เขตรัฐตุงคบุรี หรือ เขมรัฐโชติตุงบุรี โดยย่อว่า เขมรัฐ (พม่า: ခေမာရဋ္ဌ เขมารฏฺฐ; บาลี: เขมรฏฺ) หรือ รัฐเชียงตุง (พม่า: ကျိုင်းတုံ; ไทใหญ่: ၵဵင်းတုင်; ไทยถิ่นเหนือ: ᨩ᩠ᨿᨦᨲᩩᨦ) บ้างเรียก เมืองเขิน (ไทเขิน: ᨾᩮᩨ᩠ᨦᨡᩨ᩠ᨶ) และจารึกเมืองเชียงตุงเรียก เมืองไทย เป็นรัฐเจ้าฟ้าแห่งหนึ่งในกลุ่มสหพันธรัฐชาน ปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศพม่า มีราชธานีคือเชียงตุง ซึ่งเป็นเขตเมืองใหญ่เพียงแห่งเดียวเพราะเป็นแอ่งที่ราบขนาดใหญ่ ทั้งประเทศเป็นเขตภูเขาสูงสลับซับซ้อนของเทือกเขาแดนลาวมีที่ราบขนาดแคบ ถือเป็นรัฐที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดในหมู่รัฐชานอื่น ๆ ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้สุดของรัฐชาน ตั้งแต่แม่น้ำสาละวินจรดแม่น้ำโขง และถูกแยกจากรัฐชานตอนเหนือด้วย
เชียงตุง ကျိုင်းတုံ / ᨩ᩠ᨿᨦᨲᩩᨦ | |||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
รัฐเจ้าฟ้าของสหพันธรัฐชาน | |||||||||||
ราว พ.ศ. 1786 – พ.ศ. 2502 | |||||||||||
รัฐเชียงตุง (สีฟ้า) ในแผนที่รัฐชาน | |||||||||||
พื้นที่ | |||||||||||
• พ.ศ. 2444 | 31,079 ตารางกิโลเมตร (12,000 ตารางไมล์) | ||||||||||
ประชากร | |||||||||||
• พ.ศ. 2444 | 190,698 คน | ||||||||||
ประวัติศาสตร์ | |||||||||||
• ก่อตั้งโดยผู้แทนของพญามังราย | ราว พ.ศ. 1786 | ||||||||||
• เจ้าฟ้าองค์สุดท้ายสละอำนาจ | พ.ศ. 2502 | ||||||||||
|
รัฐเชียงตุงมีลักษณะเป็นรัฐชายขอบ โอนอ่อนไปตามอิทธิพลของรัฐรอบข้างคือ พม่า จีน และล้านนา เมื่อรัฐใดรัฐหนึ่งมีอำนาจมากกว่า เจ้าผู้ครองเชียงตุงก็จะเข้าสวามิภักดิ์กับฝ่ายนั้น กระนั้นเชียงตุงยังคงรักษาความสัมพันธ์กับเชียงใหม่ในฐานะบ้านพี่เมืองน้องมาตลอด แต่ในช่วงหลังเชียงตุงสวามิภักดิ์กับพม่า เพราะพม่าไม่มีนโยบายกวาดต้อนผู้คน ต่างจากฝ่ายสยามที่มุ่งทำลายเมืองเชียงตุง เพราะไม่ต้องการให้ฝ่ายพม่าใช้เชียงตุงเป็นที่มั่นสำหรับโจมตีเมืองเชียงราย
หลังการสละราชอำนาจของเจ้าจายหลวง มังราย เมื่อ พ.ศ. 2502 รัฐเชียงตุงถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐชานโดยสมบูรณ์ แม้จะพยายามต่อสู้เพื่อเอกราชหลายครั้ง แต่ก็ตกเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของพม่าไปโดยปริยาย และหลังการรัฐประหารของนายพลเนวี่นเมื่อ พ.ศ. 2505 สิทธิพิเศษของเจ้าฟ้าไทใหญ่ต่าง ๆ ถูกยกเลิกลงทั้งหมด
ประวัติ
แรกเริ่ม
รัฐเชียงตุงเกิดจากการขยายอำนาจขึ้นทางเหนือของพญามังรายแห่งอาณาจักรล้านนา ที่ส่งพระราชนัดดาชื่อเจ้าน้ำท่วมขึ้นปกครองเชียงตุง อันเป็นดินแดนของและไทใหญ่ ประชากรส่วนใหญ่ในเมืองหลวงเป็นชาวเขิน ต่างจากหัวเมืองอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่เป็นไทใหญ่ ตามประวัติศาสตร์ พญามังรายสร้างเมืองเชียงตุงเมื่อ พ.ศ. 1810 เพื่อเป็นเมืองหน้าด่านทางทิศเหนือของล้านนา โดยมีสัมพันธ์อันดีจนถึงรัชสมัยพญากือนา ส่วนรัชสมัยพญาแสนเมืองมาจนถึงพญาสามฝั่งแกน เชียงตุงสวามิภักดิ์กับจีน จนรัชสมัยพระเจ้าติโลกราชความสัมพันธ์ระหว่างเชียงตุงกับล้านนาจึงเฟื่องฟูอีกครั้ง เพราะมีการเผยแผ่ศาสนาพุทธและวรรณกรรมล้านนาไปยังเชียงตุง
ร่วมสมัย
จักรพรรดิเฉียนหลงกระทำสงครามกับพระเจ้ามังระช่วง พ.ศ. 2303 รัฐเชียงตุงจึงสวามิภักดิ์ต่อเชียงใหม่ใน พ.ศ. 2345 แต่ภายหลังเชียงตุงได้รับความช่วยเหลือจากพม่า จึงกลับเข้าสู่กับปกครองของพม่าตามเดิมและผนวกรัฐเมืองยองไปด้วยกันใน พ.ศ. 2357
ยุครัตนโกสินทร์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา สยามมีนโยบายมุ่งแผ่อำนาจไปยังเชียงตุงและเชียงรุ่ง แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ แม้ทั้งสองเมืองนี้จะยอมสวามิภักดิ์ต่อสยามก็ตาม หลังการปักปันเขตแดนกับสหราชอาณาจักรเมื่อ พ.ศ. 2428-2438 สยามเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เมื่อเขตแดนแบ่งออกอย่างชัดเจน สยามมีดินแดนสุดที่แม่สาย ส่วนเมืองเชียงตุง เมืองยอง และหัวเมืองไทใหญ่อื่น ๆ ขึ้นในอารักขาของสหราชอาณาจักร ต่อมาสหราชอาณาจักรยุบขึ้นกับเชียงตุง
27 พฤษภาคม พ.ศ. 2485 ตรงกับสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐเชียงตุงถูกกองทัพพายัพจากประเทศไทยรุกรานและเข้ายึดเชียงตุงซึ่งเป็นเมืองหลวง ตามข้อตกลงระหว่างจอมพลแปลก พิบูลสงครามกับจักรวรรดิญี่ปุ่น เดือนธันวาคมปีเดียวกันกองทัพไทยเข้ายึดรัฐเชียงตุงและสี่อำเภอของรัฐเมืองปั่น ที่สุดรัฐบาลไทยผนวกดินแดนนี้อย่างเป็นทางการและประกาศจัดตั้งสหรัฐไทยเดิมและอำเภอเมืองพานเมื่อ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2486 ภายหลังประเทศไทยถอนตัวออกจากรัฐเชียงตุงและเมืองปั่นเมื่อ พ.ศ. 2488 และยกเลิกการอ้างสิทธิใน พ.ศ. 2489 เพื่อเข้าร่วมกับองค์การสหประชาชาติและยกเลิกการคว่ำบาตรจากการเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ
หลังการสละราชอำนาจของเจ้าจายหลวง มังราย เมื่อ พ.ศ. 2502 รัฐเชียงตุงถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐชานโดยสมบูรณ์ แม้จะพยายามต่อสู้เพื่อเอกราชหลายครั้ง แต่ก็ตกเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของพม่าไปโดยปริยาย และหลังการรัฐประหารของนายพลเนวี่นเมื่อ พ.ศ. 2505 สิทธิพิเศษของเจ้าฟ้าไทใหญ่ต่าง ๆ ถูกยกเลิกลงทั้งหมด
การปกครอง
รัฐเชียงตุงปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีเจ้าฟ้าเป็นผู้ปกครอง ใช้พระนามว่า เขมาธิปติราชา เช่น รัตนภูมินทะนรินทาเขมาธิปติราชา หรือ พญาศรีสุธรรมกิตติ สิริเมฆนรินทร์ เขมาธิปติราชา ในยุคเริ่มต้น เชียงตุงมีฐานะเป็นประเทศราชของอาณาจักรล้านนา มีเจ้าผู้ครองปกครองตนเองด้วยจารีตท้องถิ่น และได้รับเกียรติเรียกเจ้าผู้ครองเชียงตุงว่า "พระหัวเจ้า" เชียงตุงต้องแสดงความจงรักภักดีต่อราชธานีที่ยิ่งใหญ่กว่าด้วยการประกอบพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา
ล้านนามักส่งลูกหลานกษัตริย์หรือขุนนางที่ใกล้ชิดจากเชียงใหม่ปกครองเชียงตุง แต่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 24 เป็นต้นมา เชียงตุงยอมรับอำนาจของพม่า ส่วนเชียงใหม่ยอมรับอิทธิพลของสยาม ความขัดแย้งระหว่างสยามและพม่าส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างเชียงใหม่และเชียงตุง จนก่อให้เกิดสงครามเชียงตุงช่วงต้นรัตนโกสินทร์
เจ้าผู้ครองรัฐเป็นผู้บริหารและใช้อำนาจเต็ม ปกครองประชากรด้วยความผาสุก กอปรด้วยความอารีอย่างบิดากับบุตร หากมีผู้ใดกระทำผิดก็จะใช้อำนาจเด็ดขาดในการปราบปราม เช่น หากมีผู้ใดโกรธชักดาบออกจากฝักเพียงฝ่ามือเดียวจะถูกปรับไหมเป็นเงินหลายรูปี เป็นต้น ทั้งนี้รัฐเชียงตุงยังมีนครรัฐน้อย ๆ เป็นบริวารในอำนาจตนเองจำนวนหนึ่งเช่น และ
รายพระนามและรายนามผู้ปกครองรัฐเชียงตุง
# | ผู้ปกครอง | เริ่มต้น | สิ้นสุด | หมายเหตุ |
---|---|---|---|---|
1 | เจ้ามังคุ่ม และ เจ้ามังเคียน | 1790 | 1796 | ขุนนางชาวลัวะ ได้รับการแต่งตั้งจากพระญามังรายมหาราช |
2 | เจ้าน้ำท่วม | 1796 | 1807 | พระโอรสของพระญาไชยสงคราม ได้รับการแต่งตั้งจากพระญามังรายมหาราช |
3 | เจ้าน้ำน่าน | 1807 | 1860 | เจ้านายในราชวงศ์มังราย ได้รับการแต่งตั้งจากพระญามังรายมหาราช |
4 | เจ้าสามหมื่นห้วย | 1860 | 1867 | เจ้านายในราชวงศ์มังราย ได้รับการแต่งตั้งจากพระญาไชยสงคราม |
5 | เจ้าอ้ายลก | 1867 | 1885 | เจ้านายในราชวงศ์มังราย ได้รับการแต่งตั้งจากพระญาไชยสงคราม |
6 | เจ้าไส่น่าน | 1885 | 1903 | เจ้านายในราชวงศ์มังราย ได้รับการแต่งตั้งจากพระญาผายู |
— | — | 1903 | 1911 | เป็นเมืองร้างไม่มีผู้ปกครอง |
7 | เจ้าเจ็ดพันตู (เจ้าสัตตพันธุราชา) | 1911 | 1930 | พระโอรสของพระญาผายู ได้รับการแต่งตั้งจากพระญาผายู |
8 | เจ้าอ้ายอ่อน (เจ้ารัตนพันธุราชา) | 1930 | ? | พระโอรสของเจ้าเจ็ดพันตู มาช่วยเชียงใหม่รบกับอยุธยาแล้วถูกจับกุมตัวไป |
9 | เจ้าบุญชู (เจ้าแขนเหล็ก,เจ้าพาหุราชา) | 1933 | 1946 | เจ้านายในราชวงศ์มังราย มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้าเจ็ดพันตู |
10 | เจ้ายี่คำ (พระยาเจ้ามธุระ) | 1946 | 1959 | พระอนุชาของเจ้าบุญชู |
— | — | 1959 | 1962 | ไม่ปรากฏรายละเอียด |
11 | เจ้าสามตนน้องหล้า (พระยากองรัตนเภรี) | 1962 | 1986 | พระอนุชาของเจ้าบุญชู และเจ้ายี่คำ |
12 | เจ้าสามสรี (พระยาสรีสุธัมมจุฬามณีราชา) | 1986 | 1999 | พระโอรสของเจ้าสามตนน้องหล้า |
13 | เจ้าพระยาอ้ายเลาคำทา (จันทบุณณราชา) | 1999 | 2017 | |
14 | เจ้าเลา (พระยาอทิตตราชา) | 2017 | 2062 | พระโอรสของเจ้าพระยาอ้ายเลาคำทา |
15 | เจ้าหน่อแก้ว | 2062 | 2064 | พระอนุชาของเจ้าเลา |
16 | เจ้าสายคอ (พระยาสิวิเชยยราชา) | 2064 | 2066 | พระโอรสของเจ้าเลา |
17 | เจ้าไส่พรม | 2066 | 2066 | พระอนุชาของเจ้าสายคอ ครองเมืองอยู่ได้ประมาณ 1 เดือน |
18 | เจ้าสายเชียงคง | 2066 | 2066 | พระอนุชาของเจ้าสายคอ ครองเมืองได้ไม่กี่วัน |
19 | เจ้าคำหมู่ | 2066 | 2066 | พระอนุชาของเจ้าสายคอ ครองเมืองได้ 1 เดือน 7 วัน |
20 | เจ้าท้าวคำฟู (พระยาแก้วยอดฟ้านรินทะ) | 2066 | 2103 | พระอนุชาของเจ้าสายคอ ส่งคณะทูตเพื่อขอเข้าสวามิภักดิ์กับพระเจ้าบุเรงนอง |
21 | เจ้าแก้วบุญนำ | 2103 | 2139 | พระโอรสของเจ้าคำฟู |
22 | เจ้าคำท้าว (พระยาสุธัมมราชา) | 2139 | 2163 | พระโอรสของเจ้าแก้วบุญนำ |
23 | เจ้าเกี๋ยงคำ (เจ้าขาก,พระยาแก้วผาบนรินทะ) | 2163 | 2181 | พระอนุชาของเจ้าคำท้าว เคยครองเมืองขากมาก่อนที่จะขึ้นปกครองเมืองเชียงตุง |
24 | เจ้าอุ่น (พระยาอาทิตตราชา) | 2181 | 2200 | พระโอรสของเจ้าเกี๋ยงคำ |
— | — | 2200 | 2204 | ไม่ปรากฏรายละเอียด |
25 | เจ้าอินคำ (พระยารัตนพันธุ) | 2204 | 2221 | พระนัดดาของเจ้าแก้วบุญนำ (พระมารดาเป็นพระธิดาของเจ้าแก้วบุญนำ) |
26 | เจ้ารามหมื่น (พระยาสุรินทราชา) | 2221 | 2229 | พระอนุชาของเจ้าอินคำ |
27 | เจ้าแก้วบุญมา (อุเทยยไตรวัจระ) | 2229 | 2246 | พระโอรสของเจ้ารามหมื่น |
28 | เจ้าสาม | ? | ? | |
29 | เจ้าเมืองชืน | 2253 | 2271 | |
30 | เจ้าม่องมยู | 2272 | 2280 | พระอนุชาของเจ้าเมืองชื่น |
31 | เจ้าติตถนันทราชา | 2280 | 2283 | พระอนุชาของเจ้าเมืองชื่น และเจ้าม่องมยู |
32 | เจ้าเมืองสาม (จุฬามณีสิริเมฆภูมินนรินทาเขมาบติราชา) – ครั้งที่ 1 | 2283 | 2309 | พระโอรสของเจ้าติตถนันทราชา |
— | เจ้ากาง | 2309 | 2312 | โอรสของเจ้าม่องมยู ชิงเมืองได้จากเจ้าเมืองสาม |
33 | เจ้าเมืองสาม (จุฬามณีสิริเมฆภูมินนรินทาเขมาบติราชา) – ครั้งที่ 2 | 2312 | 2330 | |
34 | เจ้ากองไท ที่ ๑ (สากยภูมินทนรินทะ) | 2330 | ? | พระโอรสของเจ้าเมืองสาม ถูกเชียงใหม่รุกรานและพาตัวมายังเมืองเชียงใหม่ |
35 | เจ้าดวงแสงมหาขนาน | 2357 | 2400 | พระอนุชาของเจ้ากองไท ที่ ๑ |
36 | เจ้ามหาพรม | 2401 | 2419 | พระโอรสของเจ้าดวงแสงมหาขนาน |
37 | เจ้าฅำแสน | 2420 | 2423 | พระอนุชาของเจ้ามหาพรหม |
38 | เจ้าหม่อมเชียงแขง (เจ้าโชติกองไท) | 2423 | 2429 | พระอนุชาของเจ้าคำแสน เคยครองเมืองเชียงแขง (เมืองสิงห์) มาก่อนที่จะขึ้นปกครองเมืองเชียงตุง |
39 | เจ้าหม่อมเสือ (มหาพยัคฆโชติกองฅำฟู) | 2429 | 2439 | พระโอรสของเจ้าหม่อมเชียงแขง |
— | เจ้านางทิพย์ธิดา | 2439 | 2440 | พระขนิษฐาของเจ้าหม่อมเสือ ว่าราชการแทนเจ้าก้อนแก้วอินแถลงซึ่งเป็นพระอนุชา |
40 | เจ้าหม่อมก้อนแก้วอินแถลง | 2440 | 2478 | พระอนุชาของเจ้าหม่อมเสือ |
— | — | 2478 | 2480 | รอการแต่งตั้งจากสหราชอาณาจักร |
41 | เจ้ากองไท ที่ ๒ (สารกยะภูมินนรินทาเขมาธิบติราชา) | 2480 | 2480 | พระโอรสของเจ้าหม่อมก้อนแก้วอินแถลง ดำรงตำแหน่ง 162 วัน |
— | — | 2480 | 2486 | ไม่มีการแต่งตั้งเพราะมีการดำเนินคดีการปลงพระชนม์เจ้ากองไท แล้วต่อเนื่องถึงการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 |
42 | เจ้าพรหมลือ (สิริสุวรรณราชยสสร) | 2486 | 2488 | พระเชษฐาของเจ้ากองไท ได้รับการแต่งตั้งโดยสยามในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 |
43 | สมเด็จเจ้าฟ้าชายหลวง | 2489 | 2502 | พระโอรสของเจ้ากองไท ที่ ๒ |
เศรษฐกิจ
แม้รัฐเชียงตุงจะเป็นรัฐบนภูเขาสูงสลับซับซ้อน แต่มีราชธานีตั้งอยู่บนแอ่งที่ราบขนาดใหญ่ เป็นพื้นที่ชุมนุมทางการค้าขนาดใหญ่ ทั้งยังเป็นศูนย์กลางทางการเมือง การปกครอง และเศรษฐกิจ ด้วยเหตุนี้เชียงตุงจึงเป็นรัฐเกษตรกรรมผสมผสานกับการค้า ขณะที่เมืองยองซึ่งอยู่ตะวันออกสุด ที่ราบขนาดขนาดกว้าง สามารถพึ่งพาตัวเองได้ ถือเป็นพื้นที่เกษตรกรรมของรัฐเชียงตุง เชียงตุงเป็นศูนย์กลางทางการค้าทางเกวียนจากเมืองต้าหลี่ และสิบสองพันนา ก่อนส่งต่อไปยังย่างกุ้งและมะละแหม่ง ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ทุกปีจะมีคาราวานขนถ่ายสินค้าจากจีน ผ่านเชียงตุงไปเชียงใหม่ ด้วยล่อจำนวน 8,000 ตัว
สินค้าจากเชียงตุงส่วนใหญ่คือใบชา ฝิ่น ส้มจุก และหนังสัตว์
ประชากรศาสตร์
ชาติพันธุ์
รัฐเชียงตุงมีประชากรหลายเชื้อชาติ ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไทใหญ่ แต่ในราชธานีและพื้นที่ตอนกลางของประเทศมีประชากรหลักเป็นชาวไทเขิน บ้างก็ว่าชาวไทเขินคือชาวไทยวนที่อพยพขึ้นมาจากอาณาจักรล้านนาในรัชสมัยพญามังราย ตรงกับคริสต์ศตวรรษที่ 13 ตามหัวเมืองก็มีประชากรชาติอื่น ๆ เข้าไปอาศัย เช่น ฮ่อ พม่า กะเหรี่ยง ไทลื้อ ม้ง ปะหล่อง และ นอกนั้นยังมีชาวไทเหนือซึ่งอพยพมาจากยูนนาน และชาวเขาหลายเผ่าอาศัยอยู่ เช่น มูเซอ และ ส่วนอดีตรัฐเมืองยองทางตะวันออกสุด ซึ่งถูกรวมเข้ากับรัฐเชียงตุงนั้น มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไทลื้อลูกผสมกับชาวไทใหญ่และเขิน
ชาวไทเขินที่เป็นประชากรหลักของราชธานีมักสวมเครื่องแต่งกายสีฉูดฉาด ประกอบด้วยผ้าโพกศีรษะ เสื้อปั๊ด ผ้าคาดเอว แต่ละชิ้นมักไม่ซ้ำสีกัน ในอดีตผู้ชายมักสักด้วยอักขระอาคมต่าง ๆ ในยุคที่ตกอยู่ในอารักขาของสหราชอาณาจักร ชาวเขินมักถูกรวมเข้ากับชาวไทใหญ่
ภาษา
ภาษาไทเขิน มีความคล้ายและใกล้เคียงกับภาษายองและไทลื้อมาก ทั้งยังคล้ายกับภาษาไทยวน ต่างเพียงแค่สำเนียง และการลงท้ายคำ ซึ่งชาวเขินแบ่งออกเป็นสามกลุ่มคือ กลุ่มเขินก่อ-เขินแด้, กลุ่มเขินอู และกลุ่มเขินหวา ส่วนอักษรไทเขินได้รับอิทธิพลอักษรจากล้านนาจากการเผยแผ่ศาสนา โดยรับอักษรธรรมล้านนาและอักษรฝักขามไปพร้อม ๆ กับศาสนา จึงมีลักษณะคล้ายกับอักษรธรรมล้านนา รวมทั้งยังรับวรรณกรรมล้านนาที่แพร่หลายสู่เชียงตุงด้วย
นอกจากนี้ชาวเชียงตุงบางส่วนที่เคยได้รับการเรียนภาษาไทยช่วงที่ไทยเข้าปกครอง สามารถพูดและอ่านภาษาไทยได้ดี
ศาสนา
เดิมประชากรนับถือศาสนาผี ปัจจุบันนับถือศาสนาพุทธ มีวัดอยู่ทุกหมู่บ้าน มีวัฒนธรรมสูง และไม่ชอบการลักขโมย สืบเนื่องคณะสงฆ์จากอาณาจักรล้านนาเดินทางเข้าไปเผยแผ่ศาสนา ดังจะพบว่ามีการสถาปนาวัดนิกายสวนดอก (นิกายรามัญ หรือยางกวง) และนิกายป่าแดง (หรือนิกายสีหล) สู่เชียงตุงตั้งแต่รัชสมัยพญากือนาและพระเจ้าติโลกราชเป็นต้นมา ซึ่งเกิดขึ้นก่อนการเผยแผ่ศาสนาในรัชสมัยพระเจ้าบุเรงนองเสียอีก โดยพญากือนาทรงสนับสนุนให้พระสงฆ์จากเชียงแสนและเชียงตุงศึกษาศาสนาพุทธจากวัดสวนดอกในเชียงใหม่ ต่อมาในรัชกาลพญาสามฝั่งแกนมีการรับคัมภีร์ศาสนาจากลังกาเรียกว่านิกายป่าแดงตามชื่อ ก่อนแพร่หลายไปทั่วล้านนาและเชียงตุง ซึ่งพระยาสิริธัมมจุฬา เจ้าเมืองเชียงตุงสร้างวัดป่าแดงเป็นอรัญวาสีประจำเมืองเชียงตุงเมื่อ พ.ศ. 1989 สองนิกายนี้เคยเกิดสังฆเภทเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 15 จนพระเมืองแก้วทรงไกล่เกลี่ยให้สองนิกายนี้กลับมาปรองดองกัน
ในช่วงหลังนิกายป่าแดงได้รับความนิยมมากกว่านิกายยางกวง ในด้านพระธรรมวินัยและการสวดแบบบาลีที่ถูกต้องแบบเดียวกับการสวดของพระสงฆ์ไทย แต่นิกายยางกวงยังปรากฏอิทธิพลอยู่บ้างตามชุมชนห่างไกล ด้านการสวดมนต์ พระสงฆ์ไทใหญ่และพม่าจะสวดบาลีสำเนียงพม่า ด้วยเหตุนี้พระสงฆ์เขินจึงไม่สังฆกรรมกับพระสงฆ์ไทใหญ่และพม่า แม้ปัจจุบันพระสงฆ์เขินแสดงเจตจำนงรวมเข้ากับนิกายของพม่า กระนั้นคณะสงฆ์เขินยังคงจารีตและระบบสมณศักดิ์เดิมตามอย่างล้านนา และอิงการศึกษาศาสนาอย่างคณะสงฆ์ไทยในปัจจุบัน
คณะสงฆ์เขินมี สมเด็จอาชญาธรรม เป็นประมุขสงฆ์แห่งเมืองเชียงตุงและหัวเมืองทางฟากตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน เปรียบตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชแห่งเชียงตุง แต่หลังคณะสงฆ์เขินรวมเข้ากับนิกายสุธัมมาของพม่าแล้ว ตำแหน่งสมเด็จอาชญาธรรมถูกลดฐานะลงเทียบเจ้าคณะอำเภอเชียงตุงเท่านั้น
อ้างอิง
- เชิงอรรถ
- ความเป็นมาของคำสยาม, ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ, หน้า 395
- เที่ยวเมืองเชียงตุงและแคว้นสาละวิน, หน้า 103
- 30 ชาติในเชียงราย, หน้า 98-99
- Society, Royal Geographical (1857). The Journal of the Royal Geographical Society: JRGS (ภาษาอังกฤษ). Murray.
- ประเสริฐ ณ นคร, ศาสตราจารย์ ดร. (2547). ประมวลข้อมูลเกี่ยวกับจารึกพ่อขุนรามคำแหง (PDF). กรุงเทพฯ: สำนักหอสมุดแห่งชาติ. p. 165.
- รัฐฉาน (เมืองไต) : พลวัติของชาติพันธุ์ในบริบทประวัติศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย, หน้า 71
- เที่ยวเมืองเชียงตุงและแคว้นสาละวิน, หน้า 106
- ประวัติศาสตร์ล้านนา, หน้า 370
- ประวัติศาสตร์ล้านนา, หน้า 372
- ประวัติศาสตร์ล้านนา, หน้า 373
- Donald M. Seekins, Historical Dictionary of Burma (Myanmar), p. 251
- รัฐฉาน (เมืองไต) : พลวัติของชาติพันธุ์ในบริบทประวัติศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย, หน้า 76-77
- รัฐฉาน (เมืองไต) : พลวัติของชาติพันธุ์ในบริบทประวัติศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย, หน้า 82
- ประวัติศาสตร์ล้านนา, หน้า 228
- ประวัติศาสตร์ล้านนา, หน้า 371
- Imperial Gazetteer of India, v. 15, p. 200.
- ประวัติศาสตร์ล้านนา, หน้า 383
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-11-27. สืบค้นเมื่อ 2014-09-08.
- "ประกาส รวมกลันตัน ตรังกานู ไซบุรี ปะลิส เชียงตุง และเมืองพาน เข้าไนราชอาณาจักรไทย" (PDF). ราชกิจจานุเบกสา. 60 (55ก): 1532–1533. 18 ตุลาคม พ.ศ. 2486.
{{}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
((help)) - Shan and Karenni States of Burma
- David Porter Chandler & David Joel Steinberg eds. In Search of Southeast Asia: A Modern History. p. 388
- "WHKMLA : History of the Shan States". 18 May 2010. สืบค้นเมื่อ 21 December 2010.
- Ben Cahoon (2000). "World Statesmen.org: Shan and Karenni States of Burma". สืบค้นเมื่อ 7 July 2014.
- เที่ยวเมืองเชียงตุงและแคว้นสาละวิน, หน้า 104
- ประวัติศาสตร์ล้านนา, หน้า 229
- 30 ชาติในเชียงราย, หน้า 101
- Sir Charles Crosthwaite "The pacification of Burma"
- Saimong Mangrai, Sao (1981). The P̲āḍaeng Chronicle and the Jengtung State Chronicle Translated.Center for South and Southeast Asian Studies, University of Michigan.
- ทวี สว่างปัญญางกูร (2533). พงศาวดารเมืองเชียงตุง: หนังสือแจกเป็นบัตรพลีงานพระราชทานเพลิงศพ เจ้าแม่ทิพวรรณ ณ เชียงตุง. เชียงใหม่.
- ประวัติศาสตร์ล้านนา, หน้า 231
- 30 ชาติในเชียงราย, หน้า 93
- รัฐฉาน (เมืองไต) : พลวัติของชาติพันธุ์ในบริบทประวัติศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย, หน้า 82-83
- 30 ชาติในเชียงราย, หน้า 106
- รัฐฉาน (เมืองไต) : พลวัติของชาติพันธุ์ในบริบทประวัติศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย, หน้า 71
- 30 ชาติในเชียงราย, หน้า 97
- 30 ชาติในเชียงราย, หน้า 94
- เที่ยวเมืองเชียงตุงและแคว้นสาละวิน, หน้า 107
- "ไทเขินบ้านต้นแหนนน้อย". ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม. 31 พฤษภาคม 2555. สืบค้นเมื่อ 31 ธันวาคม 2557.
{{}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
((help))[] - ประวัติศาสตร์ล้านนา, หน้า 230
- บรรจบ พันธุเมธา. ไปสอบคำไทย. กรุงเทพฯ : โครงการเผยแพร่เอกลักษณ์ของไทย กระทรวงศึกษาธิการ, 2522, หน้า 174
- ประวัติศาสตร์ล้านนา, หน้า 162
- สมโชติ อ๋องสกุล (22 กุมภาพันธ์ 2560). "เจ้านางสุคันธา ณ เชียงใหม่ สายใยรักสองราชสำนัก เชียงใหม่-เชียงตุง". ศิลปวัฒนธรรม. สืบค้นเมื่อ 12 กันยายน 2563.
{{}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
((help)) - รัฐฉาน (เมืองไต) : พลวัติของชาติพันธุ์ในบริบทประวัติศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย, หน้า 132
- รัฐฉาน (เมืองไต) : พลวัติของชาติพันธุ์ในบริบทประวัติศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย, หน้า 130
- รัฐฉาน (เมืองไต) : พลวัติของชาติพันธุ์ในบริบทประวัติศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย, หน้า 131
- บรรณานุกรม
- จิตร ภูมิศักดิ์. ความเป็นมาของคำสยาม, ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : ชนนิยม, 2556. 440 หน้า. ISBN
- บ. บุญค้ำ. เที่ยวเมืองเชียงตุงและแคว้นสาละวิน. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : ศยาม, 2555. 392 หน้า. ISBN
- บุญช่วย ศรีสวัสดิ์. 30 ชาติในเชียงราย. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ : สยามปริทัศน์, 2557. 592 หน้า. ISBN
- สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 7, กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2553. 660 หน้า. ISBN
- เสมอชัย พูลสุวรรณ. รัฐฉาน (เมืองไต) : พลวัติของชาติพันธุ์ในบริบทประวัติศาสตร์และการเมืองร่วมสมัย. กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), 2552. 222 หน้า. ISBN
แหล่งข้อมูลอื่น
- วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ รัฐเชียงตุง
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
ekhtrthtungkhburi hrux ekhmrthochtitungburi odyyxwa ekhmrth phma ခ မ ရဋ ဌ ekhmart th bali ekhmrt hrux rthechiyngtung phma က င တ ithihy ၵ င တ င ithythinehnux ᨩ ᨿᨦᨲ ᨦ bangeriyk emuxngekhin ithekhin ᨾ ᨦᨡ ᨶ aelacarukemuxngechiyngtungeriyk emuxngithy epnrthecafaaehnghnunginklumshphnthrthchan pccubnxyuinekhtpraethsphma mirachthanikhuxechiyngtung sungepnekhtemuxngihyephiyngaehngediywephraaepnaexngthirabkhnadihy thngpraethsepnekhtphuekhasungslbsbsxnkhxngethuxkekhaaednlawmithirabkhnadaekhb thuxepnrththimiphunthikhnadihythisudinhmurthchanxun tngxyuthangtawnxxkechiyngitsudkhxngrthchan tngaetaemnasalawincrdaemnaokhng aelathukaeykcakrthchantxnehnuxdwyechiyngtung က င တ ᨩ ᨿᨦᨲ ᨦrthecafakhxngshphnthrthchanraw ph s 1786 ph s 2502rthechiyngtung sifa inaephnthirthchanphunthi ph s 244431 079 tarangkiolemtr 12 000 tarangiml prachakr ph s 2444190 698 khnprawtisastr kxtngodyphuaethnkhxngphyamngrayraw ph s 1786 ecafaxngkhsudthayslaxanacph s 2502kxnhna thdipxanackrlanna rthchan rthechiyngtungmilksnaepnrthchaykhxb oxnxxniptamxiththiphlkhxngrthrxbkhangkhux phma cin aelalanna emuxrthidrthhnungmixanacmakkwa ecaphukhrxngechiyngtungkcaekhaswamiphkdikbfaynn krannechiyngtungyngkhngrksakhwamsmphnthkbechiyngihminthanabanphiemuxngnxngmatlxd aetinchwnghlngechiyngtungswamiphkdikbphma ephraaphmaimminoybaykwadtxnphukhn tangcakfaysyamthimungthalayemuxngechiyngtung ephraaimtxngkarihfayphmaichechiyngtungepnthimnsahrbocmtiemuxngechiyngray hlngkarslarachxanackhxngecacayhlwng mngray emux ph s 2502 rthechiyngtungthukphnwkekhaepnswnhnungkhxngrthchanodysmburn aemcaphyayamtxsuephuxexkrachhlaykhrng aetktkepndinaednswnhnungkhxngphmaipodypriyay aelahlngkarrthpraharkhxngnayphlenwinemux ph s 2505 siththiphiesskhxngecafaithihytang thukykeliklngthnghmdprawtiaerkerim rthechiyngtungekidcakkarkhyayxanackhunthangehnuxkhxngphyamngrayaehngxanackrlanna thisngphrarachnddachuxecanathwmkhunpkkhrxngechiyngtung xnepndinaednkhxngaelaithihy prachakrswnihyinemuxnghlwngepnchawekhin tangcakhwemuxngxun thiswnihyepnithihy tamprawtisastr phyamngraysrangemuxngechiyngtungemux ph s 1810 ephuxepnemuxnghnadanthangthisehnuxkhxnglanna odymismphnthxndicnthungrchsmyphyakuxna swnrchsmyphyaaesnemuxngmacnthungphyasamfngaekn echiyngtungswamiphkdikbcin cnrchsmyphraecatiolkrachkhwamsmphnthrahwangechiyngtungkblannacungefuxngfuxikkhrng ephraamikarephyaephsasnaphuththaelawrrnkrrmlannaipyngechiyngtung rwmsmy karsmrsrahwangecanangsukhnthakbecaxinthnnth n echiyngihm emux ph s 2476 ckrphrrdiechiynhlngkrathasngkhramkbphraecamngrachwng ph s 2303 rthechiyngtungcungswamiphkditxechiyngihmin ph s 2345 aetphayhlngechiyngtungidrbkhwamchwyehluxcakphma cungklbekhasukbpkkhrxngkhxngphmatamedimaelaphnwkrthemuxngyxngipdwyknin ph s 2357 yukhrtnoksinthr inrchsmyphrabathsmedcphranngeklaecaxyuhwepntnma syamminoybaymungaephxanacipyngechiyngtungaelaechiyngrung aetimprasbphlsaerc aemthngsxngemuxngnicayxmswamiphkditxsyamktam hlngkarpkpnekhtaednkbshrachxanackremux ph s 2428 2438 syamepnfayesiyepriyb emuxekhtaednaebngxxkxyangchdecn syammidinaednsudthiaemsay swnemuxngechiyngtung emuxngyxng aelahwemuxngithihyxun khuninxarkkhakhxngshrachxanackr txmashrachxanackryubkhunkbechiyngtung 27 phvsphakhm ph s 2485 trngkbsngkhramolkkhrngthisxng rthechiyngtungthukkxngthphphayphcakpraethsithyrukranaelaekhayudechiyngtungsungepnemuxnghlwng tamkhxtklngrahwangcxmphlaeplk phibulsngkhramkbckrwrrdiyipun eduxnthnwakhmpiediywknkxngthphithyekhayudrthechiyngtungaelasixaephxkhxngrthemuxngpn thisudrthbalithyphnwkdinaednnixyangepnthangkaraelaprakascdtngshrthithyedimaelaxaephxemuxngphanemux 1 singhakhm ph s 2486 phayhlngpraethsithythxntwxxkcakrthechiyngtungaelaemuxngpnemux ph s 2488 aelaykelikkarxangsiththiin ph s 2489 ephuxekharwmkbxngkhkarshprachachatiaelaykelikkarkhwabatrcakkarekharwmkbfayxksa hlngkarslarachxanackhxngecacayhlwng mngray emux ph s 2502 rthechiyngtungthukphnwkekhaepnswnhnungkhxngrthchanodysmburn aemcaphyayamtxsuephuxexkrachhlaykhrng aetktkepndinaednswnhnungkhxngphmaipodypriyay aelahlngkarrthpraharkhxngnayphlenwinemux ph s 2505 siththiphiesskhxngecafaithihytang thukykeliklngthnghmdkarpkkhrxngrthechiyngtungpkkhrxngdwyrabxbsmburnayasiththirachy miecafaepnphupkkhrxng ichphranamwa ekhmathiptiracha echn rtnphuminthanrinthaekhmathiptiracha hrux phyasrisuthrrmkitti siriemkhnrinthr ekhmathiptiracha inyukherimtn echiyngtungmithanaepnpraethsrachkhxngxanackrlanna miecaphukhrxngpkkhrxngtnexngdwycaritthxngthin aelaidrbekiyrtieriykecaphukhrxngechiyngtungwa phrahweca echiyngtungtxngaesdngkhwamcngrkphkditxrachthanithiyingihykwadwykarprakxbphithithuxnaphiphthnstya lannamksnglukhlankstriyhruxkhunnangthiiklchidcakechiyngihmpkkhrxngechiyngtung aetinchwngphuththstwrrsthi 24 epntnma echiyngtungyxmrbxanackhxngphma swnechiyngihmyxmrbxiththiphlkhxngsyam khwamkhdaeyngrahwangsyamaelaphmasngphltxkhwamsmphnthrahwangechiyngihmaelaechiyngtung cnkxihekidsngkhramechiyngtungchwngtnrtnoksinthr ecaphukhrxngrthepnphubriharaelaichxanacetm pkkhrxngprachakrdwykhwamphasuk kxprdwykhwamxarixyangbidakbbutr hakmiphuidkrathaphidkcaichxanaceddkhadinkarprabpram echn hakmiphuidokrthchkdabxxkcakfkephiyngfamuxediywcathukprbihmepnenginhlayrupi epntn thngnirthechiyngtungyngminkhrrthnxy epnbriwarinxanactnexngcanwnhnungechn aela rayphranamaelaraynamphupkkhrxngrthechiyngtung phupkkhrxng erimtn sinsud hmayehtu1 ecamngkhum aela ecamngekhiyn 1790 1796 khunnangchawlwa idrbkaraetngtngcakphrayamngraymharach2 ecanathwm 1796 1807 phraoxrskhxngphrayaichysngkhram idrbkaraetngtngcakphrayamngraymharach3 ecananan 1807 1860 ecanayinrachwngsmngray idrbkaraetngtngcakphrayamngraymharach4 ecasamhmunhwy 1860 1867 ecanayinrachwngsmngray idrbkaraetngtngcakphrayaichysngkhram5 ecaxaylk 1867 1885 ecanayinrachwngsmngray idrbkaraetngtngcakphrayaichysngkhram6 ecaisnan 1885 1903 ecanayinrachwngsmngray idrbkaraetngtngcakphrayaphayu 1903 1911 epnemuxngrangimmiphupkkhrxng7 ecaecdphntu ecasttphnthuracha 1911 1930 phraoxrskhxngphrayaphayu idrbkaraetngtngcakphrayaphayu8 ecaxayxxn ecartnphnthuracha 1930 phraoxrskhxngecaecdphntu machwyechiyngihmrbkbxyuthyaaelwthukcbkumtwip9 ecabuychu ecaaekhnehlk ecaphahuracha 1933 1946 ecanayinrachwngsmngray miskdiepnlukphiluknxngkhxngecaecdphntu10 ecayikha phrayaecamthura 1946 1959 phraxnuchakhxngecabuychu 1959 1962 impraktraylaexiyd11 ecasamtnnxnghla phrayakxngrtnephri 1962 1986 phraxnuchakhxngecabuychu aelaecayikha12 ecasamsri phrayasrisuthmmculamniracha 1986 1999 phraoxrskhxngecasamtnnxnghla13 ecaphrayaxayelakhatha cnthbunnracha 1999 201714 ecaela phrayaxthittracha 2017 2062 phraoxrskhxngecaphrayaxayelakhatha15 ecahnxaekw 2062 2064 phraxnuchakhxngecaela16 ecasaykhx phrayasiwiechyyracha 2064 2066 phraoxrskhxngecaela17 ecaisphrm 2066 2066 phraxnuchakhxngecasaykhx khrxngemuxngxyuidpraman 1 eduxn18 ecasayechiyngkhng 2066 2066 phraxnuchakhxngecasaykhx khrxngemuxngidimkiwn19 ecakhahmu 2066 2066 phraxnuchakhxngecasaykhx khrxngemuxngid 1 eduxn 7 wn20 ecathawkhafu phrayaaekwyxdfanrintha 2066 2103 phraxnuchakhxngecasaykhx sngkhnathutephuxkhxekhaswamiphkdikbphraecabuerngnxng21 ecaaekwbuyna 2103 2139 phraoxrskhxngecakhafu22 ecakhathaw phrayasuthmmracha 2139 2163 phraoxrskhxngecaaekwbuyna23 ecaekiyngkha ecakhak phrayaaekwphabnrintha 2163 2181 phraxnuchakhxngecakhathaw ekhykhrxngemuxngkhakmakxnthicakhunpkkhrxngemuxngechiyngtung24 ecaxun phrayaxathittracha 2181 2200 phraoxrskhxngecaekiyngkha 2200 2204 impraktraylaexiyd25 ecaxinkha phrayartnphnthu 2204 2221 phranddakhxngecaaekwbuyna phramardaepnphrathidakhxngecaaekwbuyna 26 ecaramhmun phrayasurinthracha 2221 2229 phraxnuchakhxngecaxinkha27 ecaaekwbuyma xuethyyitrwcra 2229 2246 phraoxrskhxngecaramhmun28 ecasam 29 ecaemuxngchun 2253 227130 ecamxngmyu 2272 2280 phraxnuchakhxngecaemuxngchun31 ecatitthnnthracha 2280 2283 phraxnuchakhxngecaemuxngchun aelaecamxngmyu32 ecaemuxngsam culamnisiriemkhphuminnrinthaekhmabtiracha khrngthi 1 2283 2309 phraoxrskhxngecatitthnnthracha ecakang 2309 2312 oxrskhxngecamxngmyu chingemuxngidcakecaemuxngsam33 ecaemuxngsam culamnisiriemkhphuminnrinthaekhmabtiracha khrngthi 2 2312 233034 ecakxngith thi 1 sakyphuminthnrintha 2330 phraoxrskhxngecaemuxngsam thukechiyngihmrukranaelaphatwmayngemuxngechiyngihm35 ecadwngaesngmhakhnan 2357 2400 phraxnuchakhxngecakxngith thi 136 ecamhaphrm 2401 2419 phraoxrskhxngecadwngaesngmhakhnan37 ecaKhaaesn 2420 2423 phraxnuchakhxngecamhaphrhm38 ecahmxmechiyngaekhng ecaochtikxngith 2423 2429 phraxnuchakhxngecakhaaesn ekhykhrxngemuxngechiyngaekhng emuxngsingh makxnthicakhunpkkhrxngemuxngechiyngtung39 ecahmxmesux mhaphykhkhochtikxngKhafu 2429 2439 phraoxrskhxngecahmxmechiyngaekhng ecanangthiphythida 2439 2440 phrakhnisthakhxngecahmxmesux warachkaraethnecakxnaekwxinaethlngsungepnphraxnucha40 ecahmxmkxnaekwxinaethlng 2440 2478 phraxnuchakhxngecahmxmesux 2478 2480 rxkaraetngtngcakshrachxanackr41 ecakxngith thi 2 sarkyaphuminnrinthaekhmathibtiracha 2480 2480 phraoxrskhxngecahmxmkxnaekwxinaethlng darngtaaehnng 162 wn 2480 2486 immikaraetngtngephraamikardaeninkhdikarplngphrachnmecakxngith aelwtxenuxngthungkarekidsngkhramolkkhrngthi 242 ecaphrhmlux sirisuwrrnrachyssr 2486 2488 phraechsthakhxngecakxngith idrbkaraetngtngodysyaminchwngsngkhramolkkhrngthi 243 smedcecafachayhlwng 2489 2502 phraoxrskhxngecakxngith thi 2esrsthkicaemrthechiyngtungcaepnrthbnphuekhasungslbsbsxn aetmirachthanitngxyubnaexngthirabkhnadihy epnphunthichumnumthangkarkhakhnadihy thngyngepnsunyklangthangkaremuxng karpkkhrxng aelaesrsthkic dwyehtuniechiyngtungcungepnrthekstrkrrmphsmphsankbkarkha khnathiemuxngyxngsungxyutawnxxksud thirabkhnadkhnadkwang samarthphungphatwexngid thuxepnphunthiekstrkrrmkhxngrthechiyngtung echiyngtungepnsunyklangthangkarkhathangekwiyncakemuxngtahli aelasibsxngphnna kxnsngtxipyngyangkungaelamalaaehmng chwngkhriststwrrsthi 19 thukpicamikharawankhnthaysinkhacakcin phanechiyngtungipechiyngihm dwylxcanwn 8 000 tw sinkhacakechiyngtungswnihykhuxibcha fin smcuk aelahnngstwprachakrsastrchatiphnthu ecanangthiphythidaphrxmkharachbripharkbekhruxngaetngkayphunemuxng rthechiyngtungmiprachakrhlayechuxchati prachakrswnihyepnchawithihy aetinrachthaniaelaphunthitxnklangkhxngpraethsmiprachakrhlkepnchawithekhin bangkwachawithekhinkhuxchawithywnthixphyphkhunmacakxanackrlannainrchsmyphyamngray trngkbkhriststwrrsthi 13 tamhwemuxngkmiprachakrchatixun ekhaipxasy echn hx phma kaehriyng ithlux mng pahlxng aela nxknnyngmichawithehnuxsungxphyphmacakyunnan aelachawekhahlayephaxasyxyu echn muesx aela swnxditrthemuxngyxngthangtawnxxksud sungthukrwmekhakbrthechiyngtungnn miprachakrswnihyepnchawithluxlukphsmkbchawithihyaelaekhin chawithekhinthiepnprachakrhlkkhxngrachthanimkswmekhruxngaetngkaysichudchad prakxbdwyphaophksirsa esuxpd phakhadexw aetlachinmkimsasikn inxditphuchaymkskdwyxkkhraxakhmtang inyukhthitkxyuinxarkkhakhxngshrachxanackr chawekhinmkthukrwmekhakbchawithihy phasa phasaithekhin mikhwamkhlayaelaiklekhiyngkbphasayxngaelaithluxmak thngyngkhlaykbphasaithywn tangephiyngaekhsaeniyng aelakarlngthaykha sungchawekhinaebngxxkepnsamklumkhux klumekhinkx ekhinaed klumekhinxu aelaklumekhinhwa swnxksrithekhinidrbxiththiphlxksrcaklannacakkarephyaephsasna odyrbxksrthrrmlannaaelaxksrfkkhamipphrxm kbsasna cungmilksnakhlaykbxksrthrrmlanna rwmthngyngrbwrrnkrrmlannathiaephrhlaysuechiyngtungdwy nxkcaknichawechiyngtungbangswnthiekhyidrbkareriynphasaithychwngthiithyekhapkkhrxng samarthphudaelaxanphasaithyiddi sasna edimprachakrnbthuxsasnaphi pccubnnbthuxsasnaphuthth miwdxyuthukhmuban miwthnthrrmsung aelaimchxbkarlkkhomy subenuxngkhnasngkhcakxanackrlannaedinthangekhaipephyaephsasna dngcaphbwamikarsthapnawdnikayswndxk nikayramy hruxyangkwng aelanikaypaaedng hruxnikaysihl suechiyngtungtngaetrchsmyphyakuxnaaelaphraecatiolkrachepntnma sungekidkhunkxnkarephyaephsasnainrchsmyphraecabuerngnxngesiyxik odyphyakuxnathrngsnbsnunihphrasngkhcakechiyngaesnaelaechiyngtungsuksasasnaphuththcakwdswndxkinechiyngihm txmainrchkalphyasamfngaeknmikarrbkhmphirsasnacaklngkaeriykwanikaypaaedngtamchux kxnaephrhlayipthwlannaaelaechiyngtung sungphrayasirithmmcula ecaemuxngechiyngtungsrangwdpaaedngepnxrywasipracaemuxngechiyngtungemux ph s 1989 sxngnikayniekhyekidsngkhephthemuxkhriststwrrsthi 15 cnphraemuxngaekwthrngiklekliyihsxngnikayniklbmaprxngdxngkn inchwnghlngnikaypaaedngidrbkhwamniymmakkwanikayyangkwng indanphrathrrmwinyaelakarswdaebbbalithithuktxngaebbediywkbkarswdkhxngphrasngkhithy aetnikayyangkwngyngpraktxiththiphlxyubangtamchumchnhangikl dankarswdmnt phrasngkhithihyaelaphmacaswdbalisaeniyngphma dwyehtuniphrasngkhekhincungimsngkhkrrmkbphrasngkhithihyaelaphma aempccubnphrasngkhekhinaesdngectcanngrwmekhakbnikaykhxngphma krannkhnasngkhekhinyngkhngcaritaelarabbsmnskdiedimtamxyanglanna aelaxingkarsuksasasnaxyangkhnasngkhithyinpccubn khnasngkhekhinmi smedcxachyathrrm epnpramukhsngkhaehngemuxngechiyngtungaelahwemuxngthangfaktawnxxkkhxngaemnasalawin epriybtaaehnngsmedcphrasngkhrachaehngechiyngtung aethlngkhnasngkhekhinrwmekhakbnikaysuthmmakhxngphmaaelw taaehnngsmedcxachyathrrmthukldthanalngethiybecakhnaxaephxechiyngtungethannxangxingechingxrrthkhwamepnmakhxngkhasyam ithy law aelakhxm aelalksnathangsngkhmkhxngchuxchnchati hna 395 ethiywemuxngechiyngtungaelaaekhwnsalawin hna 103 30 chatiinechiyngray hna 98 99 Society Royal Geographical 1857 The Journal of the Royal Geographical Society JRGS phasaxngkvs Murray praesrith n nkhr sastracary dr 2547 pramwlkhxmulekiywkbcarukphxkhunramkhaaehng PDF krungethph sankhxsmudaehngchati p 165 rthchan emuxngit phlwtikhxngchatiphnthuinbribthprawtisastraelakaremuxngrwmsmy hna 71 ethiywemuxngechiyngtungaelaaekhwnsalawin hna 106 prawtisastrlanna hna 370 prawtisastrlanna hna 372 prawtisastrlanna hna 373 Donald M Seekins Historical Dictionary of Burma Myanmar p 251 rthchan emuxngit phlwtikhxngchatiphnthuinbribthprawtisastraelakaremuxngrwmsmy hna 76 77 rthchan emuxngit phlwtikhxngchatiphnthuinbribthprawtisastraelakaremuxngrwmsmy hna 82 prawtisastrlanna hna 228 prawtisastrlanna hna 371 Imperial Gazetteer of India v 15 p 200 prawtisastrlanna hna 383 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2013 11 27 subkhnemux 2014 09 08 prakas rwmklntn trngkanu isburi palis echiyngtung aelaemuxngphan ekhainrachxanackrithy PDF rachkiccanuebksa 60 55k 1532 1533 18 tulakhm ph s 2486 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a trwcsxbkhawnthiin date help Shan and Karenni States of Burma David Porter Chandler amp David Joel Steinberg eds In Search of Southeast Asia A Modern History p 388 WHKMLA History of the Shan States 18 May 2010 subkhnemux 21 December 2010 Ben Cahoon 2000 World Statesmen org Shan and Karenni States of Burma subkhnemux 7 July 2014 ethiywemuxngechiyngtungaelaaekhwnsalawin hna 104 prawtisastrlanna hna 229 30 chatiinechiyngray hna 101 Sir Charles Crosthwaite The pacification of Burma Saimong Mangrai Sao 1981 The P aḍaeng Chronicle and the Jengtung State Chronicle Translated Center for South and Southeast Asian Studies University of Michigan thwi swangpyyangkur 2533 phngsawdaremuxngechiyngtung hnngsuxaeckepnbtrphlinganphrarachthanephlingsph ecaaemthiphwrrn n echiyngtung echiyngihm prawtisastrlanna hna 231 30 chatiinechiyngray hna 93 rthchan emuxngit phlwtikhxngchatiphnthuinbribthprawtisastraelakaremuxngrwmsmy hna 82 83 30 chatiinechiyngray hna 106 rthchan emuxngit phlwtikhxngchatiphnthuinbribthprawtisastraelakaremuxngrwmsmy hna 71 30 chatiinechiyngray hna 97 30 chatiinechiyngray hna 94 ethiywemuxngechiyngtungaelaaekhwnsalawin hna 107 ithekhinbantnaehnnnxy sunykhxmulklangthangwthnthrrm 31 phvsphakhm 2555 subkhnemux 31 thnwakhm 2557 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite web title aemaebb Cite web cite web a trwcsxbkhawnthiin accessdate help lingkesiy prawtisastrlanna hna 230 brrcb phnthuemtha ipsxbkhaithy krungethph okhrngkarephyaephrexklksnkhxngithy krathrwngsuksathikar 2522 hna 174 prawtisastrlanna hna 162 smochti xxngskul 22 kumphaphnth 2560 ecanangsukhntha n echiyngihm sayiyrksxngrachsank echiyngihm echiyngtung silpwthnthrrm subkhnemux 12 knyayn 2563 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite web title aemaebb Cite web cite web a trwcsxbkhawnthiin accessdate help rthchan emuxngit phlwtikhxngchatiphnthuinbribthprawtisastraelakaremuxngrwmsmy hna 132 rthchan emuxngit phlwtikhxngchatiphnthuinbribthprawtisastraelakaremuxngrwmsmy hna 130 rthchan emuxngit phlwtikhxngchatiphnthuinbribthprawtisastraelakaremuxngrwmsmy hna 131 brrnanukrmcitr phumiskdi khwamepnmakhxngkhasyam ithy law aelakhxm aelalksnathangsngkhmkhxngchuxchnchati phimphkhrngthi 6 krungethph chnniym 2556 440 hna ISBN 978 974 9747 21 6 b buykha ethiywemuxngechiyngtungaelaaekhwnsalawin phimphkhrngthi 2 krungethph syam 2555 392 hna ISBN 978 974 315 802 5 buychwy sriswsdi 30 chatiinechiyngray phimphkhrngthi 8 krungethph syamprithsn 2557 592 hna ISBN 978 974 315 871 1 srswdi xxngskul prawtisastrlanna phimphkhrngthi 7 krungethph xmrinthr 2553 660 hna ISBN 978 974 8132 15 0 esmxchy phulsuwrrn rthchan emuxngit phlwtikhxngchatiphnthuinbribthprawtisastraelakaremuxngrwmsmy krungethph sunymanusywithyasirinthr xngkhkarmhachn 2552 222 hna ISBN 9789746605694aehlngkhxmulxunwikimiediykhxmmxnsmisuxekiywkb rthechiyngtung