พ่อขุนรามคำแหงมหาราช หรือพระนามเต็ม พระบาทกมรเตงอัญศรีรามราช (พ.ศ. 1782 – พ.ศ. 1841) เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์พระร่วง ปกครองอาณาจักรสุโขทัย ตั้งแต่ปี 1822 ถึง 1841 นับเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุด
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช | |
---|---|
พระบาทกมรเตงอัญศรีรามราช | |
พระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จังหวัดสุโขทัย | |
(พระมหากษัตริย์สุโขทัย) | |
ครองราชย์ | พ.ศ. 1822 - พ.ศ. 1841 (19 ปี) |
ก่อนหน้า | พ่อขุนบานเมือง |
ถัดไป | พระยาเลอไทย |
พระราชสมภพ | พ.ศ. 1782: 27 อาณาจักรสุโขทัย |
สวรรคต | พ.ศ. 1841 (59 พรรษา) อาณาจักรสุโขทัย |
พระราชบุตร | พระยาเลอไทย พญาไสสงคราม แม่นางเทพสุดาสร้อยดาว |
ราชวงศ์ | พระร่วง |
พระราชบิดา | พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ |
พระราชมารดา | นางเสือง |
ศาสนา | พุทธ |
พระองค์ได้รับการยกย่องในการประดิษฐ์อักษรไทยและสถาปนาพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทให้เป็นศาสนาประจำชาติอย่างมั่นคง: 197 : 25
พระราชประวัติ
พระประสูติกาล
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชเสด็จพระราชสมภพเมื่อ พ.ศ. 1782: 27 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 3 ของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์กับนางเสือง โดยพระองค์มีพระเชษฐา 2 พระองค์และพระขนิษฐา 2 พระองค์ พระเชษฐาพระองค์แรกสิ้นพระชนม์ตั้งแต่พ่อขุนรามคำแหงยังทรงพระเยาว์ พระเชษฐาพระองค์ที่สองทรงพระนามตามศิลาจารึกว่า "พระยาบานเมือง" ซึ่งได้เสวยราชสมบัติต่อจากพระบรมชนกนาถ และเมื่อพ่อขุนบานเมืองได้เสด็จสวรรคตแล้ว พ่อขุนรามคำแหงจึงเสวยราชสมบัติต่อมา
ตามพงศาวดารโยนก พ่อขุนรามคำแหงมหาราชแห่งกรุงสุโขทัย พญามังรายแห่งล้านนา และพญางำเมืองแห่งพะเยา เป็นศิษย์ร่วมพระอาจารย์เดียวกัน ณ สำนักพระสุกทันตฤๅษี ที่เมืองละโว้ จึงน่าจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน โดยพญามังรายประสูติเมื่อ พ.ศ. 1782 พ่อขุนรามคำแหงก็น่าจะประสูติในปีใกล้เคียงกันนี้
เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราชมีพระชนมายุ 19 พรรษา ได้ทรงทำยุทธหัตถีมีชัยต่อขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด (อยู่ในบริเวณแม่สอดใกล้จังหวัดตาก แต่อาจจะอยู่ในเขตประเทศพม่าในปัจจุบัน) พระบรมชนกนาถจึงทรงขนานพระนามว่า "พระรามคำแหง" ซึ่งแปลว่า "พระรามผู้กล้าหาญ": 196 ภายหลังเมื่อพระบรมชนกนาถได้เสด็จสวรรคต และพ่อขุนบานเมือง พระเชษฐาธิราช ได้เสวยราชสมบัติต่อมา พ่อขุนรามคำแหงจึงได้ไปเป็นเจ้าเมืองครองเมืองศรีสัชนาลัย
การเสวยราชย์
พระมหากษัตริย์ราชวงศ์พระร่วง | |
---|---|
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ | |
พ่อขุนบานเมือง | |
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช | |
พระยาเลอไทย | |
พระยางั่วนำถุม | |
พระมหาธรรมราชาที่ 1 | |
พระมหาธรรมราชาที่ 2 | |
พระมหาธรรมราชาที่ 3 | |
พระมหาธรรมราชาที่ 4 | |
นาย ได้เสนอว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราชน่าจะเสวยราชย์ พ.ศ. 1820 เพราะเป็นปีที่ทรงปลูกต้นตาลที่สุโขทัย
ศาสตราจารย์ประเสริฐ ณ นคร ราชบัณฑิต จึงได้หาหลักฐานมาประกอบพบว่า กษัตริย์ไทยอาหมถือประเพณีทรงปลูกต้นไทรตอนขึ้นเสวยราชย์อย่างน้อยเจ็ดรัชกาลด้วยกัน ทั้งนี้ เพื่อสร้างโชคชัยว่ารัชกาลจะอยู่ยืนยงเหมือนต้นไทร อนึ่ง ต้นตาลและต้นไทรเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของลังกา
พระนาม
ราชบัณฑิตยสถานสันนิษฐานว่า พระนามเดิมของพระองค์คือ เจ้าราม เพราะปรากฏพระนามเมื่อเสวยราชย์แล้วว่า "พ่อขุนรามราช" อนึ่ง สมัยนั้นนิยมนำชื่อปู่มาตั้งเป็นชื่อหลาน ซึ่งตามพระราชนัดดาของพระองค์มีพระนามว่า "พระยาพระราม" และในชั้นพระราชนัดดาของพระราชนัดดา ในเหตุการณ์การแย่งชิงราชสมบัติกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 1962 ตามพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ปรากฏเจ้าเมืองพระนามว่า "พระยาบาลเมือง" และ "พระยาราม"
รายพระนามพ่อขุนรามคำแหง ดังนี้: 28
- พ่อขุนรามคำแหง
- พ่อขุนรามราช
- พระบาทกัมรเตงอัญศรีรามราช
- พระยารามราช
- โรจนราช
- พระร่วง หรือ พระร่วงเจ้า (พระนามนี้ใช้เรียกกษัตริย์ราชวงศ์สุโขทัยทุกพระองค์)
พระราชกรณียกิจ
รัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นยุคที่กรุงสุโขทัยเฟื่องฟูและเจริญขึ้นกว่าเดิมเป็นอันมาก ระบบการปกครองภายในก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยอย่างมีประสิทธิภาพ มีการติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง ประชาชนอยู่ดีกินดี สภาพบ้านเมืองก้าวหน้าทั้งทางเกษตร การชลประทาน การอุตสาหกรรม และการศาสนา อาณาเขตของกรุงสุโขทัยได้ขยายออกไปกว้างใหญ่ไพศาล
การเมืองการปกครอง
เมื่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ทรงขจัดอิทธิพลของเขมรออกไปจากกรุงสุโขทัยได้ในปลาย การปกครองของกษัตริย์สุโขทัยได้ใช้ระบบหรือ "พ่อปกครองลูก" ดังข้อความในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงว่า คำพูด"....เมื่อชั่วพ่อกู กูบำเรอแก่พ่อกู กูได้ตัวเนื้อตัวปลา กูเอามาแก่พ่อกู กูได้หมากส้มหมากหวาน อันใดกินอร่อยดี กูเอามาแก่พ่อกู กูไปตีหนังวังช้างได้ กูเอามาแก่พ่อกู กูไปท่อบ้านท่อเมือง ได้ช้างได้งวง ได้ปั่วได้นาง ได้เงือนได้ทอง กูเอามาเวนแก่พ่อกู.."
ข้อความดังกล่าวแสดงการนับถือบิดามารดา และถือว่าความผูกพันในครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญ ครอบครัวทั้งหลายรวมกันเข้าเป็นเมืองหรือรัฐ มีเจ้าเมืองหรือพระมหากษัตริย์เป็นหัวหน้าครอบครัว
ปรากฏข้อความในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงว่าพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงใช้พระราชอำนาจในการยุติธรรมและนิติบัญญัติไว้ดังต่อไปนี้
1) ราษฎรสามารถค้าขายได้โดยเสรี เจ้าเมืองไม่เรียกเก็บจังกอบหรือภาษีผ่านทาง
2) ผู้ใดล้มตายลง ทรัพย์มรดกก็ตกแก่บุตร
3) หากผู้ใดไม่ได้รับความเป็นธรรมในกรณีพิพาท ก็มีสิทธิไปสั่นกระดิ่งที่แขวนไว้หน้าประตูวังเพื่อถวายฎีกาต่อพระมหากษัตริย์ได้ พระองค์ก็จะทรงตัดสินด้วยพระองค์เอง
นอกจากนี้ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชยังทรงใช้พุทธศาสนาเป็นเครื่องช่วยในการปกครอง โดยได้ทรงสร้าง "พระแท่นมนังคศิลาบาตร" ขึ้นไว้กลางดงตาล เพื่อให้พระเถรานุเถระแสดงพระธรรมเทศนาแก่ประชาชนในวันพระ ส่วนวันธรรมดาพระองค์จะเสด็จประทับเป็นประธานให้เจ้านายและข้าราชการปรึกษาราชการร่วมกัน
เศรษฐกิจและการค้า
โปรดให้สร้างทำนบกักน้ำที่เรียกว่า “สรีดภงส์” เพื่อนำน้ำไปใช้ในตัวเมืองสุโขทัยและบริเวณใกล้เคียง โดยอาศัยแนวคันดินที่เรียกว่า “เขื่อนพระร่วง” ทำให้มีน้ำสำหรับใช้ในการเพาะปลูกและอุปโภคบริโภคในยาม ที่บ้านเมืองขาดแคลนน้ำ
ทรงส่งเสริมการค้าขายอย่างเสรีภายในราชอาณาจักรด้วยการไม่เก็บภาษีผ่านด่านหรือ “จกอบ” (จังกอบ) จากบรรดาพ่อค้าที่เข้ามาค้าขายในกรุงสุโขทัย ดังคำจารึกบนศิลาจารึกว่า "เจ้าเมือง บ่เอาจกอบในไพร่ลู่ทาง" นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่ปรากฏว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงส่งเสริมให้ชาวสุโขทัยนิยมการค้าขายนั้น ปรากฏตามศิลาจารึกตอนหนึ่งว่า "เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจะใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงือนค้าทองค้า" อันเป็นการแสดงให้เห็นว่า ทรงเปิดเสรีทุกประการในการค้าขายทำให้การค้าขายขยายออกไปอย่างกว้างขวางจนปรากฏแหล่งการค้าสำคัญในสุโขทัยได้แก่ "ตลาดปสาน" จากศิลาจารึกกล่าวว่า "เบื้องตีนนอนเมืองสุโขทัย มีตลาดปสาน"
ในด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับมหาอำนาจอย่าง "จีน" โดยนอกจากการเพิ่มพูนสัมพันธไมตรีตามปกติแล้ว ยังโปรดให้นำช่างจากชาวจีนมาเพื่อก่อตั้งโรงงานตั้งเตาทำถ้วยชามทั้งเพื่อใช้ในประเทศ และสามารถส่งออกไปยังประเทศใกล้เคียงได้ด้วย ถ้วยชามที่ผลิตในยุคนี้เรียกว่า "ชามสังคโลก"
ศาสนาและวัฒนธรรม
ทรงคิดประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้แทนตัวอักษรขอมที่เคยใช้กันมาแต่เดิม เมื่อ พ.ศ. 1826 เรียกว่า “ลายสือไทย” และได้มีการพัฒนาการมาเป็นลำดับจนถึงอักษรไทยในยุคปัจจุบัน ทำให้คนไทยมีอักษรไทยใช้มาจนถึงทุกวันนี้
โปรดให้จารึกเรื่องราวบางส่วนที่เกิดในสมัยของพระองค์ โดยปรากฏอยู่ในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 ทำให้คนไทยยุคหลังได้ทราบ และนักประวัติศาสตร์ได้ใช้ศิลาจารึกดังกล่าวเป็นข้อมูลหลักฐานในการศึกษาค้นคว้าเรื่องราวประวัติศาสตร์สุโขทัย
ทรงรับเอาพระพุทธศาสนา นิกายเถรวาท ลัทธิลังกาวงศ์ จากลังกา ผ่านเมืองนครศรีธรรมราช มาประดิษฐานที่เมืองสุโขทัย ทำให้พระพุทธศาสนาวางรากฐานมั่นคงในอาณาจักรสุโขทัย และเผยแผ่ไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ในราชอาณาจักรสุโขทัย จนกระทั่งได้กลายเป็นศาสนาประจำชาติไทยมาจนถึงทุกวันนี้
เมื่อพระพุทธศาสนาได้มาตั้งมั่นที่นครศรีธรรมราช พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาจึงให้นิมนต์พระเถระชั้นผู้ใหญ่จากเมืองนครศรีธรรมราชไปตั้งเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่กรุงสุโขทัยด้วย และนับเป็นการเริ่มการเจริญสัมพันธไมตรีกับลังกา อีกทั้งทรงได้สดับกิตติศัพท์ของ "พระพุทธสิหิงค์" ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่เจ้าราชวงศ์ลังกาสร้างขึ้นด้วยพระพุทธลักษณะที่งดงาม และมีความศักดิ์สิทธิ์ จึงทรงให้พระยานครศรีธรรมราช เจ้าประเทศราชแต่งสาส์นให้ทูตถือไปยังลังกา เพื่อขอเป็นไมตรีและขอพระราชทานพระพุทธสิหิงค์มาเพื่อเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองไทยสืบไป
อาณาเขต
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้ทรงขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางไพศาล คือ
ทิศตะวันออก ทรงปราบได้เมืองสรหลวงสองแคว (พิษณุโลก), ลุมบาจาย, สะค้า (สองเมืองหลังนี้อาจอยู่แถวลุ่มแม่น้ำน่านหรือแควป่าสักก็ได้), ข้ามฝั่งแม่น้ำโขงไปถึงเวียงจันทน์และเวียงคำในประเทศลาว
ทิศใต้ ทรงปราบได้คนที (บ้านโคน จังหวัดกำแพงเพชร), พระบาง (นครสวรรค์), แพรก (ชัยนาท), สุพรรณภูมิ, ราชบุรี, เพชรบุรี, และนครศรีธรรมราช โดยมีฝั่งทะเลสมุทร (มหาสมุทร) เป็นเขตแดนไทย
ทิศตะวันตก ทรงปราบได้เมืองฉอด,มีสมุทรเป็นเขตแดนไทย
ทิศเหนือ ทรงปราบได้เมืองแพร่, เมืองน่าน, เมืองพลัว (อำเภอปัว น่าน), ข้ามฝั่งโขงไปถึงเมืองชวา (หลวงพระบาง) เป็นเขตแดนไทย
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
การใช้ความสัมพันธ์ทางด้านการทูตและความสัมพันธ์ทางด้านวัฒนธรรม โดยเฉพาะทางด้านพระพุทธศาสนาแทนการทำสงคราม ทำให้สุโขทัยมีแต่ความสงบร่มเย็น ไม่เกิดสงครามกับแคว้นต่าง ๆ ในสมัยของพระองค์ และได้หัวเมืองประเทศราชเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ทรงทำพระราชไมตรีกับพญามังรายมหาราชแห่งล้านนา: 206 และพญางำเมืองแห่งพะเยา โดยทรงยินยอมให้พญามังรายมหาราชขยายอาณาเขตล้านนาทางน้ำแม่กก แม่น้ำปิง และแม่น้ำวังได้อย่างสะดวก เพื่อให้เป็นกันชนระหว่างจีนกับสุโขทัย กับทั้งยังได้เสด็จไปทรงช่วยเหลือพญามังรายมหาราชหาชัยภูมิสร้างเมืองเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. 1839 ด้วย
ทางอาณาจักรมอญ มีพ่อค้าชื่อ "มะกะโท" เข้ารับราชการอยู่ในราชสำนักของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช มะกะโทได้ผูกสมัครรักใคร่กับ "เจ้าเทพธิดาสร้อยดาว" พระธิดาของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช แล้วพากันหนีไปอยู่เมืองเมาะตะมะ แล้วจึงขออภัยโทษต่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ขอพระราชทานนาม และขอยินยอมเป็นประเทศราชของกรุงสุโขทัย ซึ่งพ่อขุนรามคำแหงได้พระราชทานนามว่า "พระเจ้าฟ้ารั่ว"
ทางทิศใต้ ได้ทรงอาราธนาพระมหาเถรสังฆราชผู้เรียนจบพระไตรปิฎกมาจากนครศรีธรรมราช ให้มาเผยแพ่พุทธศาสนาในกรุงสุโขทัย
ส่วนด้านเมืองละโว้นั้นทรงปล่อยให้เป็นเอกราชอยู่ เพราะปรากฏว่ายังส่งเครื่องบรรณาการไปจีนอยู่ระหว่าง พ.ศ. 1834 ถึง พ.ศ. 1840 ทั้งนี้ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชก็คงจะได้ทรงผูกไมตรีกับเมืองละโว้ไว้ นอกจากนี้ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชเองก็ทรงส่งราชทูตไปจีนสามครั้งเพื่อเจริญสัมพันธไมตรี
ประดิษฐกรรม
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้เมื่อ ม.ศ. 1205 ตรงกับ พ.ศ. 1826 อักษรดังกล่าวเรียกว่า "ลายสือไทย" และทุกตัวอักษรดัดแปลงมาจากอักษรขอม
วรรณกรรม
วรรณกรรมสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชสูญหายไปหมดแล้ว คงเหลือแต่ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง (พ.ศ. 1835) ซึ่งแม้จะมีข้อความเป็นร้อยแก้ว แต่ก็มีสัมผัสคล้องจองทำให้ไพเราะซาบซึ้งตรึงใจ เช่น
...ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว...ลูท่างเพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย...เห็นข้าวท่านบ่ใคร่พิน เห็นสินท่านบ่ใคร่เดือด
นับเป็นวรรณคดีเริ่มแรกของกรุงสุโขทัยซึ่งตกทอดมาถึงปัจจุบัน โดยอย่างไรก็ดี ในช่วงตั้งแต่ พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา มีข้อสงสัยทางวิชาการว่าศิลาจารึกดังกล่าวจะมิได้ทำขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และมีผู้เสนอว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพบศิลานั้นเมื่อเสด็จจาริกธุดงค์ เป็นผู้ทรงทำศิลานั้นขึ้นเพื่อเหตุผลทางการเมืองในการสร้างประวัติศาสตร์ชาติไทยให้ชาติตะวันตกเห็นว่ามีและรุ่งเรืองมาอย่างยาวนาน เป็นการป้องปัดภัยการล่าอาณานิคมในสมัยนั้น ทั้งนี้ข้อสงสัยนี้กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
สวรรคต
ตามบันทึกประวัติศาสตร์หยวนของจีน ได้บันทึกไว้ว่า พ่อขุนรามคำแหงได้เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 1841 และพระยาเลอไทย พระราชโอรสของพระองค์ จึงเสวยราชสมบัติต่อมา
พระบรมราชานุสรณ์
- พระบรมราชานุสาวรีย์ ณ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย
- พระบรมราชานุสาวรีย์ ณ อุทยานราชภักดิ์
- พระบรมราชานุสาวรีย์ ณ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
- มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา (2011, p. 24)
- สุทัศน์ สิริสวย. (2509). พระราชกรณียกิจของพ่อขุนรามคำแหงในการก่อตั้งสถาบันการปกครองของชาติไทย. วิทยานิพนธ์รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กรุงเทพฯ. NIDA Wisdom Repository: Link. 141 หน้า.
- ตรี อมาตยกุล. "ประวัติศาสตร์สุโขทัย" แถลงงานประวัติศาสตร์ เอกสารโบราณคดี. Vol. ปีที่ 14 เล่ม 1 (พ.ศ. 2523), ปีที่ 15 เล่ม 1 (พ, ศ. 2524), ปีที่ 16 เล่ม 1 (พ.ศ. 2525) และปีที่ 18 เล่ม 1 (พ.ศ. 2527). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี.
- Chakrabongse, C., 1960, Lords of Life, London: Alvin Redman Limited
- ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ : ‘มนังคศิลาบาตร’ หรือจะไม่ใช่ ‘มโนศิลาอาสน์’ ? มติชนสุดสัปดาห์ สืบค้นเมื่อ 2 สิงหาคม 2559
- ฟ้ารั่ว,พระเจ้า โดย.. รองศาสตราจารย์เรือเอกหญิงปรียา หิรัญประดิษฐ์
- ราชบัณฑิตยสถาน (2013). พจนานุกรมศัพท์วรรณคดีไทย สมัยสุโขทัย ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช หลักที่ 1 ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน. p. 1–2. ISBN .
- มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา (2011, p. 26)
- ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ 1. (2521). คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี.
- ประเสริฐ ณ นคร. (2534). "ประวัติศาสตร์สุโขทัยจากจารึก." งานจารึกและประวัติศาสตร์ของประเสริฐ ณ นคร. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน.
- ประเสริฐ ณ นคร. (2544). "รามคำแหงมหาราช, พ่อขุน". สารานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน, (เล่ม 25 : ราชบัณฑิตยสถาน-โลกธรรม). กรุงเทพฯ : สหมิตรพริ้นติ้ง. หน้า 15887-15892.
- ประเสริฐ ณ นคร. (2534). "ลายสือไทย". งานจารึกและประวัติศาสตร์ของประเสริฐ ณ นคร. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน.
- เจ้าพระยาพระคลัง (หน). (2515). ราชาธิราช. พระนคร : บรรณาการ.
- อุดม ประมวลวิทย์. (2508)" "50 กษัตริย์ไทย". สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์.
- มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา (2011). นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา. ISBN .
แหล่งข้อมูลอื่น
- พ่อขุนรามคำแหงไปเมืองจีนเอาเทคโนโลยีทำถ้วยชามกลับมาสุโขทัยจริงหรือ? ศิลปวัฒนธรรม
ก่อนหน้า | พ่อขุนรามคำแหงมหาราช | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
พ่อขุนบานเมือง ราชวงศ์พระร่วง | พระมหากษัตริย์ไทย อาณาจักรสุโขทัย (พ.ศ. 1822–1841) | พระยาเลอไทย ราชวงศ์พระร่วง |
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
phxkhunramkhaaehngmharach hruxphranametm phrabathkmretngxysriramrach ph s 1782 ph s 1841 epnphramhakstriyxngkhthi 3 aehngrachwngsphrarwng pkkhrxngxanackrsuokhthy tngaetpi 1822 thung 1841 nbepnyukhthirungeruxngthisudphxkhunramkhaaehngmharachphrabathkmretngxysriramrachphrabrmrachanusawriyphxkhunramkhaaehngmharach thixuthyanprawtisastrsuokhthy cnghwdsuokhthyphramhakstriysuokhthykhrxngrachyph s 1822 ph s 1841 19 pi kxnhnaphxkhunbanemuxngthdipphrayaelxithyphrarachsmphphph s 1782 27 xanackrsuokhthyswrrkhtph s 1841 59 phrrsa xanackrsuokhthyphrarachbutrphrayaelxithy phyaissngkhram aemnangethphsudasrxydawrachwngsphrarwngphrarachbidaphxkhunsrixinthrathityphrarachmardanangesuxngsasnaphuthth phraxngkhidrbkarykyxnginkarpradisthxksrithyaelasthapnaphraphuththsasnanikayethrwathihepnsasnapracachatixyangmnkhng 197 25 phrarachprawtiphraprasutikal phxkhunramkhaaehngmharachesdcphrarachsmphphemux ph s 1782 27 epnphrarachoxrsphraxngkhthi 3 khxngphxkhunsrixinthrathitykbnangesuxng odyphraxngkhmiphraechstha 2 phraxngkhaelaphrakhnistha 2 phraxngkh phraechsthaphraxngkhaerksinphrachnmtngaetphxkhunramkhaaehngyngthrngphraeyaw phraechsthaphraxngkhthisxngthrngphranamtamsilacarukwa phrayabanemuxng sungideswyrachsmbtitxcakphrabrmchnknath aelaemuxphxkhunbanemuxngidesdcswrrkhtaelw phxkhunramkhaaehngcungeswyrachsmbtitxma tamphngsawdaroynk phxkhunramkhaaehngmharachaehngkrungsuokhthy phyamngrayaehnglanna aelaphyangaemuxngaehngphaeya epnsisyrwmphraxacaryediywkn n sankphrasukthntvisi thiemuxnglaow cungnacamixayurunrawkhrawediywkn odyphyamngrayprasutiemux ph s 1782 phxkhunramkhaaehngknacaprasutiinpiiklekhiyngknni emuxphxkhunramkhaaehngmharachmiphrachnmayu 19 phrrsa idthrngthayuththhtthimichytxkhunsamchn ecaemuxngchxd xyuinbriewnaemsxdiklcnghwdtak aetxaccaxyuinekhtpraethsphmainpccubn phrabrmchnknathcungthrngkhnanphranamwa phraramkhaaehng sungaeplwa phraramphuklahay 196 phayhlngemuxphrabrmchnknathidesdcswrrkht aelaphxkhunbanemuxng phraechsthathirach ideswyrachsmbtitxma phxkhunramkhaaehngcungidipepnecaemuxngkhrxngemuxngsrischnaly kareswyrachy phramhakstriyrachwngsphrarwngphxkhunsrixinthrathityphxkhunbanemuxngphxkhunramkhaaehngmharachphrayaelxithyphrayangwnathumphramhathrrmrachathi 1phramhathrrmrachathi 2phramhathrrmrachathi 3phramhathrrmrachathi 4dk nay idesnxwa phxkhunramkhaaehngmharachnacaeswyrachy ph s 1820 ephraaepnpithithrngpluktntalthisuokhthy sastracarypraesrith n nkhr rachbnthit cungidhahlkthanmaprakxbphbwa kstriyithyxahmthuxpraephnithrngpluktnithrtxnkhuneswyrachyxyangnxyecdrchkaldwykn thngni ephuxsrangochkhchywarchkalcaxyuyunyngehmuxntnithr xnung tntalaelatnithrepnimskdisiththikhxnglngkaphranamrachbnthitysthansnnisthanwa phranamedimkhxngphraxngkhkhux ecaram ephraapraktphranamemuxeswyrachyaelwwa phxkhunramrach xnung smynnniymnachuxpumatngepnchuxhlan sungtamphrarachnddakhxngphraxngkhmiphranamwa phrayaphraram aelainchnphrarachnddakhxngphrarachndda inehtukarnkaraeyngchingrachsmbtikrungsrixyuthya ph s 1962 tamphrarachphngsawdarkrungeka chbbhlwngpraesrithxksrniti praktecaemuxngphranamwa phrayabalemuxng aela phrayaram rayphranamphxkhunramkhaaehng dngni 28 phxkhunramkhaaehng phxkhunramrach phrabathkmretngxysriramrach phrayaramrach orcnrach phrarwng hrux phrarwngeca phranamniicheriykkstriyrachwngssuokhthythukphraxngkh phrarachkrniykicrchsmykhxngphxkhunramkhaaehngmharachepnyukhthikrungsuokhthyefuxngfuaelaecriykhunkwaedimepnxnmak rabbkarpkkhrxngphayinkxihekidkhwamsngberiybrxyxyangmiprasiththiphaph mikartidtxsmphnthkbtangpraethsthngindanesrsthkicaelakaremuxng prachachnxyudikindi sphaphbanemuxngkawhnathngthangekstr karchlprathan karxutsahkrrm aelakarsasna xanaekhtkhxngkrungsuokhthyidkhyayxxkipkwangihyiphsal karemuxngkarpkkhrxng emuxphxkhunsrixinthrathitythrngkhcdxiththiphlkhxngekhmrxxkipcakkrungsuokhthyidinplay karpkkhrxngkhxngkstriysuokhthyidichrabbhrux phxpkkhrxngluk dngkhxkhwaminsilacarukphxkhunramkhaaehngwa khaphud emuxchwphxku kubaerxaekphxku kuidtwenuxtwpla kuexamaaekphxku kuidhmaksmhmakhwan xnidkinxrxydi kuexamaaekphxku kuiptihnngwngchangid kuexamaaekphxku kuipthxbanthxemuxng idchangidngwng idpwidnang idenguxnidthxng kuexamaewnaekphxku khxkhwamdngklawaesdngkarnbthuxbidamarda aelathuxwakhwamphukphninkhrxbkhrwepneruxngsakhy khrxbkhrwthnghlayrwmknekhaepnemuxnghruxrth miecaemuxnghruxphramhakstriyepnhwhnakhrxbkhrw praktkhxkhwaminsilacarukphxkhunramkhaaehngwaphxkhunramkhaaehngmharachthrngichphrarachxanacinkaryutithrrmaelanitibyytiiwdngtxipni 1 rasdrsamarthkhakhayidodyesri ecaemuxngimeriykekbcngkxbhruxphasiphanthang 2 phuidlmtaylng thrphymrdkktkaekbutr 3 hakphuidimidrbkhwamepnthrrminkrniphiphath kmisiththiipsnkradingthiaekhwniwhnapratuwngephuxthwaydikatxphramhakstriyid phraxngkhkcathrngtdsindwyphraxngkhexng nxkcakni phxkhunramkhaaehngmharachyngthrngichphuththsasnaepnekhruxngchwyinkarpkkhrxng odyidthrngsrang phraaethnmnngkhsilabatr khuniwklangdngtal ephuxihphraethranuethraaesdngphrathrrmethsnaaekprachachninwnphra swnwnthrrmdaphraxngkhcaesdcprathbepnprathanihecanayaelakharachkarpruksarachkarrwmkn esrsthkicaelakarkha oprdihsrangthanbkknathieriykwa sridphngs ephuxnanaipichintwemuxngsuokhthyaelabriewniklekhiyng odyxasyaenwkhndinthieriykwa ekhuxnphrarwng thaihminasahrbichinkarephaaplukaelaxupophkhbriophkhinyam thibanemuxngkhadaekhlnna thrngsngesrimkarkhakhayxyangesriphayinrachxanackrdwykarimekbphasiphandanhrux ckxb cngkxb cakbrrdaphxkhathiekhamakhakhayinkrungsuokhthy dngkhacarukbnsilacarukwa ecaemuxng bexackxbiniphrluthang nxkcakniyngmihlkthanthipraktwa phxkhunramkhaaehngmharachthrngsngesrimihchawsuokhthyniymkarkhakhaynn prakttamsilacaruktxnhnungwa ephuxncungwwipkha khimaipkhay ikhrcaikhrkhachangkha ikhrckikhrkhamakha ikhrckikhrkhaenguxnkhathxngkha xnepnkaraesdngihehnwa thrngepidesrithukprakarinkarkhakhaythaihkarkhakhaykhyayxxkipxyangkwangkhwangcnpraktaehlngkarkhasakhyinsuokhthyidaek tladpsan caksilacarukklawwa ebuxngtinnxnemuxngsuokhthy mitladpsan indanesrsthkicrahwangpraeths phxkhunramkhaaehngmharachthrngecriysmphnthimtrikbmhaxanacxyang cin odynxkcakkarephimphunsmphnthimtritampktiaelw yngoprdihnachangcakchawcinmaephuxkxtngorngngantngetathathwychamthngephuxichinpraeths aelasamarthsngxxkipyngpraethsiklekhiyngiddwy thwychamthiphlitinyukhnieriykwa chamsngkholk sasnaaelawthnthrrm phaphdanhlngthnbtrithychnidrakha 20 bath chudthi 16 rupphrabrmrachanusawriykhxngphxkhunramkhaaehngmharach thrngkhidpradisthxksrithykhunichaethntwxksrkhxmthiekhyichknmaaetedim emux ph s 1826 eriykwa laysuxithy aelaidmikarphthnakarmaepnladbcnthungxksrithyinyukhpccubn thaihkhnithymixksrithyichmacnthungthukwnni oprdihcarukeruxngrawbangswnthiekidinsmykhxngphraxngkh odypraktxyuinsilacaruksuokhthyhlkthi 1 thaihkhnithyyukhhlngidthrab aelankprawtisastridichsilacarukdngklawepnkhxmulhlkthaninkarsuksakhnkhwaeruxngrawprawtisastrsuokhthy thrngrbexaphraphuththsasna nikayethrwath lththilngkawngs caklngka phanemuxngnkhrsrithrrmrach mapradisthanthiemuxngsuokhthy thaihphraphuththsasnawangrakthanmnkhnginxanackrsuokhthy aelaephyaephipynghwemuxngtang inrachxanackrsuokhthy cnkrathngidklayepnsasnapracachatiithymacnthungthukwnni emuxphraphuththsasnaidmatngmnthinkhrsrithrrmrach phxkhunramkhaaehngmharachthrngeluxmissrththainphraphuththsasnacungihnimntphraethrachnphuihycakemuxngnkhrsrithrrmrachiptngephyaephphraphuththsasnathikrungsuokhthydwy aelanbepnkarerimkarecriysmphnthimtrikblngka xikthngthrngidsdbkittisphthkhxng phraphuththsihingkh sungepnphraphuththrupthiecarachwngslngkasrangkhundwyphraphuththlksnathingdngam aelamikhwamskdisiththi cungthrngihphrayankhrsrithrrmrach ecapraethsrachaetngsasnihthutthuxipynglngka ephuxkhxepnimtriaelakhxphrarachthanphraphuththsihingkhmaephuxepnphrakhubankhuemuxngithysubip xanaekht phxkhunramkhaaehngmharachidthrngkhyayxanaekhtxxkipxyangkwangkhwangiphsal khux thistawnxxk thrngprabidemuxngsrhlwngsxngaekhw phisnuolk lumbacay sakha sxngemuxnghlngnixacxyuaethwlumaemnananhruxaekhwpaskkid khamfngaemnaokhngipthungewiyngcnthnaelaewiyngkhainpraethslaw thisit thrngprabidkhnthi banokhn cnghwdkaaephngephchr phrabang nkhrswrrkh aephrk chynath suphrrnphumi rachburi ephchrburi aelankhrsrithrrmrach odymifngthaelsmuthr mhasmuthr epnekhtaednithy thistawntk thrngprabidemuxngchxd mismuthrepnekhtaednithy thisehnux thrngprabidemuxngaephr emuxngnan emuxngphlw xaephxpw nan khamfngokhngipthungemuxngchwa hlwngphrabang epnekhtaednithy khwamsmphnthrahwangpraeths phrabrmrachanusawriysamkstriy thisalawakarcnghwdechiyngihm prakxbdwy phxkhunramkhaaehng phyangaemuxng aelaphyamngray tamladb karichkhwamsmphnththangdankarthutaelakhwamsmphnththangdanwthnthrrm odyechphaathangdanphraphuththsasnaaethnkarthasngkhram thaihsuokhthymiaetkhwamsngbrmeyn imekidsngkhramkbaekhwntang insmykhxngphraxngkh aelaidhwemuxngpraethsrachephimkhunxikdwy thrngthaphrarachimtrikbphyamngraymharachaehnglanna 206 aelaphyangaemuxngaehngphaeya odythrngyinyxmihphyamngraymharachkhyayxanaekhtlannathangnaaemkk aemnaping aelaaemnawngidxyangsadwk ephuxihepnknchnrahwangcinkbsuokhthy kbthngyngidesdcipthrngchwyehluxphyamngraymharachhachyphumisrangemuxngechiyngihmemux ph s 1839 dwy thangxanackrmxy miphxkhachux makaoth ekharbrachkarxyuinrachsankkhxngphxkhunramkhaaehngmharach makaothidphuksmkhrrkikhrkb ecaethphthidasrxydaw phrathidakhxngphxkhunramkhaaehngmharach aelwphaknhniipxyuemuxngemaatama aelwcungkhxxphyothstxphxkhunramkhaaehngmharach khxphrarachthannam aelakhxyinyxmepnpraethsrachkhxngkrungsuokhthy sungphxkhunramkhaaehngidphrarachthannamwa phraecafarw thangthisit idthrngxarathnaphramhaethrsngkhrachphueriyncbphraitrpidkmacaknkhrsrithrrmrach ihmaephyaephphuththsasnainkrungsuokhthy swndanemuxnglaownnthrngplxyihepnexkrachxyu ephraapraktwayngsngekhruxngbrrnakaripcinxyurahwang ph s 1834 thung ph s 1840 thngni phxkhunramkhaaehngmharachkkhngcaidthrngphukimtrikbemuxnglaowiw nxkcakni phxkhunramkhaaehngmharachexngkthrngsngrachthutipcinsamkhrngephuxecriysmphnthimtri pradisthkrrm silacarukhlkthi 1 phxkhunramkhaaehngthi phiphithphnthsthanaehngchati phrankhr phxkhunramkhaaehngmharachthrngpradisthxksrithykhunichemux m s 1205 trngkb ph s 1826 xksrdngklaweriykwa laysuxithy aelathuktwxksrddaeplngmacakxksrkhxm wrrnkrrm wrrnkrrmsmyphxkhunramkhaaehngmharachsuyhayiphmdaelw khngehluxaetsilacarukphxkhunramkhaaehng ph s 1835 sungaemcamikhxkhwamepnrxyaekw aetkmismphskhlxngcxngthaihipheraasabsungtrungic echn innamipla innamikhaw luthangephuxncungwwipkha khimaipkhay ehnkhawthanbikhrphin ehnsinthanbikhreduxd nbepnwrrnkhdierimaerkkhxngkrungsuokhthysungtkthxdmathungpccubn odyxyangirkdi inchwngtngaet ph s 2520 epntnma mikhxsngsythangwichakarwasilacarukdngklawcamiidthakhuninsmyphxkhunramkhaaehngmharach aelamiphuesnxwa phrabathsmedcphracxmeklaecaxyuhw phuthrngphbsilannemuxesdccarikthudngkh epnphuthrngthasilannkhunephuxehtuphlthangkaremuxnginkarsrangprawtisastrchatiithyihchatitawntkehnwamiaelarungeruxngmaxyangyawnan epnkarpxngpdphykarlaxananikhminsmynn thngnikhxsngsynikalngepnthithkethiyngknxyuswrrkhttambnthukprawtisastrhywnkhxngcin idbnthukiwwa phxkhunramkhaaehngidesdcswrrkhtinpi ph s 1841 aelaphrayaelxithy phrarachoxrskhxngphraxngkh cungeswyrachsmbtitxmaphrabrmrachanusrnphrabrmrachanusawriy n xuthyanprawtisastrsuokhthy phrabrmrachanusawriy n xuthyanrachphkdi phrabrmrachanusawriy n mhawithyalyramkhaaehngduephimcarukphxkhunramkhaaehng rayphranamphramhakstriyithyxangxingmulnithismedcphraethphrtnrachsuda 2011 p 24 suthsn siriswy 2509 phrarachkrniykickhxngphxkhunramkhaaehnginkarkxtngsthabnkarpkkhrxngkhxngchatiithy withyaniphnthrthprasasnsastrmhabnthit sthabnbnthitphthnbriharsastr krungethph NIDA Wisdom Repository Link 141 hna tri xmatykul prawtisastrsuokhthy aethlngnganprawtisastr exksarobrankhdi Vol pithi 14 elm 1 ph s 2523 pithi 15 elm 1 ph s 2524 pithi 16 elm 1 ph s 2525 aelapithi 18 elm 1 ph s 2527 krungethph orngphimphsankelkhathikarkhnarthmntri Chakrabongse C 1960 Lords of Life London Alvin Redman Limited siriphcn ehlamanaecriy mnngkhsilabatr hruxcaimich monsilaxasn mtichnsudspdah subkhnemux 2 singhakhm 2559 farw phraeca ody rxngsastracaryeruxexkhyingpriya hirypradisth rachbnthitysthan 2013 phcnanukrmsphthwrrnkhdiithy smysuokhthy silacarukphxkhunramkhaaehngmharach hlkthi 1 chbbrachbnthitysthan krungethph rachbnthitysthan p 1 2 ISBN 978 616 7073 62 0 mulnithismedcphraethphrtnrachsuda 2011 p 26 prachumsilacaruk phakhthi 1 2521 khnakrrmkarphicarnaaelacdphimphexksarthangprawtisastr krungethph orngphimphsankelkhathikarkhnarthmntri praesrith n nkhr 2534 prawtisastrsuokhthycakcaruk ngancarukaelaprawtisastrkhxngpraesrith n nkhr mhawithyalyekstrsastr kaaephngaesn praesrith n nkhr 2544 ramkhaaehngmharach phxkhun saranukrmithychbbrachbnthitysthan elm 25 rachbnthitysthan olkthrrm krungethph shmitrphrinting hna 15887 15892 praesrith n nkhr 2534 laysuxithy ngancarukaelaprawtisastrkhxngpraesrith n nkhr mhawithyalyekstrsastr kaaephngaesn ecaphrayaphrakhlng hn 2515 rachathirach phrankhr brrnakar xudm pramwlwithy 2508 50 kstriyithy sankphimphoxediynsotr mulnithismedcphraethphrtnrachsuda 2011 namanukrmphramhakstriyithy krungethph mulnithismedcphraethphrtnrachsuda ISBN 9786167308258 aehlngkhxmulxunsthaniyxypraethsithysthaniyxyprawtisastrsthaniyxyphramhakstriyaelaphrabrmwngsanuwngswikimiediykhxmmxnsmisuxthiekiywkhxngkb phxkhunramkhaaehngmharach phxkhunramkhaaehngipemuxngcinexaethkhonolyithathwychamklbmasuokhthycringhrux silpwthnthrrmkxnhna phxkhunramkhaaehngmharach thdipphxkhunbanemuxng rachwngsphrarwng phramhakstriyithy xanackrsuokhthy ph s 1822 1841 phrayaelxithy rachwngsphrarwng