บทความนี้ได้รับแจ้งให้ปรับปรุงหลายข้อ กรุณาช่วยปรับปรุงบทความ หรืออภิปรายปัญหาที่
|
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
ฝรั่งเศสเป็นดินแดนที่เคยอยู่ใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมันมาก่อน โดยรู้จักกันในชื่อของชนเผ่า หรือแคว้นกอล ซึ่งเป็นกลุ่มชนเผ่าขนาดใหญ่ที่พูด ในช่วงท้ายก่อนที่จักรวรรดิโรมันจะล่มสลายลง ดินแดนกอลถูกรุกรานจากทั้งการโจมตีของกลุ่มอนารยชนและการอพยพของกลุ่มคนเร่ร่อน โดยเฉพาะชาวแฟรงก์เชื้อสายเจอร์มานิค พระมหากษัตริย์แฟรงก์นามว่า โคลวิสที่ 1 ได้ทรงรวบรวมดินแดนส่วนมากของกอลภายใต้การปกครองของพระองค์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 นับเป็นจุดเริ่มต้นของอิทธิพลชาวแฟรงก์ในภูมิภาคนี้ที่ดำเนินต่อไปอีกหลายร้อยปี อำนาจของแฟรงก์ดำเนินมาถึงจุดสูงสุดในช่วงของพระเจ้าชาร์เลอมาญ ราชอาณาจักรฝรั่งเศสยุคกลางก็ได้ถือกำเนิดขึ้นจากการเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งทางทิศตะวันตกของจักรวรรดิการอแล็งเฌียงของชาร์เลอมาญ ซึ่งรู้จักกันในนาม ฟรังเกียตะวันตก และเพิ่มพูนอิทธิพลของตนขึ้นเรื่อยมาภายใต้การปกครองของตระกูลกาแปซึ่งก่อตั้งโดยอูก กาแปในปี ค.ศ. 987
วิกฤตการณ์การสืบราชบัลลังก์เกิดขึ้นเมื่อพระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์กาเปเซียงสวรรคตลงโดยไร้ซึ่งรัชทายาทในปี ค.ศ. 1337 นำไปสู่เหตุการณ์ความขัดแย้งหลายครั้งที่รู้จักกันในนาม สงครามร้อยปี ระหว่างราชวงศ์วาลัวกับราชวงศ์แพลนแทเจเนต ความขัดแย้งสิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของราชวงศ์วาลัวในปี ค.ศ. 1453 อันเป็นการรวบรัดอำนาจของ อ็องเซียงเรฌีม ในฐานะระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบรวมศูนย์อำนาจอย่างยิ่งยวด ตลอดช่วงคริสต์ศตวรรษถัดมา ฝรั่งเศสก็เข้าสู่สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาและการปฏิรูปศาสนาฝ่ายโปรเตสแตนต์ เช่นเดียวกับการเยียวยาความขัดแย้งทางศาสนาและสงครามกับขุมอำนาจอื่นๆ จักรวรรดิอาณานิคมฝรั่งเศสที่กำลังเติบโตก็ถูกสถาปนาขึ้นในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 16 นี้เอง
ในช่วงท้ายของคริสต์ศตวรรษที่ 18 ระบอบกษัตริย์และเจ้าขุนมูลนายถูกล้มล้างในการปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งเปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสและประวัติศาสตร์โลกไปตลอดกาล ประเทศฝรั่งเศสถูกปกครองโดยระบอบสาธารณรัฐเป็นระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยระบอบจักรวรรดิเมื่อนโปเลียน โบนาปาร์ต ประกาศตนเป็นจักรพรรดิ ตามมาด้วยความพ่ายแพ้ของนโปเลียนในสงครามนโปเลียน ฝรั่งเศสจึงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองหลายครั้ง เช่น การฟื้นฟูระบอบกษัตริย์, การสถาปนาระบอบสาธารณรัฐครั้งที่สองช่วงสั้นๆ ตามมาด้วยจักรวรรดิที่สอง จนไปสิ้นสุดลงที่สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่สามซึ่งสถาปนาขึ้นในปี ค.ศ. 1870
ฝรั่งเศสหนึ่งในไตรภาคีระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ร่วมต่อสู้เคียงข้างสหราชอาณาจักรและรัสเซีย และในฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งต่อสู้กับฝ่ายมหาอำนาจกลาง
ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ถูกยึดครองโดยนาซีเยอรมนีในปี ค.ศ. 1940 สาธารณรัฐที่สามจึงล่มสลายลง พื้นที่ส่วนมากของประเทศถูกควบคุมโดยตรงจากฝ่ายอักษะ ในขณะที่ทางตอนใต้ถูกควบคุมโดยกองกำลังผสมรัฐบาลวิชี ตามมาด้วยในปี ค.ศ. 1944 สาธารณรัฐที่สี่จึงถูกสถาปนาขึ้น
สาธารณรัฐที่สี่ถูกสืบทอดโดยสาธารณรัฐที่ห้าในปี ค.ศ. 1958 ซึ่งเป็นรัฐบาลยุคปัจจุบัน ต่อมามีการทำสงครามเรียกร้องเอกราช ทำให้อาณานิคมจักรวรรดิฝรั่งเศสส่วนมากกลายเป็นรัฐเอกราช ในขณะที่บางอาณานิคมยังอยู่ภายใต้ดูแลโดยสำนักงานโพ้นทะเลของรัฐบาลฝรั่งเศสและบางแห่งกลายมาเป็นอาณานิคมโพ้นทะเล ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ฝรั่งเศสเป็นสมาชิกผู้นำในสหประชาชาติ, สหภาพยุโรป และองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ รวมถึงยังเป็นประเทศผู้นำทางด้านเศรษฐกิจ, วัฒนธรรม, การทหาร และการเมืองในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 21
ประวัติศาสตร์ยุคโบราณ
ยุคก่อนประวัติศาสตร์
เครื่องมือหินบ่งบอกว่ามนุษย์ยุคแรกอาศัยอยู่ในฝรั่งเศสอย่างน้อยก็เมื่อ 1.57 ล้านปีก่อน มนุษย์นีแอนเดอร์ทาลแพร่กระจายไปทั่วยุโรปตั้งแต่ราว 4 แสนปีก่อนคริสตกาล แต่มาสูญพันธ์ไปราว 30,000 ปีก่อน ส่วนมนุษย์ยุคปัจจุบันปรากฏตัวครั้งแรกในบริเวณนี้เมื่อ 43,000 ปีก่อน การจดบันทึกถึง ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส ปรากฏครั้งแรกในยุคเหล็ก ที่ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบันของประเทศฝรั่งเศสเคยเป็นภูมิภาคที่ชาวโรมันรู้จักกันในนาม กอล นักเขียนชาวโรมันบันทึกไว้ว่ามีชนเผ่าทางเชื้อชาติ-ภาษาอยู่สามเผ่าหลักในดินแดนนี้ คือ กอล, และ ชาวกอลมีจำนวนประชากรและการรวมกลุ่มกันมากที่สุด เป็นชาวเคลต์ที่พูดภาษากอลลิช
ในช่วงศตวรรษที่หนึ่งก่อนคริสตกาล ชาวกรีก, ชาวโรมัน และชาวคาร์เธจ ก่อตั้งอาณานิคมบนตลอดแนวชายฝั่งและบนเกาะต่างๆ ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสาธารณรัฐโรมันผนวกเอาตอนใต้ของกอลเป็นมณฑลหนึ่งของตนนามว่า แกลเลียนาร์โบเนนซิส ในศตวรรษที่สองก่อนคริสตกาล และกองกำลังโรมันภายใต้การนำของจูเลียส ซีซาร์ ได้ยึดเอาส่วนที่เหลือของกอลมาได้ในสงครามกัลลิกช่วง 58 - 51 ปีก่อนคริสตกาล ต่อมาในภายหลังวัฒนธรรมกาลโล-โรมันจึงถือกำเนิดขึ้นและชาวกอลก็ถูกผนวกเข้ากับจักรวรรดิโรมันมากยิ่งขึ้น
แคว้นกอล
ชาวเคลท์ (Celts) อาศัยอยู่ในฝรั่งเศสและดินแดนรอบข้างมานานตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งชาวโรมันเรียกชาวเคลท์ว่า กอล และเรียกดินแดนของพวกเขาว่าแคว้นกอล เมืองต่างๆในฝรั่งเศสปัจจุบันก็มีรากฐานมาจากชาวโกล เช่น เมืองลูเทเทีย (ปารีส) เบอร์ดิกาลา (บอร์โดซ์) โทโลซา (ตูลูส) ส่วนนักเดินเรือชาวกรีกก็ตั้งอาณานิคมที่มาซซาเลีย () และนิคาเอีย (นีซ) 390 ปีก่อนค.ศ. ผู้นำเผ่าโกลนำทัพบุกทำลายกรุงโรม ทำให้ชาวโรมันมีความแค้นฝังใจกับชาวโกล
58 ปีก่อนค.ศ. จูเลียส ซีซาร์ ได้เป็นกงสุลแห่งโกล (ผู้ครองแคว้นกอล) จึงทำทัพเข้าพิชิตแคว้นกอลทั้งหมดได้เมื่อ 52 ปีก่อน ค.ศ. ใน ซึ่งผู้นำเผ่ากอล (Vercingetorix) พ่ายแพ้และยอมจำนน แคว้นกอลและชาวกอลจึงตกอยู่ภายใต้การปกครองของ
ชาวโรมันแบ่งแคว้นกอลออกเป็น 5 แคว้น คือ , แกลเลียนาร์โบเนนซิส, แกลเลียแอควิเทเนีย, และ แกลเลียเบลจิกา ชาวโรมันกวาดต้อนชาวเคลท์กระจัดกระจายไปทั่วจักรวรรดิโรมันเพื่อป้องกันการรวมตัวต่อต้าน จนวัฒนธรรมโรมันเข้าแทนที่วัฒนธรรมเคลท์ในแคว้นกอล ผสมผสานรวมกันเป็น (Gallo-Roman Culture) ในปี ค.ศ. 260 ขณะที่จักรวรรดิโรมันกำลังวิกฤต แคว้นกอลได้แตกแยกออกมาเป็น (Gallic Empire) แต่ก็ถูกจักรพรรดิออเรเลียนผนวกอีกครั้งใน ค.ศ. 274
เมื่ออำนาจของจักรวรรดิโรมันเสื่อมลง ชนเผ่าเยอรมันก็สามารถรุกรานเข้าแคว้นโกลได้ เริ่มด้วยชาวแวนดัล (Vandals) ใน ค.ศ. 406 และชาววิซิกอธ ได้รับแคว้นอากีแตนใน ค.ศ. 410 ใน ค.ศ. 451 อัตติลาเดอะฮั่นพยายามจะบุกโกลแต่ชาวโรมันร่วมมือกับชาววิสิโกธสามารถต้านทานไว้ได้
ชนแฟรงค์
เมื่อจักรวรรดิโรมันล่มสลาย สยาคเรียส (Syagrius) ปกครองแคว้น โซอิสสัน (Soissons) แต่ถูกโคลวิส (Clovis) ผู้นำเผ่าซาเลียน แฟรงก์ (Salian Franks ยังไม่ออกเสียงแบบฝรั่งเศส) ข้ามแม่น้ำไรน์มายึดอาณาจักรของซยากริอุสในปี ค.ศ. 486
ในปี ค.ศ. 496 โคลวิสเข้ารีตคริสต์ศาสนาเพื่อให้สามารถปกครองประชาชนที่เป็นคริสเตียนได้ ใน ค.ศ. 507 โคลวิสชนะ กษัตริย์ของวิชิกอธ และยึดแคว้นอากีแตนขับไล่ชาววิชิกอธไปสเปน โคลวิสจึงเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เมรอแว็งเฌียง (Merovingian) มีศูนย์กลางที่ปารีส แต่ประเพญีของชาวแฟรงก์จะต้องแบ่งสมบัติให้บุตรเท่ากัน ดังนั้นอาณาจักรแฟรงก์จึงแตกเป็นสี่แคว้นคือ เนิสเตรีย (ปารีสศูนย์กลาง) ออสตราเซีย (แรงส์ศูนย์กลาง) เบอร์กันดี และอากีแตน
(Pepin of Herstal) อัครเสนาบดี (Mayor of the Palace) แคว้นออสตราเซีย ยึดแคว้นเนิสเตรีย ทำให้ตระกูลเฮอร์ตาลในตำแหน่งอัครเสนาบดีขึ้นมามีอำนาจแทนราชวงศ์เมรอแว็งเฌียง ในปี ค.ศ. 711 ทัพของจักรวรรดิกาหลิปอุมัยยะฮ์ทำลายอาณาจักรวิชิกอธ และกลายเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ ในปี ค.ศ. 732 (Charles Martel) ลูกชายของเปแปง ขับไล่การรุกรานของชาวมุสลิมได้ใน ในปี ค.ศ. 751 (Pepin the Short) ลูกชายของชารส์ มาร์เตล ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ชาวแฟรงก์และตั้งราชวงศ์การอแล็งเฌียง (Carolingian)
พระโอรสของเปแปงผู้เตี้ยสั้น คือ ชาร์เลอมาญรวบรวมอาณาจักรแฟรงก์ที่แตกแยกอีกครั้งได้ในปี ค.ศ. 771 แผ่ขยายอิทธิพลของชนแฟรงก์ไปสูงสุด โดยบุกยึดอิตาลีจะกลุ่มลอมบาร์ด (ค.ศ. 774) บุกยึดแคว้นบาวาเรีย (ค.ศ. 788) ต้านการรุกรานของชาว (ค.ศ. 796) ยึดบาร์เซโลนาจากรัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ในสเปน (ค.ศ. 801) และปราบปรามชาวแซ็กซอน (ค.ศ. 804)
ในปี ค.ศ. 800 ได้สวมมงกุฎ (ของลอมบาร์ด) ให้ชาร์เลอมาญเป็นจักรพรรดิโรมัน เป็นการเริ่มต้นของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ แต่อาณาจักรคาโรแลงเจียนก็แตกแยกเมื่อหลานทั้งสามของชาร์เลอมาญ คือ (Charles the Bald) หลุยส์เยอรมัน (Louis the German) และโลแธร์ที่ 1 (Lothair I) ขัดแย้งกันแย่งชิงราชสมบัติ ในปี ค.ศ. 843 ได้แบ่งอาณาจักรเป็นสามส่วน ส่วนของชาลส์ผู้ศีรษะล้าน คือาณาจักรแฟรงก์ตะวันตก จะกลายเป็นประเทศฝรั่งเศสในปัจจุบัน
เมื่อาณาจักรแตกแยกราชวงศ์คาโรแลงเจียนเสื่อมอำนาจ ทำให้ชาวไวกิงสามารถปล้นสะดมเมืองท่าต่างๆ และได้แคว้นนอร์ม็องดีไปครอง บ้านเมืองไม่มีขื่อแป ทำให้เคานต์แห่งปารีสกุมอำนาจแทนที่ราชวงศ์คาโรแลงเจียน แต่ก็เฉพาะในกรุงปารีสเท่านั้น ตามท้องที่ต่างๆ เมื่อพบว่ากษัตริย์ไม่สามารถปกป้องพวกตนจากการคุกคามของไวกิ้งได้ จึงหันไปพึ่งขุนนางท้องถิ่น เป็นเหตุให้ระบบศักดินาสวามิภักดิ์เรืองอำนาจ บรรดาเจ้าครองแคว้นพากันตั้งตนเป็นใหญ่ โดยที่เคานต์แห่งปารีส ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของราชวงศ์กาเปเซียง (Capetian) มีอำนาจอยู่แค่บริเวณปารีสเท่านั้น
สมัยกลาง
ในค.ศ. 987 ราชวงศ์คาโรแลงเจียนหมดสิ้นไปในอาณาจักรแฟรงก์ตะวันตก อูก กาแป (Hugh Capet) เคานต์แห่งปารีส ได้ขึ้นครองราชย์นับเป็นปฐมกษัตริย์ฝรั่งเศส ราชวงศ์กาเปเชียง แต่อาณาจักรที่พระเจ้าอุคต้องปกครองนั้นเต็มไปด้วยความแตกแยกบรรดาขุนนางต่างๆทำสงครามกับเองเพื่อแย่งชิงดินแดนหรือแม้แต่กบฏต่อพระเจ้าอุคที่ปารีส อำนาจของกษัตริย์ฝรั่งเศสนั้นจึงน้อยนิดแทบทำอะไรไม่ได้ มีอำนาจเฉพาะบริเวณปารีสเท่านั้น
ในค.ศ. 1023 โรแบร์ที่ 2 พระโอรสของอุค กาเป ได้เจรจาสงบศึกกับ (อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออก) ว่าจะไม่อ้างสิทธิของกันและกันอีก พระเจ้าโรแบร์ที่ 2 ทรงได้รับสมยาว่า ผู้เคร่งศาสนา เพราะทรงสร้างสันติภาพในหมู่ขุนนาง ใช้วิธีทางทูตมากกว่าสงครามเรียกว่า The Peace and Truce of God และยังทรงให้มีการปรับปรุงวินัยของบาทหลวงเสียใหม่ตามหลักการของนิกายเบเนดิกทีน เรียกว่า การปฏิรูปกลูนีอัก (Cluniac Reforms) อองรีที่ 1 พระโอรสของโรแบร์ที่ 2 อำนาจของพระองค์ถูกลดอย่างมากเพราะขุนนางต่างๆแผ่ขยายดินแดน โดยเฉพาะดยุควิลเลียมแห่งนอร์ม็องดี บุกยึดอาณาจักรอังกฤษในค.ศ. 1066 และทางใต้ดยุคแห่งอากีแตนได้ดินแดนในฝรั่งเศสไปครึ่งประเทศ
จนในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 6 อำนาจของกษัตริย์ฝรั่งเศสจึงเริ่มจะแผ่ขยาย เพราะบรรดาขุนนางต่างใช้กำลังไปมากในสงครามครูเสด ทำให้เริ่มจะอ่อนแอ พระเจ้าหลุยส์ที่6 ทรงปราบปรามบารอนโจร (Robber Barons) ที่คอยปล้มสะดมเรือต่างๆและมีอำนาจในปารีส ทรงทุบทำลายปราสาทของบารอนเหล่านี้ และทรงดำเนินนโยบายที่แข็งกร้าวกับฝ่ายขุนนาง ขุนนางคนใดไม่เชื่อฟังจะถูกยึดที่ดินหรือส่งกำลังไปปราบปราม
ในค.ศ. 1137 พระเจ้าหลุยส์ที่ 7 ทรงอภิเษกสมรสกับอาลีเยนอร์แห่งอากีแตน (Eleanor of Aquitaine) บุตรสาวของดยุคแห่งอากีแตนอันกว้างใหญ่ ทำให้ฝรั่งเศสมีสิทธิจะยึดแคว้นใหญ่นี้ได้ ในค.ศ. 1154 เฮนรี พลันตาจาเนต (Henry Plantaganet) ดยุคแห่งอังชู ได้เป็นพระเจ้าเฮนรีที่ 2 แห่งอังกฤษ พระเจ้าหลุยส์ทรงเข้าร่วมสงครามครูเสดครั้งที่ 2ทำให้ทรงมีความขัดแย้งกับราชินีเอเลเนอร์ ทำให้มีการหย่าขาดจากกันในค.ศ. 1152 เอเลเนอร์แห่งอากีแตนต่อมาอภิเษกกับเฮนรีที่ 2 แห่งอังกฤษ ประจวบเหมาะกับที่ดยุคแห่งอากีแตนสิ้นชีวิต ทำให้อังกฤษได้แคว้นอากีแตนอันกว้างใหญ่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสไปครอง กลายเป็น (Angevin Empire) ผลคืออังกฤษเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่หลวงต่อกษัตริย์ฝรั่งเศส
ด้วยสงครามที่หนักหน่วงทำให้ทรงสามารถยึดแคว้นอากีแตนจากพระเจ้าจอห์นแห่งอังกฤษจนเกือบหมดได้ (เหลือเพียงกาสโคนี) ในค.ศ. 1214 ทำให้ที่ดินของฝรั่งเศสแผ่ขยายไปกว้างกว่าเดิมมาก และยังทรงตั้งมหาวิทยาลัยปารีสอีกด้วย นักบุญหลุยส์ (พระเจ้าหลุยส์ที่ 9) ก็ทรงขับเขี่ยวกับอังกฤษต่อไปอีก และทำให้ทรงยึดแคว้นตูลูสได้ ทำให้ฝรั่งเศสเป็น "ประเทศ" ขึ้นมาได้ และกลายเป็นมหาอำนาจแห่งยุโรปในสมัยกลาง (Philip the Fair) ทรงทำสัญญาพันธมิตรเก่า (Auld Alliance) กับสกอตแลนด์เพื่อต่อต้านอังกฤษ ทรงขับไล่คณะอัศวินเทมพลาร์ และตั้งสภาปาเลอร์มองต์ อำนาจของฝรั่งเศสมีมากมายเสียจนสามารถดึงพระสันตปาปามาประทับที่(Avignon) ได้ในค.ศ. 1305 สร้างความไม่พอใจไปทั่วยุโรป ด้วยเกรงว่าฝรั่งเศสจะครอบงำองค์พระสันตปาปา
ในค.ศ. 1324 พระเจ้าชาลส์ที่ 4 สิ้นพระชนม์โดยไม่มีทายาท ทำให้ราชวงศ์กาเปเชียงสายตรงต้องสิ้นสุดลง พระเจ้าเอ็ดวาร์ดที่ 3 แห่งอังกฤษเป็นพระนัดดาของพระเจ้าชาลส์ที่ 4 เป็นพระญาติชายที่ใกล้ชิดที่สุดทางสายพระโลหิต จึงเป็นผู้มีสิทธิจะครองบัลลังก์มากที่สุด แต่ขุนนางฝรั่งเศส ไม่ต้องการให้กษัตริย์อังกฤษมาปกครองฝรั่งเศส จึงอ้างกฎบัตรซาลลิคของชนแฟรงก์โบราณว่า การสืบสันติวงศ์จะต้องผ่านทางผู้ชายเท่านั้น และให้ฟิลิปเคานต์แห่งวาลัวส์ (Philip, Count of Valois) ที่สืบเชื้อสายจากพระเจ้าฟิลิปที่ 3 ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าฟิลิปที่ 6 เป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์วาลัวส์ (Valois dynasty) ซึ่งเป็นสาขาของราชวงศ์กาเปเชียง ในค.ศ. 1331 พระเจ้าเอ็ดวาร์ดที่ 3 ทรงยินยอมที่จะสละสิทธิ์ในบัลลังก์ฝรั่งเศสทั้งมวลแต่ครองแคว้นกาสโคนี ในค.ศ. 1333 พระเจ้าเอ็ดวาร์ดทรงทำสงครามกับสกอตแลนด์ ทำให้พระเจ้าฟิลิปที่ 6 ทรงเห็นเป็นโอกาสจึงนำทัพบุกยึดแคว้นกาสโคนี แต่พระเจ้าเอ็ดวาร์ดทรงปราบปรามสกอตแลนด์อย่างรวดเร็ว และหันมาตอบโต้พระเจ้าฟิลิปได้ทัน
สงครามร้อยปีเริ่มต้นในค.ศ. 1337 ในตอนแรกทัพเรือฝรั่งเศสสามารถโจมตีเมืองท่าอังกฤษได้หลายที่ แต่ลมก็เปลี่ยนทิศเมื่อทัพเรือฝรั่งเศสถูกทำลายล้างในการรบที่สลุยส์ (Sluys) ในค.ศ. 1341 ตระกูลดรือซ์แห่งแคว้นบรีตตานีสูญสิ้น พระเจ้าเอ็ดวาร์ดและพระเจ้าฟิลิปจึงสู้รบกันเพื่อให้คนของตนได้ครองแคว้นบรีตตานี ในค.ศ. 1346 พระเจ้าเอ็ดวาร์ดทรงสามารถขึ้นบกได้ที่เมืองคัง ในนอร์ม็องดี เป็นที่ตกใจแก่ชาวฝรั่งเศส พระเจ้าฟิลิปแต่งทัพไปสู้ แต่พระเจ้าเอ็ดวาร์ดทรงหลบหนีไปประเทศภาคต่ำ (Low Countries) ทัพฝรั่งเศสตามมาทัน แต่พ่ายแพ้ยับเยินที่ (Crecy) ทำให้พระเจ้าเอ็ดวาร์ดต่อไปยึดเมืองท่าคาเลส์ของฝรั่งเศสและยึดเป็นที่มั่นบนแผ่นดินฝรั่งเศสได้ในค.ศ. 1347
ในค.ศ. 1348 ระหว่างที่ฝรั่งเศสกำลังลุกเป็นไฟด้วยสงคราม กาฬโรคก็ระบาดมาถึงฝรั่งเศส คร่าชีวิตผู้คนหลายล้าน ทำให้ประชากรฝรั่งเศสลดลงอย่างมาก ทำให้สงครามหยุดชะงัก จนโรคระบาดเริ่มคลี่คลายในค.ศ. 1358 (Edward, the Black Prince) พระโอรสของพระเจ้าเอ็ดวาร์ด บุกอังกฤษจากกาสโคนี ชนะฝรั่งเศสใน (Poitiers) จับแห่งฝรั่งเศสได้ ด้วยอำนาจของฝรั่งเศสที่อ่อนแอลง ทำให้ตามชนบทไม่มีขื่อแปโจรอาละวาด ทำให้ชาวบ้านก่อจลาจลกันมากมาย พระเจ้าเอ็ดวาร์ดเห็นโอกาสจึงทรงบุกอีกครั้ง แต่ถูกต้านไว้ได้ จนทำสนธิสัญญาบรีติญญี ในค.ศ. 1360 อังกฤษได้อากีแตน บรีตตานีครึ่งนึง คาเลส์
แต่พระเจ้าชาลส์ที่ 5 และ (Bertrand du Guesclin) ก็สามารถยึดดินแดนต่างๆคืนได้ในรัชสมัยของพระองค์ เพราะอังกฤษติดพันกับสงครามในสเปน และพระเจ้าเอ็ดวาร์ดทรงสิ้นพระชนม์ในค.ศ. 1377 และองค์ชายเอ็ดวาร์ดค.ศ. 1376 แต่ดูเกอสแคลงก็สิ้นชีวิตในค.ศ. 1380 จนทำสัญญาสงบศึกกัน
สงครามร้อยปีหยุดยาวเพราะฝรั่งเศสตกอยู่ในสงครามกลางเมืองระหว่างตระกูลอาร์มันญัค (Armagnac) และดยุคแห่งเบอร์กันดี และขอให้อังกฤษช่วย พระเจ้าเฮนรีที่ 5 แห่งอังกฤษ ก็ทรงนำทัพบุกฝรั่งเศสในค.ศ. 1415 และชนะฝรั่งเศสขาดลอยใน (Agincourt) ได้ดยุคแห่งเบอร์กันดีมาเป็นพันธมิตร และยึดฝรั่งเศสตอนเหนือไว้ได้ทั้งหมดในค.ศ. 1419 พระเจ้าเฮนรีทรงเฝ้าพระเจ้าชาลส์ที่ 6 แห่งฝรั่งเศสซึ่งทรงพระสติไม่สมประกอบ ทำสัญญาให้พระโอรสพระเจ้าเฮนรีขึ้นครองฝรั่งเศสเมื่อพระเจ้าชาร์ลส์สิ้นพระชนม์ แต่ทัพสกอตแลนต์ก็มาช่วยขัดขวางเอาไว้ เมื่อพระเจ้าชาลส์สิ้นพระชนม์ พระเจ้าเฮนรีที่ 6 แห่งอังกฤษ ก็ขึ้นเป็นกษัตริย์ฝรั่งเศส แต่ตระกูลอาร์มันญัคยังคงจงรักภัคดีต่อองค์รัชทายาทฝรั่งเศส
ในค.ศ. 1428 อังกฤษล้อมเมือง แต่ (Joan of Arc หรือ Jeanne d'Arc - ชานดาก) เสนอตัวขับไล่ทัพอังกฤษกล่าวว่านางเห็นนิมิตว่าพระเจ้าให้เธอปลดปล่อยฝรั่งเศสจากอังกฤษ จนสามารถขับไล่ทัพอังกฤษออกไปได้ในค.ศ. 1429 และยังสามารถเปิดทางให้องค์รัชทายาทสามารถยึดเมืองแรงส์เพื่อราชาภิเษกพระเจ้าชาลส์ที่ 7 นับเป็นจุดเปลี่ยนในสงครามร้อยปี แต่โยนแห่งอาร์คถูกฝ่ายเบอร์กันดีจับได้และส่งให้อังกฤษ และถูกเผาทั้งเป็น ในค.ศ. 1435 แคว้นเบอร์กันดีหันมาเป็นฝ่ายฝรั่งเศส แม้ฝ่ายอังกฤษจะมีจอห์น ทัลบอต ที่ดุร้าย แต่พระเจ้าชาลส์ที่ 7ก็ทรงสามารถยึดฝรั่งเศสคืนได้เกือบหมดในค.ศ. 1453 (ยกเว้นคาเลส์) ใน (Castillogne) ซึ่งฝรั่งเศสใช้ปืนเป็นครั้งแรก เป็นอันสิ้นสุดสงครามร้อยปี
ฟื้นฟูศิลปวิทยาการและสงครามศาสนา
หลังสิ้นสุดสมัยกลางฝรั่งเศสไม่ใช่ดินแดนของขุนนางที่เอามาแปะรวมกันอีกต่อไป แต่เป็นประเทศที่เป็นปึกแผ่นภายใต้กษัตริย์ฝรั่งเศส แต่แคว้นเบอร์กันดีภายใต้ก็กำลังเรืองอำนาจอยู่ทางตะวันออก จนพระเจ้าหลุยส์ที่ 11 ทรงร่วมมือกับสมาพันธรัฐสวิส ชนะสงครามกับแคว้นเบอร์กันดี และได้แคว้นเบอร์กันดีมาครอง แต่ดินแดนที่เหลือโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคต่ำตกเป็นของฟิลิปพระโอรสของแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิสิทธิ์
แห่งมิลาน ต้องการเป็นใหญ่ในอิตาลี จึงอัญเชิญพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 8 ให้บุกยึดคาบสมุทรอิตาลี พระเจ้าชาร์ลส์เองก็ทรงต้องการอ้างสิทธิ์ของพระองค์ต่อบัลลังก์ราชอาณาจักรเนเปิลส์ จึงทรงกรีฑาทัพเข้าสู่อิตาลีใน ค.ศ. 1494 บรรดาเจ้าเมืองน้อยใหญ่ทั้งหลายไม่อาจต้านทานทัพของพระเจ้าชาร์ลส์ได้ จนทรงยึดเมืองเนเปิลส์ได้ แต่บรรดาเมืองต่างในอิตาลีและจักรพรรดิแมกซิมิเลียนไม่ต้องการให้ฝรั่งเศสขยายอำนาจจึงตีทัพพระเจ้าชาลส์หนีกลับไปฝรั่งเศส พระเจ้าหลุยส์ที่ 12 ทรงเคียดแค้นดยุคลุโดวิโกที่ทรยศพระเจ้าชาร์ลส์เข้าฝ่ายอิตาลี ใน ค.ศ. 1499 จึงทรงยกทัพยึดแคว้นลอมบาร์ดี (มิลาน) ปีต่อมา ค.ศ. 1500 ทรงร่วมมือกับพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งสเปน บุกยึดอาณาจักรเนเปิลส์ แต่เมื่อยึดได้แล้วกลับตกลงแบ่งส่วนกันไม่ได้ จนพระเจ้าหลุยส์ถูกทัพสเปนตีพ่ายแพ้ บรรดาเมืองต่างๆในอิตาลีก็รวมกันเป็นสันนิบาตต่อต้านอีก พระเจ้าหลุยส์จึงทรงถอยกลับ
พระเจ้าฟรองซัวที่ 1 ทรงยึดมิลานคืนได้จากสวิส ใน จักรพรรดิแมกซิมีเลียนสิ้นพระชนม์ พระเจ้าฟรองซัวหวังจะได้เป็นจักรพรรดิโรมันอันศักดิสิทธิ แต่ตำแหน่งก็ตกเป็นของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 แห่งสเปน ทำให้พระเจ้าฟรองซัวทรงโกรธแค้นจักรพรรดิชาลส์ ทำให้ทรงหาข้ออ้างบุกเนเปิลส์คืนจากสเปนแต่ไม่เป็นผล และทัพสเปนก็บุกมิลาน พระเจ้าฟรองซัวนำทัพไปป้องกัน แต่พ่ายแพ้และทรงถูกจับไปเมืองมาดริดใน ค.ศ. 1525 จนเมื่อทรงสัญญาว่าจะไม่บุกอิตาลีอีก และไถ่พระองค์ด้วยเงินมหาศาล พระเจ้าฟรองซัวจึงถูกปล่อยพระองค์
พระเจ้าฟรองซัวหันไปหาสุลต่านสุไลมานแห่งจักรวรรดิออตโตมัน ร่วมมือกันบุกเมืองนีซ แต่ไปไม่ถึงมิลาน จักรพรรดิชาร์ลส์ร่วมมือกับพระเจ้าเฮนรีที่ 8 แห่งอังกฤษบุกฝรั่งเศสจากทางเหนือ แต่ไม่เป็นผล พระโอรสของพระเจ้าฟรองซัว ทรงบุกจักรวรรดิโรมันอันศักดิสิทธิ์เพื่อแก้แค้นให้พระบิดา แต่ไม่ประสบผล จึงทำ ฝรั่งเศสถอนสิทธิทั้งหมดในคาบสมุทรอิตาลี สิ้นสุดสงครามอิตาลี
สงครามอิตาลีทำให้กระแสการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ เข้าสู่ฝรั่งเศส พระเจ้าฟรองซัวที่ 1 ก็ทรงได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ฟื้นฟูศิลปวิทยาการพระองค์แรก ทรงมีความรู้ในศาสตร์หลายด้าน และทรงนิพนธ์หนังสือหลายฉบับ โดยทรงให้จิตรกรชื่อดัง ลีโอนาร์โด ดาวินชี ออกแบบที่อลังการเพื่อโอ้อวดจักรพรรดิชาร์ลส์ สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการเกิดวรรณกรรมภาษาฝรั่งเศสเป็นครั้งแรก (ตลอดสมัยกลางมีแต่ภาษาลาติน) พระเจ้าฟรองซัวทรงประกาศให้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการ นักเขียนหลายท่าน เช่น ช่วยกันสร้างสรรค์ภาษาฝรั่งเศสที่สวยงาม ฝรั่งเศสยังมีจิตรกรชื่อดังหลายคนสมัยนี้ เช่น และสถาปนิก และ ยังเดินทางไปสำรวจทวีปอเมริกาอีกด้วย
กระแสการปฏิรูปศาสนาในเยอรมนีแผ่อิทธิพลมาถึงฝรั่งเศส โดยลัทธิที่แพร่หลายในฝรั่งเศสคือ ของ แต่กษัตริย์ฝรั่งเศสทุกพระองค์ทรงยึดมั่นในนิกายคาทอลิก ฝ่ายโปรเตสแตนต์ในฝรั่งเศสจึงถูกกวาดล้างอยู่บ่อยครั้ง และถูกตั้งชื่อว่า กลุ่มอูเกอโนต์ (Huguenots)
พระเจ้าอองรีที่ 2 สิ้นพระชนม์ระหว่างการประลองดาบในการทำสนธิสัญญากาโต-กังเบรซี พระเจ้าฟรองซัวที่ 2 ครองราชย์แทน พระเจ้าฟรองซัวทรงอภิเษกกับที่เพิ่งหลบหนีมาจากสกอตแลนด์เพราะถูกยึดอำนาจ พระปิตุลา คือ ดยุคแห่งกีส เข้ามามีอำนาจปกครองบ้านเมือง เป็นตระกูลที่คาทอลิกจัด ต่อต้านโปรเตสแตนต์ทุกประเภท กดขี่กลุ่มอูเกอโนต์ ในค.ศ. 1560 พระเจ้าฟรองซัวสิ้นพระชนม์ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 9 ขึ้นครองราชย์แต่ยังพระเยาว์ พระนางแคทเธอรีน เดอ เมดีชี พระมารดาสำเร็จราชการแทน พระนางทรงพยายามทุกวิถีทางที่จะอยู่รอดท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง ระหว่างตระกูลกีสคาทอลิกจัด และตระกูลบูร์บงอูเกอโนต์ พระนางคัทเทอรีนทรงให้เสรีภาพทางศาสนาแก่กลุ่มอูเกอโนต์ในค.ศ. 1562 เพื่อคานอำนาจตระกูลกีส ตระกูสกีสไม่พอใจกดดันให้พระนางยกเลิกกฤษฎีกา สงครามศาสนาฝรั่งเศส จึงปะทุขึ้น
แต่พระเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งสเปน (ทรงได้ชื่อว่าเคร่งครัดคาทอลิกที่สุดในโลกขณะนั้น) เริ่มสะสมทัพตามชายแดน ทั้งทางสเปนและแคว้นเบอร์กันดี (เป็นของสเปน) ทำให้ฝ่ายอูเกอโนต์ไม่พอใจ จึงทำสงครามอีกครั้ง คราวนี้ประเทศต่างๆในยุโรปเข้าร่วมด้วย ฝ่ายคาทอลิกนำโดยตระกูลกีสและได้พระนางคัทเทอรีนมาเป็นพันธมิตร และยังได้พระเจ้าฟิลิปแห่งสเปนและพระสันตปาปาสนับสนุนด้วย ฝ่ายโปรเตสแตนต์นำโดยองค์ชายแห่งกงเดได้พระนางอลิซาเบ็ธที่ 1 แห่งอังกฤษและเจ้าครองแคว้นที่ถือนิกายคัลแวงในเยอรมนี
ในค.ศ. 1572 องค์หญิงมาร์เกอริตแห่งวาลัวส์ที่เป็นคาทอลิกอภิเษกกับพระเจ้าอองรีแห่งนาวาร์ตระกูลบูร์บงที่เป็นอูเกอโนต์ ดยุคแห่งกีสบุกและกระจายทัพสังหารกลุ่มอูเกอโนต์ในปารีสทั้งหมดอย่างโหดร้าย ทำให้ปารีสเกิดกลียุค เรียกว่า การสังหารหมู่วันเซนต์บาร์โธโลมิว
พระเจ้าอองรีที่ 3 ขึ้นครองราชย์ในค.ศ. 1575 ทรงผ่อนปรนกลุ่มอูเกอโนต์ ทำให้ดยุคอองรีแห่งกีสไม่พอใจ ตั้งสันนิบาตคาทอลิกภายใต้การสนับสนุนของสเปน กดดันให้พระเจ้าอองรีเลิกสิทธิของกลุ่มอูเกอโนต์ ในค.ศ. 1584 พระอนุชาของพระเจ้าอองรีและรัชทายาทพระองค์เดียว สิ้นพระชนม์ ทำให้บัลลังก์ตกเป็นของพระเจ้าอองรีแห่งนาวาร์ที่เป็นอูเกอโนต์ ในค.ศ. 1584 ดยุคแห่งกีสทำสนธิสัญญากับพระเจ้าฟิลิปแห่งสเปน ว่าสเปนจะช่วยสันนิบาตคาทอลิกอย่างจริงจัง
ในค.ศ. 1588 ชาวปารีสที่คาทอลิกจัด รวมขบวนประท้วงขับไล่พระเจ้าอองรีที่ 3 ออกจากเมือง เพราะทรงผ่อนปรนกลุ่มอูเกอโนต์ ทำให้ตระกูลกีสครองเมืองปารีส พระเจ้าอองรีที่ 3 จึงหลอกล่อให้ดยุคอองรีแห่งกีสมาพบ และสังหาร ทำให้ชาวฝรั่งเศสคาทอลิกโกรธแค้นพระเจ้าอองรี พระเจ้าอองรีที่ 3 ทรงหนีไปหาพระเจ้าอองรีแห่งนาวาร์ มอบบัลลังก์ให้ ทั้งฝ่ายคาทอลิก ที่มีฐานทางเหนือและตะวันออกของประเทศ และฝ่ายโปรเตสแตนต์ ที่มีฐานทางตะวันตกและใต้ ทำสงครามของอองรีทั้งสาม (War of Three Henrys) ในค.ศ. 1589 พระเจ้าอองรีแห่งนาวาร์ทรงชนะฝ่ายคาทอลิกบุกไปถึงทางเหนือ แต่ไม่อาจยึดปารีสได้ จนพระองค์ทรงอุทานว่า Paris vaut bien une masse. (ปารีสช่างมีค่าเหลือเกิน)ทรงเข้ารีตคาทอลิกในค.ศ. 1593 ชาวปารีสจึงยอมให้เข้าเมืองแต่โดยดี ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าอองรีที่ 4 เป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์บูร์บง
ในค.ศ. 1598 พระเจ้าอองรีที่ 4 ทรงออกกฤษฎีกาแห่งเมืองนังทส์ ให้เสีภาพทางศาสนาแก่กลุ่มอูเกอโนต์ทุกประการ
ราชวงศ์บูร์บง (ค.ศ. 1593 – 1793)
สมัยราชวงศ์บูร์บงเป็นสมัยที่ฝรั่งเศสรุ่งโรจน์ พระเจ้าอองรีที่ 4 ทรงส่ง (Samuel de Champlain) ไปตั้งเมืองและอาณานิคมแคนาดา ในปี ค.ศ. 1610 พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ครองราชย์แต่ยังพระเยาว์ มีคาร์ดินัล ริเชอลิเออ (Cardinal Richelieu) สำเร็จราชการแทน คาร์ดินัลริเชอลิเออทำลายล้างอำนาจของพวกอูเกอโนต์ที่ได้รับการสนับสนุนจากพระเจ้าอองรีที่ 4 ในค.ศ. 1624 เกิดสงครามสามสิบปีในจักรวรรดิโรมันอันศักดิสิทธิ์ ฝ่ายสวีเดนเข้าช่วยฝ่ายโปรเตสแตนต์แต่ไม่เป็นผล คาร์ดินัลริเชอลิเออจึงให้ฝรั่งเศสเข้าร่วมรบฝ่ายโปรเตสแตนต์ ทั้งๆที่ฝรั่งเศสและตัวคาร์ดินัลเองเป็นคาทอลิก เพราะต้องการล้มอำนาจของสเปน ทัพฝรั่งเศสชนะสเปนที่โรครัว (ค.ศ. 1643) และเลนส์ (ค.ศ. 1648)
ในปี ค.ศ. 1643 คาร์ดินัลริเชอลิเออสิ้นชีวิต เกิดกบฏฟรองด์ ที่ต่อต้านอำนาจของกษัตริย์และที่ปรึกษา มีสเปนหนุนหลัง แต่ฝรั่งเศสก็สามารถปราบปรามได้ จนทำ ในปี ค.ศ. 1659 ยึดแคว้นรูซิยอง (Roussillon) จากสเปน
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (ค.ศ. 1643 – 1715)
ปี ค.ศ. 1660 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงอภิเษกกับองค์หญิงมาเรีย เธเรซา พระธิดาของพระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งสเปน ซึ่งพระเจ้าฟิลิปก็ป้องกันการอ้างสิทธิของฝรั่งเศสโดยการให้องค์หญิงมาเรียเธเรซาสละสิทธิ์ในดินแดนของสเปนทุกส่วน โดยมีสินสอด (ฝ่ายหญิงให้ฝ่ายชาย) จำนวนมหาศาลเป็นค่าตอบแทน ในค.ศ. 1661 พระเจ้าหลุยส์ทรงแต่งตั้งให้ฌ็อง-บาติสต์ กอลแบร์ เป็นเสนาบดีคลัง กอลแบร์สามารกอบกู้สถานะทางการเงินของฝรั่งเศสที่ใกล้จะล้มละลาย โดยการเก็บภาษีแบบใหม่ ทำให้เงินในพระคลังเพิ่มเป็นสามเท่า เป็นที่มาของความฟุ่มเฟือยในราชสำนักของพระเจ้าหลุยส์ที่แวร์ซาย
ปี ค.ศ. 1665 พระเจ้าฟิลิปที่ 4 สิ้นพระชนม์ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 แห่งสเปนขึ้นครองราชย์แทน แต่พระเจ้าหลุยส์ทรงอ้างว่า กฎเก่าแก่ของอาณาจักรดยุคแห่งบราบองต์ (แคว้นหนึ่งในประเทศภาคต่ำ) ว่าแคว้นนี้ต้องตกเป็นของบุตรธิดาของภรรยาคนล่าสุด ไม่ใช่คนแรกสุด ก็คือราชินีมาเรียเธเรซานั่นเอง ดังนั้นพระเจ้าหลุยส์จึงทวงแคว้นนี้คืนแก่พระราชินี เมื่อสเปนไม่ยอมจึงทำ (War of Devolution) และขณะนั้นเนเธอร์แลนด์กำลังทำสงครามกับอังกฤษ ซึ่งเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสตามสัญญาชั่วคราว พระเจ้าหลุยส์ทรงยึดฟลานเดอร์ส (Flanders) และฟรอง-กองเต (Franche-Comté) จากสเปนได้ ทำให้อังกฤษหันไปเข้าข้างเนเธอร์แลนด์เพื่อต้านฝรั่งเศส จนทำสนธิสัญญาเอกซ์-ลา-ชาเปลล์ ในค.ศ. 1668 คืนฟรอง-กองเตไปก่อน
ปี ค.ศ. 1672 พระเจ้าหลุยส์ทรงหลอกล่อให้พระเจ้าชาร์ลส์แห่งสเปนเข้าเป็นพันธมิตรได้ และประกาศสงครามกับเนเธอร์แลนด์ เป็น มีอังกฤษเข้าช่วยฝรั่งเศส แต่ฝ่ายเนเธอร์แลนด์ก็ทำสัญญาพันธมิตรกับสเปนได้แทนฝรั่งเศส รวมทั้งจักรพรรดิโรมันอันศักดิสิทธิ์ ฝ่ายอังกฤษสงบศึกกับเนเธอร์แลนด์ในค.ศ. 1647 ทิ้งฝรั่งเศสให้โดดเดี่ยว แต่ทัพฝรั่งเศสก็สามารถเอาชนะทัพผสมของหลายชาติได้ บุกยึดฟรอง-กองเต ทะลุทลวงไปถึงเนเธอร์แลนด์ จนทำสนธิสัญญาไนมีเกน (Nijmegen) ยกฟรอง-กองเตให้ฝรั่งเศส ในค.ศ. 1678
ด้วยความกำกวมของสนธิสัญญาต่างๆของยุโรปในสมัยนั้น พระเจ้าหลุยส์จึงทรงอ้างว่าดินแดนต่างๆที่เคยเป็นของแคว้นที่ฝรั่งเศสยึดมานั้น ต้องตกเป็นของฝรั่งเศสด้วย ทรงตั้งหอรวบรวมดินแดน (Chamber of Reunion) เพื่อใช้วิธีทางกฎหมายเรียกดินแดนต่างๆให้กับฝรั่งเศส ที่จริงแล้วพระเจ้าหลุยส์ทรงต้องการดินแดนเหล่านั้น เพราะเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เช่น เมืองสตราสบูร์ก และลักเซมเบิร์ก
ทศวรรษที่ 1680 เป็นสมัยเรืองอำนาจของฝรั่งเศสและพระเจ้าหลุยส์ ต่างๆกลายเป็นแฟชั่นของยุโรป เอาอย่างความหรูหราที่พระราชวังแวร์ซาย ในค.ศ. 1682 (La Salle) นักสำรวจตั้งชื่อดินแดนลุยเซียนา (Louisiana) ในอเมริกาตามพระนามพระเจ้าหลุยส์ และปีเดียวกันพระเจ้าหลุยส์ทรงประกาศ (Gallicanism) จำกัดอำนาจพระสันตปาปาในฝรั่งเศส และให้พระเจ้าหลุยส์ทรงปกครององค์การศาสนาด้วยพระองค์เอง ในค.ศ. 1685 ทรงประกาศกฤษฎีกาฟองแตงโบล ยกเลิกกฤษฎีกาแห่งเมืองนังทส์ของพระอัยกาพระเจ้าอองรีที่ 4 เป็นการเลิกเสรีภาพทุกประการของกลุ่มโปรเตสแตนต์ อูเกอโนต์จึงหนีไปอาณานิคมหรืออังกฤษกันหมด
ปี ค.ศ. 1686 จักรพรรดิโรมันอันศักดิสิทธิ์และเจ้าเมืองเยอรมันต่างๆเล็งเห็นถึงการขยายอำนาจของฝรั่งเศส จึงตั้งสันนิบาตออกซ์บูร์ก (League of Augsburg) ค.ศ. 1688 พระเจ้าหลุยส์มีรับสั่งให้ยกทัพบุกเยอรมนีเพื่อทวงแคว้นพาลาติเนตคืนให้พระเจ้าน้องเขย แต่ปีเดียวกันวิลเฮม เจ้าชายแห่งออเรนจ์ (Prince of Orange) ผู้ครองเนเธอร์แลนด์ ยึดอำนาจในอังกฤษปราบดาภิเษกเป็นพระเจ้าวิลเลียมที่ 3 แห่งอังกฤษ ทำให้อังกฤษเข้าร่วมสันนิบาตออกซ์บูร์ก กลายเป็นมหาพันธมิตร (Grand Alliance) เกิดสงครามมหาพันธมิตร (War of the Grand Alliance) พระเจ้าหลุยส์ทรงพยายามจะส่งพระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งอังกฤษคืนบัลลังก์ แต่ก็ถูกทัพของพระเจ้าวิลเลียมทำลายทางทะเล แต่บนบกฝรั่งเศสยึดเนเธอร์แลนด์ได้หลายเมือง และทางสเปนก็ต้านไว้ได้ จนทำสนธิสัญญาไรสวิก (Ryswick) ฝรั่งเศสคืนดินแดนทั้งหมดที่ยึดมายกเว้นเมืองสตราสบูร์ก
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 แห่งสเปนทรงไม่มีทายาท พระเจ้าหลุยส์จึงเสนอดยุคแห่งอังชู พระนัดดา เป็นกษัตริย์สเปนองค์ต่อไป แต่ฝ่ายจักรวรรดิโรมันอันศักดิสิทธิ์เสนออาร์คดยุดชาร์ลส์แห่งออสเตรียมาแข่ง แต่ค.ศ. 1700 พระเจ้าชาร์สส์ก่อนสิ้นพระชนม์ยกสเปนรวมทั้งอาณานิคมทั้งหมดให้ดยุคแห่งอังชู เป็นพระเจ้าฟิลิปที่ 5 แห่งสเปน ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์บูร์บงในสเปน สร้างความไม่พอใจทั่วยุโรป อีกทั้งพระเจ้าหลุยส์ยังทรงสนับสนุนเจมส์ สจ๊วด ผู้ทวงบัลลังก์อังกฤษของพระเจ้าวิลเลียม ทำให้อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ และจักรวรรดิโรมันฯ ตั้งมหาพันธมิตรอีกครั้ง เกิดสงครามสืบราชบัลลังก์สเปน
ฝรั่งเศสส่งทัพบุกออสเตรียทางอิตาลี แต่ถูกต้านไว้ เป็นครั้งแรกที่ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ ต่อมาฝรั่งเศสก็พ่ายแพ้ทุกทาง จนต้องกลับกลายเป็นฝ่ายตั้งรับในค.ศ. 1709 แต่ในสเปน ทัพพระเจ้าฟิลิปที่ 5 และทัพฝรั่งเศสก็สามารถเอาชนะต่างชาติได้หมด และฝรั่งเศสก็กลับมาเป็นฝ่ายบุกอีกในค.ศ. 1712 ในค.ศ. 1705 จักรพรรดิโจเซฟ พระเชษฐาของอาร์คดยุคชาร์ลส์สิ้นพระชนม์ ทำให้อาร์คดยุคชาร์ลส์ต้องขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิชาร์ลส์ที่ 6 แห่งจักรวรรดิโรมันฯ ทำให้ชาติต่างๆในยุโรป เสิกสนับสนุนจักรพรรดิชาร์ลส์ เพราะเกรงจะมีกำลังมากเกินไป ทำให้ฝ่ายอังกฤษเจรจาสงบศึกพระเจ้าหลุยส์ในค.ศ. 1713 เป็น (Utrecht) และในค.ศ. 1714 กับจักรวรรดิโรมันฯในสนธิสัญญาราสตัตต์ และบาเดน ยอมรับราชวงศ์บูร์บงให้ปกครองสเปน ทำให้สเปนกลายเป็นพันธมิตรสำคัญของฝรั่งเศสต่อมา
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 สิ้นพระชนม์ในปีค.ศ. 1715 ก่อนวันคล้ายวันประสูติพระชนมายุ 77 พรรษาไม่กี่วัน ทรงครองราชย์ 72 ปี ยาวนานกว่ากษัตริย์ยุโรปอื่นใด พระองค์พระชนมายุยาวนานมาก จนพระโอรสและนัดดาสิ้นพระชนม์ไปก่อนหมด เหลือเพียงดยุคแห่งอังชูที่ยังพระเยาว์ ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศส
พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 (ค.ศ. 1715 – 1774)
พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ยังทรงพระเยาว์จนต้องมีผู้สำเร็จราชการแทนหลายคน เริ่มที่ เข้าร่วม (War of the Quadraple Alliance - ประกอบด้วยฝรั่งเศส อังกฤษ ออสเตรีย และเนเธอร์แลนด์)เมื่อพระเจ้าฟิลิปที่ 5 แห่งสเปนและราชินีที่ทะเยอทะยาน ต้องการกอบกู้ดินแดนในอิตาลีและกลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำที่เสียไปในสงครามสืบราชสมบัติสเปน ผลคือความพ่ายแพ้ของสเปน ต่อมา (Cardinal Fleury) ทำสงครามสืบราชสมบัติโปแลนด์ ต้องการเป็นพระมหากษัตริย์โปแลนด์ แต่จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ต่อต้าน ฝรั่งเศสเห็นโอกาสที่จะทำลายอำนาจออสเตรีย จึงทำสงคราม แต่สนธิสัญญาเวียนนาใน ค.ศ. 1735 เลสเซนสกีได้เป็นดยุคแห่งลอร์เรน ซึ่งเมื่อเลสเซนสกีเสียชีวิตใน ค.ศ. 1766 แคว้นลอร์เรนจึงตกเป้นของฝรั่งเศส ทำให้ฝรั่งเศสมีอาณาเขตถึงปัจจุบัน
ด้วยความทะเยอทะยานของพระเจ้าฟรีดริชมหาราชแห่งปรัสเซีย ที่ต้องการจะยึดบัลลังก์จากจักรพรรดินีมาเรีย เธเรซา ด้วยเหตุที่พระนางเป็นสตรี ทำให้ยุโรปเกิดสงครามสืบราชสมบัติออสเตรีย ฝรั่งเศสจึงหวังจะได้ชิงบัลลังก์ออสเตรียบ้าง แต่ปรัสเซียก็เริ่มจะมีอำนาจมากไป จึงเกิด ฝรั่งเศสหันไปหาออสเตรียศัตรูเก่าแก่ เพื่อต้านปรัสเซียและบริเตน ผลคือสงครามเจ็ดปี การสู้รบมีในอาณานิคมด้วย ซึ่งฝรั่งเศสผูกมิตรกับชาวพื้นเมือง เพื่อช่วยรบกับบริเทน แต่พ่ายแพ้ยับเยิน จนสนธิสัญญาปารีส ค.ศ. 1763 ฝรั่งเศสเสียอาณานิคมในอเมริกาทั้งหมดให้บริเตน
ในศตวรรษที่ 18 ในยุโรปเป็นยุคภูมิธรรม (Age of Enlightenment) เป็นสมัยปรัชญาแนวคิดแบบใหม่ที่แปลกแยกออกจากธรรมเนียมเก่า ๆ เฟื่องฟู ฝรั่งเศสก็มีนักปราชญ์ที่สำคัญสามคนแห่งยุค คือ ฌ็อง-ฌัก รูโซ, มงแต็สกีเยอ และวอลแตร์ ที่เสนอคติแนวความคิดการปกครองแบบใหม่ ใน ค.ศ. 1751 มีการพิมพ์หนังสือ Encyclopédie เป็นหนังสือรวบรวมความรู้วิทยาการทุกแขนง
พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 (ค.ศ. 1774 – 1793)
ความฟุ่มเฟือยของราชสำนักและการแพ้สงครามทำให้เศรษฐกิจของฝรั่งเศสตกต่ำลง พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 จึงทรงแต่งตั้งผู้ที่มีความสามารถเพื่อฟื้นฟูสถานภาพทางการเงินของฝรั่งเศส ได้แก่ ตูร์โกต์พยายามจะเก็บภาษีรูปแบบใหม่ๆ แต่ประชาชนได้ถูกเก็บภาษีหลายประการแล้ว ตูร์โกต์จึงเก็บภาษีจากสินค้าต่างๆแทน แต่บรรดาขุนนางกล่าวว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงไม่มีพระราชอำนาจที่จะตั้งภาษีใหม่ จำเป็นต้องเรียกประชุมสภาฐานันดร (Estates-General) เพื่อทำการอนุมัติภาษีเพิ่มเติม เมื่อไม่ได้ดังพระหฤทัยพระเจ้าหลุยส์ทรงปลดตูร์โกต์ออกจากตำแหน่ง และทรงตั้งนายขึ้นมาทำหน้าที่แทนในค.ศ. 1776 เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่อาณานิคมของบริเทนในอเมริกาประกาศเอกราชในสงครามปฏิวัติอเมริกา เนคแกร์ให้สนับสนุนแก่ฝ่ายอเมริกาโดยส่งมาร์ควิสลา ฟาแยตไปช่วย จนฝ่ายอเมริกามาประกาศเอกราชที่ปารีสในค.ศ. 1783
ปี ค.ศ. 1783 พระเจ้าหลุยส์ทรงแต่งตั้งให้ดูแลเรื่องพระคลัง กาโลนน์ใช้วิถีการแก้ปัญหาโดยการใช้จ่ายอย่างมากมายเพื่อสร้างเครดิต กาโลนน์ขอให้สภาขุนนางค.ศ. 1787 ผ่านร่างวิธีแก้ปัญหาแบบที่ใช้เงินมากนี้ แต่บรรดาขุนนางยับยั้งร่างไว้ พระเจ้าหลุยส์จึงทรงตั้งขึ้นมาแทน เดอเบรียงใช้กำลังบังคับให้ฝ่ายขุนนางผ่านร่างแก้ปัญหาของเขา จนเกือบจะเกิดจลาจลเพราะการบังคับใช้อำนาจของเดอเบรียง ในค.ศ. 1789 เดอเบรียงจึงถูกปลดและพระเจ้าหลุยส์ทรงแต่งตั้งให้เน็กแกร์กลับมารับราชการแก้ไขปัญหาอีกครั้ง
การปฏิวัติและนโปเลียน (ค.ศ. 1789 – 1815)
ใน ค.ศ. 1789 พระเจ้าหลุยส์ทรงเรียกประชุมสภาฐานันดร ซึ่งไม่ได้ประชุมมาแล้วเป็นเวลานานประมาณสองร้อยปี เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ สภาฐานันดร ประกอบไปด้วยสามชนชั้น ได้แก่ ชนชั้นขุนนาง ชนชั้นบรรพชิตบาทหลวง และสามัญชน ซึ่งในการผ่านร่างพระราชบัญญัติแต่ละฐานันดรออกเสียงได้เพียงหนึ่งเสียง ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมในการออกเสียง ฐานันดรที่ 3 หรือ สามัญชน ประกอบไปด้วยคนส่วนใหญ่ของประเทศฝรั่งเศส แต่กลับออกเสียงได้เพียงหนึ่งเสียง ในขณะที่ขุนนางและบาทหลวงสามารถออกเสียงได้ถึงสองเสียง ทำให้ฐานันดรที่สามไม่สามารถออกเสียงชนะฝ่ายขุนนางและบรรพชิตได้ พระเจ้าหลุยส์ตรัสว่าจะให้ฐานันดรที่สาม มีเสียงเป็นสองเท่าของสองฐานันดรแรก แต่เมื่อถึงเวลาประชุมสภาฐานันดรพระเจ้าหลุยส์ตรัสให้สภาออกเสียง "ตามพระราชโองการ" ฐานันดรที่สามจึงแยกตัวออกไปเป็น สมัชชาแห่งชาติ (National Assembly)
สมัชชาแห่งชาติ (ค.ศ. 1789 – 1791)
พระเจ้าหลุยส์มีพระราชโองการให้ปิดสถานที่ประชุมของฐานันดรที่ 3 ทำให้บรรดาสมาชิกสภาสมัชชาแห่งชาติไม่สามารถเข้าอาคารประชุมได้ จึงเข้าประชุมที่สนามเทนนิสข้างเคียงและให้คำปฏิญาณสนามเทนนิส (Tennis Court Oath) พระเจ้าหลุยส์ทรงรับรองสมัชชาแห่งชาติ สมัชชาแห่งชาติจึงเปลี่ยนสภาพเป็น สภาร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติ (National Constituent Assembly) ในเวลาเดียวกันทัพฝรั่งเศสและทหารรับจ้างเยอรมันตามชายแดนเริ่มคืบเข้ามาประชิดกรุงปารีส และพระเจ้าหลุยส์ทรงปลดฌักส์ เน็กแกร์ ซึ่งให้การสนับสนุนแก่กลุ่มฐานันดรที่สามออกจากตำแหน่ง ทำให้ประชาชนชาวเมืองปารีสไม่พอใจ ลุกฮือบุกไปเอาดินปืนที่คุกบาสตีย์ เพื่อเอาไปป้องกันเมืองปารีส แต่เกิดการปะทะกับผู้รักษาการป้อมบาสตีย์ กลุ่มผู้ประท้วงสังหารตัดศีรษะผู้รักษาการและแห่ศีรษะไปตามถนน และสังหารนายกเทศมนตรีแห่งปารีส
เหตุการณ์นี้ทำให้พระเจ้าหลุยส์ต้องทรงรับรองธงตรีกอลอร์หรือธงไตรรงค์สามสีให้เป็นธงประจำชาติฝรั่งเศส แทนที่ธงของราชวงศ์บูร์บงเดิม เหตุการณ์ความรุนแรงทำให้เหล่าขุนนางและพระราชวงศ์ต่างพากันหลบหนีออกนอกฝรั่งเศส เรียกว่า กลุ่ม (émigre)
ในสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญเองแบ่งเป็นสองฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายขวาอนุรักษนิยม ต้องการรักษาการปกครองแบบเก่า กับฝ่ายซ้ายซึ่งมีแนวคิดเสรีนิยมต้องการการปฏิวัติ นักปฏิวัติที่ได้รับการเคารพนับถือที่สุด ชื่อว่ามิราโบ ซึ่งเสนอแนวทางแก้ปัญหาของประเทศหลายอย่างและพยายามประสานความขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมืองแต่ไม่เป็นผล ในค.ศ. 1790 สมัชชาแห่งชาติประกาศ "คำประกาศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมือง" (Declaration of the Rights of Man and Citizen) ประกาศเสรีภาพต่างๆ ล้มเลิกระบอบขุนนาง ในเวลาเดียวพระเจ้าหลุยส์ยังทรงพยายามเรียกกองทัพจากชายแดนเข้ามาเพื่อยับยั้งการเปลี่ยนแปลง และทรงจัดงานเลี้ยงลบหลู่ธงไตรรงค์ที่พระราชวังแวร์ซาย ชาวปารีสเมื่อทราบข่าวจึงก่อการจลาจล กองกำลังติดอาวุธของประชาชน (National Guard) มาบุกยึดพระราชวังแวร์ซาย ทำให้พระเจ้าหลุยส์และพระราชวงศ์ต้องเสด็จหนีไปประทับที่พระราชวังตุยเลอรีส์ในกรุงปารีสแทน
อีกนโยบายหนึ่งของสมัชชาแห่งชาติคือการทำบรรพชิตให้เป็นพลเมือง (Civil Constitution of Clergy) ทำให้สถานะของบาทหลวงและสถาบันศาสนาคริสต์เท่าเทียมและไม่แตกต่างจากประชาชนทั่วไป มีบาทหลวงจำนวนมากที่ไม่ยอมรับนโยบายของสมัชชาแห่งชาติต่างหลบหนีซ่อนตัวตามชนบท เสรีภาพทำให้เกิดแนวความคิดและสมาคมทางการเมืองขึ้นมามากมาย ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือสโมสรฌากอแบ็ง (Jacobin)
ใน ค.ศ. 1791 พระเจ้าหลุยส์ทรงพยายามจะหลบหนีออกนอกประเทศฝรั่งเศส แต่ด้วยขบวนเสด็จที่หรูหรา ทำให้ทรงถูกจับได้ที่เมืองวาเรนส์ ประชาชนเกิดความตระหนกว่าว่าพระเจ้าหลุยส์จะทรงยึดอำนาจคืน จึงชุมนุมที่ทุ่งชองป์-เดอ-มาส์ แต่ถูกทหารรัฐบาลปราบปรามอย่างรุนแรง จักรพรรดิลีโอโพลด์ที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ พระเชษฐาของพระนางมารีอังตัวเนต จึงทรงขอความสนับสนุนจากประเทศต่าง ๆ ให้ฟื้นฟูพระราชอำนาจคืนให้แด่พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 การร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 1791 สภาร่างรัฐธรรมนูญสิ้นสุดลง กลายเป็น สภานิติบัญญัติ (Legislative Assembly) ฝรั่งเศสจึงกลายเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
สภานิติบัญญัติ (ค.ศ. 1791 – 1792)
ภายในสโมสรฌากอแบ็งแบ่งเป็นสองฝ่าย ได้แก่ สมาคมเฟยยองต์ (Feuillant) สนับสนุนราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และสมาคมฌีรงแด็ง (Girondin) มีความคิดเสรีนิยมรุนแรง ภัยคุกคามทางทหารจากต่างชาติทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสประกาศกฎอัยการศึกใน ค.ศ. 1792 สมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ พระโอรสจักรพรรดิลีโอโพลด์ ประกาศสงครามกับฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1792 ฝ่ายฝรั่งเศสส่งมาร์ควิสแห่งลาฟาแยตบุกเนเธอร์แลนด์ของออสเตรีย ในขณะที่ปรัสเซียส่งดยุกแห่งเบราน์ชไวก์ยกทัพรุกรานปารีส ดยุกแห่งเบราน์ชไวก์ประกาศคำประกาศเบราน์ชไวก์ (Brunswick Manifesto) ว่าหากรัฐบาลฝรั่งเศสไม่ยุติการเปลี่ยนแปลงการปกครองทางปรัสเซียจะนำกำลังทหารเข้าแก้ไข เมื่อดยุกแห่งเบราน์ชไวก์ยกทัพบุกฝรั่งเศส ทำให้ชาวฝรั่งเศสเกิดความโกรธแค้น จับนักโทษการเมืองในคุกออกมาสังหารอย่างโหดเหี้ยมหลายพันคน เรียกว่า (September Massacre) ในแคว้นวังเด (Vendée) ฝ่ายนิยมราชาธิปไตยก่อการลุกฮือต่อต้านการเปลี่ยนแปลงการปกครอง การปกครองของรัฐบาลฝรั่งเศสไม่มีผลอีกต่อไป นักการเมืองสายกลางถูกกำจัดออกไปจนเกือบหมดสิ้นเหลือเพียงนักการเมืองเสรีนิยมรุนแรง นำไปสู่การสิ้นสุดของสภานิติบัญญัติและจัดตั้ง สภากองวังเชียง (National Convention)
สภากงว็องซียง (ค.ศ. 1792 – 1794)
ใน ค.ศ. 1793 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงถูกสำเร็จโทษโดยการบั่นพระศอด้วยเครื่องกิโยติน ชาติอื่นๆในยุโรปต่างหวั่งเกรงในการเปลี่ยนแปลงการปกครองของฝรั่งเศส เกรงว่าความคิดเสรีนิยมจะเผยแพร่มาสู่ประเทศของตน จึงจัดตั้งสัมพันธมิตรครั้งที่ 1 (First Coalition) เพื่อสู้รบกับรัฐบาลปฏิวัติฝรั่งเศส ฝ่ายทัพฝรั่งเศสชนะกองทัพต่างชาติในยุทธการที่วาลมี และสามารถยึดเมืองนีซ และแคว้นซาวอยได้ ใน ค.ศ. 1792 และโมนาโค ในค.ศ. 1793 กลุ่มฌีรงแด็งเสรีนิยมรุนแรง เรียกว่า กลุ่มมงตาญาร์ (Montagnard) หรือกลุ่มฌากอแบ็ง ได้แก่ รอแบ็สปีแยร์ (Robespierre) (Danton) ขึ้นมามีอำนาจในสภากงว็องซียง เพราะภาวะสงครามทำให้ประเทศต้องการผู้นำที่เด็ดขาด กลุ่มฌากอแบ็งยกทัพบุกสภากองวังเชียงทำการยึดอำนาจ ทำให้กลุ่มฌีรงแด็งกลุ่มอื่นๆถูกขับพ้นจากอำนาจ ในขณะที่แคว้นวังเดซึ่งสนับสนุนราชาธิปไตยสร้างความรุนแรงมากขึ้น ฝ่ายรัฐบาลปฏิวัตินำกำลังทหารเข้าปราบปรามแคว้นวังเดอย่างรุนแรง จากแคว้นวังเดกลายเป็นดินแดนรกร้างปราศจากผู้คน นอกจากนั้นรัฐบาลยังประกาศเกณฑ์ประชาชนทุกคนชายหญิงเด็กและคนชราให้มาทำงานในกองทัพ
รอแบ็สปีแยร์ประกาศความน่าสะพรึงกลัว (Terror) เพื่อสร้างภาพลักษณ์อันโหดเหี้ยมให้รัฐบาลปฏิวัติฝรั่งเศส และประกาศ Law of Suspects นักโทษการเมืองไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย และจัดตั้งศาลปฏิวัติ (Revolutionary Tribunal) ไว้ตัดสินนักโทษทางการเมืองด้วยการบวนการยุติธรรมซึ่งรวดเร็วและไม่โปร่งใส พระนางมารี อังตัวเนต พระราชวงศ์ กลุ่มเฟยยองต์ กลุ่มฌีรงแด็ง กลุ่มกษัตริย์นิยม และประชาชนอื่นๆ ต่างต้องสังเวยต่อเครื่องกิโยติน รอแบ็สปีแยร์ให้ชาวฝรั่งเศสเลิกนับถือคริสต์ศาสนา เลิกใช้คริสต์ศักราช หันมาใช้ศักราชปฏิวัติแทน โดยนับปี ค.ศ. 1793 เป็นปีที่ 1 และมีการตั้งศาสนาใหม่ คือ ลัทธิแห่งเหตุผล (Cult to Reason) นับถือเทพธิดาชื่อว่า "เหตุผล"
แม้ภายในประเทศจะเกิดความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรง แต่ฝรั่งเศสก็สามารถเอาชนะทัพของชาติต่าง ๆ ที่เข้ามารุกรานฝรั่งเศสได้ ถึงเวลานี่กลุ่มฌากอแบ็งแก่งแย่งอำนาจกันเอง ดังตองถูกกิโยติน ในค.ศ. 1794 เหลือรอแบ็สปีแยร์ผู้เดียวที่ทรงอำนาจสูงสุด ประกาศลัทธิแห่งความเป็นเลิศ (Cult of Supreme Being) เป็นศาสนาใหม่อีกศาสนา และประกาศกฎมหามิคสัญญี (Law of the Great Terror) มิให้นักโทษการเมืองแต่งพยานสู้คดี ผู้คนหลายพันในกรุงปารีสถูกกิโยติน แต่สุดท้ายรอแบ็สปีแยร์ก็ถูกยึดอำนาจโดยผู้นำปฏิวัติอื่น ๆ เพราะกลัวอำนาจของรอแบ็สปีแยร์ เรียกว่า (Thermidorien Reaction)
คณะดิเร็กตัวร์ (ค.ศ. 1795 – 1799)
กลุ่มแตร์มิดอร์ขึ้นมามีอำนาจ ดำเนินนโยบายตรงข้ามกับมิคสัญญี ผ่อนคลายความสะพรึงกลัว ทัพฝรั่งเศสยึดเนเธอร์แลนด์ได้ใน ค.ศ. 1795 รัฐธรรมนูญแห่งปีที่ 3 (ค.ศ. 1795) ตั้ง (Directory) เป็นการปกครองใหม่ ประกอบดัวยดิเร็กเตอร์ 5 คน ซึ่งจะถูกเลือกตั้งให้ลงจากตำแหน่งไปหนึ่งคนทุกปี ทำหน้าที่บริหาร มีสภาอาวุโส (Council of Ancients) และสภาห้าร้อย (Council of Five Hundreds) เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ บรรดาผู้นำในสภากองวังเชียงเดิมเกรงว่าฝ่ายตนจะต้องโทษทางการเมืองจึงพยายามจะเข้ามามีอำนาจในปกครองใหม่ ทำให้ประชาชนไม่พอใจ และฝ่ายสนับสนุนราชาธิปไตยก่อความวุนวายในกรุงปารีส นายทหารชื่อว่านโปเลียนทำการยิงปืนใหญ่ขู่เพียงนัดเดียว (Whiff of Grapeshot) การจลาจลก็สลายตัว เป็นผลงานชิ้นแรกของนโปเลียน
นโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte) เป็นชาวเกาะคอร์ซิกา เข้ามาเป็นทหารในฝรั่งเศส สมรสกับโจเซฟีน เดอ โบอาร์เนส์ (Josephine de Beauharnais) แม่หม้ายมีลูกติดสองคน นโปเลียนยกทัพฝรั่งเศสเข้าบุกอิตาลีและยึดคาบสมุทรอิตาลีได้ จัดตั้งรัฐบริวารของฝรั่งเศสจำนวนมากในอิตาลีได้แก่ สาธารณรัฐซิสอัลไพน์ (Cisalpine) สาธารณรัฐเวนิส สาธารณรัฐพาร์เธโนเปีย (Parthenopian Republic) จนในค.ศ. 1797 จักรวรรดิออสเตรียบรรลุสนธิสัญญาคัมโป-ฟอร์มิโอ (Campo-Formio) กับฝรั่งเศส ยอมมอบเบลเยียมและอิตาลีให้ฝรั่งเศส
ฝ่ายคณะดิเร็กตัวร์เห็นว่านโปเลียนกำลังได้รับวามนิยมในฐานะวีรบุรุษแห่งชาติและมีอำนาจมมากขึ้น จึงส่งนโปเลียนไปยังที่ห่างไกลคือการรุกรานอียิปต์ คณะดิเร็กตัวร์ต้องการรักษาอำนาจเกิดความวุ่นวายและขัดแย้งภายใจยึดอำนาจกันเอง การบุกอียิปต์ของนโปเลียนทำให้ชาติต่าง ๆ ในยุโรปรวมตัวกันอีกครั้งเป็นสัมพันธมิตรครั้งที่สอง (Second Coalition) เพื่อต่อต้านการขยายอำนาจของฝรั่งเศส นโปเลียนสามารถฝ่าวงล้อมของบริเตนออกมาจากอียิปต์ได้ใน ค.ศ. 1799 กลับมายังฝรั่งเศส ทำการยึดอำนาจจากคณะไดเร็กตัวร์ เรียกว่า เหตุการณ์รัฐประหาร 18 ฟรุกติดอร์ (18 Fructidor)
คณะกงสุล (ค.ศ. 1799 – 1804)
รัฐธรรมนูญแห่งปีที่ 8 (ค.ศ. 1799) ตั้งคณะกงสุล (Consulate) ประกอบด้วยกงสุล 3 คน หนึ่งในนั้นคือนโปเลียนเองขึ้นปกครองฝรั่งเศส ใน ค.ศ. 1800 นโปเลียนใช้อำนาจบีบบังคับให้คณะกงสุลเห็นชอบให้ตนเองเป็นกงสุลใหญ่ (First Consul) ในเวลาเดียวกันนโปเลียนเอาชนะออสเตรียได้ที่อิตาลีอีกครั้ง นำไปสู่สนธิสัญญาลูเนวิลล์ (Luneville) ออสเตรียยกเยอรมนีส่วนทางตะวันออกของแม่น้ำไรน์ทั้งหมดให้แก่ฝรั่งเศส นโปเลียนสนับสนุนให้ชาวฝรั่งเศสกลับมานับถือคริสต์ศาสนาอีกครั้งใน ค.ศ. 1801 โดยบรรลุข้อตกลงกับพระสันตปาปา ทางกรุงโรมยินยอมมอบอำนาจการปกครองศาสนาในฝรั่งเศสให้นโปเลียน ใน ค.ศ. 1802 บริเตนทำสนธิสัญญาอาเมียง (Amiens) ยอมคืนอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ที่ยึดไปให้แกฝรั่งเศส นโปเลียนใช้อิทธิพลอีกครั้งให้ตนเองเป็นกงสุลใหญ่ตลอดชีพ (First Consul for Life)
ยุคนโปเลียน
ในปี ค.ศ. 1804 นโปเลียนปราบดาภิเษกตนเองเป็นจักรพรรดิ เริ่มจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 1 (First Empire) พระเจ้านโปเลียนทรงปรับปรุงกองทัพฝรั่งเศสเป็น "กองทัพใหญ่" (Grand Armée) ในปี ค.ศ. 1805 การประกาศฝรั่งเศสเป็นจักรวรรดิทำให้ชาติต่างๆรวมตัวกันอีกครั้งเป็นสัมพันธมิตรครั้งที่สาม (Third Coaltion) พระเจ้านโปเลียนทรงนำทัพบุกเยอรมนี ชนะทัพออสเตรียที่อุล์ม (Ulm) แต่ทางทะเลพ่ายแพ้อังกฤษที่แหลมทราฟัลการ์ (Trafalgar) ชัยชนะที่อุล์มทำให้พระเจ้านโปเลียนทรงรุกคืบเข้าไปในออสเตรีย ชนะออสเตรียและรัสเซียที่เอาสเทอร์ลิทซ์ (Austerlitz) เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนโปเลียน กลุ่มสัมพันธมิตรครั้งที่สามจึงสลายตัวไปตามมาด้วยสนธิสัญญาเพรสบูร์ก (Pressburg) ยกเลิกจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิในเยอรมนีไป พระเจ้านโปเลียนตั้งสมาพันธรัฐแห่งไรน์ (Confederation of the Rhine) ขึ้นมาแทนที่เป็นรัฐบริวารของฝรั่งเศส
ความสำเร็จของนโปเลียนในเยอรมนีทำให้ปรัสเซียร่วมกับบริเทนและรัสเซียตั้งสัมพันธมิตรครั้งที่สี่ (Fourth Coalition) แต่ครั้งนี้ฝรั่งเศสแผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วยุโรปและได้รับการสนับสนุนจากรัฐบริวารต่างๆ นโปเลียนนำทัพบุกปรัสเซีย ได้รับชัยชนะที่ และชนะรัสเซียที่ฟรีดแลนด์ (Friedland) นำไปสู่สนธิสัญญาทิลซิท (Tilsit) ปรัสเซียสูญเสียดินแดนโปแลนด์ทางทิศตะวันออก กลายเป็นรัฐแกรนด์ดัชชีแห่งวอร์ซอว์ (Grand Duchy of Warsaw) ภายใต้การกำกับของฝรั่งเศส และจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งรัสเซีย ทรงเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสและเข้าระบบภาคพื้นทวีป (Continental system) เพื่อตัดขาดบริเตนทางการค้าจากผืนทวีปยุโรป
สองประเทศ คือ สวีเดนและโปรตุเกส เป็นกลางและไม่ยอมเข้าร่วมระบบภาคพื้นทวีป จักรพรรดินโปเลียนทรงยกทัพบุกโปรตุเกสใน ค.ศ. 1807 แต่ก็ทรงฉวยโอกาสยึดประเทศสเปนในรัชสมัยของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 4 แห่งสเปน ราชวงศ์บูร์บง และยกราชสมบัติสเปนให้แก่พระอนุชาคือโจเซฟ โบนาปาร์ต (Joseph Bonaparte) เป็นกษัตริย์แห่งสเปน โปรตุเกสตกอยู่ในอาณัติของฝรั่งเศส แต่ชาวสเปนและชาวโปรตุเกสยังคงต่อต้านอำนาจของฝรั่งเศส นำไปสู่สงครามคาบสมุทร (Peninsula War) สเปนและโปรตุเกสต่อต้านการปกครองของนโปเลียน โดยใช้การสงครามรูปแบบกองโจร (Guerilla Warfare) ฝ่ายบริเตนส่งดยุคแห่งเวลลิงตัน (Duke of Wellington) มาช่วยเหลือสเปนและโปรตุเกส
ในปี ค.ศ. 1809 ออสเตรียริเริ่มทำสงครามกับฝรั่งเศสอีกครั้ง ในสงครามสหสัมพันธมิตรครั้งที่ห้า พระเจ้านโปเลียนทรงชนะออสเตรียที่แอสเปิร์น-เอสลิง (Aspern-Essling) และวากราม (Wagram) จนทำสนธิสัญญาเชินบรุนน์ (Schönbrunn) ออสเตรียเสียดินแดนเพิ่มเติมให้ฝรั่งเศส และนโปเลียนอภิเษกกับอาร์ชดัชเชสมารี-หลุยส์ (Archduchess Marie-Louis)
พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ทรงนำรัสเซียทำสงครามกับนโปเลียนอีกครั้ง ในค.ศ. 1812 นโปเลียนทรงนำทัพบุกรัสเซียกลางฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ รัสเซียหลอกลวงให้ทัพฝรั่งเศสเดินทัพเข้าไปพบกับอากาศอันรุนแรงของฤดูหนาวรัสเซียทำให้ทหารฝรั่งเศสอดอาหารและหนาวตายจำนวนมาก แม้ทัพฝรั่งเศสจะไปถึงมอสโกแต่ทั้งเมืองมอสโกถูกเผาอย่างจงใจเพื่อไม่ให้เสบียงตกถึงมือนโปเลียน การบุกรัสเซียเป็นความพ่ายแพ้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนโปเลียน ชัยชนะของรัสเซียปลุกระดมชาติต่าง ๆ ให้รวมตัวกันทำสงครามสหสัมพันธมิตรครั้งที่หก (Sixth Coalition) เอาชนะนโปเลียนในยุทธการที่ไลพ์ซิจ (Leipzig) ทำให้นโปเลียนถอยกลับฝรั่งเศส
ในปี ค.ศ. 1813 จักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศสทรงถูกบังคับให้สละบัลลังก์ เพราะได้รับการต่อต้านจากชาวฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1814 สัมพันธมิตรเข้าบุกยึดกรุงปารีส ทำสนธิสัญญาฟงแตนโบล (Fontainebleau) เนรเทศนโปเลียนไปเกาะเอลบาในอิตาลี สิ้นสุดจักรวรรดิที่ 1
ยุคราชวงศ์ฟื้นฟู (ค.ศ. 1815 – 1830)
เกาะเล็กๆเช่นเกาะอัลบาไม่อาจขวางกั้นนโปเลียนได้ ขณะที่ชาติต่างๆในยุโรปกำลังวางแผนการประชุมใหญ่แห่งเวียนนา (Congress of Vienna) เพื่อนำยุโรปสู่หวนกลับคืนสู่สภาวะเดิมก่อนปฏิวัติฝรั่งเศส นโปเลียนสามารถเดินทางกลับมายึดอำนาจในฝรั่งเศสได้อีกครั้งในปี ค.ศ. 1815 และดำรงอยู่ได้ร้อยวัน จนชาติต่างๆ ใน (Seventh Coalition) เอาชนะนโปเลียนในยุทธการวอเตอร์ลู ทำให้นโปเลียนถูกเนรเทศไปเกาะเซนต์เฮเลนา (Saint Helena) ของบริเตนกลางมหาสมุทรแอตแลนติก จนเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1821
ภายใต้ข้อตกลงของคองเกรสแห่งเวียนนา ราชวงศ์บูร์บงกลับมาครองฝรั่งเศสอีกครั้ง เคานต์แห่งพรอว็องส์ (Comte de Provence) พระอนุชาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กลับเข้าฝรั่งเศสมาครองราชสมบัติเป็นพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 รัฐบาลใหม่ของฝรั่งเศสเป็นแบบสองสภา คือ สภาขุนนาง (Chamber of Peers) และสภาผู้แทน (Chamber of Deputies) ทำให้ฝ่ายนิยมราชาธิปไตยมีอำนาจขึ้น เกิดกวาดล้างขบวนการปฏิวัติและกลุ่มของนโปเลียนเดิม เรียกว่า มิคสัญญีขาว (White Terror) ทำให้ประชาชนหวาดกลัว การเลือกตั้งปี ค.ศ. 1815 กลุ่มนิยมราชาธิปไตยจึงได้รับการเลือกตั้งท่วมท้น เรียกว่า chambre introuvable แปลว่า สภาที่ทำงานด้วยไม่ได้ พระเจ้าหลุยส์ทรงยุบสภานี้เสีย เพราะทรงตระหนักว่าสภานี้มีนโยบายที่รุนแรงเกินไป และเลือกตั้งใหม่ จึงได้กลุ่มเสรีนิยมมากขึ้น
ในปี ค.ศ. 1818 บรรดาชาติที่ชนะสงครามนโปเลียนประชุม (Congress of Aix-la-Chapelle) ตกลงถอนทหารจากฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1824 เคานต์แห่งอาร์ตัวส์ (Comte d'Artois) ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 10 ทรงเป็นกษัตริย์ที่ให้การสนับสนุนแก่กลุ่ม ultra-royalist ในปี ค.ศ. 1825 ทรงออก (Sacrilege Act) เพื่อป้องกันไม่ให้โบสถ์ต่างถูกโจมตีเหมือนสมัยปฏิวัติใน ค.ศ. 1829 มี (Prince de Polignac) เป็นประธานสภา (President of the Council - นายกรัฐมนตรี) ทั้งพระเจ้าชาร์ลส์และปอลีญักดำเนินนโยบายอนุรักษนิยมฟื้นฟูราชาธิปไตย
ในปี ค.ศ. 1830 ปอลีญักนำฝรั่งเศสบุกยึดแอลจีเรีย เป็นอาณานิคมแรกของฝรั่งเศสในแอฟริกา และโปลิญักออกกฤษฎีกาเดือนกรกฎาคม (July Ordinances) ยกเลิกสภาผู้แทน จำกัดสิทธิการเลือกตั้งเหลือแต่คนร่ำรวย และจำกัดเสรีภาพสื่อสิ่งพิมพ์ ทำให้เกิด การปฏิวัติเดือนกรกฎาคม (July Revolution) พระเจ้าชาร์ลส์ทรงสละราชบัลลังก์ให้พระนัดดา คือ ดยุกแห่งบอร์โดซ์ (Duc de Bordeaux) แต่คณะปฏิวัติกลับยกราชสมบัติให้แด่เจ้าชายหลุยส์-ฟิลิป แห่งราชวงศ์บูร์บงสายออร์เลอองส์ เป็นพระเจ้าหลุยส์-ฟิลิป ทำให้ฝ่ายสนับสนุนราชาธิปไตยแบ่งแยกเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มเลฌิติมิสต์ (Legitimist) หรือกลุ่มราชวงศ์บูร์บงสายสิทธิชอบธรรม สนับสนุนราชวงศ์บูร์บงเดิม และกลุ่มออร์เลอองนิสต์ (Orléanist) สนับสนุนราชวงศ์บูร์บงสาขาออร์เลอองส์
ราชาธิปไตยเดือนกรกฎาคม (ค.ศ. 1830 – 1848)
พระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปทรงดำรงพระยศเป็นกษัตริย์ของชาวฝรั่งเศส (King of the French) ไม่ใช่กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส (King of France) ทรงเป็นกษัตริย์ที่สมถะไม่ฟุ่มเฟือยและทรงรักเสรีภาพ ทำให้ทรงได้รับสมญานามว่ากษัตริย์ประชาชน (The Citizen King) การปกครองของฝรั่งเศสเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) ดำรงอยู่ได้ 18 ปี เรียกว่า ราชาธิปไตยเดือนกรกฎาคม (July Monarchy) เพราะมาจากการปฏิวัติกรกฎาคม
ในช่วงแรกของราชาธิปไตยเดือนกรกฎาคม พระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปทรงเป็นที่รักของปวงชนอย่างมาก และทรงไม่เหมือนกับพระราชวงศ์พระองค์ก่อนๆ คือทรงสมาคมแต่กับกลุ่มพ่อค้านายธนาคาร กลุ่มชนชั้นกลาง (Bourgeoisie) ทำให้ตำแหน่งประธานสภาในสมัยนี้มาจากชนชั้นกลางทั้งสิ้น เป็นธรรมนูญของพระองค์ ซึ่งมีความเป็นประชาธิปไตยและเสรีมากกว่าเดิมและพระราชอำนาจก็ถูกริดรอนลงไปมาก ในสมัยนี้ยังเกิดกลุ่มดอกตริแนร์ (Doctrinaire) คือ ฝ่ายที่ประนีประนอมระหว่างฝ่ายราชาธิปไตยและฝ่ายสาธารณรัฐให้สามารถอยู่ร่วมกันได้
แต่ในสมัยราชาธิปไตยเดือนกรกฎาคมเกิดความขัดแย้งทางกาเรเมืองขึ้น เนื่องจากรัฐบาลอันประกอบด้วยกลุ่มดอกตริแนร์และกลุ่มออร์เลอองนิสต์ (Orléanist) พยายามจะดำเนินนโยบายที่เป็นกลาง ทำให้ทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายเสรีนิยมต่างไม่นิยมรัฐบาลนี้ ประธานสภาแม้จะมาจากชนชั้นกลางแต่มีความนโยบายแบบอนุรักษ์นิยม ใน ค.ศ. 1831 (Casimir Perier) สั่งปิดสมาคมการเมืองและสหภาพแรงงานต่างๆ ทำให้ฝ่ายเสรีนิยมก่อ (Canut revolts) ในเมืองลียง ฝ่ายอนุรักษ์นิยมประกอบด้วยฝ่ายราชวงศ์บูร์บงสายสิทธิโดยชอบธรรม หรือกลุ่มเลฌิติมิสต์ ก่อการกบฏต่อต้านรัฐบาลในค.ศ. 1832 นำโดย
ในกลุ่มดอกตริแนร์เองก็แบ่งเป็นสองฝ่าย ได้แก่ พรรคเคลื่อนไหว (Parti du Movement) คือ ฝ่ายเสรีที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวเรียกร้องเสรีภาพ นำโดย (Adolph Thiers) และพรรคต่อต้าน (Parti de la résistance) คือ ฝ่ายอนุรักษนิยมที่ต่อต้านการเคลื่อนไหวเรียกร้องเสรีภาพ นำโดย (François Guizot) กาสิมี แปริแอร์ และ (Comte Molé)
ในระยะหลังของสมัยราชาธิปไตยเดือนกรกฎาคม กลุ่มพรรคต่อต้านมีอำนาจมากและได้ครอบครองตำแหน่งประธานสภา พรรคต่อต้านปิดสมาคมต่างๆเพื่อยับยั้งการเคลื่อนไหวของฝ่ายซ้ายและกีดกันให้ออกจากสภา และยังออกกฎหมายช่วยเหลือชนชั้นกลางให้ได้ประโยชน์จากการจ้างแรงงาน ซึ่งแรงงานชนชั้นล่างนั้นสามารถออกมาเรียกร้องการถูกเอารับเอาเปรียบได้เกรงว่าจะถูกข้อหากบฏ ฝรั่งเศสเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) ทำให้เกิดชนชั้นแรงงานขึ้นเป็นครั้งแรกในฝรั่งเศส ชีวิตชาวฝรั่งเศสชนชั้นแรงงานน่าเวทนาอย่างมาก ประชาชนยากจนและเกิดการว่างงาน เกิดความเลื่อมล้ำทางสังคมอย่างแรงระหว่างชนชั้นกลางที่ร่ำรวยกับแรงงานที่ยากจน
ในค.ศ. 1840 นายกีโซต์เป็นประธานสภา แม้หลายฝ่ายจะพยายามเสนอให้มีการปฏิรูปการปกครองแก้ไขภาวะเสื่อมโทรมทางสังคมและเศรษฐกิจ แต่กีโซต์ไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงใดๆ ในสมัยราชาธิปไตยเดือนกรกฎาคม สิทธิ์การเลือกตั้งนั้นเป็นของผู้ร่ำรวย ที่สามารถจ่ายภาษีตามเกณฑ์ให้รัฐได้ อันเป็นการรักษาอำนาจของชนชั้นกลางตอนบน (Haute Bourgeoisie) เพราะชนชั้นกลางเท่านั้นที่มีสิทธิ์เลือกตั้งเพราะมีเงิน ชนชั้นล่างไม่มีสิทธิ์ มีความพยายามหลายครั้งที่จะแก้ไขสิทธิ์การเลือกตั้ง แต่กีโซต์ก็ตอบกลับด้วยคำพูดว่า ก็ทำตัวเองให้รวยสิ (Enrichissez-vous)
ในค.ศ. 1846 เกิดภาวะข้าวยากหมากแพงราคาอาหารสูงขึ้น เกิดการก่อจลาจลทั่วประเทศในค.ศ. 1847 ในค.ศ. 1848 มีการนัดพบกันตามเมืองใหญ่เพื่อหารือเพื่อยกเลิกการปกครองเก่า เรียกว่า Campaigne des banquets แม้กีโซต์จะลาออก และพระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปจะทรงสละราชสมบัติให้พระราชโอรส แต่สภาวการณ์บานปลายเกิดกว่าจะแก้ไข ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1848 ฝรั่งเศสประกาศตั้ง (Second Republic)
สาธารณรัฐที่ 2 (ค.ศ. 1848 – 1852)
หลังจากการปฏิวัติได้มีการจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล (Provisional government) ขึ้น เพื่อปกครองฝรั่งเศสจนกว่าจะได้รัฐธรรมนูญใหม่ โดยมี (Dupont de l'Eure) เป็นประธานสภา และมีคณะกรรมการบริหาร (Executive Commission) ทำหน้าที่เป็นประมุขแห่งรัฐชั่วคราว แต่เกิดการลุกฮือขึ้นของฝ่ายสังคมนิยมซึ่งใช้ธงแดงเป็นสัญลักษณ์ คัดค้านแนวความคิดเสรีนิยมแบบประชาธิปไตยสาธารณรัฐซึ่งใช้ธงไตรรงค์เป็นสัญลักษณ์ และเห็นว่าตลอดการเปลี่ยนแปลงการปกครองของฝรั่งเศสหลายครั้งที่ผ่านมากรรมกรและชนชั้นล่างขาดบทบาททางการเมือง เกิดจลาจลของชนชั้นผู้ใช้แรงงานขึ้นในปารีส เรียกว่า (June Days Uprisings) ฝ่ายรัฐบาลเฉพาะกาลนำโดย (Louis-Eugène Cavaignac) นำกองกำลังเข้าปราบปรามจลาจลอย่างรุนแรง
การร่างรัฐธรรมนูญฉบับค.ศ. 1848 เสร็จสิ้นในเดือนพฤศจิกายน และกำหนดให้มีการเลือกตั้งในเดือนธันวาคม ซึ่งเจ้าชาย พระนัดดาของพระจักรพรรดินโปเลียน ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งด้วยนโยบายสังคมนิยมทำให้หลุยส์-นโปเลียนได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายธงแดงและฝ่ายนิยมราชาธิปไตย ในขณะที่ฝ่ายสาธารณรัฐนำโดยกาแวนญัคพ่ายแพ้การเลือกตั้งไป หลุยส์-นโปเลียนจึงได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีของฝรั่งเศสในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1848 เป็นครั้งแรกที่ฝรั่งเศสมีผู้นำของรัฐเป็นประธานาธิบดีตามรัฐธรรมนูญใหม่
ในรัฐสภาสมัยของหลุยส์-นโปเลียนประกอบด้วยกลุ่มเลฌิติมิสต์ฝ่ายขวาอนุรักษ์นิยม และฝ่ายกลาง-ขวาคือกลุ่มออร์เลียงนิสต์ รัฐธรรมนูญฉบับปีค.ศ. 1848 ไม่อนุญาตให้ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งเกินกว่าหนึ่งสมัย ซึ่งหลุยส์-นโปเลียนได้พยายามที่จะแก้ไขกฎหมายนี้แต่ฝ่ายราชาธิปไตยในสภาไม่เห็นชอบด้วย ในเดือนพฤษภาคมค.ศ. 1850 รัฐสภาฝ่ายราชาธิปไตยได้ออกกฎหมายตัดสิทธิ์เลือกตั้งของชนชั้นล่าง หลุยส์-นโปเลียนจึงใช้โอกาสนี้เดินสายปราศรัยโจมตีรัฐบาลฝ่ายขวา และได้รับความนิยมในกลุ่มสังคมนิยม จนกระทั่งในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1851 หลุยส์-นโปเลียนได้ก่อการรัฐประหาร (Coup of 1851) เพื่อยึดอำนาจจากรัฐบาลฝ่ายขวา อีกหนึ่งปีต่อมาในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1852 มีการลงประชามติเห็นชอบให้ยุบสาธารณรัฐครั้งที่สองและประกาศให้ประเทศฝรั่งเศสเป็นจักรวรรดิอีกครั้ง เรียกว่า จักรวรรดิที่สอง (Second Empire)
จักรวรรดิที่ 2 (ค.ศ. 1852 – 1870)
รัฐธรรมนูญปีค.ศ. 1852 กำหนดให้จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร และยังคงมีรัฐสภาอยู่ทำหน้าที่นิติบัญญัติ เป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่อำนาจที่แท้จริงนั้นอยู๋ที่องค์พระจักรพรรดิ ในช่วงแรกของจักรวรรดิที่สองจักรพรรดินโปเลียนทรงจำกัดเสรีภาพสื่อสิ่งพิมพ์อย่างหนักและมีความเผด็จการอย่างมาก เพื่อสยบการวิจารณ์และการโจมตีของฝ่ายซ้ายสาธารณรัฐ จักรพรรดินโปเลียนที่สามทรงยึดมั่นในคติพจน์จักรวรรดินำมาซึ่งสันติภาพ (L'Empire, c'est la paix) แม้กระนั้นก็ทรงนำฝรั่งเศสเข้าสู่สงครามหลายครั้ง
- ในค.ศ. 1854 จักรพรรดินโปเลียนได้ทรงนำฝรั่งเศสเข้าช่วยเหลือจักรวรรดิออตโตมานในการต่อต้านแการแผ่ขยายอำนาจของจักรวรรดิรัสเซียในสงครามไครเมีย (Crimean War) นำไปสู่ (Treaty of Paris 1856) เปิดโอกาสให้ฝรั่งเศสเข้าแทรกแซงตะวันออกกลาง
ในรัชสมัยของจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ยังเป็นจุดเริ่มต้นของลัทธิจักรวรรดินิยมของฝรั่งเศสอีกด้วย โดยได้ทำการแผ่ขยายอำนาจและอาณานิคมในภูมิภาคเอเชีย อันได้แก่
- ในค.ศ. 1856 ได้ส่งทัพเข้าช่วยเหลือสหราชอาณาจักรในการทำสงครามฝิ่นครั้งที่สอง (Second Opium War) กับจีนราชวงศ์ชิง
- ในค.ศ. 1859 (Charles Rigault de Genouilly) ได้นำทัพเรือฝรั่งเศสเข้ายึดเมืองท่าไซ่ง่อน ของเวียดนามซึ่งปกครองโดยราชวงศ์เหวียน ได้ยอมยกโคชินจีน (Cochinchina) ดินแดนทางตอนใต้ของประเทศให้แก่ฝรั่งเศสในค.ศ. 1862
- พระนโรดมทรงยินยอมให้เป็นรัฐอารักขา (Protectorate) ของฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1863
ในค.ศ. 1859 จักรพรรดินโปเลียนทรงส่งทัพฝรั่งเศสเข้าช่วยเหลือราชอาณาจักรซาร์ดีเนีย (Kingdom of Sardinia) ซึ่งนำโดย (Count of Cavour) ใน (Second War of Italian Independence) ในการขับไล่ราชวงศ์ฮับส์บูร์กออกไปจากคาบสมุทรอิตาลี โดยที่ฝรั่งเศสได้รับแคว้นซาวอย (Savoy) และนีซ (Nice) มาเป็นการตอบแทน
ในชณะเดียวกันนั้น แคว้นปรัสเซีย (Prussia) กำลังเรืองอำนาจอยู่ในเยอรมนีและกำลังทำสงครามเพื่อทำการรวมชาติเยอรมัน (German unification) จักรพรรดินโปเลียนทรงเห็นว่าการแผ่ขยายอำนาจของปรัสเซียจะเป็นภัยคุกคามต่อฝรั่งเศส ประกอบกับในค.ศ. 1870 ได้มีการรั่วไหลของ Ems Dispatch หรือโทรเลขที่แสดงความขัดแย้งระหว่างกษัตริย์แห่งปรัสเซียและทูตฝรั่งเศส ที่ส่งถึงออตโต ฟอน บิสมาร์ก (Otto von Bismarck) เป็นจุดชนวนนำไปสู่งสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย (Franco-Prussian War) ปรากฏว่าทัพฝ่ายปรัสเซียมีชัยชนะเหนือทัพฝรั่งเศส สามารถบุกเข้ามาในประเทศฝรั่งเศสได้ และจักรพรรดินโปเลียนก็ทรงพ่ายแพ้และถูกจับพระองค์ได้ในยุทธการซีดัง (Battle of Sedan) ในเดือนกันยายน เพียงสองวันต่อมาฝ่ายซ้ายสาธารณรัฐได้เลิกล้มการปกครองของจักรวรรดิฝรั่งเศส และจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลขึ้นปกครองฝรั่งเศสแทน ในเวลาเดียวกับที่ทัพปรัสเซียได้ยกเข้าล้อมกรุงปารีส
สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 (ค.ศ. 1870 – 1940)
เมื่อพระจักรพรรดินโปเลียนทรงถูกจับพระองค์ไปนั้น ทางเมืองปารีสก็ได้จัดตั้งรัฐบาลป้องกันประเทศ (Le Gouvernement de la Défense Nationale) ในขณะที่ทัพของปรัสเซียได้ยกเข้าล้อมเมืองปารีส จนกระทั่งเดือนมกราคมค.ศ. 1871 ทางรัฐบาลฝรั่งเศสจึงยอมจำนนและให้ทัพเยอรมันเข้าเมือง และมีการเลือกตั้งสมัชชาแห่งชาติได้รัฐบาลที่มีฝ่ายขวานิยมราชาธิปไตยเป็นเสียงข้างมาก โดยอดอล์ฟ ตีแยร์ ผู้ซึ่งเป็นฝ่ายออร์เลียงนิสต์เป็นประธานาธิบดี ในเดือนพฤษภาคมได้ทำสนธิสัญญาแฟรงก์เฟิร์ต (Treaty of Frankfurt) กับจักรวรรดิเยอรมัน โดยที่เสียแคว้นอัลซาส (Alsace) และ (Lorraine) ทางตะวันออกของฝรั่งเศสให้แก่จักรวรรดิเยอรมันที่เพิ่งเกิดใหม่ เมื่อร่าง เสร็จสิ้นแล้ว จึงได้มีการเลือกตั้งอีกครั้งในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1877 ผลคือนาย (Patrice de MacMahon) ที่เป็นเลฌิติมิสต์เป็นประธานาธิบดี มักมาองได้พยายามที่จะออกกฎหมายต่างๆให้ฝรั่งเศสกลับสู่ราชาธิปไตยอีกครั้ง แต่ต้องประสบปัญหากับการต่อต้านจากฝ่ายซ้ายสาธารณรัฐในสภา ทำให้ต้องยุบสภาในเดือนมกราคมค.ศ. 1879
ฝรั่งเศสยุคสงครามโลกครั้งที่สอง (ค.ศ. 1940 – 1946)
หลังจากถูกนาซีเยอรมันยึดกรุงปารีสได้ นาซีได้ตั้งรัฐบาลหุ่นฝรั่งเศสขึ้นที่เมือง รัฐบาลในช่วงนี้จึงเรียกว่า วิชีฝรั่งเศส อีกด้านหนึ่งนายพลชาลส์ เดอ โกล ได้ตั้ง (France Libre หรือ en:Free French Forces) ที่กรุงลอนดอนเพื่อต่อต้านนาซีและรัฐบาลวิชีฝรั่งเศส ในขณะนั้น
สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 4 (ค.ศ. 1946 – 1958)
รัฐบาลใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่สองมีบทบาทในสงครามอินโดจีนครั้งแรก และพ่ายแพ้ต่อเวียดนามเหนือที่นำโดยโฮจิมินห์ โดยเฉพาะการศึกที่เดียนเบียนฟู รัฐบาลในช่วงนี้ไม่มีเสถียรภาพ และเหตุการณ์สุกงอมเมื่อปี 1958 ฝรั่งเศสแพ้สงครามที่แอลจีเรีย ปลดปล่อยอิสรภาพ (en:Algerian War) นายพลชาลส์ เดอ โกลจึงยึดอำนาจและร่างรัฐธรรมนูญใหม่เป็นสาธารณรัฐที่ 5
เพิ่มเติม en:French Fourth Republic
สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 5 (ค.ศ. 1958 – ปัจจุบัน)
นายพลชาร์ล เดอ โกลใช้ระบบประธานาธิบดีที่เลือกตั้งจากประชาชนโดยตรงแทนระบบรัฐสภาแบบเดิม ซึ่งคงอยู่มาถึงปัจจุบัน สาธารณรัฐที่ 5 ของฝรั่งเศสมีประธานาธิบดีมาทั้งหมด 8 คน
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
- Jones, Tim. . Anthropology.net. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-09-24. สืบค้นเมื่อ 21 June 2012.
- I. E. S. Edwards, ed. (1970). The Cambridge Ancient History. Cambridge U.P. p. 754. ISBN .
{{}}
:|author=
มีชื่อเรียกทั่วไป ((help)) - Claude Orrieux; Pauline Schmitt Pantel (1999). A History of Ancient Greece. Blackwell. p. 62. ISBN .
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
bthkhwamniidrbaecngihprbprunghlaykhx krunachwyprbprungbthkhwam hruxxphipraypyhathihnaxphipray bthkhwamnitxngkarcdrupaebbkhxkhwam karcdhna karaebnghwkhx karcdlingkphayin aelaxun bthkhwamnitxngkarphisucnxksr xacepndankarichphasa karsakd iwyakrn rupaebbkarekhiyn hruxkaraeplcakphasaxun bthkhwamniyngkhadaehlngxangxingephuxphisucnkhwamthuktxnglingkkhamphasa inbthkhwamni miiwihphuxanaelaphurwmaekikhbthkhwamsuksaephimetimodysadwk enuxngcakwikiphiediyphasaithyyngimmibthkhwamdngklaw krann khwrribsrangepnbthkhwamodyerwthisud frngessepndinaednthiekhyxyuitkarpkkhrxngkhxngckrwrrdiormnmakxn odyruckkninchuxkhxngchnepha hruxaekhwnkxl sungepnklumchnephakhnadihythiphud inchwngthaykxnthickrwrrdiormncalmslaylng dinaednkxlthukrukrancakthngkarocmtikhxngklumxnarychnaelakarxphyphkhxngklumkhnerrxn odyechphaachawaefrngkechuxsayecxrmanikh phramhakstriyaefrngknamwa okhlwisthi 1 idthrngrwbrwmdinaednswnmakkhxngkxlphayitkarpkkhrxngkhxngphraxngkhinchwngkhriststwrrsthi 5 nbepncuderimtnkhxngxiththiphlchawaefrngkinphumiphakhnithidaenintxipxikhlayrxypi xanackhxngaefrngkdaeninmathungcudsungsudinchwngkhxngphraecacharelxmay rachxanackrfrngessyukhklangkidthuxkaenidkhuncakkarepnphunthiswnhnungthangthistawntkkhxngckrwrrdikarxaelngechiyngkhxngcharelxmay sungruckkninnam frngekiytawntk aelaephimphunxiththiphlkhxngtnkhuneruxymaphayitkarpkkhrxngkhxngtrakulkaaepsungkxtngodyxuk kaaepinpi kh s 987 wikvtkarnkarsubrachbllngkekidkhunemuxphramhakstriyxngkhsudthayaehngrachwngskaepesiyngswrrkhtlngodyirsungrchthayathinpi kh s 1337 naipsuehtukarnkhwamkhdaeynghlaykhrngthiruckkninnam sngkhramrxypi rahwangrachwngswalwkbrachwngsaephlnaethecent khwamkhdaeyngsinsudlngdwychychnakhxngrachwngswalwinpi kh s 1453 xnepnkarrwbrdxanackhxng xxngesiyngerchim inthanarabxbsmburnayasiththirachyaebbrwmsunyxanacxyangyingywd tlxdchwngkhriststwrrsthdma frngesskekhasusmyfunfusilpwithyaaelakarptirupsasnafayopretsaetnt echnediywkbkareyiywyakhwamkhdaeyngthangsasnaaelasngkhramkbkhumxanacxun ckrwrrdixananikhmfrngessthikalngetibotkthuksthapnakhuninyukhkhriststwrrsthi 16 niexng inchwngthaykhxngkhriststwrrsthi 18 rabxbkstriyaelaecakhunmulnaythuklmlanginkarptiwtifrngess sungepliynochmhnaprawtisastrfrngessaelaprawtisastrolkiptlxdkal praethsfrngessthukpkkhrxngodyrabxbsatharnrthepnrayaewlahnung kxnthicathukaethnthidwyrabxbckrwrrdiemuxnopeliyn obnapart prakastnepnckrphrrdi tammadwykhwamphayaephkhxngnopeliyninsngkhramnopeliyn frngesscungepliynphanekhasukarepliynaeplngrabxbkarpkkhrxnghlaykhrng echn karfunfurabxbkstriy karsthapnarabxbsatharnrthkhrngthisxngchwngsn tammadwyckrwrrdithisxng cnipsinsudlngthisatharnrthfrngessthisamsungsthapnakhuninpi kh s 1870 frngesshnunginitrphakhirahwangchwngsngkhramolkkhrngthihnung rwmtxsuekhiyngkhangshrachxanackraelarsesiy aelainfaysmphnthmitrinsngkhramolkkhrngthihnung sungtxsukbfaymhaxanacklang frngessepnhnunginfaysmphnthmitrinsngkhramolkkhrngthisxng aetthukyudkhrxngodynasieyxrmniinpi kh s 1940 satharnrththisamcunglmslaylng phunthiswnmakkhxngpraethsthukkhwbkhumodytrngcakfayxksa inkhnathithangtxnitthukkhwbkhumodykxngkalngphsmrthbalwichi tammadwyinpi kh s 1944 satharnrththisicungthuksthapnakhun satharnrththisithuksubthxdodysatharnrththihainpi kh s 1958 sungepnrthbalyukhpccubn txmamikarthasngkhrameriykrxngexkrach thaihxananikhmckrwrrdifrngessswnmakklayepnrthexkrach inkhnathibangxananikhmyngxyuphayitduaelodysanknganophnthaelkhxngrthbalfrngessaelabangaehngklaymaepnxananikhmophnthael tngaetsngkhramolkkhrngthisxngepntnma frngessepnsmachikphunainshprachachati shphaphyuorp aelaxngkhkarsnthisyyapxngknaextaelntikehnux rwmthungyngepnpraethsphunathangdanesrsthkic wthnthrrm karthhar aelakaremuxnginyukhkhriststwrrsthi 21prawtisastryukhobranyukhkxnprawtisastr ekhruxngmuxhinbngbxkwamnusyyukhaerkxasyxyuinfrngessxyangnxykemux 1 57 lanpikxn mnusyniaexnedxrthalaephrkracayipthwyuorptngaetraw 4 aesnpikxnkhristkal aetmasuyphnthipraw 30 000 pikxn swnmnusyyukhpccubnprakttwkhrngaerkinbriewnniemux 43 000 pikxn karcdbnthukthung prawtisastrfrngess praktkhrngaerkinyukhehlk thisungepnthitngpccubnkhxngpraethsfrngessekhyepnphumiphakhthichawormnruckkninnam kxl nkekhiynchawormnbnthukiwwamichnephathangechuxchati phasaxyusamephahlkindinaednni khux kxl aela chawkxlmicanwnprachakraelakarrwmklumknmakthisud epnchawekhltthiphudphasakxllich inchwngstwrrsthihnungkxnkhristkal chawkrik chawormn aelachawkharethc kxtngxananikhmbntlxdaenwchayfngaelabnekaatang inthaelemdietxrereniynsatharnrthormnphnwkexatxnitkhxngkxlepnmnthlhnungkhxngtnnamwa aekleliynarobennsis instwrrsthisxngkxnkhristkal aelakxngkalngormnphayitkarnakhxngcueliys sisar idyudexaswnthiehluxkhxngkxlmaidinsngkhramkllikchwng 58 51 pikxnkhristkal txmainphayhlngwthnthrrmkalol ormncungthuxkaenidkhunaelachawkxlkthukphnwkekhakbckrwrrdiormnmakyingkhun aekhwnkxl ewxrsinekothrikyxmcanntxcueliys sisar chawekhlth Celts xasyxyuinfrngessaeladinaednrxbkhangmanantngaetkxnprawtisastr sungchawormneriykchawekhlthwa kxl aelaeriykdinaednkhxngphwkekhawaaekhwnkxl emuxngtanginfrngesspccubnkmirakthanmacakchawokl echn emuxngluethethiy paris ebxrdikala bxrods otholsa tulus swnnkedineruxchawkrikktngxananikhmthimassaeliy aelanikhaexiy nis 390 pikxnkh s phunaephaoklnathphbukthalaykrungorm thaihchawormnmikhwamaekhnfngickbchawokl 58 pikxnkh s cueliys sisar idepnkngsulaehngokl phukhrxngaekhwnkxl cungthathphekhaphichitaekhwnkxlthnghmdidemux 52 pikxn kh s in sungphunaephakxl Vercingetorix phayaephaelayxmcann aekhwnkxlaelachawkxlcungtkxyuphayitkarpkkhrxngkhxng chawormnaebngaekhwnkxlxxkepn 5 aekhwn khux aekleliynarobennsis aekleliyaexkhwietheniy aela aekleliyeblcika chawormnkwadtxnchawekhlthkracdkracayipthwckrwrrdiormnephuxpxngknkarrwmtwtxtan cnwthnthrrmormnekhaaethnthiwthnthrrmekhlthinaekhwnkxl phsmphsanrwmknepn Gallo Roman Culture inpi kh s 260 khnathickrwrrdiormnkalngwikvt aekhwnkxlidaetkaeykxxkmaepn Gallic Empire aetkthukckrphrrdixxereliynphnwkxikkhrngin kh s 274 emuxxanackhxngckrwrrdiormnesuxmlng chnephaeyxrmnksamarthrukranekhaaekhwnoklid erimdwychawaewndl Vandals in kh s 406 aelachawwisikxth idrbaekhwnxakiaetnin kh s 410 in kh s 451 xttilaedxahnphyayamcabukoklaetchawormnrwmmuxkbchawwisiokthsamarthtanthaniwidchnaefrngkhemuxckrwrrdiormnlmslay syakheriys Syagrius pkkhrxngaekhwn osxissn Soissons aetthukokhlwis Clovis phunaephasaeliyn aefrngk Salian Franks yngimxxkesiyngaebbfrngess khamaemnairnmayudxanackrkhxngsyakrixusinpi kh s 486 inpi kh s 496 okhlwisekharitkhristsasnaephuxihsamarthpkkhrxngprachachnthiepnkhrisetiynid in kh s 507 okhlwischna kstriykhxngwichikxth aelayudaekhwnxakiaetnkhbilchawwichikxthipsepn okhlwiscungepnpthmkstriyaehngrachwngsemrxaewngechiyng Merovingian misunyklangthiparis aetpraephyikhxngchawaefrngkcatxngaebngsmbtiihbutrethakn dngnnxanackraefrngkcungaetkepnsiaekhwnkhux enisetriy parissunyklang xxstraesiy aerngssunyklang ebxrkndi aelaxakiaetn Pepin of Herstal xkhresnabdi Mayor of the Palace aekhwnxxstraesiy yudaekhwnenisetriy thaihtrakulehxrtalintaaehnngxkhresnabdikhunmamixanacaethnrachwngsemrxaewngechiyng inpi kh s 711 thphkhxngckrwrrdikahlipxumyyahthalayxanackrwichikxth aelaklayepnphykhukkhamthiyingihy inpi kh s 732 Charles Martel lukchaykhxngepaepng khbilkarrukrankhxngchawmuslimidin inpi kh s 751 Pepin the Short lukchaykhxngchars maretl idkhunepnkstriychawaefrngkaelatngrachwngskarxaelngechiyng Carolingian phraoxrskhxngepaepngphuetiysn khux charelxmayrwbrwmxanackraefrngkthiaetkaeykxikkhrngidinpi kh s 771 aephkhyayxiththiphlkhxngchnaefrngkipsungsud odybukyudxitalicaklumlxmbard kh s 774 bukyudaekhwnbawaeriy kh s 788 tankarrukrankhxngchaw kh s 796 yudbaresolnacakrthekhaalifahxumyyahinsepn kh s 801 aelaprabpramchawaesksxn kh s 804 inpi kh s 800 idswmmngkud khxnglxmbard ihcharelxmayepnckrphrrdiormn epnkarerimtnkhxngckrwrrdiormnxnskdisiththi aetxanackrkhaoraelngeciynkaetkaeykemuxhlanthngsamkhxngcharelxmay khux Charles the Bald hluyseyxrmn Louis the German aelaolaethrthi 1 Lothair I khdaeyngknaeyngchingrachsmbti inpi kh s 843 idaebngxanackrepnsamswn swnkhxngchalsphusirsalan khuxanackraefrngktawntk caklayepnpraethsfrngessinpccubn emuxanackraetkaeykrachwngskhaoraelngeciynesuxmxanac thaihchawiwkingsamarthplnsadmemuxngthatang aelaidaekhwnnxrmxngdiipkhrxng banemuxngimmikhuxaep thaihekhantaehngpariskumxanacaethnthirachwngskhaoraelngeciyn aetkechphaainkrungparisethann tamthxngthitang emuxphbwakstriyimsamarthpkpxngphwktncakkarkhukkhamkhxngiwkingid cunghnipphungkhunnangthxngthin epnehtuihrabbskdinaswamiphkdieruxngxanac brrdaecakhrxngaekhwnphakntngtnepnihy odythiekhantaehngparis sungepnbrrphburuskhxngrachwngskaepesiyng Capetian mixanacxyuaekhbriewnparisethannsmyklangxanackrfrngesssmyphraecaxxngrithi1 inkh s 987 rachwngskhaoraelngeciynhmdsinipinxanackraefrngktawntk xuk kaaep Hugh Capet ekhantaehngparis idkhunkhrxngrachynbepnpthmkstriyfrngess rachwngskaepechiyng aetxanackrthiphraecaxukhtxngpkkhrxngnnetmipdwykhwamaetkaeykbrrdakhunnangtangthasngkhramkbexngephuxaeyngchingdinaednhruxaemaetkbttxphraecaxukhthiparis xanackhxngkstriyfrngessnncungnxynidaethbthaxairimid mixanacechphaabriewnparisethann inkh s 1023 oraebrthi 2 phraoxrskhxngxukh kaep idecrcasngbsukkb xanackraefrngktawnxxk wacaimxangsiththikhxngknaelaknxik phraecaoraebrthi 2 thrngidrbsmyawa phuekhrngsasna ephraathrngsrangsntiphaphinhmukhunnang ichwithithangthutmakkwasngkhrameriykwa The Peace and Truce of God aelayngthrngihmikarprbprungwinykhxngbathhlwngesiyihmtamhlkkarkhxngnikayebendikthin eriykwa karptirupklunixk Cluniac Reforms xxngrithi 1 phraoxrskhxngoraebrthi 2 xanackhxngphraxngkhthukldxyangmakephraakhunnangtangaephkhyaydinaedn odyechphaadyukhwileliymaehngnxrmxngdi bukyudxanackrxngkvsinkh s 1066 aelathangitdyukhaehngxakiaetniddinaedninfrngessipkhrungpraeths cninrchsmykhxngphraecahluysthi 6 xanackhxngkstriyfrngesscungerimcaaephkhyay ephraabrrdakhunnangtangichkalngipmakinsngkhramkhruesd thaiherimcaxxnaex phraecahluysthi6 thrngprabprambarxnocr Robber Barons thikhxyplmsadmeruxtangaelamixanacinparis thrngthubthalayprasathkhxngbarxnehlani aelathrngdaeninnoybaythiaekhngkrawkbfaykhunnang khunnangkhnidimechuxfngcathukyudthidinhruxsngkalngipprabpram dinaednkhxngxngkvsbnphunaephndinfrngess inkh s 1137 phraecahluysthi 7 thrngxphiesksmrskbxalieynxraehngxakiaetn Eleanor of Aquitaine butrsawkhxngdyukhaehngxakiaetnxnkwangihy thaihfrngessmisiththicayudaekhwnihyniid inkh s 1154 ehnri phlntacaent Henry Plantaganet dyukhaehngxngchu idepnphraecaehnrithi 2 aehngxngkvs phraecahluysthrngekharwmsngkhramkhruesdkhrngthi 2thaihthrngmikhwamkhdaeyngkbrachiniexelenxr thaihmikarhyakhadcakkninkh s 1152 exelenxraehngxakiaetntxmaxphieskkbehnrithi 2 aehngxngkvs pracwbehmaakbthidyukhaehngxakiaetnsinchiwit thaihxngkvsidaekhwnxakiaetnxnkwangihythangtxnitkhxngfrngessipkhrxng klayepn Angevin Empire phlkhuxxngkvsepnphykhukkhamthiihyhlwngtxkstriyfrngess dwysngkhramthihnkhnwngthaihthrngsamarthyudaekhwnxakiaetncakphraecacxhnaehngxngkvscnekuxbhmdid ehluxephiyngkasokhni inkh s 1214 thaihthidinkhxngfrngessaephkhyayipkwangkwaedimmak aelayngthrngtngmhawithyalyparisxikdwy nkbuyhluys phraecahluysthi 9 kthrngkhbekhiywkbxngkvstxipxik aelathaihthrngyudaekhwntulusid thaihfrngessepn praeths khunmaid aelaklayepnmhaxanacaehngyuorpinsmyklang Philip the Fair thrngthasyyaphnthmitreka Auld Alliance kbskxtaelndephuxtxtanxngkvs thrngkhbilkhnaxswinethmphlar aelatngsphapaelxrmxngt xanackhxngfrngessmimakmayesiycnsamarthdungphrasntpapamaprathbthi Avignon idinkh s 1305 srangkhwamimphxicipthwyuorp dwyekrngwafrngesscakhrxbngaxngkhphrasntpapa inkh s 1324 phraecachalsthi 4 sinphrachnmodyimmithayath thaihrachwngskaepechiyngsaytrngtxngsinsudlng phraecaexdwardthi 3 aehngxngkvsepnphranddakhxngphraecachalsthi 4 epnphrayatichaythiiklchidthisudthangsayphraolhit cungepnphumisiththicakhrxngbllngkmakthisud aetkhunnangfrngess imtxngkarihkstriyxngkvsmapkkhrxngfrngess cungxangkdbtrsallikhkhxngchnaefrngkobranwa karsubsntiwngscatxngphanthangphuchayethann aelaihfilipekhantaehngwalws Philip Count of Valois thisubechuxsaycakphraecafilipthi 3 khunkhrxngrachyepnphraecafilipthi 6 epnpthmkstriyrachwngswalws Valois dynasty sungepnsakhakhxngrachwngskaepechiyng inkh s 1331 phraecaexdwardthi 3 thrngyinyxmthicaslasiththiinbllngkfrngessthngmwlaetkhrxngaekhwnkasokhni inkh s 1333 phraecaexdwardthrngthasngkhramkbskxtaelnd thaihphraecafilipthi 6 thrngehnepnoxkascungnathphbukyudaekhwnkasokhni aetphraecaexdwardthrngprabpramskxtaelndxyangrwderw aelahnmatxbotphraecafilipidthn sngkhramrxypierimtninkh s 1337 intxnaerkthpheruxfrngesssamarthocmtiemuxngthaxngkvsidhlaythi aetlmkepliynthisemuxthpheruxfrngessthukthalaylanginkarrbthisluys Sluys inkh s 1341 trakuldruxsaehngaekhwnbrittanisuysin phraecaexdwardaelaphraecafilipcungsurbknephuxihkhnkhxngtnidkhrxngaekhwnbrittani inkh s 1346 phraecaexdwardthrngsamarthkhunbkidthiemuxngkhng innxrmxngdi epnthitkicaekchawfrngess phraecafilipaetngthphipsu aetphraecaexdwardthrnghlbhniippraethsphakhta Low Countries thphfrngesstammathn aetphayaephybeyinthi Crecy thaihphraecaexdwardtxipyudemuxngthakhaelskhxngfrngessaelayudepnthimnbnaephndinfrngessidinkh s 1347 inkh s 1348 rahwangthifrngesskalnglukepnifdwysngkhram kalorkhkrabadmathungfrngess khrachiwitphukhnhlaylan thaihprachakrfrngessldlngxyangmak thaihsngkhramhyudchangk cnorkhrabaderimkhlikhlayinkh s 1358 Edward the Black Prince phraoxrskhxngphraecaexdward bukxngkvscakkasokhni chnafrngessin Poitiers cbaehngfrngessid dwyxanackhxngfrngessthixxnaexlng thaihtamchnbthimmikhuxaepocrxalawad thaihchawbankxclaclknmakmay phraecaexdwardehnoxkascungthrngbukxikkhrng aetthuktaniwid cnthasnthisyyabritiyyi inkh s 1360 xngkvsidxakiaetn brittanikhrungnung khaels aetphraecachalsthi 5 aela Bertrand du Guesclin ksamarthyuddinaedntangkhunidinrchsmykhxngphraxngkh ephraaxngkvstidphnkbsngkhraminsepn aelaphraecaexdwardthrngsinphrachnminkh s 1377 aelaxngkhchayexdwardkh s 1376 aetduekxsaekhlngksinchiwitinkh s 1380 cnthasyyasngbsukkn oynaehngxarkhkuemuxngxxreliyngs sngkhramrxypihyudyawephraafrngesstkxyuinsngkhramklangemuxngrahwangtrakulxarmnykh Armagnac aeladyukhaehngebxrkndi aelakhxihxngkvschwy phraecaehnrithi 5 aehngxngkvs kthrngnathphbukfrngessinkh s 1415 aelachnafrngesskhadlxyin Agincourt iddyukhaehngebxrkndimaepnphnthmitr aelayudfrngesstxnehnuxiwidthnghmdinkh s 1419 phraecaehnrithrngefaphraecachalsthi 6 aehngfrngesssungthrngphrastiimsmprakxb thasyyaihphraoxrsphraecaehnrikhunkhrxngfrngessemuxphraecacharlssinphrachnm aetthphskxtaelntkmachwykhdkhwangexaiw emuxphraecachalssinphrachnm phraecaehnrithi 6 aehngxngkvs kkhunepnkstriyfrngess aettrakulxarmnykhyngkhngcngrkphkhditxxngkhrchthayathfrngess inkh s 1428 xngkvslxmemuxng aet Joan of Arc hrux Jeanne d Arc chandak esnxtwkhbilthphxngkvsklawwanangehnnimitwaphraecaihethxpldplxyfrngesscakxngkvs cnsamarthkhbilthphxngkvsxxkipidinkh s 1429 aelayngsamarthepidthangihxngkhrchthayathsamarthyudemuxngaerngsephuxrachaphieskphraecachalsthi 7 nbepncudepliyninsngkhramrxypi aetoynaehngxarkhthukfayebxrkndicbidaelasngihxngkvs aelathukephathngepn inkh s 1435 aekhwnebxrkndihnmaepnfayfrngess aemfayxngkvscamicxhn thlbxt thiduray aetphraecachalsthi 7kthrngsamarthyudfrngesskhunidekuxbhmdinkh s 1453 ykewnkhaels in Castillogne sungfrngessichpunepnkhrngaerk epnxnsinsudsngkhramrxypifunfusilpwithyakaraelasngkhramsasnahlngsinsudsmyklangfrngessimichdinaednkhxngkhunnangthiexamaaeparwmknxiktxip aetepnpraethsthiepnpukaephnphayitkstriyfrngess aetaekhwnebxrkndiphayitkkalngeruxngxanacxyuthangtawnxxk cnphraecahluysthi 11 thrngrwmmuxkbsmaphnthrthswis chnasngkhramkbaekhwnebxrkndi aelaidaekhwnebxrkndimakhrxng aetdinaednthiehluxodyechphaainphunthiphakhtatkepnkhxngfilipphraoxrskhxngaehngckrwrrdiormnxnskdisiththi phraecafrxngswthi 1 aehngmilan txngkarepnihyinxitali cungxyechiyphraecacharlsthi 8 ihbukyudkhabsmuthrxitali phraecacharlsexngkthrngtxngkarxangsiththikhxngphraxngkhtxbllngkrachxanackrenepils cungthrngkrithathphekhasuxitaliin kh s 1494 brrdaecaemuxngnxyihythnghlayimxactanthanthphkhxngphraecacharlsid cnthrngyudemuxngenepilsid aetbrrdaemuxngtanginxitaliaelackrphrrdiaemksimieliynimtxngkarihfrngesskhyayxanaccungtithphphraecachalshniklbipfrngess phraecahluysthi 12 thrngekhiydaekhndyukhluodwiokthithrysphraecacharlsekhafayxitali in kh s 1499 cungthrngykthphyudaekhwnlxmbardi milan pitxma kh s 1500 thrngrwmmuxkbphraecaefxrdinandthi 1 aehngsepn bukyudxanackrenepils aetemuxyudidaelwklbtklngaebngswnknimid cnphraecahluysthukthphsepntiphayaeph brrdaemuxngtanginxitalikrwmknepnsnnibattxtanxik phraecahluyscungthrngthxyklb phraecafrxngswthi 1 thrngyudmilankhunidcakswis in ckrphrrdiaemksimieliynsinphrachnm phraecafrxngswhwngcaidepnckrphrrdiormnxnskdisiththi aettaaehnngktkepnkhxngphraecacharlsthi 1 aehngsepn thaihphraecafrxngswthrngokrthaekhnckrphrrdichals thaihthrnghakhxxangbukenepilskhuncaksepnaetimepnphl aelathphsepnkbukmilan phraecafrxngswnathphippxngkn aetphayaephaelathrngthukcbipemuxngmadridin kh s 1525 cnemuxthrngsyyawacaimbukxitalixik aelaithphraxngkhdwyenginmhasal phraecafrxngswcungthukplxyphraxngkh phraecafrxngswhniphasultansuilmanaehngckrwrrdixxtotmn rwmmuxknbukemuxngnis aetipimthungmilan ckrphrrdicharlsrwmmuxkbphraecaehnrithi 8 aehngxngkvsbukfrngesscakthangehnux aetimepnphl phraoxrskhxngphraecafrxngsw thrngbukckrwrrdiormnxnskdisiththiephuxaekaekhnihphrabida aetimprasbphl cungtha frngessthxnsiththithnghmdinkhabsmuthrxitali sinsudsngkhramxitali sngkhramxitalithaihkraaeskarfunfusilpwithyakar ekhasufrngess phraecafrxngswthi 1 kthrngidchuxwaepnkstriyfunfusilpwithyakarphraxngkhaerk thrngmikhwamruinsastrhlaydan aelathrngniphnthhnngsuxhlaychbb odythrngihcitrkrchuxdng lioxnarod dawinchi xxkaebbthixlngkarephuxoxxwdckrphrrdicharls smyfunfusilpwithyakarekidwrrnkrrmphasafrngessepnkhrngaerk tlxdsmyklangmiaetphasalatin phraecafrxngswthrngprakasihphasafrngessepnphasarachkar nkekhiynhlaythan echn chwyknsrangsrrkhphasafrngessthiswyngam frngessyngmicitrkrchuxdnghlaykhnsmyni echn aelasthapnik aela yngedinthangipsarwcthwipxemrikaxikdwy ehtukarnsngharhmuwnesntbarotholmiw kraaeskarptirupsasnaineyxrmniaephxiththiphlmathungfrngess odylththithiaephrhlayinfrngesskhux khxng aetkstriyfrngessthukphraxngkhthrngyudmninnikaykhathxlik fayopretsaetntinfrngesscungthukkwadlangxyubxykhrng aelathuktngchuxwa klumxuekxont Huguenots phraecaxxngrithi 2 sinphrachnmrahwangkarpralxngdabinkarthasnthisyyakaot kngebrsi phraecafrxngswthi 2 khrxngrachyaethn phraecafrxngswthrngxphieskkbthiephinghlbhnimacakskxtaelndephraathukyudxanac phrapitula khux dyukhaehngkis ekhamamixanacpkkhrxngbanemuxng epntrakulthikhathxlikcd txtanopretsaetntthukpraephth kdkhiklumxuekxont inkh s 1560 phraecafrxngswsinphrachnm phraecacharlsthi 9 khunkhrxngrachyaetyngphraeyaw phranangaekhthethxrin edx emdichi phramardasaercrachkaraethn phranangthrngphyayamthukwithithangthicaxyurxdthamklangkhwamkhdaeyngthangkaremuxng rahwangtrakulkiskhathxlikcd aelatrakulburbngxuekxont phranangkhthethxrinthrngihesriphaphthangsasnaaekklumxuekxontinkh s 1562 ephuxkhanxanactrakulkis trakuskisimphxickddnihphranangykelikkvsdika sngkhramsasnafrngess cungpathukhun aetphraecafilipthi 2 aehngsepn thrngidchuxwaekhrngkhrdkhathxlikthisudinolkkhnann erimsasmthphtamchayaedn thngthangsepnaelaaekhwnebxrkndi epnkhxngsepn thaihfayxuekxontimphxic cungthasngkhramxikkhrng khrawnipraethstanginyuorpekharwmdwy faykhathxliknaodytrakulkisaelaidphranangkhthethxrinmaepnphnthmitr aelayngidphraecafilipaehngsepnaelaphrasntpapasnbsnundwy fayopretsaetntnaodyxngkhchayaehngkngedidphranangxlisaebththi 1 aehngxngkvsaelaecakhrxngaekhwnthithuxnikaykhlaewngineyxrmni inkh s 1572 xngkhhyingmarekxritaehngwalwsthiepnkhathxlikxphieskkbphraecaxxngriaehngnawartrakulburbngthiepnxuekxont dyukhaehngkisbukaelakracaythphsngharklumxuekxontinparisthnghmdxyangohdray thaihparisekidkliyukh eriykwa karsngharhmuwnesntbarotholmiw phraecaxxngriaehngnawar hruxphraecaxxngrithi 4 pthmkstriyrachwngsburbng phraecaxxngrithi 3 khunkhrxngrachyinkh s 1575 thrngphxnprnklumxuekxont thaihdyukhxxngriaehngkisimphxic tngsnnibatkhathxlikphayitkarsnbsnunkhxngsepn kddnihphraecaxxngrieliksiththikhxngklumxuekxont inkh s 1584 phraxnuchakhxngphraecaxxngriaelarchthayathphraxngkhediyw sinphrachnm thaihbllngktkepnkhxngphraecaxxngriaehngnawarthiepnxuekxont inkh s 1584 dyukhaehngkisthasnthisyyakbphraecafilipaehngsepn wasepncachwysnnibatkhathxlikxyangcringcng inkh s 1588 chawparisthikhathxlikcd rwmkhbwnprathwngkhbilphraecaxxngrithi 3 xxkcakemuxng ephraathrngphxnprnklumxuekxont thaihtrakulkiskhrxngemuxngparis phraecaxxngrithi 3 cunghlxklxihdyukhxxngriaehngkismaphb aelasnghar thaihchawfrngesskhathxlikokrthaekhnphraecaxxngri phraecaxxngrithi 3 thrnghniiphaphraecaxxngriaehngnawar mxbbllngkih thngfaykhathxlik thimithanthangehnuxaelatawnxxkkhxngpraeths aelafayopretsaetnt thimithanthangtawntkaelait thasngkhramkhxngxxngrithngsam War of Three Henrys inkh s 1589 phraecaxxngriaehngnawarthrngchnafaykhathxlikbukipthungthangehnux aetimxacyudparisid cnphraxngkhthrngxuthanwa Paris vaut bien une masse parischangmikhaehluxekin thrngekharitkhathxlikinkh s 1593 chawpariscungyxmihekhaemuxngaetodydi khunkhrxngrachyepnphraecaxxngrithi 4 epnpthmkstriyrachwngsburbng inkh s 1598 phraecaxxngrithi 4 thrngxxkkvsdikaaehngemuxngnngths ihesiphaphthangsasnaaekklumxuekxontthukprakarrachwngsburbng kh s 1593 1793 khardinl riechxliexx smyrachwngsburbngepnsmythifrngessrungorcn phraecaxxngrithi 4 thrngsng Samuel de Champlain iptngemuxngaelaxananikhmaekhnada inpi kh s 1610 phraecahluysthi 13 khrxngrachyaetyngphraeyaw mikhardinl riechxliexx Cardinal Richelieu saercrachkaraethn khardinlriechxliexxthalaylangxanackhxngphwkxuekxontthiidrbkarsnbsnuncakphraecaxxngrithi 4 inkh s 1624 ekidsngkhramsamsibpiinckrwrrdiormnxnskdisiththi fayswiednekhachwyfayopretsaetntaetimepnphl khardinlriechxliexxcungihfrngessekharwmrbfayopretsaetnt thngthifrngessaelatwkhardinlexngepnkhathxlik ephraatxngkarlmxanackhxngsepn thphfrngesschnasepnthiorkhrw kh s 1643 aelaelns kh s 1648 inpi kh s 1643 khardinlriechxliexxsinchiwit ekidkbtfrxngd thitxtanxanackhxngkstriyaelathipruksa misepnhnunhlng aetfrngessksamarthprabpramid cntha inpi kh s 1659 yudaekhwnrusiyxng Roussillon caksepn phraecahluysthi 14 kh s 1643 1715 pi kh s 1660 phraecahluysthi 14 thrngxphieskkbxngkhhyingmaeriy ethersa phrathidakhxngphraecafilipthi 4 aehngsepn sungphraecafilipkpxngknkarxangsiththikhxngfrngessodykarihxngkhhyingmaeriyethersaslasiththiindinaednkhxngsepnthukswn odymisinsxd fayhyingihfaychay canwnmhasalepnkhatxbaethn inkh s 1661 phraecahluysthrngaetngtngihchxng batist kxlaebr epnesnabdikhlng kxlaebrsamarkxbkusthanathangkarenginkhxngfrngessthiiklcalmlalay odykarekbphasiaebbihm thaihengininphrakhlngephimepnsametha epnthimakhxngkhwamfumefuxyinrachsankkhxngphraecahluysthiaewrsay pi kh s 1665 phraecafilipthi 4 sinphrachnm phraecacharlsthi 2 aehngsepnkhunkhrxngrachyaethn aetphraecahluysthrngxangwa kdekaaekkhxngxanackrdyukhaehngbrabxngt aekhwnhnunginpraethsphakhta waaekhwnnitxngtkepnkhxngbutrthidakhxngphrryakhnlasud imichkhnaerksud kkhuxrachinimaeriyethersannexng dngnnphraecahluyscungthwngaekhwnnikhunaekphrarachini emuxsepnimyxmcungtha War of Devolution aelakhnannenethxraelndkalngthasngkhramkbxngkvs sungepnphnthmitrkbfrngesstamsyyachwkhraw phraecahluysthrngyudflanedxrs Flanders aelafrxng kxnget Franche Comte caksepnid thaihxngkvshnipekhakhangenethxraelndephuxtanfrngess cnthasnthisyyaexks la chaepll inkh s 1668 khunfrxng kxngetipkxn pi kh s 1672 phraecahluysthrnghlxklxihphraecacharlsaehngsepnekhaepnphnthmitrid aelaprakassngkhramkbenethxraelnd epn mixngkvsekhachwyfrngess aetfayenethxraelndkthasyyaphnthmitrkbsepnidaethnfrngess rwmthngckrphrrdiormnxnskdisiththi fayxngkvssngbsukkbenethxraelndinkh s 1647 thingfrngessihoddediyw aetthphfrngessksamarthexachnathphphsmkhxnghlaychatiid bukyudfrxng kxnget thaluthlwngipthungenethxraelnd cnthasnthisyyainmiekn Nijmegen ykfrxng kxngetihfrngess inkh s 1678 dwykhwamkakwmkhxngsnthisyyatangkhxngyuorpinsmynn phraecahluyscungthrngxangwadinaedntangthiekhyepnkhxngaekhwnthifrngessyudmann txngtkepnkhxngfrngessdwy thrngtnghxrwbrwmdinaedn Chamber of Reunion ephuxichwithithangkdhmayeriykdinaedntangihkbfrngess thicringaelwphraecahluysthrngtxngkardinaednehlann ephraaepncudyuththsastrsakhy echn emuxngstrasburk aelalkesmebirk phraecahluysthi 14 suriyrachn thswrrsthi 1680 epnsmyeruxngxanackhxngfrngessaelaphraecahluys tangklayepnaefchnkhxngyuorp exaxyangkhwamhruhrathiphrarachwngaewrsay inkh s 1682 La Salle nksarwctngchuxdinaednluyesiyna Louisiana inxemrikatamphranamphraecahluys aelapiediywknphraecahluysthrngprakas Gallicanism cakdxanacphrasntpapainfrngess aelaihphraecahluysthrngpkkhrxngxngkhkarsasnadwyphraxngkhexng inkh s 1685 thrngprakaskvsdikafxngaetngobl ykelikkvsdikaaehngemuxngnngthskhxngphraxykaphraecaxxngrithi 4 epnkarelikesriphaphthukprakarkhxngklumopretsaetnt xuekxontcunghniipxananikhmhruxxngkvsknhmd pi kh s 1686 ckrphrrdiormnxnskdisiththiaelaecaemuxngeyxrmntangelngehnthungkarkhyayxanackhxngfrngess cungtngsnnibatxxksburk League of Augsburg kh s 1688 phraecahluysmirbsngihykthphbukeyxrmniephuxthwngaekhwnphalatientkhunihphraecanxngekhy aetpiediywknwilehm ecachayaehngxxernc Prince of Orange phukhrxngenethxraelnd yudxanacinxngkvsprabdaphieskepnphraecawileliymthi 3 aehngxngkvs thaihxngkvsekharwmsnnibatxxksburk klayepnmhaphnthmitr Grand Alliance ekidsngkhrammhaphnthmitr War of the Grand Alliance phraecahluysthrngphyayamcasngphraecaecmsthi 2 aehngxngkvskhunbllngk aetkthukthphkhxngphraecawileliymthalaythangthael aetbnbkfrngessyudenethxraelndidhlayemuxng aelathangsepnktaniwid cnthasnthisyyairswik Ryswick frngesskhundinaednthnghmdthiyudmaykewnemuxngstrasburk phraecacharlsthi 2 aehngsepnthrngimmithayath phraecahluyscungesnxdyukhaehngxngchu phrandda epnkstriysepnxngkhtxip aetfayckrwrrdiormnxnskdisiththiesnxxarkhdyudcharlsaehngxxsetriymaaekhng aetkh s 1700 phraecacharsskxnsinphrachnmyksepnrwmthngxananikhmthnghmdihdyukhaehngxngchu epnphraecafilipthi 5 aehngsepn pthmkstriyrachwngsburbnginsepn srangkhwamimphxicthwyuorp xikthngphraecahluysyngthrngsnbsnunecms scwd phuthwngbllngkxngkvskhxngphraecawileliym thaihxngkvs enethxraelnd aelackrwrrdiormn tngmhaphnthmitrxikkhrng ekidsngkhramsubrachbllngksepn frngesssngthphbukxxsetriythangxitali aetthuktaniw epnkhrngaerkthifrngessphayaeph txmafrngesskphayaephthukthang cntxngklbklayepnfaytngrbinkh s 1709 aetinsepn thphphraecafilipthi 5 aelathphfrngessksamarthexachnatangchatiidhmd aelafrngesskklbmaepnfaybukxikinkh s 1712 inkh s 1705 ckrphrrdiocesf phraechsthakhxngxarkhdyukhcharlssinphrachnm thaihxarkhdyukhcharlstxngkhunkhrxngrachyepnckrphrrdicharlsthi 6 aehngckrwrrdiormn thaihchatitanginyuorp esiksnbsnunckrphrrdicharls ephraaekrngcamikalngmakekinip thaihfayxngkvsecrcasngbsukphraecahluysinkh s 1713 epn Utrecht aelainkh s 1714 kbckrwrrdiormninsnthisyyarasttt aelabaedn yxmrbrachwngsburbngihpkkhrxngsepn thaihsepnklayepnphnthmitrsakhykhxngfrngesstxma phraecahluysthi 14 sinphrachnminpikh s 1715 kxnwnkhlaywnprasutiphrachnmayu 77 phrrsaimkiwn thrngkhrxngrachy 72 pi yawnankwakstriyyuorpxunid phraxngkhphrachnmayuyawnanmak cnphraoxrsaelanddasinphrachnmipkxnhmd ehluxephiyngdyukhaehngxngchuthiyngphraeyaw khunkhrxngrachyepnphraecahluysthi 15 aehngfrngess phraecahluysthi 15 kh s 1715 1774 phraecahluysthi 15 yngthrngphraeyawcntxngmiphusaercrachkaraethnhlaykhn erimthi ekharwm War of the Quadraple Alliance prakxbdwyfrngess xngkvs xxsetriy aelaenethxraelnd emuxphraecafilipthi 5 aehngsepnaelarachinithithaeyxthayan txngkarkxbkudinaedninxitaliaelaklumpraethsaephndintathiesiyipinsngkhramsubrachsmbtisepn phlkhuxkhwamphayaephkhxngsepn txma Cardinal Fleury thasngkhramsubrachsmbtiopaelnd txngkarepnphramhakstriyopaelnd aetckrphrrdiormnxnskdisiththitxtan frngessehnoxkasthicathalayxanacxxsetriy cungthasngkhram aetsnthisyyaewiynnain kh s 1735 elsesnskiidepndyukhaehnglxrern sungemuxelsesnskiesiychiwitin kh s 1766 aekhwnlxrerncungtkepnkhxngfrngess thaihfrngessmixanaekhtthungpccubn dwykhwamthaeyxthayankhxngphraecafridrichmharachaehngprsesiy thitxngkarcayudbllngkcakckrphrrdinimaeriy ethersa dwyehtuthiphranangepnstri thaihyuorpekidsngkhramsubrachsmbtixxsetriy frngesscunghwngcaidchingbllngkxxsetriybang aetprsesiykerimcamixanacmakip cungekid frngesshniphaxxsetriystruekaaek ephuxtanprsesiyaelabrietn phlkhuxsngkhramecdpi karsurbmiinxananikhmdwy sungfrngessphukmitrkbchawphunemuxng ephuxchwyrbkbbriethn aetphayaephybeyin cnsnthisyyaparis kh s 1763 frngessesiyxananikhminxemrikathnghmdihbrietn instwrrsthi 18 inyuorpepnyukhphumithrrm Age of Enlightenment epnsmyprchyaaenwkhidaebbihmthiaeplkaeykxxkcakthrrmeniymeka efuxngfu frngesskminkprachythisakhysamkhnaehngyukh khux chxng chk ruos mngaetskieyx aelawxlaetr thiesnxkhtiaenwkhwamkhidkarpkkhrxngaebbihm in kh s 1751 mikarphimphhnngsux Encyclopedie epnhnngsuxrwbrwmkhwamruwithyakarthukaekhnng phraecahluysthi 16 kh s 1774 1793 phranangmari xngtwent xngkhhyingcharlxt xngkhchayhluys ocesf aelaxngkhchayhluys charls phraecahluysthi 17 khwamfumefuxykhxngrachsankaelakaraephsngkhramthaihesrsthkickhxngfrngesstktalng phraecahluysthi 16 cungthrngaetngtngphuthimikhwamsamarthephuxfunfusthanphaphthangkarenginkhxngfrngess idaek turoktphyayamcaekbphasirupaebbihm aetprachachnidthukekbphasihlayprakaraelw turoktcungekbphasicaksinkhatangaethn aetbrrdakhunnangklawwaphraecahluysthi 16 thrngimmiphrarachxanacthicatngphasiihm caepntxngeriykprachumsphathanndr Estates General ephuxthakarxnumtiphasiephimetim emuximiddngphrahvthyphraecahluysthrngpldturoktxxkcaktaaehnng aelathrngtngnaykhunmathahnathiaethninkh s 1776 epnchwngewlaediywkbthixananikhmkhxngbriethninxemrikaprakasexkrachinsngkhramptiwtixemrika enkhaekrihsnbsnunaekfayxemrikaodysngmarkhwisla faaeytipchwy cnfayxemrikamaprakasexkrachthiparisinkh s 1783 pi kh s 1783 phraecahluysthrngaetngtngihduaeleruxngphrakhlng kaolnnichwithikaraekpyhaodykarichcayxyangmakmayephuxsrangekhrdit kaolnnkhxihsphakhunnangkh s 1787 phanrangwithiaekpyhaaebbthiichenginmakni aetbrrdakhunnangybyngrangiw phraecahluyscungthrngtngkhunmaaethn edxebriyngichkalngbngkhbihfaykhunnangphanrangaekpyhakhxngekha cnekuxbcaekidclaclephraakarbngkhbichxanackhxngedxebriyng inkh s 1789 edxebriyngcungthukpldaelaphraecahluysthrngaetngtngihenkaekrklbmarbrachkaraekikhpyhaxikkhrngkarptiwtiaelanopeliyn kh s 1789 1815 in kh s 1789 phraecahluysthrngeriykprachumsphathanndr sungimidprachummaaelwepnewlananpramansxngrxypi ephuxaekikhpyhaesrsthkic sphathanndr prakxbipdwysamchnchn idaek chnchnkhunnang chnchnbrrphchitbathhlwng aelasamychn sunginkarphanrangphrarachbyytiaetlathanndrxxkesiyngidephiynghnungesiyng thaihekidkhwamimethaethiyminkarxxkesiyng thanndrthi 3 hrux samychn prakxbipdwykhnswnihykhxngpraethsfrngess aetklbxxkesiyngidephiynghnungesiyng inkhnathikhunnangaelabathhlwngsamarthxxkesiyngidthungsxngesiyng thaihthanndrthisamimsamarthxxkesiyngchnafaykhunnangaelabrrphchitid phraecahluystrswacaihthanndrthisam miesiyngepnsxngethakhxngsxngthanndraerk aetemuxthungewlaprachumsphathanndrphraecahluystrsihsphaxxkesiyng tamphrarachoxngkar thanndrthisamcungaeyktwxxkipepn smchchaaehngchati National Assembly smchchaaehngchati kh s 1789 1791 khasabansnamethnnis phraecahluysmiphrarachoxngkarihpidsthanthiprachumkhxngthanndrthi 3 thaihbrrdasmachiksphasmchchaaehngchatiimsamarthekhaxakharprachumid cungekhaprachumthisnamethnniskhangekhiyngaelaihkhaptiyansnamethnnis Tennis Court Oath phraecahluysthrngrbrxngsmchchaaehngchati smchchaaehngchaticungepliynsphaphepn spharangrththrrmnuyaehngchati National Constituent Assembly inewlaediywknthphfrngessaelathharrbcangeyxrmntamchayaednerimkhubekhamaprachidkrungparis aelaphraecahluysthrngpldchks enkaekr sungihkarsnbsnunaekklumthanndrthisamxxkcaktaaehnng thaihprachachnchawemuxngparisimphxic lukhuxbukipexadinpunthikhukbastiy ephuxexaippxngknemuxngparis aetekidkarpathakbphurksakarpxmbastiy klumphuprathwngsnghartdsirsaphurksakaraelaaehsirsaiptamthnn aelasngharnaykethsmntriaehngparis ehtukarnnithaihphraecahluystxngthrngrbrxngthngtrikxlxrhruxthngitrrngkhsamsiihepnthngpracachatifrngess aethnthithngkhxngrachwngsburbngedim ehtukarnkhwamrunaerngthaihehlakhunnangaelaphrarachwngstangphaknhlbhnixxknxkfrngess eriykwa klum emigre insmchcharangrththrrmnuyexngaebngepnsxngfay idaek faykhwaxnurksniym txngkarrksakarpkkhrxngaebbeka kbfaysaysungmiaenwkhidesriniymtxngkarkarptiwti nkptiwtithiidrbkarekharphnbthuxthisud chuxwamiraob sungesnxaenwthangaekpyhakhxngpraethshlayxyangaelaphyayamprasankhwamkhdaeyngrahwangklumkaremuxngaetimepnphl inkh s 1790 smchchaaehngchatiprakas khaprakaswadwysiththimnusychnaelasiththiphlemuxng Declaration of the Rights of Man and Citizen prakasesriphaphtang lmelikrabxbkhunnang inewlaediywphraecahluysyngthrngphyayameriykkxngthphcakchayaednekhamaephuxybyngkarepliynaeplng aelathrngcdnganeliynglbhluthngitrrngkhthiphrarachwngaewrsay chawparisemuxthrabkhawcungkxkarclacl kxngkalngtidxawuthkhxngprachachn National Guard mabukyudphrarachwngaewrsay thaihphraecahluysaelaphrarachwngstxngesdchniipprathbthiphrarachwngtuyelxrisinkrungparisaethn xiknoybayhnungkhxngsmchchaaehngchatikhuxkarthabrrphchitihepnphlemuxng Civil Constitution of Clergy thaihsthanakhxngbathhlwngaelasthabnsasnakhristethaethiymaelaimaetktangcakprachachnthwip mibathhlwngcanwnmakthiimyxmrbnoybaykhxngsmchchaaehngchatitanghlbhnisxntwtamchnbth esriphaphthaihekidaenwkhwamkhidaelasmakhmthangkaremuxngkhunmamakmay thimichuxesiyngthisudkhuxsomsrchakxaebng Jacobin in kh s 1791 phraecahluysthrngphyayamcahlbhnixxknxkpraethsfrngess aetdwykhbwnesdcthihruhra thaihthrngthukcbidthiemuxngwaerns prachachnekidkhwamtrahnkwawaphraecahluyscathrngyudxanackhun cungchumnumthithungchxngp edx mas aetthukthharrthbalprabpramxyangrunaerng ckrphrrdilioxophldthi 2 aehngormnxnskdisiththi phraechsthakhxngphranangmarixngtwent cungthrngkhxkhwamsnbsnuncakpraethstang ihfunfuphrarachxanackhunihaedphraecahluysthi 16 karrangrththrrmnuyesrcsininpi kh s 1791 spharangrththrrmnuysinsudlng klayepn sphanitibyyti Legislative Assembly frngesscungklayepnrachathipityphayitrththrrmnuy sphanitibyyti kh s 1791 1792 phayinsomsrchakxaebngaebngepnsxngfay idaek smakhmefyyxngt Feuillant snbsnunrachathipityphayitrththrrmnuy aelasmakhmchirngaedng Girondin mikhwamkhidesriniymrunaerng phykhukkhamthangthharcaktangchatithaihrthbalfrngessprakaskdxykarsukin kh s 1792 smedcphrackrphrrdifransthi 2 aehngormnxnskdisiththi phraoxrsckrphrrdilioxophld prakassngkhramkbfrngessin kh s 1792 fayfrngesssngmarkhwisaehnglafaaeytbukenethxraelndkhxngxxsetriy inkhnathiprsesiysngdyukaehngebranchiwkykthphrukranparis dyukaehngebranchiwkprakaskhaprakasebranchiwk Brunswick Manifesto wahakrthbalfrngessimyutikarepliynaeplngkarpkkhrxngthangprsesiycanakalngthharekhaaekikh emuxdyukaehngebranchiwkykthphbukfrngess thaihchawfrngessekidkhwamokrthaekhn cbnkothskaremuxnginkhukxxkmasngharxyangohdehiymhlayphnkhn eriykwa September Massacre inaekhwnwnged Vendee fayniymrachathipitykxkarlukhuxtxtankarepliynaeplngkarpkkhrxng karpkkhrxngkhxngrthbalfrngessimmiphlxiktxip nkkaremuxngsayklangthukkacdxxkipcnekuxbhmdsinehluxephiyngnkkaremuxngesriniymrunaerng naipsukarsinsudkhxngsphanitibyytiaelacdtng sphakxngwngechiyng National Convention sphakngwxngsiyng kh s 1792 1794 saercoths phraecahluysthi 16 in kh s 1793 phraecahluysthi 16 thrngthuksaercothsodykarbnphrasxdwyekhruxngkioytin chatixuninyuorptanghwngekrnginkarepliynaeplngkarpkkhrxngkhxngfrngess ekrngwakhwamkhidesriniymcaephyaephrmasupraethskhxngtn cungcdtngsmphnthmitrkhrngthi 1 First Coalition ephuxsurbkbrthbalptiwtifrngess faythphfrngesschnakxngthphtangchatiinyuththkarthiwalmi aelasamarthyudemuxngnis aelaaekhwnsawxyid in kh s 1792 aelaomnaokh inkh s 1793 klumchirngaedngesriniymrunaerng eriykwa klummngtayar Montagnard hruxklumchakxaebng idaek rxaebspiaeyr Robespierre Danton khunmamixanacinsphakngwxngsiyng ephraaphawasngkhramthaihpraethstxngkarphunathieddkhad klumchakxaebngykthphbuksphakxngwngechiyngthakaryudxanac thaihklumchirngaedngklumxunthukkhbphncakxanac inkhnathiaekhwnwngedsungsnbsnunrachathipitysrangkhwamrunaerngmakkhun fayrthbalptiwtinakalngthharekhaprabpramaekhwnwngedxyangrunaerng cakaekhwnwngedklayepndinaednrkrangprascakphukhn nxkcaknnrthbalyngprakaseknthprachachnthukkhnchayhyingedkaelakhnchraihmathanganinkxngthph rxaebspiaeyrprakaskhwamnasaphrungklw Terror ephuxsrangphaphlksnxnohdehiymihrthbalptiwtifrngess aelaprakas Law of Suspects nkothskaremuxngimidrbkarkhumkhrxngtamkdhmay aelacdtngsalptiwti Revolutionary Tribunal iwtdsinnkothsthangkaremuxngdwykarbwnkaryutithrrmsungrwderwaelaimoprngis phranangmari xngtwent phrarachwngs klumefyyxngt klumchirngaedng klumkstriyniym aelaprachachnxun tangtxngsngewytxekhruxngkioytin rxaebspiaeyrihchawfrngesseliknbthuxkhristsasna elikichkhristskrach hnmaichskrachptiwtiaethn odynbpi kh s 1793 epnpithi 1 aelamikartngsasnaihm khux lththiaehngehtuphl Cult to Reason nbthuxethphthidachuxwa ehtuphl aemphayinpraethscaekidkhwamkhdaeyngthangkaremuxngthirunaerng aetfrngessksamarthexachnathphkhxngchatitang thiekhamarukranfrngessid thungewlaniklumchakxaebngaekngaeyngxanacknexng dngtxngthukkioytin inkh s 1794 ehluxrxaebspiaeyrphuediywthithrngxanacsungsud prakaslththiaehngkhwamepnelis Cult of Supreme Being epnsasnaihmxiksasna aelaprakaskdmhamikhsyyi Law of the Great Terror miihnkothskaremuxngaetngphyansukhdi phukhnhlayphninkrungparisthukkioytin aetsudthayrxaebspiaeyrkthukyudxanacodyphunaptiwtixun ephraaklwxanackhxngrxaebspiaeyr eriykwa Thermidorien Reaction khnadierktwr kh s 1795 1799 klumaetrmidxrkhunmamixanac daeninnoybaytrngkhamkbmikhsyyi phxnkhlaykhwamsaphrungklw thphfrngessyudenethxraelndidin kh s 1795 rththrrmnuyaehngpithi 3 kh s 1795 tng Directory epnkarpkkhrxngihm prakxbdwydierketxr 5 khn sungcathukeluxktngihlngcaktaaehnngiphnungkhnthukpi thahnathibrihar misphaxawuos Council of Ancients aelasphaharxy Council of Five Hundreds epnfaynitibyyti brrdaphunainsphakxngwngechiyngedimekrngwafaytncatxngothsthangkaremuxngcungphyayamcaekhamamixanacinpkkhrxngihm thaihprachachnimphxic aelafaysnbsnunrachathipitykxkhwamwunwayinkrungparis naythharchuxwanopeliynthakaryingpunihykhuephiyngndediyw Whiff of Grapeshot karclaclkslaytw epnphlnganchinaerkkhxngnopeliyn nopeliyn obnapart Napoleon Bonaparte epnchawekaakhxrsika ekhamaepnthharinfrngess smrskbocesfin edx obxarens Josephine de Beauharnais aemhmaymiluktidsxngkhn nopeliynykthphfrngessekhabukxitaliaelayudkhabsmuthrxitaliid cdtngrthbriwarkhxngfrngesscanwnmakinxitaliidaek satharnrthsisxliphn Cisalpine satharnrthewnis satharnrthpharethonepiy Parthenopian Republic cninkh s 1797 ckrwrrdixxsetriybrrlusnthisyyakhmop fxrmiox Campo Formio kbfrngess yxmmxbebleyiymaelaxitaliihfrngess faykhnadierktwrehnwanopeliynkalngidrbwamniyminthanawirburusaehngchatiaelamixanacmmakkhun cungsngnopeliynipyngthihangiklkhuxkarrukranxiyipt khnadierktwrtxngkarrksaxanacekidkhwamwunwayaelakhdaeyngphayicyudxanacknexng karbukxiyiptkhxngnopeliynthaihchatitang inyuorprwmtwknxikkhrngepnsmphnthmitrkhrngthisxng Second Coalition ephuxtxtankarkhyayxanackhxngfrngess nopeliynsamarthfawnglxmkhxngbrietnxxkmacakxiyiptidin kh s 1799 klbmayngfrngess thakaryudxanaccakkhnaiderktwr eriykwa ehtukarnrthprahar 18 fruktidxr 18 Fructidor khnakngsul kh s 1799 1804 rththrrmnuyaehngpithi 8 kh s 1799 tngkhnakngsul Consulate prakxbdwykngsul 3 khn hnunginnnkhuxnopeliynexngkhunpkkhrxngfrngess in kh s 1800 nopeliynichxanacbibbngkhbihkhnakngsulehnchxbihtnexngepnkngsulihy First Consul inewlaediywknnopeliynexachnaxxsetriyidthixitalixikkhrng naipsusnthisyyaluenwill Luneville xxsetriyykeyxrmniswnthangtawnxxkkhxngaemnairnthnghmdihaekfrngess nopeliynsnbsnunihchawfrngessklbmanbthuxkhristsasnaxikkhrngin kh s 1801 odybrrlukhxtklngkbphrasntpapa thangkrungormyinyxmmxbxanackarpkkhrxngsasnainfrngessihnopeliyn in kh s 1802 brietnthasnthisyyaxaemiyng Amiens yxmkhunxananikhmkhxngenethxraelndthiyudipihaekfrngess nopeliynichxiththiphlxikkhrngihtnexngepnkngsulihytlxdchiph First Consul for Life yukhnopeliyn phrackrphrrdinopeliynthi 1 aehngfrngess inpi kh s 1804 nopeliynprabdaphiesktnexngepnckrphrrdi erimckrwrrdifrngessthi 1 First Empire phraecanopeliynthrngprbprungkxngthphfrngessepn kxngthphihy Grand Armee inpi kh s 1805 karprakasfrngessepnckrwrrdithaihchatitangrwmtwknxikkhrngepnsmphnthmitrkhrngthisam Third Coaltion phraecanopeliynthrngnathphbukeyxrmni chnathphxxsetriythixulm Ulm aetthangthaelphayaephxngkvsthiaehlmthraflkar Trafalgar chychnathixulmthaihphraecanopeliynthrngrukkhubekhaipinxxsetriy chnaxxsetriyaelarsesiythiexasethxrliths Austerlitz epnchychnathiyingihythisudkhxngnopeliyn klumsmphnthmitrkhrngthisamcungslaytwiptammadwysnthisyyaephrsburk Pressburg ykelikckrwrrdiormnxnskdisiththiineyxrmniip phraecanopeliyntngsmaphnthrthaehngirn Confederation of the Rhine khunmaaethnthiepnrthbriwarkhxngfrngess khwamsaerckhxngnopeliynineyxrmnithaihprsesiyrwmkbbriethnaelarsesiytngsmphnthmitrkhrngthisi Fourth Coalition aetkhrngnifrngessaephkhyayxiththiphlipthwyuorpaelaidrbkarsnbsnuncakrthbriwartang nopeliynnathphbukprsesiy idrbchychnathi aelachnarsesiythifridaelnd Friedland naipsusnthisyyathilsith Tilsit prsesiysuyesiydinaednopaelndthangthistawnxxk klayepnrthaekrnddchchiaehngwxrsxw Grand Duchy of Warsaw phayitkarkakbkhxngfrngess aelackrphrrdixelksanedxrthi 1 aehngrsesiy thrngekharwmepnphnthmitrkbfrngessaelaekharabbphakhphunthwip Continental system ephuxtdkhadbrietnthangkarkhacakphunthwipyuorp ckrwrrdifrngess khyayxanaekhtsungsudemuxpi kh s 1811 sithubkhuxfrngesspkkhrxngodytrng sicangkhuxrthbriwar sxngpraeths khux swiednaelaoprtueks epnklangaelaimyxmekharwmrabbphakhphunthwip ckrphrrdinopeliynthrngykthphbukoprtueksin kh s 1807 aetkthrngchwyoxkasyudpraethssepninrchsmykhxngphraecacharlsthi 4 aehngsepn rachwngsburbng aelaykrachsmbtisepnihaekphraxnuchakhuxocesf obnapart Joseph Bonaparte epnkstriyaehngsepn oprtuekstkxyuinxantikhxngfrngess aetchawsepnaelachawoprtueksyngkhngtxtanxanackhxngfrngess naipsusngkhramkhabsmuthr Peninsula War sepnaelaoprtuekstxtankarpkkhrxngkhxngnopeliyn odyichkarsngkhramrupaebbkxngocr Guerilla Warfare faybrietnsngdyukhaehngewllingtn Duke of Wellington machwyehluxsepnaelaoprtueks inpi kh s 1809 xxsetriyrierimthasngkhramkbfrngessxikkhrng insngkhramshsmphnthmitrkhrngthiha phraecanopeliynthrngchnaxxsetriythiaexsepirn exsling Aspern Essling aelawakram Wagram cnthasnthisyyaechinbrunn Schonbrunn xxsetriyesiydinaednephimetimihfrngess aelanopeliynxphieskkbxarchdchechsmari hluys Archduchess Marie Louis phraecasarxelksanedxrthrngnarsesiythasngkhramkbnopeliynxikkhrng inkh s 1812 nopeliynthrngnathphbukrsesiyklangvduhnawthihnawehnb rsesiyhlxklwngihthphfrngessedinthphekhaipphbkbxakasxnrunaerngkhxngvduhnawrsesiythaihthharfrngessxdxaharaelahnawtaycanwnmak aemthphfrngesscaipthungmxsokaetthngemuxngmxsokthukephaxyangcngicephuximihesbiyngtkthungmuxnopeliyn karbukrsesiyepnkhwamphayaephthiyingihythisudkhxngnopeliyn chychnakhxngrsesiyplukradmchatitang ihrwmtwknthasngkhramshsmphnthmitrkhrngthihk Sixth Coalition exachnanopeliyninyuththkarthiilphsic Leipzig thaihnopeliynthxyklbfrngess inpi kh s 1813 ckrphrrdinopeliynaehngfrngessthrngthukbngkhbihslabllngk ephraaidrbkartxtancakchawfrngess inpi kh s 1814 smphnthmitrekhabukyudkrungparis thasnthisyyafngaetnobl Fontainebleau enrethsnopeliynipekaaexlbainxitali sinsudckrwrrdithi 1yukhrachwngsfunfu kh s 1815 1830 ekaaelkechnekaaxlbaimxackhwangknnopeliynid khnathichatitanginyuorpkalngwangaephnkarprachumihyaehngewiynna Congress of Vienna ephuxnayuorpsuhwnklbkhunsusphawaedimkxnptiwtifrngess nopeliynsamarthedinthangklbmayudxanacinfrngessidxikkhrnginpi kh s 1815 aeladarngxyuidrxywn cnchatitang in Seventh Coalition exachnanopeliyninyuththkarwxetxrlu thaihnopeliynthukenrethsipekaaesntehelna Saint Helena khxngbrietnklangmhasmuthraextaelntik cnesiychiwitinpi kh s 1821 phayitkhxtklngkhxngkhxngekrsaehngewiynna rachwngsburbngklbmakhrxngfrngessxikkhrng ekhantaehngphrxwxngs Comte de Provence phraxnuchakhxngphraecahluysthi 16 klbekhafrngessmakhrxngrachsmbtiepnphraecahluysthi 18 rthbalihmkhxngfrngessepnaebbsxngspha khux sphakhunnang Chamber of Peers aelasphaphuaethn Chamber of Deputies thaihfayniymrachathipitymixanackhun ekidkwadlangkhbwnkarptiwtiaelaklumkhxngnopeliynedim eriykwa mikhsyyikhaw White Terror thaihprachachnhwadklw kareluxktngpi kh s 1815 klumniymrachathipitycungidrbkareluxktngthwmthn eriykwa chambre introuvable aeplwa sphathithangandwyimid phraecahluysthrngyubsphaniesiy ephraathrngtrahnkwasphaniminoybaythirunaerngekinip aelaeluxktngihm cungidklumesriniymmakkhun inpi kh s 1818 brrdachatithichnasngkhramnopeliynprachum Congress of Aix la Chapelle tklngthxnthharcakfrngess inpi kh s 1824 ekhantaehngxartws Comte d Artois khunkhrxngrachyepnphraecacharlsthi 10 thrngepnkstriythiihkarsnbsnunaekklum ultra royalist inpi kh s 1825 thrngxxk Sacrilege Act ephuxpxngknimihobsthtangthukocmtiehmuxnsmyptiwtiin kh s 1829 mi Prince de Polignac epnprathanspha President of the Council naykrthmntri thngphraecacharlsaelapxliykdaeninnoybayxnurksniymfunfurachathipity esriphaphnaprachachn odyexxaechn edxlakhrws Eugene Delacroix aesdngkarptiwtieduxnkrkdakhm striaesdngthungesriphaph inpi kh s 1830 pxliyknafrngessbukyudaexlcieriy epnxananikhmaerkkhxngfrngessinaexfrika aelaopliykxxkkvsdikaeduxnkrkdakhm July Ordinances ykeliksphaphuaethn cakdsiththikareluxktngehluxaetkhnrarwy aelacakdesriphaphsuxsingphimph thaihekid karptiwtieduxnkrkdakhm July Revolution phraecacharlsthrngslarachbllngkihphrandda khux dyukaehngbxrods Duc de Bordeaux aetkhnaptiwtiklbykrachsmbtiihaedecachayhluys filip aehngrachwngsburbngsayxxrelxxngs epnphraecahluys filip thaihfaysnbsnunrachathipityaebngaeykepnsxngklum khux klumelchitimist Legitimist hruxklumrachwngsburbngsaysiththichxbthrrm snbsnunrachwngsburbngedim aelaklumxxrelxxngnist Orleanist snbsnunrachwngsburbngsakhaxxrelxxngsrachathipityeduxnkrkdakhm kh s 1830 1848 phraecahluys filip phraecahluys filipthrngdarngphraysepnkstriykhxngchawfrngess King of the French imichkstriyaehngfrngess King of France thrngepnkstriythismthaimfumefuxyaelathrngrkesriphaph thaihthrngidrbsmyanamwakstriyprachachn The Citizen King karpkkhrxngkhxngfrngessepnrachathipityphayitrththrrmnuy Constitutional Monarchy darngxyuid 18 pi eriykwa rachathipityeduxnkrkdakhm July Monarchy ephraamacakkarptiwtikrkdakhm inchwngaerkkhxngrachathipityeduxnkrkdakhm phraecahluys filipthrngepnthirkkhxngpwngchnxyangmak aelathrngimehmuxnkbphrarachwngsphraxngkhkxn khuxthrngsmakhmaetkbklumphxkhanaythnakhar klumchnchnklang Bourgeoisie thaihtaaehnngprathansphainsmynimacakchnchnklangthngsin epnthrrmnuykhxngphraxngkh sungmikhwamepnprachathipityaelaesrimakkwaedimaelaphrarachxanackthukridrxnlngipmak insmyniyngekidklumdxktriaenr Doctrinaire khux faythipranipranxmrahwangfayrachathipityaelafaysatharnrthihsamarthxyurwmknid aetinsmyrachathipityeduxnkrkdakhmekidkhwamkhdaeyngthangkaeremuxngkhun enuxngcakrthbalxnprakxbdwyklumdxktriaenraelaklumxxrelxxngnist Orleanist phyayamcadaeninnoybaythiepnklang thaihthngfayxnurksniymaelafayesriniymtangimniymrthbalni prathansphaaemcamacakchnchnklangaetmikhwamnoybayaebbxnurksniym in kh s 1831 Casimir Perier sngpidsmakhmkaremuxngaelashphaphaerngngantang thaihfayesriniymkx Canut revolts inemuxngliyng fayxnurksniymprakxbdwyfayrachwngsburbngsaysiththiodychxbthrrm hruxklumelchitimist kxkarkbttxtanrthbalinkh s 1832 naody inklumdxktriaenrexngkaebngepnsxngfay idaek phrrkhekhluxnihw Parti du Movement khux fayesrithisnbsnunkarekhluxnihweriykrxngesriphaph naody Adolph Thiers aelaphrrkhtxtan Parti de la resistance khux fayxnurksniymthitxtankarekhluxnihweriykrxngesriphaph naody Francois Guizot kasimi aepriaexr aela Comte Mole inrayahlngkhxngsmyrachathipityeduxnkrkdakhm klumphrrkhtxtanmixanacmakaelaidkhrxbkhrxngtaaehnngprathanspha phrrkhtxtanpidsmakhmtangephuxybyngkarekhluxnihwkhxngfaysayaelakidknihxxkcakspha aelayngxxkkdhmaychwyehluxchnchnklangihidpraoychncakkarcangaerngngan sungaerngnganchnchnlangnnsamarthxxkmaeriykrxngkarthukexarbexaepriybidekrngwacathukkhxhakbt frngessekidkarptiwtixutsahkrrm Industrial Revolution thaihekidchnchnaerngngankhunepnkhrngaerkinfrngess chiwitchawfrngesschnchnaerngngannaewthnaxyangmak prachachnyakcnaelaekidkarwangngan ekidkhwameluxmlathangsngkhmxyangaerngrahwangchnchnklangthirarwykbaerngnganthiyakcn inkh s 1840 naykiostepnprathanspha aemhlayfaycaphyayamesnxihmikarptirupkarpkkhrxngaekikhphawaesuxmothrmthangsngkhmaelaesrsthkic aetkiostimehndwykbkarptirupepliynaeplngid insmyrachathipityeduxnkrkdakhm siththikareluxktngnnepnkhxngphurarwy thisamarthcayphasitameknthihrthid xnepnkarrksaxanackhxngchnchnklangtxnbn Haute Bourgeoisie ephraachnchnklangethannthimisiththieluxktngephraamiengin chnchnlangimmisiththi mikhwamphyayamhlaykhrngthicaaekikhsiththikareluxktng aetkiostktxbklbdwykhaphudwa kthatwexngihrwysi Enrichissez vous inkh s 1846 ekidphawakhawyakhmakaephngrakhaxaharsungkhun ekidkarkxclaclthwpraethsinkh s 1847 inkh s 1848 mikarndphbkntamemuxngihyephuxharuxephuxykelikkarpkkhrxngeka eriykwa Campaigne des banquets aemkiostcalaxxk aelaphraecahluys filipcathrngslarachsmbtiihphrarachoxrs aetsphawkarnbanplayekidkwacaaekikh ineduxnkumphaphnth kh s 1848 frngessprakastng Second Republic satharnrththi 2 kh s 1848 1852 hlngcakkarptiwtiidmikarcdtngrthbalechphaakal Provisional government khun ephuxpkkhrxngfrngesscnkwacaidrththrrmnuyihm odymi Dupont de l Eure epnprathanspha aelamikhnakrrmkarbrihar Executive Commission thahnathiepnpramukhaehngrthchwkhraw aetekidkarlukhuxkhunkhxngfaysngkhmniymsungichthngaedngepnsylksn khdkhanaenwkhwamkhidesriniymaebbprachathipitysatharnrthsungichthngitrrngkhepnsylksn aelaehnwatlxdkarepliynaeplngkarpkkhrxngkhxngfrngesshlaykhrngthiphanmakrrmkraelachnchnlangkhadbthbaththangkaremuxng ekidclaclkhxngchnchnphuichaerngngankhuninparis eriykwa June Days Uprisings fayrthbalechphaakalnaody Louis Eugene Cavaignac nakxngkalngekhaprabpramclaclxyangrunaerng karrangrththrrmnuychbbkh s 1848 esrcsinineduxnphvscikayn aelakahndihmikareluxktngineduxnthnwakhm sungecachay phranddakhxngphrackrphrrdinopeliyn idrbchychnainkareluxktngdwynoybaysngkhmniymthaihhluys nopeliynidrbkarsnbsnuncakfaythngaedngaelafayniymrachathipity inkhnathifaysatharnrthnaodykaaewnykhphayaephkareluxktngip hluys nopeliyncungidrbeluxkihepnprathanathibdikhxngfrngessineduxnthnwakhm kh s 1848 epnkhrngaerkthifrngessmiphunakhxngrthepnprathanathibditamrththrrmnuyihm inrthsphasmykhxnghluys nopeliynprakxbdwyklumelchitimistfaykhwaxnurksniym aelafayklang khwakhuxklumxxreliyngnist rththrrmnuychbbpikh s 1848 imxnuyatihprathanathibdidarngtaaehnngekinkwahnungsmy sunghluys nopeliynidphyayamthicaaekikhkdhmayniaetfayrachathipityinsphaimehnchxbdwy ineduxnphvsphakhmkh s 1850 rthsphafayrachathipityidxxkkdhmaytdsiththieluxktngkhxngchnchnlang hluys nopeliyncungichoxkasniedinsayprasryocmtirthbalfaykhwa aelaidrbkhwamniyminklumsngkhmniym cnkrathnginwnthi 2 thnwakhm kh s 1851 hluys nopeliynidkxkarrthprahar Coup of 1851 ephuxyudxanaccakrthbalfaykhwa xikhnungpitxmainwnthi 2 thnwakhm kh s 1852 mikarlngprachamtiehnchxbihyubsatharnrthkhrngthisxngaelaprakasihpraethsfrngessepnckrwrrdixikkhrng eriykwa ckrwrrdithisxng Second Empire ckrwrrdithi 2 kh s 1852 1870 ckrphrrdinopeliynthi 3 rththrrmnuypikh s 1852 kahndihckrphrrdinopeliynthi 3 epnhwhnafaybrihar aelayngkhngmirthsphaxyuthahnathinitibyyti epnrachathipityphayitrththrrmnuy aetxanacthiaethcringnnxyuthixngkhphrackrphrrdi inchwngaerkkhxngckrwrrdithisxngckrphrrdinopeliynthrngcakdesriphaphsuxsingphimphxyanghnkaelamikhwamephdckarxyangmak ephuxsybkarwicarnaelakarocmtikhxngfaysaysatharnrth ckrphrrdinopeliynthisamthrngyudmninkhtiphcnckrwrrdinamasungsntiphaph L Empire c est la paix aemkrannkthrngnafrngessekhasusngkhramhlaykhrng inkh s 1854 ckrphrrdinopeliynidthrngnafrngessekhachwyehluxckrwrrdixxtotmaninkartxtanaekaraephkhyayxanackhxngckrwrrdirsesiyinsngkhramikhremiy Crimean War naipsu Treaty of Paris 1856 epidoxkasihfrngessekhaaethrkaesngtawnxxkklangkaryudemuxngisngxn kh s 1859 inrchsmykhxngckrphrrdinopeliynthi 3 yngepncuderimtnkhxnglththickrwrrdiniymkhxngfrngessxikdwy odyidthakaraephkhyayxanacaelaxananikhminphumiphakhexechiy xnidaek inkh s 1856 idsngthphekhachwyehluxshrachxanackrinkarthasngkhramfinkhrngthisxng Second Opium War kbcinrachwngsching inkh s 1859 Charles Rigault de Genouilly idnathpheruxfrngessekhayudemuxngthaisngxn khxngewiydnamsungpkkhrxngodyrachwngsehwiyn idyxmykokhchincin Cochinchina dinaednthangtxnitkhxngpraethsihaekfrngessinkh s 1862 phranordmthrngyinyxmihepnrthxarkkha Protectorate khxngfrngessinpi kh s 1863 inkh s 1859 ckrphrrdinopeliynthrngsngthphfrngessekhachwyehluxrachxanackrsardieniy Kingdom of Sardinia sungnaody Count of Cavour in Second War of Italian Independence inkarkhbilrachwngshbsburkxxkipcakkhabsmuthrxitali odythifrngessidrbaekhwnsawxy Savoy aelanis Nice maepnkartxbaethn inchnaediywknnn aekhwnprsesiy Prussia kalngeruxngxanacxyuineyxrmniaelakalngthasngkhramephuxthakarrwmchatieyxrmn German unification ckrphrrdinopeliynthrngehnwakaraephkhyayxanackhxngprsesiycaepnphykhukkhamtxfrngess prakxbkbinkh s 1870 idmikarrwihlkhxng Ems Dispatch hruxothrelkhthiaesdngkhwamkhdaeyngrahwangkstriyaehngprsesiyaelathutfrngess thisngthungxxtot fxn bismark Otto von Bismarck epncudchnwnnaipsungsngkhramfrngess prsesiy Franco Prussian War praktwathphfayprsesiymichychnaehnuxthphfrngess samarthbukekhamainpraethsfrngessid aelackrphrrdinopeliynkthrngphayaephaelathukcbphraxngkhidinyuththkarsidng Battle of Sedan ineduxnknyayn ephiyngsxngwntxmafaysaysatharnrthideliklmkarpkkhrxngkhxngckrwrrdifrngess aelacdtngrthbalechphaakalkhunpkkhrxngfrngessaethn inewlaediywkbthithphprsesiyidykekhalxmkrungparissatharnrthfrngessthi 3 kh s 1870 1940 emuxphrackrphrrdinopeliynthrngthukcbphraxngkhipnn thangemuxngpariskidcdtngrthbalpxngknpraeths Le Gouvernement de la Defense Nationale inkhnathithphkhxngprsesiyidykekhalxmemuxngparis cnkrathngeduxnmkrakhmkh s 1871 thangrthbalfrngesscungyxmcannaelaihthpheyxrmnekhaemuxng aelamikareluxktngsmchchaaehngchatiidrthbalthimifaykhwaniymrachathipityepnesiyngkhangmak odyxdxlf tiaeyr phusungepnfayxxreliyngnistepnprathanathibdi ineduxnphvsphakhmidthasnthisyyaaefrngkefirt Treaty of Frankfurt kbckrwrrdieyxrmn odythiesiyaekhwnxlsas Alsace aela Lorraine thangtawnxxkkhxngfrngessihaekckrwrrdieyxrmnthiephingekidihm emuxrang esrcsinaelw cungidmikareluxktngxikkhrngineduxnphvsphakhm kh s 1877 phlkhuxnay Patrice de MacMahon thiepnelchitimistepnprathanathibdi mkmaxngidphyayamthicaxxkkdhmaytangihfrngessklbsurachathipityxikkhrng aettxngprasbpyhakbkartxtancakfaysaysatharnrthinspha thaihtxngyubsphaineduxnmkrakhmkh s 1879frngessyukhsngkhramolkkhrngthisxng kh s 1940 1946 hlngcakthuknasieyxrmnyudkrungparisid nasiidtngrthbalhunfrngesskhunthiemuxng rthbalinchwngnicungeriykwa wichifrngess xikdanhnungnayphlchals edx okl idtng France Libre hrux en Free French Forces thikrunglxndxnephuxtxtannasiaelarthbalwichifrngess inkhnannsatharnrthfrngessthi 4 kh s 1946 1958 rthbalihmhlngsngkhramolkkhrngthisxngmibthbathinsngkhramxinodcinkhrngaerk aelaphayaephtxewiydnamehnuxthinaodyohciminh odyechphaakarsukthiediynebiynfu rthbalinchwngniimmiesthiyrphaph aelaehtukarnsukngxmemuxpi 1958 frngessaephsngkhramthiaexlcieriy pldplxyxisrphaph en Algerian War nayphlchals edx oklcungyudxanacaelarangrththrrmnuyihmepnsatharnrththi 5 ephimetim en French Fourth Republicsatharnrthfrngessthi 5 kh s 1958 pccubn nayphlcharl edx oklichrabbprathanathibdithieluxktngcakprachachnodytrngaethnrabbrthsphaaebbedim sungkhngxyumathungpccubn satharnrththi 5 khxngfrngessmiprathanathibdimathnghmd 8 khnduephimkarpkkhrxngrabbobraninfrngessxangxingJones Tim Anthropology net khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2015 09 24 subkhnemux 21 June 2012 I E S Edwards ed 1970 The Cambridge Ancient History Cambridge U P p 754 ISBN 9780521086912 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite book title aemaebb Cite book cite book a author michuxeriykthwip help Claude Orrieux Pauline Schmitt Pantel 1999 A History of Ancient Greece Blackwell p 62 ISBN 9780631203094 bthkhwamprawtisastrniyngepnokhrng khunsamarthchwywikiphiediyidodykarephimetimkhxmuldkhk