ราชวงศ์ที่สิบแปดแห่งอียิปต์ จัดเป็นราชวงศ์แรกในช่วงสมัยราชอาณาจักรใหม่ของอียิปต์ ซึ่งเป็นยุคที่อียิปต์โบราณเรืองอำนาจสูงสุด ราชวงศ์ที่สิบแปดครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่ 1550/1549 ถึง 1292 ปีก่อนคริสตกาล ราชวงศ์นี้เรียกอีกอย่างว่า ราชวงศ์ทุตโมส เนื่องจากฟาโรห์จากราชวงศ์นี้จำนวน 4 พระองค์ทรงใช้พระนามว่า
ราชวงศ์ที่สิบแปดแห่งอียิปต์ | |||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ราว 1550 ปีก่อนคริสตกาล–1292 ปีก่อนคริสตกาล | |||||||||||
จักรวรรดิของราชวงศ์ที่สิบแปดแห่งอียิปต์ในอาณาเขตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรัชสมัยฟาโรห์ทุตโมสที่ 3 | |||||||||||
เมืองหลวง | ธีบส์, | ||||||||||
ภาษาทั่วไป | ภาษาอียิปต์สมัยกลาง (ถึงราว 1350 ปีก่อนคริสตกาล) ภาษาอียิปต์สมัยปลาย (ตั้งแต่ราง 1350 ปีก่อนคริสตกาล) [[ภาษาแอกแคด ]] (ภาษาทางการทูตและการค้า) | ||||||||||
ศาสนา | ศาสนาอียิปต์โบราณ | ||||||||||
การปกครอง | สมบูรณาญาสิทธิราชย์ | ||||||||||
ยุคประวัติศาสตร์ | ยุคสัมฤทธิ์ | ||||||||||
• ความพ่อยแพ้ของราชวงศ์ที่สิบห้า (การขับไล่ชาวฮิกซอส) | ราว 1550 ปีก่อนคริสตกาล | ||||||||||
• | ราว 1457 ปีก่อนคริสตกาล | ||||||||||
• | ราว 1350–1330 ปีก่อนคริสตกาล | ||||||||||
• การสวรรคตของฟาโรห์ฮอร์เอมเฮบ | 1292 ปีก่อนคริสตกาล | ||||||||||
|
ฟาโรห์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของอียิปต์หลายพระองค์มาจากราชวงศ์ที่สิบแปด รวมถึงฟาโรห์ทุตอังค์อามุน ซึ่งเป็นผู้ค้นพบสุสานของพระองค์ในปี ค.ศ. 1922 ส่วนฟาโรห์ที่มีชื่อเสียงอื่นๆ ของราชวงศ์ ได้แก่ ฟาโรห์ฮัตเชปซุต (ราว 1479–1458 ปีก่อนคริสตกาล) ฟาโรห์สตรีผู้ครองราชย์ยาวนานที่สุดของราชวงศ์พื้นเมือง และฟาโรห์อะเคนอาเตน (ประมาณ 1353–1336 ปีก่อนคริสตกาล) หรือ "ฟาโรห์นอกรีต" กับพระมเหสีผู้ยิ่งใหญ่ของพระองค์พระนามว่า เนเฟอร์ติติ ราชวงศ์ที่สิบแปดมีลักษณะเฉพาะตัวในบรรดาราชวงศ์อียิปต์ที่มีฟาโรห์สตรีจำนวนพระองค์ที่ทรงครองราชย์ สตรีที่ปกครองในฐานะฟาโรห์แต่เพียงผู้เดียว: พระนางฮัตเชปซุค และพระนางเนเฟอร์เนเฟรูอาเตน ซึ่งมักสันนิษฐานว่าเป็นพระองค์เดียวกันกับพระนางเนเฟอร์ติติ
ประวัติราชวงศ์
ช่วงต้นราชวงศ์ที่สิบแปดแห่งอียิปต์
ราชวงศ์ที่สิบแปดสถาปนาขึ้นโดยฟาโรห์อาห์โมสที่ 1 ซึ่งเป็นพระอนุชาหรือพระราชโอรสของฟาโรห์คาโมส ผู้ปกครองพระองค์สุดท้ายของราชวงศ์ที่สิบเจ็ด พระองค์เสร็จสิ้นการดำเนินการทางทหารเพื่อขับไล่ผู้ปกครองชาวฮิกซอส รัชสมัยของพระองค์ถูกมองว่าเป็นจุดสิ้นสุดของสมัยและการเริ่มต้นของสมัยราชอาณาจักรใหม่ พระมเหสีของฟาโรห์อาห์โมส คือ พระนางอาโมส-เนเฟอร์ทาริ เป็น "สตรีที่ได้รับการเคารพนับถือมากที่สุดในประวัติศาสตร์อียิปต์ และเป็นพระอัยยิกาแห่งราชวงศ์ที่สิบแปด" พระองค์ได้รับการบูชาอย่างเทพเจ้าหลังจากที่พระองค์เสด็จสวรรคต ฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 1 ทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากฟาโรห์อาห์โมส ผู้เป็นพระราชบิดา ซึ่งเหตุการณ์ภายในรัชสมัยของพระองค์ไม่ค่อยเป็นที่ทราบมากนัก
ฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 1 อาจจะทรงไม่มีรัชทายาทที่เป็นบุรุษ และฟาโรห์พระองค์ต่อไป คือ ฟาโรห์ทุตโมสที่ 1 ซึ่งดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ผ่านการอภิเษกสมรส ในรัชสมัยของพระองค์ พรมแดนของอาณาจักรอียิปต์แผ่ขยายออกไปทางเหนือถึงเมืองบนแม่น้ำยูเฟรติส และทางใต้ถึงเมืองคูร์กัสเลยแก่งน้ำตกแม่น้ำไนล์ที่สี่ลงไป ฟาโรห์ทุตโมสที่ 2 ทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากฟาโรห์ทุตโมสที่ 1 และพระมเหสีฮัตเชปซุต ซึ่งเป็นพระราชธิดาของฟาโรห์ทุตโมสที่ 1 หลังจากสวามีของพระองค์เสด็จสวรรคตและช่วงระยะเวลาของการเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระราชโอรสเลี้ยงของพระองค์ (ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นฟาโรห์ในพระนามว่า ทุตโมสที่ 3) พระนางฮัตเชปซุตทรงกลายเป็นฟาโรห์ตามพระราชสิทธิและทรงปกครองมากว่ายี่สิบปี
ฟาโรห์ทุตโมสที่ 3 ซึ่งทรงกลายเป็นที่รู้จักในฐานะฟาโรห์ทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณ พระองค์ทรงครองราชย์ยาวนานเช่นกัน พระองค์ทรงมีผู้สำเร็จราชการร่วมครั้งที่สองในช่วงปลายพระชนม์ชีพกับพระราชโอรสของพระองค์พระนามว่า ฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 2 ฟาโรห์ทุตโมสที่ 4 ทรงสืบทอดพระราชบัลลังก์ต่อจากฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 2 โดยซึ่งสืบทอดพระราชบัลลังก์ตามด้วยพระราชโอรสพระนามว่า ฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 3 ซึ่งรัชสมัยดังกล่าวถูกมองว่าเป็นจุดสูงสุดในราชวงศ์นี้
รัชสมัยของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 3 ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ความงดงามทางศิลปะ และอำนาจระหว่างประเทศ ดังที่เห็นได้จากรูปสลักกว่า 250 รูป (มากกว่าฟาโรห์พระองค์อื่นๆ) และตราประทับแมลงสคารับขนาดใหญ่ 200 ตัวที่ค้นพบตั้งแต่ซีเรียจนถึงนิวเบีย ฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 3 ทรงโปรดให้ดำเนินโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ซึ่งขอบเขตของโครงการดังกล่าวสามารถเทียบได้กับโครงการในรัชสมัยของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ที่ยาวนานกว่ามากในช่วงราชวงศ์ที่สิบเก้าเท่านั้น พระมเหสีของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 3 คือ พระนางทีเย ซึ่งมีอิสริยยศเป็นพระอัครมเหสี ซึ่งพระองค์ทรงโปรดให้ขุดทะเลสาบเทียมตามที่อธิบายไว้ในตราประทับแมลงสคารับจำนวนสิบเอ็ดตัว
ฟาโรห์อะเคนอาเตนแห่งสมัยอามาร์นา และฟาโรห์ทุตอังค์อามุน
|
ฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 3 อาจจะทรงครองบัลลังก์ร่วมกันนานถึง 12 ปีกับฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 4 ผู้เป็นพระราชโอรส ซึ่งมีการถกเถียงกันอย่างมากเกี่ยวกับข้อสันนิษฐานดังกล่าวที่ว่ามีการสำเร็จราชการร่วมหรือไม่ โดยผู้เชี่ยวชาญหลายคนพิจารณาว่ามีการสำเร็จราชการร่วมที่ยาวนาน อันสั้น หรือไม่มีเลย
ในปีที่ 5 แห่งการครองราชย์ของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 4 พระองค์ทรงได้เปลี่ยนพระนามเป็น อะเคนอาเตน (ꜣḫ-n-jtn, "มีประสิทธิภาพแต่เทพอาเตน") และทรงย้ายเมืองหลวงไปที่บริเวณอามาร์นา ซึ่งพระองค์ตั้งชื่อเมืองว่า อะเคตอาเตน ในรัชสมัยของพระองค์ เทพ (jtn, จานรัศมีสุริยะ) ได้กลายเป็นเทพสำคัญที่โดดเด่นที่สุด และในที่สุดก็ได้รับการพิจารณาให้เป็นเทพเจ้าเพียงพระองค์เดียว ไม่ว่าจะรวมถึงลัทธิเอกเทวนิยมที่แท้จริงหรือไม่ก็ตามยังคงเป็นประเด็นถกเถียงในกลุ่มนักวิชาการ บางคนกล่าวว่า ฟาโรห์อะเคนอาเตนทรงสร้างลัทธิเอกเทวนิยม ในขณะที่คนอื่น ๆ ชี้ให้เห็นว่าพระองค์เพียงแค่ทรงยกลัทธิสุริยะที่มีอำนาจเหนือกว่าอีกลัทธิหนึ่ง ในขณะที่พระองค์ทรงไม่เคยละทิ้งเทพเจ้าดั้งเดิมหลายพระองค์โดยสิ้นเชิง
ชาวอียิปต์ยุคหลังถือว่า "" เป็นความผิดแปลกที่น่าเสียดาย หลังจากการสวรรคตของฟาโรห์อะเคนอาเตน มีการสืบทอดพระราชบัลลังก์ต่อโดยฟาโรห์สเมนค์คาเรและพระนางเนเฟอร์เนเฟรูอาเตน ซึ่งปรากฏข้อมูลมากนัก ในช่วง 1334 ปีก่อนคริสตกาล ฟาโรห์ทุตอังค์อาเตน ผู้เป็นพระราชโอรสในฟาโรห์อะเคนอาเตนทรงขึ้นครองพระราชบัลลังก์ หลังจากนั้นไม่นาน พระองค์ทรงได้ฟื้นฟูลัทธิที่นับถือพระเจ้าหลายพระองค์ในอียิปต์ และต่อมาทรงได้เปลี่ยนพระนามเป็น ทุตอังค์อามุน เพื่อถวายเป็นพระเกียรติแก่เทพเจ้าอามุนแห่งอียิปต์ มัมมี่หมายเลข 317a และ 317b ซึ่งเป็นมัมมี่ของพระราชธิดาที่สิ้นพระชนม์เมื่อคราวประสูติกาล ซึ่งเป็นสมาชิกของราชวงศ์รุ่นสุดท้ายที่เกี่ยวข้องกันทางสายโลหิตของราชวงศ์ที่สิบแปดแห่งอียิปต์
ฟาโรห์ไอย์และฟาโรห์ฮอร์เอมเฮบ
สมาชิกสองพระองค์สุดท้ายของราชวงศ์ที่สิบแปด คือ ฟาโรห์ไอย์และฟาโรห์ฮอร์เอมเฮบ ซึ่งได้กลายเป็นผู้ปกครองจากตำแหน่งเจ้าหน้าที่ในราชสำนัก ถึงแม้ว่าฟาโรห์ไอย์ อาจะทรงเป็นพระมาตุลาของพระราชมารดาของฟาโรห์อะเคนอาเตน ในฐานะร่วมสายโลหิตเดียวกันของและ
ฟาโรห์ไอย์อาจจะทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงอังค์เอสเอนอามุน ซึ่งเป็นพระอัครมเหสีที่ทรงเป็นม่ายและเป็นพระขนิษฐาต่าพระมารดาของฟาโรห์ทุตอังค์อามุน เพื่อที่จะได้อำนาจอันชอบธรรม หลังจากนั้นพระองค์ก็มีพระชนม์ชีพอยู่ได้ไม่นาน จากนั้น ฟาโรห์ไอย์ก็ทรงอภิเษกสมรสกับพระนาง ซึ่งเดิมทีเป็นพระนมของพระนางเนเฟอร์ติติ
ฟาโรห์ไอย์ทรงมีรัชสมัยที่สั้น ผู้สืบทอดพระราชบัลลังก์คือฟาโรห์ฮอร์เอมเฮบ ซึ่งเป็นนายพลในรัชสมัยของฟาโรห์ทุตอังค์อามุน ซึ่งฟาโรห์ไอย์อาจจะทรงตั้งใจให้เป็นผู้สืบทอดพระราชบัลลังก์ในกรณีที่พระองค์ไม่มีพระราชโอรสที่ยังมีพระชนม์ชีพ ซึ่งต่อมาก็คือ ฟาโรห์ฮอร์เอมเฮบอาจจะแย่งชิงพระราชบัลลังก์ไปจากฟาโรห์ไอย์ในการก่อกบฏ ถึงแม้ว่าพระราชโอรสหรือพระราชโอรสบุญธรรมของฟาโรห์ไอย์พระนามว่า ซึ่งจะได้รับการเสนอพระองค์ให้เป็นมกุฎราชกุมารของพระราชบิดา/พระราชบิดาบุญธรรม แต่ดูเหมือนว่าเจ้าชายนัคต์มินจะสิ้นพระชนม์ในรัชสมัยของฟาโรห์ไอย์ ทำให้ฟาโรห์ฮอร์เอมเฮบทรงมีโอกาสครองพระราชบัลลังก์ต่อไป
ฟาโรห์ฮอร์เอมเฮบก็เสด็จสวรรคตโดยไม่มีรัชทายาทที่ยังมีพระชนม์ชีพ พระองค์จึงแต่งตั้งให้ราชมนตรีปา-รา-เมส-ซู ขึ้นเป็นมกุฎราชกุมาร ราชมนตรีผู้นี้ทรงขึ้นครองพระราชบัลลังก์ใน 1292 ปีก่อนคริสตกาลในฐานะฟาโรห์รามเสสที่ 1 และเป็นฟาโรห์พระองค์แรกของราชวงศ์ที่สิบเก้าแห่งอียิปต์
ตัวอย่างทางด้านขวานี้แสดงให้เห็นบุรุษคนหนึ่งนามว่า ไอย์ซึ่งได้รับตำแหน่งทางศาสนาอันสูงส่งในตำแหน่ง และมหาปุโรหิตแห่งที่ธีบส์ และหน้าที่มีความรุ่งเรืองในรัชสมัยของทุตอังค์อามุนเมื่อสร้างรูปสลัก ภาพแกะสลักของกษัตริย์ไอย์ ซึ่งเป็นผู้สืบทอดพระราชบัลลังก์ของฟาโรห์ทุตอังค์อามุนที่ปรากฏบนรูปสลัก จึงเป็นความพยายามของช่างฝีมือที่จะ "พัฒนา" ประติมากรรม
ความสัมพันธ์กับดินแดนนิวเบีย
จักรวรรดิแห่งราชวงศ์ที่สิบแปดได้พิชิตนิวเบียล่างทั้งหมดในรัชสมัยฟาโรห์ทุตโมสที่ 1 ในรัชสมัยของฟาโรห์ทุตโมสที่ 3 ชาวอียิปต์ได้ควบคุมนิวเบียไปโดยตรง ซึ่งไปถึงแก่งน้ำตกแม่น้ำไนล์ที่ 4 โดยอิทธิพลของอียิปต์หรือขยายออกไปนอกเหนือจุดนี้ ชาวอียิปต์เรียกบริเวณนี้ว่า คุช และปกครองโดย ราชวงศ์ที่สิบแปดได้รับทองคำนิวเบีย หนังสัตว์ งาช้าง ไม้มะเกลือ วัวควาย และม้า ซึ่งมีคุณภาพดีเยี่ยม ชาวอียิปต์สร้างวิหารไปทั่วนิวเบีย วิหารที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งอุทิศให้กับเทพอามุนที่เฌเบล บาร์คัล ในเมืองแนปาตา แห่งนี้ได้รับการขยายให้ใหญ่ขึ้นโดยฟาโรห์แห่งอียิปต์และนิเบียในช่วงเวลาต่อมา เช่น ฟาโรห์ทาฮาร์กา
- เครื่องบรรณาการนิวเบียถวายแด่ฟาโรห์ จาก MET DT221112
- แห่งนิวเบียทรงนำเครื่องบรรณาการถวายแด่ฟาโรห์ทุตอังค์อามุน ราชวงศ์ที่สิบแปด จากสุสานแห่งฮุย
- ชาวนูเบียถวายเครื่องบรรณาการแด่ฟาโรห์ทุตอังค์อามุน จากสุสานแห่งฮุย
ความสัมพันธ์กับดินแดนตะวันออกใกล้
หลังจากสิ้นสุดยุคการปกครองโดยต่างชาติอย่างฮิกซอส ราชวงศ์ที่สิบแปดได้เข้าสู่ช่วงแห่งการขยายตัวอย่างเข้มข้น พิชิตพื้นที่กว้างใหญ่ของตะวันออกใกล้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟาโรห์ทุตโมสที่ 3 ได้ส่ง "ชาซู" กลุ่มชาวเบดูอินทางตอนเหนือของคานาอัน และดินแดนของไกลถึงซีเรียและ ในการรบทางทหารหลายครั้งประมาณ 1450 ปีก่อนคริสตกาล
- ภาพนูนต่ำอียิปต์แสดงการต่อสู้กับชาวเอเชียติกตะวันตกในรัชสมัยของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 2 แห่งราชวงศ์ที่สิบแปด ราว 1427–1400 ปีก่อนคริสตกาล
- ผู้ถือเครื่องบรรณาการของชาวเอเชียตะวันตกในสุสานของ, ราว 1,400 ปีก่อนคริสตกาล จากธีบส์ พิพิธภัณฑ์บริติช
การระบุช่วงเวลาของราชวงศ์
การหาอายุด้วยคาร์บอนกัมมันตภาพรังสีบ่งชี้ว่าช่วงเวลาของราชวงศ์ที่สิบแปดอาจเริ่มต้นเร็วกว่าช่วงเวลาเดิมคือ 1550 ปีก่อนคริสตกาลไม่กี่ปี ช่วงเวลาของเรดิโอคาร์บอนสำหรับการเริ่มของสมัยราชวงศ์ที่สิบแปดคือ 1570–1544 ปีก่อนคริสตกาล ค่าเฉลี่ยคือ 1557 ปีก่อนคริสตกาล
รายพระนามฟาโรห์
ฟาโรห์แห่งราชวงศ์ที่สิบแปดทรงปกครองเป็นเวลาประมาณ 250 ปี (ประมาณ 1550–1298 ปีก่อนคริสตกาล) ช่วงเวลาและพระนามในตารางนำมาจากด็อดสันและฮิลตัน ฟาโรห์หลายพระองค์ทรงถูกฝังพระบรมศพอยู่ในหุบเขากษัตริย์ในธีบส์ (KV) สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ Theban Mapping Project ปรากฏการอภิเษกสมรสทางการทูตหลายครั้งเป็นที่ทราบกันดีสำหรับช่วงราชอาณาจักรใหม่ พระราชธิดาของกษัตริย์ต่างชาติเหล่านี้มักถูกกล่าวถึงเฉพาะในบันทึกคูนิฟอร์มและไม่ทราบจากแหล่งอื่น การอภิเษกสมรสน่าจะเป็นวิธีการยืนยันความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐเหล่านี้
ฟาโรห์ | รูปภาพ | พระนามครองราชย์/พระนามประสูติ | รัชสมัย | สถานที่ฝังพระบรมศพ | พระมเหสี/พระสวามี | คำอธิบาย |
---|---|---|---|---|---|---|
อาโมสที่ 1/อาโอซิสที่ 1 | เนบเพติเร | 1549–1524 ปีก่อนคริสตกาล | อาโมส-เนเฟอร์ทาริ | |||
อเมนโฮเทปที่ 1 | ดเจเซอร์คาเร | 1524–1503 ปีก่อนคริสตกาล | ? หรือ ? | อาโมส-เมริตอามอน | ||
ทุตโมสที่ 1 | อาอาเคเปอร์คาเร | 1503–1493 ปีก่อนคริสตกาล | , | อาโมส | ||
ทุตโทสที่ 2 | อาอาเคเปอร์เอนเร | 1493–1479 ปีก่อนคริสตกาล | ? | ฮัตเชปซุต | ||
ฮัตเชปซุต | มาอัตคาเร | 1479–1458 ปีก่อนคริสตกาล | ทุตโมสที่ 2 | |||
ทุตโมสที่ 3 | เมนเคเปอร์(เอน)เร | 1479–1425 ปีก่อนคริสตกาล | เควี 34 | ซาทิอาห์ | ||
อเมนโฮเทปที่ 2 | อาอาเคเปอร์รูเร | 1427–1397 ปีก่อนคริสตกาล | เควี 35 | เธียอา | ||
ทุตโมสที่ 4 | เมนเคเปอร์รูเร | 1397–1388 ปีก่อนคริสตกาล | เควี 43 | ไออาเรต มัตเอมวียา พระราชธิดาในกษัตริย์ แห่งไมตานนี | ||
อเมนโฮเทปที่ 3 | เนบมาอัตเร | 1388–1351 ปีก่อนคริสตกาล | ทีเย จิลูคิปาแห่งไมตานนี ทาดูคิปาแห่งไมตานนี ซิตอามุน ไอเซต พระราชธิดาในกษัตริย์ แห่งบาบิโลน พระราชธิดาในกษัตริย์แห่งบาบิโลน พระราชธิดาในกษัตริย์แห่ง พระราชธิดาในกษัตริย์แห่งอัมเมีย | |||
อเมนโฮเทปที่ 4/อาเคนอาเตน | เนเฟอร์เคเฟอร์รูเร-วาเอนเร | 1351–1334 ปีก่อนคริสตกาล | , (?) | เนเฟอร์ติติ คียา ทาดูคิปาแห่งไมตานนี พระราชธิดาในกษัตริย์แห่งเมริตอาเตน? เมเคตอาเตน? อังค์เอสเอนอามุน พระราชธิดาในกษัตริย์, กษัตริย์แห่งบาบิโลน | ||
สเมนค์คาเร | อังค์เคเปอร์รูเร | 1335–1334 ปีก่อนคริสตกาล | (?) | เมริตอาเตน | ||
เนเฟอร์เนเฟรูอาเตน | อังค์เคเปอร์รูเร-อะเคต-เอน-ฮิเอส | 1334–1332 ปีก่อนคริสตกาล | อาเคนอาเตน? | มักสันนิษฐานว่าเป็นพระนางเนเฟอร์ติติ | ||
ทุตอังค์อามุน | เนบเคเปอร์รูเร | 1332–1323 ปีก่อนคริสตกาล | เควี 62 | อังค์เอสเอนอามุน | ||
ไอย์ | เคเปอร์เคเปอร์รูเร | 1323–1319 ปีก่อนคริสตกาล | อังค์เอสเอนอามุน?
| |||
ฮอร์เอมเฮบ | ดเจเซอร์เคเปอร์รูเร-เซเทปเอนเร | 1319–1292 ปีก่อนคริสตกาล |
|
เส้นเวลาของราชวงศ์ที่สิบแปดแห่งอียิปต์
อ้างอิง
- Daniel Molinari (2014-09-16), Egypts Lost Queens, เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-12-21, สืบค้นเมื่อ 2017-11-14
- Graciela Gestoso Singer, "Ahmose-Nefertari, The Woman in Black". Terrae Antiqvae, January 17, 2011
- Aidan Dodson, Dyan Hilton: pg 122
- O'Connor & Cline 1998, pp. 11–12.
- Aidan Dodson, Dyan Hilton: pg 130
- Kozloff & Bryan 1992, no. 2.
- ; Hilton, Dyan (2010). The Complete Royal Families of Ancient Egypt. Thames & Hudson. p. 142. ISBN .
- ; Hilton, Dyan (2010). The Complete Royal Families of Ancient Egypt. Thames & Hudson. p. 143. ISBN .
- Gardiner, Alan (1953). "The Coronation of King Haremhab". Journal of Egyptian Archaeology. 39: 13–31.
- "Block Statue of Ay". brooklynmuseum.org. สืบค้นเมื่อ 17 June 2014.
- O'Connor, David (1993). Ancient Nubia: Egypt's Rival in Africa. University of Pennsylvania, USA: University Museum of Archaeology and Anthropology. pp. 60–69. ISBN .
- Shaw, Ian (2004). The Oxford History of Ancient Egypt. Oxford University Press. p. 217.
- "Early History", , ed., Sudan A Country Study. Washington: GPO for the Library of Congress, 1991.
- Gabriel, Richard A. (2009). Thutmose III: The Military Biography of Egypt's Greatest Warrior King (ภาษาอังกฤษ). Potomac Books, Inc. p. 204. ISBN .
- Allen, James P. (2000). Middle Egyptian: An Introduction to the Language and Culture of Hieroglyphs (ภาษาอังกฤษ). Cambridge University Press. p. 299. ISBN .
- "Tomb-painting British Museum". The British Museum (ภาษาอังกฤษ).
- Ramsey, C. B.; Dee, M. W.; Rowland, J. M.; Higham, T. F. G.; Harris, S. A.; Brock, F.; Quiles, A.; Wild, E. M.; Marcus, E. S.; Shortland, A. J. (2010). "Radiocarbon-Based Chronology for Dynastic Egypt". Science. 328 (5985): 1554–1557. Bibcode:2010Sci...328.1554R. doi:10.1126/science.1189395. PMID 20558717. S2CID 206526496.
- Aidan Dodson, Dyan Hilton: The Complete Royal Families of Ancient Egypt. The American University in Cairo Press, London 2004
- . Theban Mapping Project. 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 July 2010. สืบค้นเมื่อ 24 November 2018.
- Grajetzki, Ancient Egyptian Queens: A Hieroglyphic Dictionary, Golden House Publications, London, 2005, ISBN
- อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อWG
บรรณานุกรรม
- O'Connor, David; Cline, Eric (1998). Amenhotep III: Perspectives on His Reign. University of Michigan Press.
- (2023). Pharaohs of the Sun: The Rise and Fall of Tutankhamun's Dynasty. Pegasus Books. ISBN .
- Kozloff, Arielle; Bryan, Betsy (1992). Royal and Divine Statuary in Egypt's Dazzling Sun: Amenhotep III and his World. Cleveland.
- (1995). The Ancient Near East: c. 3000–330 BC. London: . ISBN .
ดูเพิ่ม
- Hatshepsut: from Queen to Pharaoh, an exhibition catalog from The Metropolitan Museum of Art (fully available online as PDF)
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
rachwngsthisibaepdaehngxiyipt cdepnrachwngsaerkinchwngsmyrachxanackrihmkhxngxiyipt sungepnyukhthixiyiptobraneruxngxanacsungsud rachwngsthisibaepdkhrxbkhlumchwngewlatngaet 1550 1549 thung 1292 pikxnkhristkal rachwngsnieriykxikxyangwa rachwngsthutoms enuxngcakfaorhcakrachwngsnicanwn 4 phraxngkhthrngichphranamwarachwngsthisibaepdaehngxiyiptraw 1550 pikxnkhristkal 1292 pikxnkhristkalckrwrrdikhxngrachwngsthisibaepdaehngxiyiptinxanaekhtthiyingihythisudinrchsmyfaorhthutomsthi 3emuxnghlwngthibs phasathwipphasaxiyiptsmyklang thungraw 1350 pikxnkhristkal phasaxiyiptsmyplay tngaetrang 1350 pikxnkhristkal phasaaexkaekhd phasathangkarthutaelakarkha sasnasasnaxiyiptobrankarpkkhrxngsmburnayasiththirachyyukhprawtisastryukhsmvththi khwamphxyaephkhxngrachwngsthisibha karkhbilchawhiksxs raw 1550 pikxnkhristkal raw 1457 pikxnkhristkal raw 1350 1330 pikxnkhristkal karswrrkhtkhxngfaorhhxrexmehb1292 pikxnkhristkalkxnhna thdiprachwngsthisibhaaehngxiyiptrachwngsthisibecdaehngxiyipt rachwngsthisibekaaehngxiyipt faorhthimichuxesiyngthisudkhxngxiyipthlayphraxngkhmacakrachwngsthisibaepd rwmthungfaorhthutxngkhxamun sungepnphukhnphbsusankhxngphraxngkhinpi kh s 1922 swnfaorhthimichuxesiyngxun khxngrachwngs idaek faorhhtechpsut raw 1479 1458 pikxnkhristkal faorhstriphukhrxngrachyyawnanthisudkhxngrachwngsphunemuxng aelafaorhxaekhnxaetn praman 1353 1336 pikxnkhristkal hrux faorhnxkrit kbphramehsiphuyingihykhxngphraxngkhphranamwa enefxrtiti rachwngsthisibaepdmilksnaechphaatwinbrrdarachwngsxiyiptthimifaorhstricanwnphraxngkhthithrngkhrxngrachy strithipkkhrxnginthanafaorhaetephiyngphuediyw phrananghtechpsukh aelaphranangenefxrenefruxaetn sungmksnnisthanwaepnphraxngkhediywknkbphranangenefxrtitiprawtirachwngschwngtnrachwngsthisibaepdaehngxiyipt xaoms enefxrthari epnphrarachthidainfaorheseknexner thaoxthi 2 sungepnfaorhcakrachwngsthisibecdthilukkhuntxtanphupkkhrxngchawhiksxs faorhxaoms sungepnphraechsthakhxngphraxngkhthrngkhbilchawhiksxs aelaphraxngkhthrngklayepnphrarachiniaehngxiyiptxnpukaephn phraxngkhidrbkarbuchaxyangethphecahlngcakthiphraxngkhesdcswrrkhtrupslkswnphraesiyrkhxngfaorhinchwngtnrachwngsthisibaepd raw 1539 1493 pikxnkhristkal 37 38E rachwngsthisibaepdsthapnakhunodyfaorhxahomsthi 1 sungepnphraxnuchahruxphrarachoxrskhxngfaorhkhaoms phupkkhrxngphraxngkhsudthaykhxngrachwngsthisibecd phraxngkhesrcsinkardaeninkarthangthharephuxkhbilphupkkhrxngchawhiksxs rchsmykhxngphraxngkhthukmxngwaepncudsinsudkhxngsmyaelakarerimtnkhxngsmyrachxanackrihm phramehsikhxngfaorhxahoms khux phranangxaoms enefxrthari epn strithiidrbkarekharphnbthuxmakthisudinprawtisastrxiyipt aelaepnphraxyyikaaehngrachwngsthisibaepd phraxngkhidrbkarbuchaxyangethphecahlngcakthiphraxngkhesdcswrrkht faorhxemnohethpthi 1 thrngkhunkhrxngrachytxcakfaorhxahoms phuepnphrarachbida sungehtukarnphayinrchsmykhxngphraxngkhimkhxyepnthithrabmaknk faorhxemnohethpthi 1 xaccathrngimmirchthayaththiepnburus aelafaorhphraxngkhtxip khux faorhthutomsthi 1 sungduehmuxnwacaekiywkhxngkbrachwngsphankarxphiesksmrs inrchsmykhxngphraxngkh phrmaednkhxngxanackrxiyiptaephkhyayxxkipthangehnuxthungemuxngbnaemnayuefrtis aelathangitthungemuxngkhurkselyaekngnatkaemnainlthisilngip faorhthutomsthi 2 thrngkhunkhrxngrachytxcakfaorhthutomsthi 1 aelaphramehsihtechpsut sungepnphrarachthidakhxngfaorhthutomsthi 1 hlngcakswamikhxngphraxngkhesdcswrrkhtaelachwngrayaewlakhxngkarepnphusaercrachkaraethnphrarachoxrseliyngkhxngphraxngkh sungtxmacaklayepnfaorhinphranamwa thutomsthi 3 phrananghtechpsutthrngklayepnfaorhtamphrarachsiththiaelathrngpkkhrxngmakwayisibpi faorhthutomsthi 3 sungthrngklayepnthiruckinthanafaorhthharthiyingihythisudethathiekhymimainprawtisastrxiyiptobran phraxngkhthrngkhrxngrachyyawnanechnkn phraxngkhthrngmiphusaercrachkarrwmkhrngthisxnginchwngplayphrachnmchiphkbphrarachoxrskhxngphraxngkhphranamwa faorhxemnohethpthi 2 faorhthutomsthi 4 thrngsubthxdphrarachbllngktxcakfaorhxemnohethpthi 2 odysungsubthxdphrarachbllngktamdwyphrarachoxrsphranamwa faorhxemnohethpthi 3 sungrchsmydngklawthukmxngwaepncudsungsudinrachwngsni rchsmykhxngfaorhxemnohethpthi 3 thuxepnchwngewlaaehngkhwamrungeruxngxyangimekhypraktmakxn khwamngdngamthangsilpa aelaxanacrahwangpraeths dngthiehnidcakrupslkkwa 250 rup makkwafaorhphraxngkhxun aelatraprathbaemlngskharbkhnadihy 200 twthikhnphbtngaetsieriycnthungniwebiy faorhxemnohethpthi 3 thrngoprdihdaeninokhrngkarkxsrangkhnadihy sungkhxbekhtkhxngokhrngkardngklawsamarthethiybidkbokhrngkarinrchsmykhxngfaorhramessthi 2 thiyawnankwamakinchwngrachwngsthisibekaethann phramehsikhxngfaorhxemnohethpthi 3 khux phranangthiey sungmixisriyysepnphraxkhrmehsi sungphraxngkhthrngoprdihkhudthaelsabethiymtamthixthibayiwintraprathbaemlngskharbcanwnsibexdtw faorhxaekhnxaetnaehngsmyxamarna aelafaorhthutxngkhxamun faorhxaekhnxaetnaelaechuxphrawngskhxngphraxngkhthrngbuchaethphxaetn phraxngkhthisxngcaksaykhux ecahyingemritxaetn sungepnphrarachthidakhxngphraxngkh faorhxemnohethpthi 3 xaccathrngkhrxngbllngkrwmknnanthung 12 pikbfaorhxemnohethpthi 4 phuepnphrarachoxrs sungmikarthkethiyngknxyangmakekiywkbkhxsnnisthandngklawthiwamikarsaercrachkarrwmhruxim odyphuechiywchayhlaykhnphicarnawamikarsaercrachkarrwmthiyawnan xnsn hruximmiely inpithi 5 aehngkarkhrxngrachykhxngfaorhxemnohethpthi 4 phraxngkhthrngidepliynphranamepn xaekhnxaetn ꜣḫ n jtn miprasiththiphaphaetethphxaetn aelathrngyayemuxnghlwngipthibriewnxamarna sungphraxngkhtngchuxemuxngwa xaekhtxaetn inrchsmykhxngphraxngkh ethph jtn canrsmisuriya idklayepnethphsakhythioddednthisud aelainthisudkidrbkarphicarnaihepnethphecaephiyngphraxngkhediyw imwacarwmthunglththiexkethwniymthiaethcringhruximktamyngkhngepnpraednthkethiynginklumnkwichakar bangkhnklawwa faorhxaekhnxaetnthrngsranglththiexkethwniym inkhnathikhnxun chiihehnwaphraxngkhephiyngaekhthrngyklththisuriyathimixanacehnuxkwaxiklththihnung inkhnathiphraxngkhthrngimekhylathingethphecadngedimhlayphraxngkhodysineching chawxiyiptyukhhlngthuxwa epnkhwamphidaeplkthinaesiyday hlngcakkarswrrkhtkhxngfaorhxaekhnxaetn mikarsubthxdphrarachbllngktxodyfaorhsemnkhkhaeraelaphranangenefxrenefruxaetn sungpraktkhxmulmaknk inchwng 1334 pikxnkhristkal faorhthutxngkhxaetn phuepnphrarachoxrsinfaorhxaekhnxaetnthrngkhunkhrxngphrarachbllngk hlngcaknnimnan phraxngkhthrngidfunfulththithinbthuxphraecahlayphraxngkhinxiyipt aelatxmathrngidepliynphranamepn thutxngkhxamun ephuxthwayepnphraekiyrtiaekethphecaxamunaehngxiyipt mmmihmayelkh 317a aela 317b sungepnmmmikhxngphrarachthidathisinphrachnmemuxkhrawprasutikal sungepnsmachikkhxngrachwngsrunsudthaythiekiywkhxngknthangsayolhitkhxngrachwngsthisibaepdaehngxiyipt faorhixyaelafaorhhxrexmehb rupslkkhxngfaorhixy raw 1336 1327 pikxnkhristkal 66 174 1 smachiksxngphraxngkhsudthaykhxngrachwngsthisibaepd khux faorhixyaelafaorhhxrexmehb sungidklayepnphupkkhrxngcaktaaehnngecahnathiinrachsank thungaemwafaorhixy xacathrngepnphramatulakhxngphrarachmardakhxngfaorhxaekhnxaetn inthanarwmsayolhitediywknkhxngaela faorhixyxaccathrngxphiesksmrskbecahyingxngkhexsexnxamun sungepnphraxkhrmehsithithrngepnmayaelaepnphrakhnisthataphramardakhxngfaorhthutxngkhxamun ephuxthicaidxanacxnchxbthrrm hlngcaknnphraxngkhkmiphrachnmchiphxyuidimnan caknn faorhixykthrngxphiesksmrskbphranang sungedimthiepnphranmkhxngphranangenefxrtiti faorhixythrngmirchsmythisn phusubthxdphrarachbllngkkhuxfaorhhxrexmehb sungepnnayphlinrchsmykhxngfaorhthutxngkhxamun sungfaorhixyxaccathrngtngicihepnphusubthxdphrarachbllngkinkrnithiphraxngkhimmiphrarachoxrsthiyngmiphrachnmchiph sungtxmakkhux faorhhxrexmehbxaccaaeyngchingphrarachbllngkipcakfaorhixyinkarkxkbt thungaemwaphrarachoxrshruxphrarachoxrsbuythrrmkhxngfaorhixyphranamwa sungcaidrbkaresnxphraxngkhihepnmkudrachkumarkhxngphrarachbida phrarachbidabuythrrm aetduehmuxnwaecachaynkhtmincasinphrachnminrchsmykhxngfaorhixy thaihfaorhhxrexmehbthrngmioxkaskhrxngphrarachbllngktxip faorhhxrexmehbkesdcswrrkhtodyimmirchthayaththiyngmiphrachnmchiph phraxngkhcungaetngtngihrachmntripa ra ems su khunepnmkudrachkumar rachmntriphunithrngkhunkhrxngphrarachbllngkin 1292 pikxnkhristkalinthanafaorhramessthi 1 aelaepnfaorhphraxngkhaerkkhxngrachwngsthisibekaaehngxiyipt twxyangthangdankhwaniaesdngihehnburuskhnhnungnamwa ixysungidrbtaaehnngthangsasnaxnsungsngintaaehnng aelamhapuorhitaehngthithibs aelahnathimikhwamrungeruxnginrchsmykhxngthutxngkhxamunemuxsrangrupslk phaphaekaslkkhxngkstriyixy sungepnphusubthxdphrarachbllngkkhxngfaorhthutxngkhxamunthipraktbnrupslk cungepnkhwamphyayamkhxngchangfimuxthica phthna pratimakrrm khwamsmphnthkbdinaednniwebiy ckrwrrdiaehngrachwngsthisibaepdidphichitniwebiylangthnghmdinrchsmyfaorhthutomsthi 1 inrchsmykhxngfaorhthutomsthi 3 chawxiyiptidkhwbkhumniwebiyipodytrng sungipthungaekngnatkaemnainlthi 4 odyxiththiphlkhxngxiyipthruxkhyayxxkipnxkehnuxcudni chawxiyipteriykbriewnniwa khuch aelapkkhrxngody rachwngsthisibaepdidrbthxngkhaniwebiy hnngstw ngachang immaeklux wwkhway aelama sungmikhunphaphdieyiym chawxiyiptsrangwiharipthwniwebiy wiharthiihythisudaelasakhythisudaehnghnungxuthisihkbethphxamunthiechebl barkhl inemuxngaenpata aehngniidrbkarkhyayihihykhunodyfaorhaehngxiyiptaelaniebiyinchwngewlatxma echn faorhthaharkaekhruxngbrrnakarniwebiythwayaedfaorh cak MET DT221112 aehngniwebiythrngnaekhruxngbrrnakarthwayaedfaorhthutxngkhxamun rachwngsthisibaepd caksusanaehnghuy chawnuebiythwayekhruxngbrrnakaraedfaorhthutxngkhxamun caksusanaehnghuykhwamsmphnthkbdinaedntawnxxkikl hlngcaksinsudyukhkarpkkhrxngodytangchatixyanghiksxs rachwngsthisibaepdidekhasuchwngaehngkarkhyaytwxyangekhmkhn phichitphunthikwangihykhxngtawnxxkikl odyechphaaxyangyingfaorhthutomsthi 3 idsng chasu klumchawebduxinthangtxnehnuxkhxngkhanaxn aeladinaednkhxngiklthungsieriyaela inkarrbthangthharhlaykhrngpraman 1450 pikxnkhristkalphaphnuntaxiyiptaesdngkartxsukbchawexechiytiktawntkinrchsmykhxngfaorhxemnohethpthi 2 aehngrachwngsthisibaepd raw 1427 1400 pikxnkhristkal phuthuxekhruxngbrrnakarkhxngchawexechiytawntkinsusankhxng raw 1 400 pikxnkhristkal cakthibs phiphithphnthbritichkarrabuchwngewlakhxngrachwngskarhaxayudwykharbxnkmmntphaphrngsibngchiwachwngewlakhxngrachwngsthisibaepdxacerimtnerwkwachwngewlaedimkhux 1550 pikxnkhristkalimkipi chwngewlakhxngerdioxkharbxnsahrbkarerimkhxngsmyrachwngsthisibaepdkhux 1570 1544 pikxnkhristkal khaechliykhux 1557 pikxnkhristkalrayphranamfaorhfaorhaehngrachwngsthisibaepdthrngpkkhrxngepnewlapraman 250 pi praman 1550 1298 pikxnkhristkal chwngewlaaelaphranamintarangnamacakdxdsnaelahiltn faorhhlayphraxngkhthrngthukfngphrabrmsphxyuinhubekhakstriyinthibs KV samarthdukhxmulephimetimidcakewbist Theban Mapping Project praktkarxphiesksmrsthangkarthuthlaykhrngepnthithrabkndisahrbchwngrachxanackrihm phrarachthidakhxngkstriytangchatiehlanimkthukklawthungechphaainbnthukkhunifxrmaelaimthrabcakaehlngxun karxphiesksmrsnacaepnwithikaryunynkhwamsmphnthxndirahwangrthehlani faorh rupphaph phranamkhrxngrachy phranamprasuti rchsmy sthanthifngphrabrmsph phramehsi phraswami khaxthibayxaomsthi 1 xaoxsisthi 1 enbephtier 1549 1524 pikxnkhristkal xaoms enefxrthari xaoms ehnutthaemhu xaoms sitkhaomsxemnohethpthi 1 decesxrkhaer 1524 1503 pikxnkhristkal hrux xaoms emritxamxnthutomsthi 1 xaxaekhepxrkhaer 1503 1493 pikxnkhristkal xaoms mutonefrtthutothsthi 2 xaxaekhepxrexner 1493 1479 pikxnkhristkal htechpsut ixesthtechpsut maxtkhaer 1479 1458 pikxnkhristkal thutomsthi 2thutomsthi 3 emnekhepxr exn er 1479 1425 pikxnkhristkal ekhwi 34 sathixah emriter htechpsut enbthu emneht emnwi aela emxrtixemnohethpthi 2 xaxaekhepxrruer 1427 1397 pikxnkhristkal ekhwi 35 ethiyxathutomsthi 4 emnekhepxrruer 1397 1388 pikxnkhristkal ekhwi 43 ixxaert mtexmwiya phrarachthidainkstriy aehngimtannixemnohethpthi 3 enbmaxter 1388 1351 pikxnkhristkal thiey cilukhipaaehngimtanni thadukhipaaehngimtanni sitxamun ixest phrarachthidainkstriy aehngbabioln phrarachthidainkstriyaehngbabioln phrarachthidainkstriyaehng phrarachthidainkstriyaehngxmemiyxemnohethpthi 4 xaekhnxaetn enefxrekhefxrruer waexner 1351 1334 pikxnkhristkal enefxrtiti khiya thadukhipaaehngimtanni phrarachthidainkstriyaehngemritxaetn emekhtxaetn xngkhexsexnxamun phrarachthidainkstriy kstriyaehngbabiolnsemnkhkhaer xngkhekhepxrruer 1335 1334 pikxnkhristkal emritxaetnenefxrenefruxaetn xngkhekhepxrruer xaekht exn hiexs 1334 1332 pikxnkhristkal xaekhnxaetn semnkhkhaer mksnnisthanwaepnphranangenefxrtitithutxngkhxamun enbekhepxrruer 1332 1323 pikxnkhristkal ekhwi 62 xngkhexsexnxamunixy ekhepxrekhepxrruer 1323 1319 pikxnkhristkal xngkhexsexnxamun hxrexmehb decesxrekhepxrruer esethpexner 1319 1292 pikxnkhristkalesnewlakhxngrachwngsthisibaepdaehngxiyiptxangxingDaniel Molinari 2014 09 16 Egypts Lost Queens ekbcakaehlngedimemux 2021 12 21 subkhnemux 2017 11 14 Graciela Gestoso Singer Ahmose Nefertari The Woman in Black Terrae Antiqvae January 17 2011 Aidan Dodson Dyan Hilton pg 122 O Connor amp Cline 1998 pp 11 12 Aidan Dodson Dyan Hilton pg 130 Kozloff amp Bryan 1992 no 2 Hilton Dyan 2010 The Complete Royal Families of Ancient Egypt Thames amp Hudson p 142 ISBN 978 0 500 28857 3 Hilton Dyan 2010 The Complete Royal Families of Ancient Egypt Thames amp Hudson p 143 ISBN 978 0 500 28857 3 Gardiner Alan 1953 The Coronation of King Haremhab Journal of Egyptian Archaeology 39 13 31 Block Statue of Ay brooklynmuseum org subkhnemux 17 June 2014 O Connor David 1993 Ancient Nubia Egypt s Rival in Africa University of Pennsylvania USA University Museum of Archaeology and Anthropology pp 60 69 ISBN 0924171286 Shaw Ian 2004 The Oxford History of Ancient Egypt Oxford University Press p 217 Early History ed Sudan A Country Study Washington GPO for the Library of Congress 1991 Gabriel Richard A 2009 Thutmose III The Military Biography of Egypt s Greatest Warrior King phasaxngkvs Potomac Books Inc p 204 ISBN 978 1 59797 373 1 Allen James P 2000 Middle Egyptian An Introduction to the Language and Culture of Hieroglyphs phasaxngkvs Cambridge University Press p 299 ISBN 978 0 521 77483 3 Tomb painting British Museum The British Museum phasaxngkvs Ramsey C B Dee M W Rowland J M Higham T F G Harris S A Brock F Quiles A Wild E M Marcus E S Shortland A J 2010 Radiocarbon Based Chronology for Dynastic Egypt Science 328 5985 1554 1557 Bibcode 2010Sci 328 1554R doi 10 1126 science 1189395 PMID 20558717 S2CID 206526496 Aidan Dodson Dyan Hilton The Complete Royal Families of Ancient Egypt The American University in Cairo Press London 2004 Theban Mapping Project 2010 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 25 July 2010 subkhnemux 24 November 2018 Grajetzki Ancient Egyptian Queens A Hieroglyphic Dictionary Golden House Publications London 2005 ISBN 978 0954721893 xangxingphidphlad payrabu lt ref gt imthuktxng immikarkahndkhxkhwamsahrbxangxingchux WGbrrnanukrrmO Connor David Cline Eric 1998 Amenhotep III Perspectives on His Reign University of Michigan Press 2023 Pharaohs of the Sun The Rise and Fall of Tutankhamun s Dynasty Pegasus Books ISBN 9781639363063 Kozloff Arielle Bryan Betsy 1992 Royal and Divine Statuary in Egypt s Dazzling Sun Amenhotep III and his World Cleveland 1995 The Ancient Near East c 3000 330 BC London ISBN 9780415013536 duephimHatshepsut from Queen to Pharaoh an exhibition catalog from The Metropolitan Museum of Art fully available online as PDF