมา ชาวอินเดียนแดงได้ร้องเรียนต่อศาลฎีกาสูงสุดแห่งสหรัฐ ซึ่งศาลฎีกาตัดสินว่ารัฐบาลกลางไม่มีสิทธิอันชอบธรรมในการขับไล่ชาวอินเดียนแดง แม้กระนั้นประธานาธิบดีแจ็กสันก็ไม่สนใจคำตัดสินของศาลฎีกา ยังคงให้มีการขับชาวอินเดียนแดงออกจากพื้นที่ต่อไป จากความกดดันของรัฐบาลกลางและคนขาวชาวอินเดียนแดงทั้งห้าเผ่าออกเดินทางสู่โอกลาโฮมาในช่วงฤดูหนาวปีค.ศ. 1830-1835 ซึ่งชาวอินเดียนแดงส่วนใหญ่เสียชีวิตระหว่างการเดินทางเนื่องด้วยสภาพอากาศอันเลวร้าย เรียกการอพยพของอินเดียนแดงในครั้งนี้ว่า "เส้นทางแห่งน้ำตา" (Trail of Tears)
นโยบายที่สำคัญอีกประการของประธานาธิบดีแจ็กสันคือ การไม่ต่ออายุธนาคารแห่งชาติสหรัฐที่สอง (Second Bank of the United States) ซึ่งจะหมดอายุในค.ศ. 1836 แจ็กสันมองว่าธนาคารกลางมีอำนาจความคุมการเงินของประเทศเป็นการลิดรอนเสรีภาพทางเศรษฐกิจของประชาชน และเป็นสถาบันที่เอื้อประโยชน์แก่นายทุนชนชั้นกลางจำนวนเพียงหยิบมือ ซึ่งเมื่อไม่มีธนาคารกลางเศรษฐกิจของสหรัฐจึงปราศจากสถาบันควบคุมนำไปสู่ความตื่นตระหนกปีค.ศ. 1837 (Panic of 1837) ในสมัยของประธานาธิบดีคนต่อมาคือนายมาร์ติน แวน บิวเรน เศรษฐกิจที่ตกต่ำทำให้พรรคเดโมแครตมีความนิยมที่เสื่อมลงและเปิดโอกาสให้พรรควิกหาเสียงไปในทางที่ว่าประธานาธิบดีแจ็กสันเป็นเหตุของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้พรรควิกชนะการเลือกตั้งและได้ขึ้นครองประเทศในที่สุด
การปฏิวัติเท็กซัสและสงครามกับเม็กซิโก
กล่าวถึงประเทศเม็กซิโกซึ่งเคยเป็นอาณานิคมของสเปน ได้ทำสงครามประกาศเอกราชจากสเปนและจัดตั้งเป็น (Republic of Mexico) ในปีค.ศ. 1824 โดยมีลักษณะเป็นสมาพันธรัฐ (Federation) โดยแต่ละรัฐมีรัฐบาลเป็นของตนเองขึ้นแก่รัฐบาลกลาง รัฐเท็กซัสเป็นหนึ่งในนั้น โดยทางรัฐบาลรัฐเท็กซัสซึ่งขึ้นแก่เม็กซิโกได้ส่งเสริมเชื้อเชิญให้ชาวแองโกล-อเมริกัน (Anglo-American) หรือชาวอเมริกันทั่วไปจากมลรัฐทางใต้ของสหรัฐเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเท็กซัสเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจภายในรัฐ โดยที่ชาวอเมริกันได้นำทาสผิวดำชาวแอฟริกันมาด้วย แต่ทว่าในปีต่อมาค.ศ. 1825 ประธานาธิบดี (Antonio Lopez de Santa Anna) แห่งเม็กซิโกเปลี่ยนนโยบายให้เม็กซิโกเป็นรัฐเดี่ยวรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางยกเลิกรัฐบาลของแต่ละรัฐ สร้างความไม่พอใจแก่ชาวอเมริกันในเท็กซิสที่คุ้นชินกับการปกครองรัฐบาลท้องถิ่นมาแต่เดิม ที่สำคัญเม็กซิโกมีนโยบายเลิกทาส ชาวอเมริกันจึงก่อการกบฏเพื่อแยกตนเองเป็นเอกราชจากเม็กซิโกเรียกว่า (Texas Revolution) ในค.ศ. 1835 มีผู้นำคือนายพลแซม ฮิวสตัน (Sam Houston) ทัพฝ่ายเม็กซิโกเข้าทำลายล้างสังหารฝ่ายเท็กซัสในยุทธการอลาโม (Battle of the Alamo) แต่ฝ่ายเท็กซัสสามารถเอาชนะฝ่ายเม็กซิกันได้ในยุทธการซานฮาซินโต (Battle of San Jacinto) จนนำไปสู่การจัดตั้งสาธารณรัฐเท็กซัส (Republic of Texas) ขึ้นในค.ศ. 1836
แซม ฮิวสตัน เห็นว่าสาธารณรัฐเท็กซัสควรที่จะเข้ารวมกับสหรัฐแต่ทว่าถูกคัดค้านโดยรัฐบาลของประธานาธิบดีแวนบิวเรนด้วยเหตุผลที่ว่าการรับเท็กซัสเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าจะเข้ามาในฐานะรัฐมีทาส จะทำให้สมดุลของจำนวนระหว่างรัฐมีทาสและรัฐปลอดทาสเสียไป และอาจนำสหรัฐเข้าสู่สงครามกับเม็กซิโกได้ ฝ่ายเท็กซัสพยายามที่จะยื่นข้อเสนอที่จะเข้ารวมกับสหรัฐต่อมาอีกหลายครั้ง แต่ถูกละเลยโดยรัฐบาลพรรควิกในสมัยต่อมาเช่นเดิม ประชาชนชาวอเมริกันทางใต้นั้นต้องการที่จะให้เท็กซัสเข้ามาเป็นสมาชิกเพราะเป็นการเปิดโอกาสให้ชาวอเมริกันเข้าไปแสวงหาที่ดินทำกินเพิ่มเติม นายเจมส์ เค. โพล์ก (James K. Polk) แห่งพรรคเดโมแครตได้ใช้จุดนี้ในการหาเสียงโดยประกาศสนับสนุนการรวมเท็กซัสเข้ากับอเมริกา จนกระทั่งนายโพล์กสามารถชนะนายเฮนรีเคลย์แห่งพรรควิกในการเลือกตั้งค.ศ. 1845 ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนต่อมา สภาคองเกรสภายใต้ประธานาธิบดีโพล์กผ่านร่างเห็นชอบให้เท็กซัสเข้ามาเป็นมลรัฐใหม่ของสหรัฐในค.ศ. 1846 โดยเป็นมลรัฐที่มีทาส และให้ดินแดนโอเรกอน (Oregon Territory) อันเป็นดินแดนร่วมระหว่างสหรัฐกับบริเทน เข้ามาเป็นมลรัฐโอเรกอนเป็นรัฐปลอดทาสเพื่อความสมดุล โดยทำ (Oregon Treaty) แบ่งเขตแดนระหว่างสหรัฐกับแคนาดาของบริเทนที่เส้นขนาน 49 องศาเหนือ
แต่ทว่ามลรัฐเท็กซัสนั้นมีเขตแดนทับซ่อนกันกับสาธารณรัฐเม็กซิโก โดยที่ฝ่ายอเมริกานั้นอ้างดินแดนจนถึงแม่น้ำริโอแกรนด์ (Rio Grande) ในขณะที่ฝ่ายเม็กซิโกอ้างดินแดนเข้ามาจนถึงแม่น้ำนิวซ์ (Neuces River) ประธานาธิบดีโพล์กได้ส่งนายพลแซคารี เทย์เลอร์ (Zachary Taylor) เป็นผู้นำทัพอเมริกันเข้าไปในดินแดนพิพาท และส่งนาย (John C. Frémont) ไปยังแคลิฟอร์เนียเพื่อปลุกปั่นให้ชาวแคลิฟอร์เนียก่อกบฏต่อต้านรัฐบาลเม็กซิโก ในค.ศ. 1846 ทัพเม็กซิโกได้เข้าโจมตีทัพของอเมริกาในดินแดนข้อพิพาท ทางฝ่ายสภาคองเกรสจึงประกาศสงครามกับเม็กซิโก โดยทัพอเมริกาเข้าบุกยึดดินแดนที่ปัจจุบันคือภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐซึ่งในขณะนั้นเป็นของเม็กซิโกอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันทัพเรือแปซิฟิก (Pacific Squadron) ได้เข้าปิดล้อมเมืองท่าต่าง ๆ ของเม็กซิโกในแคลิฟอร์เนีย และนายพล (Winfield Scott) ได้ยกทัพลงใต้เข้าบุกยึดเมืองเม็กซิโกซิตี้ อัรเป็นเมืองหลวงของเม็กซิโกได้สำเร็จในค.ศ. 1847 เป็นเหตุให้เม็กซิโกยอมจำนนและทำ (Treaty of Guadelupe-Hidalgo) ในค.ศ. 1848 ยอมรับสถานะของมลรัฐเท็กซัส และยอมยกแคลิฟอร์เนียรวมทั้งดินแดนที่เป็นภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐในปัจจุบันให้แก่สหรัฐ
การตื่นทองแคลิฟอร์เนียและข้อตกลงค.ศ. 1850
ชัยชนะในสงครามกับเม็กซิโกและสนธิสัญญากวาเดอลูป-ฮิดัลโก ทำให้ความใฝ่ฝันของสหรัฐที่จะแผ่ขยายดินแดนจากฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกจรดมหาสมุทรแปซิฟิกเป็นความจริงขึ้นมา ชาวอเมริกันมีความเชื่อในเรื่อง "โชคชะตาเด่นชัด" (Manifest Destiny) ว่าคนผิวขาวมีหน้าที่ภารกิจในการนำความเจริญจากฝั่งตะวันออกไปสู่ฝั่งตะวันตกซึ่งก็คือฝั่งแปซิฟิกนั่นเอง โดยที่ความด้อยอารยธรรมของชนพื้นเมืองอินเดียนแดงจะต้องล่าถอยไป ซึ่งแนวความคิดนี้เป็นแรงผลักดันสำคัญในการแผ่ขยายดินแดนของสหรัฐในสมัยของรัฐบาลพรรคเดโมแครต ประกอบกับประโยชน์ทางเศรษฐกิจซึ่งชาวอเมริกันฝ่ายใต้มีโอกาสที่จะเข้าไปทำกินที่ดินใหม่ ๆ ที่มีมากขึ้นไม่สิ้นสุด ในขณะที่ชาวอเมริกันฝ่ายเหนือและนักการเมืองจากพรรควิกต่างคัดค้านนโยบายนี้เนื่องจากการแผ่ขยายดินแดนหมายถึงการแผ่ขยายของระบอบทาสในการเกษตรกรรม รวมทั้งคัดค้านการทำสงครามใด ๆ ที่นำไปสู่การขยายดินแดน
ปีค.ศ. 1848 มีการค้นพบเหมืองทองบริเวณแคลิฟอร์เนียและเทือกเขาเซียร์ราเนวาดา โดยที่ประธานาธิบดีโพล์กได้ยืนยันการค้นพบทองนี้ต่อสภาคองเกรส ส่งผลให้ในปีต่อมาค.ศ. 1849 ชาวอเมริกันจำนวนมากจากฝั่งตะวันออกต่างพากันหลั่งไหลไปสู่ฝั่งตะวันตกด้วยความหวังว่าจะได้ทองมาไว้ในครอบครอง เรียกว่า (California Gold Rush) และเรียกชาวอเมริกันที่อพยพมาในปีนั้นว่า "ชาวสี่สิบเก้า" (Forty-Niners) นอกจากชาวอเมริกันแล้ว ชาวฮิสแปนิก ชาวอินเดียนพื้นเมือง หรือแม้แต่ผู้อพยพจากเอเชียแปซิฟิกได้แก่ชาวจีน ชาวญี่ปุ่น และชาวออสเตรเลีย ต่างเข้ามาแข่งขันในการทำเหมืองแร่ทอง ประชากรในแคลิฟอร์เนียเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เมืองต่าง ๆ ได้แก่ ซานฟรานซิสโก ลอสแอนเจลิส ซานดิเอโก กลายเป็นเมืองใหญ่
เมื่อประชาชนชาวแคลิฟอร์เนียยื่นร่างเสนอให้จัดตั้งแคลิฟอร์เนียเป็นมลรัฐ ปัญหาจึงเกิดขึ้น เมื่อชาวแคลิฟอร์เนียต้องการให้รัฐของตนเองเป็นรัฐปลอดทาส แต่เป็นเพราะแคลิฟอร์เนียมีอาณาเขตคาบเกี่ยวเส้นขนานข้อตกลง นักการเมืองพรรคเดโมแครตฝ่ายใต้ต้องการที่จะแบ่งแคลิฟอร์เนียเป็นสองส่วน ส่วนที่อยู่ใต้ต่อเส้นขนานนั้นเป็นรัฐมีทาส ในขณะเดียวกันนั้นมลรัฐเท็กซัสซึ่งเป็นรัฐมีทาสได้อ้างเขตแดนถึงแม่น้ำริโอแกรนด์ ซึ่งทับซ้อนกับดินแดนนิวเม็กซิโก (New Mexico Territory) ซึ่งชาวนิวเม็กซิโกปรารถนาจะเป็นเขตปลอดทาส จึงเกิดการประนีประนอมระหว่างฝ่ายนิยมทาสและฝ่ายที่ต่อต้านระบอบทาส โดยวุฒิสมาชิก (Stephen Douglas) แห่งพรรคเดโมแครต และวุฒิสมาชิกเฮนรี เคลย์ แห่งพรรควิก ได้สร้างข้อตกลงร่วมกัน โดยให้แคลิฟอร์เนียเป็นรัฐใหม่ปลอดทาสโดยไม่มีการแบ่งแยก รัฐเท็กซัสสละการอ้างเขตแดน แต่นิวเม็กซิโกจะยังไม่มีสถานะเป็นมลรัฐ และได้ออก (Fugitive Slave Act) ให้ตำรวจสามารถเข้าจับกุมชาวแอฟริกันอเมริกันผิวดำได้ทุกคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นทาสหลบหนี ข้อตกลงทั้งหลายนี้รวมกันเรียกว่า (Compromise of 1850) ซึ่งเป็นการพบกันครึ่งทางระหว่างสองฝ่ายและยับยั้งความรุนแรงไปได้อีกสิบปี
สงครามกลางเมือง (ค.ศ. 1861 ถึง ค.ศ. 1865)
การขยายดินแดนตลอดช่วงคริสต์ศตวรรษที่สิบเก้าทำให้สหรัฐมีดินแดนเพิ่มขึ้นอย่างมากสำหรับการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งทาสชาวแอฟริกันอเมริกันนั้นมีบทบาทอย่างมากในฐานะเป็นแรงงานหลักในการเกษตรภายใต้การควบคุมดูแลของเจ้านายผิวขาว นโยบายของรัฐบาลพรรคเดโมเครตซึ่งกุมอำนาจอยู่ในช่วงเวลานั้นสนับสนุนการกสิกรรมและการขยายดินแดน ซึ่งหมายถึงการสนับสนุนระบอบทาสซึ่งเป็นระบอบสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐอยู่รอด อย่างไรก็๋ตามในขณะที่มลรัฐทางตอนใต้ของสหรัฐมีเศรษฐกิจหลักเป็นการเกษตรซึ่งต้องใช้แรงงานทาสผิวดำเป็นสำคัญ แต่ในมลรัฐทางตะวันออกเฉียงเหนือนั้นมีเศรษฐกิจหลักเป็นอุตสาหกรรมไม่ต้องพึ่งพิงแรงงานทาส และรัฐเหล่านั้นก็มีนโยบายต่อต้านระบอบทาส จึงการความแตกแยกครั้งใหม่ขึ้นในหมู่คนอเมริกัน นั่นคือการแบ่งแยกระหว่างฝ่ายเหนือซึ่งคัดค้านระบอบทาส และฝ่ายใต้ซึ่งให้การสนับสนุนระบอบทาส
รัฐบาลกลางและประธานาธิบดีหลายสมัยได้พยายามที่จะประสานรอยร้าวระหว่างสองฝ่ายโดยการประนีประนอม ยกตัวอย่างเช่นข้อยุติ ค.ศ. 1850 ซึ่งให้แคลิฟอร์เนียเป็นรัฐปลอดทาสแต่บังคับให้มลรัฐฝ่ายเหนือส่งตัวทาสที่หลบหนีกลับไปหาเจ้านายเดิมที่ฝ่ายใต้ตามกฎหมายทาสหนี (Fugitive Slave Act) ซึ่งข้อยุติและการประนีประนอมเหล่านี้ไม่สร้างความพึงพอใจแก่ฝ่ายใด ในค.ศ. 1854 (Kansas-Nebraska Act) จัดสั้งสองมลรัฐใหม่ โดยให้ประชาชนในรัฐนั้นออกเสียงข้างมากเพื่อเลือกว่ารัฐนั้นจะมีทาสหรือไม่ ผลคือชาวอเมริกันจากทั้งฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้พากันแห่แหนเข้าไปตั้งรกรากในพื้นที่รัฐใหม่ เพื่อลงมติให้รัฐทั้งสองนั้นมีหรือไม่มีทาสตามแต่ฝ่ายตน จนกระทั่งเกิดการกระทบกระทั่งกันระหว่างสองฝ่ายที่มลรัฐแคนซัสเรียกว่า (Bleeding Kansas)
ในขณะเดียวกันทางฝ่ายเหนือ แนวความคิดการเลิกทาส (Abolitionism) ได้รับความนิยมขึ้นเรื่อย ๆ มีวรรณกรรมเกี่ยวกับการเลิกทาสที่เป็นที่รูจักคือ กระท่อมน้อยของลุงทอม (Uncle Tom's Cabin) ใน ค.ศ. 1857 (Dread Scott v. Sandford) ศาลฎีกาสูงสุดได้ตัดสินให้นายเดรตสกอตชาวแอฟริกันอเมริกันคงสภาพความเป็นทาสเนื่องจาก "ชาวแอฟริกันอเมริกันไม่จัดเป็นพลเมืองของสหรัฐ จึงไม่มีสิทธิเสรีภาพตามที่ได้ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ" สร้างความไม่พอใจแก่ชาวเหนือเป็นอย่างมาก ใน ค.ศ. 1854 สมาชิกพรรควิกที่มีแนวคิดเลิกทาสได้รวมตัวกันจัดตั้งพรรครีพับบลิกัน (Republican Party) ขึ้น และส่งตัวแทนคือ อับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln) เข้ารับการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีใน ค.ศ. 1860 ซึ่งลินคอล์นได้รับเสียงท้วมท้นจากรัฐทางเหนือและเนื่องจากรัฐทางเหนือมีประชากรมากกว่าลินคอล์นจึงมีคะแนนเสียงชนะคู่แข่งจากพรรคเดโมเครต แม้ว่าลินคอล์นจะไม่มีเสียงข้างมากในมลรัฐทางใต้เลยก็ตาม สร้างความไม่พอใจแต่มลรัฐทางตอนใต้เป็นอย่างยึ่ง รัฐใต้ทั้งเจ็ดได้แก่ เซาท์แคโรไลนา มิสซิสซิปปี ฟลอริดา แอละแบมา จอร์เจีย ลุยเซียนา และเท็กซัส ประกาศแยกตัวออกมาจากสหรัฐใน ค.ศ. 1861 และจัดตั้งสมาพันธรัฐอเมริกา (Confederate States of America) แม้ว่าประธานาธิบดีลินคอล์นจะประกาศว่าจะไม่ส่งทัพเข้าปราบฝ่ายสมาพันธรัฐฯ แต่ฝ่ายสมาพันธรัฐฯได้รวบรวมกำลังพลและเข้ายึดป้อมปราการต่าง ๆ เพื่อเตรียมตัวรับมือกับทัพฝ่ายเหนือที่อาจรุกรานเข้ามา โดยเข้ายึดป้อมซัมเทอร์ (Fort Sumter) ใน ค.ศ. 1861 เป็นเหตุให้ลินคอล์นตัดสินใจประกาศสงครามกับสมาพันธรัฐฯและมีคำสั่งให้ทุกรัฐส่งทัพเข้าช่วยเหลือรัฐบาลกลางในการต่อสู้กับสมาพันธรัฐฯ ทำให้รัฐใต้อีกสี่รัฐได้แก่ เวอร์จิเนีย อาร์คันซอ เทนเนสซี และนอร์ทแคโรไลนา ประกาศถอนตัวจากรัฐบาลสหรัฐฯและเข้าร่วมกับสมาพันธรัฐอเมริกา จัดตั้งเมืองริชมอนด์ (Richmond) รัฐเวอร์จิเนียขึ้นเป็นนครหลวงของสมาพันธรัฐฯ โดยมีนายเจฟเฟอร์สัน เดวิส (Jefferson Davis) เป็นประธานาธิบดี
ฝ่ายสหรัฐฯทางเหนือใช้ยุทธวิธีต่าง ๆ เพื่อพิชิตสมาพันธรัฐฝ่ายใต้ได้แก่ นายพลวินฟิลด์ สก็อต ได้นำกองทัพเรือเข้าปิดล้อมเมืองต่าง ๆ ทั้งหมดของรัฐทางใต้ เรียกว่า การปิดล้อมของสหรัฐฯ (Union Blockade) ทำให้ฝ่ายใต้ไม่สามารถส่งออกสินค้าเกษตรกรรมไปยังยุโรปอันเป็นรายได้สำคัญของฝ่ายใต้ เศรษฐกิจแบบเกษตรกรรมของฝ่ายใต้จึงถูกทำลายลง ประธานาธิบดีส่งนายพลยูลิสซิส เอส. แกรนท์ (Ulysees S. Grant) และ (William Tecumseh Sherman) ยกทัพเข้ารุกรานสมาพันธรัฐทางตะวันตกบริเวณลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปี เข้ายึดเมืองต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว แต่ในทางตะวันออกนั้นฝ่ายสมาพันธรัฐนำโดยนายพลโรเบิร์ต อี. ลี (Robert E. Lee) สามารถป้องกันเมืองริชมอนด์นครหลวงและเอาชนะทัพฝ่ายเหนือได้ในยุทธการแอนตีแทม (Battle of Antietam) ค.ศ. 1861 ประธานาธิบดีลินคอล์นสรรหาขุนพลจำนวนมากมาเพื่อนำทัพตะวันออกเข้าโจมตียึดเมืองริชมอนด์แต่ล้วนพ่ายแพ้ต่อนายพลลี จนกระทั่ง ค.ศ. 1863 ในยุทธการเกตตีสเบิร์ก (Battle of Gettysburg) ทัพของฝ่ายเหนือสามารถเอาชนะทัพของนายพลลีฝ่ายใต้ได้ ซึ่งประธานาธิบดีลินคอล์นได้กล่าว (Gettysburg Address) ไว้ว่า "...การปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน จะไม่สูญสิ้นไปจากโลกนี้" ("...and that government of the people, by the people, for the people, shall not perish from the earth.") ใน ค.ศ. 1864 เมื่อฝั่งตะวันตกเรียบร้อยดีแล้ว ลินคอล์นจึงย้ายนายพลแกรนท์มาบังคับบัญชาทัพฝั่งตะวันออก นายพลแกรนท์และนายพลลี ขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกันในยุทธการโอลด์เชิร์ช (Battle of Old Church) ซึ่งนายพลแกรนท์สามารถเอาชนะนายพลลีและทัพฝ่ายใต้ได้ และในปีเดียวกันนั้นายพลเชอร์แมนยกทัพบุกเข้ายึดเมืองแอตแลนตาได้สำเร็จในยุทธการแอตแลนตา ซึ่งเป็นยุทธการที่ทำให้ลินคอล์นได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นและได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกสมัยในปี ค.ศ. 1864
นายพลลีประกาศยอมแพ้สงครามในที่สุดในเดือนเมษายน ค.ศ. 1865 ถัดมาจากนั้นอีกห้าวันประธานาธิบดีลินคอล์นถูกลอบสังหารที่วอชิงตัน ดี.ซี. รองประธานาธิบดีแอนดรูว์ จอห์นสันจากพรรคเดโมเครตจึงขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแทน ขุนพลฝ่ายใต้คนอื่น ๆ ค่อย ๆ ทยอยประกาศยอมจำนน จนกระทั่งประธานาธิบดีจอห์นสันประกาศยุติสงครามอย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 1866
สมัยแห่งการฟื้นฟู สมัยแห่งความก้าวหน้า และการแผ่ขยายอาณานิคม (ค.ศ. 1865 ถึง ค.ศ. 1918)
สมัยแห่งการฟื้นฟู (ค.ศ. 1865 - ค.ศ. 1877)
หลังสิ้นสุดสงครามกลางเมือง รัฐบาลสหรัฐฯมีความพยายามที่จะฟื้นฟูประเทศจากภาวะสงคราม และนำรัฐทางใต้กลับเข้ามารวมกันเป็นสหรัฐสามัคคีกลมเกลียวกันดังเดิม เรียกว่า สมัยแห่งการฟื้นฟู (Reconstruction Era) นโยบายที่สำคัญของรัฐบาลในสมัยแห่งการฟื้นฟูคือ การฟื้นฟูทางเศรษฐกิจของรัฐฝ่ายใต้ซึ่งได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงในช่วงสงคราม การให้สิทธิเสรีภาพแก่ชาวแอฟริกันอเมริกันในฐานะพลเมืองอเมริกันที่เท่าเที่ยมกับคนผิวขาว และการกดขี่ปราบปรามพรรคเดโมแครตฝ่ายใต้และผู้ฝักใฝ่สมาพันธรัฐที่เหลืออยู่
ประธานาธิบดีจอห์นสันซึ่งขึ้นดำรงตำแหน่งหลังจากการลอบสังหารประธานาธิบดีลินคอล์นนั้นมาจากพรรคเดโมแครต มีแนวความคิดที่เป็นกลางนั่นคือ รัฐต่าง ๆ ทางใต้นั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะแยกตัวออกไปจัดตั้งสมาพันธรัฐฯ ดังนั้นสมาพันธรัฐฯจึงเป็นรัฐที่ไม่ถูกต้องและไม่ได้รับการรับรองแต่เริ่มแรก รัฐบาลของนายจอห์นสันมีคำสั่งให้รัฐใต้เริ่มจัดตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่และกลับเข้าร่วมกับสหรัฐให้เร็วที่สุด แต่ปรากฏว่ารัฐทางใต้ทั้งหลายยังคงระบุกฎหมายที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของคนผิวดำไว้ในธรรมนูญของรัฐตน เรียกว่า กฎหมายคนผิวดำ (Black Codes) ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างมากให้แก่บรรดาสมาชิกพรรครีพับบลิกันหัวรุนแรง (Radical Republicans) ซึ่งมีเสียงข้างมากในสภาคองเกรสขณะนั้น ปฏิเสธที่จะให้ผู้แทนจากรัฐใต้กลับเข้าร่วมสภาคองเกรส และใน ค.ศ. 1866 เมื่อสภาคองเกรสพิจารณาร่างกฎหมายเพื่อมอบสิทธิเสรีภาพให้แก่ชาวแอฟริกันอเมริกันในฐานะพลเมืองอเมริกันทัดเทียมกับคนผิวขาว ประธานาธิบดีจอห์นสันซึ่งไม่เป็นด้วยกับการให้สิทธิพลเมืองแก่คนผิวดำได้ใช้สิทธิของฝ่ายบริหารยับยั้งร่างรัฐบัญญัตินี้ แต่ทว่าสภาคองเกรสที่ประกอบไปด้วยพรรครีพับบลีกันได้ทำการข้าม (override) การยับยั้งของประธานาธิบดีจอห์นสันและผ่านร่างกฎหมายออกมาเป็น (Fourteenth Amendment) ใน ค.ศ. 1868 ให้สิทธิเสรีภาพแก่ชาวผิวดำเป็นพลเมืองอเมริกันอย่างเป็นทางการ และมีการบังคับให้รัฐทางใต้ยอมรับบทบัญญัติข้อนี้เข้าไปในธรรมนูญมิฉะนั้นจะไม่รับกลับเข้าร่วมสหรัฐฯ ค.ศ. 1867 สภาคองเกรสออกรัฐบัญญัติฟื้นฟู (Reconstruction Act) โดยแบ่งมลรัฐทางใต้ออกเป็นห้าเขตทหาร (Five Military Districts) โดยให้รัฐบาลส่งกองทัพเข้าประจำพื้นที่ทางใต้เพื่อควบคุมดูแลมิให้เกิดการต่อต้านนโยบายของรัฐบาลหรือความรุนแรงต่อคนผิวดำ และเพื่อกำจัดอำนาจของพรรคเดโมเครตในรัฐทางใต้
การเลือกตั้งในค.ศ. 1869 นายพลยูลิสซิส เอส. แกรนท์ วีรบุรุษสงครามกลางเมืองชนะการเลือกตั้งในนามของพรรครีพับบลิกันและเป็นตัวแทนของฝ่ายรีพับบลีกันหัวรุนแรง ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี ในปีเดียวกันนั้นประธานาธิบดีแกรนท์ส่งกองทัพไปทำการปราบปราม (Ku Klux Klan) อันเป็นองค์กรก่อการร้ายใต้ดินที่มีเป้าหมายก่อความรุนแรงและสังหารคนผิวดำและนักการเมืองรีพับบลีกัน ในสมัยของประธานาธิบดีแกรนท์ชาวผิวดำอเมริกันมีสิทธิเสรีภาพรุ่งเรืองอย่างมาก มีการส่งเสริมให้ชาวผิวดำเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองและมีคนผิวดำเป็นผู้ว่ามลรัฐและเป็นผู้แทนในสภาคองเกรสเป็นครั้งแรก
อย่างไรก็ตามวิกฤตเศรษฐกิจใน ค.ศ. 1873 ทำให้รัฐบาลต้องหันความสนใจจากเรื่องคนผิวดำมาที่เรื่องเศรษฐกิจ การเลือกตั้งใน ค.ศ. 1877 มีผลการเลือกตั้งที่ไม่ชัดเจน จึงเกิดการเจรจาขึ้นระหว่างทั้งสองพรรคการเมืองคือ พรรครีพับบลิกันและพรรคเดโมแครต โดยฝ่ายเดโมแครตยินยอมให้ตัวแทนจากพรรครีพับบลิกันคือ รัทเทอร์ฟอร์ด บี. เฮส์ (Rutherford B. Hayes) ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่มีข้อและเปลี่ยนว่ารัฐบาลกลางจะต้องถอนทหารทั้งหมดออกจากรัฐทางใต้ เมื่อปราศจากกำลังความคุมจากฝ่ายรีพับบลีกันทำให้พรรคเดโมแครตกลับขึ้นมามีอำนาจอีกครั้งในทางตอนใต้ เป็นการสิ้นสุดสมัยแห่งการฟื้นฟู รัฐบาลระดับมลรัฐต่าง ๆ ทางตอนใต้ได้ออกกฎหมายริดรอนสิทธิของชาวแอฟริกันอีกครั้งหนึ่งเรียกว่า (Jim Crow Laws) โดยมีการแบ่งแยก (segregation) คนผิวขาวและคนผิวดำออกจากกันในด้านสาธารณูปโภคสาธารณะและหน้าที่การงาน ภายใต้นโยบาย"แบ่งแยกอย่างเท่าเทียม" ("Seperate but equal") ในทางปฏิบัติคนผิวดำในทางตอนใต้ตกเป็นพลเมืองชั้นสอง มีคุณภาพชีวิตที่ด้อยกว่าคนผิวขาวและถูกกีดกัดจากการปกครอง
สมัยแห่งความก้าวหน้า (ค.ศ. 1877 - ค.ศ. 1933)
สมัยแห่งความก้าวหน้า (Progressive Era) เป็นสมัยที่สหรัฐมีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้นในสหรัฐ แต่เป็นสมัยที่มีปัญหาทางสังคมสูง สมัยนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สมัยแห่งทองคำเปลว (Gilded Age) ตามวรรณกรรมของมาร์ค ทเวน (Mark Twain) เรื่อง The Gilded Age: A Tale of Today. ซึ่งเปรียบความเจริญก้าวหน้าของสหรัฐในสมัยนั้นว่าเสมือนเป็นทองคำเปลวฉาบหน้าซ่อนเร้นปัญหาความเสื่อมโทรมไว้ภายใน
การปฏิวัติอุตสาหกรรมและสหภาพแรงงาน
ในสมัยแห่งความก้าวหน้าสหรัฐเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันตกเกิดอุตสาหกรรมหนักต่าง ๆ ขึ้น เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้างทางรถไฟ อุตสาหกรมถลุงแร่เหล็ก อุตสาหกรรมเหมือนถ่านหิน ฯลฯ มีการนำเครื่องจักรทันสมัยมาให้ในการผลิตทำให้ปริมาณการผลิตของอุตสาหกรรมของอเมริกาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งสหรัฐกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมอันดับหนึ่งของโลก เมืองอุตสาหกรรมต่าง ๆ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วได้แก่ ชิคาโก คลีฟแลนด์ และพิตต์สเบิร์ก โดยมีผู้อพยพจากยุโรปและคนผิวดำจากรัฐใต้เข้ามาเป็นแรงงานหลัก มีการสร้าง (First Continental Railroad) เสร็จสิ้นเปิดให้บริการใน ค.ศ. 1869 จากมิสซูรีจนถึงซานฟรานซิสโก และรัฐบาลยังให้สัมปทานบริษัทอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อสร้างทางรถไฟเพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อขนส่งระหว่างสองฟากทวีปอเมริกา เกิดบริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่มีมูลค่ามากซึ่งดำรงอยู่มาจนถึงปัจจุบันได้แก่ บริษัทยูเอสสตีล (U.S. Steel) บริษัทเจอเนอรัลอิเล็กทริค (General Electric) ก่อตั้งโดย โธมัส เอดิสัน (Thomas Edison) บริษัทสแตนดาร์ดออยล์ (Standard Oil Company) ก่อตั้งโดยนายจอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์ (John D. Rockefeller) ทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าเกิดการค้นพบใหม่ ๆ เช่น โธมัส เอดิสัน ประดิษฐ์หลอดไฟ ซามูเอล เอฟ. บี. มอร์ส (Samuel Morse) คิดค้นโทรเลข อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ (Alexander Graham Bell) ประดิษฐ์โทรศัพท์ พี่น้องไรต์ (Wright Brothers) ประดิษฐ์เครื่องบิน ฯลฯ
อย่างไรก็ตามความรุ่งเรืองของอุตสาหกรรมนำมาซึ่งปัญหาแรงงาน บรรดาแรงงานซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพต่างเรียกร้องต่อรัฐบาลให้ปรับปรุงสภาพการทำงานและความเป็นอยู่ โดยการเรียกร้องค่าแรงขึ้นต่ำและจำกัดเวลาในการทำงานต่อวันไม่เกิดแปดชั่วโมง ซึ่งแรงงานเหล่านั้นได้รวมตัวกันเป็นสหภาพแรงงาน (Labor unions) ในสมัยแห่งความก้าวหน้าเกิดการประท้วงของแรงงานขึ้นหลายครั้ง ครั้งแรกใน ค.ศ. 1877 เกิดการประท้วงเส้นทางรถไฟครั้งใหญ่ (Great Railroad Strike) ต่อมาในปี ค.ศ. 1886 เกิดการประท้วงเส้นทางรถไฟตะวันตกเฉียงใต้ครั้งใหญ่ (Great Southwest Railroad Strike) และเหตุการณ์จลาจลเฮย์มาร์เกตสแควร์ (Haymarket Square Riot) ที่เมืองชิคาโก และใน ค.ศ. 1894 เกิดการประท้วงรถโดยสาร (Pullman Strike) ปัญหาแรงงานยังทำให้เกิดกระแสแนวความคิดสังคมนิยม (Socialism) ขึ้นในสหรัฐ มีการจัดตั้งพรรคสังคมนิยมแห่งอเมริกามีผู้นำคนสำคัญคือ (Eugene V. Debs) ซึ่งรัฐบาลทุกสมัยได้พยายามปราบปรามการประท้วงของแรงงานและพรรคสังคมนิยมอย่างหนัก
การเมืองในสมัยแห่งความก้าวหน้า
ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตั้งแต่สงครามกลางเมืองจนถึงสมัยแห่งการฟื้นฟู ทำให้เกิดระบบพรรคการเมืองที่สี่ (Fourth Party System) ขึ้น ประกอบด้วยพรรครีพับบลิกันซึ่งมีฐานเสียงส่วนใหญ่อยู่ในรัฐทางเหนือและตะวันตก และพรรคเดโมแครตซึ่งมีฐานเสียงอยู่ในมลรัฐทางใต้ โดยเฉพาะรัฐทางใต้ได้รวมตัวกันต่อต้านรัฐบาลรีพับบลิกันซึ่งครองทั้งตำแหน่งประธานาธิบดีและเสียงข้างมากในสภาคองเกรสเกือบจะตลอดสมัยแห่งความก้าวหน้า เรียกว่า "ใต้เข้มแข็ง" ("Solid South")
สมัยแห่งความก้าวหน้าได้ชื่อว่าเป็นสมัยที่มีความทุจริตฉ้อฉลมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ บรรดาพรรคการเมืองต่างสร้างคะแนนเสียงของตนผ่านระบบซื้อสิทธิ์ขายเสียง (Clientelism) และได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอิทธิพลตามเมืองใหญ่เช่นนิวยอร์ก ชิคาโก ประชาชนชั้นล่างโดยเฉพาะผู้อพยพมักจะขอความช่วยเหลือจากผู้มีอิทธิพลเหล่านั้นในด้านการหางานหรือชีวิตความเป็นอยู่ ซึ่งประชาชนเหล่านั้นจะตอบแทนผู้มีอิทธิพลด้วยการลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่พรรคที่ช่วยเหลือตน ระบบเช่นนี้เรียกว่า "เครื่องจักรทางการเมือง" (Political Machine) ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคการเมืองในสมัยแห่งความก้าวหน้า เครื่องจักรทางการเมืองที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ แทมมานีฮอล์ (Tammany Hall) ในเมืองนิวยอร์ก ดำเนินการโดยนายวิลเลียม เอ็ม. ทวีด (William M. Tweed) ผู้ทรงอิทธิพลประจำเมือง นอกจากนี้นโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลกลางยังเอื้อต่อผลประโยชน์ของผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น
การแผ่ขยายอาณานิคม
ในสมัยแห่งความก้าวหน้ารัฐบาลพรรครีพับบลิกันได้พยายามที่จะแผ่อิทธิพลเข้าไปในลาตินอเมริกาโดยเฉพาะหมู่เกาะแคริบเบียนซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของสหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาณานิคมที่ยังคงหลงเหลืออยู่ของจักรวรรดิสเปนซึ่งกำลังเสื่อมอำนาจลง รัฐบาลสหรัฐให้การสนับสนุนคิวบาในการเคลื่อนไหวเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชจากสเปน โดยสื่อมวลชนในสหรัฐฯเองนั้นได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลให้ใช้การโฆษณาชวนเชื่อ (yellow journalism) ให้ชาวอเมริกันเห็นการปกครองที่กดขี่ทารุณของสเปนในคิวบาซึ่งเป็นเรื่องราวที่ถูกปั้นแต่งขึ้น เพื่อเรียกเสียงสนับสนุนในการทำสงครามเพื่อขยายอาณาเขต ใน ค.ศ. 1898 หลังจากที่คิวบาได้จัดตั้งรัฐบาลปกครองตนเอง ประธานาธิบดีวิลเลียม แมกคินลีย์ส่งเรือรบชื่อว่ายูเอสเอส เมน (USS Maine) ไปยังเมืองฮาวานาโดยอ้างว่าเพื่อปกป้องชาวอเมริกันในคิวบา ปรากฏว่าเรือยูเอสเอส เมนถูกระเบิดโจมตีและจมลง รัฐบาลสหรัฐเข้าใจว่าเป็นการประทำของสเปนและยื่นคำขาดให้สเปนให้เอกราชแก่คิวบา ทางการสเปนจึงประกาศสงครามกับสหรัฐในที่สุดเกิดเป็น (Spanish-American War)ซึ่งนอกจากคิวบาแล้วทัพเรือสหรัฐฯยังเข้าโจมตีอาณานิคมอื่น ๆ ของสเปนได้แก่ เปอร์โตริโก ไปจนถึงเกาะกวมและฟิลิปปินส์ (George Dewey) นำทัพเรือสหรัฐฯเอาชนะทัพเรือสเปนในยุทธการอ่าวมะนิลา (Battle of Manila Bay) ในฟิลิปปินส์
สนธิสัญญาปารีสยุติสงครามสเปน-อเมริกา โดยสเปนสละคิวบาให้เป็นรัฐอารักขา (Protectorate) ของสหรัฐ และสละเปอร์โตริโก เกาะกวม และฟิลิปปินส์ให้เป็นอาณานิคมของสหรัฐฯเช่นกัน แต่ทว่ารัฐบาลของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Philippine Republic) ต้องการเอกราชโดยสมบูรณ์ไม่ขึ้นแก่รัฐบาลอเมริกา จึงนำไปสู่ (Philippine-American War) ใน ค.ศ. 1899
ศตวรรษที่ 20
ยุคก้าวหน้า
บทความหลัก: Progressive Era
ความไม่พอใจในส่วนของชนชั้นกลางที่กำลังเพิ่มขึ้นด้วยการทุจริตและความไร้ประสิทธิภาพ ของการเมืองตามปกติ, และความล้มเหลวในการจัดการกับปัญหาของเมืองและอุตสาหกรรมที่สำคัญมากขึ้น, นำไปสู่การเคลื่อนไหวที่ก้าวหน้าแบบไดนามิก ที่เริ่มต้นในยุค 1890s. ในทุกเมืองใหญ่และทุกรัฐ, และในระดับชาติก็เช่นกัน, และในการศึกษา, การแพทย์และอุตสาหกรรม ความก้าวหน้าเรียกหาความทันสมัยและการปฏิรูปสถาบันที่เสื่อม, กำจัดการทุจริตในการเมือง, และการแนะนำของประสิทธิภาพเพิ่อเป็นเกณฑ์สำหรับการเปลี่ยนแปลง. นักการเมืองชั้นนำจาก ทั้งสองฝ่าย, ที่สะดุดตาที่สุดคือ ธีโอดอร์ โรสเวลต์, ชาร์ลส์ อีแวนส์ ฮิวจ์, โรเบิร์ต La Follette ในด้านรีพับลิกันและวิลเลียม เจนนิงส์, ไบรอัน และ วูดโรว์ วิลสัน, ในด้านเดโมแครตเริ่มลงมือกับสาเหตุของการปฏิรูปเพื่อความก้าวหน้า. ผู้หญิงได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ความต้องการสำหรับสิทธืในการลงคะแนนเสียงของผู้หญิง, การห้ามเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และโรงเรียนที่ดีกว่า, ผู้นำที่โดดเด่นที่สุดของพวกเขาคือ เจน Addams แห่งชิคาโก. ความก้าวหน้าได้นำกฎหมายต่อต้านการผูกขาด(อังกฤษ: anti-trust laws)มาใช้, และการกำกับดูแลอุตสาหกรรมเช่น การบรรจุเนื้อ, ยา, และทางรถไฟ. การแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่สี่ครั้ง - ครั้งที่สิบหกถึงสิบเก้า - เป็นผลมาจากการเคลื่อนไหวที่ก้าวหน้า, นำภาษีรายได้ของรัฐบาลกลาง, การเลือกตั้งวุฒิสมาชิกโดยตรง, การห้ามเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสิทธิการออกเสียงของสตรี การเคลื่อนไหวเพื่อก้าวหน้ามีอยู่ตลอดปี 1920s; ระยะเวลาที่มีกิจกรรมมากที่สุด คือ 1900-1918.
จักรวรรดินิยม
ข้อมูลเพิ่มเติม: American imperialism
สหรัฐกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและการทหารของโลกหลังจากปี 1890. บทหลักคือสงครามสเปน-สหรัฐ, ซึ่งเริ่มเมื่อสเปนปฏิเสธข้อเรียกร้องของชาวอเมริกันที่จะปฏิรูปนโยบายกดขี่ในคิวบา. "สงครามเล็ก ๆ ที่ยอดเยี่ยม", อย่างที่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเรียกมัน, เกี่ยวข้องกับชุดของชัยชนะของอเมริกันอย่างรวดเร็วทางบกและทางในทะเล. ที่ สนธิสัญญาการประชุมสันติภาพปารีส (อังกฤษ: Treaty of Paris peace conference) สหรัฐครอบครองฟิลิปปินส์, เปอร์โตริโกและกวม.
คิวบากลายเป็นประเทศอิสระภายใต้การคุ้มครองอย่างใกล้ชิดของอเมริกัน. แม้ว่าสงครามที่ตัวมันเองได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย, ในความหมายของสันติภาพได้รับการพิสูจน์ว่าขัดแย้ง. วิลเลียม เจนนิงส์ ไบรอัน นำพรรคเดโมครรตของเขาในการค้ดค้านการควบคุมฟิลิปปินส์, ซึ่งเขาประณามว่าเป็นจักรวรรดินิยม ไม่เหมาะสมกับประชาธิปไตยอเมริกัน. ประธานาธิบดีวิลเลียม แมคคินลีย์ ปกป้องการเข้าครอบครองและภาคภูมิใจที่ประเทศกลับมาสู่ความมั่งคั่ง และรู้สึกถึงชัยชนะในสงคราม. แมคคินลีย์พ่ายแพ้อย่างง่ายดายต่อไบรอันในการแข่งขันอีกครั้งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี ค.ศ. 1900
หลังจากที่เอาชนะกบฏโดยชาวฟิลิปปินส์ผู้รักชาติ, สหรัฐมีส่วนร่วมในโปรแกรมขนาดใหญ่ที่จะปฏิรูปเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์และอัพเกรดสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสาธารณสุขอย่างรวดเร็ว. ในปี 1908, อย่างไรก็ตาม, ชาวอเมริกันหมดความสนใจในอาณาจักรและหันความสนใจด้านต่างประเทศของพวกเขาไปยังแคริบเบียน, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างคลองปานามา ในปี ค.ศ. 1912 เมื่อรัฐแอริโซนากลายเป็นรัฐในแผ่นดินใหญ่รัฐสุดท้าย, ชายแดนอเมริกันมาถึงจุดสิ้นสุด. คลองเปิดในปี ค.ศ. 1914 และเพิ่มการค้ากับประเทศญี่ปุ่นและส่วนที่เหลือของตะวันออกไกล. นวัตกรรมที่สำคัญคือ นโยบายเปิดประตู (อังกฤษ: open door policy) ในที่ซึ่ง อำนาจของจักรพรรดิได้รับการเข้าถึงที่เท่าเทียมกันกับธุรกิจของจีน, ที่ไม่มีคนหนึ่งคนใดของพวกเขาได้รับอนุญาตให้ควบคุมจีน.
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
บทความหลัก : และ
ขณะที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งโหมกระหน่ำในยุโรปจากปี 1914, ประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน เข้าควบคุมเต็มรูปแบบในนโยบายต่างประเทศ, ประกาศความเป็นกลางแต่เตือนเยอรมนีว่า การเริ่มต้นใหม่ของสงครามเรือดำน้ำที่ไม่จำกัดต่อเรืออเมริกันที่กำลังส่งสินค้าไปยังประเทศพันธมิตร จะหมายถึงสงคราม. เยอรมนีตัดสินใจที่จะเสี่ยงและพยายามที่จะชนะโดยการตัด เสบียงไปอังกฤษ; สหรัฐประกาศสงครามในเดือนเมษายน ค.ศ. 1917 เงิน, อาหาร, และอาวุธอเมริกันมาถึงได้อย่างรวดเร็ว, แต่กองทัพต้องได้รับการเกณฑ์ทหารและการฝึกอบรม; ในฤดูร้อนปี 1918 ทหารอเมริกันภายใต้ นายพล จอห์น เจ Pershing มาถึงในอัตรา 10,000 ต่อวัน ในขณะที่เยอรมนีไม่สามารถที่จะทดแทนการสูญเสียของตน.
ผลที่ได้เป็นชัยชนะของฝ่ายพันธมิตรในเดือนพฤศจิกายน 1918. ประธานาธิบดีวิลสันเรียกร้อง เยอรมนีให้ขับไล่พวกไกเซอร์และยอมรับเงื่อนไขของเขา, หลักการสิบสี่ข้อ(อังกฤษ: Fourteen Points) วิลสันครอบงำการประชุมสันติภาพปารีสปี 1919 แต่เยอรมนีถูกปฏิบัติอย่างรุนแรงโดยฝ่ายพันธมิตรในสนธิสัญญาแวร์ซาย (1919) เมื่อวิลสันใส่ความหวังทั้งหมด ของเขาลงในสันนิบาตแห่งชาติ (อังกฤษ: League of Nations). วิลสันปฏิเสธที่จะ ประนีประนอมกับวุฒิสภาพรรครีพับลิกันในประเด็นของอำนาจรัฐสภาที่จะประกาศสงคราม, และ วุฒิสภาปฏิเสธสนธิสัญญาและสันนิบาต.
สิทธิสตรีในการออกเสียง
ข้อมูลเพิ่มเติม:
การเคลื่อนไหวของสิทธิสตรีเริ่มต้นกับการประชุมแห่งชาติของพรรคเสรีภาพของเดือนมิถุนายน 1848. ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี Gerrit สมิธ ถกเถียงสำหรับและจัดตั้งสิทธิสตรีให้เป็นคำขวัญของพรรค. หนึ่งเดือนต่อมา, ญาติของเขา ลิซาเบธ เคดี้ สแตนตัน ร่วมกับ Lucretia Mott และ ผู้หญิงคนอื่น ๆ จัดประชุม เซเนกา ฟอลส์ (อังกฤษ: Seneca Falls Convention) ที่จะแสดง การประกาศของความรู้สึก (อังกฤษ: Declaration of Sentiments) ที่เรียกร้องสิทธิที่เท่าเทียมกันสำหรับผู้หญิง และสิทธิในการออกเสียงลงคะแนน. หลายกิจกรรมเหล่านี้กลายเป็นความตระหนักทางการเมืองในระหว่างการเคลื่อนไหวของนักนิยมลัทธิการล้มเลิก. การรณรงค์สิทธิสตรีในระหว่าง "สตรีคลื่นลูกแรก" นำโดย สแตนตัน ลูซี่ สโตน และ ซูซาน บี แอนโทนี่, ในหมู่ อื่น ๆ อีกมากมาย. สโตนและ Paulina ไรท์ เดวิส จัดให้มีการประชุมแห่งชาติว่าด้วยเรื่องสิทธิ สตรีที่โดดเด่นและมีอิทธิพลในปี 1850. การเคลื่อนไหวจัดอีกครั้งหลังสงครามกลางเมือง, ได้รับนักรณรงค์ที่มีประสบการณ์, หลายคนเหล่านั้นได้ทำงานให้กับข้อห้ามในสหภาพผู้หญิงคริสเตียน. ในตอนท้ายของศตวรรษที่ 19 ไม่กี่รัฐทางตะวันตกได้อนุญาตให้ผู้หญิงได้รับสิทธิในการออกเสียงเต็ม, แม้ว่าผู้หญิงจะได้ชัยชนะทางกฎหมายอย่างมีนัยสำคัญ, โดยได้รับสิทธิในพื้นที่เช่น อสังหาริมทรัพย์และการดูแลเด็ก.
ราวปี 1912 การเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิสตรี, ซึ่งได้ซบเซา, เริ่มที่จะตื่นขึนมาใหม่, โดยการเน้นความสำคัญกับการเรียกร้องเพื่อความเท่าเทียมกันและโต้แย้งว่า การทุจริตของการเมืองอเมริกันถูกเรียกร้องให้ทำให้มีความบริสุทธิ์โดยผู้หญิง เพราะผู้ชายไม่สามารถทำงานนั้นได้. การประท้วงกลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้นเมื่อนักเรียกรองสิทธิสตรี อลิซ พอล นำขบวนพาเหรดผ่านเมืองหลวงและหลายเมืองใหญ่. พอล ได้แยกออกจากสมาคมสิทธิสตรีแห่งชาติอเมริกันขนาดใหญ่ (อังกฤษ: National American Woman Suffrage Association (NAWSA)) ซึ่งสร้างความพอใจให้กับวิธีการระดับกลางมากขึ้นและสนับสนุน พรรคฌดโมแครตและวูดโรว์ วิลสัน, ที่นำโดย แครี แชปแมน Catt และ สร้างพรรคของผู้หญิงแห่งชาติที่เข้มแข็งมากขึ้น. นักเรียกร้องสิทธิสตรีถูกจับในระหว่างการถือป้ายประท้วง "ยามรักษาการณ์เงียบ"(อังกฤษ: Silent Sentinels) ของพวกเขาที่ทำเนียบขาว, ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ กลยุทธ์ดังกล่าวถูกนำมาใช้, และได้รับการปฏิบัติเหมือนนักโทษการเมือง.
ข้อโต้แย้งของฝ่ายต่อต้านสิทธิสตรัหัวเก่าที่บอกว่าผู้ชายเท่านั้นที่สามารถต่อสู้ในสงครามได้และดังนั้นผู้ชายเท่านั้นจึงสมควรได้รับสิทธิในการออกเสียง, ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่จริงโดย การมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้นของหญิงอเมริกันนับหมื่นที่แนวหน้าในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง. ทั่วโลก ประเทศที่สำนึกในบุญคุณได้ให้ผู้หญิงมีสิทธิในการออกเสียง. นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ของรัฐตะวันตกได้ให้ผู้หญิงมีสิทธิในการออกเสียงเรียบร้อยแล้วในการเลือกตั้งระดับรัฐและระดับชาติ, และผู้แทนจากรัฐเหล่านั้น, รวมทั้งผู้หญิงหมายเลขหนึ่ง Jeannette Rankin จากรัฐมอนแทนา, แสดงให้เห็นว่าสิทธิในการออกเสียงของผู้หญิงเป็นความสำเร็จ. ความต้านทานหลักมาจากภาคใต้, ที่ผู้นำผิวขาวเป็นกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามของการออกเสียงของผู้หญิงผิวดำ. รัฐสภาได้ผ่านการแก้ไขที่สิบเก้าในปี 1919 และผู้หญิงจะลงคะแนนเสียงได้ในปี 1920.
NAWSA กลายเป็นสหพันธ์ของสตรีผู้ใช้สิทธิ์ออกเสียง และ พรรคสตรีแห่งชาติเริ่มล็อบบี้เพื่อความเท่าเทียมกันเต็มรูปแบบและการแก้ไขสิทธิที่เท่าเทียมกัน, ซึ่งจะผ่านสภาคองเกรสในช่วง คลื่นลูกที่สองของการเคลื่อนไหวของสตรีในปี 1922. นักการเมืองตอบสนองต่อการเลือกตั้ง ใหม่ โดยเน้นประเด็นที่มีความสนใจเป็นพิเศษของผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การห้าม, สุขภาพของเด็ก และสันติภาพของโลก. การพุ่งขึ้นหลักของการออกเสียงของผู้หญิงมาถึงในปี ค.ศ. 1928, เมื่อเครื่องจักรเมืองใหญ่ตระหนักว่าพวกเขาต้องการการสนับสนุนของผู้หญิงที่จะเลือก อัล สมิธ, คาทอลิคจากมหานครนิวยอร์ก. ในขณะที่ ผู้หญิงโปรเตสแตนต์เคลื่อนไหวเพื่อสนับสนุนการห้ามและออกเสียงให้กับ เฮอร์เบิร์ท ฮูเวอร์ จากพรรครีพับลิกัน
เสียงคำรามในศตวรรษที่ 20 และ เศรษฐกิจตกต่ำครั้งยิ่งใหญ่
บทความหลัก:
ข้อมูลเพิ่มเติม: Great Depression และ New Deal
ในปี 1920s สหรัฐได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปริมาณการเจริญเติบโตเพื่อเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและการทหารของโลก วุฒิสภาสหรัฐไม่ได้ให้สัตยาบันในสนธิสัญญาแวร์ซายที่ถูกกำหนดโดยฝ่ายพันธมิตรในการพ่ายแพ้ของอำนาจกลาง โดยสหรัฐเลือกที่จะหาทางทำให้สำเร็จแต่ฝ่ายเดียวแทน. แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นภายหลังการปฏิวัติของรัสเซียเมื่อเดือนตุลาคมส่งผลให้เกิดความกลัวที่แท้จริงในลัทธิคอมมิวนิสต์ของสหรัฐ, ที่นำไปสู่'ความกลัวสีแดง'และการส่งตัวกลับของคนต่างด้าวที่มีพฤติกรรมของการล้มล้างบ่อนทำลาย
ในขณะที่ สิ่งอำนวยความสะดวกด้านสุขภาพของประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วใน'ยุคก้าวหน้า' และโรงพยาบาลและโรงเรียนแพทย์หลายแห่งถูกทำให้ทันสมัยขึ้น ประเทศในปี 1918 สูญเสีย 675,000 ชีวิตไปในการระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปน.
ใน ปี 1920 การผลิต, การขาย, การนำเข้าและส่งออกของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ถูกห้ามโดย the Eighteenth Amendment, Prohibition. ผลก็คือ ในเมืองที่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผิดกฎหมายได้กลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่, ถูกควบคุมโดยแกงค์ผิดกฎหมายทั้งหลาย กลุ่มที่สองของ Ku Klux Klan เติบโตอย่างรวดเร็วระหว่างปี 1922-1925 หลังจากนั้นก็หดตัวลง. กฎหมายตรวจคนเข้าเมืองได้ถูกผ่านออกมาเพื่อจำกัดจำนวนของคนเข้าเมืองรายใหม่อย่างเคร่งครัด. ปี 1920s ถูกเรียกว่าเป็น 'เสียงคำรามในศตวรรษที่ 20' เนื่องจากความเจริญทางเศรษฐกิจอย่างยิ่งใหญ่ในช่วงเวลานี้. เพลงแจ๊สกลายเป็นที่นิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ และนี่ทำให้ ทศวรรษนี้ถูกเรียกว่า ยุคแจ๊ส
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งยิ่งใหญ่ (1929-1939) และข้อตกลงใหม่ (1933-1936) เป็นช่วงเวลาที่ชี้ขาดใน ประวัติศาสตร์การเมือง, เศรษฐกิจ และสังคมอเมริกัน ที่เปลี่ยนโฉมหน้าประเทศ. [ 122 ]
ในช่วงปี ค.ศ. 1920s ประเทศมีความสุขกับความเจริญรุ่งเรืองที่ขยายกง้างขวาง, แม้จะมี จุดอ่อนในภาคการเกษตร. ฟองสบู่ทางการเงินได้รับการผลักดันจากตลาดหุ้นที่เป่าให้พองออกมาซึ่งต่อมานำไปสู่การพังทลายของตลาดหุ้นในวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1929 เหตุการนี้, พร้อมกับปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่น ๆ อีกมากมาย, ได้จุดชนวนให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกเป็นที่รู้จักกันว่า ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งยิ่งใหญ่. ช่วงเวลานี้ สหรัฐประสบภาวะเงินฝืดเมื่อราคาตกลง, การว่างงานเพิ่มสูงขึ้นจาก 3% ในปี 1929 เป็น 25% ในปี 1933, ราคาสินค้าเกษตรลดลงครึ่งหนึ่ง และ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงหนึ่งในสาม
ใน ปี 1932 ประธานาธิบดีตัวแทนพรรคเดโมแครต แฟรงคลิน ดี โรสเวลต์ สัญญาใน "ข้อตกลงใหม่สำหรับประชาชนอเมริกัน", เป็นการสร้างป้ายความอดทนสำหรับนโยบายในประเทศของเขา. สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่หมดหวัง, พร้อมกับชัยชนะของพรรคเดโมแครตอย่างมากใน การเลือกตั้งปี 1932 เปิดโอกาสให้โรสเวลต์ มีอิทธิพลต่อสภาคองเกรสที่ผิดปกติในช่วง"ร้อยวันแรก" ของการบริหารของเขา. เขาใช้อำนาจของเขาเอาชนะในการผ่านอย่างรวดเร็วของชุดของมาตรการในการสร้างโปรแกรมสวัสดิการและกำกับดูแลระบบการธนาคาร, ตลาดหุ้น, อุตสาหกรรม, และการเกษตร พร้อมกับหลายความพยายามอื่น ๆ ของรัฐบาลที่จะยุติภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งยิ่งใหญ่ และการปฏิรูปเศรษฐกิจอเมริกัน. ข้อตกลงใหม่กำกับดูแลจำนวนมากของเศรษฐกิจ, โดยเฉพาะภาคการเงิน. มันได้บรรเทาการว่างงานผ่านโปรแกรมจำนวนมาก เช่นการบริหารความก้าวหน้าของงาน (WPA) และ (สำหรับคนหนุ่ม) องค์กรอนุรักษ์พลเรือน Administration (WPA) and (for young men) the Civilian Conservation Corps. โครงการการใช้จ่ายขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อจัดหางานที่จ่ายเงินสูง และสร้างโครงสร้างพื้นฐานขึ้นใหม่ อยู่ภายใต้ขอบเขตของการบริหารงานโยธาธิการ. โรสเวลต์เลี้ยวซ้ายใน 1935-1936, การสร้างสหภาพแรงงานผ่านพระราชบัญญัติ แว็กเนอร์. สหภาพแรงงานกลายเป็นองค์ประกอบที่มีประสิทธิภาพของการรวมเข้าด้วยกันของข้อตกลงใหม่, ซึ่งชนะการเลือกตั้งอีกสามสมัยสำหรับ โรสเวลต์ ในปี 1936, ปี 1940 และ 1944 โดยการระดมสมาชิกสหภาพ, คนงานระดับกลาง, ผู้รับการบรรเทาทุกข์, เครื่องจักรเมืองใหญ่, ชาติพันธุ์ และ กลุ่มศาสนา (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวคาทอลิกและชาวยิว) และชาวผิวขาวทางใต้, พร้อมกับคนผิวดำทางเหนือ ( ที่พวกเขาสามารถลงคะแนน). บางโปรแกรมถูกยกเลิกในปี 1940s เมื่อพวกอนุรักษนิยมได้อำนาจคืนในสภาคองเกรสผ่านทางแนวร่วมอนุรักษนิยม. ที่มีความสำคัญเป็นพิเศษคือโปรแกรม ประกันสังคมที่เริ่มในปี 1935.
สงครามโลกครั้งที่สอง
ข้อมูลเพิ่มเติม: สงครามโลกครั้งที่สอง, , และ
ในช่วงหลายปีที่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ, สหรัฐยังคงมุ่งเน้นไปที่ความกังวลในประเทศ ในขณะที่ ประชาธิปไตยลดลงทั่วโลกและหลายประเทศตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเผด็จการ. จักรวรรดิญี่ปุ่นยืนยันการครอบครองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและในแปซิฟิก. นาซีเยอรมนี และ ฟาสซิสต์อิตาลีใช้กำลังทหารและขู่ว่าจะพิชิตดินแดน, ในขณะที่ อังกฤษและฝรั่งเศส พยายามพะเน้าพะนอเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามในยุโรป. สหรัฐได้ออกกฎหมาย 'กฎหมายความเป็นกลาง'(อังกฤษ: Neutrality Acts) เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับต่างประเทศ, อย่างไรก็ตาม นโยบายได้ประสานงากับความรู้สึกต่อต้านนาซีที่เพิ่มขึ้น หลังจากเยอรมันบุกโปแลนด์ในเดือน กันยายน ค.ศ. 1939 ที่เริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่สอง. โรสเวลต์ วางตำแหน่งสหรัฐว่าเป็น "คลังแสงของประชาธิปไตย"(อังกฤษ: Arsenal of Democracy) โดยให้คำมั่นในการสนับสนุนทางการเงินและอาวุธเต็มรูปแบบสำหรับพันธมิตร, แต่ไม่ให้กำลังทหาร. ญี่ปุ่นพยายามที่จะลดอำนาจของอเมริกาในมหาสมุทรแปซิฟิก โดยการโจมตี เพิร์ล ฮาร์เบอร์ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 1941 ซึ่งเป็นการเร่งปฏิกิริยาให้อเมริกันเข้าสู่สงครามและแสวงหาการแก้แค้น.
ความช่วยเหลือหลักของสหรัฐที่ให้กับพันธมิตรในความพยายามทำสงครามประกอบด้วย เงิน, ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม, อาหาร, ปิโตรเลียม, นวัตกรรมเทคโนโลยี, และ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่าง 1944-1945) กำลังทหาร. สิ่งที่วอชิงตันโฟกัสอย่างมากคือ การเพิ่มผลผลิตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างสูงสุด. ผลโดยรวมเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมากของ GDP, การส่งออก ในปริมาณมหาศาลของอุปกรณ์ให้กับพันธมิตร และให้กับกองทัพอเมริกันในต่างประเทศ, การสิ้นสุดของการว่างงาน และการเพิ่มขึ้นของการบริโภคโดยพลเรือน ถึง 40% ของจีดีพีไปในสงคราม. สิ่งนี่ทำสำเร็จได้โดยคนงานหลายสิบล้านที่ย้ายจากอาชีพประสิทธิภาพการผลิตต่ำ ไปสู่งานที่มีประสิทธิภาพสูง, การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตหลายอย่างด้วยเทคโนโลยีและการบริหารจัดการที่ดีขึ้นและ การย้ายเข้ามาเป็นกำลังแรงงานที่แข็งขันของนักเรียน, คนเกษียณ, แม่บ้าน และ คนว่างงานและ การเพิ่มขึ้นของชั่วโมงทำงาน
มันก็เหนื่อย; กิจกรรมยามว่างลดลงอย่างรวดเร็ว. ประชาชนอดทนทำงานพิเศษเพราะความรักชาติ, ค่าจ้างและความเชื่อมั่นว่ามันเป็นเพียง "ช่วงระยะเวลาหนึ่ง" และชีวิตจะกลับมาเป็นปกติ โดยเร็วที่สุดเมื่อชนะสงคราม. สินค้าคงทนส่วนใหญ่หาใช้ไม่ได้ และเนื้อสัตว์, เสื้อผ้า,และ น้ำมัน ถูกปันส่วนอย่างเขัมงวด. ในพื้นที่อุตสาหกรรม ที่อยู่อาศัยเป็นสิ่งหายากเมื่อประชากรเพิ่มเป็นสองเท่าและต้องอาศัยอยู่ในที่กำบังแคบ ๆ ราคาและค่าจ้างถูกควบคุม และ ชาวอเมริกันต้องเก็บออมเป็นสัดส่วนที่สูงของรายได้ของพวกเขา ซึ่งนำไปสู่การเจริญเติบโตขึ้นมา ใหม่หลังสงคราม แทนที่จะกลับไปสู่ภาวะตกต่ำ.
ฝ่ายพันธมิตร ประกอบด้วยสหรัฐ, สหราชอาณาจักร, สหภาพโซเวียต, จีน, แคนาดา และประเทศอื่น ๆ ต่อสู้กับฝ่ายอักษะ ที่มีเยอรมนี, อิตาลี และญี่ปุ่น. ฝ่ายพันธมิตรเห็นเยอรมนี เป็นภัยคุกคามหลักและให้ความสำคัญสูงสุดกับยุโรป. สหรัฐครอบงำสงครามกับญี่ปุ่นและหยุดการขยายตัวของญี่ปุ่นในมหาสมุทรแปซิฟิกในปี 1942. หลังจากการพ่ายแพ้ที่ เพิร์ลฮาเบอร์และในประเทศฟิลิปปินส์แก่ญี่ปุ่นและเสมอกันในการรบที่ทะเลคอรัล (พฤษภาคม ค.ศ. 1942) กองทัพเรืออเมริกันได้สร้างความเสียหายอย่างเด็ดขาดที่มิดเวย์ (มิถุนายน ค.ศ. 1942) กองทัพบกอเมริกันช่วยใน'การรณรงค์แอฟริกาเหนือ' ที่ในที่สุดก็จบด้วยการล่มสลายของรัฐบาล ฟาสซิสต์ของ Mussolini ในปี 1943 เมื่ออิตาลีเปลี่ยนมาเข้ากับฝ่ายพันธมิตร แนวรบด้านหน้าของยุโรปที่สำคัญที่สุดถูกเปิดในวัน D-Day, วันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944 ที่กองกำลังอเมริกันและพันธมิตรบุกฝรั่งเศสที่นาซียึดครองอยู่
สถานการณ์ในประเทศ, การขับเคลื่อนของเศรษฐกิจสหรัฐฯได้รับการจัดการโดย 'คณะกรรมการการผลิตระหว่างสงคราม' ของโรสเวลต์ การผลิตที่ขยายตัวอย่างมากในช่วงสงครามนำไปสู่การจ้างงานเต็มรูปแบบ, เช็ดร่องรอยของเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ออกไป. อันที่จริง การขาดแคลนแรงงานได้สนับสนุนให้อุตสาหกรรมมองหาแหล่งใหม่ของคนงาน, ทำให้เกิดบทบาทใหม่สำหรับผู้หญิงและคนผิวดำ.
อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกท่วมท้นยังเป็นแรงบันดาลใจในความรู้สึกต่อต้านญี่ปุ่น, ซึ่งได้รับการ จัดการโดยการย้ายทุกคนที่มีเชื้อสายญี่ปุ่นออกจากเขตสงครามชายฝั่งตะวันตก. การวิจัยและพัฒนาได้เริ่มปฏิบัติการเช่นกัน, ที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือในโครงการแมนฮัตตัน, ความพยายามทีเป็นความลับในการใช้ประโยชน์ปฏิกิริยานิวเคลียร์ในการผลิตระเบิดปรมาณูที่มีการทำลายล้างสูง.
พันธมิตรผลักดันเยอรมันออกมาจากฝรั่งเศส แต่ต้องเผชิญกับการตอบโต้ที่ไม่คาดคิดในการรบ ที่ the Battle of the Bulge ในเดือนธันวาคม. ความพยายามของเยอรมันครั้งสุดท้ายได้ล้มเหลว, และ, เมื่อกองทัพพันธมิตรในตะวันออกและตะวันตกได้มาบรรจบกันที่กรุงเบอร์ลิน, นาซีก็รีบพยายามจะฆ่าชาวยิวกลุ่มสุดท้ายที่เหลืออยู่. แนวรบด้านตะวันตกหยุดลงในเวลาอันสั้น, ปล่อยให้กรุงเบอร์ลินอยู่ในมือโซเวียตเมื่อระบอบการปกครองของนาซียอมจำนนอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1945 เป็นการสิ้นสุดสงครามในยุโรป. ทางด้านมหาสมุทรแปซิฟิก, สหรัฐได้นำมาใช้กลยุทธ์การกระโดดข้ามเกาะมาใช้กับโตเกียว, โดยการสร้างสนามบินสำหรับการระดมทิ้งระเบิดในแผ่นดินใหญ่ญี่ปุ่นจากหมู่เกาะมาเรียนา และบรรลุชัยชนะในการต่อสู้ที่ยากลำบากที่เกาะอิโวจิมาและโอกินาวาในปี 1945. เลือดนองที่โอกินาว่า, สหรัฐ เตรียมที่จะบุกเกาะญี่ปุ่นเมื่อ B- 29s ทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิของญี่ปุ่น, บังคับให้จักรวรรดิต้องยอมจำนนในเวลาหลายวันและทำให้สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง. สหรัฐยึดครองญี่ปุ่น (และบางส่วนของเยอรมนี), โดยส่ง ดักลาส แมคอาเธอร์ เพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจญี่ปุ่นและระบบการเมืองใหม่ตามแนวทางอเมริกัน.
แม้ว่า ประเทศจะสูญเสียทหารมากกว่า 400,000 นาย แผ่นดินใหญ่ที่รุ่งเรืองมิได้ถูกแตะต้องโดยการทำลายล้างของสงครามที่ต่อสู้จนมีผู้เสียชีวิตอย่างมากมายอย่างมากมายในยุโรปและเอเชีย
การมีส่วนร่วมในต่างประเทศหลังสงครามแสดงให้เห็นจุดจบของลัทธิการโดดเดี่ยวที่เด่นชัดของชาวอเมริกัน. ภัยคุกคามที่น่ากลัวของอาวุธนิวเคลียร์เป็นแรงบันดาลใจให้ทั้งพวกมองโลกในแง่ดีและพวกขี้กลัว. อาวุธนิวเคลียร์ไม่เคยถูกนำมาใช้หลังจากปี 1945, เมื่อทั้งสองฝ่ายถอยออกมาจากขอบเหวและ"ความสงบยาว" ได้สร้างคุณสมบัติของหลายปีแห่งสงครามเย็น, ที่เริ่มต้นด้วยลัทธิทรูแมนในวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 1947 อย่างไรก็ตาม ได้เกิดสงครามระดับภูมิภาคในประเทศเกาหลีและเวียดนาม.
สงครามเย็น, วัฒนธรรมสวนทาง และ สิทธิมนุษยชน
บทความหลัก : ประวัติศาสตร์ของสหรัฐ (1945-1964) และประวัติศาสตร์ของสหรัฐ (1964-1980)
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐกลายเป็นหนึ่งในสองมหาอำนาจที่โดดเด่น, โดยมีโซเวียตเป็นอีกประเทศหนึ่ง. วุฒิสภาสหรัฐลงมติอนุมัติการมีส่วนร่วมของสหรัฐในองค็การสหประชาชาติ (UN) ซึ่งแสดงความหมายถึงการหันออกจากลัทธิโดดเดี่ยวแบบดั้งเดิมของสหรัฐ และไปสู่การมีส่วนร่วมระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้น
เป้าหมายหลักของอเมริกันระหว่างช่วงปี 1945-1948 คือการช่วยเหลือยุโรปจากการทำลายล้างของสงครามโลกครั้งที่สอง และเพื่อจำกัดการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์, ที่เป็นตัวแทนโดยสหภาพโซเวียต. ลัทธิทรูแมนปี 1947 จะให้ความช่วยเหลือทางทหารและทางเศรษฐกิจกับกรีซและตุรกีเพื่อรับมือกับภัยคุกคามของการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ในคาบสมุทรบอลข่าน. ในปี 1948 สหรัฐแทนที่โปรแกรมความช่วยเหลือทางการเงินทีละน้อยด้วยแผนการมาร์แชลล์ที่ครอบคลุม, ซึ่งอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของยุโรปตะวันตกและรื้อถอนอุปสรรคทางการค้า, ในขณะที่ ทำแนวทางการปฏิบัติด้านการบริหารจัดการของธุรกิจและรัฐบาลให้ทันสมัย.
แผนงบประมาณ 13 พันล้าน $ อยู่ในบริบทของ จีดีพี ของสหรัฐที่ $ 258 พันล้านในปี 1948 และอยู่ในส่วนเพิ่มอีก 12 พันล้านดอลลาร์ในการช่วยเหลือของสหรัฐที่จะให้กับยุโรประหว่างช่วงการสิ้นสุดของสงครามจนถึงการเริ่มต้นของแผนการมาร์แชลล์. ประมุขแห่งรัฐของสหภาพโซเวียต, โจเซฟ สตาลิน ป้องกันประเทศบริวารของเขาจากการมีส่วนร่วม, และจากจุดนั้นต่อมา, ยุโรปตะวันออก, ที่มีเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ที่ไม่มีประสิทธิภาพ, ตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ และตาม หลังยุโรปตะวันตกในแง่ของการพัฒนาเศรษฐกิจและความเจริญรุ่งเรือง. ในปี 1949, สหรัฐ, ที่ได้ปฏิเสธนโยบายยาวนานที่จะไม่มีการเป็นพันธมิตรทางทหารในยามสงบ, ได้รวมตัวเพื่อสร้างพันธมิตรในองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (อังกฤษ: North Atlantic Treaty Organization (NATO)) ที่ยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง เข้ามาในศตวรรษที่ 21. ในการตอบสนอง โซเวียตได้จัดตั้งสนธิสัญญาวอร์ซออังกฤษ: Warsaw Pact)ของรัฐคอมมิวนิสต์.
ในเดือนสิงหาคม 1949, โซเวียตทดสอบอาวุธนิวเคลียร์เป็นครั้งแรก, ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของการทำสงคราม. อันที่จริง การคุกคามที่จะเกิดการทำลายล้างซึ่งกันและกันป้องกันมหาอำนาจทั้งสองฝ่ายไม่ให้ทำอะไรที่เกินไปกว่านั้น และส่งผลให้เกิดสงครามตัวแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเกาหลีและเวียดนาม ในที่ซึ่งทั้งสองฝ่ายไม่ได้เผชิญหน้ากันโดยตรง. ภายในสหรัฐ สงครามเย็นได้กระตุ้นให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์. การกระโดดที่ไม่คาดคิดของเทคโนโลยีอเมริกันที่เหนือกว่าของโซเวียตในปี ค.ศ. 1957 ที่มี สปุตนิก, ดาวเทียมโลกดวงแรก, เริ่มการแข่งขันในอวกาศ, ที่ชนะโดยชาวอเมริกัน เมื่ออะพอลโล 11 ส่งนักบินอวกาศลงบนดวงจันทร์ในปี ค.ศ. 1969 ความเป็นห่วงเกี่ยวกับจุดอ่อนของการศึกษาอเมริกัน ได้นำไปสู่การสนับสนุนขนาดใหญ่ของรัฐบาลกลางเพื่อการศึกษาและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์.
ในหลายทศวรรษหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐกลายเป็นผู้มีอิทธิพลของโลกในด้านเศรษฐกิจ, การเมือง, การทหาร, วัฒนธรรมและกิจกรรมทางเทคโนโลยี. เริ่มต้นใน ปี 1950s, วัฒนธรรมชนชั้นกลางจะหมกมุ่นอยู่กับสินค้าอุปโภคบริโภค. อเมริกันผิวขาวมีจำนวนเกือบ 90% ของประชากรในปี 1950.
ใน ปี 1960 นักการเมืองผู้มีบารมี, จอห์น เอฟ. เคนเนดี ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีโรมันคาทอลิกคนแรกแห่งสหรัฐ. ครอบครัวเคนเนดี้นำชีวิตใหม่และความแข็งแรงมาสู่บรรยากาศของทำเนียบขาว. เวลาของเขาในทำเนียบขาวถูกทำเครื่องหมายด้วยเหตุการณ์ที่น่าทึ่ง เช่น การเร่งความเร็วของบทบาทสหรัฐฯในการแข่งขันในอวกาศ, การยกระดับบทบาทของสหรัฐในสงครามเวียดนาม, วิกฤตการณ์ขีปนาวุธในคิวบา, การบุกอ่าวหมู, การคุมขังมาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ ในระหว่างการรณรงค์หาเสียงของเบอร์มิงแฮม และการแต่งตั้งน้องชายของเขา โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี ต่อคณะรัฐมนตรีให้เป็นอัยการสูงสุด. เคนเนดี้ถูกลอบสังหารในดัลลัสรัฐเท็กซัส เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963 ปล่อยให้ประเทศอยู่ในสภาวะช็อคที่ลึกซึ้ง.
สุดยอดของนโยบายเสรีนิยม
จุดสุดยอดของเสรีนิยมมาในกลางปี 1960s กับความสำเร็จของประธานาธิบดี ลินดอน บี จอห์นสัน (1963-1969) ในการได้รับการผ่านกฎหมายของรัฐสภาสำหรับโปรแกรมสังคมที่ยิ่งใหญ่(อังกฤษ: Great Society programs) ของเขา. โปรแกรมนี้รวมถึง สิทธิของมนุษยชน, การสิ้นสุดของการแบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา หรือวัฒนธรรม, การขยายสวัสดิการ, การช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางเพื่อการศึกษาในทุกระดับ, เงินอุดหนุนสำหรับศิลปะและมนุษยศาสตร์, การเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม และชุดของโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อลบล้างความยากจน ตามที่นักประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้อธิบายไว้ว่าดังนี้:
ค่อยเป็นค่อยไป, ปัญญาชนเสรีนิยมได้เขียนวิสัยทัศน์ใหม่เพื่อให้บรรลุความยุติธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม. ลัทธิเสรีนิยมของต้นปี 1960s ไม่ได้แนะนำเรื่องความรุนแรง, การยอมรับเพียงเล็กน้อยที่จะรื้อฟื้นยุคใหม่รณรงค์ต่อต้านอำนาจทางเศรษฐกิจที่เข้มข้น และ ไม่มีความตั้งใจที่จะเร่งและจัดระดับกิเลสหรือแจกจ่ายอีกครั้งของความมั่งคั่งหรือตั้งโครงสร้างอีกครั้งสำหรับสถาบันที่มีอยู่เดิม, ทั่วโลกมีการต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างแข็งแรง. มันมีจุดมุ่งหมายที่จะปกป้องโลกเสรี, เพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่บ้าน, และเพื่อให้แน่ใจว่าความร่ำรวยที่ส่งผลจะถูกกระจายออกไปอย่างเป็นธรรม. วาระของมัน ที่ได้รับอิทธิพลอย่างมากจาก ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ของ Keynesian ขยายจินตนาการค่าใช้จ่ายสาธารณะขนาดใหญ่ที่จะ เพิ่มความเร็วในการเติบโตทางเศรษฐกิจ, จึงให้ทรัพยากรสาธารณะจ่ายเป็นกองทุนสวัสดิการ, ที่อยู่อาศัย, สุขภาพและโปรแกรมการศึกษาขนาดใหญ่.
จอห์นสันได้รับเลือกด้วยคะแนนเสียงเลือกตั้งอย่างถล่มทลายในปี 1964 ชนะพรรคอนุรักษ์ แบรี โกลด์วอเทอร์, ซึ่งทำลายการควบคุมรัฐสภานานหลายสิบปีของพรรคร่วมอนุรักษนิยม อย่างไรก็ตาม พรรครีพับลิกันกลับมาในปี 1966 และเลือก ริชาร์ด นิกสัน ในปี 1968. นิกสันยังคงโปรแกรมข้อตกลงใหม่และสังคมที่ยิ่งใหญ่ที่เขาได้รับมรดกมาอย่างกว้างขวาง, ปฏิกิริยา อนุรักษนิยม จะมากับการเลือกตั้งของ โรนัลด์ เรแกน ในปี 1980. ในขณะเดียวกัน คนอเมริกันเสร็จสิ้นการโยกย้ายครั้งยิ่งใหญ่จากฟาร์มมาสู่เมืองและมีประสบการณ์ในช่วงเวลาของการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
การเคลื่อนไหวของสิทธิมนุษยชน
บทความหลัก: การเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนของแอฟริกันอเมริกัน (1955-1968)
เริ่มต้นในช่วงปลายทศวรรษ 1950s, สถาบันชนชาติทั่วสหรัฐ, โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคใต้, ถูกท้าทายมากขึ้นโดยการเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนที่กำลังเติบโต การเคลื่อนไหวของผู้นำแอฟริกันอเมริกัน Rosa Park และ มาร์ติน ลูเธอร์ คิงจูเนียร์ นำไปที่การคว่ำบาตรของรถประจำทางมอนตโกเมอรี อังกฤษ: Montgomery Bus Boycott), ซึ่งเป็นการเปิดตัวการเคลื่อนไหว. เป็นเวลาหลายปี ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน จะต่อสู้กับความรุนแรงต่อพวกเขา แต่จะประสบความสำเร็จในขั้นตอนที่ยิ่งใหญ่ต่อความเท่าเทียมกันด้วยการตัดสินของศาลฎีกา, รวมทั้ง Brown v. Board of Education และ Loving v. Virginia, the Civil Rights Act of 1964, the Voting Rights Act of 1965, และ the Fair Housing Act of 1968, ซึ่งสิ้นสุด the Jim Crow laws ที่ทำให้เป็นกฎหมายแยกเชื้อชาติระหว่างคนผิวขาวและคนผิวดำ.
มาร์ติน ลูเธอร์คิง จูเนียร์, ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพสำหรับความพยายามของเขาเพื่อให้บรรลุความเท่าเทียมกันของเชื้อชาติ, ถูกลอบสังหารในปี 1968. หลังการตายของเขา, คนอื่น ๆ ได้นำการเคลื่อนไหว, ที่สะดุดตาที่สุดคือภรรยาหม้ายของคิง, Coretta Scott King, ผู้ซึ่งเป็นผู้เคลื่อนไหวเช่นเดียวกับสามีของเธอ, ในการคัดค้านสงครามเวียดนามและในการปลดปล่อยสตรี. ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 1967, 128 เมืองอเมริกันต้องลำบากกับการจลาจล 164 ครั้ง. พลังดำโผล่ออกมาในช่วง ปลายปี 1960 และต้นปี 1970. ทศวรรษที่ในที่สุดจะนำมาซึ่งความก้าวหน้าเชิงบวกโดยผ่านการรวมกลุ่ม, โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการให้บริการ, กีฬาและความบันเทิงภาครัฐ. ชนพื้นเมืองอเมริกันหันไปหาศาลเพื่อต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดินของพวกเขา. พวกเขาจัดการประท้วงเพื่อเน้นความล้มเหลวของรัฐบาลที่จะให้เกียรติสนธิสัญญา. หนึ่งในกลุ่มที่โวยมากที่สุดของชาวอเมริกันพื้นเมืองเป็นขบวนการอเมริกันอินเดีย (AIM). ในปี 1960 ซีซาร์ ชาเวซ เริ่มจัดรวบรวมคนงานในไร่ชาวเม็กซิกันอเมริกันรายได้ต่ำในรัฐแคลิฟอร์เนีย. เขานำการประท้วงยาวห้าปีโดยนักเก็บองุ่น. จากนั้น ชาเวซจัดตั้งสหภาพคนงานในไร่ที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกของประเทศ. หลังจากนั้นมันก็กลายเป็น United Farm Workers of America (UFW)
การเคลื่อนไหวของผู้หญิง
ข้อมูลเพิ่มเติม: สตรีคลื่นลูกที่สอง
จิตสำนึกใหม่ของความไม่เท่าเทียมของผู้หญิงอเมริกันเริ่มกวาดไปทั่วประเทศ, เริ่มต้นด้วย สิ่งพิมพ์ในปี 1963 ที่ขายดีที่สุดของ Betty Friedan, ความขลังของผู้หญิง, ซึ่งอธิบายว่ามีแม่บ้าน มากเท่าไรที่รู้สึกว่าติดกับและไม่ได้รับการเติมเต็ม, เป็นผลให้เป็นการทำร้ายวัฒนธรรมของชาวอเมริกันสำหรับการสร้างความคิดที่ว่า ผู้หญิงเท่านั้นที่สามารถพบการเติมเต็มผ่านบทบาทของพวกเธอในขณะที่เป็นภรรยา, เป็นแม่ และผู้ดูแลบ้าน, และถกเถียงกันว่าผู้หญิงมีความสามารถเพียงแค่เท่ากับผู้ชายทีสามารถททำทุกประเภทของงานได้. ในปี 1966 Friedan และคนอื่น ๆ ที่จัดตั้งองค์การเพื่อสตรีแห่งชาติ หรือ NOW เพื่อเป็นตัวแทนสำหรับผู้หญิงอย่างที่ NAACP ทำสำหรับผู้หญิงแอฟริกันอเมริกัน.
การประท้วงเริ่ม, และขบวนการปลดปล่อยผู้หญิงใหม่เพิ่มขึ้นในขนาดและอำนาจ, ได้รับความสนใจของสื่อมาก, และ, ในปี 1968, ได้เข้ามาแทนที่การเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชน สำหรับ การปฏิวัติทางสังคมเป็นหลักของสหรัฐ. ขบวนพาเหรด, แรลลี่, การคว่ำบาตร และ การถือป้ายประท้วงนำประชาชนออกมานับพัน, บางครั้งเป็นล้าน. มีผลสำเร็จในการประท้วงสำหรับผู้หญิง ในการแพทย์, กฎหมาย, และธุรกิจ, ในขณะที่เพียงไม่กี่เรื่องที่ได้รับการเลือกให้ส่งไปยังสำนักงาน. การเคลื่อนไหวถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มตามอุดมการณ์ทางการเมืองในช่วงต้น (ที่มี NOW ทางด้านซ้าย, the Women's Equity Action League (WEAL) อยู่ทางขวา, the National Women's Political Caucus (NWPC) อยู่ตรงกลาง, และกลุ่มรุนแรงกว่าที่เกิดจากผู้หญิงอายุน้อย อยู่ด้านซ้ายสุด) การแปรญัตติสิทธิทัดเทียมที่ถูกนำเสนอให้กับรัฐธรรมนูญ, ผ่านสภาคองเกรสในปี 1972, พ่ายแพ้โดยพรรคร่วมอนุรักษนิยมที่ขับเคลื่อนโดย Phyllis Schlafly. พวกเขาแย้งว่า มันลดระดับตำแหน่งของแม่บ้านและทำให้หญิงสาวมีความไวต่อการเกณฑ์ทหาร.
อย่างไรก็ตาม กฎหมายของรัฐบาลกลางจำนวนมาก (เช่น ค่าจ้างเท่าเทียม, การจ้างงาน, การศึกษา, โอกาสการจ้างงาน, และ สินเชื่อ, การสิ้นสุดการเลือกปฏิบัติของหญิงตั้งครรภ์ และความต้องการ NASA, สถาบันทหาร และ องค์กรอื่น ๆ ที่จะยอมรับผู้หญิง), กฎหมายของรัฐ (เช่น การสิ้นสุดการละเมิดของคู่สมรส,และ การข่มขืนโดยคู่สมรส), มติศาลฎีกา (เช่น พิพากษาว่า คำสั่งคุ้มครองเท่าเทียมกันของคำแปรญัตติที่สิบสี่ให้นำไปใช้กับผู้หญิง), และองค์กรสิทธิสตรี(อังกฤษ: Equal Rights Advocates หรือ ERA) ของรัฐที่จัดตั้งสถานะที่เท่าเทียมกันของผู้หญิงภายใต้กฎหมาย, และ ประเพณีและจิตสำนึกของสังคมก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป, การยอมรับความเท่าเทียมกันของผู้หญิง. ปัญหาความขัดแย้งของการทำแท้ง, ได้รับการพิจารณาโดยศาลฎีกาว่า เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานใน "Roe v. Wade" (1973 ) ยังคงเป็นจุดของการอภิปรายในวันนี้.
วัฒนธรรม การปฏิวัติ และ détente สงครามเย็น
บทความหลัก: ประวัติศาสตร์ของสหรัฐ (1964-1980)
ท่ามกลางสงครามเย็น, สหรัฐเข้าร่วมสงครามเวียดนาม, ประเทศที่มีการเจริญเติบโตไม่เป็นที่นิยม ได้รับการเลี้ยงดูด้วยการเคลื่อนไหวทางสังคมที่มีอยู่แล้ว, รวมทั้ง ในกลุ่มผู้หญิง, ชนกลุ่มน้อย และ คนหนุ่มสาว. โครงการทางสังคมที่ยิ่งใหญ่ของประธานาธิบดีลินดอน บี จอห์นสัน และคำวินิจฉัยจำนวนมากโดย วอร์เรน คอร์ท ได้รวมเข้ากับความหลากหลายของ การปฏิรูปสังคมในระหว่างทศวรรษที่ 1960s และ 1970s. สตรีนิยมและการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมกลายเป็นพลังทางการเมือง, และความคืบหน้าได้ต่อเนื่องไปสู่สิทธิของชาวอเมริกันทุกคน. การปฏิวัติวัฒนธรรมได้กวาดไปทั่วประเทศและหลายประเทศในโลกตะวันตกในช่วงปลายยุคหกสิบและต้นยุคเจ็ดสิบ, แบ่งชาวอเมริกันต่อไปใน "สงครามวัฒนธรรม" แต่ยังนำมาซึ่งมุมมองของสังคม ที่มีอิสรเสรีมากขึ้น.
จอห์นสันถูกสืบทอดตำแหน่งในปี 1969 โดยพรรครีพับลิกัน ริชาร์ด นิกสัน, ผู้ที่พยายามจะ ค่อย ๆ ย้ายสงครามไปยังกองกำลังเวียดนามใต้. เขาเจรจาสนธิสัญญาสันติภาพในปี 1973 ซึ่งรับประกันการปล่อยตัวของนักโทษสงครามและนำไปสู่การถอนตัวของกองกำลังสหรัฐ. สงครามมีค่าใช้จ่ายเป็นชีวิตของทหารอเมริกัน 58,000 นาย. นิกสันทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจที่รุนแรงระหว่างสหภาพโซเวียตและจีนเพื่อประโยชน์ของสหรัฐ, บรรลุ détente ((เดทานทฺ') ผ่อนคลาย; ความสะดวกในความตึงเครียด) กับทั้งสองฝ่าย.
เรื่องอื้อฉาววอเตอร์เกต, ที่เกี่ยวข้องกับการปกปิดของนิกสัน ในการเข้าปฏิบัติการของเขาโดยการพังเข้าไปในสำนักงานใหญ่ของคณะกรรมการประชาธิปไตยแห่งชาติที่สำนักงานอาคารวอเตอร์เกต, ได้ทำลายฐานทางการเมืองของเขา, ส่งผู้ช่วยหลายตนเข้าคุก,และถูกบังคับให้ลาออกในวันที่ 9 สิงหาคม 1974. เขาถูกสืบทอดโดย รองประธานาธิบดีเจอรัลด์ ฟอร์ด. การล่มสลายของไซ่ง่อนเป็นการสิ้นสุดสงครามเวียดนาม และมีผลทำให้ภาคเหนือและภาคใต้ของเวียดนามถูกรวมตัวกัน. ชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศเพื่อนบ้านกัมพูชาและลาวได้เกิดขึ้นในปีเดียวกัน.
การคว่ำบาตรน้ำมันของโอเปกทำเครื่องหมายการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในระยะยาวตั้งแต่นั้นมา, เป็นครั้งแรกที่ราคาพลังงานพุ่งสูงขึ้นเหมือนจรวด. และโรงงานอเมริกันต้องเผชิญการแข่งขันอย่างรุนแรง รถยนต์ , เสื้อผ้า , เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าอุปโภคบริโภคจากต่างประเทศ. เมื่อสิ้นปี 1970s เศรษฐกิจประสบวิกฤตพลังงาน, การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจช้าลง, การว่างงานสูง และอัตราเงินเฟ้อที่สูงมากประกอบกับอัตราดอกเบี้ยสูง (stagflation ถูกประดิษฐ์ขึ้น). เนื่องจากนักเศรษฐศาสตร์เห็นด้วยกับภูมิปัญญาของการไม่กำกับดูแล, กฎระเบียบหลายอย่างในยุคสัญญาใหม่ได้สิ้นสุดลง, เช่น ในการขนส่ง, การธนาคารและ โทรคมนาคม.
จิมมี่ คาร์เตอร์, สมัครรับเลือกตั้งเหมือนเป็นบางคนที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดตั้งทางการเมืองวอชิงตัน, ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี 1976. ในเวทีโลก, คาร์เตอร์เป็นนายหน้าของข้อตกลงแคมป์เดวิด(อังกฤษ: Camp David Accords) ระหว่างอิสราเอลและอียิปต์. ในปี 1979 นักศึกษาชาวอิหร่านบุกสถานทูตสหรัฐในกรุงเตหะราน และจับชาวอเมริกัน 66 คนเป็นตัวประกัน, ส่งผลให้เกิดวิกฤตการณ์ตัวประกันอิหร่าน. ด้วยวิกฤตตัวประกันและ stagflation อย่างต่อเนื่อง, คาร์เตอร์แพ้การเลือกตั้งในปี 1980 ให้กับพรรครีพับลิกัน โรนัลด์ เรแกน. ในวันที่ 20 มกราคม 1981 หลายนาทีหลังจากที่ระยะเวลาในสำนักงานของคาร์เตอร์สิ้นสุดลง, เชลยตัวประกันสหรัฐที่เหลือในสถานทูตสหรัฐในอิหร่านได้รับการปล่อยตัว, สิ้นสุดวิกฤตตัวประกันนาน 444 วัน.
การปิดฉากของศตวรรตที่ 20
บทความหลัก : ประวัติความเป็นมาของสหรัฐ (1980-1991) และประวัติศาสตร์ ของสหรัฐ (1991 ถึงปัจจุบัน )
โรนัลด์ เรแกน ได้สร้างการจัดแนวใหม่ที่สำคัญด้วยการชนะเลือกตั้งในปี 1980 และ 1984 อย่างถล่มทลาย. นโยบายเศรษฐกิจของเรแกน (ถูกขนานนามว่า "Reaganomics") และการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการกู้คืนภาษีเศรษฐกิจปี 1981 ได้ลดภาษีรายได้จาก 70% เหลือ 28% ในช่วงระยะเวลาเจ็ดปี. เรแกนทำต่อเนื่องในการลดขนาดการจัดเก็บภาษีของรัฐบาลและการกำกับดูแล. สหรัฐประสบภาวะถดถอยในปี 1982, ตัวชี้วัดเชิงลบกลับด้าน, ด้วยอัตราเงินเฟ้อลดลงจาก 11% เป็น 2%, อัตราการว่างงานลดลงจาก 10.8% ในเดือนธันวาคม 1982 เป็น 7.5 % ในเดือนพฤศจิกายนปี 1984 และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจาก 4.5 % เป็น 7.2 %.
เรแกนสั่งให้มีการขยายกองทัพสหรัฐ, ทำให้เกิดการขาดดุลงบประมาณเพิ่มเติม. เรแกนนำ ระบบป้องกันขีปนาวุธที่ซับซ้อนที่เรียกว่าการริเริ่มยุทธศาสตร์ป้องกัน (อังกฤษ: Strategic Defense Initiative (SDI)) (ฝ่ายตรงข้ามขนานนามว่า "สตาร์วอร์ส") ซึ่ง" ตามทฤษฎี, สหรัฐสามารถยิงสกัดขีปนาวุธด้วยระบบเลเซอร์ในอวกาศ. โซเวียตมีปฏิกิริยาอย่างรุนแรงเพราะพวกเขาคิดว่ามันละเมิดสนธิสัญญาต่อต้านขีปนาวุธปี 1972 และจะทำให้เสียสมดุลของอำนาจโดยทำให้สหรัฐได้เปรียบทางทหารที่สำคัญ. เป็นเวลาหลายปี, ผู้นำโซเวียต Mikhail Gorbachev ถกเถียงกันอย่างฉุนเฉียวเกี่ยวกับ SDI. อย่างไรก็ตาม ในปลายปี 1980s เขาตัดสินใจว่าระบบจะไม่ทำงานและไม่ควรถูกนำมาใช้เพื่อสกัดกั้นข้อเสนอการลดอาวุธกับสหรัฐ. นักประวัติศาสตร์ถกเถียงถึงความยิ่งใหญ่แค่ไหนที่จะส่งผลกระทบต่อภัยคุกคามที่ SDI มีในโซเวียต, มันมากพอหรือไม่ที่จะบังคับให้ Gorbachev เริ่มต้นการปฏิรูปอย่างรุนแรง, หรือเป็นไปได้หรือไม่ที่การเสื่อมสภาพทางเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตอย่างเดียวจะบังคับให้มีการปฏิรูป. มีข้อตกลงว่าโซเวียตได้ตระหนักว่าพวกเขาตามหลังชาวอเมริกันในด้านเทคโนโลยีทางการทหาร, และว่าการที่จะพยายามไล่ให้ทันจะมีราคาแพงมาก, และว่าค่าใช้จ่ายทางทหารได้เป็นภาระหนักมากอยู่แล้วที่จะทำให้เกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจของพวกเขา
การบุกเกรเนดาและการทิ้งระเบิดลิเบียของเรแกน ได้รับความนิยมในสหรัฐ, แม้ว่า การหนุนหลังพวกกบฏ Contras จะติดหล่มอยู่ในความขัดแย้งใน Iran–Contra affair ที่เผยให้เห็น รูปแบบการจัดการของเรแกนที่แย่มาก.
เรแกนได้พบกับผู้นำโซเวียต Mikhail Gorbachev สี่ครั้ง, ผู้ที่ขึ้นสู่อำนาจในปี 1985, และการประชุมการประชุมสุดยอดของพวกเขาได้นำไปสู่การลงนามของ สนธิสัญญากองกำลัง นิวเคลียร์ระดับกลาง. Gorbachev พยายามจะช่วยประหยัดให้พรรตคอมมิวนิสต์ในสหภาพโซเวียตเป็นครั้งแรกโดยการสิ้นสุดการแข่งขันด้านอาวุธที่มีราคาแพงกับอเมริกา, ในขณะนั้นโดยการกำจัดจักรวรรดิยุโรปตะวันออกในปี 1989. สหภาพโซเวียตล่มสลายในวันคริสต์มาสปี 1991, สิ้นสุดยุคสงครามเย็นระหว่างสหรัฐและสหภาพโซเวียต
สหรัฐกลายเป็นมหาอำนาจที่เหลือของโลกแต่เพียงผู้เดียว และยังคงที่จะเข้าไปแทรกแซงในกิจการระหว่างประเทศในระหว่างปี 1990s, รวมทั้งสงครามอ่าวกับอิรักในปี 1991. หลังจากการเลือกตั้งของเขาในปี 1992, ประธานาธิบดีบิล คลินตันควบคุมหนึ่งในช่วงเวลาที่ยาวที่สุดของการขยายตัวทางเศรษฐกิจและกำไรเป็นประวัติการณ์ในค่าหลักทรัพย์, ผลข้างเคียงของการปฏิวัติดิจิทัล, และโอกาสทางธุรกิจใหม่ที่สร้างขึ้นโดยอินเทอร์เน็ต. นอกจากนี้เขายังทำงานร่วมกับสภาคองเกรสพรรครีพับลิกันเพื่อผ่านงบประมาณของรัฐบาลกลางที่เป็นครั้งแรกที่สมดุลใน 30 ปี.
ในปี 1998 คลินตันถูกกล่าวโทษโดยสภาผู้แทนราษฎรในข้อหา "อาชญากรรมอย่างสูงและ ความผิดขั้นเบา" สำหรับการโกหกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเพศกับพนักงานฝึกงานทำเนียบขาว โมนิกา ลูวินสกี้ แต่หลังจากนั้นถูกตัดสินว่าไม่ผิดโดยวุฒิสภา. ความล้มเหลวของการฟ้องร้องและการชนะของพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งปี 1998 บังคับให้ประธานสภา Newt Gingrich จากพรรครีพับลิกันลาออกจากสภาคองเกรส.
การเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2000 ระหว่างจอร์จ ดับเบิลยู บุชและ อัลกอร์ เป็นหนึ่งในที่ใกล้ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐและช่วยหว่านเมล็ดพันธุ์สำหรับการแบ่งขั้วทางการเมืองที่กำลังมาถึง. การลงคะแนนเสียงตัดสินในรัฐฟลอริด้าอยู่ใกล้มากและสร้างความขัดแย้งอย่างมากในการนับคะแนน. ศาลฎีกาสหรัฐตัดสินในคดี Bush v. Gore ให้สิ้นสุดการนับใหม่ด้วยการลงคะแนนเสียง 5-4. นั่นหมายความว่า บุช, ซึ่งขณะนั้นกำลังนำ, ชนะในรัฐฟลอริดาและการเลือกตั้ง.
ศตวรรษที่ 21
บทความหลัก: ประวัติศาสตร์ของสหรัฐ (1991- ปัจจุบัน )
9/11 และสงครามกับความหวาดกลัว
บทความหลัก : การโจมตี 11 กันยายน, สงครามที่น่ากลัว, และ นิวเคลียร์ 9/11
เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 ("9/11"), สหรัฐถูกโจมตีดัวยผู้ก่อการร้าย เมื่อ 19 นักจี้เครื่องบินกลุ่มอัล กออิดะห์ เข้ายึดสี่สายการบินและจงใจพุ่งชนตึกแฝดทั้งสองของอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และเพนตากอน, ฆ่าคนเกือบ 3,000 คน, ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเรือน. ในการตอบสนอง ในวันที่ 20 กันยายน ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ประกาศ "สงครามกับความหวาดกลัว". เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2001 สหรัฐและนาโตบุกอัฟกานิสถานเพื่อขับไล่ระบอบการปกครองของตอลิบาน, ซึ่งให้ที่หลบภัยในสวรรค์กับอัล กออิดะห์ และผู้นำของเขา อุซามะห์ บินลาดิน.
รัฐบาลกลางได้จัดตั้งความพยายามในประเทศขึ้นใหม่ที่จะป้องกันการโจมตีในอนาคต. กฎหมายรักชาติสหรัฐ(อังกฤษ: USA PATRIOT Act) ที่ขัดแย้งได้เพิ่มอำนาจของรัฐบาลที่จะเฝ้าตรวจสอบการสื่อสารและข้อจำกัดทางกฎหมายที่ถูกถอดออกในการแชร์สารสนเทศระหว่างการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลกลางและหน่วยสืบราชการลับ. หน่วยงาน ระดับรัฐมนตรีที่เรียกว่า กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ถูกสร้างขึ้นเพื่อการนำและประสานงาน การจัดกิจกรรมต่อต้านการก่อการร้ายของรัฐบาลกลาง. บางส่วนของความพยายามต่อต้านการก่อการร้ายเหล่านี้, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจัดการของรัฐบาลสหรัฐของผู้ถูกคุมขังที่เรือนจำที่อ่าวกวนตานาโม, นำไปสู่ข้อกล่าวหาไปที่รัฐบาลสหรัฐในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ในปี 2003, จาก 19 มีนาคม - 1 พฤษภาคม สหรัฐบุกอิรัก, ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของรัฐบาลอิรักและในที่สุด ก็สามารถจับกุมตัวเผด็จการอิรัก ซัดดัม ฮัสเซน, ซึ่งสหรัฐได้มีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับเขาอย่างยาวนาน. สาเหตุของการบุกถูกอ้างโดยรัฐบาลบุช, รวมถึงการแพร่กระจายของประชาธิปไตยและการกำจัดอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (อังกฤษ: weapons of mass destruction) (เป็นความต้องการที่สำคัญของสหประชาชาติเช่นกัน, แม้ว่า การตรวจสอบภายหลังพบว่า หลายส่วนของรายงานข่าวกรองไม่ถูกต้อง) และเพื่อการปลดปล่อยของประชาชนชาวอิรัก. แม้จะมีความสำเร็จบางอย่างในช่วงต้นของการบุก, สงครามอิรักที่ต่อเนื่องได้เติมเชื้อเพลิงการประท้วงระหว่างประเทศ และค่อย ๆ เห็นการสนับสนุนในประเทศลดลงเมื่อคนจำนวนมากเริ่มตั้งคำถามว่า คุ้มหรือไม่กับค่าใช้จ่ายในการโจมตี. ในปี 2007 หลังจากหลายปีของการใช้ความรุนแรงจากการจลาจลในอิรัก, ประธานาธิบดีบุชวางกองกำลังมากขึ้นในกลยุทธ์ที่ขนานนามว่า "เพิ่มฉับพลัน"(อังกฤษ: surge) ในขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตลดลง, เสถียรภาพทางการเมืองของอิรักยังคงอยู่ในข้อสงสัย.
ในปี 2008, ความไม่เป็นที่นิยมในต้วประธานาธิบดี บุชและสงครามอิรัก, พร้อมกับวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2008, นำไปสู่การเลือก บารัค โอบามา, เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐคนแรกที่เป็นชาวแอฟริกันอเมริกัน. ชัยชนะของโอบามามีผลบางส่วนเนื่องมาจากความขัดแย้งของเขากับนโยบายต่างประเทศที่ไม่เป็นที่นิยมของบุช, โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการจัดการของเขาสำหรับสงครามอิรักและ มักจะให้เครดิตโดยเกจิและนักข่าวทั้งหลายสำหรับการช่วยให้เขาชนะอย่างหวุดหวิดเพื่อเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตในการเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเหนือฮิลลารี ร็อดแฮม คลินตัน, ผู้สนับสนุนสงครามในระยะแรก.
หลังจากการเลือกตั้ง, โอบามาดำเนินการต่อเรื่อง the surge อย่างไม่เต็มใจโดยการส่งกองทัพเสริมอีกท 20,000 นาย จนกระทั่งอิรักมีเสถียรภาพ. จากนั้นเขาก็จบปฏิบัติการรบในอิรักลงอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 สิงหาคม 2010, แต่ยังคงกำลังไว้ 50,000 นายในอิรักเพื่อช่วยกองกำลังอิรัก, ช่วยปกป้องการถอนกองกำลัง และทำงานต่อต้านการก่อการร้าย. ในวันที่ 15 ธันวาคม 2011, สงครามมีการประกาศว่าสิ้นสุดอย่างเป็นทางการ และกองทหารชุดสุดท้ายออกจากประเทศ. ในเวลาเดียวกัน โอบามาเพิ่มการมีส่วนร่วมของอเมริกันในอัฟกานิสถาน, เริ่มจากกลยุทธ์ surge โดยการเพิ่มกองกำลังอีก 30,000 นาย, ในขณะที่ เสนอให้เริ่มถอนทหารราวๆเดือนธันวาคม 2014. ในส่วนที่เกี่ยวกับอ่าวกวนตานาโม, ประธานาธิบดีโอบามาห้ามไม่ให้มีการทรมาน, แต่โดยทั่วไป ยังคงนโยบายของบุชเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมในกวนตานาโม, ในขณะที่ยังเสนอด้วยว่า ในที่สุดแล้ว คุกจะต้องถูกปิด.
ในเดือนพฤษภาคม 2011, หลังจากเกือบทศวรรษที่ซ่อนตัว, ผู้ก่อตั้งและผู้นำของ อัล กออิดะห์ , อุซามะห์ บินลาดิน ก็ถูกฆ่าตายในปากีสถานในการโจมตีที่ดำเนินการโดย กองกำลังพิเศษ ของกองทัพเรือสหรัฐ ทำหน้าที่ภายใต้คำสั่งของประธานาธิบดีโอบามาโดยตรง. ในขณะที่ อัล กออิดะห์ ใกล้ล่มสลายในอัฟกานิสถาน, องค์กรในเครือได้ดำเนินงานต่อเนื่องในเยเมนและพื้นที่ห่างไกลอื่น ๆ เมื่อซีไอเอใช้ยานไร้คนขับ(อังกฤษ: drone) ตามล่าและถอดความเป็นผู้นำ ของมันออก.
ภาวะถดถอยครั้งใหญ่
บทความหลัก : Great Recession
ในเดือนกันยายน 2008, สหรัฐ, และส่วนใหญ่ของยุโรป, เข้าสู่ภาวะถดถอยที่ยาวนานที่สุดหลังสงครามโลกครั้งที่สอง, มักจะถูกเรียกว่า"Great Recession". หลายวิกฤตที่ทับซ้อนกันมีส่วนเกี่ยวข้อง, โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิกฤตตลาดที่อยู่อาศัย, วิกฤตสินเชื่อซับไพรม์, ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น, วิกฤติอุตสาหกรรมยานยนต์, การว่างงานเพิ่มขึ้นและ วิกฤติการเงินที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่. วิกฤตการณ์ทางการเงินคุกคามเสถียรภาพของเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนกันยายนปี 2008 เมื่อ เลห์แมน บราเธอร์ส ล้มเหลวและ ธนาคาร ยักษ์ใหญ่อื่น ๆ ตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง. เริ่มต้นในเดือนตุลาคม รัฐบาลกลางให้เงินกู้ยืม 245 พันล้าน $ กับสถาบันการเงินโดยผ่านทางโปรแกรมบรรเทาปัญหาสินทรัพย์(อังกฤษ: Troubled Asset Relief Program) ซึ่งผ่านไปโดยเสียงข้างมากและลงนามโดยบุช.
หลังจากชัยชนะการเลือกตั้งของเขาในเดือนพฤศจิกายน ปี 2008, ตัวตายตัวแทนของบุช - บารัค โอบามา - ลงนามในกฎหมายการกู้คืนและการลงทุนใหม่ของอเมริกันปี 2009(อังกฤษ: American Recovery and Reinvestment Act of 2009) ซึ่งเป็นเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวน $ 787 พันล้านที่มุ่งช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวจากภาวะถดถอยที่ลึก. โอบามา, เช่นเดียวกับ บุช, เลือกขั้นตอนที่จะช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์และป้องกันการละลายทางเศรษฐกิจในอนาคต. เหล่านี้รวมถึง จ่ายเงินประกันตัวของ General Motors และ ไครสเลอร์, ทำให้การเป็นเจ้าของอยู่ชั่วคราวในมือของรัฐบาล และโปรแกรม"เงินสดสำหรับช่างเคาะ"(อังกฤษ: cash for clunkers) ที่ดึงยอดขายรถใหม่ชั่วคราว.
ภาวะถดถอยสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายน 2009, และเศรษฐกิจเริ่มขยายตัวอีกครั้งอย่างช้า ๆ อัตราการว่างงานสูงสุดที่ 10.1% ในเดือนตุลาคม 2009 หลังจากพุ่งขึ้นไปจาก 4.7% ในเดือนพฤศจิกายนปี 2007 และค่อย ๆ ลดลงเป็น 6.7% ณ มีนาคม 2014. อย่างไรก็ตาม การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมยังคงอ่อนแอลงในยุค 2010s เมื่อเทียบกับการขยายตัวในทศวรรษก่อนหน้า.
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้
จากปี 2009-2010, สภาคองเกรสชุดที่ 111th ได้ผ่านกฎหมายที่สำคัญเช่น พระราชบัญญัติการป้องกันผู้ป่วยและการดูแลรักษาที่สามารถจ่ายได้, การปฏิรูปวอลล์สตรืทของ Dodd-Frank และ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค และ พระราชบัญญัติยกเลิกไม่ถามไม่บอก, ที่ถูกลงนามให้เป็นกฎหมายโดยประธานาธิบดีโอบามา ต่อจากการเลือกตั้งกลางเทอมปี 2010 ซึ่งส่งผลให้พรรครีพับลิกันควบคุมสภาผู้แทนราษฎร และพรรคเดโมแครตควบคุมวุฒิสภา, สภาคองเกรสได้เป็นประธานในช่วง gridlock ที่ถูกยกระดับสูงและการอภิปรายร้อนฉ่าว่าควรหรือไม่ที่จะปรับเพิ่มเพดานหนี้, การขยายการลดภาษีสำหรับประชาชนที่มีรายได้เกิน 250,000 ดอลลาร์ต่อปี และหลายประเด็นที่สำคัญอื่น ๆ เหล่านี้ การอภิปรายอย่างต่อเนื่องนำไปสู่ ประธานาธิบดีโอบามา ลงนามในพระราชบัญญัติควบคุมงบประมาณ ปี 2011 และ พระราชบัญญัติบรรเทาการเสียภาษีชาวอเมริกันปี 2012, ซึ่งมีผลในการปรับลดการอายัดงบประมาณซึ่งมีผลบังคับใช้ในมีนาคม 2013 - รวมทั้ง การเพิ่มขึ้นของ ภาษีสำหรับผู้ร่ำรวยเป็นหลัก. gridlock ในรัฐสภาได้มีอย่างต่อเนื่อง เมื่อการเรียกร้องของสมาชิกรัฐสภาสายพรรครีพับลิกันเพื่อยกเลิกพระราชบัญญัติการคุ้มครองผู้ป่วยและการดูแลที่พอจ่ายได้, ที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายว่าเป็น "Obamacare" พร้อมกับการเรียกร้องที่หลากหลายอื่น ๆ, ที่มีผลในการปิดการทำงานของรัฐบาลครั้งแรกนับตั้งแต่รัฐบาลคลินตัน และเกือบนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ครั้งแรกของสหรัฐตั้งแต่ศตวรรษที่ 19. อันเป็นผลมาจากการเจริญเติบโตของความผิดหวังกับทั้งสองพรรคในสภาคองเกรสตั้งแต่จุดเริ่มต้นของทศวรรษ, การจัดอันดับการอนุมัติของรัฐสภาตกต่ำเป็นประวัติการที่มีเพียง 11% ของชาวอเมริกันอนุมัติ ณ ตุลาคม 2013.
เหตุการณ์สำคัญอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงยุค 2010s รวมถึง การเพิ่มขึ้นของการเคลื่อนไหวทางการเมืองใหม่ทั่วโลก เช่น การเคลื่อนไหวของงานเลี้ยงน้ำชาอนุรักษนิยมในสหรัฐและ การเคลื่อนไหวเสรีนิยมครอบครอง. นอกจากนี้ยังมีสภาพอากาศเลวร้ายผิดปกติในช่วงฤดูร้อนปี 2012, และกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศที่ประสบความแห้งแล้งที่ต้องบันทึก, พายุเฮอริเคนแซนดี้ ทำให้เกิดความเสียหายมากไปยังพื้นที่ชายฝั่งทะเลของนิวยอร์กและนิวเจอร์ซีย์. ในช่วงปลายเดือนตุลาคม การอภิปรายอย่างต่อเนื่องในเรื่องของสิทธิของชุมชน, ที่โดดเด่นที่สุดคือเรื่องของ การแต่งงานเพศเดียวกัน, เริ่มเปลี่ยนในความพอใจของคู่รักเพศเดียวกัน และได้รับการ สะท้อนให้เห็นในหลายสิบโพลล์ที่ออกมาในช่วงต้นของทศวรรษ, ประธานาธิบดีโอบามาจะกลายเป็น ประธานาธิบดีคนแรกที่จะเปิดเผยว่าสนับสนุนการแต่งงานเพศเดียวกัน และปี 2013 การตัดสินใจของศาลฎีกาในคดีของ United States v. Windsor และ Perry v. Hollingsworth. ณ มิถุนายน 2013 การอภิปรายต่อเกี่ยวกับการอายัดอย่างต่อเนื่อง, เช่นเดียวกับการปฏิรูปภาษี, การแต่งงานเพศเดียวกัน, การปฏิรูปการตรวจคนเข้าเมือง, การควบคุมปืน และ นโยบายต่างประเทศของสหรัฐในตะวันออกกลาง
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
- Melvyn Stokes, ed. The State of U.S. History (2002) pp 1, 348
- For a capsule online history see Alonzo Hamby, "Outline of U.S. History" (2010) online; for recent textbooks see David M. Kennedy and Lizabeth Cohen, The American Pageant (15th ed. 2012); James A. Henretta, Rebecca Edwards and Robert O. Self, America's History (8th ed. 2014); James L. Roark, et al. American Promise (5th ed. 2013); Robert A. Divine, et al. America Past and Present (10th ed. 2012)
- https://en.wikipedia.org/wiki/Prohibition_in_the_United_States
- David Heidler and Jeanne T. Heidler, Indian Removal (2006)
- Robert Vincent Remini, Andrew Jackson and His Indian Wars (2002)
- Sydney Ahlstrom, A Religious History of the American People (1972) pp 415-71
- Timothy L. Smith, Revivalism and Social Reform: American Protestantism on the Eve of the Civil War (1957)
- John Stauffer, Giants: The Parallel Lives of Frederick Douglass and Abraham Lincoln (2009)
- James Oakes (2008). The Radical and the Republican: Frederick Douglass, Abraham Lincoln, and the Triumph of Antislavery Politics. W. W. Norton. p. 57.
- Molly Oshatz (2011). Slavery and Sin: The Fight Against Slavery and the Rise of Liberal Protestantism. Oxford U.P. p. 12.
- Mintz, Steven (2006). . Digital History. . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-10-12. สืบค้นเมื่อ February 6, 2008.
- George Mowry, The Era of Theodore Roosevelt and the Birth of Modern America, 1900–1912 (Harpers, 1954)
- Thomas G. Paterson. "United States Intervention in Cuba, 1898: Interpretations of the Spanish–American–Cuban–Filipino War," The History Teacher (1996) 29#3 pp. 341–361 in JSTOR
- Fred H. Harrington, "The Anti-Imperialist Movement in the United States, 1898–1900," Mississippi Valley Historical Review (1935) 22#2 pp. 211–230 in JSTOR
- Thomas A. Bailey, "Was the Presidential Election of 1900 a Mandate on Imperialism?" Mississippi Valley Historical Review (1937) 24#1 pp 43–52 in JSTOR
- Peter W. Stanley, A Nation in the Making: The Philippines and the United States, 1899–1921 (1974)
- Richard J. Jensen, Jon Thares Davidann, and Yoneyuki Sugital, eds. Trans-Pacific relations: America, Europe, and Asia in the twentieth century (Greenwood, 2003)
- McNabb, James B. (2005). "Germany's Decision for Unrestricted Submarine Warfare and Its Impact on the U.S. Declaration of War". ใน Roberts, Priscilla Mary; Spencer Tucker (บ.ก.). World War I: Encyclopedia. ABC-CLIO. pp. 482–483. ISBN . จากแหล่งเดิมเมื่อ October 7, 2015. สืบค้นเมื่อ June 27, 2015.
- Edward M. Coffman, The War to End All Wars: The American Military Experience in World War I (1998)
- John Milton Cooper, Breaking the Heart of the World: Woodrow Wilson and the Fight for the League of Nations (2001)
- Though it is popularly known as the first-ever women's rights convention, the was preceded by the in 1837 held in New York City, at which women's rights issues were debated, especially African-American women's rights.
• ; Collier-Thomas, Bettye (1997). "Introduction". African American women and the vote, 1837–1965. University of Massachusetts Press. pp. 2–9. ISBN .
In June 1848, two male-organized conventions discussed the rights of women: The in Persia, at which advocated women's rights and took off her veil; and the National Convention in New York at which presidential candidate established a party plank of women's suffrage after much debate. - Rebecca J. Mead, How the Vote Was Won: Woman Suffrage in the Western United States, 1868–1914 (2006)
- Glenda Riley, Inventing the American Woman: An Inclusive History (2001)
- Aileen S. Kraditor, The Ideas of the Woman Suffrage Movement: 1890–1920 (1967)
- Katherine H. Adams and Michael L. Keene, Alice Paul and the American Suffrage Campaign (2007)
- Elizabeth Frost-Knappman and Kathryn Cullen-Dupont, Women's Suffrage in America (2004)
- Lynn Dumenil, The Modern Temper: American Culture and Society in the 1920s (1995) pp 98–144
- Kristi Andersen, After Suffrage: Women in Partisan and Electoral Politics before the New Deal (1996)
- Lichtman, Allan J. (2000) [1979]. Prejudice and the Old Politics: The Presidential Election of 1928. Lexington Books. p. 163. ISBN . จากแหล่งเดิมเมื่อ October 16, 2015. สืบค้นเมื่อ June 27, 2015.
- . U.S. Department of State. April 29, 1991. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-10-16. สืบค้นเมื่อ 2014-04-22.
- Rodney P. Carlisle (2009). Handbook to Life in America. Infobase Publishing. p. 245ff.
- . U.S. Department of Health & Human Services. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-07-21. สืบค้นเมื่อ 2014-04-22.
- For a comprehensive history by a leading scholar see David M. Kennedy, Freedom from Fear: The American People in Depression and War, 1929–1945 (Oxford History of the United States) (2001)
- Shlaes 2008, pp. 85, 90
- David M. Kennedy, "What the New Deal Did," Political Science Quarterly, (Summer 2009) 124#2 pp 251–268
- Conrad Black, Roosevelt: Champion of Freedom (2003) pp 648–82
- Gordon W. Prange, Donald M. Goldstein and Katherine V. Dillon, At Dawn We Slept: The Untold Story of Pearl Harbor (1982)
- Harold G. Vatter, The U.S. Economy in World War II (1988) pp 27–31
- David Kennedy, Freedom from Fear: The American People in Depression and War, 1929–1945 (2001) pp 615–68
- David M. Kennedy, Freedom from Fear (1999) pp 615–668
- Roger Daniels, Prisoners Without Trial: Japanese Americans in World War II (2004)
- Richard Rhodes, The Making of the Atomic Bomb (1995)
- Stephen Ambrose, Eisenhower and Berlin, 1945: The Decision to Halt at the Elbe (2000)
- Ronald H. Spector, Eagle Against the Sun (1985) ch 12–18
- D. M. Giangreco, Hell to Pay: Operation DOWNFALL and the Invasion of Japan, 1945–1947 (2009)
- Richard B. Finn, Winners in Peace: MacArthur, Yoshida, and Postwar Japan (1992) pp 43–103
- Leland, Anne; Oboroceanu, Mari–Jana (February 26, 2010). "American War and Military Operations Casualties: Lists and Statistics" (PDF). Congressional Research Service. สืบค้นเมื่อ February 18, 2011. p. 2.
- John Lewis Gaddis, The Long Peace: Inquiries Into the History of the Cold War (1989)
- John Lewis Gaddis, The Cold War: A New History (2005)
- John Lewis Gaddis, The Long Peace: Inquiries Into the History of the Cold War (1989)
- James T. Patterson, Grand Expectations: The United States, 1945–1974 (1988)
- "Table 1. United States – Race and Hispanic Origin: 1790 to 1990" (PDF). สืบค้นเมื่อ January 31, 2010.
- Michael O'Brien, John F. Kennedy: A Biography (2005)
- Eric Alterman and Kevin Mattson, The Cause: The Fight for American Liberalism from Franklin Roosevelt to Barack Obama (2012)
- Robert Dallek, Lyndon B. Johnson: Portrait of a President (2004)
- Irving Bernstein, Guns or Butter: The Presidency of Lyndon Johnson (1994)
- , Edwin S. Gaustad, John B. Boles, Sally Foreman Griffith, Randall M. Miller, Randall B. Woods, Unto a Good Land: A History of the American People (2005) pp 1052–53
- Gregory Schneider, The Conservative Century: From Reaction to Revolution (Rowman & Littlefield. 2009) ch 5
- Bruce J. Dierenfield, The Civil Rights Movement (2004)
- Joshua Zeitz. "Why Did America Explode in Riots in 1967?" 2010-01-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. AmericanHeritage.com. July 23, 2007.
- Angela Howard Zophy, ed. Handbook of American Women's History (2nd ed. 2000).
- Donald T. Critchlow, Phyllis Schlafly and Grassroots Conservatism: A Woman's Crusade (2005)
- Jane J. Mansbridge, Why We Lost the ERA (1986)
- Donald T. Critchlow, Intended Consequences: Birth Control, Abortion, and the Federal Government in Modern America (2001)
- Roger Chapman, Culture Wars: An Encyclopedia of Issues, Voices, and Viewpoints (2009)
- John Robert Greene, The Presidency of Gerald R. Ford (1995)
- Martha Derthick, The Politics of Deregulation (1985)
- "People & Events: The Election of 1976". American Experience. PBS. สืบค้นเมื่อ January 31, 2010.
- Urofsky, Melvin I. (2000). The American Presidents. Taylor & Francis. p. 545. ISBN .
- "Jan 20, 1981: Iran Hostage Crisis ends". This Day in History. History.com. สืบค้นเมื่อ June 8, 2010.
- "Effective Federal Tax Rates: 1979–2001". Bureau of Economic Analysis. July 10, 2007.
- Wilentz 2008, pp. 140–141
- . Miseryindex.us. November 8, 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-09-20. สืบค้นเมื่อ January 31, 2010.
- Wilentz 2008, p. 170
- Julian E. Zelizer (2010). Arsenal of Democracy: The Politics of National Security--From World War II to the War on Terrorism. Basic Books. p. 350.
- van Dijk, Ruud; และคณะ (2013). Encyclopedia of the Cold War. Routledge. pp. 863–64. ISBN .
- John Ehrman; Michael W. Flamm (2009). Debating the Reagan Presidency. Rowman & Littlefield. pp. 101–82.
- Wilentz 2008, pp. 243–244
- Wilentz 2008, p. 400
- Wilentz 2008, pp. 420–427
- National Commission on Terrorist Attacks, The 9/11 Commission Report (2004)
- David E. Sanger, Confront and Conceal: Obama's Secret Wars and Surprising Use of American Power (2012) ch 1, 5
- Julian E. Zelizer, ed. The Presidency of George W. Bush: A First Historical Assessment (2010) pp 59–87
- Zelizer, ed. The Presidency of George W. Bush: A First Historical Assessment (2010) pp 88–113
- "CIA's final report: No WMD found in Iraq". MSNBC. Associated Press. April 25, 2005. สืบค้นเมื่อ April 22, 2008.
- Clifton, Eli (November 7, 2011). "Poll: 62 Percent Say Iraq War Wasn't Worth Fighting". ThinkProgress. สืบค้นเมื่อ February 24, 2012.
- Milbank, Dana; Deane, Claudia (June 8, 2005). "Poll Finds Dimmer View of Iraq War". Washington Post. สืบค้นเมื่อ October 10, 2010.
- Wilentz 2008, p. 453
- William Crotty, "Policy and Politics: The Bush Administration and the 2008 Presidential Election," Polity (2009) 41#3 pp 282–311 doi:10.1057/pol.2009.3
- http://usliberals.about.com/od/obamavsmccainin08/a/ObamaWin_4.htm
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-06-02. สืบค้นเมื่อ 2014-04-24.
- NBC News, "'The war is over': Last US soldiers leave Iraq," MSNBC Dec. 18, 2011
- Glenn Greenwald, "Obama’s new executive order on Guantanamo: The president again bolsters the Bush detention regime he long railed against," Salon March 8, 2011
- Obama Lays Out Strategy for 'New Phase' in Terror Fight
- Baker, Peter; Cooper, Helene; Mazzetti, Mark (May 1, 2011). "Bin Laden Is Dead, Obama Says". The New York Times.
- Peter L. Bergen, Manhunt: The Ten-Year Search for Bin Laden--from 9/11 to Abbottabad (2012) pp 250-61
- Thomas Payne, The Great Recession: What Happened (2012)
- Robert W. Kolb (2011). The Financial Crisis of Our Time. Oxford University Press. p. 96ff.
- Riley, Charles (February 3, 2011). "Treasury close to profit on TARP bank loans". CNN Money.
- . November 5, 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-10-16. สืบค้นเมื่อ 2014-04-24.
- Steven Rattner, Overhaul: An Insider's Account of the Obama Administration's Emergency Rescue of the Auto Industry (2010)
- Kaiser, Emily (September 20, 2010). "Recession ended in June 2009: NBER". Reuters.
- http://www.cnbc.com/id/101402528
- "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-09. สืบค้นเมื่อ 2014-04-24.
- Bruce S. Jansson (2011). The Reluctant Welfare State: Engaging History to Advance Social Work Practice in Contemporary Society. Cengage Learning. p. 466.
- Watson, Robert P.; และคณะ (2012). The Obama Presidency: A Preliminary Assessment. SUNY Press. ISBN .
- Paul R. Abramson et al. Change and Continuity in the 2008 and 2010 Elections (2011)
- By (December 22, 2011). "Congress Ends 2011 Mired in Gridlock". InvestorPlace. สืบค้นเมื่อ February 24, 2012.
- http://www.gallup.com/poll/165281/congress-job-approval-falls-amid-gov-shutdown.aspx
- http://www.pollingreport.com/civil.htm
แหล่งที่มา
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 11, 2011.
- "Outline of American History – Chapter 1: Early America". usa.usembassy.de. จากแหล่งเดิมเมื่อ November 20, 2016. สืบค้นเมื่อ September 27, 2019.
- ; Beard, Mary Ritter; Jones, Wilfred (1927). The Rise of American civilization. .
- Chenault, Mark; Ahlstrom, Rick; Motsinger, Tom (1993). In the Shadow of South Mountain: The Pre-Classic Hohokam of 'La Ciudad de los Hornos', Part I and II.
- Coffman, Edward M. (1998). The War to End All Wars: The American Military Experience in World War I.
- Cooper, John Milton (2001). Breaking the Heart of the World: Woodrow Wilson and the Fight for the League of Nations. Cambridge University Press. ISBN .
- Corbett, P. Scott; Janssen, Volker; Lund, John M.; Pfannestiel, Todd; Waskiewicz, Sylvie; Vickery, Paul (June 26, 2020). "3.3 English settlements in America. The Chesapeake colonies: Virginia and Maryland. The rise of slavery in the Chesapeake Bay Colonies". . OpenStax. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 8, 2020. สืบค้นเมื่อ August 8, 2020.
- Dangerfield, George (1963). The Era of Good Feelings: America Comes of Age in the Period of Monroe and Adams Between the War of 1812, and the Ascendancy of Jackson.
- Day, A. Grove (1940). . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 26, 2012.
- (2005). The Cold War: A New History.
- (1989). The Long Peace: Inquiries Into the History of the Cold War.
- (1972). The United States and the Origins of the Cold War, 1941–1947. Columbia University Press. ISBN .
- Goodman, Paul. The First American Party System. in Chambers, William Nisbet; Burnham, Walter Dean, บ.ก. (1967). The American Party Systems: Stages of Political Development.
- Greene, John Robert (1995). The Presidency of Gerald R. Ford.
- Greene, Jack P. & Pole, J. R., บ.ก. (2003). A Companion to the American Revolution (2nd ed.). ISBN .
- Guelzo, Allen C. (2012). "Chapter 3–4". Fateful Lightning: A New History of the Civil War and Reconstruction. ISBN .
- Guelzo, Allen C. (2006). Lincoln's Emancipation Proclamation: The End of Slavery in America.
- Henretta, James A. (2007). . Encarta Online Encyclopedia. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 23, 2009.
- Hine, Robert V.; Faragher, John Mack (2000). The American West: A New Interpretive History. Yale University Press.
- (2009). What Hath God Wrought: The Transformation of America, 1815–1848. Oxford History of the United States. p. 798. ISBN .
- Jacobs, Jaap (2009). (2nd ed.). Cornell University Press. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 29, 2012.
- ; Davidann, Jon Thares; Sugital, Yoneyuki, บ.ก. (2003). Trans-Pacific relations: America, Europe, and Asia in the twentieth century. Greenwood.
- (1999). . Oxford History of the United States.
- ; ; (2002). The American Pageant: A History of the Republic (12th ed.). Boston: . ISBN .
- Middleton, Richard; Lombard, Anne (2011). Colonial America: A History to 1763. . ISBN .
- Milkis, Sidney M.; Mileur, Jerome M., บ.ก. (2002). The New Deal and the Triumph of Liberalism.
- Miller, John C. (1960). The Federalist Era: 1789–1801. Harper & Brothers.
- Norton, Mary Beth; และคณะ (2011). A People and a Nation, Volume I: to 1877 (9th ed.). . ISBN .
- Ogawa, Dennis M.; Fox, Evarts C. Jr. (1991). Japanese Americans, from Relocation to Redress.
- Patterson, James T. (1997). Grand Expectations: The United States, 1945–1974. Oxford History of the United States.
- Rable, George C. (2007). But There Was No Peace: The Role of Violence in the Politics of Reconstruction.
- Riley, Glenda (2001). Inventing the American Woman: An Inclusive History.
- Savelle, Max (2005) [1948]. Seeds of Liberty: The Genesis of the American Mind. Kessinger Publishing. pp. 185–90. ISBN .
- Stagg, J. C. A. (1983). Mr Madison's War: Politics, Diplomacy and Warfare in the Early American Republic, 1783–1830. . ISBN .
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
lingkkhamphasa inbthkhwamni miiwihphuxanaelaphurwmaekikhbthkhwamsuksaephimetimodysadwk enuxngcakwikiphiediyphasaithyyngimmibthkhwamdngklaw krann khwrribsrangepnbthkhwamodyerwthisudbthkhwamnixactxngkartrwcsxbtnchbb indaniwyakrn rupaebbkarekhiyn kareriyberiyng khunphaph hruxkarsakd khunsamarthchwyphthnabthkhwamid wnerimtnprawtisastrkhxngshrthmikarthkethiyngkninhmunkprawtisastr taraekaerimtninpi kh s 1492 thiennphunhlngkhxngyuorp hruxerimtninpi kh s 1600 thiennchayaednxemrika inchwngthswrrsthiphanma orngeriynaelamhawithyalyinxemrikamkcakhybiprwmprawtisastrkhxngchnphunemuxngmakkhun aethnthicarwmaekhyukhxananikhm chnphunemuxngthiekhyxasyxyuinswnthiepnshrthintxnniepnphn pi aelaphthnawthnthrrmthisbsxnkxnchawxananikhmkhxngyuorperimthicamathung swnihycakpraethsxngkvs hlngpikh s 1600 sepnmikartngthinthaninchwngtnkhxngrthflxridaaelathangtawntkechiyngit aelafrngesstngthinthantamaemnamississippiaelachayfngxawemksiok inchwngthswrrsthi 1770 sibsamxananikhmkhxngxngkvsmicanwnprachakrpraman 2 5 lankhnxyutamaenwchayfngmhasmuthraextaelntikaelathangtawnxxkkhxng aenwethuxkekhaaexpphaelechiyn hlngcakkhbilchawfrngessxxkcakthwipxemrikaehnuxinpikh s 1763 xngkvsidkahndchudkhxngphasiihminkhnathiptiesthkhxotaeyngkhxngxemriknwa phasicaepnthicatxngekhaspha aerngtanphasiodyechphaaxyangying partinachathibxstn xngkvs Boston Tea Party inpikh s 1774 naipsu karlngothsodysphathiidrbkarxxkaebbintwexngkhxngrthbalinaemssachuests thng 13 xananikhmrwmtwkninsphakhxngekrsthinaipsukhwamkhdaeyngthiichxawuthineduxnemsayn kh s 1775 inwnthi 4 krkdakhm kh s 1776 sphakhxngekrslngmtiyxmrbkarkhaprakasxisrphaphshrth xngkvs Declaration of Independence thiekhiynkhunody thxms ecfefxrsn thiprakaswamnusythukkhnthuksrangkhunihethaethiymknaelakxtngpraethsihm nnkkhuxshrth dwykxngkalngthharkhnadihyaelakarsnbsnunthangkarengincakfrngess aelakhwamepnphunathangthharnaodynayphl cxrc wxchingtn phurkchatithnghlaychawxemriknchnasngkhramptiwtixemrika snthisyyasntiphaphpikh s 1783 ihpraethsihmswnihykhxngdinaednthangtawnxxkkhxngaemnamississippi ykewnflxrida rthbalaehngchatithicdtngkhuntamkhxbngkhbkhxngsmaphnth xngkvs Articles of Confederation idphisucnaelwwaichimidphlthicaihkhwammnkhngkbpraethsihm enuxngcakimmixanacinkarekbphasiaelaimmiphubriharradbsung karprachumthicdkhuninfilaedlefiy inpikh s 1787 ephuxprbprungkhxbngkhbkhxng smaphnthsngphlihmikarekhiynrththrrmnuyihmaethn sungthukyxmrb inpikh s 1789 aelainpikh s 1791 sungbyytiwadwysiththiphunthankhxngphlemuxng xngkvs Bill of Rights thukephimekhamaephuxrbpraknsiththitang thichxbthrrmsahrbkarptiwti sungmi cxrc wxchingtn epnprathanathibdikhnaerkkhxngpraeths aelamixelksanedxr aehmiltn epnthipruksathangkaremuxngaelathangkarenginkhxngekha rthbalaehngchatithiaekhngaekrngidthuksrangkhunemux othms ecfefxrsn idepnprathanathibdi ekhaidsuxhluyesiynacakfrngess thaihkhnadkhxngpraethsihykhunepnsxngetha aelaidthasngkhramkbxngkvsepnkhrngthisxngaelakhrngsudthayinpikh s 1812 praethsthukphlkdnodykhwamechuxkhxngchatakrrmthiednchd idkhyaytwekinkwakarsuxluyesiynatlxdthangipthungaekhlifxreniyaelaoxerkxn karkhyaytwidrbkarphlkdnodykaraeswnghathidinrakhaimaephngsahrbekstrkr esrichn aelaecakhxngthas karkhyaytwniepnthithkethiyngknaelaetimechuxkhwamaetktangthiaekikhimidrahwangphakhehnuxaelaphakhitineruxngsthabnkhxngkarepnthasindinaednihm thasthukykelikinthukrththangtxnehnuxkhxngesnemsn diksninpikh s 1804 aetphakhityngkhngmikaircaksthabnephuxphlitfaysngxxkinmulkhasungephuxihthnkhwamtxngkarthisungkhuninyuorp inkareluxktngprathanathibdipi 1860 khxngnktxtankarepnthascakphrrkhriphblikn xbrahm linkhxln cudchnwnihekidkaraeyktwkhxngecdrth txmaepnsibexdrth rththasthicdtngsmaphnthrthinpikh s 1861 kxihekidsngkhramklangemuxngxemrikn kh s 1861 1865 phlthitammakhuxwsduthwmthnaelakhxidepriybkalngkhnkhxngphakhehnuxepntwchikhadinsngkhramthiyawnan inkhnathixngkvsaelafrngessyngkhngepnklang phlkkhuxkarfunfukhxngshphaph karaernaekhnkhxngphakhit aelakarelikthas inyukhburna xngkvs Reconstruction era 1863 1877 siththitamkdhmayaelakarxxkesiynglngkhaaennthukkhyayipyngesrichn esrithas rthbalaehngchatiekidkhwamekhmaekhngmakkhun ephraakhaaepryttithisibsi xngkvs Fourteenth Amendment mnidrbhnathithichdecninkarpkpxngsiththiswnbukhkhl xyangirktamkdhmaythiaeykcakknaelakdhmaykhxng cim okhrw thingihkhnphiwdaepnphlemuxngchnsxnginphakhitthimixanacnxycnthungpikh s 1960 shrthklayepnmhaxanacthangxutsahkrrmchnnakhxngolkinchwngepliynphanstwrrsthi 20 enuxngcakkarraebidkhxngphuprakxbkarinphakhtawnxxktxnehnuxaelatawntktxnklang aelakarmathungkhxngaerngnganxphyphaelaekstrkrcakyuorp ekhruxkhaythangrthifkhxngpraethsthuksrangihaelwesrcodykarthangankhxngphuxphyphchawcin aelakarthaehmuxngaeraelaorngngankhnadihysrangnganxutsahkrrmihkbphakhtawnxxktxnehnuxaelaphakhtawntktxnklang thaihkhwamimphxickhxngmwlchnkbkarthucritaelakaremuxngaebbdngedimkratunkarekhluxnihwkawhna cakyukhthswrrsthi 1890 1920 sungnaipsu karptirupmakmayrwmthngkaraekikhrththrrmnuykhrngthi 16 19 sungthaihekidphasienginidkhxngrthbalklanginkareluxktngwuthisphaodytrng khxhamaelasiththiinkarxxkesiyngkhxngstri inkhnaerk karepnklanginchwngsngkhramolkkhrngthihnung shrthidprakassngkhramkbeyxrmniinpikh s 1917 aelaidrbchychnacakphnthmitrinpitxip striidrbsiththiinkarlngkhaaennesiynginpikh s 1920 odychawphunemuxngxemriknidrbsychatiaelasiththiinkarlngkhaaennesiynginpikh s 1924 txnaerkthishrthepnklanginsngkhramolkkhrngthihnung shrthprakassngkhramkbeyxrmniinpikh s 1917 aelaihenginsnbsnunphnthmitrcnidchychnainpitxma hlngcakthswrrsthiecriyrungeruxnginpikh s 1920 wxllstrithphngthlayinpikh s 1929 thaihekidkarerimtnkartktakhxngesrsthkickhrngyingihythiaephkhyaythwolknannbthswrrs aefrngklin orsewlt aehngphrrkhedomaekhrtcbkarkhrxbngathaeniybkhawkhxngphrrkhriphbliknaeladaeninkaropraekrmkhxngekha khxtklngihmephuxbrretha kukhun aelaptirup phwkekhaihkhaniyamwaepnesriniymxemriknthithnsmyehlanirwmthungkarbrrethakarwangngan karsnbsnunekstrkr karpraknsngkhm aelakhacangkhnta hlngcakthiyipunocmtiephirlharebxr emuxwnthi 7 thnwakhm kh s 1941 shrthidekharwmsngkhramolkkhrngthisxngrwmkbphnthmitrodyechphaaxyangying shrachxanackr aelashphaphosewiyt phwkekhacaythunsngkhramihkbphnthmitraelachwyihchnanasieyxrmniinyuorpaelakarthingraebidprmanuthiyipunintawnxxkikl shrthaelashphaphosewiytklayepnmhaxanackhuaekhnghlngsngkhramolkkhrngthisxngrawpikh s 1947 phwkekhaerimsngkhrameynkarephchiyhnakbxikkhnhnungodythangxxminkaraekhngkhndanxawuthaelaxwkas noybaytangpraethskhxngshrthinchwngsngkhrameynthuksrangkhunrxb karsnbsnunkhxngyuorptawntkaelayipun noybaykhxng exaxyu hruxkarhyudkaraephrkracaykhxnglththikhxmmiwnist shrthmiswnrwminsngkhramekahliaelasngkhramewiydnam ephuxhyudkaraephrkracayinpikh s 1960 odyechphaaxyangyingkhwamaerngkhxngkarekhluxnihwkhxngsiththimnusychn khlunxun khxngkarptirupthangsngkhmthuknamaichinrahwangkarbriharkhxngekhnendiaelacxhnsn karbngkhbichsiththitamrththrrmnuykhxngkarlngkhaaennaelaesriphaphinkarekhluxnihwkhxngkhnaexfrikn xemrikn aelachnklumnxyxun karekhluxnihwkhxngchawxemriknphunemuxngkephimkhundwy sngkhrameynsinsudlngemuxshphaphosewiytslayinpikh s 1991 plxyihshrthepnmhaxanackhxngolkephiyngphuediyw emuxstwrrsthi 21 erimtn khwamkhdaeyngrahwangpraethsthimisunyklangrxb tawnxxkklangaelaaephrkracayipyngexechiyaelaaexfrika tamdwykarocmtiinehtukarn 11 knyayn odyxlkxxidah txshrth inpikh s 2008 shrthmiwikvtthangesrsthkicthielwraythisudnbtngaetphawaesrsthkictktakhrngihyhlngsngkhramolkkhrngthihnung sungtammadwyxtrakarecriyetibotthangesrsthkicthichakwapktiinyukhthswrrsthi 2010smykxnokhlmbsnkwithyasastrtngsmmutithanwamnusymathungthwipxemrikakhrngaerkemux 40 000 thung 14 000 pikxninyukhnaaekhng ephraaradbnathaelldlngthaihchxngaekhbaebringtunekhin thaihchawexechiyxphyphekhamaklayepnchawxinediynphunemuxngtang thngthwipxemrikainpccubn phidkbxemrikaklang inxemrikaehnuxchawphunemuxngimidsrangxarythrrmthiyingihydngechnxsethkhhruxxinkha aetepnchnephaerrxnlastw Hunter gatherers hruxbangphwkktngthinthanthaekstrkrrm xarythrrmekstrkrrminxemrikaehnuxthiphthnamakthisudkhux Mississipian Culture inpraman kh s 1000 thung kh s 1400 mkcasrangmuldinkhunmaephuxxyuxasyaelaphithikrrmsasna cungeriykwa phwksrangmuldin Mound builders chumchnthiihythisudkhxngwthnthrrmmississippi khuxkhaohekiy Cahokia inrthxillinxysxananikhmkhxngyuorpaemokhlmbscaphbthwipxemrikain kh s 1492 aetkwnewiynxyuinhmuekaaaekhribebiynethann in kh s 1513 khwn pxnges ed elxxng Juan Ponce de Leon nksarwcchawsepnmaflxridaephuxkhnhanaphuaehngkhwameyawwy Fountain of Youth sepnepnchatiaerkthitngxananikhminxemrika aetaekhphiwchayfng imekhaiplukmak in kh s 1540 Francisco Vasquez de Coronado chawsepnsarwcthaelthraythangtawnxxkechiyngitkhxngshrth phbaekrndaekhnyxn swnxngkvsnntngxananikhmaerkkhuxecmsthawn Jamestown in kh s 1607 tngchuxtamphranamphraecaecmsthi 1 odybristhlxndxnewxrcieniy London Virginia Company sungcaphthnaklayepnrthewxrcieniy inpiaerk vduhnawnnhnawehnbphukhnlmtayephraakhadxahar aetdwykhwamchwyehluxkhxngchawphunemuxng thaihxananikhmyngxyurxd aelaidyasub tobacco epnphuchesrsthkicchnidihm plukepnirkhnadihy Plantation mikarnathasphiwdacakaexfrikamaich inxngkvsekidsngkhramklangemuxngxngkvsaelakarkdkhisasna thaihphwknikaytang hlbhnimaxemrikaephuxtngrkrak phwk Pilgrim nngeruxemyflawewxr Mayflower matngxananikhmphlimth prakas Mayflower Compact ephuxpkkhrxngtnexng phwkklumephiywritn idrbkarkdkhiinxngkvshnimatng Massachusette Bay ephuxsrangdinaedninxudmkhtikhxngnikayphiwritn in kh s 1675 chawxananikhmthasngkhramkbchawphunemuxngxyangdueduxdinsngkhramphraecafilip King Philip s War thaihchawphunemuxngaelachawxananikhmlmtaymakmay xananikhmphlimthaelaaemssachuestrwmknin kh s 1691 rwmeriykwa New England chatixunkmatngxananikhmechnkn in kh s 1638 swiedntngxananikhmedlaaewr aetthukhxlndayud hxlndatngxananikhm New Netherlands prakxbdwyniwxmsetxrdam New Amsterdam klayepnniwyxrk niwecxrsiy edlaaewr aelaephnsileweniy karaekhngkhnrahwangxngkvsaelahxlndathaihekid in kh s 1652 thung kh s 1674 xngkvsyudniwxmsetxrdamidin kh s 1664 aelasnthisyyabridain kh s 1667 ykniwenethxraelndihxngkvs phraecacharlsthi 2 aehngxngkvs phrarachthanrangwlaekphuthichwyphraxngkhkhunklbkhrxngbllngk odythrngaetngtngihepnecakhrxngthidininkh s 1663 Lord Proprietor ephuxiptngxananikhmswntwinxemrikathangitkhxngewxrcieniy klayepnaekhorilna Carolina sungepnsthanthiplukphuchekhtrxnmikha echn xxy aelaichthasphiwdacanwnmakepnaerngngan aetkarkdkhiphwkxuekxontinfrngessaelaxananikhm thaihphwkxuekxonthlbhnimaxyuxananikhmxngkvs thaihsxngchatiekidkhwamkhdaeyngaeyngthithamahakin sngkhramihysikhrng sngkhraminyuorpluklammathungxananikhmdwy in kh s 1689 sngkhrammhasmphnthmitr War of the Grand Alliance emuxchatitang rwmthngxngkvsrwmtwkntxtanfrngess klayepnsngkhramphraecawileliym King William s War inxananikhm xngkvsyudphxrt rxyl Port Royal inxkhaediy Acadia khxngfrngess aelabukkhwiebk emuxnghlwngkhxngxananikhmfrngess aetimsaercaelathukyudphxrtrxylkhun cnsngkhraminyuorpsinsudin kh s 1697 in kh s 1702 sngkhramsubrachsmbtisepn War of the Spanish Succession klayepnsngkhramphranangaexnn Queen Anne s War inxananikhm dwykhwamchwyehluxkhxngephaxiorkhxys thaihbrietnidxkhaediy sungepliynchuxepnskxtaelndihm hrux Nova Scotia aelaxawhdsn Hudson Bay xnepnaehlngkhnbiewxrsakhy in kh s 1739 brietnthasngkhramkbsepnin War of Jenkin s Ear in kh s 1740 sngkhramsubrachsmbtixxsetriy War of the Austrian Succession klayepnsngkhramphraecacxrc King George s War inxananikhmemuxfrngessekhaphwksepn xngkvsyudhluysbxrk Louisbourg cakfrngess aetfrngessbukthalayniwyxrk cn kh s 1748 sngkhramsinsud klbsusphaphedim aetimnannk sngkhramfrngessaelaxinediyn French and Indian Wars khukbsngkhramecdpi Seven Years War inyuorp intxnaerkbrietnphayaephybeyin aetmxngtkhalm Montcalm nathphxananikhmchnafrngessaelachawphunemuxngid inkh s 1759 brietnkhnafrngessinkarrbthirabxbhrahm Plains of Abraham yudemuxngkhwiebkid in kh s 1763 snthisyyaparis ykaekhnadathnghmdihbrietn xananikhmbrietncungkhyaykwangihyiphsalkarptiwtixemrikaaephnthichwngkxnptiwtixemrika odysichmphuaesdngrthaerkthng 13 rth inpi kh s 1492 khrisotefxr okhlmbs edineruxcakyuorpipthangthistawntkephuxsarwcesnthangedineruxippraethscin aelaidphbkbthwiphnung intxnnnekhakhidwakhuxpraethsxinediy txmasepnkboprtueksedineruxipthangit thaihphbthwipxemrikait sungmithxngkhacanwnmak thaihxngkvsaelafrngessedinthangipsarwcinewlatxma odyxngkvskhunfngthitawnxxk aethbniwxingaelnd niwyxrk frngesskhunfngthitxnklang briewnlumaemnamississippi thngsxngidtangkhyayxananikhmcnmapathakn thaihekidsngkhram 7 pi inthwipyuorp frngessepnfayaephxngkvs thaihxngkvsekhayuddinaednedimkhxngfrngessshrthchwngaerk kh s 1789 thung kh s 1797 smykhxngprathanathibdicxrc wxchingtn kh s 1789 1797 phaphwadaelnsdawn Lansdown Portrait khxngcxrc wxchingtn prathanathibdikhnaerkkhxngshrth ody kilebirt scwt Gilbert Stuart cxrc wxchingtn idrbeluxktngxyangepnexkchnthihepnprathanathibdikhnaerkkhxngshrthemux kh s 1789 phlnganchinaerkkhxngwxchingtnkhuxkarykkhaprakassiththihruxrthbyytisiththi Bill of Rights khunepnmatrainrththrrmnuy Amendments sibmatraaerkemux kh s 1791 xelksanedxr aehmiltn Alexander Hamilton rthmntriwakarkrathrwngkarkhlng Secretary of Treasury epnphuwangrakthanthangesrsthkickhxngshrthinchwngaerk odykarcdtngthnakharaehngchatishrth karkahndphasienginidaelaphasisulkakr aelakarsngesrimxutsahkrrmphayinpraeths odymungennkarkhakhaykbshrachxanackrhruxxditecaxananikhmepnhlk odykarthasnthisyyasngbsukaelasnthisyyakarkhakbbriethn khux snthisyyaecy Jay Treaty inpi kh s 1794 nxkcakniwxchingtnyngwangrabbtulakarkhxngpraethsphanthangkdhmaytulakar Judiciary Act kh s 1789 ihsaldikasungsudepnsalsungsudkhxngpraethsehnuxsalkhxngaetlarth prachachninrthephnsilwaeniyphuimphxickarekbphasiwiskikhxngrthbalklangkxkarkbtwiski Whiskey Rebellion in kh s 1794 prathanathibdiwxchingtncungeknthiphrphlcakrthtang mathakarprabkbt nbepnkhrngaerkthirthbalklangichxanacthangthharodyichkalngrwmcakhlayrth aelaepnkhrngediywthiprathanathibdiepnphunathphdwytnexng xelksanedxr aehmiltn phuwangrakthanthangesrsthkickhxngshrth insmyniexngthiekidkhwamaetkaeykthangkaremuxngkhuninhmuphunakhxngshrth fayefedxrllist Federalist hruxfaysmaphnthrthniym naodyrthmntrikarkhlngxelksanedxr aehmiltn minoybayrwmxanacthngthangkaremuxngaelaesrsthkicekhasurthbalklang sngesrimesrsthkicaelaxutsahkrrmkhxngshrth odymibriethnepnaebbxyanginthangesrsthkicaelakaremuxng aelafayriphbblikn Republican miaenwkhidsatharnrthniym Republicanism aebbsudotng naodyothms ecfefxrsn rthmntritangpraeths Secretary of State aelaecms aemdisn James Madison sungmikhwamehnwakarrwmxanacekhasunyklangepnkarlidrxnsiththiesriphaphkhxngprachachnaelaaetlarth karsngesrimxutsahkrrmcaepnkarthalaychiwitekstrkrrmkhxngchawxemriknswnihyinkhnann aelaihkarsnbsnunkarptiwtifrngess sungkaraetkaeykthangkaremuxngxxkepnsxngfaynaipsukarcdtngphrrkhkaremuxngsxngphrrkhaerkkhxngshrth idaek phrrkhefedxrllist Federalist Party aelaphrrkhriphbblikn Republican Party ekidepnrabbphrrkhkaremuxngkhrngthihnung First Party System inprawtisastrshrth fayprathanathibdiwxchingtnaemwacasnbsnunnoybaykhxngphrrkhefedxrllist aetkimehndwykbkarcdtngphrrkhkaremuxngephraaepnkarsrangkhwamaetkaeykphayinrthbal prathanathibdiwxchingtndarngtaaehnngxyuepnewlasxngsmy aelaptiesththicadarngtaaehnngepnsmythisam cnekidepnthrrmeniymwaprathanathibdishrthcaxyuintaaehnngidimekinsxngsmy smykhxngprathanathibdicxhn aexdms kh s 1797 1801 rxngprathanathibdicxhn aexdms John Adams cakphrrkhefedxrllist samarthexachnaothms ecfefxrsnidinkareluxktngemux kh s 1797 khundarngtaaehnngepnprathanathibdikhnthisxng inkhnaediywknnnexngrthbalkhxngfrngesshlngcakthithrabwashrthidmismphnththangkarkhakbbriethn sunginkhnannbriethnaelafrngesskalngthasngkhramkhbekhiywknxyu cungsngthutchuxwa exmxngt charls eyent Edmond Charles Genet maephuxthwngsyyaphnthmitrtngaetkhrngsngkhramptiwtixemrikaaelaeriykrxngihrthbalyutikhwamsmphnthkbbriethn aemwathutfrngesscaidrbkarsnbsnuncaknkkaremuxngaelaprachachnfayriphbbliknepnxyangmak aetprathanathibdiaexdmsaelafayefedxrllistidichkarkrathani eriykwa XYZ Affair inkartikhwamwafrngesskhukkhamxthipitykhxngshrth emuxecrcaimepnphlsaerc frngesscungichnoybayekhaplneruxsinkhakhxngshrthxemrik thaihsthanakhwamsmphnthrahwangshrthaelafrngessxyuinthanakungsngkhram Quasi War rthbalefedxrllistkhxngnayaexdmsehnwakarthifayriphbbliknihkarsnbsnunfrngessnnepnphytxpraethschati cungxxkkdhmaytangdawaelakarclacl Alien and Sedition Act in kh s 1798 lidrxnsiththiesriphaphinkaraesdngkhwamkhidehnthangkaremuxng inkh s 1800 prathanathibdiaexdmssngtwaethnipyngfrngessephuxecrcakhxsngbsukidepnphlsaercskhwrrsthi 19smykhxngprathanathibdiothms ecfefxrsn kh s 1801 1809 othms ecfefxrsn prathanathibdikhnthisamkhxngshrthaephnthiaesdngkarsuxhluyesiynainkh s 1803 karpkkhrxngkhxngrthbalefedxrllistthikdkhithaihphrrkhefedxrllistmikhwamniymthiesuxmlng othms ecfefxrsn cakphrrkhriphbblikn idrbeluxkihepnprathanathibdikhnthisamaelasabantnekhadarngtaaehnngin kh s 1801 prathanathibdiecfefxrsnidchuxwaepnphusngesrimaenwkhidekiywkbsiththiesriphaphxyangmak tamhlkprachathipityaebbecfefxrsn Jeffersonian Democracy miaenwkhwamkhidinkartikhwamrththrrmnuyaebbekhrngkhrdtamtwxksr minoybaykracayxanacsurthbalkhxngaetlarth aelasngesrimkarekstrhlikeliynglththiphanichyniym Mercantilism aelakarptiwtixutsahkrrminyuorp inpiediywknprathanathibdiecfefxrsnsngnkkarthutecms mxnor James Monroe ipyngkrungparisephuxecrcakhxngsuxnkhrniwxxrlinscakfrngess sungtrngkbsmykhxngphrackrphrrdinopeliynthi 1 ckrphrrdinopeliynidesnxthicakhayxananikhmluyesiyna Louisiana thnghmd xnepnphunaephndinrkrangkwangihyprakxbdwychawfrngess chawsepn aelachawxemriknphunemuxng ecfefxrsnehnwachawxemriknkhwrcamithidinxyangephiyngphxinkarprakxbxachiphekstrkrrm cungtdsinicthicasuxxananikhmluyesiynacakfrngessinkh s 1803 rakhasibhalandxllar ethiybethacanwnengin 230 landxllarinpccubn eriykwa karsuxluyesiyna Louisiana Purchase thaihxanaekhtkhxngshrthephimkhunepnsxngetha sungepnthiwiphakswicarnkhxngfayefxedxrllistxyangmak waepnkarphlayenginodyimcaepn ecfefxrsnsngnayemxriewethxr luxis Meriwether Lewis aelawileliym khlark William Clark ipthakarsarwcdinaednluyesiynaxnkwangihyiphsal in Lewis and Clark Expedition aetekstrkrrminkhwamhmayni khnphiwkhawmiidlngaernginkarprakxbekstrkrrmexngaetxyangid aetichthaschawaexfriknihepnphuathakarephaapluk phayitkarkakbkhxngchawxemriknphiwkhawinthanaecakhxngthidin rthbalsmyprathanathibdiecfefxrsnaemcaihkhwamsakhyaeksiththiesriphaph aetkcatxngplxyihrabxbthaskhngxyuephuxihrabbesrsthkicekstrkrrmsamarthdarngxyuid inyuorpkalngekidsngkhramnopeliyn prathanathibdiecfefxrsnphyayamthicatharngkhwamepnklangkhxngshrthexaiw aemkranneruxsinkhakhxngshrthkyngkhngthuktrwckhnaelaplmsadmodythangkarbriethn aelakxngthpheruxbriethnynglkphatwchaychawxemrikacanwnmakephuxnaipekharwmkxngthpheruxinkarsurbkbfrngess eriykwa Impressment inpi kh s 1807 sphaxngkhmntrikhxngbriethnxxkkhasngihthpheruxbriethnnakalngekhapidlxmmiihshrthsamarththakarkhakhaykbfrngessid ecfefxrsncungtxbotxxkkdhmaykhwabatrthangkarkha Embargo Act inpiediywkn hammiihchawxemrikathakarkhakhaykbpraethsid inyuorpaelaxananikhmkhxngpraethsehlann noybaynithaihesrsthkickhxngshrthtktalnginkhnathixngkvsaelafrngessimidrbphlesiyid caknoybayni aelakdhmaykhwabatryngthaihprachachnesuxmkhwamniymintwprathanathibdiecfefxrsnaelaphrrkhriphbbliknxikdwy cnkrathngkdhmaynithukykelikipinkh s 1810 inkh s 1803 rthbalshrthidphnwkexadinaedntawntkechiyngehnux Northwest Territory briewnlumaemnaoxihox Ohio River xnepndinaednxisrakhxngchawxemriknphunemuxng ekhamaepndinaednxinediyna Indiana Territory aelarthoxihox Ohio pkkhrxngodyrthbalshrth phunaephaxemriknphunemuxngchuxwa Tecumseh aela ethnskwatawa Tenskwatawa nakalngekhaocmtiemuxngkhxngshrthtang inbriewntawntkechiyngehnuxxyanghnkhnwng ephuxtxtankaraephkhyayxiththiphlkhxngkhnphiwkhaw odythikarkbtkhxngchawphunemuxnginkhrngniidrbkarsnbsnuncakbriethn sngkhrampikh s 1812 rthmntritangpraethsecms aemdisn aehngphrrkhriphbblikn idrbeluxkepnprathanathibditxcakecfefxrsninkh s 1810 rthbalshrtherimthicathnimidkbkarkrathakhxngkxngthpheruxngbriethntxeruxkhxngshrth karkhdkhwangkarkhakhxngshrth aelakarthibriethnihkarsnbsnunkbtkhxngxemriknphunemuxng nkkaremuxngfayriphbblikn sungswnihyepnphuaethncakrththangtxnitaelacakluyesiyna snbsnunihprakassngkhramkbbriethn inkhnathinkkaremuxngfayefedxrllistcakekhtniwxingaelndthangehnux sungidrbphlpraoychncakkarkhakbyuorpepnsakhy khdkhankarthasngkhram inthisudsphakhxngekrskidprakassngkhramkbbriethndwyesiyngkhangmakinkh s 1812 faybriethninkhnannmithpheruxthimichuxesiyngthisudinolkcakkarexachnathpheruxkhxngnopeliyninyuththkarthraflkar fayxemrikaaelabriethnpathakninsxngchxngthangidaek thangthaelodythithpheruxbriethnekhaocmtiemuxngchayfngthaeltang khxngxemrika aelathangbkthphxemrikaykekhabukaekhnadasunginkhnannepnxananikhmkhxngbriethn karephakrungwxchingtn di si aelathaeniybkhaw odythphbriethn kh s 1814 inkh s 1811 nayphlwileliym ehnri aehrrisn William Henry Harrison bukekhathalaythanthimnkhxngxinediynaedngidin Battle of Tippecanoe thphxemrikamikhwamphyayaminkarrukranaekhnadaaetthukkhdkhwangcakkarthimlrththangtxnehnuximihkhwamrwmmux aelainpikh s 1812 esiyemuxngdithrxytihaekbriethn aelathphxemrikaphayaephaekthphbriethnin Battle of Queenston Heights inpiediywkn thangthaelbriethnnathphekhamapidlxmchayfngthnghmdkhxngshrth thngthangfngaelafngxawemksiok pitxmakh s 1813 thphxemrikasamarthbukekhayudaelaephaemuxngotrxnotkhxngaekhnadaid aelaphlctwaoxliewxr hasard ephxrri Oliver Hazard Perry nathpheruxemrikaexachnathpheruxbriethninyuththkarthaelsabxiri Battle of Lake Erie samarthkhbbriethnxxkcakbriewndithrxytid nayphlaehrrisnnathphekhaprabchawxinediynaednginyuththkarethms Battle of the Thames sngharethkhmesphunaxinediynaedngesiychiwitinsnamrb inpi 1814 briethnsamarthokhnxanackhxngnopeliynidinyuorp cunghnkhwamsnicmayngshrth thpheruxbriethnekhayudemuxngwxchingtn di si aelaephathalaythaeniybkhaw thangtxnehnuxthpheruxxemrikatanthankarrukrankhxngthphbriethncakmxnthrixxlidinyuththkarthaelsabchxngaeplng Battle of Lake Champlain thngfayerimkarecrcayutisngkhramthiemuxngeknt praethsebleyiym naipsu Treaty of Ghent inkh s 1814 sinsudsngkhramodythiimmikhwamepliynaeplngkhxngdinaedninkhrxbkhrxngthngsxngfay klbipsusphawaedimkxnekidsngkhram aemwacaecrcayutisngkhramaelw aetkhawkaryutisngkhramyngmaimthungyngshrth inkh s 1815 thpheruxbriethnekhaocmtiemuxngthaniwxxrlins thphxemrikanaodyaexndruw aecksn Andrew Jackson samarthtanthankarrukrankhxngbriethnid in Battle of New Orleans wathamxnoraelasmyaehngkhwamrusukdi aephnthiesnaebngekhtaedn rahwangshrthaelasepn tam Adams Onis Treaty kh s 1819 rthbalshrthaelarachxanackrsepntha Adams Onis Treaty odyshrththakarsuxflxridamacaksepn aelakahndesnaebngxanaekhtrahwangsxngpraethsthangtawntk odysepnthuxkhrxngdinaedntawntkechiyngitkhxngshrthinpccubn prathanathibdiecms mxnor James Monroe ecakhxngwathamxnor Monroe Doctrine karthishrthsamarthrbmuxkbkarrukrankhxngmhaxanacxyangechnshrachxanackrid thaihchawxemriknekidkhwamphakhphumiicaelaekidepnkraaeschatiniymkhuninthisud phlthangkaremuxngkhxngsngkhrampikh s 1812 khuxthaihxanacaelakhwamniymkhxngphrrkhefedxrllist xnmithanxanacxyuinekhtniwxingaelndthangehnuxnn lmslayipinthisudinthanaepnfaythikhdkhansngkhram thaihphrrkhriphbbliknsungmithanesiyngxyumlrththangitepnphrrkhkaremuxngphrrkhediywthikhngxanac khwamphakhphumiicinchati aelaesthiyrphaphthangkaremuxng thaihekidsmyaehngkhwamrusukdi Era of Good Feelings inkhnaediywknnnxananikhmtang khxngyuorpinthwipxemrika odyechphaainxemrikaitkalngthasngkhrameriykrxngexkrachcakpraethsaeminyuorp pikh s 1823 prathanathibdiecms mxnor aelarthmntritangpraethscxhn khwinsi aexdms John Quincy Adams prakaswathamxnor Monroe Doctrine wa rthbalshrthcaimkhxngaewakbkickarid khxngchatiyuorp aelachatitang inyuorpcatxngimaethrkaesngkickarid khxngrthexkrachinthwipxemrika aephnthiaesdngesnkhxtklng Compromise Line tamkhxtklngmissuri Missouri Compromise rabbthas khwamkhdaeyngineruxngrabxbthas ekidkhunkhrngaerkinkh s 1819 emuxmikarkxtngmlrthmissuri Missouri khunmaepnmlrthihm odythiphlemuxngkhnkhawinrthmissuriswnihymithaschawaexfrikniwinkhrxbkhrxng aelaprachachnidrangkdhmaypracamlrthaelayuneruxngkhxxnumticdtngrthihmipyngsphakhxngekrs aetthwamismachikrthsphakhnhnungchuxwa cxhn thlmadc John Tallmadge cakmlrthniwyxrk esnxihmikaraekkdhmayihmlrthmissurihamkarnathasekhamainmlrthephimetim sungwuthisphashrthkhdkhankaraekikhni cninthisudrthbalklangkxnuyatihrthmissurimithasidinpikh s 1820 aelainpiediywknmikarcdtngmlrthaexlaaebmaepnrthmithas thaihcanwnrthmithasaelarthplxdthasethakn cungmikarcdtngrthemnkhunepnrthplxdthas ephuxthwngesiyngkbfayrthmithas aelakahndwahammirabxbthasehnuxesnkhnanthi 36 xngsa 30 lipdaehnux eriykwa esnkhnankhxtklng Compromise Line ykewnmlrthmissurisungxyuehnuxtxesnkhxtklng eriykwa Missouri Compromise pikh s 1820 sungepnbrrthdthaninkarcdtngrabxbthasaelaekhtplxdthasinshrthtxmaepnewlasamsibpi karekhluxnyaychawxemriknxinediyn phutngthinthankalngkhamthirabenbraska inpi 1830 sphakhxngekrsphankdhmaykarekhluxnyaychawxinediyn xngkvs Indian Removal Act sungihmixanacprathanathibdiinkarecrcasnthisyyathicaaelkepliyndinaednkhxngchnephaphunemuxngxemrikninrththangtawnxxkkbdinaednthangtawntkkhxngaemnamississippi epahmayhlkkhuxephuxekhluxnyaychnphunemuxngxemrikn rwmthng haxaryachnepha caktawnxxkechiyngitkhxngxemrikasungphwkekhakhrxbkhrxngthidinthiphutngthinthantxngkar prathanathibdiaeckhsnaehngphrrkhedomaekhrt xngkvs Jacksonian Democrats eriykrxngihichkalnginkarekhluxnyayprachakrphunemuxngthiptiesththicayxmrb kdhmaykhxngrthipyngekhtsngwnthangtawntk smachikphrrkhkaremuxng xngkvs Whigs aelaphunasasnatxtankaryaythiirmnusythrrm mikaresiychiwithlayphnkhnthimiphlmacakkaroykyay ethathiehnin rxynatakhxngechxorki xngkvs Cherokee Trail of Tears xinediynaedngepha Seminole hlaykhninflxridaptiesththicayayipthistawntk phwkekhatxsukbkxngthphmananhlaypiinsngkhram Seminole karfunkhunchiphthiyingihykhrngthisxng bthkhwamhlk Second Great Awakening karfunkhunchiphthiyingihykhrngthisxngepnkarekhluxnihwephuxfunfunikayopretsaetntthisrangphlkrathbthngpraethsinchwngstwrrsthi 19 aelanaipsu karecriyetibotkhxngkhristckrxyangrwderw karekhluxnihwerimrawpi kh s 1790 idrbaerngomemntminpi 1800 aela hlngpi 1820 smachikephimkhunxyangrwderwinhmukarchumnumkhxngklumaebbtisthaelaemthxdisth sungnkethsnkhxngphwkekhaidnakarekhluxnihw mnphancudsungsudinyukh 1840s mikhnlngthaebiynepnsmachikihmnblankhninnikay evangelic thimixyuedimaelanaipsu karkxtwkhxngnikayihm phunbthuxhlaykhnechuxwakarfunkhunchiphcaepnkarpawprakasthungyukhphnpiihm karfunkhunchiphthiyingihykhrngthisxngidkratunkarekhluxnihwephuxkarkarptiruphlayxyang rwmthngkarelikthasaelaybyngchngicthixxkaebbmaephuxlbkhwamchwraykhxngsngkhmkxnkarkhadwacaesdcmakhrngthisxngkhxngphraeysukhrist karelikthas hlngpi 1840 karecriyetibotkhxngkarekhluxnihwephuxelikthasihniyamihmkhxngtwmnexngwaepn sngkhramtxsukbkhwambapkhxngecakhxngthas mnthakarrwbrwmfaysnbsnun odyechphaaxyangying inhmuphuhyingekhrngsasnainphakhtawnxxkechiyngehnuxthiidrbphlkrathbcakkarkarfunkhunchiphthiyingihykhrngthisxng wileliym lxyd aekrrisn idephyaephrhnngsuxphimphtxtanthashlayelmthimixiththiphlmakthisud The Liberator inkhnathi efredxrikh dklas xditthas erimekhiynihkbhnngsuxphimphchbbnninrawpi 1840 aelaerimhnngsuxphimphnkpldplxythaskhxngekhaexng North Star inpi kh s 1847 nkekhluxnihwtxtanrabbthasthiyingihythisud echn xbrahm lingkhxln ptiesthsasnsastrkhxngaekrrisnaelathuxidwa karepnthasepnkhwamchwraythangsngkhm imichbap aephkhyayipthangtawntk kh s 1824 thung kh s 1861 kareluxktngthwipinpikh s 1824 esiyngkhxngprachachnchawxemriknaetkxxkrahwangphusmkhrcakphrrkhriphbbliknsikhn idaek okhskrthbalnay Henry Clay cakmlrth rthmntritangpraethscxhn khwinsi aexdms cakmlrthaemssachuestt rthmntrikarkhlng wileliym khrxwefird William Crawfurd aelaaexndruw aecksn nayphlphuodngdngcakkarnathpheruxshrthexachnathpheruxbriethninyuththkarniwxxrlins sungidrbkarsnbsnuncakchawmlrthethnenssiaelaephnsilwaeniy immiphusmkhrkhnididrbesiyngkhangmakinkhnaphueluxktng Electoral College thiephiyngphxthicaekhadarngtaaehnngprathanathibdiid cungihsphaphuaethnrastrepnphuthakareluxkprathanathibdiepnkhntxnthdma okhskrthbalehnri ekhly idthakarlxbbiihphusnbsnunkhxngtninsphaphuaethnrastreluxknaycxhn khwinsi aexdms epnprathanathibdi odymikhxaelkepliynkhuxtwnayehnri ekhly caidrbkaraetngtngepnrthmntrikartangpraeths epnphlihnaycxhn khwinsi aexdms idepnprathanathibdikhnihmkhxngshrth srangkhwamimphxicihaeknayaexndruw aecksnepnxyangmak phusungidpranamkhxtklngthangkaremuxngniwaepn khxaelkepliynxnchxchl The Corrupt Bargain ehtukarninkhrngnithaihekidkhwamaetkaeykinphrrkhriphbblikn khuxnayaexndruw aecksn rwmkbnaymartin aewn biwern Martin van Buren idnaphusnbsnunkhxngtnaeyktwxxkmacakphrrkhriphbbliknxxkmatngepnphrrkhkaremuxngihm khux phrrkhedomaekhrt Democratic Party inkhnathismachikthiyngkhngxyuinphrrkhedimnneriykwa Republican Party hruxtxmaeriykwaphrrkhwik Whig Party naodyehnri ekhly epncuderimtnkhxngrabbphrrkhkaremuxngthisxng Second Party System rthbalkhxngnayaexdmsbriharnganimepnthiphungphxickhxngprachachnmaknk sngphlihaexndruw aecksn samarthchnakareluxktnginkh s 1828 khunepnprathanathibdikhxngshrthidinthisud smykhxngprathanathibdiaexndruw aecksn kh s 1828 1837 prathanathibdiaexndruw aecksn prathanathibdiaecksnaelaphrrkhedomaekhrtmiaenwkhwamkhidthiaetktangcakphrrkhriphbblikn eriykwa Jacksonian democracy khux karepidoxkasihprachachnkhnchnlangkhnyakkhncnekhamamiswnrwminkaremuxngmakkhun odykarsngesrimihchayphiwkhawchawxemriknthukkhnmisiththieluxktng Universal suffrage of all white men sunginsmykxnhnannchayxemrikncatxngmithidiniwinkhrxbkhrxngcahnwnhnungcungcamisiththieluxktngid tamaenwkhwamkhidprachathipityaebbecfefxrsnthiwa mnusycatxngmithidiniwthakinphungphatnexngid cungcathuxwamixisrphaphcaktladaelaxutsahkrrm xyangirktamstriaelathasphiwdachawaexfriknyngkhngimidrbsiththieluxktng prathanathibdiaecksnphyayamthicasrangthankhwamniyminchnchnlangaelaphuprakxbxachiphekstrkrrm sungswnihyepnchawmlrththangit aelatxtanxiththiphlthangesrsthkickhxngchnchnklangphumithanacakkarprakxbxutsahkrrmaelathurkickarengin sungmithanthimnxyuinmlrththangtxnehnux prathanathibdiaecksnechuxinxanackhxngfabbrihar sungthuxwaepntwaethnkhxngprachachnthngpraeths inkhnathifaynitibyytixnprakxbdwysphakhxngekrsnnepnephiyngtwaethnkhxngaetlaekht inkhnathiphrrkhfaykhanklawhaaecksnwaichxanacbatrihycnthungkhncatngtnepnkstriyxyanginyuorp aecksnphyayamldthxnxanackhxngrthbalklanglng aetthwaprathanathibdiaecksnidkrathainsingthitrngkhamkbaenwkhwamkhidkhxngtnthiidprakasip pikh s 1828 rthbalklangidxxkrthbyytiphasisulkakr Tariff Act of 1828 hruxsulkakraehngkhwamekliydchng Tariff of Abominations epnkarekbphasisulkakrcakkarkhakhayrahwangmlrth sungthaihrakhakhxngphlitphnthcakkhnstwechnesuxpha aelaphlitphnththithacakehlkmirakhasungkhun sungprachachnchawmlrththangitidrbphlkrathbmakthisudenuxngcakcatxngsuxsinkhaehlanicakxutsahkrrminmlrththangehnux rthbalrthesathaekhorilnakhmkhuwacaprakasykelikaelaimyxmrbkdhmaychbbni txmainpikh s 1832 rthbalklangidxxkrthbyytisulkakrxxkmaxikchbbhnung sungrthbalrthesathaekhorilnaidprakasimyxmrbkdhmaychbbni eriykehtukarnniwa Nullification Crisis epnkarthirthbalthxngthinimyxmrbkdhmaythimacakrthbalklang prathanathibdiaecksncungtxbotodykarxxkrthbyytiwacaichkalngthharekhaekbphasi ephaxinediynaedngphuecriythngha Five Civilized Tribes sungthukkhbilxxkcakdinaednkhxngtninsmyrthbalaecksn prakxbdwy 1 echxorki Cherokees 2 chkthxw Choctaws 3 msokhki Muscogees 4 chikkasxw Chickasaw 5 esmionl Seminole prathanathibdiaecksnminoybaykhyayxanaekhtephuxihprachachnmithidininkarprakxbekstrkrrmmakkhun prakxbkbkhwamekliydchngswntwkhxngaecksnthimitxchawxinediynaedngphunemuxng naipsunoybaykarkhbchawphunemuxngxxkcakdinaedndngedimkhxngtnephuxihkhnkhawnamathakarekstr inkh s 1830 rthbalaecksnxxkrthbyytikhbilxinediynaedng Indian Removal Act ihchawxinediynaedngthnghmdhaephainmlrththangtxnitxxkcakthinedimkhxngtnaelwiptngrkrakihmthimlrthoxkhlaohma chawxinediynaedngidrxngeriyntxsaldikasungsudaehngshrth sungsaldikatdsinwarthbalklangimmisiththixnchxbthrrminkarkhbilchawxinediynaedng aemkrannprathanathibdiaecksnkimsnickhatdsinkhxngsaldika yngkhngihmikarkhbchawxinediynaedngxxkcakphunthitxip cakkhwamkddnkhxngrthbalklangaelakhnkhawchawxinediynaedngthnghaephaxxkedinthangsuoxklaohmainchwngvduhnawpikh s 1830 1835 sungchawxinediynaedngswnihyesiychiwitrahwangkaredinthangenuxngdwysphaphxakasxnelwray eriykkarxphyphkhxngxinediynaednginkhrngniwa esnthangaehngnata Trail of Tears noybaythisakhyxikprakarkhxngprathanathibdiaecksnkhux karimtxxayuthnakharaehngchatishrththisxng Second Bank of the United States sungcahmdxayuinkh s 1836 aecksnmxngwathnakharklangmixanackhwamkhumkarenginkhxngpraethsepnkarlidrxnesriphaphthangesrsthkickhxngprachachn aelaepnsthabnthiexuxpraoychnaeknaythunchnchnklangcanwnephiynghyibmux sungemuximmithnakharklangesrsthkickhxngshrthcungprascaksthabnkhwbkhumnaipsukhwamtuntrahnkpikh s 1837 Panic of 1837 insmykhxngprathanathibdikhntxmakhuxnaymartin aewn biwern esrsthkicthitktathaihphrrkhedomaekhrtmikhwamniymthiesuxmlngaelaepidoxkasihphrrkhwikhaesiyngipinthangthiwaprathanathibdiaecksnepnehtukhxngphawaesrsthkictkta thaihphrrkhwikchnakareluxktngaelaidkhunkhrxngpraethsinthisud karptiwtiethkssaelasngkhramkbemksiok esssakprkhkphngkhxngpxmxalaom sthanthisungchawxemriknethkssidtxsutanthankarpidlxmkhxngthphemksiknxyangklahay klawthungpraethsemksioksungekhyepnxananikhmkhxngsepn idthasngkhramprakasexkrachcaksepnaelacdtngepn Republic of Mexico inpikh s 1824 odymilksnaepnsmaphnthrth Federation odyaetlarthmirthbalepnkhxngtnexngkhunaekrthbalklang rthethkssepnhnunginnn odythangrthbalrthethksssungkhunaekemksiokidsngesrimechuxechiyihchawaexngokl xemrikn Anglo American hruxchawxemriknthwipcakmlrththangitkhxngshrthekhamatngthinthaninethkssephuxsngesrimesrsthkicphayinrth odythichawxemriknidnathasphiwdachawaexfriknmadwy aetthwainpitxmakh s 1825 prathanathibdi Antonio Lopez de Santa Anna aehngemksiokepliynnoybayihemksiokepnrthediywrwmxanaciwthisunyklangykelikrthbalkhxngaetlarth srangkhwamimphxicaekchawxemrikninethksisthikhunchinkbkarpkkhrxngrthbalthxngthinmaaetedim thisakhyemksiokminoybayelikthas chawxemrikncungkxkarkbtephuxaeyktnexngepnexkrachcakemksiokeriykwa Texas Revolution inkh s 1835 miphunakhuxnayphlaesm hiwstn Sam Houston thphfayemksiokekhathalaylangsngharfayethkssinyuththkarxlaom Battle of the Alamo aetfayethksssamarthexachnafayemksiknidinyuththkarsanhasinot Battle of San Jacinto cnnaipsukarcdtngsatharnrthethkss Republic of Texas khuninkh s 1836 thngchatikhxngsatharnrthethkss tngxyurahwangkh s 1835 1846 kxnthicaekharwmkbshrth aesm hiwstn ehnwasatharnrthethksskhwrthicaekharwmkbshrthaetthwathukkhdkhanodyrthbalkhxngprathanathibdiaewnbiwerndwyehtuphlthiwakarrbethkssekhamaepnsmachikihm sungaennxnwacaekhamainthanarthmithas cathaihsmdulkhxngcanwnrahwangrthmithasaelarthplxdthasesiyip aelaxacnashrthekhasusngkhramkbemksiokid fayethkssphyayamthicayunkhxesnxthicaekharwmkbshrthtxmaxikhlaykhrng aetthuklaelyodyrthbalphrrkhwikinsmytxmaechnedim prachachnchawxemriknthangitnntxngkarthicaihethkssekhamaepnsmachikephraaepnkarepidoxkasihchawxemriknekhaipaeswnghathidinthakinephimetim nayecms ekh ophlk James K Polk aehngphrrkhedomaekhrtidichcudniinkarhaesiyngodyprakassnbsnunkarrwmethkssekhakbxemrika cnkrathngnayophlksamarthchnanayehnriekhlyaehngphrrkhwikinkareluxktngkh s 1845 khunepnprathanathibdikhntxma sphakhxngekrsphayitprathanathibdiophlkphanrangehnchxbihethkssekhamaepnmlrthihmkhxngshrthinkh s 1846 odyepnmlrththimithas aelaihdinaednoxerkxn Oregon Territory xnepndinaednrwmrahwangshrthkbbriethn ekhamaepnmlrthoxerkxnepnrthplxdthasephuxkhwamsmdul odytha Oregon Treaty aebngekhtaednrahwangshrthkbaekhnadakhxngbriethnthiesnkhnan 49 xngsaehnux Treaty of Guadelupe Hidalgo kh s 1848 ykdinaednkwangihyiphsalihaekshrth pccubnkhuxphakhtawntkechiyngitkhxngshrth aetthwamlrthethkssnnmiekhtaednthbsxnknkbsatharnrthemksiok odythifayxemrikannxangdinaedncnthungaemnarioxaekrnd Rio Grande inkhnathifayemksiokxangdinaednekhamacnthungaemnaniws Neuces River prathanathibdiophlkidsngnayphlaeskhari ethyelxr Zachary Taylor epnphunathphxemriknekhaipindinaednphiphath aelasngnay John C Fremont ipyngaekhlifxreniyephuxplukpnihchawaekhlifxreniykxkbttxtanrthbalemksiok inkh s 1846 thphemksiokidekhaocmtithphkhxngxemrikaindinaednkhxphiphath thangfaysphakhxngekrscungprakassngkhramkbemksiok odythphxemrikaekhabukyuddinaednthipccubnkhuxphakhtawntkechiyngitkhxngshrthsunginkhnannepnkhxngemksiokxyangrwderw inkhnaediywknthpheruxaepsifik Pacific Squadron idekhapidlxmemuxngthatang khxngemksiokinaekhlifxreniy aelanayphl Winfield Scott idykthphlngitekhabukyudemuxngemksioksiti xrepnemuxnghlwngkhxngemksiokidsaercinkh s 1847 epnehtuihemksiokyxmcannaelatha Treaty of Guadelupe Hidalgo inkh s 1848 yxmrbsthanakhxngmlrthethkss aelayxmykaekhlifxreniyrwmthngdinaednthiepnphakhtawntkechiyngitkhxngshrthinpccubnihaekshrth kartunthxngaekhlifxreniyaelakhxtklngkh s 1850 phaphsylksnkhxng ochkhchataednchd Manifest Destiny aesdngethphthidaokhlmebiy Columbia xnepntwaethnkhxngshrth nakhwamecriysuphakhtawntk odymisayothrelkhaelahnngsuxepnsylksnkhxngkhwamecriy chychnainsngkhramkbemksiokaelasnthisyyakwaedxlup hidlok thaihkhwamiffnkhxngshrththicaaephkhyaydinaedncakfngmhasmuthraextaelntikcrdmhasmuthraepsifikepnkhwamcringkhunma chawxemriknmikhwamechuxineruxng ochkhchataednchd Manifest Destiny wakhnphiwkhawmihnathipharkicinkarnakhwamecriycakfngtawnxxkipsufngtawntksungkkhuxfngaepsifiknnexng odythikhwamdxyxarythrrmkhxngchnphunemuxngxinediynaedngcatxnglathxyip sungaenwkhwamkhidniepnaerngphlkdnsakhyinkaraephkhyaydinaednkhxngshrthinsmykhxngrthbalphrrkhedomaekhrt prakxbkbpraoychnthangesrsthkicsungchawxemriknfayitmioxkasthicaekhaipthakinthidinihm thimimakkhunimsinsud inkhnathichawxemriknfayehnuxaelankkaremuxngcakphrrkhwiktangkhdkhannoybaynienuxngcakkaraephkhyaydinaednhmaythungkaraephkhyaykhxngrabxbthasinkarekstrkrrm rwmthngkhdkhankarthasngkhramid thinaipsukarkhyaydinaedn pikh s 1848 mikarkhnphbehmuxngthxngbriewnaekhlifxreniyaelaethuxkekhaesiyrraenwada odythiprathanathibdiophlkidyunynkarkhnphbthxngnitxsphakhxngekrs sngphlihinpitxmakh s 1849 chawxemrikncanwnmakcakfngtawnxxktangphaknhlngihlipsufngtawntkdwykhwamhwngwacaidthxngmaiwinkhrxbkhrxng eriykwa California Gold Rush aelaeriykchawxemriknthixphyphmainpinnwa chawsisibeka Forty Niners nxkcakchawxemriknaelw chawhisaepnik chawxinediynphunemuxng hruxaemaetphuxphyphcakexechiyaepsifikidaekchawcin chawyipun aelachawxxsetreliy tangekhamaaekhngkhninkarthaehmuxngaerthxng prachakrinaekhlifxreniyephimsungkhunxyangrwderw emuxngtang idaek sanfransisok lxsaexneclis sandiexok klayepnemuxngihy wiwthnakarkhxngrthmithasaelarthplxdthas emuxprachachnchawaekhlifxreniyyunrangesnxihcdtngaekhlifxreniyepnmlrth pyhacungekidkhun emuxchawaekhlifxreniytxngkarihrthkhxngtnexngepnrthplxdthas aetepnephraaaekhlifxreniymixanaekhtkhabekiywesnkhnankhxtklng nkkaremuxngphrrkhedomaekhrtfayittxngkarthicaaebngaekhlifxreniyepnsxngswn swnthixyuittxesnkhnannnepnrthmithas inkhnaediywknnnmlrthethksssungepnrthmithasidxangekhtaednthungaemnarioxaekrnd sungthbsxnkbdinaednniwemksiok New Mexico Territory sungchawniwemksiokprarthnacaepnekhtplxdthas cungekidkarpranipranxmrahwangfayniymthasaelafaythitxtanrabxbthas odywuthismachik Stephen Douglas aehngphrrkhedomaekhrt aelawuthismachikehnri ekhly aehngphrrkhwik idsrangkhxtklngrwmkn odyihaekhlifxreniyepnrthihmplxdthasodyimmikaraebngaeyk rthethkssslakarxangekhtaedn aetniwemksiokcayngimmisthanaepnmlrth aelaidxxk Fugitive Slave Act ihtarwcsamarthekhacbkumchawaexfriknxemriknphiwdaidthukkhnthithukklawhawaepnthashlbhni khxtklngthnghlaynirwmkneriykwa Compromise of 1850 sungepnkarphbknkhrungthangrahwangsxngfayaelaybyngkhwamrunaerngipidxiksibpi sngkhramklangemuxng kh s 1861 thung kh s 1865 xbrahm linkhxln Abraham Lincoln karkhyaydinaedntlxdchwngkhriststwrrsthisibekathaihshrthmidinaednephimkhunxyangmaksahrbkarprakxbxachiphekstrkrrm sungthaschawaexfriknxemriknnnmibthbathxyangmakinthanaepnaerngnganhlkinkarekstrphayitkarkhwbkhumduaelkhxngecanayphiwkhaw noybaykhxngrthbalphrrkhedomekhrtsungkumxanacxyuinchwngewlannsnbsnunkarksikrrmaelakarkhyaydinaedn sunghmaythungkarsnbsnunrabxbthassungepnrabxbsakhythithaihesrsthkickhxngshrthxyurxd xyangirktaminkhnathimlrththangtxnitkhxngshrthmiesrsthkichlkepnkarekstrsungtxngichaerngnganthasphiwdaepnsakhy aetinmlrththangtawnxxkechiyngehnuxnnmiesrsthkichlkepnxutsahkrrmimtxngphungphingaerngnganthas aelarthehlannkminoybaytxtanrabxbthas cungkarkhwamaetkaeykkhrngihmkhuninhmukhnxemrikn nnkhuxkaraebngaeykrahwangfayehnuxsungkhdkhanrabxbthas aelafayitsungihkarsnbsnunrabxbthas rthbalklangaelaprathanathibdihlaysmyidphyayamthicaprasanrxyrawrahwangsxngfayodykarpranipranxm yktwxyangechnkhxyuti kh s 1850 sungihaekhlifxreniyepnrthplxdthasaetbngkhbihmlrthfayehnuxsngtwthasthihlbhniklbiphaecanayedimthifayittamkdhmaythashni Fugitive Slave Act sungkhxyutiaelakarpranipranxmehlaniimsrangkhwamphungphxicaekfayid inkh s 1854 Kansas Nebraska Act cdsngsxngmlrthihm odyihprachachninrthnnxxkesiyngkhangmakephuxeluxkwarthnncamithashruxim phlkhuxchawxemrikncakthngfayehnuxaelafayitphaknaehaehnekhaiptngrkrakinphunthirthihm ephuxlngmtiihrththngsxngnnmihruximmithastamaetfaytn cnkrathngekidkarkrathbkrathngknrahwangsxngfaythimlrthaekhnsseriykwa Bleeding Kansas wiwthnakarkhxngsmaphnthrthxemrika Confederate States of America inkhnaediywknthangfayehnux aenwkhwamkhidkarelikthas Abolitionism idrbkhwamniymkhuneruxy miwrrnkrrmekiywkbkarelikthasthiepnthiruckkhux krathxmnxykhxnglungthxm Uncle Tom s Cabin in kh s 1857 Dread Scott v Sandford saldikasungsudidtdsinihnayedrtskxtchawaexfriknxemriknkhngsphaphkhwamepnthasenuxngcak chawaexfriknxemriknimcdepnphlemuxngkhxngshrth cungimmisiththiesriphaphtamthiidrabuiwinrththrrmnuy srangkhwamimphxicaekchawehnuxepnxyangmak in kh s 1854 smachikphrrkhwikthimiaenwkhidelikthasidrwmtwkncdtngphrrkhriphbblikn Republican Party khun aelasngtwaethnkhux xbrahm linkhxln Abraham Lincoln ekharbkareluxktngchingtaaehnngprathanathibdiin kh s 1860 sunglinkhxlnidrbesiyngthwmthncakrththangehnuxaelaenuxngcakrththangehnuxmiprachakrmakkwalinkhxlncungmikhaaennesiyngchnakhuaekhngcakphrrkhedomekhrt aemwalinkhxlncaimmiesiyngkhangmakinmlrththangitelyktam srangkhwamimphxicaetmlrththangtxnitepnxyangyung rthitthngecdidaek esathaekhorilna mississippi flxrida aexlaaebma cxreciy luyesiyna aelaethkss prakasaeyktwxxkmacakshrthin kh s 1861 aelacdtngsmaphnthrthxemrika Confederate States of America aemwaprathanathibdilinkhxlncaprakaswacaimsngthphekhaprabfaysmaphnthrth aetfaysmaphnthrthidrwbrwmkalngphlaelaekhayudpxmprakartang ephuxetriymtwrbmuxkbthphfayehnuxthixacrukranekhama odyekhayudpxmsmethxr Fort Sumter in kh s 1861 epnehtuihlinkhxlntdsinicprakassngkhramkbsmaphnthrthaelamikhasngihthukrthsngthphekhachwyehluxrthbalklanginkartxsukbsmaphnthrth thaihrthitxiksirthidaek ewxrcieniy xarkhnsx ethnenssi aelanxrthaekhorilna prakasthxntwcakrthbalshrthaelaekharwmkbsmaphnthrthxemrika cdtngemuxngrichmxnd Richmond rthewxrcieniykhunepnnkhrhlwngkhxngsmaphnthrth odyminayecfefxrsn edwis Jefferson Davis epnprathanathibdi yuththkarekttisebirk Battle of Gettysburg ody Thure de Thulstrup fayshrththangehnuxichyuththwithitang ephuxphichitsmaphnthrthfayitidaek nayphlwinfild skxt idnakxngthpheruxekhapidlxmemuxngtang thnghmdkhxngrththangit eriykwa karpidlxmkhxngshrth Union Blockade thaihfayitimsamarthsngxxksinkhaekstrkrrmipyngyuorpxnepnrayidsakhykhxngfayit esrsthkicaebbekstrkrrmkhxngfayitcungthukthalaylng prathanathibdisngnayphlyulissis exs aekrnth Ulysees S Grant aela William Tecumseh Sherman ykthphekharukransmaphnthrththangtawntkbriewnlumaemnamississippi ekhayudemuxngtang idxyangrwderw aetinthangtawnxxknnfaysmaphnthrthnaodynayphlorebirt xi li Robert E Lee samarthpxngknemuxngrichmxndnkhrhlwngaelaexachnathphfayehnuxidinyuththkaraexntiaethm Battle of Antietam kh s 1861 prathanathibdilinkhxlnsrrhakhunphlcanwnmakmaephuxnathphtawnxxkekhaocmtiyudemuxngrichmxndaetlwnphayaephtxnayphlli cnkrathng kh s 1863 inyuththkarekttisebirk Battle of Gettysburg thphkhxngfayehnuxsamarthexachnathphkhxngnayphllifayitid sungprathanathibdilinkhxlnidklaw Gettysburg Address iwwa karpkkhrxngkhxngprachachn odyprachachn ephuxprachachn caimsuysinipcakolkni and that government of the people by the people for the people shall not perish from the earth in kh s 1864 emuxfngtawntkeriybrxydiaelw linkhxlncungyaynayphlaekrnthmabngkhbbychathphfngtawnxxk nayphlaekrnthaelanayphlli khunphlphuyingihythisudkhxngthngsxngfayekhapathakninyuththkaroxldechirch Battle of Old Church sungnayphlaekrnthsamarthexachnanayphlliaelathphfayitid aelainpiediywknnnayphlechxraemnykthphbukekhayudemuxngaextaelntaidsaercinyuththkaraextaelnta sungepnyuththkarthithaihlinkhxlnidrbkhwamniymephimkhunaelaidrbeluxktngepnprathanathibdixiksmyinpi kh s 1864 nayphlliprakasyxmaephsngkhraminthisudineduxnemsayn kh s 1865 thdmacaknnxikhawnprathanathibdilinkhxlnthuklxbsngharthiwxchingtn di si rxngprathanathibdiaexndruw cxhnsncakphrrkhedomekhrtcungkhundarngtaaehnngprathanathibdiaethn khunphlfayitkhnxun khxy thyxyprakasyxmcann cnkrathngprathanathibdicxhnsnprakasyutisngkhramxyangepnthangkarin kh s 1866 smyaehngkarfunfu smyaehngkhwamkawhna aelakaraephkhyayxananikhm kh s 1865 thung kh s 1918 smyaehngkarfunfu kh s 1865 kh s 1877 insmyaehngkarfunfu Reconstruction chawaexfriknxemriknphiwdaidrbsiththieluxktngepnkhrngaerkinkh s 1867 hlngsinsudsngkhramklangemuxng rthbalshrthmikhwamphyayamthicafunfupraethscakphawasngkhram aelanarththangitklbekhamarwmknepnshrthsamkhkhiklmekliywkndngedim eriykwa smyaehngkarfunfu Reconstruction Era noybaythisakhykhxngrthbalinsmyaehngkarfunfukhux karfunfuthangesrsthkickhxngrthfayitsungidthukthalaylngxyangsinechinginchwngsngkhram karihsiththiesriphaphaekchawaexfriknxemrikninthanaphlemuxngxemriknthiethaethiymkbkhnphiwkhaw aelakarkdkhiprabpramphrrkhedomaekhrtfayitaelaphufkifsmaphnthrththiehluxxyu prathanathibdicxhnsnsungkhundarngtaaehnnghlngcakkarlxbsngharprathanathibdilinkhxlnnnmacakphrrkhedomaekhrt miaenwkhwamkhidthiepnklangnnkhux rthtang thangitnnimmisiththithicaaeyktwxxkipcdtngsmaphnthrth dngnnsmaphnthrthcungepnrththiimthuktxngaelaimidrbkarrbrxngaeterimaerk rthbalkhxngnaycxhnsnmikhasngihrthiterimcdtngrthbalkhunihmaelaklbekharwmkbshrthiherwthisud aetpraktwarththangitthnghlayyngkhngrabukdhmaythilidrxnsiththiesriphaphkhxngkhnphiwdaiwinthrrmnuykhxngrthtn eriykwa kdhmaykhnphiwda Black Codes sungsrangkhwamimphxicxyangmakihaekbrrdasmachikphrrkhriphbbliknhwrunaerng Radical Republicans sungmiesiyngkhangmakinsphakhxngekrskhnann ptiesththicaihphuaethncakrthitklbekharwmsphakhxngekrs aelain kh s 1866 emuxsphakhxngekrsphicarnarangkdhmayephuxmxbsiththiesriphaphihaekchawaexfriknxemrikninthanaphlemuxngxemriknthdethiymkbkhnphiwkhaw prathanathibdicxhnsnsungimepndwykbkarihsiththiphlemuxngaekkhnphiwdaidichsiththikhxngfaybriharybyngrangrthbyytini aetthwasphakhxngekrsthiprakxbipdwyphrrkhriphbbliknidthakarkham override karybyngkhxngprathanathibdicxhnsnaelaphanrangkdhmayxxkmaepn Fourteenth Amendment in kh s 1868 ihsiththiesriphaphaekchawphiwdaepnphlemuxngxemriknxyangepnthangkar aelamikarbngkhbihrththangityxmrbbthbyytikhxniekhaipinthrrmnuymichanncaimrbklbekharwmshrth kh s 1867 sphakhxngekrsxxkrthbyytifunfu Reconstruction Act odyaebngmlrththangitxxkepnhaekhtthhar Five Military Districts odyihrthbalsngkxngthphekhapracaphunthithangitephuxkhwbkhumduaelmiihekidkartxtannoybaykhxngrthbalhruxkhwamrunaerngtxkhnphiwda aelaephuxkacdxanackhxngphrrkhedomekhrtinrththangit kareluxktnginkh s 1869 nayphlyulissis exs aekrnth wirburussngkhramklangemuxngchnakareluxktnginnamkhxngphrrkhriphbbliknaelaepntwaethnkhxngfayriphbbliknhwrunaerng khundarngtaaehnngepnprathanathibdi inpiediywknnnprathanathibdiaekrnthsngkxngthphipthakarprabpram Ku Klux Klan xnepnxngkhkrkxkarrayitdinthimiepahmaykxkhwamrunaerngaelasngharkhnphiwdaaelankkaremuxngriphbblikn insmykhxngprathanathibdiaekrnthchawphiwdaxemriknmisiththiesriphaphrungeruxngxyangmak mikarsngesrimihchawphiwdaekhamamiswnrwminkarpkkhrxngaelamikhnphiwdaepnphuwamlrthaelaepnphuaethninsphakhxngekrsepnkhrngaerk xyangirktamwikvtesrsthkicin kh s 1873 thaihrthbaltxnghnkhwamsniccakeruxngkhnphiwdamathieruxngesrsthkic kareluxktngin kh s 1877 miphlkareluxktngthiimchdecn cungekidkarecrcakhunrahwangthngsxngphrrkhkaremuxngkhux phrrkhriphbbliknaelaphrrkhedomaekhrt odyfayedomaekhrtyinyxmihtwaethncakphrrkhriphbbliknkhux rthethxrfxrd bi ehs Rutherford B Hayes khundarngtaaehnngprathanathibdi aetmikhxaelaepliynwarthbalklangcatxngthxnthharthnghmdxxkcakrththangit emuxprascakkalngkhwamkhumcakfayriphbbliknthaihphrrkhedomaekhrtklbkhunmamixanacxikkhrnginthangtxnit epnkarsinsudsmyaehngkarfunfu rthbalradbmlrthtang thangtxnitidxxkkdhmayridrxnsiththikhxngchawaexfriknxikkhrnghnungeriykwa Jim Crow Laws odymikaraebngaeyk segregation khnphiwkhawaelakhnphiwdaxxkcakknindansatharnupophkhsatharnaaelahnathikarngan phayitnoybay aebngaeykxyangethaethiym Seperate but equal inthangptibtikhnphiwdainthangtxnittkepnphlemuxngchnsxng mikhunphaphchiwitthidxykwakhnphiwkhawaelathukkidkdcakkarpkkhrxng smyaehngkhwamkawhna kh s 1877 kh s 1933 smyaehngkhwamkawhna Progressive Era epnsmythishrthmikhwamkawhnathangesrsthkicaelaxutsahkrrm ekidkarptiwtixutsahkrrmkhuninshrth aetepnsmythimipyhathangsngkhmsung smynieriykxikchuxhnungwa smyaehngthxngkhaeplw Gilded Age tamwrrnkrrmkhxngmarkh thewn Mark Twain eruxng The Gilded Age A Tale of Today sungepriybkhwamecriykawhnakhxngshrthinsmynnwaesmuxnepnthxngkhaeplwchabhnasxnernpyhakhwamesuxmothrmiwphayin karptiwtixutsahkrrmaelashphaphaerngngan karlnghmxnrthifchinsudthay khxng First Continental Railroad inkh s 1869 insmyaehngkhwamkawhnashrthekidkarptiwtixutsahkrrm odyechphaainphumiphakhtawntkechiyngehnuxaelatawntkekidxutsahkrrmhnktang khun echn xutsahkrrmkxsrangthangrthif xutsahkrmthlungaerehlk xutsahkrrmehmuxnthanhin l mikarnaekhruxngckrthnsmymaihinkarphlitthaihprimankarphlitkhxngxutsahkrrmkhxngxemrikaphungsungkhunxyangrwderw cnkrathngshrthklayepnpraethsxutsahkrrmxndbhnungkhxngolk emuxngxutsahkrrmtang etibotkhunxyangrwderwidaek chikhaok khlifaelnd aelaphittsebirk odymiphuxphyphcakyuorpaelakhnphiwdacakrthitekhamaepnaerngnganhlk mikarsrang First Continental Railroad esrcsinepidihbrikarin kh s 1869 cakmissuricnthungsanfransisok aelarthbalyngihsmpthanbristhxutsahkrrmtang ephuxsrangthangrthifephuxxanwykhwamsadwkinkartidtxkhnsngrahwangsxngfakthwipxemrika ekidbristhxutsahkrrmyksihymimulkhamaksungdarngxyumacnthungpccubnidaek bristhyuexsstil U S Steel bristhecxenxrlxielkthrikh General Electric kxtngody othms exdisn Thomas Edison bristhsaetndardxxyl Standard Oil Company kxtngodynaycxhn di rxkkieflelxr John D Rockefeller thangdanwithyasastrethkhonolyimikhwamkawhnaekidkarkhnphbihm echn othms exdisn pradisthhlxdif samuexl exf bi mxrs Samuel Morse khidkhnothrelkh xelksanedxr ekraehm ebll Alexander Graham Bell pradisthothrsphth phinxngirt Wright Brothers pradisthekhruxngbin l xyangirktamkhwamrungeruxngkhxngxutsahkrrmnamasungpyhaaerngngan brrdaaerngngansungswnihyepnphuxphyphtangeriykrxngtxrthbalihprbprungsphaphkarthanganaelakhwamepnxyu odykareriykrxngkhaaerngkhuntaaelacakdewlainkarthangantxwnimekidaepdchwomng sungaerngnganehlannidrwmtwknepnshphaphaerngngan Labor unions insmyaehngkhwamkawhnaekidkarprathwngkhxngaerngngankhunhlaykhrng khrngaerkin kh s 1877 ekidkarprathwngesnthangrthifkhrngihy Great Railroad Strike txmainpi kh s 1886 ekidkarprathwngesnthangrthiftawntkechiyngitkhrngihy Great Southwest Railroad Strike aelaehtukarnclaclehymarektsaekhwr Haymarket Square Riot thiemuxngchikhaok aelain kh s 1894 ekidkarprathwngrthodysar Pullman Strike pyhaaerngnganyngthaihekidkraaesaenwkhwamkhidsngkhmniym Socialism khuninshrth mikarcdtngphrrkhsngkhmniymaehngxemrikamiphunakhnsakhykhux Eugene V Debs sungrthbalthuksmyidphyayamprabpramkarprathwngkhxngaerngnganaelaphrrkhsngkhmniymxyanghnk karemuxnginsmyaehngkhwamkawhna khwamepliynaeplngthangkaremuxngtngaetsngkhramklangemuxngcnthungsmyaehngkarfunfu thaihekidrabbphrrkhkaremuxngthisi Fourth Party System khun prakxbdwyphrrkhriphbbliknsungmithanesiyngswnihyxyuinrththangehnuxaelatawntk aelaphrrkhedomaekhrtsungmithanesiyngxyuinmlrththangit odyechphaarththangitidrwmtwkntxtanrthbalriphbbliknsungkhrxngthngtaaehnngprathanathibdiaelaesiyngkhangmakinsphakhxngekrsekuxbcatlxdsmyaehngkhwamkawhna eriykwa itekhmaekhng Solid South aethmmanihxl Tammany Hall inemuxngniwyxrk sthanthikhxngkarthucritsuxsiththikhayesiyng smyaehngkhwamkawhnaidchuxwaepnsmythimikhwamthucritchxchlmakthisudinprawtisastrshrth brrdaphrrkhkaremuxngtangsrangkhaaennesiyngkhxngtnphanrabbsuxsiththikhayesiyng Clientelism aelaidrbkarsnbsnuncakphumixiththiphltamemuxngihyechnniwyxrk chikhaok prachachnchnlangodyechphaaphuxphyphmkcakhxkhwamchwyehluxcakphumixiththiphlehlannindankarhanganhruxchiwitkhwamepnxyu sungprachachnehlanncatxbaethnphumixiththiphldwykarlngkhaaenneluxktngihaekphrrkhthichwyehluxtn rabbechnnieriykwa ekhruxngckrthangkaremuxng Political Machine sungepnthanesiyngsakhykhxngphrrkhkaremuxnginsmyaehngkhwamkawhna ekhruxngckrthangkaremuxngthiepnthiruckmakthisudkhux aethmmanihxl Tammany Hall inemuxngniwyxrk daeninkarodynaywileliym exm thwid William M Tweed phuthrngxiththiphlpracaemuxng nxkcakninoybaytang khxngrthbalklangyngexuxtxphlpraoychnkhxngphumixiththiphlinthxngthin karaephkhyayxananikhm yuththkarxawmanila insmyaehngkhwamkawhnarthbalphrrkhriphbbliknidphyayamthicaaephxiththiphlekhaipinlatinxemrikaodyechphaahmuekaaaekhribebiynsungxyuthangtxnitkhxngshrth sungswnihyepnxananikhmthiyngkhnghlngehluxxyukhxngckrwrrdisepnsungkalngesuxmxanaclng rthbalshrthihkarsnbsnunkhiwbainkarekhluxnihwephuxaeyktwepnexkrachcaksepn odysuxmwlchninshrthexngnnidrbkarsnbsnuncakrthbalihichkarokhsnachwnechux yellow journalism ihchawxemriknehnkarpkkhrxngthikdkhitharunkhxngsepninkhiwbasungepneruxngrawthithukpnaetngkhun ephuxeriykesiyngsnbsnuninkarthasngkhramephuxkhyayxanaekht in kh s 1898 hlngcakthikhiwbaidcdtngrthbalpkkhrxngtnexng prathanathibdiwileliym aemkkhinliysngeruxrbchuxwayuexsexs emn USS Maine ipyngemuxnghawanaodyxangwaephuxpkpxngchawxemrikninkhiwba praktwaeruxyuexsexs emnthukraebidocmtiaelacmlng rthbalshrthekhaicwaepnkarprathakhxngsepnaelayunkhakhadihsepnihexkrachaekkhiwba thangkarsepncungprakassngkhramkbshrthinthisudekidepn Spanish American War sungnxkcakkhiwbaaelwthpheruxshrthyngekhaocmtixananikhmxun khxngsepnidaek epxrotriok ipcnthungekaakwmaelafilippins George Dewey nathpheruxshrthexachnathpheruxsepninyuththkarxawmanila Battle of Manila Bay infilippins snthisyyaparisyutisngkhramsepn xemrika odysepnslakhiwbaihepnrthxarkkha Protectorate khxngshrth aelaslaepxrotriok ekaakwm aelafilippinsihepnxananikhmkhxngshrthechnkn aetthwarthbalkhxngsatharnrthfilippins Philippine Republic txngkarexkrachodysmburnimkhunaekrthbalxemrika cungnaipsu Philippine American War in kh s 1899stwrrsthi 20yukhkawhna bthkhwamhlk Progressive Era khwamimphxicinswnkhxngchnchnklangthikalngephimkhundwykarthucritaelakhwamirprasiththiphaph khxngkaremuxngtampkti aelakhwamlmehlwinkarcdkarkbpyhakhxngemuxngaelaxutsahkrrmthisakhymakkhun naipsu karekhluxnihwthikawhnaaebbidnamik thierimtninyukh 1890s inthukemuxngihyaelathukrth aelainradbchatikechnkn aelainkarsuksa karaephthyaelaxutsahkrrm khwamkawhnaeriykhakhwamthnsmy aelakarptirupsthabnthiesuxm kacdkarthucritinkaremuxng aelakaraenanakhxngprasiththiphaphephixepneknthsahrbkarepliynaeplng nkkaremuxngchnnacak thngsxngfay thisadudtathisudkhux thioxdxr orsewlt charls xiaewns hiwc orebirt La Follette indanriphbliknaelawileliym ecnnings ibrxn aela wudorw wilsn indanedomaekhrterimlngmuxkbsaehtukhxngkarptirupephuxkhwamkawhna phuhyingidekhamamiswnekiywkhxngodyechphaaxyangyingin khwamtxngkarsahrbsiththuinkarlngkhaaennesiyngkhxngphuhying karhamekhruxngdumaexlkxhxl aelaorngeriynthidikwa phunathioddednthisudkhxngphwkekhakhux ecn Addams aehngchikhaok khwamkawhnaidnakdhmaytxtankarphukkhad xngkvs anti trust laws maich aelakarkakbduaelxutsahkrrmechn karbrrcuenux ya aelathangrthif karaekikhrththrrmnuyihmsikhrng khrngthisibhkthungsibeka epnphlmacakkarekhluxnihwthikawhna naphasirayidkhxngrthbalklang kareluxktngwuthismachikodytrng karhamekhruxngdumaexlkxhxl aelasiththikarxxkesiyngkhxngstri karekhluxnihwephuxkawhnamixyutlxdpi 1920s rayaewlathimikickrrmmakthisud khux 1900 1918 ckrwrrdiniym khxmulephimetim American imperialism shrthklayepnmhaxanacthangesrsthkicaelakarthharkhxngolkhlngcakpi 1890 bthhlkkhuxsngkhramsepn shrth sungerimemuxsepnptiesthkhxeriykrxngkhxngchawxemriknthicaptirupnoybaykdkhiinkhiwba sngkhramelk thiyxdeyiym xyangthiecahnathikhnhnungeriykmn ekiywkhxngkbchudkhxngchychnakhxngxemriknxyangrwderwthangbkaelathanginthael thi snthisyyakarprachumsntiphaphparis xngkvs Treaty of Paris peace conference shrthkhrxbkhrxngfilippins epxrotriokaelakwm khiwbaklayepnpraethsxisraphayitkarkhumkhrxngxyangiklchidkhxngxemrikn aemwasngkhramthitwmnexngidrbkhwamniymknxyangaephrhlay inkhwamhmaykhxngsntiphaphidrbkarphisucnwakhdaeyng wileliym ecnnings ibrxn naphrrkhedomkhrrtkhxngekhainkarkhdkhankarkhwbkhumfilippins sungekhapranamwaepnckrwrrdiniym imehmaasmkbprachathipityxemrikn prathanathibdiwileliym aemkhkhinliy pkpxngkarekhakhrxbkhrxngaelaphakhphumiicthipraethsklbmasukhwammngkhng aelarusukthungchychnainsngkhram aemkhkhinliyphayaephxyangngaydaytxibrxninkaraekhngkhnxikkhrnginkareluxktngprathanathibdipi kh s 1900 hlngcakthiexachnakbtodychawfilippinsphurkchati shrthmiswnrwminopraekrmkhnadihythicaptirupesrsthkickhxngfilippinsaelaxphekrdsingxanwykhwamsadwkdansatharnsukhxyangrwderw inpi 1908 xyangirktam chawxemriknhmdkhwamsnicinxanackraelahnkhwamsnicdantangpraethskhxngphwkekhaipyngaekhribebiyn odyechphaaxyangying karsrangkhlxngpanama inpi kh s 1912 emuxrthaexriosnaklayepnrthinaephndinihyrthsudthay chayaednxemriknmathungcudsinsud khlxngepidinpi kh s 1914 aelaephimkarkhakbpraethsyipunaelaswnthiehluxkhxngtawnxxkikl nwtkrrmthisakhykhux noybayepidpratu xngkvs open door policy inthisung xanackhxngckrphrrdiidrbkarekhathungthiethaethiymknkbthurkickhxngcin thiimmikhnhnungkhnidkhxngphwkekhaidrbxnuyatihkhwbkhumcin sngkhramolkkhrngthihnung bthkhwamhlk aela susanchawxemriknthi Romagne sous Montfaucon khnathisngkhramolkkhrngthihnungohmkrahnainyuorpcakpi 1914 prathanathibdi wudorw wilsn ekhakhwbkhumetmrupaebbinnoybaytangpraeths prakaskhwamepnklangaetetuxneyxrmniwa karerimtnihmkhxngsngkhrameruxdanathiimcakdtxeruxxemriknthikalngsngsinkhaipyngpraethsphnthmitr cahmaythungsngkhram eyxrmnitdsinicthicaesiyngaelaphyayamthicachnaodykartd esbiyngipxngkvs shrthprakassngkhramineduxnemsayn kh s 1917 engin xahar aelaxawuthxemriknmathungidxyangrwderw aetkxngthphtxngidrbkareknththharaelakarfukxbrm invdurxnpi 1918 thharxemriknphayit nayphl cxhn ec Pershing mathunginxtra 10 000 txwn inkhnathieyxrmniimsamarththicathdaethnkarsuyesiykhxngtn phlthiidepnchychnakhxngfayphnthmitrineduxn phvscikayn 1918 prathanathibdiwilsneriykrxng eyxrmniihkhbilphwkikesxraelayxmrbenguxnikhkhxngekha hlkkarsibsikhx xngkvs Fourteen Points wilsnkhrxbngakarprachumsntiphaphparispi 1919 aeteyxrmnithukptibtixyangrunaerngodyfayphnthmitrin snthisyyaaewrsay 1919 emuxwilsniskhwamhwngthnghmd khxngekhalnginsnnibataehngchati xngkvs League of Nations wilsnptiesththica pranipranxmkbwuthisphaphrrkhriphblikninpraednkhxngxanacrthsphathicaprakassngkhram aela wuthisphaptiesthsnthisyyaaelasnnibat siththistriinkarxxkesiyng khxmulephimetim xlis phxl yuntxhnaaephnpaystyabnkhxngkaraekikhsiththistruinkarxxkesiyng xlis phxlekhiynkaraepryttisiththithdethiym thikarphankhxngmnidklayepnepahmaythiimbrrlukhxngkarekhluxnihweriykrxngsiththistri inpi 1970s karekhluxnihwkhxngsiththistrierimtnkbkarprachumaehngchatikhxngphrrkhesriphaphkhxngeduxnmithunayn 1848 phusmkhrchingtaaehnngprathanathibdi Gerrit smith thkethiyngsahrbaelacdtngsiththistriihepnkhakhwykhxngphrrkh hnungeduxntxma yatikhxngekha lisaebth ekhdi saetntn rwmkb Lucretia Mott aela phuhyingkhnxun cdprachum esenka fxls xngkvs Seneca Falls Convention thicaaesdng karprakaskhxngkhwamrusuk xngkvs Declaration of Sentiments thieriykrxngsiththithiethaethiymknsahrbphuhying aelasiththiinkarxxkesiynglngkhaaenn hlaykickrrmehlaniklayepnkhwamtrahnkthangkaremuxnginrahwangkarekhluxnihwkhxngnkniymlththikarlmelik karrnrngkhsiththistriinrahwang strikhlunlukaerk naody saetntn lusi sotn aela susan bi aexnothni inhmu xun xikmakmay sotnaela Paulina irth edwis cdihmikarprachumaehngchatiwadwyeruxngsiththi strithioddednaelamixiththiphlinpi 1850 karekhluxnihwcdxikkhrnghlngsngkhramklangemuxng idrbnkrnrngkhthimiprasbkarn hlaykhnehlannidthanganihkbkhxhaminshphaphphuhyingkhrisetiyn intxnthaykhxngstwrrsthi 19 imkirththangtawntkidxnuyatihphuhyingidrbsiththiinkarxxkesiyngetm aemwaphuhyingcaidchychnathangkdhmayxyangminysakhy odyidrbsiththiinphunthiechn xsngharimthrphyaelakarduaeledk rawpi 1912 karekhluxnihweriykrxngsiththistri sungidsbesa erimthicatunkhunmaihm odykarennkhwamsakhykbkareriykrxngephuxkhwamethaethiymknaelaotaeyngwa karthucritkhxngkaremuxngxemriknthukeriykrxngihthaihmikhwambrisuththiodyphuhying ephraaphuchayimsamarththangannnid karprathwngklayepneruxngthrrmdamakkhunemuxnkeriykrxngsiththistri xlis phxl nakhbwnphaehrdphanemuxnghlwngaelahlayemuxngihy phxl idaeykxxkcaksmakhmsiththistriaehngchatixemriknkhnadihy xngkvs National American Woman Suffrage Association NAWSA sungsrangkhwamphxicihkbwithikarradbklangmakkhunaelasnbsnun phrrkhchdomaekhrtaelawudorw wilsn thinaody aekhri aechpaemn Catt aela srangphrrkhkhxngphuhyingaehngchatithiekhmaekhngmakkhun nkeriykrxngsiththistrithukcbinrahwangkarthuxpayprathwng yamrksakarnengiyb xngkvs Silent Sentinels khxngphwkekhathithaeniybkhaw sungepnkhrngaerkthi klyuththdngklawthuknamaich aelaidrbkarptibtiehmuxnnkothskaremuxng khxotaeyngkhxngfaytxtansiththistrhwekathibxkwaphuchayethannthisamarthtxsuinsngkhramidaeladngnnphuchayethanncungsmkhwridrbsiththiinkarxxkesiyng idrbkarphisucnaelwwaimcringody karmiswnrwmxyangkratuxruxrnkhxnghyingxemriknnbhmunthiaenwhnainsngkhramolkkhrngthihnung thwolk praethsthisanukinbuykhunidihphuhyingmisiththiinkarxxkesiyng nxkcakni swnihykhxngrthtawntkidihphuhyingmisiththiinkarxxkesiyngeriybrxyaelwinkareluxktngradbrthaelaradbchati aelaphuaethncakrthehlann rwmthngphuhyinghmayelkhhnung Jeannette Rankin cakrthmxnaethna aesdngihehnwasiththiinkarxxkesiyngkhxngphuhyingepnkhwamsaerc khwamtanthanhlkmacakphakhit thiphunaphiwkhawepnkngwlekiywkbphykhukkhamkhxngkarxxkesiyngkhxngphuhyingphiwda rthsphaidphankaraekikhthisibekainpi 1919 aelaphuhyingcalngkhaaennesiyngidinpi 1920 NAWSA klayepnshphnthkhxngstriphuichsiththixxkesiyng aela phrrkhstriaehngchatierimlxbbiephuxkhwamethaethiymknetmrupaebbaelakaraekikhsiththithiethaethiymkn sungcaphansphakhxngekrsinchwng khlunlukthisxngkhxngkarekhluxnihwkhxngstriinpi 1922 nkkaremuxngtxbsnxngtxkareluxktng ihm odyennpraednthimikhwamsnicepnphiesskhxngphuhying odyechphaaxyangying karham sukhphaphkhxngedk aelasntiphaphkhxngolk karphungkhunhlkkhxngkarxxkesiyngkhxngphuhyingmathunginpi kh s 1928 emuxekhruxngckremuxngihytrahnkwaphwkekhatxngkarkarsnbsnunkhxngphuhyingthicaeluxk xl smith khathxlikhcakmhankhrniwyxrk inkhnathi phuhyingopretsaetntekhluxnihwephuxsnbsnunkarhamaelaxxkesiyngihkb ehxrebirth huewxr cakphrrkhriphbliknesiyngkharaminstwrrsthi 20 aela esrsthkictktakhrngyingihybthkhwamhlk khxmulephimetim Great Depression aela New Deal karhaminshrth ecahnathikalngthalaythngekhruxngdumaexlkxhxlinchikhaok pi 1921 inpi 1920s shrthidephimkhunxyangtxenuxnginprimankarecriyetibotephuxepnmhaxanacthangesrsthkicaelakarthharkhxngolk wuthisphashrthimidihstyabninsnthisyyaaewrsaythithukkahndodyfayphnthmitrinkarphayaephkhxngxanacklang odyshrtheluxkthicahathangthaihsaercaetfayediywaethn aerngsnsaethuxnthiekidkhunphayhlngkarptiwtikhxngrsesiyemuxeduxntulakhmsngphlihekidkhwamklwthiaethcringinlththikhxmmiwnistkhxngshrth thinaipsu khwamklwsiaedng aelakarsngtwklbkhxngkhntangdawthimiphvtikrrmkhxngkarlmlangbxnthalay inkhnathi singxanwykhwamsadwkdansukhphaphkhxngprachachnephimkhunxyangrwderwin yukhkawhna aelaorngphyabalaelaorngeriynaephthyhlayaehngthukthaihthnsmykhun praethsinpi 1918 suyesiy 675 000 chiwitipinkarrabadkhxngikhhwdihysepn in pi 1920 karphlit karkhay karnaekhaaelasngxxkkhxngekhruxngdumaexlkxhxl thukhamody the Eighteenth Amendment Prohibition phlkkhux inemuxngthiekhruxngdumaexlkxhxlthiphidkdhmayidklayepnthurkickhnadihy thukkhwbkhumodyaekngkhphidkdhmaythnghlay klumthisxngkhxng Ku Klux Klan etibotxyangrwderwrahwangpi 1922 1925 hlngcaknnkhdtwlng kdhmaytrwckhnekhaemuxngidthukphanxxkmaephuxcakdcanwnkhxngkhnekhaemuxngrayihmxyangekhrngkhrd pi 1920s thukeriykwaepn esiyngkharaminstwrrsthi 20 enuxngcakkhwamecriythangesrsthkicxyangyingihyinchwngewlani ephlngaecsklayepnthiniyminhmukhnrunihm aelanithaih thswrrsnithukeriykwa yukhaecs aemtangdaw thayphaphody odorthi aelnc aesdngihehnkhnnganekbthwphuyakcninaekhlifxreniy trngklangkhxngphaph flxerns oxewns thxmpsn mardalukecd xayu 32 in Nipomo aekhlifxreniy minakhm 1936 phawaesrsthkictktakhrngyingihy 1929 1939 aelakhxtklngihm 1933 1936 epnchwngewlathichikhadin prawtisastrkaremuxng esrsthkic aelasngkhmxemrikn thiepliynochmhnapraeths 122 inchwngpi kh s 1920s praethsmikhwamsukhkbkhwamecriyrungeruxngthikhyaykngangkhwang aemcami cudxxninphakhkarekstr fxngsbuthangkarenginidrbkarphlkdncaktladhunthiepaihphxngxxkmasungtxmanaipsukarphngthlaykhxng tladhuninwnthi 29 tulakhm kh s 1929 ehtukarni phrxmkbpccythangesrsthkicxun xikmakmay idcudchnwnihekidphawaesrsthkictktathwolkepnthiruckknwa phawaesrsthkictktakhrngyingihy chwngewlani shrthprasbphawaenginfudemuxrakhatklng karwangnganephimsungkhuncak 3 inpi 1929 epn 25 inpi 1933 rakhasinkhaekstrldlngkhrunghnung aela phlphlitphakhxutsahkrrmldlnghnunginsam in pi 1932 prathanathibditwaethnphrrkhedomaekhrt aefrngkhlin di orsewlt syyain khxtklngihmsahrbprachachnxemrikn epnkarsrangpaykhwamxdthnsahrbnoybayinpraethskhxngekha sthankarnthangesrsthkicthihmdhwng phrxmkbchychnakhxngphrrkhedomaekhrtxyangmakin kareluxktngpi 1932 epidoxkasihorsewlt mixiththiphltxsphakhxngekrsthiphidpktiinchwng rxywnaerk khxngkarbriharkhxngekha ekhaichxanackhxngekhaexachnainkarphanxyangrwderwkhxngchudkhxngmatrkarinkarsrangopraekrmswsdikaraelakakbduaelrabbkarthnakhar tladhun xutsahkrrm aelakarekstr phrxmkbhlaykhwamphyayamxun khxngrthbalthicayutiphawaesrsthkictktakhrngyingihy aelakarptirupesrsthkicxemrikn khxtklngihmkakbduaelcanwnmakkhxngesrsthkic odyechphaaphakhkarengin mnidbrrethakarwangnganphanopraekrmcanwnmak echnkarbriharkhwamkawhnakhxngngan WPA aela sahrbkhnhnum xngkhkrxnurksphleruxn Administration WPA and for young men the Civilian Conservation Corps okhrngkarkarichcaykhnadihythixxkaebbmaephuxcdhanganthicayenginsung aelasrangokhrngsrangphunthankhunihm xyuphayitkhxbekhtkhxngkarbriharnganoythathikar orsewlteliywsayin 1935 1936 karsrangshphaphaerngnganphanphrarachbyyti aewkenxr shphaphaerngnganklayepnxngkhprakxbthimiprasiththiphaphkhxngkarrwmekhadwyknkhxngkhxtklngihm sungchnakareluxktngxiksamsmysahrb orsewlt inpi 1936 pi 1940 aela 1944 odykarradmsmachikshphaph khnnganradbklang phurbkarbrrethathukkh ekhruxngckremuxngihy chatiphnthu aela klumsasna odyechphaaxyangying chawkhathxlikaelachawyiw aelachawphiwkhawthangit phrxmkbkhnphiwdathangehnux thiphwkekhasamarthlngkhaaenn bangopraekrmthukykelikinpi 1940s emuxphwkxnurksniymidxanackhuninsphakhxngekrsphanthangaenwrwmxnurksniym thimikhwamsakhyepnphiesskhuxopraekrm praknsngkhmthieriminpi 1935 sngkhramolkkhrngthisxngeruxrbhlwng USS Arizona BB 39 kalngthukifihmhlngcakthukkxngthphyipunocmtithanthpherux ephirl harebxr khxngshrth yipunthaihkxngthpheruxxemriknphikarodythalayeruxrbinthanthpheruxthnghmd khxmulephimetim sngkhramolkkhrngthisxng aela inchwnghlaypithiekidphawaesrsthkictkta shrthyngkhngmungennipthikhwamkngwlinpraeths inkhnathi prachathipityldlngthwolkaelahlaypraethstkxyuphayitkarkhwbkhumkhxngephdckar ckrwrrdiyipunyunynkarkhrxbkhrxnginphumiphakhexechiytawnxxkaelainaepsifik nasieyxrmni aela fassistxitaliichkalngthharaelakhuwacaphichitdinaedn inkhnathi xngkvsaelafrngess phyayamphaenaphanxephuxhlikeliyngsngkhraminyuorp shrthidxxkkdhmay kdhmaykhwamepnklang xngkvs Neutrality Acts ephuxhathanghlikeliyngkhwamkhdaeyngkbtangpraeths xyangirktam noybayidprasanngakbkhwamrusuktxtannasithiephimkhun hlngcakeyxrmnbukopaelndineduxn knyayn kh s 1939 thierimtnsngkhramolkkhrngthisxng orsewlt wangtaaehnngshrthwaepn khlngaesngkhxngprachathipity xngkvs Arsenal of Democracy odyihkhamninkarsnbsnunthangkarenginaelaxawuthetmrupaebbsahrbphnthmitr aetimihkalngthhar yipunphyayamthicaldxanackhxngxemrikainmhasmuthraepsifik odykarocmti ephirl harebxr emuxwnthi 7 thnwakhm 1941 sungepnkarerngptikiriyaihxemriknekhasusngkhramaelaaeswnghakaraekaekhn khwamchwyehluxhlkkhxngshrththiihkbphnthmitrinkhwamphyayamthasngkhramprakxbdwy engin phlphlitphakhxutsahkrrm xahar piotreliym nwtkrrmethkhonolyi aela odyechphaaxyangyingrahwang 1944 1945 kalngthhar singthiwxchingtnofksxyangmakkhux karephimphlphlitthangesrsthkickhxngpraethsxyangsungsud phlodyrwmepnkarephimkhunxyangmakkhxng GDP karsngxxk inprimanmhasalkhxngxupkrnihkbphnthmitr aelaihkbkxngthphxemriknintangpraeths karsinsudkhxngkarwangngan aelakarephimkhunkhxngkarbriophkhodyphleruxn thung 40 khxngcidiphiipinsngkhram singnithasaercidodykhnnganhlaysiblanthiyaycakxachiphprasiththiphaphkarphlitta ipsunganthimiprasiththiphaphsung karprbprungprasiththiphaphkarphlithlayxyangdwyethkhonolyiaelakarbriharcdkarthidikhunaela karyayekhamaepnkalngaerngnganthiaekhngkhnkhxngnkeriyn khneksiyn aemban aela khnwangnganaela karephimkhunkhxngchwomngthangan ekhasukhmekhiywkhxngkhwamtay karykphlkhunbkthinxrmxngdiepncuderimkaredinswnsnamkhxngfayphnthmitrekhasupraethseyxrmnithangdantawntksphthharxemrikncanwnmaknxnkracdkracayxyubnchayhadtharawa phvscikayn 1943 mnkehnuxy kickrrmyamwangldlngxyangrwderw prachachnxdthnthanganphiessephraakhwamrkchati khacangaelakhwamechuxmnwamnepnephiyng chwngrayaewlahnung aelachiwitcaklbmaepnpkti odyerwthisudemuxchnasngkhram sinkhakhngthnswnihyhaichimid aelaenuxstw esuxpha aela namn thukpnswnxyangekhmngwd inphunthixutsahkrrm thixyuxasyepnsinghayakemuxprachakrephimepnsxngethaaelatxngxasyxyuinthikabngaekhb rakhaaelakhacangthukkhwbkhum aela chawxemrikntxngekbxxmepnsdswnthisungkhxngrayidkhxngphwkekha sungnaipsu karecriyetibotkhunma ihmhlngsngkhram aethnthicaklbipsu phawatkta fayphnthmitr prakxbdwyshrth shrachxanackr shphaphosewiyt cin aekhnada aelapraethsxun txsukbfayxksa thimieyxrmni xitali aelayipun fayphnthmitrehneyxrmni epnphykhukkhamhlkaelaihkhwamsakhysungsudkbyuorp shrthkhrxbngasngkhramkbyipunaelahyudkarkhyaytwkhxngyipuninmhasmuthraepsifikinpi 1942 hlngcakkarphayaephthi ephirlhaebxraelainpraethsfilippinsaekyipunaelaesmxkninkarrbthithaelkhxrl phvsphakhm kh s 1942 kxngthpheruxxemriknidsrangkhwamesiyhayxyangeddkhadthimidewy mithunayn kh s 1942 kxngthphbkxemriknchwyin karrnrngkhaexfrikaehnux thiinthisudkcbdwykarlmslaykhxngrthbal fassistkhxng Mussolini inpi 1943 emuxxitaliepliynmaekhakbfayphnthmitr aenwrbdanhnakhxngyuorpthisakhythisudthukepidinwn D Day wnthi 6 mithunayn kh s 1944 thikxngkalngxemriknaelaphnthmitrbukfrngessthinasiyudkhrxngxyu sthankarninpraeths karkhbekhluxnkhxngesrsthkicshrthidrbkarcdkarody khnakrrmkarkarphlitrahwangsngkhram khxngorsewlt karphlitthikhyaytwxyangmakinchwngsngkhramnaipsukarcangnganetmrupaebb echdrxngrxykhxngesrsthkictktakhrngihyxxkip xnthicring karkhadaekhlnaerngnganidsnbsnunihxutsahkrrmmxnghaaehlngihmkhxngkhnngan thaihekidbthbathihmsahrbphuhyingaelakhnphiwda xyangirktam khwamrusukthwmthnyngepnaerngbndalicinkhwamrusuktxtanyipun sungidrbkar cdkarodykaryaythukkhnthimiechuxsayyipunxxkcakekhtsngkhramchayfngtawntk karwicyaelaphthnaiderimptibtikarechnkn thiehnednchdthisudkhuxinokhrngkaraemnhttn khwamphyayamthiepnkhwamlbinkarichpraoychnptikiriyaniwekhliyrinkarphlitraebidprmanuthimikarthalaylangsung phnthmitrphlkdneyxrmnxxkmacakfrngess aettxngephchiykbkartxbotthiimkhadkhidinkarrb thi the Battle of the Bulge ineduxnthnwakhm khwamphyayamkhxngeyxrmnkhrngsudthayidlmehlw aela emuxkxngthphphnthmitrin tawnxxkaelatawntkidmabrrcbknthikrungebxrlin nasikribphyayamcakhachawyiwklumsudthaythiehluxxyu aenwrbdantawntkhyudlnginewlaxnsn plxyihkrungebxrlinxyuinmuxosewiytemuxrabxbkarpkkhrxngkhxngnasiyxmcannxyangepnthangkarineduxnphvsphakhm kh s 1945 epnkarsinsudsngkhraminyuorp thangdanmhasmuthraepsifik shrthidnamaichklyuththkarkraoddkhamekaamaichkbotekiyw odykarsrangsnambinsahrbkarradmthingraebidinaephndinihyyipuncakhmuekaamaeriyna aelabrrluchychnainkartxsuthiyaklabakthiekaaxiowcimaaelaoxkinawainpi 1945 eluxdnxngthioxkinawa shrth etriymthicabukekaayipunemux B 29s thingraebidprmanuthiemuxnghiorchimaaelanangasakikhxngyipun bngkhbihckrwrrditxngyxmcanninewlahlaywnaelathaihsinsudsngkhramolkkhrngthisxng shrthyudkhrxngyipun aelabangswnkhxngeyxrmni odysng dklas aemkhxaethxr ephuxprbokhrngsrangesrsthkicyipunaelarabbkaremuxngihmtamaenwthangxemrikn aemwa praethscasuyesiythharmakkwa 400 000 nay aephndinihythirungeruxngmiidthukaetatxngodykarthalaylangkhxngsngkhramthitxsucnmiphuesiychiwitxyangmakmayxyangmakmayinyuorpaelaexechiy karmiswnrwmintangpraethshlngsngkhramaesdngihehncudcbkhxnglththikaroddediywthiednchdkhxngchawxemrikn phykhukkhamthinaklwkhxngxawuthniwekhliyrepnaerngbndalicihthngphwkmxngolkinaengdiaelaphwkkhiklw xawuthniwekhliyrimekhythuknamaichhlngcakpi 1945 emuxthngsxngfaythxyxxkmacakkhxbehwaela khwamsngbyaw idsrangkhunsmbtikhxnghlaypiaehngsngkhrameyn thierimtndwylththithruaemninwnthi 22 phvsphakhm kh s 1947 xyangirktam idekidsngkhramradbphumiphakhinpraethsekahliaelaewiydnam sngkhrameyn wthnthrrmswnthang aela siththimnusychn bthkhwamhlk prawtisastrkhxngshrth 1945 1964 aelaprawtisastrkhxngshrth 1964 1980 prathanathibdicxhn exf ekhnendi idphudthungsiththimnusychn emuxwnthi 11 mithunayn 1963 hlngsngkhramolkkhrngthisxng shrthklayepnhnunginsxngmhaxanacthioddedn odymiosewiytepnxikpraethshnung wuthisphashrthlngmtixnumtikarmiswnrwmkhxngshrthinxngkhkarshprachachati UN sungaesdngkhwamhmaythungkarhnxxkcaklththioddediywaebbdngedimkhxngshrth aelaipsukarmiswnrwmrahwangpraethsephimmakkhun epahmayhlkkhxngxemriknrahwangchwngpi 1945 1948 khuxkarchwyehluxyuorpcakkarthalaylangkhxngsngkhramolkkhrngthisxng aelaephuxcakdkarkhyaytwkhxnglththikhxmmiwnist thiepntwaethnodyshphaphosewiyt lththithruaemnpi 1947 caihkhwamchwyehluxthangthharaelathangesrsthkickbkrisaelaturkiephuxrbmuxkbphykhukkhamkhxngkarkhyaytwkhxnglththikhxmmiwnistinkhabsmuthrbxlkhan inpi 1948 shrthaethnthiopraekrmkhwamchwyehluxthangkarenginthilanxydwyaephnkarmaraechllthikhrxbkhlum sungxdchidenginekhasurabbesrsthkickhxngyuorptawntkaelaruxthxnxupsrrkhthangkarkha inkhnathi thaaenwthangkarptibtidankarbriharcdkarkhxngthurkicaelarthbalihthnsmy aephnngbpraman 13 phnlan xyuinbribthkhxng cidiphi khxngshrththi 258 phnlaninpi 1948 aelaxyuinswnephimxik 12 phnlandxllarinkarchwyehluxkhxngshrththicaihkbyuorprahwangchwngkarsinsudkhxngsngkhramcnthungkarerimtnkhxngaephnkarmaraechll pramukhaehngrthkhxngshphaphosewiyt ocesf stalin pxngknpraethsbriwarkhxngekhacakkarmiswnrwm aelacakcudnntxma yuorptawnxxk thimiesrsthkicaebbrwmsunythiimmiprasiththiphaph tktalngiperuxy aelatam hlngyuorptawntkinaengkhxngkarphthnaesrsthkicaelakhwamecriyrungeruxng inpi 1949 shrth thiidptiesthnoybayyawnanthicaimmikarepnphnthmitrthangthharinyamsngb idrwmtwephuxsrangphnthmitrinxngkhkarsnthisyyaaextaelntikehnux xngkvs North Atlantic Treaty Organization NATO thiyngkhngmixyutxenuxng ekhamainstwrrsthi 21 inkartxbsnxng osewiytidcdtngsnthisyyawxrsxxngkvs Warsaw Pact khxngrthkhxmmiwnist ineduxnsinghakhm 1949 osewiytthdsxbxawuthniwekhliyrepnkhrngaerk sungephimkhwamesiyngkhxngkarthasngkhram xnthicring karkhukkhamthicaekidkarthalaylangsungknaelaknpxngknmhaxanacthngsxngfayimihthaxairthiekinipkwann aelasngphlihekidsngkhramtwaethn odyechphaaxyangyinginpraethsekahliaelaewiydnam inthisungthngsxngfayimidephchiyhnaknodytrng phayinshrth sngkhrameynidkratunihekidkhwamkngwlekiywkbxiththiphlkhxnglththikhxmmiwnist karkraoddthiimkhadkhidkhxngethkhonolyixemriknthiehnuxkwakhxngosewiytinpi kh s 1957 thimi sputnik dawethiymolkdwngaerk erimkaraekhngkhninxwkas thichnaodychawxemrikn emuxxaphxlol 11 sngnkbinxwkaslngbndwngcnthrinpi kh s 1969 khwamepnhwngekiywkbcudxxnkhxngkarsuksaxemrikn idnaipsukarsnbsnunkhnadihykhxngrthbalklangephuxkarsuksaaelakarwicythangwithyasastr inhlaythswrrshlngsngkhramolkkhrngthisxng shrthklayepnphumixiththiphlkhxngolkindanesrsthkic karemuxng karthhar wthnthrrmaelakickrrmthangethkhonolyi erimtnin pi 1950s wthnthrrmchnchnklangcahmkmunxyukbsinkhaxupophkhbriophkh xemriknphiwkhawmicanwnekuxb 90 khxngprachakrinpi 1950 in pi 1960 nkkaremuxngphumibarmi cxhn exf ekhnendi idrbkareluxktngepnprathanathibdiormnkhathxlikkhnaerkaehngshrth khrxbkhrwekhnendinachiwitihmaelakhwamaekhngaerngmasubrryakaskhxngthaeniybkhaw ewlakhxngekhainthaeniybkhawthukthaekhruxnghmaydwyehtukarnthinathung echn karerngkhwamerwkhxngbthbathshrthinkaraekhngkhninxwkas karykradbbthbathkhxngshrthinsngkhramewiydnam wikvtkarnkhipnawuthinkhiwba karbukxawhmu karkhumkhngmartin luethxr khing cueniyr inrahwangkarrnrngkhhaesiyngkhxngebxrmingaehm aelakaraetngtngnxngchaykhxngekha orebirt exf ekhnendi txkhnarthmntriihepnxykarsungsud ekhnendithuklxbsngharindllsrthethkss emuxwnthi 22 phvscikayn kh s 1963 plxyihpraethsxyuinsphawachxkhthiluksung sudyxdkhxngnoybayesriniym cudsudyxdkhxngesriniymmainklangpi 1960s kbkhwamsaerckhxngprathanathibdi lindxn bi cxhnsn 1963 1969 inkaridrbkarphankdhmaykhxngrthsphasahrbopraekrmsngkhmthiyingihy xngkvs Great Society programs khxngekha opraekrmnirwmthung siththikhxngmnusychn karsinsudkhxngkaraebngaeykechuxchati sasna hruxwthnthrrm karkhyayswsdikar karchwyehluxcakrthbalklangephuxkarsuksainthukradb enginxudhnunsahrbsilpaaelamnusysastr karekhluxnihwdansingaewdlxm aelachudkhxngopraekrmthixxkaebbmaephuxlblangkhwamyakcn tamthinkprawtisastrthiphanmaidxthibayiwwadngni khxyepnkhxyip pyyachnesriniymidekhiynwisythsnihmephuxihbrrlukhwamyutithrrmthangesrsthkicaelasngkhm lththiesriniymkhxngtnpi 1960s imidaenanaeruxngkhwamrunaerng karyxmrbephiyngelknxythicaruxfunyukhihmrnrngkhtxtanxanacthangesrsthkicthiekhmkhn aela immikhwamtngicthicaerngaelacdradbkielshruxaeckcayxikkhrngkhxngkhwammngkhnghruxtngokhrngsrangxikkhrngsahrbsthabnthimixyuedim thwolkmikartxtankhxmmiwnistxyangaekhngaerng mnmicudmunghmaythicapkpxngolkesri ephuxsngesrimkaretibotthangesrsthkicthiban aelaephuxihaenicwakhwamrarwythisngphlcathukkracayxxkipxyangepnthrrm warakhxngmn thiidrbxiththiphlxyangmakcak thvsdiesrsthsastrkhxng Keynesian khyaycintnakarkhaichcaysatharnakhnadihythica ephimkhwamerwinkaretibotthangesrsthkic cungihthrphyakrsatharnacayepnkxngthunswsdikar thixyuxasy sukhphaphaelaopraekrmkarsuksakhnadihy orebirt exf ekhnendiaela martin luethxrkhing cueniyr emuxwnthi 22 mithunayn 1963 thiwxchingtndisi cxhnsnidrbeluxkdwykhaaennesiyngeluxktngxyangthlmthlayinpi 1964 chnaphrrkhxnurks aebri okldwxethxr sungthalaykarkhwbkhumrthsphananhlaysibpikhxngphrrkhrwmxnurksniym xyangirktam phrrkhriphbliknklbmainpi 1966 aelaeluxk richard niksn inpi 1968 niksnyngkhngopraekrmkhxtklngihmaelasngkhmthiyingihythiekhaidrbmrdkmaxyangkwangkhwang ptikiriya xnurksniym camakbkareluxktngkhxng ornld eraekn inpi 1980 inkhnaediywkn khnxemriknesrcsinkaroykyaykhrngyingihycakfarmmasuemuxngaelamiprasbkarninchwngewlakhxngkarkhyaytwthangesrsthkicxyangyngyun karekhluxnihwkhxngsiththimnusychn bthkhwamhlk karekhluxnihwsiththimnusychnkhxngaexfriknxemrikn 1955 1968 dnaekhn ewst phudkb sisar chaews The Delano UFW rally dnaekhnepntwaethnkhxngkhnkhbrthbrrthukthiihkarsnbsnun United Farm Workers of America UFW aelapranamkhwamepnphunashphaphaerngnganrthbrrthuk xngkvs International Brotherhood of Teamsters IBT khxngphwkekhasahrb karthanganepn xnthphalkbephuxnshphaph dnaekhnaelaphrryakhxngekha aemri epnkhncdngan sakhakhxng LA IS erimtninchwngplaythswrrs 1950s sthabnchnchatithwshrth odyechphaaxyangyinginphakhit thukthathaymakkhunodykarekhluxnihwsiththimnusychnthikalngetibot karekhluxnihwkhxngphunaaexfriknxemrikn Rosa Park aela martin luethxr khingcueniyr naipthikarkhwabatrkhxngrthpracathangmxntokemxri xngkvs Montgomery Bus Boycott sungepnkarepidtwkarekhluxnihw epnewlahlaypi chawxemriknechuxsayaexfrikn catxsukbkhwamrunaerngtxphwkekha aetcaprasbkhwamsaercinkhntxnthiyingihytxkhwamethaethiymkndwykartdsinkhxngsaldika rwmthng Brown v Board of Education aela Loving v Virginia the Civil Rights Act of 1964 the Voting Rights Act of 1965 aela the Fair Housing Act of 1968 sungsinsud the Jim Crow laws thithaihepnkdhmayaeykechuxchatirahwangkhnphiwkhawaelakhnphiwda martin luethxrkhing cueniyr phuidrbrangwloneblsakhasntiphaphsahrbkhwamphyayamkhxngekhaephuxihbrrlukhwamethaethiymknkhxngechuxchati thuklxbsngharinpi 1968 hlngkartaykhxngekha khnxun idnakarekhluxnihw thisadudtathisudkhuxphrryahmaykhxngkhing Coretta Scott King phusungepnphuekhluxnihwechnediywkbsamikhxngethx inkarkhdkhansngkhramewiydnamaelainkarpldplxystri inchwngekaeduxnaerkkhxngpi 1967 128 emuxngxemrikntxnglabakkbkarclacl 164 khrng phlngdaophlxxkmainchwng playpi 1960 aelatnpi 1970 thswrrsthiinthisudcanamasungkhwamkawhnaechingbwkodyphankarrwmklum odyechphaaxyangyinginkarihbrikar kilaaelakhwambnethingphakhrth chnphunemuxngxemriknhniphasalephuxtxsuephuxsiththiinthidinkhxngphwkekha phwkekhacdkarprathwngephuxennkhwamlmehlwkhxngrthbalthicaihekiyrtisnthisyya hnunginklumthiowymakthisudkhxngchawxemriknphunemuxngepnkhbwnkarxemriknxinediy AIM inpi 1960 sisar chaews erimcdrwbrwmkhnnganinirchawemksiknxemriknrayidtainrthaekhlifxreniy ekhanakarprathwngyawhapiodynkekbxngun caknn chaewscdtngshphaphkhnnganinirthiprasbkhwamsaerckhrngaerkkhxngpraeths hlngcaknnmnkklayepn United Farm Workers of America UFW karekhluxnihwkhxngphuhying khxmulephimetim strikhlunlukthisxng Gloria Steinem inthiprachumkhxng Women s Action Alliance 1972 citsanukihmkhxngkhwamimethaethiymkhxngphuhyingxemriknerimkwadipthwpraeths erimtndwy singphimphinpi 1963 thikhaydithisudkhxng Betty Friedan khwamkhlngkhxngphuhying sungxthibaywamiaemban makethairthirusukwatidkbaelaimidrbkaretimetm epnphlihepnkartharaywthnthrrmkhxngchawxemriknsahrbkarsrangkhwamkhidthiwa phuhyingethannthisamarthphbkaretimetmphanbthbathkhxngphwkethxinkhnathiepnphrrya epnaem aelaphuduaelban aelathkethiyngknwaphuhyingmikhwamsamarthephiyngaekhethakbphuchaythisamarthththathukpraephthkhxngnganid inpi 1966 Friedan aelakhnxun thicdtngxngkhkarephuxstriaehngchati hrux NOW ephuxepntwaethnsahrbphuhyingxyangthi NAACP thasahrbphuhyingaexfriknxemrikn karprathwngerim aelakhbwnkarpldplxyphuhyingihmephimkhuninkhnadaelaxanac idrbkhwamsnickhxngsuxmak aela inpi 1968 idekhamaaethnthikarekhluxnihwsiththimnusychn sahrb karptiwtithangsngkhmepnhlkkhxngshrth khbwnphaehrd aerlli karkhwabatr aela karthuxpayprathwngnaprachachnxxkmanbphn bangkhrngepnlan miphlsaercinkarprathwngsahrbphuhying inkaraephthy kdhmay aelathurkic inkhnathiephiyngimkieruxngthiidrbkareluxkihsngipyngsankngan karekhluxnihwthukaebngxxkepnklumtamxudmkarnthangkaremuxnginchwngtn thimi NOW thangdansay the Women s Equity Action League WEAL xyuthangkhwa the National Women s Political Caucus NWPC xyutrngklang aelaklumrunaerngkwathiekidcakphuhyingxayunxy xyudansaysud karaepryttisiththithdethiymthithuknaesnxihkbrththrrmnuy phansphakhxngekrsinpi 1972 phayaephodyphrrkhrwmxnurksniymthikhbekhluxnody Phyllis Schlafly phwkekhaaeyngwa mnldradbtaaehnngkhxngaembanaelathaihhyingsawmikhwamiwtxkareknththhar xyangirktam kdhmaykhxngrthbalklangcanwnmak echn khacangethaethiym karcangngan karsuksa oxkaskarcangngan aela sinechux karsinsudkareluxkptibtikhxnghyingtngkhrrph aelakhwamtxngkar NASA sthabnthhar aela xngkhkrxun thicayxmrbphuhying kdhmaykhxngrth echn karsinsudkarlaemidkhxngkhusmrs aela karkhmkhunodykhusmrs mtisaldika echn phiphaksawa khasngkhumkhrxngethaethiymknkhxngkhaaepryttithisibsiihnaipichkbphuhying aelaxngkhkrsiththistri xngkvs Equal Rights Advocates hrux ERA khxngrththicdtngsthanathiethaethiymknkhxngphuhyingphayitkdhmay aela praephniaelacitsanukkhxngsngkhmkerimepliynaeplngip karyxmrbkhwamethaethiymknkhxngphuhying pyhakhwamkhdaeyngkhxngkarthaaethng idrbkarphicarnaodysaldikawa epnsiththikhnphunthanin Roe v Wade 1973 yngkhngepncudkhxngkarxphiprayinwnni wthnthrrm karptiwti aela detente sngkhrameyn bthkhwamhlk prawtisastrkhxngshrth 1964 1980 thamklangsngkhrameyn shrthekharwmsngkhramewiydnam praethsthimikarecriyetibotimepnthiniym idrbkareliyngdudwykarekhluxnihwthangsngkhmthimixyuaelw rwmthng inklumphuhying chnklumnxy aela khnhnumsaw okhrngkarthangsngkhmthiyingihykhxngprathanathibdilindxn bi cxhnsn aelakhawinicchycanwnmakody wxrern khxrth idrwmekhakbkhwamhlakhlaykhxng karptirupsngkhminrahwangthswrrsthi 1960s aela 1970s striniymaelakarekhluxnihwdansingaewdlxmklayepnphlngthangkaremuxng aelakhwamkhubhnaidtxenuxngipsusiththikhxngchawxemriknthukkhn karptiwtiwthnthrrmidkwadipthwpraethsaelahlaypraethsinolktawntkinchwngplayyukhhksibaelatnyukhecdsib aebngchawxemrikntxipin sngkhramwthnthrrm aetyngnamasungmummxngkhxngsngkhm thimixisresrimakkhun F 4 Phantom II khxngkxngthpheruxshrth xyuhna Tu 95 Bear D aircraft khxngosewiyt inchwngtnkhxngpi 1970s cxhnsnthuksubthxdtaaehnnginpi 1969 odyphrrkhriphblikn richard niksn phuthiphyayamca khxy yaysngkhramipyngkxngkalngewiydnamit ekhaecrcasnthisyyasntiphaphinpi 1973 sungrbpraknkarplxytwkhxngnkothssngkhramaelanaipsu karthxntwkhxngkxngkalngshrth sngkhrammikhaichcayepnchiwitkhxngthharxemrikn 58 000 nay niksnthaihekidkhwamimiwwangicthirunaerngrahwangshphaphosewiytaelacinephuxpraoychnkhxngshrth brrlu detente edthanth phxnkhlay khwamsadwkinkhwamtungekhriyd kbthngsxngfay eruxngxuxchawwxetxrekt thiekiywkhxngkbkarpkpidkhxngniksn inkarekhaptibtikarkhxngekhaodykarphngekhaipinsanknganihykhxngkhnakrrmkarprachathipityaehngchatithisanknganxakharwxetxrekt idthalaythanthangkaremuxngkhxngekha sngphuchwyhlaytnekhakhuk aelathukbngkhbihlaxxkinwnthi 9 singhakhm 1974 ekhathuksubthxdody rxngprathanathibdiecxrld fxrd karlmslaykhxngisngxnepnkarsinsudsngkhramewiydnam aelamiphlthaihphakhehnuxaelaphakhitkhxngewiydnamthukrwmtwkn chychnakhxngphrrkhkhxmmiwnistinpraethsephuxnbankmphuchaaelalawidekidkhuninpiediywkn karkhwabatrnamnkhxngoxepkthaekhruxnghmaykarepliynaeplngthangesrsthkicinrayayawtngaetnnma epnkhrngaerkthirakhaphlngnganphungsungkhunehmuxncrwd aelaorngnganxemrikntxngephchiykaraekhngkhnxyangrunaerng rthynt esuxpha ekhruxngichiffa aelasinkhaxupophkhbriophkhcaktangpraeths emuxsinpi 1970s esrsthkicprasbwikvtphlngngan karecriyetibotthangesrsthkicchalng karwangngansung aelaxtraenginefxthisungmakprakxbkbxtradxkebiysung stagflation thukpradisthkhun enuxngcaknkesrsthsastrehndwykbphumipyyakhxngkarimkakbduael kdraebiybhlayxyanginyukhsyyaihmidsinsudlng echn inkarkhnsng karthnakharaela othrkhmnakhm cimmi kharetxr smkhrrbeluxktngehmuxnepnbangkhnthiimidepnswnhnungkhxngkarcdtngthangkaremuxngwxchingtn idrbeluxktngepnprathanathibdiinpi 1976 inewthiolk kharetxrepnnayhnakhxngkhxtklngaekhmpedwid xngkvs Camp David Accords rahwangxisraexlaelaxiyipt inpi 1979 nksuksachawxihranbuksthanthutshrthinkrungetharan aelacbchawxemrikn 66 khnepntwprakn sngphlihekidwikvtkarntwpraknxihran dwywikvttwpraknaela stagflation xyangtxenuxng kharetxraephkareluxktnginpi 1980 ihkbphrrkhriphblikn ornld eraekn inwnthi 20 mkrakhm 1981 hlaynathihlngcakthirayaewlainsankngankhxngkharetxrsinsudlng echlytwpraknshrththiehluxinsthanthutshrthinxihranidrbkarplxytw sinsudwikvttwpraknnan 444 wn karpidchakkhxngstwrrtthi 20 bthkhwamhlk prawtikhwamepnmakhxngshrth 1980 1991 aelaprawtisastr khxngshrth 1991 thungpccubn ornld eraekn thipratubrnedinbwrkh thathaynaykrthmntriosewiyt Mikhail Gorbachev wacaruxkaaephngebxrlininpi 1987 imnankxnkarsinsudkhxngsngkhrameyn ornld eraekn idsrangkarcdaenwihmthisakhydwykarchnaeluxktnginpi 1980 aela 1984 xyangthlmthlay noybayesrsthkickhxngeraekn thukkhnannamwa Reaganomics aelakardaeninkartamphrarachbyytikarkukhunphasiesrsthkicpi 1981 idldphasirayidcak 70 ehlux 28 inchwngrayaewlaecdpi eraeknthatxenuxnginkarldkhnadkarcdekbphasikhxngrthbalaelakarkakbduael shrthprasbphawathdthxyinpi 1982 twchiwdechinglbklbdan dwyxtraenginefxldlngcak 11 epn 2 xtrakarwangnganldlngcak 10 8 ineduxnthnwakhm 1982 epn 7 5 ineduxnphvscikaynpi 1984 aelaxtrakaretibotthangesrsthkicephimkhuncak 4 5 epn 7 2 eraeknsngihmikarkhyaykxngthphshrth thaihekidkarkhaddulngbpramanephimetim eraeknna rabbpxngknkhipnawuththisbsxnthieriykwakarrierimyuththsastrpxngkn xngkvs Strategic Defense Initiative SDI faytrngkhamkhnannamwa starwxrs sung tamthvsdi shrthsamarthyingskdkhipnawuthdwyrabbelesxrinxwkas osewiytmiptikiriyaxyangrunaerngephraaphwkekhakhidwamnlaemidsnthisyyatxtankhipnawuthpi 1972 aelacathaihesiysmdulkhxngxanacodythaihshrthidepriybthangthharthisakhy epnewlahlaypi phunaosewiyt Mikhail Gorbachev thkethiyngknxyangchunechiywekiywkb SDI xyangirktam inplaypi 1980s ekhatdsinicwarabbcaimthanganaelaimkhwrthuknamaichephuxskdknkhxesnxkarldxawuthkbshrth nkprawtisastrthkethiyngthungkhwamyingihyaekhihnthicasngphlkrathbtxphykhukkhamthi SDI miinosewiyt mnmakphxhruximthicabngkhbih Gorbachev erimtnkarptirupxyangrunaerng hruxepnipidhruximthikaresuxmsphaphthangesrsthkickhxngshphaphosewiytxyangediywcabngkhbihmikarptirup mikhxtklngwaosewiytidtrahnkwaphwkekhatamhlngchawxemriknindanethkhonolyithangkarthhar aelawakarthicaphyayamilihthncamirakhaaephngmak aelawakhaichcaythangthharidepnpharahnkmakxyuaelwthicathaihekidkarchalxtwkhxngesrsthkickhxngphwkekha karbukekrendaaelakarthingraebidliebiykhxngeraekn idrbkhwamniyminshrth aemwa karhnunhlngphwkkbt Contras catidhlmxyuinkhwamkhdaeyngin Iran Contra affair thiephyihehn rupaebbkarcdkarkhxngeraeknthiaeymak eraeknidphbkbphunaosewiyt Mikhail Gorbachev sikhrng phuthikhunsuxanacinpi 1985 aelakarprachumkarprachumsudyxdkhxngphwkekhaidnaipsu karlngnamkhxng snthisyyakxngkalng niwekhliyrradbklang Gorbachev phyayamcachwyprahydihphrrtkhxmmiwnistinshphaphosewiytepnkhrngaerkodykarsinsudkaraekhngkhndanxawuththimirakhaaephngkbxemrika inkhnannodykarkacdckrwrrdiyuorptawnxxkinpi 1989 shphaphosewiytlmslayinwnkhristmaspi 1991 sinsudyukhsngkhrameynrahwangshrthaelashphaphosewiyt dchniaensaedkkhxmophsitphxngxxkdwyfxngsbukhxngthurkicdxtkhxminkarmxnginaengdikhxng esrsthkicihm fxngsbuaetkinpi 2000 shrthklayepnmhaxanacthiehluxkhxngolkaetephiyngphuediyw aelayngkhngthicaekhaipaethrkaesnginkickarrahwangpraethsinrahwangpi 1990s rwmthngsngkhramxawkbxirkinpi 1991 hlngcakkareluxktngkhxngekhainpi 1992 prathanathibdibil khlintnkhwbkhumhnunginchwngewlathiyawthisudkhxngkarkhyaytwthangesrsthkicaelakairepnprawtikarninkhahlkthrphy phlkhangekhiyngkhxngkarptiwtidicithl aelaoxkasthangthurkicihmthisrangkhunodyxinethxrent nxkcakniekhayngthanganrwmkbsphakhxngekrsphrrkhriphbliknephuxphanngbpramankhxngrthbalklangthiepnkhrngaerkthismdulin 30 pi inpi 1998 khlintnthukklawothsodysphaphuaethnrasdrinkhxha xachyakrrmxyangsungaela khwamphidkhneba sahrbkarokhkekiywkbkhwamsmphnththangephskbphnknganfuknganthaeniybkhaw omnika luwinski aethlngcaknnthuktdsinwaimphidodywuthispha khwamlmehlwkhxngkarfxngrxngaelakarchnakhxngphrrkhedomaekhrtinkareluxktngpi 1998 bngkhbihprathanspha Newt Gingrich cakphrrkhriphbliknlaxxkcaksphakhxngekrs kareluxktngprathanathibdiinpi 2000 rahwangcxrc dbebilyu buchaela xlkxr epnhnunginthiiklthisudinprawtisastrkhxngshrthaelachwyhwanemldphnthusahrbkaraebngkhwthangkaremuxngthikalngmathung karlngkhaaennesiyngtdsininrthflxridaxyuiklmakaelasrangkhwamkhdaeyngxyangmakinkarnbkhaaenn saldikashrthtdsininkhdi Bush v Gore ihsinsudkarnbihmdwykarlngkhaaennesiyng 5 4 nnhmaykhwamwa buch sungkhnannkalngna chnainrthflxridaaelakareluxktng stwrrsthi 21bthkhwamhlk prawtisastrkhxngshrth 1991 pccubn 9 11 aelasngkhramkbkhwamhwadklw bthkhwamhlk karocmti 11 knyayn sngkhramthinaklw aela niwekhliyr 9 11 karocmti 11 knyayn naipsu sngkhramthinaklw emuxwnthi 11 knyayn 2001 9 11 shrththukocmtidwyphukxkarray emux 19 nkciekhruxngbinklumxl kxxidah ekhayudsisaykarbinaelacngicphungchntukaefdthngsxngkhxngxakharewildethrdesnetxr aelaephntakxn khakhnekuxb 3 000 khn sungswnihyepnphleruxn inkartxbsnxng inwnthi 20 knyayn prathanathibdicxrc dbebilyu buch prakas sngkhramkbkhwamhwadklw emuxwnthi 7 tulakhm 2001 shrthaelanaotbukxfkanisthanephuxkhbilrabxbkarpkkhrxngkhxngtxliban sungihthihlbphyinswrrkhkbxl kxxidah aelaphunakhxngekha xusamah binladin rthbalklangidcdtngkhwamphyayaminpraethskhunihmthicapxngknkarocmtiinxnakht kdhmayrkchatishrth xngkvs USA PATRIOT Act thikhdaeyngidephimxanackhxngrthbalthicaefatrwcsxbkarsuxsaraelakhxcakdthangkdhmaythithukthxdxxkinkaraechrsarsnethsrahwangkarbngkhbichkdhmaykhxngrthbalklangaelahnwysubrachkarlb hnwyngan radbrthmntrithieriykwa krathrwngkhwammnkhngaehngmatuphumi thuksrangkhunephuxkarnaaelaprasanngan karcdkickrrmtxtankarkxkarraykhxngrthbalklang bangswnkhxngkhwamphyayamtxtankarkxkarrayehlani odyechphaaxyangying karcdkarkhxngrthbalshrthkhxngphuthukkhumkhngthieruxncathixawkwntanaom naipsukhxklawhaipthirthbalshrthineruxngkarlaemidsiththimnusychn inpi 2003 cak 19 minakhm 1 phvsphakhm shrthbukxirk sungnaipsu karlmslaykhxngrthbalxirkaelainthisud ksamarthcbkumtwephdckarxirk sddm hsesn sungshrthidmikhwamsmphnththitungekhriydkbekhaxyangyawnan saehtukhxngkarbukthukxangodyrthbalbuch rwmthungkaraephrkracaykhxngprachathipityaelakarkacdxawuththimixanuphaphthalaylangsung xngkvs weapons of mass destruction epnkhwamtxngkarthisakhykhxngshprachachatiechnkn aemwa kartrwcsxbphayhlngphbwa hlayswnkhxngrayngankhawkrxngimthuktxng aelaephuxkarpldplxykhxngprachachnchawxirk aemcamikhwamsaercbangxyanginchwngtnkhxngkarbuk sngkhramxirkthitxenuxngidetimechuxephlingkarprathwngrahwangpraeths aelakhxy ehnkarsnbsnuninpraethsldlngemuxkhncanwnmakerimtngkhathamwa khumhruximkbkhaichcayinkarocmti inpi 2007 hlngcakhlaypikhxngkarichkhwamrunaerngcakkarclaclinxirk prathanathibdibuchwangkxngkalngmakkhuninklyuthththikhnannamwa ephimchbphln xngkvs surge inkhnathiyxdphuesiychiwitldlng esthiyrphaphthangkaremuxngkhxngxirkyngkhngxyuinkhxsngsy inpi 2008 khwamimepnthiniymintwprathanathibdi buchaelasngkhramxirk phrxmkbwikvtkarnthangkarengininpi 2008 naipsukareluxk barkh oxbama epnprathanathibdikhxngshrthkhnaerkthiepnchawaexfriknxemrikn chychnakhxngoxbamamiphlbangswnenuxngmacakkhwamkhdaeyngkhxngekhakbnoybaytangpraethsthiimepnthiniymkhxngbuch odyechphaathiekiywkbkarcdkarkhxngekhasahrbsngkhramxirkaela mkcaihekhrditodyekciaelankkhawthnghlaysahrbkarchwyihekhachnaxyanghwudhwidephuxepntwaethnphrrkhedomaekhrtinkaresnxchuxekhachingtaaehnngprathanathibdiehnuxhillari rxdaehm khlintn phusnbsnunsngkhraminrayaaerk hlngcakkareluxktng oxbamadaeninkartxeruxng the surge xyangimetmicodykarsngkxngthphesrimxikth 20 000 nay cnkrathngxirkmiesthiyrphaph caknnekhakcbptibtikarrbinxirklngxyangepnthangkarinwnthi 31 singhakhm 2010 aetyngkhngkalngiw 50 000 nayinxirkephuxchwykxngkalngxirk chwypkpxngkarthxnkxngkalng aelathangantxtankarkxkarray inwnthi 15 thnwakhm 2011 sngkhrammikarprakaswasinsudxyangepnthangkar aelakxngthharchudsudthayxxkcakpraeths inewlaediywkn oxbamaephimkarmiswnrwmkhxngxemrikninxfkanisthan erimcakklyuthth surge odykarephimkxngkalngxik 30 000 nay inkhnathi esnxiherimthxnthharraweduxnthnwakhm 2014 inswnthiekiywkbxawkwntanaom prathanathibdioxbamahamimihmikarthrman aetodythwip yngkhngnoybaykhxngbuchekiywkbphuthukkhwbkhuminkwntanaom inkhnathiyngesnxdwywa inthisudaelw khukcatxngthukpid ineduxnphvsphakhm 2011 hlngcakekuxbthswrrsthisxntw phukxtngaelaphunakhxng xl kxxidah xusamah binladin kthukkhatayinpakisthaninkarocmtithidaeninkarody kxngkalngphiess khxngkxngthpheruxshrth thahnathiphayitkhasngkhxngprathanathibdioxbamaodytrng inkhnathi xl kxxidah ikllmslayinxfkanisthan xngkhkrinekhruxiddaeninngantxenuxngineyemnaelaphunthihangiklxun emuxsiixexichyanirkhnkhb xngkvs drone tamlaaelathxdkhwamepnphuna khxngmnxxk phawathdthxykhrngihy bthkhwamhlk Great Recession elhaemn braethxrs sanknganihy inphaph fxnglmlalayineduxnknyayn 2008 inkhwamsungkhxngwikvtkarengininshrth ineduxnknyayn 2008 shrth aelaswnihykhxngyuorp ekhasuphawathdthxythiyawnanthisudhlngsngkhramolkkhrngthisxng mkcathukeriykwa Great Recession hlaywikvtthithbsxnknmiswnekiywkhxng odyechphaaxyangyingwikvttladthixyuxasy wikvtsinechuxsbiphrm rakhanamnthiphungsungkhun wikvtixutsahkrrmyanynt karwangnganephimkhunaela wikvtikarenginthielwraythisudnbtngaetesrsthkictktakhrngihy wikvtkarnthangkarenginkhukkhamesthiyrphaphkhxngesrsthkicodyrwmineduxnknyaynpi 2008 emux elhaemn braethxrs lmehlwaela thnakhar yksihyxun tkxyuinxntrayrayaerng erimtnineduxntulakhm rthbalklangihenginkuyum 245 phnlan kbsthabnkarenginodyphanthangopraekrmbrrethapyhasinthrphy xngkvs Troubled Asset Relief Program sungphanipodyesiyngkhangmakaelalngnamodybuch hlngcakchychnakareluxktngkhxngekhaineduxnphvscikayn pi 2008 twtaytwaethnkhxngbuch barkh oxbama lngnaminkdhmaykarkukhunaelakarlngthunihmkhxngxemriknpi 2009 xngkvs American Recovery and Reinvestment Act of 2009 sungepnenginkratunesrsthkiccanwn 787 phnlanthimungchwyihesrsthkicfuntwcakphawathdthxythiluk oxbama echnediywkb buch eluxkkhntxnthicachwyehluxxutsahkrrmyanyntaelapxngknkarlalaythangesrsthkicinxnakht ehlanirwmthung cayenginprakntwkhxng General Motors aela ikhrselxr thaihkarepnecakhxngxyuchwkhrawinmuxkhxngrthbal aelaopraekrm enginsdsahrbchangekhaa xngkvs cash for clunkers thidungyxdkhayrthihmchwkhraw phawathdthxysinsudlngxyangepnthangkarineduxnmithunayn 2009 aelaesrsthkicerimkhyaytwxikkhrngxyangcha xtrakarwangngansungsudthi 10 1 ineduxntulakhm 2009 hlngcakphungkhunipcak 4 7 ineduxnphvscikaynpi 2007 aelakhxy ldlngepn 6 7 n minakhm 2014 xyangirktam karecriyetibotthangesrsthkicodyrwmyngkhngxxnaexlnginyukh 2010s emuxethiybkbkarkhyaytwinthswrrskxnhna ehtukarnthiekidkhunemuxerw ni prathanathibdibarkh oxbama lngnamin phrarachbyytikarpxngknphupwy aelakarduaelinrakhathicayid cakpi 2009 2010 sphakhxngekrschudthi 111th idphankdhmaythisakhyechn phrarachbyytikarpxngknphupwyaelakarduaelrksathisamarthcayid karptirupwxllstruthkhxng Dodd Frank aela phrarachbyytikhumkhrxngphubriophkh aela phrarachbyytiykelikimthamimbxk thithuklngnamihepnkdhmayodyprathanathibdioxbama txcakkareluxktngklangethxmpi 2010 sungsngphlihphrrkhriphbliknkhwbkhumsphaphuaethnrasdr aelaphrrkhedomaekhrtkhwbkhumwuthispha sphakhxngekrsidepnprathaninchwng gridlock thithukykradbsungaelakarxphiprayrxnchawakhwrhruximthicaprbephimephdanhni karkhyaykarldphasisahrbprachachnthimirayidekin 250 000 dxllartxpi aelahlaypraednthisakhyxun ehlani karxphiprayxyangtxenuxngnaipsu prathanathibdioxbama lngnaminphrarachbyytikhwbkhumngbpraman pi 2011 aela phrarachbyytibrrethakaresiyphasichawxemriknpi 2012 sungmiphlinkarprbldkarxaydngbpramansungmiphlbngkhbichinminakhm 2013 rwmthng karephimkhunkhxng phasisahrbphurarwyepnhlk gridlock inrthsphaidmixyangtxenuxng emuxkareriykrxngkhxngsmachikrthsphasayphrrkhriphbliknephuxykelikphrarachbyytikarkhumkhrxngphupwyaelakarduaelthiphxcayid thiepnthiruckknaephrhlaywaepn Obamacare phrxmkbkareriykrxngthihlakhlayxun thimiphlinkarpidkarthangankhxngrthbalkhrngaerknbtngaetrthbalkhlintn aelaekuxbnaipsukarphidndcharahnikhrngaerkkhxngshrthtngaetstwrrsthi 19 xnepnphlmacakkarecriyetibotkhxngkhwamphidhwngkbthngsxngphrrkhinsphakhxngekrstngaetcuderimtnkhxngthswrrs karcdxndbkarxnumtikhxngrthsphatktaepnprawtikarthimiephiyng 11 khxngchawxemriknxnumti n tulakhm 2013 ehtukarnsakhyxun thiekidkhuninchwngyukh 2010s rwmthung karephimkhunkhxngkarekhluxnihwthangkaremuxngihmthwolk echn karekhluxnihwkhxngnganeliyngnachaxnurksniyminshrthaela karekhluxnihwesriniymkhrxbkhrxng nxkcakniyngmisphaphxakaselwrayphidpktiinchwngvdurxnpi 2012 aelakwakhrunghnungkhxngpraethsthiprasbkhwamaehngaelngthitxngbnthuk phayuehxriekhnaesndi thaihekidkhwamesiyhaymakipyngphunthichayfngthaelkhxngniwyxrkaelaniwecxrsiy inchwngplayeduxntulakhm karxphiprayxyangtxenuxngineruxngkhxngsiththikhxngchumchn thioddednthisudkhuxeruxngkhxng karaetngnganephsediywkn erimepliyninkhwamphxickhxngkhurkephsediywkn aelaidrbkar sathxnihehninhlaysibophllthixxkmainchwngtnkhxngthswrrs prathanathibdioxbamacaklayepn prathanathibdikhnaerkthicaepidephywasnbsnunkaraetngnganephsediywkn aelapi 2013 kartdsinickhxngsaldikainkhdikhxng United States v Windsor aela Perry v Hollingsworth n mithunayn 2013 karxphipraytxekiywkbkarxaydxyangtxenuxng echnediywkbkarptirupphasi karaetngnganephsediywkn karptirupkartrwckhnekhaemuxng karkhwbkhumpun aela noybaytangpraethskhxngshrthintawnxxkklangduephimshrthxangxingMelvyn Stokes ed The State of U S History 2002 pp 1 348 For a capsule online history see Alonzo Hamby Outline of U S History 2010 online for recent textbooks see David M Kennedy and Lizabeth Cohen The American Pageant 15th ed 2012 James A Henretta Rebecca Edwards and Robert O Self America s History 8th ed 2014 James L Roark et al American Promise 5th ed 2013 Robert A Divine et al America Past and Present 10th ed 2012 https en wikipedia org wiki Prohibition in the United States David Heidler and Jeanne T Heidler Indian Removal 2006 Robert Vincent Remini Andrew Jackson and His Indian Wars 2002 Sydney Ahlstrom A Religious History of the American People 1972 pp 415 71 Timothy L Smith Revivalism and Social Reform American Protestantism on the Eve of the Civil War 1957 John Stauffer Giants The Parallel Lives of Frederick Douglass and Abraham Lincoln 2009 James Oakes 2008 The Radical and the Republican Frederick Douglass Abraham Lincoln and the Triumph of Antislavery Politics W W Norton p 57 Molly Oshatz 2011 Slavery and Sin The Fight Against Slavery and the Rise of Liberal Protestantism Oxford U P p 12 Mintz Steven 2006 Digital History khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2007 10 12 subkhnemux February 6 2008 George Mowry The Era of Theodore Roosevelt and the Birth of Modern America 1900 1912 Harpers 1954 Thomas G Paterson United States Intervention in Cuba 1898 Interpretations of the Spanish American Cuban Filipino War The History Teacher 1996 29 3 pp 341 361 in JSTOR Fred H Harrington The Anti Imperialist Movement in the United States 1898 1900 Mississippi Valley Historical Review 1935 22 2 pp 211 230 in JSTOR Thomas A Bailey Was the Presidential Election of 1900 a Mandate on Imperialism Mississippi Valley Historical Review 1937 24 1 pp 43 52 in JSTOR Peter W Stanley A Nation in the Making The Philippines and the United States 1899 1921 1974 Richard J Jensen Jon Thares Davidann and Yoneyuki Sugital eds Trans Pacific relations America Europe and Asia in the twentieth century Greenwood 2003 McNabb James B 2005 Germany s Decision for Unrestricted Submarine Warfare and Its Impact on the U S Declaration of War in Roberts Priscilla Mary Spencer Tucker b k World War I Encyclopedia ABC CLIO pp 482 483 ISBN 9781851094202 cakaehlngedimemux October 7 2015 subkhnemux June 27 2015 Edward M Coffman The War to End All Wars The American Military Experience in World War I 1998 John Milton Cooper Breaking the Heart of the World Woodrow Wilson and the Fight for the League of Nations 2001 Though it is popularly known as the first ever women s rights convention the was preceded by the in 1837 held in New York City at which women s rights issues were debated especially African American women s rights Collier Thomas Bettye 1997 Introduction African American women and the vote 1837 1965 University of Massachusetts Press pp 2 9 ISBN 1 55849 059 0 In June 1848 two male organized conventions discussed the rights of women The in Persia at which advocated women s rights and took off her veil and the National Convention in New York at which presidential candidate established a party plank of women s suffrage after much debate Rebecca J Mead How the Vote Was Won Woman Suffrage in the Western United States 1868 1914 2006 Glenda Riley Inventing the American Woman An Inclusive History 2001 Aileen S Kraditor The Ideas of the Woman Suffrage Movement 1890 1920 1967 Katherine H Adams and Michael L Keene Alice Paul and the American Suffrage Campaign 2007 Elizabeth Frost Knappman and Kathryn Cullen Dupont Women s Suffrage in America 2004 Lynn Dumenil The Modern Temper American Culture and Society in the 1920s 1995 pp 98 144 Kristi Andersen After Suffrage Women in Partisan and Electoral Politics before the New Deal 1996 Lichtman Allan J 2000 1979 Prejudice and the Old Politics The Presidential Election of 1928 Lexington Books p 163 ISBN 9780739101261 cakaehlngedimemux October 16 2015 subkhnemux June 27 2015 U S Department of State April 29 1991 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2015 10 16 subkhnemux 2014 04 22 Rodney P Carlisle 2009 Handbook to Life in America Infobase Publishing p 245ff U S Department of Health amp Human Services khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2011 07 21 subkhnemux 2014 04 22 For a comprehensive history by a leading scholar see David M Kennedy Freedom from Fear The American People in Depression and War 1929 1945 Oxford History of the United States 2001 Shlaes 2008 pp 85 90harvnb error no target CITEREFShlaes2008 David M Kennedy What the New Deal Did Political Science Quarterly Summer 2009 124 2 pp 251 268 Conrad Black Roosevelt Champion of Freedom 2003 pp 648 82 Gordon W Prange Donald M Goldstein and Katherine V Dillon At Dawn We Slept The Untold Story of Pearl Harbor 1982 Harold G Vatter The U S Economy in World War II 1988 pp 27 31 David Kennedy Freedom from Fear The American People in Depression and War 1929 1945 2001 pp 615 68 David M Kennedy Freedom from Fear 1999 pp 615 668 Roger Daniels Prisoners Without Trial Japanese Americans in World War II 2004 Richard Rhodes The Making of the Atomic Bomb 1995 Stephen Ambrose Eisenhower and Berlin 1945 The Decision to Halt at the Elbe 2000 Ronald H Spector Eagle Against the Sun 1985 ch 12 18 D M Giangreco Hell to Pay Operation DOWNFALL and the Invasion of Japan 1945 1947 2009 Richard B Finn Winners in Peace MacArthur Yoshida and Postwar Japan 1992 pp 43 103 Leland Anne Oboroceanu Mari Jana February 26 2010 American War and Military Operations Casualties Lists and Statistics PDF Congressional Research Service subkhnemux February 18 2011 p 2 John Lewis Gaddis The Long Peace Inquiries Into the History of the Cold War 1989 John Lewis Gaddis The Cold War A New History 2005 John Lewis Gaddis The Long Peace Inquiries Into the History of the Cold War 1989 James T Patterson Grand Expectations The United States 1945 1974 1988 Table 1 United States Race and Hispanic Origin 1790 to 1990 PDF subkhnemux January 31 2010 Michael O Brien John F Kennedy A Biography 2005 Eric Alterman and Kevin Mattson The Cause The Fight for American Liberalism from Franklin Roosevelt to Barack Obama 2012 Robert Dallek Lyndon B Johnson Portrait of a President 2004 Irving Bernstein Guns or Butter The Presidency of Lyndon Johnson 1994 Edwin S Gaustad John B Boles Sally Foreman Griffith Randall M Miller Randall B Woods Unto a Good Land A History of the American People 2005 pp 1052 53 Gregory Schneider The Conservative Century From Reaction to Revolution Rowman amp Littlefield 2009 ch 5 Bruce J Dierenfield The Civil Rights Movement 2004 Joshua Zeitz Why Did America Explode in Riots in 1967 2010 01 06 thi ewyaebkaemchchin AmericanHeritage com July 23 2007 Angela Howard Zophy ed Handbook of American Women s History 2nd ed 2000 Donald T Critchlow Phyllis Schlafly and Grassroots Conservatism A Woman s Crusade 2005 Jane J Mansbridge Why We Lost the ERA 1986 Donald T Critchlow Intended Consequences Birth Control Abortion and the Federal Government in Modern America 2001 Roger Chapman Culture Wars An Encyclopedia of Issues Voices and Viewpoints 2009 John Robert Greene The Presidency of Gerald R Ford 1995 Martha Derthick The Politics of Deregulation 1985 People amp Events The Election of 1976 American Experience PBS subkhnemux January 31 2010 Urofsky Melvin I 2000 The American Presidents Taylor amp Francis p 545 ISBN 978 0 8153 2184 2 Jan 20 1981 Iran Hostage Crisis ends This Day in History History com subkhnemux June 8 2010 Effective Federal Tax Rates 1979 2001 Bureau of Economic Analysis July 10 2007 Wilentz 2008 pp 140 141harvnb error no target CITEREFWilentz2008 Miseryindex us November 8 2008 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2008 09 20 subkhnemux January 31 2010 Wilentz 2008 p 170harvnb error no target CITEREFWilentz2008 Julian E Zelizer 2010 Arsenal of Democracy The Politics of National Security From World War II to the War on Terrorism Basic Books p 350 van Dijk Ruud aelakhna 2013 Encyclopedia of the Cold War Routledge pp 863 64 ISBN 9781135923112 John Ehrman Michael W Flamm 2009 Debating the Reagan Presidency Rowman amp Littlefield pp 101 82 Wilentz 2008 pp 243 244harvnb error no target CITEREFWilentz2008 Wilentz 2008 p 400harvnb error no target CITEREFWilentz2008 Wilentz 2008 pp 420 427harvnb error no target CITEREFWilentz2008 National Commission on Terrorist Attacks The 9 11 Commission Report 2004 David E Sanger Confront and Conceal Obama s Secret Wars and Surprising Use of American Power 2012 ch 1 5 Julian E Zelizer ed The Presidency of George W Bush A First Historical Assessment 2010 pp 59 87 Zelizer ed The Presidency of George W Bush A First Historical Assessment 2010 pp 88 113 CIA s final report No WMD found in Iraq MSNBC Associated Press April 25 2005 subkhnemux April 22 2008 Clifton Eli November 7 2011 Poll 62 Percent Say Iraq War Wasn t Worth Fighting ThinkProgress subkhnemux February 24 2012 Milbank Dana Deane Claudia June 8 2005 Poll Finds Dimmer View of Iraq War Washington Post subkhnemux October 10 2010 Wilentz 2008 p 453harvnb error no target CITEREFWilentz2008 William Crotty Policy and Politics The Bush Administration and the 2008 Presidential Election Polity 2009 41 3 pp 282 311 doi 10 1057 pol 2009 3 http usliberals about com od obamavsmccainin08 a ObamaWin 4 htm khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2013 06 02 subkhnemux 2014 04 24 NBC News The war is over Last US soldiers leave Iraq MSNBC Dec 18 2011 Glenn Greenwald Obama s new executive order on Guantanamo The president again bolsters the Bush detention regime he long railed against Salon March 8 2011 Obama Lays Out Strategy for New Phase in Terror Fight Baker Peter Cooper Helene Mazzetti Mark May 1 2011 Bin Laden Is Dead Obama Says The New York Times Peter L Bergen Manhunt The Ten Year Search for Bin Laden from 9 11 to Abbottabad 2012 pp 250 61 Thomas Payne The Great Recession What Happened 2012 Robert W Kolb 2011 The Financial Crisis of Our Time Oxford University Press p 96ff Riley Charles February 3 2011 Treasury close to profit on TARP bank loans CNN Money November 5 2010 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2015 10 16 subkhnemux 2014 04 24 Steven Rattner Overhaul An Insider s Account of the Obama Administration s Emergency Rescue of the Auto Industry 2010 Kaiser Emily September 20 2010 Recession ended in June 2009 NBER Reuters http www cnbc com id 101402528 saenathiekbthawr khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2014 03 09 subkhnemux 2014 04 24 Bruce S Jansson 2011 The Reluctant Welfare State Engaging History to Advance Social Work Practice in Contemporary Society Cengage Learning p 466 Watson Robert P aelakhna 2012 The Obama Presidency A Preliminary Assessment SUNY Press ISBN 9781438443287 Paul R Abramson et al Change and Continuity in the 2008 and 2010 Elections 2011 By December 22 2011 Congress Ends 2011 Mired in Gridlock InvestorPlace subkhnemux February 24 2012 http www gallup com poll 165281 congress job approval falls amid gov shutdown aspx http www pollingreport com civil htmaehlngthima khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux June 11 2011 Outline of American History Chapter 1 Early America usa usembassy de cakaehlngedimemux November 20 2016 subkhnemux September 27 2019 Beard Mary Ritter Jones Wilfred 1927 The Rise of American civilization Chenault Mark Ahlstrom Rick Motsinger Tom 1993 In the Shadow of South Mountain The Pre Classic Hohokam of La Ciudad de los Hornos Part I and II Coffman Edward M 1998 The War to End All Wars The American Military Experience in World War I Cooper John Milton 2001 Breaking the Heart of the World Woodrow Wilson and the Fight for the League of Nations Cambridge University Press ISBN 9780521807869 Corbett P Scott Janssen Volker Lund John M Pfannestiel Todd Waskiewicz Sylvie Vickery Paul June 26 2020 3 3 English settlements in America The Chesapeake colonies Virginia and Maryland The rise of slavery in the Chesapeake Bay Colonies OpenStax khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux August 8 2020 subkhnemux August 8 2020 Dangerfield George 1963 The Era of Good Feelings America Comes of Age in the Period of Monroe and Adams Between the War of 1812 and the Ascendancy of Jackson Day A Grove 1940 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux July 26 2012 2005 The Cold War A New History 1989 The Long Peace Inquiries Into the History of the Cold War 1972 The United States and the Origins of the Cold War 1941 1947 Columbia University Press ISBN 9780231122399 Goodman Paul The First American Party System in Chambers William Nisbet Burnham Walter Dean b k 1967 The American Party Systems Stages of Political Development Greene John Robert 1995 The Presidency of Gerald R Ford Greene Jack P amp Pole J R b k 2003 A Companion to the American Revolution 2nd ed ISBN 9781405116749 Guelzo Allen C 2012 Chapter 3 4 Fateful Lightning A New History of the Civil War and Reconstruction ISBN 9780199843282 Guelzo Allen C 2006 Lincoln s Emancipation Proclamation The End of Slavery in America Henretta James A 2007 Encarta Online Encyclopedia khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux September 23 2009 Hine Robert V Faragher John Mack 2000 The American West A New Interpretive History Yale University Press 2009 What Hath God Wrought The Transformation of America 1815 1848 Oxford History of the United States p 798 ISBN 9780199726578 Jacobs Jaap 2009 2nd ed Cornell University Press khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux July 29 2012 Davidann Jon Thares Sugital Yoneyuki b k 2003 Trans Pacific relations America Europe and Asia in the twentieth century Greenwood 1999 Oxford History of the United States 2002 The American Pageant A History of the Republic 12th ed Boston ISBN 9780618103492 Middleton Richard Lombard Anne 2011 Colonial America A History to 1763 ISBN 9781405190046 Milkis Sidney M Mileur Jerome M b k 2002 The New Deal and the Triumph of Liberalism Miller John C 1960 The Federalist Era 1789 1801 Harper amp Brothers Norton Mary Beth aelakhna 2011 A People and a Nation Volume I to 1877 9th ed ISBN 9780495916550 Ogawa Dennis M Fox Evarts C Jr 1991 Japanese Americans from Relocation to Redress Patterson James T 1997 Grand Expectations The United States 1945 1974 Oxford History of the United States Rable George C 2007 But There Was No Peace The Role of Violence in the Politics of Reconstruction Riley Glenda 2001 Inventing the American Woman An Inclusive History Savelle Max 2005 1948 Seeds of Liberty The Genesis of the American Mind Kessinger Publishing pp 185 90 ISBN 9781419107078 Stagg J C A 1983 Mr Madison s War Politics Diplomacy and Warfare in the Early American Republic 1783 1830 ISBN 0691047022