โรคนิ่วไต (อังกฤษ: kidney stone disease, urolithiasis) เป็นก้อนวัสดุแข็งที่เกิดในทางเดินปัสสาวะ นิ่วไตปกติจะเกิดในไตแล้วออกจากร่างกายผ่านปัสสาวะ โดยก้อนเล็ก ๆ อาจจะผ่านออกโดยไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าใหญ่เกินกว่า 5 มิลลิเมตร ก็อาจขวางท่อไตมีผลให้เจ็บอย่างรุนแรงที่หลังหรือท้องส่วนล่าง นิ่วยังอาจทำให้เลือดออกในปัสสาวะ ทำให้อาเจียน หรือทำให้เจ็บเมื่อถ่ายปัสสาวะ (dysuria) คนไข้ประมาณครึ่งหนึ่งจะเกิดนิ่วอีกภายใน 10 ปี
โรคนิ่วไต (Kidney stone disease) | |
---|---|
ชื่ออื่น | Urolithiasis, kidney stone, renal calculus, nephrolith, kidney stone disease |
นิ่วไตขนาด 8 มิลลิเมตร | |
สาขาวิชา | วิทยาทางเดินปัสสาวะ วักกวิทยา |
อาการ | ปวดหลังหรือปวดท้องส่วนล่างอย่างรุนแรง เลือดออกในปัสสาวะ อาเจียน |
สาเหตุ | ปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม |
วิธีวินิจฉัย | อาศัยอาการ การตรวจปัสสาวะ และภาพฉายรังสี |
โรคอื่นที่คล้ายกัน | หลอดเลือดแดงในช่องท้องโป่งพอง (Abdominal aortic aneurysm), ถุงยื่นในลำไส้ใหญ่อักเสบ (diverticulitis), ไส้ติ่งอักเสบ, กรวยไตอักเสบ |
การป้องกัน | ทานของเหลวให้ถ่ายปัสสาวะมากกว่า 2 ลิตรทุก ๆ วัน |
การรักษา | ยาแก้ปวด, การใช้คลื่นเสียงนอกกายสลายนิ่ว (extracorporeal shock wave lithotripsy), การส่องกล้องท่อไต (ureteroscopy), การผ่าตัดนิ่วผ่านผิวหนัง (percutaneous nephrolithotomy) |
ความชุก | 22.1 ล้าน (พ.ศ. 2558) |
การเสียชีวิต | 16,100 (พ.ศ. 2558) |
นิ่วโดยมากมีเหตุจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ปัจจัยเสี่ยงรวมทั้งระดับแคลเซียมสูงในปัสสาวะ (hypercalciuria) โรคอ้วน อาหารบางชนิด ยาบางชนิด การทานแคลเซียมเป็นอาหารเสริม ระดับฮอร์โมนพาราไทรอยด์เกินในเลือด (hyperparathyroidism) โรคเกาต์ และดื่มน้ำไม่พอ นิ่วจะเกิดในไตเมื่อแร่ในปัสสาวะเข้มข้นมากการวินิจฉัยปกติจะอาศัยอาการ การตรวจปัสสาวะ และภาพฉายรังสี โดยการตรวจเลือดอาจมีประโยชน์ นิ่วมักจะจัดกลุ่มตามตำแหน่งที่อยู่ คือ nephrolithiasis (ในไต) ureterolithiasis (ในท่อไต) cystolithiasis (ในกระเพาะปัสสาวะ) หรือโดยองค์ประกอบของนิ่ว เช่น แคลเซียมออกซาเลต (calcium oxalate), กรดยูริก, สตรูไวท์ (struvite), ซิสทีน (cystine) เป็นต้น
คนไข้ที่มีนิ่วสามารถป้องกันโดยดื่มน้ำให้ผลิตปัสสาวะมากกว่า 2 ลิตรต่อวัน ถ้ายังไม่พอ อาจทานยาไทอะไซด์ (thiazide), ไซเตรต (citrate, กรดไซตริก) หรืออัลโลพิวรีนอล (allopurinol) คนไข้ควรเลี่ยงดื่มน้ำอัดลม (เช่น โคลา) ถ้านิ่วไม่มีอาการ ก็ไม่จำเป็นต้องรักษา ไม่เช่นนั้นแล้ว ยาแก้ปวดเป็นการรักษาเบื้องต้น โดยใช้ยาเช่น ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตอรอยด์ (NSAID) หรือโอปิออยด์ นิ่วที่ใหญ่เพิ่มขึ้นอาจขับออกได้โดยใช้ยา tamsulosin หรืออาจต้องปฏิบัติการอื่น ๆ เช่น การใช้คลื่นเสียงนอกกายสลายนิ่ว (extracorporeal shock wave lithotripsy), การส่องกล้องท่อไต (ureteroscopy), หรือการผ่าตัดนิ่วผ่านผิวหนัง (percutaneous nephrolithotomy)
คนทั่วโลกประมาณ 1-15% จะมีนิ่วไตในช่วงหนึ่งของชีวิต ในปี 2558 มีคนไข้ 22.1 ล้านราย ทำให้เสียชีวิต 16,100 ราย เป็นโรคที่สามัญยิ่งขึ้นในโลกตะวันตกตั้งแต่ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 โดยทั่วไป ชายจะเป็นมากกว่าหญิง นิ่วไตเป็นโรคที่ปรากฏตลอดประวัติศาสตร์มนุษย์ โดยมีการกล่าวถึงการผ่าตัดเพื่อเอาออกเริ่มตั้งแต่ 600 ปีก่อน ค.ศ.
อาการ
ลักษณะเฉพาะของนิ่วที่ขวางท่อไตหรือกรวยไตก็คือ ความเจ็บปวดรุนแรงแบบเป็น ๆ หาย ๆ ที่แผ่ไปจากเอวไปยังบริเวณขาหนีบหรือขาอ่อนด้านใน อาการปวดนิ่วไตบ่อยครั้งกล่าวว่า เป็นความรู้สึกเจ็บปวดที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์ อาการปวดจากนิ่วไตมักจะเกิดร่วมกับการปวดปัสสาวะ ความกระสับกระส่าย เลือดในปัสสาวะ เหงื่อออก คลื่นไส้ และอาเจียน ความปวดจะเกิดเป็นระลอก ๆ ครั้งละ 20-60 นาที โดยมีเหตุจากการหดเร็งของท่อไตเนื่องกับการบีบรูด (peristalsis) เพื่อจะขับนิ่วออก
ความสัมพันธ์เมื่อเป็นตัวอ่อนระหว่างทางเดินปัสสาวะ ระบบสืบพันธุ์ และทางเดินอาหาร เป็นมูลฐานของการแผ่ความเจ็บปวดไปยังอวัยวะเพศ และของความคลื่นไส้อาเจียนที่สามัญในโรคนิ่วปัสสาวะ อาการ postrenal azotemia คือ เลือดขาออกจากไตมีไนโตรเจนมากเกิน และไตเสื่อมแบบบวมน้ำ (hydronephrosis) จะเกิดเมื่อมีการขัดปัสสาวะที่ไหลออกจากท่อไตท่อหนึ่งหรือทั้งสอง ความเจ็บปวดที่ส่วนล่างด้านซ้ายของหลัง/ท้อง บางครั้งจะสับสนกับอาการถุงยื่นอักเสบ (diverticulitis) เพราะลำไส้ใหญ่ส่วนคด (sigmoid) จะซ้อนทับอยู่กับท่อไต และตำแหน่งที่เจ็บอาจกำหนดให้ถูกที่ได้ยากเพราะอวัยวะเหล่านี้อยู่ใกล้กัน
ปัจจัยเสี่ยง
ภาวะขาดน้ำเนื่องจากดื่มน้ำน้อยเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญในการเกิดนิ่วโรคอ้วนก็เป็นปัจจัยเสี่ยงด้วย
การทานอาหารมากที่มีโปรตีนสัตว์โซเดียม น้ำตาลทราย ฟรักโทส น้ำเชื่อมข้าวโพดที่มีฟรักโทสสูงออกซาเลต น้ำองุ่น และน้ำแอปเปิล อาจเพิ่มความเสี่ยงการเกิดนิ่วไต นิ่วไตยังอาจเป็นผลของอาการทางเมแทบอลิซึมอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ภาวะกรดเกินเหตุปลายหลอดไตฝอย (distal renal tubular acidosis), Dent's disease, ภาวะฮอร์โมนพาราไทรอยด์เกินในเลือด (hyperparathyroidism), ภาวะออกซาเลตเกินในปัสสาวะหลัก (primary hyperoxaluria), หรือ medullary sponge kidney คนไข้ที่มีนิ่วไต 3-20% จะมีโรค medullary sponge kidney และนิ่วไตก็สามัญในคนไข้ Crohn's disease ซึ่งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับทั้งภาวะออกซาเลตเกินในปัสสาวะและการดูดซึมแมกนีเซียมที่ผิดปกติ
คนไข้ที่มีนิ่วไตอีกอาจควรตรวจคัดกรองโรคเหล่านั้น ซึ่งปกติจะทำภายใน 24 ชม. หลังเก็บปัสสาวะ คือจะตรวจวิเคราะห์ปัสสาวะหาเหตุต่าง ๆ ที่ช่วยสร้างนิ่ว
แคลเซียมออกซาเลต
แคลเซียมเป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งของโรคนิ่วไตประเภทที่สามัญที่สุดในมนุษย์ คือแบบแคลเซียมออกซาเลต งานศึกษาบางงานแสดงว่า บุคคลที่ทานแคลเซียมหรือวิตามินดีเป็นอาหารเสริม จะเสี่ยงเกิดนิ่วไตสูงกว่า ในสหรัฐอเมริกา การเกิดนิ่วเคยใช้เป็นตัวบ่งชี้ว่าทานแคลเซียมมากเกิน
ในต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 งานศึกษาในโครงการริเริ่มสุขภาพหญิง (Women's Health Initiative) ในสหรัฐพบว่า หญิงหลังหมดประจำเดือนที่บริโภคอาหารเสริมคือแคลเซียมเป็นจำนวน 1,000 มิลลิกรัม และวิตามินดี 400 IU ต่อวันเป็นเวลา 7 ปีจะเสี่ยงเกิดนิ่วไต 17% สูงกว่าหญิงที่ทานยาหลอก และโครงการศึกษาสุขภาพพยาบาล (Nurses' Health Study) ก็แสดงความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคอาหารเสริมคือแคลเซียมและการเกิดนิ่วไต
แต่ไม่เหมือนกับอาหารเสริม การบริโภคอาหารปกติที่มีแคลเซียมสูงดูเหมือนจะไม่เป็นเหตุให้เกิดนิ่วไต และจริง ๆ อาจช่วยป้องกันนิ่ว นี่อาจเกี่ยวกับบทบาทของแคลเซียมในการเข้ายึดกับออกซาเลตที่ผ่านทางเดินอาหาร เมื่อปริมาณแคลเซียมลดลง ปริมาณออกซาเลตที่สามารถดูดซึมเข้าในเลือดก็จะเพิ่มขึ้น และไตก็จะต้องขับออกซาเลตออกทางปัสสาวะมากขึ้น ในปัสสาวะ ออกซาเลตเป็นตัวเสริมแคลเซียมออกซาเลตให้ตกผลึกโดยมีฤทธิ์แรงกว่าแคลเซียมประมาณ 15 เท่า
งานปี ค.ศ. 2004 พบว่า อาหารที่มีแคลเซียมต่ำสัมพันธ์กับความเสี่ยงทั่วไปในการเกิดนิ่วไตที่สูงกว่า แต่สำหรับบุคคลส่วนมาก ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ต่อนิ่วไต เช่น การทานออกซาเลตในอาหารมาก ดื่มน้ำน้อย จะสำคัญกว่าการทานแคลเซียม
อิเล็กโทรไลต์อื่น ๆ
แคลเซียมไม่ใช่อิเล็กโทรไลต์ชนิดเดียวที่มีอิทธิพลต่อการเกิดนิ่วไต ยกตัวอย่างเช่น เพราะเพิ่มการขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะ การทานโซเดียมมากอาจเพิ่มความเสี่ยงการเกิดนิ่ว การดื่มน้ำที่เติมฟลูออไรด์อาจเพิ่มความเสี่ยงการเกิดนิ่วโดยกลไกคล้าย ๆ กัน แม้จำเป็นต้องมีงานศึกษาทางวิทยาการระบาดเพิ่มขึ้นเพื่อกำหนดว่า ฟลูออไรด์ในน้ำดื่มสัมพันธ์กับความชุกนิ่วไตที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ การทานโพแทสเซียมมากดูเหมือนจะลดความเสี่ยงการเกิดนิ่ว เพราะโพแทสเซียมเสริมการขับไซเตรตออกทางปัสาสวะ ซึ่งเป็นสารยับยั้งการตกผลึกของแคลเซียม[] นิ่วไตมีโอกาสเกิดและใหญ่ขึ้นสูง ถ้าบุคคลทานแมกนีเซียมน้อย เพราะแมกนีเซียมห้ามการเกิดนิ่ว
โปรตีนสัตว์
อาหารแบบคนตะวันตกปกติจะมีโปรตีนสัตว์ในสัดส่วนสูง การบริโภคโปรตีนสัตว์จะสร้างภาวะกรดที่เพิ่มการขับแคลเซียมและกรดยูริกออกทางปัสสาวะพร้อมทั้งลดไซเตรต การถ่ายออกทางปัสสาวะสารที่เกินต่าง ๆ เนื่องจากโปรตีนสัตว์ รวมทั้งกรดอะมิโนแบบมีกำมะถัน (เช่น cysteine และ methionine) กรดยูริก และเมแทบอไลต์ที่เป็นกรดอื่น ๆ จะทำให้ปัสสาวะเป็นกรด ซึ่งเสริมให้เกิดนิ่วไต การขับไซเตรตออกทางปัสสาวะต่ำก็สามัญกว่าในบุคคลที่ทานโปรตีนสัตว์มาก เทียบกับคนทานเจที่มักจะขับไซเตรตออกทางปัสสาวะสูงกว่า และการมีไซเตรตในปัสสาวะต่ำ ก็เสริมการเกิดนิ่วไตด้วย
วิตามิน
หลักฐานที่สัมพันธ์การทานอาหารเสริมคือวิตามินซีกับอัตราการมีนิ่วไตมากขึ้นยังไม่สามารถสรุปได้ แม้การทานวิตามินซีเกินแต่ละวันอาจเพิ่มความเสี่ยงการเกิดนิ่วแบบแคลเซียมออกซาเลต แต่จริง ๆ นี่พบน้อยมาก ความสัมพันธ์ระหว่างการทานวิตามินดีกับนิ่วไตก็ไม่สำคัญด้วย การทานวิตามินดีเกินอาจเพิ่มความเสี่ยงการเกิดนิ่วโดยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมของลำไส้ แต่การทานวิตามินแก้การขาดก็ไม่เพิ่ม
อื่น ๆ
ไม่มีข้อมูลที่สรุปความสัมพันธ์โดยเป็นเหตุผลระหว่างการดื่มแอลกอฮอล์กับนิ่วไต แต่ก็มีสมมติฐานว่า พฤติกรรมบางอย่างที่สัมพันธ์กับการดื่มเหล้าบ่อย ๆ หรือมาก สามารถทำให้ขาดน้ำ ซึ่งก็จะนำไปสู่การเกิดนิ่วไต สมาคมวิทยาทางเดินปัสสาวะอเมริกันพยากรณ์ว่า ปรากฏการณ์โลกร้อนจะเพิ่มความชุกโรคนิ่วไตในสหรัฐอเมริกาโดยขยายพื้นที่ที่เรียกว่า "เขตโรคนิ่ว" ทางใต้ของสหรัฐ
คนไข้โรคที่ผลิตลิมโฟไซต์มากเกิน (lymphoproliferative disorders) หรือที่ไขกระดูกผลิตเซลล์มากเกิน (myeloproliferative disorders) ผู้รักษาด้วยเคมีบำบัด 1.8% จะเกิดนิ่วไตที่มีอาการ
พยาธิสรีรวิทยา
ภาวะไซเตรตในปัสสาวะต่ำ (Hypocitraturia)
ภาวะไซเตรตในปัสสาวะต่ำ (Hypocitraturia) หรือการขับไซเตรตทางปัสสาวะต่ำ คือน้อยกว่า 320 มิลลิกรัมต่อวัน อาจทำให้เกิดนิ่วไตในกรณีถึง 2/3 ฤทธิ์ป้องกันของไซเตรตมีกลไกหลายอย่าง คือ ไซเตรตจะลดความอิ่มตัวเกินของเกลือแคลเซียม โดยสร้างคอมเพล็กซ์กับไอออนแคลเซียมที่ละลายน้ำได้ และยับยั้งการรวมตัวและการเติบโตของผลึก การรักษาด้วยโพแทสเซียมไซเตรต (potassium citrate) หรือแมกนีเซียมโพแทสเซียมไซเตรต (magnesium potassium citrate) จึงมักใช้เพิ่มไซเตรตในปัสสาวะและลดอัตราการเกิดนิ่ว
ความอิ่มตัวเกินของปัสสาวะ
เมื่อปัสสาวะถึงความอิ่มตัวยวดยิ่ง (supersaturation) คือเมื่อปัสสาวะมีสารละลายเกินกว่าที่มันจะละลายได้ พร้อมกับสารที่ก่อผลึก ตัวล่อผลึกก็อาจเกิดผ่านกระบวนการ nucleation โดยกระบวนการแบบ heterogeneous nucleation ที่มีผิวแข็งให้ผลึกเติบโตได้ จะเป็นไปได้เร็วกว่า homogeneous nucleation ที่ผลึกต้องโตขึ้นในของเหลวที่ไม่มีผิวแข็ง เพราะใช้พลังงานน้อยกว่า คือโดยยึดกับเซลล์ที่ผิวของปุ่มไต (renal papilla) ตัวล่อผลึกจะสามารถโตและงอกเป็นก้อนใหญ่ โดยขึ้นอยู่กับองค์ประกอบทางเคมีของผลึก กระบวนการก่อผลึกอาจเป็นไปเร็วกว่าเมื่อความเป็นกรดของปัสสาวะสูงหรือต่ำกว่าปกติ
ความอิ่มตัวเกินของปัสสาวะร่วมกับการมีสารประกอบก่อผลึกจะขึ้นอยู่กับค่า pH ยกตัวอย่างเช่น ที่ pH 7.0 ความละลายได้ของกรดยูริกในปัสสาวะอยู่ที่ 158 มิลลิกรัม/100 มิลลิลิตร ถ้าลดค่าเหลือ 5.0 ความละลายได้จะลดลงเหลือน้อยกว่า 8 mg/100 ml การเกิดนิ่วกรดยูริกจะต้องมีทั้งกรดยูริกเกินในปัสสาวะ (hyperuricosuria) และค่า pH ของปัสสาวะที่ต่ำ ภาวะกรดยูริกเกินในปัสสาวะอย่างเดียวไม่สัมพันธ์กับการเกิดนิ่วกรดยูริกถ้าค่า pH ของปัสสาวะเป็นด่าง ความอิ่มตัวเกินของปัสสาวะจึงเป็นปัจจัยที่จำเป็นแต่ไม่เพียงพอให้เกิดนิ่ว
ความอิ่มตัวเกินน่าจะเป็นเหตุมูลฐานของนิ่วแบบกรดยูริกและนิ่วแบบซิสทีน แต่นิ่วแคลเซียม (โดยเฉพาะแบบแคลเซียมออกซาเลต) อาจมีเหตุที่ซับซ้อนกว่า
สารยับยั้งการเกิดนิ่ว
ปัสสาวะปกติจะมีสารคีเลชัน เช่น ไซเตรต ที่ยับยั้งกระบวนการ nucleation ยับยั้งการเติบโตและการรวมตัวของผลึกที่มีแคลเซียม สารยับยั้งธรรมชาติอื่น ๆ รวมทั้ง calgranulin ซึ่งเป็นโปรตีนกลุ่ม S-100 ที่จับแคลเซียม, โปรตีน Tamm-Horsfall, ไกลโคสะมิโนไกลแคน, uropontin ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของ osteopontin, nephrocalcin ซึ่งเป็นไกลโคโปรตีนที่เป็นกรด, prothrombin F1 peptide, และ bikunin แม้กลไกทางเคมีชีวิภาพของสารเหล่านี้ยังไม่ชัดเจน แต่เมื่อมีต่ำกว่าปกติ นิ่วสามารถเกิดจากผลึกที่รวมตัวกัน
การทานอาหารที่มีแมกนีเซียมและไซเตรตเพียงพอ จะห้ามการเกิดของนิ่วแบบแคลเซียมออกซาเลตและแคลเซียมฟอสเฟต นอกจากนั้น แมกนีเซียมและไซเตรตยังทำงานร่วมกันเพื่อห้ามนิ่วไต ประสิทธิผลของแมกนีเซียมในการยับยั้งการเกิดและการเติบโตของนิ่วจะขึ้นอยู่กับปริมาณที่บริโภค
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยว่ามีนิ่วไตจะขึ้นอยู่กับประวัติคนไข้ การตรวจร่างกาย การตรวจปัสสาวะ และภาพรังสี ส่วนการวินิจฉัยทางคลินิก (ที่ไม่ได้อาศัยการทดสอบเพื่อวินิจฉัย) จะขึ้นอยู่กับตำแหน่งและความรุนแรงของความเจ็บ ซึ่งปกติจะเป็น ๆ หาย ๆ เป็นระลอก ๆ โดยหลังจะปวดถ้านิ่วอุดท่อไต การตรวจร่างกายอาจพบไข้และการเจ็บที่ไต (จุดระหว่างซี่โครงกับกระดูกสันหลัง) ในข้างที่มีปัญหา
ภาพรังสี
ในผู้ที่มีประวัติเกี่ยวกับนิ่ว ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 50 ปี และมีอาการของนิ่วโดยไม่มีอาการน่าเป็นห่วงอย่างอื่น ๆ ไม่จำเป็นต้องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (helical CT scan) เด็กก็ไม่แนะนำให้เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ด้วย
ไม่เช่นนั้นแล้ว การถ่ายเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบ helical CT scan โดยไม่ใช้สารเปรียบต่าง และมีภาพตัดขนาด 5 มม. เป็นวิธีประเมินทางภาพรังสีที่ดีสำหรับคนไข้ที่สงสัยว่ามีโรคนิ่วไต นิ่วทุกอย่างจะสามารถเห็นได้ในเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ยกเว้นนิ่วน้อยมากที่ประกอบด้วยส่วนตกค้างของยาบางชนิดในปัสสาวะ เช่นที่มาจากอินดินาเวียร์ นิ่วที่มีแคลเซียมค่อนข้างจะทึบต่อรังสี และสามารถเห็นในภาพเอกซเรย์ธรรดาของท้องซึ่งรวมไต ท่อไต และกระเพาะปัสสาวะ (KUB) นิ่วไตประมาณ 60% จะทึบรังสี โดยทั่วไป นิ่วแบบแคลเซียมฟอสเฟตจะทึบที่สุด ตามด้วยแบบแคลเซียมออกซาเลตและแบบแอมโมเนียมแมกนีเซียมฟอสเฟต นิ่วแบบซิสทีนจะมองเห็นแค่ลาง ๆ เทียบกับนิ่วกรดยูริกที่โปร่งรังสี
เมื่อไม่สามารถใช้เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ภาพรังสีทางเดินปัสสาวะ (intravenous pyelogram) อาจใช้เพื่อยืนยันวินิจฉัยว่ามีโรคนิ่วปัสสาวะ (urolithiasis) โดยฉีดสารเปรียบต่าง (radiocontrast) แล้วจึงถ่ายเอกซเรย์ (KUB) นิ่วปัสสาวะ (urolith) ที่มีในไต ท่อไต หรือกระเพาะปัสสาวะอาจมองเห็นได้ดีกว่าโดยใช้วิธีนี้
นิ่วยังสามารถเห็นได้โดย retrograde pyelogram ทำโดยฉีดสารเปรียบต่างคล้าย ๆ กันเข้าโดยตรงที่รูส่วนปลายของท่อไต (จุดที่ท่อไตมาสุดที่กระเพาะปัสสาวะ)
ภาพคลื่นเสียงความถี่สูงของไต (Renal ultrasonograph) บางครั้งมีประโยชน์ เพราะให้รายละเอียดเกี่ยวกับโรคไตเสื่อมแบบบวมน้ำ (hydronephrosis) ซึ่งแสดงนัยว่า นิ่วขัดการไหลออกของปัสสาวะ นิ่วที่โปร่งรังสี ซึ่งไม่ปรากฏบนฟิล์มเอกซ์เรย์ KUB อาจเห็นได้ในภาพคลื่นเสียงความถี่สูง ประโยชน์อื่น ๆ ของวิธีนี้รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายต่ำและไม่ต้องฉายรังสี ภาพเช่นนี้สามารถใช้ตรวจนิ่วในสถานการณ์ที่ไม่ควรใช้เอกซเรย์ธรรมดาหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เช่น ในเด็กหรือหญิงตั้งครรภ์
แม้จะมีประโยชน์เยี่ยงนี้ แต่โดยปี ค.ศ. 2009 ภาพคลื่นเสียงความถี่สูงก็ไม่ได้พิจารณาว่าสามารถแทนเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่ไม่ใช้สารเปรียบต่าง (noncontrast helical CT scan) เพื่อวินิจฉัยโรคนิ่วไตในเบื้องต้น เหตุผลหลักก็คือ เมื่อเทียบกับเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ภาพคลื่นเสียงความถี่สูงของไตมักพลาดการตรวจจับนิ่วเล็ก ๆ (โดยเฉพาะนิ่วท่อไต) และความผิดปกติสำคัญอื่น ๆ ที่อาจเป็นเหตุของอาการ งานศึกษาปี 2014 ยืนยันว่า การบันทึกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงเมื่อเทียบกับเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อวินิจฉัยในเบื้องต้น ช่วยให้ประสบกับรังสีน้อยกว่าโดยไม่มีผลเสียในด้านอื่น ๆ รวมทั้งสมรรถภาพในการวินิจฉัยคนไข้ความเสี่ยงสูงผู้มีภาวะแทรกซ้อน
การทดสอบในห้องปฏิบัติการ
การทดสอบในห้องปฏิบัติการที่มักทำรวมทั้ง
- การตรวจปัสสาวะด้วยกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งอาจเห็นเม็ดเลือดแดง, แบคทีเรีย, เม็ดเลือดขาว, Urinary cast, และผลึกนิ่ว
- การเพาะเชื้อในปัสสาวะเพื่อระบุเชื้อโรคที่มีในทางเดินปัสสาวะ และตรวจดู (เช่นโดย Kirby-Bauer antibiotic testing) ว่าเชื้อโรคเหล่านี้ทนยาปฏิชีวนะโดยเฉพาะ ๆ ได้ดีแค่ไหน
- การตรวจนับเม็ดเลือดอย่างสมบูรณ์เพื่อดูว่า แกรนูโลไซต์คือ neutrophil เพิ่มขึ้นหรือไม่ ซึ่งเป็นตัวบ่งการติดเชื้อ ดังที่พบในนิ่วแบบสตรูไวท์
- การตรวจการทำหน้าที่ของไตเพื่อหาภาวะแคลเซียมสูงเกินในเลือด (hypercalcemia)
- การเก็บปัสสาวะตลอด 24 ชม. เพื่อวัดปริมาณต่อวันของปัสสาวะ แมกนีเซียม โซเดียม กรดยูริก แคลเซียม ไซเตรต ออกซาเลต และฟอสเฟต
- การเก็บนิ่ว (ด้วยถ้วยกรองเก็บนิ่วหรือเครื่องกรองธรรมดา) อาจมีประโยชน์ การวิเคราะห์ก้อนนิ่วทางเคมีสามารถแสดงองค์ประกอบ ซึ่งช่วยแนะแนวทางรักษาและป้องกัน
องค์ประกอบ
ประเภทนิ่ว | สัดส่วน | สถานการณ์ | สี | ความไวรังสี | รายละเอียด |
---|---|---|---|---|---|
Calcium oxalate | 80% | เมื่อปัสสาวะเป็นกรด (คือค่า pH ต่ำ) | ดำ/น้ำตาลเข้ม | ทึบรังสี | ร่างกายเป็นผู้ผลิตออกซาเลตในปัสสาวะบางส่วน แม้แคลเซียมและออกซาเลตในอาหารจะมีบทบาท แต่ก็ไม่ใช่ปัจจัยเดียวต่อการเกิดนิ่วแบบแคลเซียมออกซาเลต ออกซาเลตพบในผัก ผลไม้ และถั่วหลายชนิด แคลเซียมจากกระดูกอาจมีบทบาทต่อการเกิดนิ่วไต |
Calcium phosphate | 5-10% | เมื่อปัสสาวะเป็นด่าง (ค่า pH สูง) | ขาวหม่น | ทึบรังสี | มักจะใหญ่ขึ้นในปัสสาวะที่เป็นด่างโดยเฉพาะเมื่อมีแบคทีเรีย Proteus |
กรดยูริก | 5-10% | เมื่อปัสสาวะเป็นกรดอย่างคงยืน | เหลือง/น้ำตาลแดง | โปร่งรังสี | อาหารที่สมบูรณ์ด้วยโปรตีนสัตว์และพิวรีน ซึ่งมีอยู่ตามธรรมชาติแต่มีมากในเครื่องใน ปลา และหอย |
Struvite | 10-15% | ไตติดเชื้อ | ขาวสกปรก | ทึบรังสี | การป้องกันนิ่วแบบสตรูไวท์ขึ้นอยู่กับการไม่ติดเชื้อ อาหารไม่ปรากฏว่ามีผลต่อการเกิดนิ่วแบบสตรูไวท์ |
Cystine | 1-2% | ความผิดปกติทางพันธุกรรมที่มีน้อย | ชมพู/เหลือง | ทึบรังสี | ซิสทีนซึ่งเป็นกรดอะมิโน (คือหน่วยพื้นฐานในการประกอบโปรตีน) จะรั่วผ่านไตเข้าไปในปัสสาวะแล้วก่อผลึก |
Xanthine | น้อยมาก | แดงเหมือนอิฐ | โปร่งรังสี |
นิ่วแบบแคลเซียม
โดยทิ้งขาด นิ่วไตชนิดที่สามัญที่สุดในโลกจะมีแคลเซียม ยกตัวอย่างเช่น นิ่วมีแคลเซียมจะเกิดในกรณีคนไข้นิ่ว 80% ทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งปกติจะมีแคลเซียมออกซาเลตไม่ว่าจะโดยลำพังหรือโดยผสมกับแคลเซียมฟอสเฟต และอยู่ในรูปแบบของแร่อะพาไทต์หรือ brushite
ปัจจัยต่าง ๆ ที่เสริมให้ออกซาเลตตกผลึกในปัสสาวะ เช่น ภาวะออกซาเลตเกินในปัสสาวะหลัก จะสัมพันธ์กับการเกิดนิ่วแบบแคลเซียมออกซาเลต การเกิดนิ่วแบบแคลเซียมฟอสเฟตสัมพันธ์กับอาการต่าง ๆ เช่น ภาวะฮอร์โมนพาราไทรอยด์เกินในเลือด และภาวะกรดเกินเหตุหลอดไตฝอย (renal tubular acidosis) ออกซาเลตในปัสสาวะจะเพิ่มขึ้นในคนไข้ที่มีโรคทางเดินอาหารบางอย่างรวมทั้งโรคลำไส้อักเสบ (inflammatory bowel disease) เช่น Crohn disease หรือในคนไข้ที่ได้ผ่าตัดลำไส้เล็กออก หรือผ่าตัดเลี่ยงลำไส้เล็ก (small bowel bypass) แต่ก็จะเพิ่มขึ้นด้วยในคนไข้ที่บริโภคอาหารซึ่งมีออกซาเลตเพิ่มขึ้น (ที่มีในผักและถั่ว) ภาวะออกซาเลตเกินในปัสสาวะหลัก เป็นโรคพันธุกรรมแบบยีนด้อยในออโตโซมที่มีน้อยและปกติจะปรากฏตั้งแต่วัยเด็ก
ผลึกแคลเซียมออกซาเลตในปัสสาวะจะปรากฏเป็นรูป "ซองจดหมาย" ในระดับจุลทรรศน์ ซึ่งอาจจะเป็นเหมือนดัมเบล (ลูกตุ้มน้ำหนัก) ได้ด้วย
นิ่วแบบสตรูไวท์
นิ่วปัสสาวะประมาณ 10-15% จะประกอบด้วยสตรูไวท์ (แอมโมเนียมแมกนีเซียมฟอสเฟต) โดยมีสูตร NH4MgPO4·6H2O นิ่วแบบสตรูไวท์ (infection stone, urease stone, triple-phosphate stone) เกิดบ่อยที่สุดเมื่อติดเชื้อแบคทีเรียที่สลายยูเรียโดยใช้เอนไซม์ยูรีส (urease) เป็นแอมโมเนียและคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งสร้างความเป็นด่างให้แก่ปัสสาวะ ทำให้มีสภาพเหมาะสมเพื่อเกิดนิ่วแบบสตรูไวท์
สิ่งมีชีวิตสามัญตามที่สกัดได้มากที่สุดก็คือ Proteus mirabilis, Proteus vulgaris, และ Morganella morganii และที่สามัญน้อยกว่ารวมทั้ง Ureaplasma urealyticum และบางสปีชีส์ของสกุล Providencia, Klebsiella, Serratia, และ Enterobacter
นิ่วแบบติดเชื้อเช่นนี้มักจะพบในบุคคลที่มีปัจจัยเสี่ยงให้ติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ เช่นผู้บาดเจ็บที่ไขสันหลัง, ผู้มีกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติเหตุประสาท (neurogenic bladder dysfunction), ผู้ผ่านการผ่าตัดเปลี่ยนทางออกของปัสสาวะแบบ ileal conduit urinary diversion, ผู้มีปัสสาวะไหลย้อนเข้าท่อไต (vesicoureteral reflux), และผู้มีโรคทางเดินปัสสาวะแบบอุดตัน (obstructive uropathy) และก็ยังพบอย่างสามัญในคนไข้ที่มี เช่น ภาวะปัสสาวะมีแคลเซียมมากซึ่งไม่ทราบสาเหตุ, ภาวะฮอร์โมนพาราไทรอยด์เกินในเลือด, และโรคเกาต์ นิ่วเช่นนี้สามารถโตขึ้นอย่างรวดเร็ว มีรูปร่างคล้ายเขากวางที่จำเป็นต้องผ่าตัด เช่นด้วยการผ่านิ่วไตออกผ่านผิวหนัง (percutaneous nephrolithotomy) เพื่อรักษา นิ่วแบบสตรูไวท์ (triple phosphate/magnesium ammonium phosphate) จะมีสัณฐานเป็น "ฝาโลงศพ" หากดูด้วยกล้องจุลทรรศน์
นิ่วแบบกรดยูริก
นิ่วประมาณ 5-10% ทั้งหมดเกิดจากกรดยูริก คนไข้ที่มีโรคทางเมแทบอลิซึมรวมทั้งโรคอ้วน อาจมีนิ่วแบบกรดยูริก แต่ก็อาจเกิดสัมพันธ์กับอาการต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดภาวะกรดยูริกเกินในปัสสาวะ (hyperuricosuria) โดยจะมีหรือไม่มีภาวะกรดยูริกเกินในเลือด (hyperuricemia) ก็ได้ และก็สามารถเกิดสัมพันธ์กับโรคทางเมแทบอลิซึมที่ทำให้ปัสสาวะเป็นกรดเกิน ซึ่งทำให้กรดยูริกตกผลึก
การวินิจฉัยโรคนิ่วปัสสาวะ (urolithiasis) เนื่องจากกรดยูริกจะอาศัยการมีนิ่วที่โปร่งรังสีเมื่อปัสสาวะเป็นกรดอย่างคงยืน บวกกับการพบผลึกกรดยูริกในตัวอย่างปัสสาวะที่ยังใหม่อยู่ ดังที่กล่าวถึงมาก่อน (ในส่วนเกี่ยวกับนิ่วแบบแคลเซียมออกซาเลต) คนไข้ที่มีโรคลำไส้อักเสบ (เช่น Crohn's disease, ulcerative colitis) มักจะมีภาวะออกซาเลตเกินในปัสสาวะและเกิดนิ่วออกซาเลต แต่ก็มักจะเกิดนิ่วแบบกรดยูริก/ยูเรตด้วย นิ่วแบบยูเรตจะสามัญเป็นพิเศษหลังการผ่าตัดลำไส้ใหญ่
นิ่วแบบกรดยูริกอาจปรากฏเป็นผลึกหลายรูปแบบ ปกติเหมือนเพชร อาจเป็นรูปสี่เหลี่ยมหรือเป็นแท่ง
คนไข้ภาวะกรดยูริกเกินในปัสสาวะสามารถรักษาด้วยาอัลโลพิวรีนอลซึ่งลดการเกิดยูเรต การทำปัสสาวะให้เป็นด่างก็อาจช่วยในกรณีนี้ด้วย
แบบอื่น ๆ
ผู้ที่มีความผิดพลาดทางเมแทบอลิซึมซึ่งมีน้อยบางอย่าง มักสะสมวัสดุที่สร้างผลึกในปัสสาวะ ยกตัวอย่างเช่น คนไข้ภาวะปัสสาวะมีซิสทีน (cystinuria), cystinosis, และ Fanconi syndrome อาจเกิดนิ่วที่ประกอบด้วยซิสทีน นิ่วแบบซิสทีนสามารถรักษาด้วยการทำปัสสาวะให้เป็นด่างและการจำกัดโปรตีนในอาหาร
คนไข้ภาวะปัสสาวะมีแซนทีน บ่อยครั้งจะเกิดนิ่วที่ประกอบด้วยแซนทีน คนไข้ adenine phosphoribosyltransferase deficiency อาจเกิดนิ่วแบบ 2,8-dihydroxyadenine คนไข้ alkaptonuria จะเกิดนิ่วแบบ homogentisic acid และคนไข้ iminoglycinuria จะเกิดนิ่วแบบไกลซีน, แบบ proline, และแบบ hydroxyproline
โรคนิ่วปัสสาวะยังเกิดเมื่อใช้ยารักษา โดยผลึกของยาจะเกิดภายในทางเดินระบบไตสำหรับบางคนที่กำลังรักษาด้วยยาต่าง ๆ เช่น อินดินาเวียร์ซัลฟาไดอะซีน และ triamterene
ตำแหน่ง
โรคนิ่วปัสสาวะ (urolithiasis) หมายถึงนิ่วที่เกิดภายในระบบปัสสาวะทั้งหมด รวมทั้งไตและกระเพาะปัสสาวะ โรคนิ่วไต (nephrolithiasis) หมายถึงการมีนิ่วเช่นนี้ในไต นิ่วหลอดกลีบเกลี้ยง (calyceal calculi) หมายถึงก้อนนิ่วที่หลอดกลีบเกลี้ยงรอง (minor calyx) หรือหลอดกลีบเกลี้ยงหลัก (major calyx) ซึ่งเป็นส่วนของไตที่ส่งปัสสาวะเข้าไปในท่อไต ซึ่งเชื่อมไตกับกระเพาะปัสสาวะ โรคจะเรียกว่า โรคนิ่วท่อไต (ureterolithiasis) ถ้านิ่วเกิดในท่อไต นิ่วยังอาจเกิดที่กระเพาะปัสสาวะหรือหลุดเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งเรียกว่า นิ่วกระเพาะปัสสาวะ (bladder stone)
ขนาด
นิ่วที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กกว่า 5 มม. จะหลุดออกเองในคนไข้ 98% ในขณะที่นิ่วซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางระหว่าง 5-10 มม. จะหลุดออกเองในกรณีน้อยกว่า 53% นิ่วที่ใหญ่เต็มหลอดกลีบเกลี้ยงจะเรียกว่า นิ่วรูปเขากวาง (staghorn stone) ซึ่งประกอบด้วยสตรูไวท์ในกรณีโดยมาก ซึ่งจะเกิดก็ต่อเมื่อมีแบคทีเรียที่ใช้เอนไซม์ยูรีส นิ่วรูปแบบอื่น ๆ ที่อาจโตจนเป็นนิ่วรูปเขากวางรวมทั้งนิ่วที่ประกอบด้วยซิสทีน แคลเซียมออกซาเลตโมโนไฮเดรต (calcium oxalate monohydrate) และกรดยูริก
การป้องกัน
การป้องกันจะขึ้นอยู่กับประเภทของนิ่ว สำหรับผู้มีนิ่วแบบแคลเซียม การดื่มน้ำมาก ๆ และการใช้ยาขับปัสสาวะกลุ่มไทอะไซด์กับยาไซเตรตจะมีประสิทธิผล เหมือนกับที่อัลโลพิวรีนอลจะมีผลต่อผู้ที่มีระดับกรดยูริกสูงในเลือดหรือปัสสาวะ
อาหาร
การรักษาควรทำโดยเฉพาะกับประเภทของนิ่ว อาหารอาจมีผลมากต่อการเกิดนิ่วไต กลยุทธ์การป้องกันรวมทั้งการเปลี่ยนอาหาร และการใช้ยาที่มีผลลดการทำงานของไตในการขับสารประกอบที่ก่อนิ่วออกทางปัสสาวะ คำแนะนำเกี่ยวกับอาหารโดยปี ค.ศ. 2010 เพื่อลดการก่อนิ่วไตให้น้อยที่สุดรวมทั้ง
- ดื่มน้ำเพิ่มเพื่อให้ปัสสาวะมากกว่า 2 ลิตรต่อวัน
- เพิ่มอาหารที่มีกรดซิตริก โดยน้ำเลมอนหรือมะนาวจะเป็นแหล่งที่สมบูรณ์ที่สุด
- ทานอาหารที่มีแคลเซียมพอประมาณ
- จำกัดอาหารที่มีโซเดียม
- หลีกเลี่ยงการทานวิตามินซีเป็นอาหารเสริมเป็นปริมาณมาก
- จำกัดทานอาหารโปรตีนสัตว์ไม่ให้เกิน 2 มื้อในแต่ละวัน เพราะการบริโภคโปรตีนสัตว์สัมพันธ์กับการเกิดนิ่วไตอีกในชาย
- จำกัดการดื่มน้ำอัดลมโคลา ซึ่งมีกรดฟอสฟอริก ให้น้อยกว่าหนึ่งลิตรต่ออาทิตย์
การดื่มน้ำให้ปัสสาวะเจือจาง เป็นวิธีที่มีประโยชน์ต่อนิ่วไตทุกประเภท ดังนั้น การเพิ่มปริมาณปัสสาวะจึงเป็นหลักสำคัญในการป้องกันนิ่วไต การดื่มน้ำควรเพียงพอให้ปัสสาวะอย่างน้อย 2 ลิตรต่อวัน การดื่มน้ำให้มากสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงการเกิดนิ่วอีกถึง 40% แต่คุณภาพหลักฐานนี้ก็ไม่ค่อยดี
แคลเซียมจะยึดกับออกซาเลตที่มีในทางเดินอาหาร และดังนั้น จะป้องกันไม่ให้มันดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด และการลดการดูดซึมออกซาเลตก็จะลดความเสี่ยงการเกิดนิ่วสำหรับผู้ที่มีโอกาสเป็นได้ง่าย เพราะเหตุนี้ แพทย์ไตและแพทย์ทางเดินปัสสาวะจึงแนะนำให้เคี้ยวแคลเซียมเมื่อทานอาหารที่มีออกซาเลต อาหารเสริมคือแคลเซียมไซเตรตสามารถทานพร้อมกับอาหารถ้าไม่สามารถเพิ่มทานแคลเซียมได้โดยวิธีอื่น ๆ และแคลเซียมที่ดีสุดสำหรับผู้เสี่ยงเกิดนิ่วก็คือแคลเซียมไซไตรต เพราะมันเพิ่มไซเตรตในปัสสาวะด้วย
นอกจากจะเพิ่มการดื่มน้ำและการทานแคลเซียมเพิ่ม กลยุทธ์ป้องกันอื่น ๆ รวมทั้งการหลีกเลี่ยงการทานวิตามินซีเป็นจำนวนมาก และการจำกัดอาหารที่สมบูรณ์ด้วยออกซาเลตรวมทั้งผักใบ พืชสกุลโกฐน้ำเต้า ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง และช็อกโกแลต แต่ก็ยังไม่มีงานทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุมเพื่อตรวจสอบสมมติฐานว่า การจำกัดออกซาเลตมีผลลดความชุกการเกิดนิ่ว มีหลักฐานบ้างว่า การทานแมกนีเซียมลดความเสี่ยงต่อนิ่วไต (nephrolithiasis) ที่มีอาการ
การเพิ่มความด่างของปัสสาวะ
แนวทางการรักษานิ่วแบบกรดยูริกหลักอย่างหนึ่งก็คือ การเพิ่มความด่างของปัสสาวะ นิ่วแบบกรดยูริกเป็นแบบหนึ่งในบรรดาน้อยอย่างที่สามารถรักษาด้วยการสลาย ซึ่งเรียกว่า chemolysis และปกติทำโดยการใช้ยาทาน แต่ในบางกรณี ยาที่ให้ทางหลอดเลือดดำหรือแม้แต่การหยอดยาที่มีฤทธิ์ชะล้างเข้าโดยตรงที่นิ่วอาจทำได้ผ่านการเจาะไต (antegrade nephrostomy) หรือหลอดสวนท่อไตย้อนทาง (retrograde ureteral catheter)
ยา acetazolamide (Diamox) สามารถใช้ทำปัสสาวะให้เป็นด่าง อนึ่ง โดยสามารถใช้เพิ่มเติมต่อยา หรือเป็นทางเลือก อาหารเสริมบางอย่างก็สามารถสร้างความเป็นด่างในปัสสาวะได้ด้วย รวมทั้งโซเดียมไบคาร์บอเนต (sodium bicarbonate), โพแทสเซียมไนเตรต (potassium citrate), แมกนีเซียมไซเตรต (magnesium citrate), และ Bicitra (ซึ่งเป็นการผสม citric acid monohydrate และ sodium citrate dihydrate) นอกจากจะทำปัสสาวะให้เป็นด่าง อาหารเสริมเหล่านี้ยังเพิ่มระดับไซเตรตในปัสสาวะ ซึ่งช่วยลดการรวมตัวของนิ่วแบบแคลเซียมออกซาเลต
การเพิ่มค่า pH ของปัสสาวะไปที่ราว ๆ 6.5 จะสร้างภาวะดีสุดเพื่อสลายนิ่วกรดยูริก แต่การเพิ่มไปจนเกิน 7.0 จะเพิ่มความเสี่ยงการเกิดนิ่วแบบแคลเซียมฟอสเฟต การทดสอบปัสสาวะเป็นระยะ ๆ ด้วยกระดาษชุบ nitrazine จะช่วยให้แน่ใจได้ว่า ค่า pH ดำรงในพิสัยดีสุด โดยวิธีนี้ อัตราการสลายนิ่วสามารถหวังได้ที่ประมาณ 10 มม. (โดยรัศมี) ต่อเดือน
ยาขับปัสสาวะ
การป้องกันนิ่วที่ยอมรับอย่างหนึ่งก็คือการใช้ยาขับปัสสาวะกลุ่มไทอะไซด์และยากลุ่มซัลโฟนะไมด์ (sulfonamide) เช่น chlorthalidone และ indapamide ยาเหล่านี้ห้ามการเกิดนิ่วแบบแคลเซียมโดยลดการขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะ การจำกัดการบริโภคโซเดียมจำเป็นเพื่อให้ไทอะไซด์ได้ผล เพราะโซเดียมที่เกินจะเสริมการขับแคลเซียมออก ไทอะไซด์จะได้ผลดีสุดในกรณีที่แคลเซียมเกินในปัสสาวะเพราะไตรั่วคือเป็นความผิดปกติหลักของไต ไทอะไซด์มีประโยชน์ในการรักษาภาวะแคลเซียมเกินในปัสสาวะเนื่องจากการดูดซึม (absorptive hypercalciuria) คือดูดซึมแคลเซียมมากเกินในทางเดินอาหาร
อัลโลพิวรีนอล (allopurinol)
สำหรับคนไข้ภาวะกรดยูริกเกินในปัสสาวะและโรคนิ่ว อัลโลพิวรีนอลเป็นยาหนึ่งในบรรดาน้อยอย่างที่มีหลักฐานว่าลดการเกิดขึ้นอีกของนิ่วไต เพราะขัดขวางการผลิตกรดยูริกในตับ ยายังใช้ในคนไข้โรคเกาต์หรือภาวะกรดยูริกเกินในเลือดอีกด้วย
แพทย์จะปรับขนาดยาเพื่อดำรงการลดขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ ระดับกรดยูริกในเลือดที่หรือต่ำกว่า 6 mg/100 ml บ่อยครั้งเป็นเป้าหมายการรักษา แต่ภาวะกรดยูริกเกินในเลือดไม่จำเป็นต้องทำให้เกิดนิ่วกรดยูริก เพราะกรดยูริกในปัสสาวะอาจเกินแม้เมื่อระดับกรดยูริกในเลือดปกติหรือต่ำกว่าปกติ แพทย์บางท่านสนับสนุนให้เพิ่มอัลโลพิวรีนอลแก่คนไข้โดยเฉพาะ ๆ เท่านั้น คือที่มีกรดยูริกเกินในปัสสาวะและมีกรดยูริกเกินในเลือดแบบไม่หาย แม้จะได้ใช้สารทำปัสสาวะให้เป็นด่าง เช่น โซเดียมไบคาร์บอเนตหรือโพแทสเซียมไนเตรตแล้ว
การรักษา
ขนาดของนิ่วจะมีอิทธิพลต่ออัตราการหลุดออกเอง ยกตัวอย่างเช่น สำหรับนิ่วขนาดเล็กคือมีเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กกว่า 5 มม. 98% อาจหลุดออกเองในปัสสาวะภายใน 4 อาทิตย์หลังจากเริ่มอาการ แต่สำหรับนิ่วที่ใหญ่กว่าคือมีเส้นผ่าศูนย์กลางระหว่าง 5-10 มม. อัตราการหลุดออกเองจะลดลงเหลือน้อยกว่า 53%
ตำแหน่งเริ่มต้นของนิ่วยังมีอิทธิพลต่อโอกาสหลุดออกเองด้วย อัตราจะเพิ่มจาก 48% สำหรับนิ่วที่อยู่ในท่อไตส่วนต้นไปเป็น 79% สำหรับนิ่วซึ่งอยู่ที่จุดเชื่อมท่อไต-กระเพาะปัสสาวะ (vesicoureteric junction) ไม่ว่าจะมีขนาดเท่าไร ถ้าไม่ขัดมากหรือติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ และอาการค่อนข้างน้อย ปฏิบัติการที่ไม่ใช่การผ่าตัดสามารถใช้ช่วให้นิ่วหลุด คนที่มีนิ่วเกิดขึ้นอีกจะได้ประโยชน์จากการรักษาที่เข้มขึ้น เช่น การดื่มน้ำให้เหมาะสมและการใช้ยาบางชนิด นอกจากนั้น การสอดส่องดูแลอย่างระมัดระวังก็จำเป็นเพื่อให้ได้ผลการรักษาดีที่สุด
การบรรเทาความเจ็บปวด
ความเจ็บปวดบ่อยครั้งจะรักษาด้วยยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตอรอยด์ (NSAID) หรือโอปิออยด์โดยให้ทางเส้นเลือดดำ NSAID ดูเหมือนจะดีกว่าโอปิออยด์หรือพาราเซตามอลสำหรับคนไข้ที่ไตทำงานได้ปกติยาทานบ่อยครั้งมีประสิทธิผลสำหรับอาการที่เจ็บน้อย แต่การให้ยาแก้เกร็งไม่ได้ให้ผลดีเพิ่มขึ้น
การรักษาด้วยการขับออก (expulsive therapy)
การใช้ยาทำให้นิ่วในท่อไตหลุดเองเร็วขึ้นเป็นการรักษาด้วการขับออก (expulsive therapy) ยาหลายอย่างรวมทั้งยากลุ่ม alpha adrenergic blocker (เช่น tamsulosin) และแคลเซียมแชนแนลบล็อกเกอร์ (เช่น nifedipine) ได้พบว่ามีประสิทธิผล คือยากลุ่ม alpha blocker ดูเหมือนจะเพิ่มอัตราการหลุดออกทั้งเร็วขึ้นและมากขึ้น แต่ก็ดูเหมือนจะมีประสิทธิผลในแค่นิ่วที่มีขนาดระหว่าง 4-10 มม. ส่วน tamsulosin อาจมีผลดีกว่าถ้าใช้ร่วมกับ corticosteroid การรักษาเช่นนี้ก็ดูมีประโยชน์ถ้าใช้เพิ่มเมื่อกำลังรักษาด้วยการสลายนิ่ว (lithotripsy)
การสลายนิ่ว
การใช้คลื่นเสียงนอกกายสลายนิ่ว (extracorporeal shock wave lithotripsy, ESWL) เป็นเทคนิคการกำจัดนิ่วไตโดยไม่ต้องผ่าต้องเจาะ ซึ่งโดยมากจะใช้เมื่อนิ่วอยู่ใกล้ ๆ กรวยไต (renal pelvis) ESWL ใช้เครื่องสลายนิ่วที่ส่งอิมพัลส์คลื่นเสียงความถี่สูงอย่างมีกำลังและรวมจุด โดยแตะที่ร่างกายภายนอก เพื่อทำให้นิ่วแตกในชั่วระยะเวลาประมาณ 30-60 นาที หลังจากที่ได้วางตลาดในสหรัฐปี 1984 ESWL ก็กลายเป็นวิธีการรักษาทางเลือกที่ยอมรับสำหรับนิ่วไตและนิ่วท่อไต
ปัจจุบันมักใช้สำหรับรักษานิ่วกรณีที่ไม่ยุ่งยาก ซึ่งอยู่ที่ไตและท่อไตส่วนบน โดย aggregate stone burden ของนิ่ว (คือขนาดและหมายเลข) จะไม่เกิน 20 มม. และส่วนไตที่เกี่ยวข้องก็มีลักษณะทางกายวิภาคเป็นปกติ แต่สำหรับนิ่วที่ใหญ่กว่า 10 มม. อาจไม่สามารถสลายนิ่วด้วยการรักษารอบเดียว ดังนั้น อาจต้องทำ 2-3 รอบ นิ่วไตธรรมดา ๆ 80-85% สามารถรักษาได้ด้วย ESWL อย่างมีประสิทธิผล มีปัจจัยหลายอย่างที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของการรักษา รวมทั้งองค์ประกอบทางเคมีของนิ่ว, ความผิดปกติทางกายวิภาคของไต, ตำแหน่งโดยเฉพาะของนิ่วภายในไต, การมีภาวะไตเสื่อมแบบบวมน้ำ (hydronephrosis), ดัชนีมวลกาย, และความลึกตื้นของนิ่วจากผิวหนัง
ผลไม่พึงประสงค์ของ ESWL รวมทั้งการบาดเจ็บฉับพลัน เช่น รอยฟกช้ำตรงบริเวณที่รักษา และความเสียหายต่อเส้นเลือดไต จริง ๆ แล้ว คนโดยมากที่รักษาด้วยคลื่นกระแทกในระดับที่ยอมรับเพื่อรักษา มีโอกาสเกิดไตเสียหายเฉียบพลันในบางระดับ
ความบาดเจ็บฉับพลันที่ไตซึ่งมีเหตุจาก ESWL จะขึ้นอยู่กับขนาดที่ใช้ คือจะเพิ่มตามจำนวนคลื่นกระแทกที่ใช้รักษาและตามกำลังของคลื่น โดยอาจเป็นถึงรุนแรงได้ ซึ่งรวมทั้งเลือดออกภายใน และการคั่งเลือดใต้ถุงหุ้ม (subcapsular hematoma) ในกรณีที่มีน้อย อาจจะต้องถ่ายเลือดและแม้แต่ทำให้ไตวาย อัตราการคั่งเลือดอาจสัมพันธ์กับประเภทเครื่องสลายที่ใช้ โดยมีรายงานน้อยกว่า 1% สำหรับบางประเภท และมากถึง 13% สำหรับบางประเภท งานศึกษาเมื่อไม่นานแสดงการบาดเจ็บฉับพลันที่ลดลง เมื่อเกณฑ์วิธีรักษารวมการหยุดพักช่วงสั้น ๆ หลังเริ่มรักษา และอัตราคลื่นกระแทกที่ช้ากว่า จะทั้งเพิ่มการสลายนิ่วและลดการบาดเจ็บ
นอกจากโอกาสที่ไตจะบาดเจ็บอย่างฉับพลัน งานศึกษาในสัตว์แสดงนัยว่า อาจเกิดแผลเป็นและทำให้ไตทำงานได้ลดลงงานศึกษาตามรุ่นตามแผนเร็ว ๆ นี้ยังบ่งด้วยว่า คนชรามีโอกาสเสี่ยงเกิดความดันโลหิตสูงกรณีใหม่หลังจากรักษาด้วย ESWL นอกจากนั้น งานศึกษาตามรุ่นย้อนหลังปี 2006 ยังพบความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงที่เพิ่มขึ้น ในบุคคลที่รักษาแบบ ESWL เทียบกับกลุ่มควบคุมอายุและเพศเดียวกันผู้ได้รักษาแบบไม่ใช่การผ่าตัด การลุกลามเป็นผลระยะยาว น่าจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างรวมทั้งระดับคลื่นกระแทกที่ใช้ (คือ จำนวนคลื่นที่ใช้ อัตราการส่งคลื่น กำลังคลื่น ลักษณะทางเสียงของเครื่องสลายนิ่วนั้น ๆ และความถี่ในการรักษาอีก) และปัจจัยเสี่ยงทางพยาธิสรีรวิทยาอื่น ๆ ที่สร้างปัญหา
เพื่อจัดการปัญหาเหล่านี้ สมาคมวิทยาทางเดินปัสสาวะอเมริกันได้ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจการสลายนิ่วด้วยคลื่นกระแทก เพื่อให้ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในเรื่องความปลอดภัยและอัตราความเสี่ยงโดยเทียบกับประโยชน์ของ ESWL คณะทำงานได้พิมพ์รายงานที่สรุปความเห็นว่า อัตราความเสี่ยง-ผลประโยชน์ยังดีสำหรับคนหลายคน ประโยชน์ของ ESWL รวมทั้งไม่จำเป็นต้องผ่าต้องตัด รักษานิ่วทางเดินปัสสาวะส่วนบนโดยมากได้ง่าย และอย่างน้อย ๆ ก็โดยระยะสั้น มันเป็นการรักษาที่อดทนได้ดี และสร้างพยาธิสภาวะน้อย สำหรับคนโดยมาก แต่ก็แนะนำให้ลดอัตราการยิงคลื่นกระแทกลงจาก 120 พัลส์ต่อนาที ให้เหลือ 60 พัลส์ต่อนาที เพื่อลดความเสี่ยงความบาดเจ็บต่อไต และเพิ่มการสลายตัวของนิ่ว
การผ่าตัด
นิ่วขนาดน้อยกว่า 5 มม. โดยมากจะหลุดออกไปเอง แต่การผ่าตัดอย่างท่วงทีก็ยังอาจจำเป็นสำหรับคนไข้ที่มีไตทำงานได้เพียงแค่ข้างเดียว หรือมีนิ่วอุดไตทั้งสองข้าง หรือติดเชื้อทางเดินปัสสาวะและโดยอนุมานติดเชื้อที่ไตด้วย หรือเจ็บไม่หาย เริ่มตั้งแต่กลางคริสต์ทศวรรษ 1980 การรักษาที่ต้องผ่าต้องตัดน้อยกว่าเช่น การใช้คลื่นเสียงนอกกายสลายนิ่ว, การส่องกล้องท่อไต (ureteroscopy), และการผ่าตัดนิ่วไตทางผิวหนัง (percutaneous nephrolithotomy) ก็เริ่มเลือกใช้รักษาแทนที่การผ่าตัดทั่วไปเมื่อต้องผ่าตัดนิ่ว งานวิจัยปี 2012 ใช้กล้องท่อไตสายอ่อน (flexible ureteroscopy) ปรับเพื่อสร้างทางแบบสวนทาง (retrograde nephrostomy) เพื่อการผ่าตัดนิ่วผ่านผิวหนัง (percutaneous nephrolithotomy) แม้จะยังเป็นเทคนิคที่ยังตรวจสอบอยู่ แต่ผลเบื้องต้นก็ดูดี การผ่าตัดนิ่วไตทางผิวหนัง หรือน้อยครั้งมากการผ่านิ่วออกทั่วไป (lithotomy) เป็นการรักษาดีสุดสำหรับนิ่วที่ใหญ่หรือยุ่งยาก (เช่น นิ่วรูปเขากวาง) หรือนิ่วที่ไม่สามารถเอาออกได้โดยวิธีอื่น
การผ่าตัดโดยกล้องท่อไต
การส่องกล้องท่อไต (ureteroscopy) ได้กลายเป็นที่นิยมมากขึ้นเมื่อกล้องใยแก้วนำแสงทั้งแบบแข็งแบบอ่อนได้เล็กลง ๆ วิธีการรักษาหนึ่งเป็นการใส่ท่อเปิดท่อไต (ureteral stent) ซึ่งเป็นท่อเล็ก ๆ ที่ยื่นจากกระเพาะปัสสาวะไปถึงท่อไตและเข้าไปในไต เพื่อบรรเทาอาการไตที่อุดตันแบบฉับพลัน การใส่ท่อเปิดท่อไตอาจมีประโยชน์เพื่อรักษาไตที่เสี่ยงต่อการวายฉับพลันเพราะเหตุที่เกิดต่อจากไต (postrenal acute renal failure) เนื่องจากความดันน้ำที่สูงขึ้น, อาการบวมและการติดเชื้อ (ไตและกรวยไตอักเสบ [pyelonephritis] และไตเป็นหนอง [pyonephrosis]) เนื่องจากนิ่วที่อุดตันไต
ท่อเปิดท่อไตจะยาวต่าง ๆ กันตั้งแต่ 24-30 ซม. และมีรูปร่างที่เรียกทั่ว ๆ ไปว่า "double-J" หรือ หางหมูคู่ เพราะมันม้วนงอที่ปลายทั้งสองข้าง เป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบให้ปัสสาวะไหลผ่านสิ่งอุดตันในท่อไตได้ ซึ่งอาจจะทิ้งไว้เป็นวัน ๆ หรืออาทิตย์ ๆ จนกว่าจะหายติดเชื้อ และจนกว่านิ่วจะสลายหรืออแตกโดย ESWL หรือการรักษาอื่น ๆ ท่อจะขยายเปิดท่อไต ซึ่งช่วยอำนวยเครื่องมือ และเป็นเครื่องหมายสังเกตแสดงท่อไตและนิ่วในท่อภายในภาพรังสี การมีท่อเปิดท่อไตอาจทำให้เจ็บเพียงเล็กน้อยจนถึงปานกลาง กลั้นปัสสาวะไม่ได้ และติดเชื้อ ซึ่งโดยทั่วไปจะหายเองเมื่อเอาออก ท่อเปิดท่อไตโดยมากสามารถเอาออกโดยใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะปัสสาวะ (cystoscope) ในแผนกผู้ป่วยนอกโดยใช้ยาชาเฉพาะที่หลังจากที่นิ่วหายแล้ว
เทคนิคการเอานิ่วออกผ่านกล้องส่องท่อไตต่าง ๆ ที่ไม่ใช่แค่เลี่ยงสิ่งอุดตัน รวมทั้งการเอาออกโดยตะกร้า (basket extraction) และการสลายนิ่วในท่อไตโดยคลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasound ureterolithotripsy) การสลายนิ่วด้วยเลเซอร์ (laser lithotripsy) เป็นอีกวิธีหนึ่ง โดยใช้เลเซอร์แบบ โฮลเมียม:yttrium aluminium garnet (Ho:YAG) เพื่อทำนิ่วให้แตกในกระเพาะปัสสาวะ ท่อไต หรือไต เทคนิคที่ใช้กล้องส่องท่อไตโดยทั่วไปจะมีประสิทธิผลดีกว่า ESWL ในการรักษานิ่วที่อยู่ในท่อไตส่วนล่าง โดยมีอัตราสำเร็จ 93-100% ถ้าสลายนิ่วด้วยเลเซอร์ Ho:YAG
แม้แพทย์จะชอบใช้ ESWL เพื่อรักษานิ่วที่อยู่ที่ท่อไตด้านบน แต่ประสบการณ์เร็ว ๆ นี้แสดงนัยว่า การส่องกล้องท่อไตก็มีข้อได้เปรียบในการรักษานิ่วในท่อไตด้านบนด้วย โดยเฉพาะก็คือ อัตราสำเร็จทั่วไปจะสูงกว่า จำเป็นต้องรักษาอีกและมาหาแพทย์หลังผ่าตัดน้อยกว่า และมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า ข้อได้เปรียบเหล่านี้จะชัดยิ่งขึ้นสำหรับนิ่วที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่า 10 มม. อย่างไรก็ดี เพราะการส่องกล้องท่อไตด้านบนยังยากกว่า ESWL มาก แพทย์ทางเดินปัสสาวะหลายท่านก็ยังชอบใช้ ESWL เพื่อรักษาในขั้นแรกสำหรับนิ่วที่เล็กกว่า 10 มม. และใช้กล้องส่องท่อไตสำหรับนิ่วที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเกิน 10 มม.
การส่องกล้องท่อไตเป็นวิธีการักษาที่ดีสำหรับผู้ตั้งครรภ์ ผู้มีโรคอ้วนขั้นรุนแรง และผู้มีเลือดออกผิดปกติ (bleeding disorder)
วิทยาการระบาด
ประเทศ | ความชุกเมื่อก่อน (ปี) | ความชุกภายหลัง (ปี) |
---|---|---|
สหรัฐอเมริกา | 2.6% (1964-1972) | 5.2% (1988-1994) |
อิตาลี | 1.2% (1983) | 1.7% (1993-1994) |
สกอตแลนด์ | 3.8% (1977) | 3.5% (1987) |
สเปน | 0.1% (1977) | 10.0% (1991) |
ตุรกี | - | 14.8% (1989) |
ประเทศ | คนไข้ใหม่ต่อแสนคน (ปี) | ทิศทาง |
---|---|---|
สหรัฐอเมริกา | 116 (2000) | ลด |
เยอรมนี | 720 (2000) | เพิ่ม |
ญี่ปุ่น | 114.3 (2005) | เพิ่ม |
สเปน | 270 (1984) | ลด |
สวีเดน | 200 (1969) | เพิ่ม |
โรคนิ่วไตมีผลต่อประชากรทุกภูมิภาค ทุกวัฒนธรรม และทุกเชื้อชาติ อัตราเสี่ยงตลอดชีวิตอยู่ที่ประมาณ 10-15% ในประเทศพัฒนาแล้ว แต่อาจสูงถึง 20-25% ในตะวันออกกลาง การเพิ่มความเสี่ยงภาวะขาดน้ำในภูมิอากาศร้อน บวกกับอาหารที่มีแคลเซียม 50% ต่ำกว่า และมีออกซาเลต 250% สูงกว่า เทียบกับอาหารชาวตะวันตก เป็นคำอธิบายความเสี่ยงสุทธิที่สูงกว่าในตะวันออกกลาง ในตะวันออกกลาง นิ่วแบบกรดยูริกยังสามัญกว่านิ่วที่มีแคลเซียมอีกด้วย ผู้เสียชีวิตทั่วโลกเนื่องกับนิ่วไตประเมินที่ 19,000 ต่อปี ซึ่งค่อนข้างสม่ำเสมอระหว่างปี 1990-2010
ในอเมริกาเหนือและยุโรป จำนวนคนไข้ใหม่ต่อปีของนิ่วไตอยู่ที่ประมาณ 0.5% ในสหรัฐอเมริกา อัตราความถี่โรคนิ่วไตได้เพิ่มจาก 3.2% เป็น 5.2% ระหว่างกลางคริสต์ทศวรรษ 1970 และกลางคริสต์ทศวรรษ 1990 ในสหรัฐ ประชากรทั้งหมดประมาณ 9% มีหรือเคยมีนิ่วไตมาก่อน ค่ารักษาโรคนิ่วไตอยู่ที่ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2003
ประมาณ 65-80% เป็นคนไข้ชาย นิ่วโดยมากในหญิงมีเหตุจากความผิดปกติทางเมแทบอลิซึม (เช่น ภาวะซีสทีนเกินในปัสสาวะ) หรือจากการติดเชื้อ ชายส่วนมากประสบกับนิ่วอันแรกระหว่างอายุ 30-40 ปี เทียบกับหญิงที่จะมีตอนอายุมากกว่า อายุที่เกิดนิ่วของหญิงแบ่งเป็นสองภาค คือ ที่อายุ 35 ปี และ 55 ปี อัตราการเกิดอีกประเมินที่ 50% ในช่วง 10 ปี หรือ 75% ในช่วง 20 ปี โดยมีบางคนที่มีนิ่วกว่า 10 รอบในชั่วชีวิต
งานทบทวนปี 2010 สรุปว่า อัตราการเกิดโรคกำลังลดลง
ประวัติ
มีการบันทึกถึงนิ่วไตเป็นครั้งแรกเมื่อหลายพันปีก่อน และการผ่านิ่วออกเป็นเทคนิคทางศัลยกรรมซึ่งเก่าแก่ที่สุดอย่างหนึ่ง ในปี 1901 มีการค้นพบนิ่วในเชิงกรานของมัมมี่อียิปต์โบราณ โดยหาอายุได้เป็น 4,800 ปีก่อน ค.ศ. วรรณกรรมการแพทย์โบราณจากเมโสโปเตเมีย อินเดีย จีน เปอร์เซีย กรีซ และโรม ล้วนกล่าวถึงนิ่ว ส่วนหนึ่งของคำสัตย์ปฏิญาณฮิปพอคราทีสแสดงนัยว่า มีศัลยแพทย์ในกรีซโบราณที่แพทย์สามารถส่งต่อคนไข้เพื่อผ่าตัดนิ่ว นิพนธ์การแพทย์โรมัน คือ De Medicina ของ Aulus Cornelius Celsus ได้อธิบายวิธีการผ่านิ่วออก ซึ่งเป็นมูลฐานของปฏิบัติการเยี่ยงนี้จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ในประเทศตะวันตกชาวตะวันตกที่มีชื่อเสียงและมีนิ่วรวมทั้งจักรพรรดินโปเลียนที่ 1, จักรพรรดินโปเลียนที่ 3, จักรพรรดิปีเตอร์ที่ 1 แห่งรัสเซีย, พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส, พระเจ้าจอร์จที่ 4 แห่งสหราชอาณาจักร, โอลิเวอร์ ครอมเวลล์, ลินดอน บี. จอห์นสัน, เบนจามิน แฟรงคลิน, ฟรานซิส เบคอน, ไอแซก นิวตัน, ซามูเอล พีพส์, และวิลเลียม ฮาร์วีย์
มีเทคนิคผ่าตัดนิ่วใหม่ ๆ ที่เกิดเริ่มตั้งแต่ปี 1520 แต่ก็ยังเป็นปฏิบัติการที่เสี่ยงอยู่ หลังจากแพทย์ชาวอเมริกัน นพ. Henry Jacob Bigelow สร้างความนิยมต่อเทคนิคขบล้างนิ่ว (litholapaxy) ในปี 1878 อัตราการตายก็ลดลงจาก 24% เหลือ 2.4% แต่วิธีการรักษาอื่น ๆ ก็ยังมีอัตราการตายสูง โดยเฉพาะที่ทำโดยแพทย์วิทยาทางเดินปัสสาวะผู้ไม่ชำนาญ ในปี 1980 บริษัทเยอรมัน Dornier MedTech ได้วางตลาดเครื่องสลายนิ่วด้วยคลื่นกระแทกนอกกาย ซึ่งต่อมากลายมาเป็นเทคนิคที่ใช้อย่างกว้างขวาง
ประวัติคำภาษาตะวันตก
คำว่า Renal calculus (นิ่วไต) มาจากคำภาษาละติน rēnēs แปลว่า "ไต" และ calculus แปลว่า "ก้อนหิน" Lithiasis (โรคก้อนหิน) ในไตเรียกว่า nephrolithiasis (/ˌnɛfroʊlɪˈθaɪəsɪs/) แปลในภาษาไทยว่า "โรคนิ่วไต" มาจากคำว่า nephro- แปลว่า ไต บวกกับคำว่า -lith หมายถึงก้อนหิน และ -iasis หมายถึงความผิดปกติ/โรค
งานวิจัย
การตกผลึกของแคลเซียมออกซาเลตดูเหมือนจะยับยั้งได้โดยสารบางอย่างในปัสสาวะ ที่ชะลอการเกิด การเติบโต การรวมตัว และการติดผลึกที่เซลล์ไต เมื่อกลั่นปัสสาวะโดยกระบวนการตกผลึกเกลือ, isoelectric focusing, และ size-exclusion chromatography นักวิจัยได้พบโปรตีนเกิดในไตที่เรียกว่า calgranulin ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเกิดผลึกแคลเซียมออกซาเลตภายในกาย ดังนั้น มันจึงอาจเป็นปัจจัยธรรมชาติที่สำคัญเพื่อป้องกันโรคนิ่วไต
เด็ก
แม้นิ่วไตจะไม่ค่อยเกิดในเด็ก แต่ความชุกก็กำลังสูงขึ้น นิ่วจะอยู่ในไตในกรณีคนไข้ 2/3 และในท่อไตในกรณีที่เหลือ โดยเด็กอายุมากกว่าก็จะเสี่ยงสูงกว่าต่างหากจากการมีเพศสัมพันธ์
เหมือนกับในผู้ใหญ่ นิ่วในเด็กโดยมากจะประกอบด้วยแคลเซียมออกซาเลต ส่วนนิ่วแบบสตรูไวท์และแคลเซียมฟอสเฟตจะน้อยกว่า นิ่วแบบแคลเซียมออกซาเลตในเด็กสัมพันธ์กับแคลเซียม, ออกซาเลต, และแมกนีเซียมระดับสูงในปัสสาวะที่เป็นกรด
สัตว์อื่น ๆ
ในสัตว์เคี้ยวเอื้อง นิ่วปัสสาวะมักจะเป็นปัญหาในตัวผู้มากกว่าตัวเมีย เพราะทางเดินปัสสาวะของตัวผู้จะโค้งเป็นตัวเอส จึงทำให้มีโอกาสอุดตันมากกว่า ตัวผู้ที่ถูกตอนตั้งแต่เล็ก ๆ จะเสี่ยงสูงสุด เพราะท่อปัสสาวะเล็กกว่า
การกินอาหารที่มีอัตราส่วน แคลเซียม:โพแทสเซียม ต่ำทำให้สามารถเกิดนิ่วแบบมีฟอสเฟต (คือแบบสตรูไวท์) ได้มากกว่า เช่น แกะที่ถูกตอนจะมีความชุกของโรคต่ำสุดถ้ากินอาหารที่มีอัตราส่วน 2:1
ส่วนความเป็นด่างจะทำให้เกิดนิ่วแบบคาร์บอเนตและฟอสเฟตได้ง่าย ดังนั้น สำหรับสัตว์เคี้ยวเอื้องเลี้ยง อัตราแคตไอออน: ที่ได้จากอาหารบางครั้งจะปรับเพื่อให้ปัสสาวะเป็นกรดเล็กน้อย เพื่อป้องกันนิ่ว
ความเป็นกรดด่างมีผลต่อนิ่วแบบซิลิเคตที่ต่างกัน ในเรื่องนี้ มีข้อสังเกตว่า ภายใต้สถานการณ์บางอย่าง แคลเซียมคาร์บอเนตจะเกิดพร้อมกับซิลิกาในนิ่ว
อาหารเม็ดอาจนำไปสู่การเกิดนิ่วแบบฟอสเฟต เพราะปัสสาวะจะมีฟอสฟอรัสเพิ่มขึ้น นี่มีเหตุจากการผลิตน้ำลายน้อยกว่าเมื่อกินอาหารเม็ดที่มีองค์ประกอบซึ่งบดอย่างละเอียด เพราะฟอสเฟตในเลือดนำมาใช้ในน้ำลายน้อยลง ก็จึงต้องขับออกทางปัสสาวะมากขึ้น ส่วนฟอสเฟตในน้ำลายโดยมากจะขับออกทางอุจจาระ
นิ่วแบบออกซาเลตก็สามารถเกิดในสัตว์เคี้ยวเอื้องด้วย แม้ปัญหาการกินออกซาเลตอาจเป็นเรื่องไม่ค่อยสามัญ แต่ก็มีรายงานเกี่ยวกับนิ่วในสัตว์เคี้ยวเอื้องที่สัมพันธ์กับการกินออกซาเลต ถึงอย่างนั้น สำหรับลูกแกะอายุเกินปีแต่ยังไม่ถึงสองปี ที่กินอาหารมีออกซาเลตซึ่งละลายได้โดยมีสัดส่วน 6.5% ของอาหารแห้งแต่ละวันเป็นระยะ 100 วัน ก็ไม่พบความเสียหายต่อหลอดไตหรือมีการตกผลึกแคลเซียมออกซาเลตที่มองเห็นได้ในไต
ภาวะที่จำกัดการกินน้ำอาจทำให้เกิดนิ่ว
การผ่าตัดรักษาต่าง ๆ เช่น การตัด urethral process ที่ฐานของมันใกล้หัวองคชาต (glans penis) ในสัตว์ตัวผู้, การเจาะระบายท่อปัสสาวะที่ฝีเย็บ (perineal urethrostomy), หรือการเจาะท่อระบายปัสสาวะ (tube cystostomy) สามารถใช้บรรเทาอาการนิ่วแบบอุดตัน
เชิงอรรถและอ้างอิง
- Schulsinger, David A. (2014). (ภาษาอังกฤษ). Springer. p. 27. ISBN . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 September 2017.
- . February 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 May 2015. สืบค้นเมื่อ 22 May 2015.
- Knoll T, Pearle MS (2012). Clinical Management of Urolithiasis (ภาษาอังกฤษ). Springer Science & Business Media. p. 21. ISBN . จากแหล่งเดิมเมื่อ 8 กันยายน 2017.
- Qaseem, A; Dallas, P; Forciea, MA; Starkey, M; และคณะ (4 November 2014). "Dietary and pharmacologic management to prevent recurrent nephrolithiasis in adults: A clinical practice guideline from the American College of Physicians". Annals of Internal Medicine. 161 (9): 659–67. doi:10.7326/M13-2908. PMID 25364887.
- Vos, Theo; และคณะ (GBD 2015 Disease and Injury Incidence and Prevalence Collaborators) (October 2016). "Global, regional, and national incidence, prevalence, and years lived with disability for 310 diseases and injuries, 1990-2015: a systematic analysis for the Global Burden of Disease Study 2015". Lancet. 388 (10053): 1545–1602. doi:10.1016/S0140-6736(16)31678-6. PMC 5055577. PMID 27733282.
- Wang, Haidong; และคณะ (GBD 2015 Disease and Injury Incidence and Prevalence Collaborators) (October 2016). "Global, regional, and national life expectancy, all-cause mortality, and cause-specific mortality for 249 causes of death, 1980-2015: a systematic analysis for the Global Burden of Disease Study 2015". Lancet. 388 (10053): 1459–1544. doi:10.1016/s0140-6736(16)31012-1. PMC 5388903. PMID 27733281.
- Miller, NL; Lingeman, JE (2007). (PDF). BMJ. 334 (7591): 468–72. doi:10.1136/bmj.39113.480185.80. PMC 1808123. PMID 17332586. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 27 December 2010.
- Morgan, MS; Pearle, MS (14 March 2016). "Medical management of renal stones". BMJ (Clinical research ed.). 352: i52. doi:10.1136/bmj.i52. PMID 26977089.
- Afshar, K; Jafari, S; Marks, AJ; Eftekhari, A; MacNeily, AE (29 June 2015). "Nonsteroidal anti-inflammatory drugs (NSAIDs) and non-opioids for acute renal colic". The Cochrane Database of Systematic Reviews. 6: CD006027. doi:10.1002/14651858.CD006027.pub2. PMID 26120804.
- Wang, RC; Smith-Bindman, R; Whitaker, E; Neilson, J; Allen, IE; Stoller, ML; Fahimi, J (7 September 2016). "Effect of Tamsulosin on Stone Passage for Ureteral Stones: A Systematic Review and Meta-analysis". Annals of Emergency Medicine. doi:10.1016/j.annemergmed.2016.06.044. PMID 27616037.
- Preminger GM (2007). "Chapter 148: Stones in the Urinary Tract". ใน Cutler RE (บ.ก.). (3rd ed.). Whitehouse Station, New Jersey: . จากแหล่งเดิมเมื่อ 8 December 2014. สืบค้นเมื่อ 7 August 2011.
- Nephrolithiasis~Overview จาก § Background.
- Pearle MS, Calhoun EA, Curhan GC (2007). "Ch. 8: Urolithiasis" (PDF). ใน Litwin MS, Saigal CS (บ.ก.). Urologic Diseases in America (NIH Publication No. 07–5512). Bethesda, Maryland: , National Institutes of Health, , . pp. 283–319. (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 18 ตุลาคม 2011.
- Cavendish M (2008). "Kidney disorders". Diseases and Disorders. Vol. 2 (1st ed.). Tarrytown, New York: Marshall Cavendish Corporation. pp. 490–3. ISBN . จากแหล่งเดิมเมื่อ 14 April 2021. สืบค้นเมื่อ 6 November 2020.
- Curhan, GC; Willett, WC; Rimm, EB; Spiegelman, D; และคณะ (February 1996). "Prospective study of beverage use and the risk of kidney stones" (PDF). American Journal of Epidemiology. 143 (3): 240–7. doi:10.1093/oxfordjournals.aje.a008734. PMID 8561157.
- Knight J, Assimos DG, Easter L, Holmes RP (November 2010). "Metabolism of fructose to oxalate and glycolate". Hormone and Metabolic Research. 42 (12): 868–73. doi:10.1055/s-0030-1265145. PMC 3139422. PMID 20842614.
- Johri N, Cooper B, Robertson W, Choong S, Rickards D, Unwin R (2010). "An update and practical guide to renal stone management". Nephron Clinical Practice. 116 (3): c159-71. doi:10.1159/000317196. PMID 20606476. จากแหล่งเดิมเมื่อ 31 January 2021. สืบค้นเมื่อ 18 May 2019.
- Moe OW (มกราคม 2006). "Kidney stones: pathophysiology and medical management" (PDF). Lancet. 367 (9507): 333–44. doi:10.1016/S0140-6736(06)68071-9. PMID 16443041. S2CID 26581831. (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 15 สิงหาคม 2011.
- Thakker RV (มีนาคม 2000). "Pathogenesis of Dent's disease and related syndromes of X-linked nephrolithiasis" (PDF). Kidney International. 57 (3): 787–93. doi:10.1046/j.1523-1755.2000.00916.x. PMID 10720930. (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2012.
- (2006). . Information about Endocrine and Metabolic Diseases: A-Z list of Topics and Titles. Bethesda, Maryland: National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases, National Institutes of Health, Public Health Service, US Department of Health and Human Services. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 พฤษภาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 27 กรกฎาคม 2011.
- Hoppe B, Langman CB (October 2003). "A United States survey on diagnosis, treatment, and outcome of primary hyperoxaluria". Pediatric Nephrology. 18 (10): 986–91. doi:10.1007/s00467-003-1234-x. PMID 12920626. S2CID 23503869.
- Reilly RF, Ch. 13: "Nephrolithiasis". In Reilly & Perazella 2005, pp. 192–207.
- National Kidney and Urologic Diseases Information Clearinghouse (2008). . Kidney & Urologic Diseases: A-Z list of Topics and Titles. Bethesda, Maryland: National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases, National Institutes of Health, Public Health Service, US Department of Health and Human Services. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 สิงหาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 27 กรกฎาคม 2011.
- (2006). . Digestive Diseases: A-Z List of Topics and Titles. Bethesda, Maryland: National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases, National Institutes of Health, United States Public Health Service, United States Department of Health and Human Services. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 มิถุนายน 2014. สืบค้นเมื่อ 27 กรกฎาคม 2011.
- Farmer, RG; Hossein Mir-Madjlessi, S; Kiser, WS (1974). "Urinary excretion of oxalate, calcium, magnesium, and uric acid in inflammatory bowel disease: Relationship to urolithiasis". Cleveland Clinic Quarterly. 41 (3): 109–17. doi:10.3949/ccjm.41.3.109. PMID 4416806.
- "Summary". In Committee to Review Dietary Reference Intakes for Vitamin D and Calcium 2011, pp. 1–14.
- "Tolerable upper intake levels: Calcium and vitamin D". In Committee to Review Dietary Reference Intakes for Vitamin D and Calcium 2011, pp. 403–56.
- Parmar MS (June 2004). "Kidney stones". BMJ. 328 (7453): 1420–4. doi:10.1136/bmj.328.7453.1420. PMC 421787. PMID 15191979.
- Liebman M, Al-Wahsh IA (พฤษภาคม 2011). "Probiotics and other key determinants of dietary oxalate absorption" (PDF). Advances in Nutrition. 2 (3): 254–60. doi:10.3945/an.111.000414. PMC 3090165. PMID 22332057. (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 16 มกราคม 2016.
- Committee on Fluoride in Drinking Water of the National Academy of Sciences (2006). "Chapter 9: Effects on the Renal System". Fluoride in Drinking Water: A Scientific Review of EPA's Standards. Washington, DC: The National Academies Press. pp. 236–48. ISBN . จากแหล่งเดิมเมื่อ 30 กรกฎาคม 2011.
- Riley, JM; Kim, H; Averch, TD; Kim, HJ (October 2013). "Effect of magnesium on calcium and oxalate ion binding". J Endourol. 27 (12): 1487–92. doi:10.1089/end.2013.0173. PMC 3883082. PMID 24127630.
- Negri, AL; Spivacow, FR; Del Valle, EE (2013). "[Diet in the treatment of renal lithiasis. Pathophysiological basis]". Medicina (B Aires). 73 (3): 267–71. PMID 23732207.
- Goodwin JS, Tangum MR (November 1998). "Battling quackery: attitudes about micronutrient supplements in American academic medicine". Archives of Internal Medicine. 158 (20): 2187–91. doi:10.1001/archinte.158.20.2187. PMID 9818798.
- Brawer, MK; Makarov, DV; Partin, AW; Roehrborn, CG; และคณะ (2008). "Best of the 2008 AUA Annual Meeting: Highlights from the 2008 Annual Meeting of the American Urological Association, May 17-22, 2008, Orlando, FL". Reviews in Urology. 10 (2): 136–56. PMC 2483319. PMID 18660856.
- Mirheydar, Hossein S.; Banapour, Pooya; Massoudi, Rustin; Palazzi, Kerrin L.; Jabaji, Ramzi; Reid, Erin G.; Millard, Frederick E.; Kane, Christopher J.; Sur, Roger L. (December 2014). "What is the Incidence of Kidney Stones after Chemotherapy in Patients with Lymphoproliferative or Myeloproliferative Disorders?". Int Braz J Urol. 40 (6): 772–80. doi:10.1590/S1677-5538.IBJU.2014.06.08. PMID 25615245.
- Caudarella, R; Vescini, F (September 2009). "Urinary citrate and renal stone disease: the preventive role of alkali citrate treatment". Archivio Italiano di Urologia, Andrologia. 81 (3): 182–7. PMID 19911682.
- Perazella MA, Ch. 14: "Urinalysis". In Reilly & Perazella 2005, pp. 209–26.
- Knudsen BE, Beiko DT, Denstedt JD, Ch. 16: "Uric Acid Urolithiasis". In Stoller & Meng 2007, pp. 299–308.
- Nephrolithiasis~Overview จาก § Pathophysiology.
- Coe FL, Evan A, Worcester E (October 2005). "Kidney stone disease". The Journal of Clinical Investigation. 115 (10): 2598–608. doi:10.1172/JCI26662. PMC 1236703. PMID 16200192.
- del Valle, EE; Spivacow, FR; Negri, AL (2013). "Citrate and renal stones". Medicina (B Aires). 73 (4): 363–8. PMID 23924538.
- Anoia EJ, Paik ML, Resnick MI (2009). "Ch. 7: Anatrophic Nephrolithomy". ใน Graham SD, Keane TE (บ.ก.). Glenn's Urologic Surgery (7th ed.). Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins. pp. 45–50. ISBN . จากแหล่งเดิมเมื่อ 14 April 2021. สืบค้นเมื่อ 6 November 2020.
- Weaver SH, Jenkins P (2002). "Ch. 14: Renal and Urological Care". Illustrated Manual of Nursing Practice (3rd ed.). Lippincott Williams & Wilkins. ISBN .
- American College of Emergency Physicians (27 October 2014). . Choosing Wisely. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 March 2014. สืบค้นเมื่อ 2015-01-14.
- . www.choosingwisely.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 February 2017. สืบค้นเมื่อ 28 May 2017.
- Smith RC, Varanelli M (July 2000). "Diagnosis and management of acute ureterolithiasis: CT is truth". AJR. American Journal of Roentgenology. 175 (1): 3–6. doi:10.2214/ajr.175.1.1750003. PMID 10882237. S2CID 73387308.
- Fang LS (2009). "Chapter 135: Approach to the Paient with Nephrolithiasis". ใน Goroll AH, Mulley AG (บ.ก.). Primary care medicine: office evaluation and management of the adult patient (6th ed.). Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins. pp. 962–7. ISBN . จากแหล่งเดิมเมื่อ 21 March 2021. สืบค้นเมื่อ 6 November 2020.
- Pietrow PK, Karellas ME (กรกฎาคม 2006). "Medical management of common urinary calculi" (PDF). American Family Physician. 74 (1): 86–94. PMID 16848382. (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2011.
- Bushinsky D, Coe FL, Moe OW (2007). . ใน Brenner BM (บ.ก.). Brenner and Rector's The Kidney. Vol. 1 (8th ed.). Philadelphia: WB Saunders. pp. 1299–349. ISBN . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 ตุลาคม 2011.
- Smith RC, Levine J, Rosenfeld AT (September 1999). "Helical CT of urinary tract stones. Epidemiology, origin, pathophysiology, diagnosis, and management". Radiologic Clinics of North America. 37 (5): 911–52, v. doi:10.1016/S0033-8389(05)70138-X. PMID 10494278.
- Smith-Bindman, R; Aubin, C; Bailitz, J; Bengiamin, RN; และคณะ (18 September 2014). "Ultrasonography versus computed tomography for suspected nephrolithiasis". The New England Journal of Medicine. 371 (12): 1100–1110. doi:10.1056/NEJMoa1404446. PMID 25229916.
- National Kidney and Urologic Diseases Information Clearinghouse (2007). . Kidney & Urologic Diseases: A-Z list of Topics and Titles. Bethesda, Maryland: National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases, National Institutes of Health, Public Health Service, US Department of Health and Human Services. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 กรกฎาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 27 กรกฎาคม 2011.
- Becker KL (2001). Principles and practice of endocrinology and metabolism (3 ed.). Philadelphia, Pa. [u.a.]: Lippincott, Williams & Wilkins. p. 684. ISBN . จากแหล่งเดิมเมื่อ 8 กันยายน 2017.
- . UpToDate. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 February 2014. สืบค้นเมื่อ 20 February 2014.
- Bailey & Love's/25th/1296
- National Endocrine and Metabolic Diseases Information Service (2008). . Kidney & Urologic Diseases: A-Z list of Topics and Titles. Bethesda, Maryland: National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases, National Institutes of Health, Public Health Service, US Department of Health and Human Services. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 กรกฎาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 27 กรกฎาคม 2011.
- De Mais, Daniel (2009). ASCP Quick Compendium of Clinical Pathology (2nd ed.). Chicago: ASCP Press.
- Weiss M, Liapis H, Tomaszewski JE, Arend LJ (2007). "Chapter 22: Pyelonephritis and Other Infections, Reflux Nephropathy, Hydronephrosis, and Nephrolithiasis". ใน Jennette JC, Olson JL, Schwartz MM, Silva FG (บ.ก.). Heptinstall's Pathology of the Kidney. Vol. 2 (6th ed.). Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins. pp. 991–1082. ISBN . จากแหล่งเดิมเมื่อ 20 March 2021. สืบค้นเมื่อ 6 November 2020.
- Halabe A, Sperling O (1994). "Uric acid nephrolithiasis". Mineral and Electrolyte Metabolism. 20 (6): 424–31. PMID 7783706.
- Kamatani N (December 1996). "[Adenine phosphoribosyltransferase(APRT) deficiency]". Nihon Rinsho. Japanese Journal of Clinical Medicine (ภาษาญี่ปุ่น). 54 (12): 3321–7. PMID 8976113.
- Rosenberg LE, Durant JL, Elsas LJ (June 1968). "Familial iminoglycinuria. An inborn error of renal tubular transport". The New England Journal of Medicine. 278 (26): 1407–13. doi:10.1056/NEJM196806272782601. PMID 5652624.
- Coşkun T, Ozalp I, Tokatli A (1993). "Iminoglycinuria: a benign type of inherited aminoaciduria". The Turkish Journal of Pediatrics. 35 (2): 121–5. PMID 7504361.
- "Patient Information about Crixivan for HIV (Human Immunodeficiency Virus) Infection" (PDF). Crixivan® (indinavir sulfate) Capsules. Whitehouse Station, New Jersey: Merck Sharp & Dohme Corporation. 2010. (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 15 สิงหาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 27 กรกฎาคม 2011.
- Schlossberg D, Samuel R (2011). "Sulfadiazine". Antibiotic Manual: A Guide to Commonly Used Antimicrobials (1st ed.). Shelton, Connecticut: People's Medical Publishing House. pp. 411–12. ISBN . จากแหล่งเดิมเมื่อ 20 March 2021. สืบค้นเมื่อ 25 August 2020.
- Carr MC, Prien EL, Babayan RK (December 1990). "Triamterene nephrolithiasis: renewed attention is warranted". The Journal of Urology. 144 (6): 1339–40. doi:10.1016/S0022-5347(17)39734-3. PMID 2231920.
- McNutt WF (1893). "Section IV: Diseases of the Bladder, Chapter VII: Vesical Calculi (Cysto-lithiasis)". Diseases of the Kidneys and Bladder: A Text-Book for Students of Medicine. Philadelphia: J.B. Lippincott Company. pp. 185–6. จากแหล่งเดิมเมื่อ 14 April 2021. สืบค้นเมื่อ 6 November 2020.
- Gettman MT, Segura JW (March 2005). "Management of ureteric stones: issues and controversies". BJU International. 95 (Suppl 2): 85–93. doi:10.1111/j.1464-410X.2005.05206.x. PMID 15720341. S2CID 36265416.
- Segura, Joseph W. (1997). "STAGHORN CALCULI". Urologic Clinics of North America. 24 (1): 71–80. doi:10.1016/S0094-0143(05)70355-4. ISSN 0094-0143.
- Fink, HA; Wilt, TJ; Eidman, KE; Garimella, PS; และคณะ (2 April 2013). "Medical management to prevent recurrent nephrolithiasis in adults: A systematic review for an American College of Physicians clinical guideline". Annals of Internal Medicine. 158 (7): 535–43. doi:10.7326/0003-4819-158-7-201304020-00005. PMID 23546565.
- Qaseem, A; Dallas, P; Forciea, MA; Starkey, M; Denberg, TD; Clinical Guidelines Committee of the American College of, Physicians (4 November 2014). "Dietary and pharmacologic management to prevent recurrent nephrolithiasis in adults: a clinical practice guideline from the American College of Physicians". Annals of Internal Medicine. 161 (9): 659–67. doi:10.7326/m13-2908. PMID 25364887.
- Goldfarb DS, Coe FL (พฤศจิกายน 1999). "Prevention of recurrent nephrolithiasis". American Family Physician. 60 (8): 2269–76. PMID 10593318. จากแหล่งเดิมเมื่อ 22 สิงหาคม 2005.
- Finkielstein VA, Goldfarb DS (พฤษภาคม 2006). "Strategies for preventing calcium oxalate stones". CMAJ. 174 (10): 1407–9. doi:10.1503/cmaj.051517. PMC 1455427. PMID 16682705. จากแหล่งเดิมเมื่อ 15 ตุลาคม 2008.
- "Citric Acid and Kidney Stones" (PDF). uwhealth.org. (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-07-05.
- Taylor, EN; Curhan, GC (September 2006). "Diet and fluid prescription in stone disease". Kidney International. 70 (5): 835–9. doi:10.1038/sj.ki.5001656. PMID 16837923.
- . kidney.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 May 2013. สืบค้นเมื่อ 19 August 2013.
- Heaney RP (มีนาคม 2006). "Nutrition and chronic disease". Mayo Clinic Proceedings. 81 (3): 297–9. doi:10.4065/81.3.297. PMID 16529131.
- Tiselius HG (May 2003). "Epidemiology and medical management of stone disease". BJU International. 91 (8): 758–67. doi:10.1046/j.1464-410X.2003.04208.x. PMID 12709088. S2CID 28256459.
- Taylor EN, Stampfer MJ, Curhan GC (December 2004). "Dietary factors and the risk of incident kidney stones in men: new insights after 14 years of follow-up" (PDF). Journal of the American Society of Nephrology. 15 (12): 3225–32. doi:10.1097/01.ASN.0000146012.44570.20. PMID 15579526. (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 21 September 2017. สืบค้นเมื่อ 3 June 2011.
- Cicerello, E; Merlo, F; Maccatrozzo, L (September 2010). "Urinary alkalization for the treatment of uric acid nephrolithiasis". Archivio Italiano di Urologia, Andrologia. 82 (3): 145–8. PMID 21121431.
- Cameron JS, Simmonds HA (June 1987). "Use and abuse of allopurinol". British Medical Journal. 294 (6586): 1504–5. doi:10.1136/bmj.294.6586.1504. PMC 1246665. PMID 3607420.
- Macaluso JN (November 1996). "Management of stone disease--bearing the burden". The Journal of Urology. 156 (5): 1579–80. doi:10.1016/S0022-5347(01)65452-1. PMID 8863542.
- Pathan SA, Mitra B, Cameron PA (April 2018). "A Systematic Review and Meta-analysis Comparing the Efficacy of Nonsteroidal Anti-inflammatory Drugs, Opioids, and Paracetamol in the Treatment of Acute Renal Colic". European Urology. 73 (4): 583–595. doi:10.1016/j.eururo.2017.11.001. PMID 29174580.
- Seitz, C; Liatsikos, E; Porpiglia, F; Tiselius, HG; และคณะ (September 2009). "Medical therapy to facilitate the passage of stones: What is the evidence?". European Urology. 56 (3): 455–71. doi:10.1016/j.eururo.2009.06.012. PMID 19560860.
- Campschroer, T; Zhu, Y; Duijvesz, D; Grobbee, DE; และคณะ (2 April 2014). "Alpha-blockers as medical expulsive therapy for ureteral stones". The Cochrane Database of Systematic Reviews. 4 (4): CD008509. doi:10.1002/14651858.CD008509.pub2. PMID 24691989.
- Campschroer, T; Zhu, Y; Duijvesz, D; Grobbee, DE; Lock, MT (2 April 2014). "Alpha-blockers as medical expulsive therapy for ureteral stones". The Cochrane Database of Systematic Reviews. 4 (4): CD008509. doi:10.1002/14651858.CD008509.pub2. PMID 24691989.
- Wang, Ralph C.; Smith-Bindman, Rebecca; Whitaker, Evans; Neilson, Jersey; Allen, Isabel Elaine; Stoller, Marshall L.; Fahimi, Jahan (September 2016). "Effect of Tamsulosin on Stone Passage for Ureteral Stones: A Systematic Review and Meta-analysis". Annals of Emergency Medicine. doi:10.1016/j.annemergmed.2016.06.044. PMID 27616037.
- Shock Wave Lithotripsy Task Force (2009). (PDF). Clinical Guidelines. Linthicum, Maryland: . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 18 กรกฎาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 13 ตุลาคม 2015.
- Lingeman JE, Matlaga BR, Evan AP (2007). "Surgical Management of Urinary Lithiasis". ใน Wein AJ, Kavoussi LR, Novick AC, Partin AW, Peters CA (บ.ก.). Campbell-Walsh Urology. Philadelphia: W. B. Saunders. pp. 1431–1507.
- Preminger GM, Tiselius HG, Assimos DG, Alken P, Buck C, Gallucci M, Knoll T, Lingeman JE, Nakada SY, Pearle MS, Sarica K, Türk C, Wolf JS (December 2007). "2007 guideline for the management of ureteral calculi". The Journal of Urology. 178 (6): 2418–34. doi:10.1016/j.juro.2007.09.107. PMID 17993340.
- Evan AP, McAteer JA (1996). "Ch. 28: Q-effects of Shock Wave Lithotripsy". ใน Coe FL, Favus MJ, Pak CY, Parks JH, Preminger GM (บ.ก.). Kidney Stones: Medical and Surgical Management. Philadelphia: Lippincott-Raven. pp. 549–60. ISBN .
- Evan AP, Willis LR (2007). "Ch. 41: Extracorporeal Shock Wave Lithotripsy: Complications". ใน Smith AD, Badlani GH, Bagley DH, Clayman RV, Docimo SG (บ.ก.). Smith's Textbook on Endourology. Hamilton, Ontario, Canada: B C Decker, Inc. pp. 353–65.
- Young JG, Keeley FX, Ch. 38: "Indications for Surgical Removal, Including Asymptomatic Stones" in Rao, Preminger & Kavanagh 2011, pp. 441–454.
- Wynberg, JB; Borin, JF; Vicena, JZ; Hannosh, V; Salmon, SA (October 2012). "Flexible ureteroscopy-directed retrograde nephrostomy for percutaneous nephrolithotomy: description of a technique". J Endourol. 26 (10): 1268–74. doi:10.1089/end.2012.0160. PMID 22563900.
- Lam JS, Gupta M, Ch. 25: "Ureteral Stents". In Stoller & Meng 2007, pp. 465–83.
- Marks AJ, Qiu J, Milner TE, Chan KF, Teichman JM (6 January 2011), Ch. 26: "Laser Lithotripsy Physics", Springer, ISBN , จากแหล่งเดิมเมื่อ 20 February 2021, สืบค้นเมื่อ 6 November 2020 in Rao, Preminger & Kavanagh 2011, pp. 301–310.
- Romero V, Akpinar H, Assimos DG (2010). "Kidney stones: a global picture of prevalence, incidence, and associated risk factors". Reviews in Urology. 12 (2–3): e86-96. PMC 2931286. PMID 20811557.
- Lieske JC, Segura JW (2004). "Ch. 7: Evaluation and Medical Management of Kidney Stones". ใน Potts JM (บ.ก.). Essential Urology: A Guide to Clinical Practice (1st ed.). Totowa, New Jersey: Humana Press. pp. 117–52. ISBN .
- Lozano, R; Naghavi, Mohsen; Foreman, Kyle; Lim, Stephen; และคณะ (15 December 2012). "Global and regional mortality from 235 causes of death for 20 age groups in 1990 and 2010: a systematic analysis for the Global Burden of Disease Study 2010". Lancet. 380 (9859): 2095–128. doi:10.1016/S0140-6736(12)61728-0. :10536/DRO/DU:30050819. PMID 23245604.
- Windus D (2008). The Washington manual nephrology subspecialty consult (2nd ed.). Philadelphia: Wolters Kluwer Health/Lippincott Williams & Wilkins Health. p. 235. ISBN . จากแหล่งเดิมเมื่อ 9 กันยายน 2016.
- Lewis SM (2017). Medical-surgical nursing : assessment and management of clinical problems. Elsevier. ISBN . OCLC 944472408.
- (1831). "Book VII, Chapter XXVI: Of the operation necessary in a suppression of urine, and lithotomy". ใน Collier GF (บ.ก.). A translation of the eight books of Aul. Corn. Celsus on medicine (2nd ed.). London: Simpkin and Marshall. pp. 306–14. จากแหล่งเดิมเมื่อ 8 กรกฎาคม 2014.
- Shah J, Whitfield HN (May 2002). "Urolithiasis through the ages". BJU International. 89 (8): 801–10. doi:10.1046/j.1464-410X.2002.02769.x. PMID 11972501. S2CID 44311421.
- Ellis H (1969). A History of Bladder Stone. Oxford, England: Blackwell Scientific Publications. ISBN .
- (1878). Litholapaxy or rapid lithotrity with evacuation. Boston: A. Williams and Company. p. 29. จากแหล่งเดิมเมื่อ 14 April 2021. สืบค้นเมื่อ 25 August 2020.
- "nephrolithiasis", ศัพท์บัญญัติอังกฤษ-ไทย, ไทย-อังกฤษ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (คอมพิวเตอร์) รุ่น ๑.๑ ฉบับ ๒๕๔๕,
(แพทยศาสตร์) โรคนิ่วไต
- Dwyer, Moira E.; Krambeck, Amy E.; Bergstralh, Eric J.; Milliner, Dawn S.; Lieske, John C.; Rule, Andrew D. (July 2012). "Temporal Trends in Incidence of Kidney Stones Among Children: A 25-Year Population Based Study". Pediatric Urology. 188 (1): 247–252. doi:10.1016/j.juro.2012.03.021. PMC 3482509. PMID 22595060.
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 November 2007. สืบค้นเมื่อ 11 October 2013.
- Kirejczyk, JK.; Porowski, T.; Filonowicz, R.; Kazberuk, A.; Stefanowicz, M.; Wasilewska, A.; Debek, W. (August 2013). "An association between kidney stone composition and urinary metabolic disturbances in children". J Pediatr Urol. 10 (1): 130–5. doi:10.1016/j.jpurol.2013.07.010. PMID 23953243.
- Pugh, D. G. (2002). Sheep and goat medicine. Philadelphia: Saunders. p. 468.
- Bushman, D. H.; Emerick, R. J.; Embry, L. B. (1965). "Urolithiasis: relationships involving dietary calcium, phosphorus and magnesium". J. Nutr. 87: 499–504. doi:10.1093/jn/87.4.499.
- Stewart, S. R.; Emerick, R. J.; Pritchard, R. H. (1991). "Effects of dietary ammonium chloride and variations in calcium to phosphorus ratio on silica urolithiasis in sheep". J. Anim. Sci. 69: 2225–2229. doi:10.2527/1991.6952225x.
- Forman, S. A.; Whiting, F.; Connell, R. (1959). "Silica urolithiasis in beef cattle. 3. Chemical and physical composition of the uroliths". Can. J. Compar. Med. 23 (4): 157–162.
- Scott, D.; Buchan, W. (1988). "The effects of feeding pelleted diets made from either coarsely or finely ground hay on phosphorus balance and on the partition of phosphorus excretion between urine and faeces in the sheep". Q. J. Exp. Physiol. 73: 315–322. doi:10.1113/expphysiol.1988.sp003148.
- Bravo, D.; Sauvant, D.; Bogaert, C.; Meschy, F. (2003). "III. Quantitative aspects of phosphorus excretion in ruminants". Reprod. Nutr. Dev. 43: 285–300. doi:10.1051/rnd:2003021.
- Waltner-Toews, D; Meadows, DH (1980). "Case report: Urolithiasis in a herd of beef cattle associated with oxalate ingestion". Can. Vet. J. 21: 61–62.
- James, L. F.; Butcher, J. E. (1972). "Halogeton poisoning of sheep: effect of high level oxalate intake. J. Anim". Sci. 35: 1233–1238. doi:10.2527/jas1972.3561233x.
- Kahn, C. M., บ.ก. (2005). Merck veterinary manual (9th ed.). Whitehouse Station: Merck & Co.
แหล่งอ้างอิงอื่น ๆ
- Committee to Review Dietary Reference Intakes for Vitamin D and Calcium, Institute of Medicine of the National Academies (2011). Ross AC, Taylor CL, Yaktine AL, Del HB (บ.ก.). Dietary Reference Intakes for Calcium and Vitamin D. Washington, DC: The National Academies Press. doi:10.17226/13050. ISBN . PMID 21796828. S2CID 58721779. จากแหล่งเดิมเมื่อ 9 September 2014. สืบค้นเมื่อ 21 June 2011.
- Rao PN, Preminger GM, Kavanagh JP, บ.ก. (2011). Urinary Tract Stone Disease (1st ed.). London: Springer-Verlag. doi:10.1007/978-1-84800-362-0_26. ISBN .
- Reilly RF, Perazella MA, บ.ก. (2005). Nephrology in 30 Days (1st ed.). New York: The McGraw-Hill Companies, Inc. ISBN . จากแหล่งเดิมเมื่อ 14 April 2021. สืบค้นเมื่อ 25 August 2020.
- Stoller ML, Meng MV, บ.ก. (2007). Urinary stone disease: the practical guide to medical and surgical management (1st ed.). Totowa, New Jersey: Humana Press. ISBN .
แหล่งข้อมูลอื่น
การจำแนกโรค | D |
---|---|
ทรัพยากรภายนอก |
|
- โรคนิ่วไต ที่เว็บไซต์ Curlie
- Information from the European Urological Association 22 กันยายน 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
orkhniwit xngkvs kidney stone disease urolithiasis epnkxnwsduaekhngthiekidinthangedinpssawa niwitpkticaekidinitaelwxxkcakrangkayphanpssawa odykxnelk xaccaphanxxkodyimmipyhaxair aetthaihyekinkwa 5 milliemtr kxackhwangthxitmiphlihecbxyangrunaerngthihlnghruxthxngswnlang niwyngxacthaiheluxdxxkinpssawa thaihxaeciyn hruxthaihecbemuxthaypssawa dysuria khnikhpramankhrunghnungcaekidniwxikphayin 10 piorkhniwit Kidney stone disease chuxxunUrolithiasis kidney stone renal calculus nephrolith kidney stone diseaseniwitkhnad 8 milliemtrsakhawichawithyathangedinpssawa wkkwithyaxakarpwdhlnghruxpwdthxngswnlangxyangrunaerng eluxdxxkinpssawa xaeciynsaehtupccythangphnthukrrmaelasingaewdlxmwithiwinicchyxasyxakar kartrwcpssawa aelaphaphchayrngsiorkhxunthikhlayknhlxdeluxdaednginchxngthxngopngphxng Abdominal aortic aneurysm thungyuninlaisihyxkesb diverticulitis istingxkesb krwyitxkesbkarpxngknthankhxngehlwihthaypssawamakkwa 2 litrthuk wnkarrksayaaekpwd karichkhlunesiyngnxkkayslayniw extracorporeal shock wave lithotripsy karsxngklxngthxit ureteroscopy karphatdniwphanphiwhnng percutaneous nephrolithotomy khwamchuk22 1 lan ph s 2558 karesiychiwit16 100 ph s 2558 niwodymakmiehtucakphnthukrrmaelasingaewdlxm pccyesiyngrwmthngradbaekhlesiymsunginpssawa hypercalciuria orkhxwn xaharbangchnid yabangchnid karthanaekhlesiymepnxaharesrim radbhxromnpharaithrxydekinineluxd hyperparathyroidism orkhekat aeladumnaimphx niwcaekidinitemuxaerinpssawaekhmkhnmakkarwinicchypkticaxasyxakar kartrwcpssawa aelaphaphchayrngsi odykartrwceluxdxacmipraoychn niwmkcacdklumtamtaaehnngthixyu khux nephrolithiasis init ureterolithiasis inthxit cystolithiasis inkraephaapssawa hruxodyxngkhprakxbkhxngniw echn aekhlesiymxxksaelt calcium oxalate krdyurik struiwth struvite sisthin cystine epntn khnikhthiminiwsamarthpxngknodydumnaihphlitpssawamakkwa 2 litrtxwn thayngimphx xacthanyaithxaisd thiazide isetrt citrate krdistrik hruxxlolphiwrinxl allopurinol khnikhkhwreliyngdumnaxdlm echn okhla thaniwimmixakar kimcaepntxngrksa imechnnnaelw yaaekpwdepnkarrksaebuxngtn odyichyaechn yaaekxkesbchnidimichsetxrxyd NSAID hruxoxpixxyd niwthiihyephimkhunxackhbxxkidodyichya tamsulosin hruxxactxngptibtikarxun echn karichkhlunesiyngnxkkayslayniw extracorporeal shock wave lithotripsy karsxngklxngthxit ureteroscopy hruxkarphatdniwphanphiwhnng percutaneous nephrolithotomy khnthwolkpraman 1 15 caminiwitinchwnghnungkhxngchiwit inpi 2558 mikhnikh 22 1 lanray thaihesiychiwit 16 100 ray epnorkhthisamyyingkhuninolktawntktngaetchwngkhristthswrrs 1970 odythwip chaycaepnmakkwahying niwitepnorkhthiprakttlxdprawtisastrmnusy odymikarklawthungkarphatdephuxexaxxkerimtngaet 600 pikxn kh s xakaraephnphaphaesdngtaaehnngpktikhxngxakarpwdniwit renal colic khuxtakwasiokhrngaetxyuehnuxechingkran lksnaechphaakhxngniwthikhwangthxithruxkrwyitkkhux khwamecbpwdrunaerngaebbepn hay thiaephipcakexwipyngbriewnkhahnibhruxkhaxxndanin xakarpwdniwitbxykhrngklawwa epnkhwamrusukecbpwdthisudxyanghnungkhxngmnusy xakarpwdcakniwitmkcaekidrwmkbkarpwdpssawa khwamkrasbkrasay eluxdinpssawa ehnguxxxk khlunis aelaxaeciyn khwampwdcaekidepnralxk khrngla 20 60 nathi odymiehtucakkarhderngkhxngthxitenuxngkbkarbibrud peristalsis ephuxcakhbniwxxk khwamsmphnthemuxepntwxxnrahwangthangedinpssawa rabbsubphnthu aelathangedinxahar epnmulthankhxngkaraephkhwamecbpwdipyngxwywaephs aelakhxngkhwamkhlunisxaeciynthisamyinorkhniwpssawa xakar postrenal azotemia khux eluxdkhaxxkcakitmiinotrecnmakekin aelaitesuxmaebbbwmna hydronephrosis caekidemuxmikarkhdpssawathiihlxxkcakthxitthxhnunghruxthngsxng khwamecbpwdthiswnlangdansaykhxnghlng thxng bangkhrngcasbsnkbxakarthungyunxkesb diverticulitis ephraalaisihyswnkhd sigmoid casxnthbxyukbthxit aelataaehnngthiecbxackahndihthukthiidyakephraaxwywaehlanixyuiklknpccyesiyngphawakhadnaenuxngcakdumnanxyepnpccyesiyngsakhyinkarekidniworkhxwnkepnpccyesiyngdwy karthanxaharmakthimioprtinstwosediym natalthray frkoths naechuxmkhawophdthimifrkothssungxxksaelt naxngun aelanaaexpepil xacephimkhwamesiyngkarekidniwit niwityngxacepnphlkhxngxakarthangemaethbxlisumxyangidxyanghnung echn phawakrdekinehtuplayhlxditfxy distal renal tubular acidosis Dent s disease phawahxromnpharaithrxydekinineluxd hyperparathyroidism phawaxxksaeltekininpssawahlk primary hyperoxaluria hrux medullary sponge kidney khnikhthiminiwit 3 20 camiorkh medullary sponge kidney aelaniwitksamyinkhnikh Crohn s disease sungepnorkhthismphnthkbthngphawaxxksaeltekininpssawaaelakardudsumaemkniesiymthiphidpkti khnikhthiminiwitxikxackhwrtrwckhdkrxngorkhehlann sungpkticathaphayin 24 chm hlngekbpssawa khuxcatrwcwiekhraahpssawahaehtutang thichwysrangniw niwit siehluxng sungprakxbdwyaekhlesiymxxksaeltaekhlesiymxxksaelt aekhlesiymepnxngkhprakxbxyanghnungkhxngorkhniwitpraephththisamythisudinmnusy khuxaebbaekhlesiymxxksaelt ngansuksabangnganaesdngwa bukhkhlthithanaekhlesiymhruxwitamindiepnxaharesrim caesiyngekidniwitsungkwa inshrthxemrika karekidniwekhyichepntwbngchiwathanaekhlesiymmakekin intnkhristthswrrs 1990 ngansuksainokhrngkarrierimsukhphaphhying Women s Health Initiative inshrthphbwa hyinghlnghmdpracaeduxnthibriophkhxaharesrimkhuxaekhlesiymepncanwn 1 000 millikrm aelawitamindi 400 IU txwnepnewla 7 picaesiyngekidniwit 17 sungkwahyingthithanyahlxk aelaokhrngkarsuksasukhphaphphyabal Nurses Health Study kaesdngkhwamsmphnthrahwangkarbriophkhxaharesrimkhuxaekhlesiymaelakarekidniwit aetimehmuxnkbxaharesrim karbriophkhxaharpktithimiaekhlesiymsungduehmuxncaimepnehtuihekidniwit aelacring xacchwypxngknniw nixacekiywkbbthbathkhxngaekhlesiyminkarekhayudkbxxksaeltthiphanthangedinxahar emuxprimanaekhlesiymldlng primanxxksaeltthisamarthdudsumekhaineluxdkcaephimkhun aelaitkcatxngkhbxxksaeltxxkthangpssawamakkhun inpssawa xxksaeltepntwesrimaekhlesiymxxksaeltihtkphlukodymivththiaerngkwaaekhlesiympraman 15 etha nganpi kh s 2004 phbwa xaharthimiaekhlesiymtasmphnthkbkhwamesiyngthwipinkarekidniwitthisungkwa aetsahrbbukhkhlswnmak pccyesiyngxun txniwit echn karthanxxksaeltinxaharmak dumnanxy casakhykwakarthanaekhlesiym xielkothriltxun aekhlesiymimichxielkothriltchnidediywthimixiththiphltxkarekidniwit yktwxyangechn ephraaephimkarkhbaekhlesiymxxkthangpssawa karthanosediymmakxacephimkhwamesiyngkarekidniw kardumnathietimfluxxirdxacephimkhwamesiyngkarekidniwodyklikkhlay kn aemcaepntxngmingansuksathangwithyakarrabadephimkhunephuxkahndwa fluxxirdinnadumsmphnthkbkhwamchukniwitthiephimkhunhruxim karthanophaethsesiymmakduehmuxncaldkhwamesiyngkarekidniw ephraaophaethsesiymesrimkarkhbisetrtxxkthangpsaswa sungepnsarybyngkartkphlukkhxngaekhlesiym txngkarxangxing niwitmioxkasekidaelaihykhunsung thabukhkhlthanaemkniesiymnxy ephraaaemkniesiymhamkarekidniw oprtinstw xaharaebbkhntawntkpkticamioprtinstwinsdswnsung karbriophkhoprtinstwcasrangphawakrdthiephimkarkhbaekhlesiymaelakrdyurikxxkthangpssawaphrxmthngldisetrt karthayxxkthangpssawasarthiekintang enuxngcakoprtinstw rwmthngkrdxamionaebbmikamathn echn cysteine aela methionine krdyurik aelaemaethbxiltthiepnkrdxun cathaihpssawaepnkrd sungesrimihekidniwit karkhbisetrtxxkthangpssawataksamykwainbukhkhlthithanoprtinstwmak ethiybkbkhnthanecthimkcakhbisetrtxxkthangpssawasungkwa aelakarmiisetrtinpssawata kesrimkarekidniwitdwy witamin hlkthanthismphnthkarthanxaharesrimkhuxwitaminsikbxtrakarminiwitmakkhunyngimsamarthsrupid aemkarthanwitaminsiekinaetlawnxacephimkhwamesiyngkarekidniwaebbaekhlesiymxxksaelt aetcring niphbnxymak khwamsmphnthrahwangkarthanwitamindikbniwitkimsakhydwy karthanwitamindiekinxacephimkhwamesiyngkarekidniwodyephimkardudsumaekhlesiymkhxnglais aetkarthanwitaminaekkarkhadkimephim xun immikhxmulthisrupkhwamsmphnthodyepnehtuphlrahwangkardumaexlkxhxlkbniwit aetkmismmtithanwa phvtikrrmbangxyangthismphnthkbkardumehlabxy hruxmak samarththaihkhadna sungkcanaipsukarekidniwit smakhmwithyathangedinpssawaxemriknphyakrnwa praktkarnolkrxncaephimkhwamchukorkhniwitinshrthxemrikaodykhyayphunthithieriykwa ekhtorkhniw thangitkhxngshrth khnikhorkhthiphlitlimofistmakekin lymphoproliferative disorders hruxthiikhkradukphlitesllmakekin myeloproliferative disorders phurksadwyekhmibabd 1 8 caekidniwitthimixakar phlukelk idekidkhuninit phlukthisamythisudepnaebbaekhlesiymxxksaeltaelaodythwipcamikhnad 4 5 milliemtr aetniwrupekhakwangcaihykwann 1 aekhlesiymaelaxxksaeltrwmekhadwyknepnaeknphluk khwamximtwineluxdcaesrimihsarrwmkn 2 kartkphlukxyangtxenuxngthipumit renal papillae cathaihniwkhyayihykhun 3 niwkhyaytwaelasasmesstang thaniwpidthangekhathnghmdkhxngpumit nicathaihecbmak 4 niwrupekhakwangekidthaihpssawakhnginit esselk thiaetkxxksamarthtidxyutamtxmtang inrabbpssawasungthaihecb 5 niwhludxxkphanthxit sungthaimaetkslayxxkexng slyaephthykcatxnglngmuxexaxxkphyathisrirwithyaphawaisetrtinpssawata Hypocitraturia phawaisetrtinpssawata Hypocitraturia hruxkarkhbisetrtthangpssawata khuxnxykwa 320 millikrmtxwn xacthaihekidniwitinkrnithung 2 3 vththipxngknkhxngisetrtmiklikhlayxyang khux isetrtcaldkhwamximtwekinkhxngekluxaekhlesiym odysrangkhxmephlkskbixxxnaekhlesiymthilalaynaid aelaybyngkarrwmtwaelakaretibotkhxngphluk karrksadwyophaethsesiymisetrt potassium citrate hruxaemkniesiymophaethsesiymisetrt magnesium potassium citrate cungmkichephimisetrtinpssawaaelaldxtrakarekidniw khwamximtwekinkhxngpssawa emuxpssawathungkhwamximtwywdying supersaturation khuxemuxpssawamisarlalayekinkwathimncalalayid phrxmkbsarthikxphluk twlxphlukkxacekidphankrabwnkar nucleation odykrabwnkaraebb heterogeneous nucleation thimiphiwaekhngihphluketibotid caepnipiderwkwa homogeneous nucleation thiphluktxngotkhuninkhxngehlwthiimmiphiwaekhng ephraaichphlngngannxykwa khuxodyyudkbesllthiphiwkhxngpumit renal papilla twlxphlukcasamarthotaelangxkepnkxnihy odykhunxyukbxngkhprakxbthangekhmikhxngphluk krabwnkarkxphlukxacepniperwkwaemuxkhwamepnkrdkhxngpssawasunghruxtakwapkti khwamximtwekinkhxngpssawarwmkbkarmisarprakxbkxphlukcakhunxyukbkha pH yktwxyangechn thi pH 7 0 khwamlalayidkhxngkrdyurikinpssawaxyuthi 158 millikrm 100 millilitr thaldkhaehlux 5 0 khwamlalayidcaldlngehluxnxykwa 8 mg 100 ml karekidniwkrdyurikcatxngmithngkrdyurikekininpssawa hyperuricosuria aelakha pH khxngpssawathita phawakrdyurikekininpssawaxyangediywimsmphnthkbkarekidniwkrdyurikthakha pH khxngpssawaepndang khwamximtwekinkhxngpssawacungepnpccythicaepnaetimephiyngphxihekidniw khwamximtwekinnacaepnehtumulthankhxngniwaebbkrdyurikaelaniwaebbsisthin aetniwaekhlesiym odyechphaaaebbaekhlesiymxxksaelt xacmiehtuthisbsxnkwa sarybyngkarekidniw pssawapkticamisarkhielchn echn isetrt thiybyngkrabwnkar nucleation ybyngkaretibotaelakarrwmtwkhxngphlukthimiaekhlesiym sarybyngthrrmchatixun rwmthng calgranulin sungepnoprtinklum S 100 thicbaekhlesiym oprtin Tamm Horsfall iklokhsamioniklaekhn uropontin sungepnrupaebbhnungkhxng osteopontin nephrocalcin sungepniklokhoprtinthiepnkrd prothrombin F1 peptide aela bikunin aemklikthangekhmichiwiphaphkhxngsarehlaniyngimchdecn aetemuxmitakwapkti niwsamarthekidcakphlukthirwmtwkn karthanxaharthimiaemkniesiymaelaisetrtephiyngphx cahamkarekidkhxngniwaebbaekhlesiymxxksaeltaelaaekhlesiymfxseft nxkcaknn aemkniesiymaelaisetrtyngthanganrwmknephuxhamniwit prasiththiphlkhxngaemkniesiyminkarybyngkarekidaelakaretibotkhxngniwcakhunxyukbprimanthibriophkhkarwinicchyniwitthngsxngkhangsamarthehninphaphexksery KUB ni aelayngminiwinesneluxddathiechingkran sungsamarthrabuxyangimthuktxngwaepnniwkraephaapssawaphayexkserykhxmphiwetxr axial khxngthxngodyimidichsarepriybtang aesdngniwkhnad 3 mm luksr intnthxit proximal dansayphaphkhlunesiyngkhwamthisungkhxngitaesdngniwsungxyuthicudtxrahwangkrwyit thxit sungmiphrxmkborkhitesuxmaebbbwmna hydronephrosis karwinicchywaminiwitcakhunxyukbprawtikhnikh kartrwcrangkay kartrwcpssawa aelaphaphrngsi swnkarwinicchythangkhlinik thiimidxasykarthdsxbephuxwinicchy cakhunxyukbtaaehnngaelakhwamrunaerngkhxngkhwamecb sungpkticaepn hay epnralxk odyhlngcapwdthaniwxudthxit kartrwcrangkayxacphbikhaelakarecbthiit cudrahwangsiokhrngkbkraduksnhlng inkhangthimipyha phaphrngsi inphuthimiprawtiekiywkbniw phuthimixayunxykwa 50 pi aelamixakarkhxngniwodyimmixakarnaepnhwngxyangxun imcaepntxngexkserykhxmphiwetxr helical CT scan edkkimaenanaihexkserykhxmphiwetxrdwy imechnnnaelw karthayexkserykhxmphiwetxraebb helical CT scan odyimichsarepriybtang aelamiphaphtdkhnad 5 mm epnwithipraeminthangphaphrngsithidisahrbkhnikhthisngsywamiorkhniwit niwthukxyangcasamarthehnidinexkserykhxmphiwetxr ykewnniwnxymakthiprakxbdwyswntkkhangkhxngyabangchnidinpssawa echnthimacakxindinaewiyr niwthimiaekhlesiymkhxnkhangcathubtxrngsi aelasamarthehninphaphexkserythrrdakhxngthxngsungrwmit thxit aelakraephaapssawa KUB niwitpraman 60 cathubrngsi odythwip niwaebbaekhlesiymfxseftcathubthisud tamdwyaebbaekhlesiymxxksaeltaelaaebbaexmomeniymaemkniesiymfxseft niwaebbsisthincamxngehnaekhlang ethiybkbniwkrdyurikthioprngrngsi emuximsamarthichexkserykhxmphiwetxr phaphrngsithangedinpssawa intravenous pyelogram xacichephuxyunynwinicchywamiorkhniwpssawa urolithiasis odychidsarepriybtang radiocontrast aelwcungthayexksery KUB niwpssawa urolith thimiinit thxit hruxkraephaapssawaxacmxngehniddikwaodyichwithini niwyngsamarthehnidody retrograde pyelogram thaodychidsarepriybtangkhlay knekhaodytrngthiruswnplaykhxngthxit cudthithxitmasudthikraephaapssawa phaphkhlunesiyngkhwamthisungkhxngit Renal ultrasonograph bangkhrngmipraoychn ephraaihraylaexiydekiywkborkhitesuxmaebbbwmna hydronephrosis sungaesdngnywa niwkhdkarihlxxkkhxngpssawa niwthioprngrngsi sungimpraktbnfilmexksery KUB xacehnidinphaphkhlunesiyngkhwamthisung praoychnxun khxngwithinirwmthngmikhaichcaytaaelaimtxngchayrngsi phaphechnnisamarthichtrwcniwinsthankarnthiimkhwrichexkserythrrmdahruxexkserykhxmphiwetxr echn inedkhruxhyingtngkhrrph aemcamipraoychneyiyngni aetodypi kh s 2009 phaphkhlunesiyngkhwamthisungkimidphicarnawasamarthaethnexkserykhxmphiwetxrthiimichsarepriybtang noncontrast helical CT scan ephuxwinicchyorkhniwitinebuxngtn ehtuphlhlkkkhux emuxethiybkbexkserykhxmphiwetxr phaphkhlunesiyngkhwamthisungkhxngitmkphladkartrwccbniwelk odyechphaaniwthxit aelakhwamphidpktisakhyxun thixacepnehtukhxngxakar ngansuksapi 2014 yunynwa karbnthukdwykhlunesiyngkhwamthisungemuxethiybkbexkserykhxmphiwetxrephuxwinicchyinebuxngtn chwyihprasbkbrngsinxykwaodyimmiphlesiyindanxun rwmthngsmrrthphaphinkarwinicchykhnikhkhwamesiyngsungphumiphawaaethrksxn phlukstruiwththiphbinpssawadwyklxngculthrrsnkarthdsxbinhxngptibtikar karthdsxbinhxngptibtikarthimktharwmthng kartrwcpssawadwyklxngculthrrsn sungxacehnemdeluxdaedng aebkhthieriy emdeluxdkhaw Urinary cast aelaphlukniw karephaaechuxinpssawaephuxrabuechuxorkhthimiinthangedinpssawa aelatrwcdu echnody Kirby Bauer antibiotic testing waechuxorkhehlanithnyaptichiwnaodyechphaa iddiaekhihn kartrwcnbemdeluxdxyangsmburnephuxduwa aekrnuolistkhux neutrophil ephimkhunhruxim sungepntwbngkartidechux dngthiphbinniwaebbstruiwth kartrwckarthahnathikhxngitephuxhaphawaaekhlesiymsungekinineluxd hypercalcemia karekbpssawatlxd 24 chm ephuxwdprimantxwnkhxngpssawa aemkniesiym osediym krdyurik aekhlesiym isetrt xxksaelt aelafxseft karekbniw dwythwykrxngekbniwhruxekhruxngkrxngthrrmda xacmipraoychn karwiekhraahkxnniwthangekhmisamarthaesdngxngkhprakxb sungchwyaenaaenwthangrksaaelapxngkn xngkhprakxb praephthniw sdswn sthankarn si khwamiwrngsi raylaexiydCalcium oxalate 80 emuxpssawaepnkrd khuxkha pH ta da natalekhm thubrngsi rangkayepnphuphlitxxksaeltinpssawabangswn aemaekhlesiymaelaxxksaeltinxaharcamibthbath aetkimichpccyediywtxkarekidniwaebbaekhlesiymxxksaelt xxksaeltphbinphk phlim aelathwhlaychnid aekhlesiymcakkradukxacmibthbathtxkarekidniwitCalcium phosphate 5 10 emuxpssawaepndang kha pH sung khawhmn thubrngsi mkcaihykhuninpssawathiepndangodyechphaaemuxmiaebkhthieriy Proteuskrdyurik 5 10 emuxpssawaepnkrdxyangkhngyun ehluxng natalaedng oprngrngsi xaharthismburndwyoprtinstwaelaphiwrin sungmixyutamthrrmchatiaetmimakinekhruxngin pla aelahxyStruvite 10 15 ittidechux khawskprk thubrngsi karpxngknniwaebbstruiwthkhunxyukbkarimtidechux xaharimpraktwamiphltxkarekidniwaebbstruiwthCystine 1 2 khwamphidpktithangphnthukrrmthiminxy chmphu ehluxng thubrngsi sisthinsungepnkrdxamion khuxhnwyphunthaninkarprakxboprtin carwphanitekhaipinpssawaaelwkxphlukXanthine nxymak aedngehmuxnxith oprngrngsiphaphklxngculthrrsnaebbsxngkradinxuomngkh SEM khxngphiwniwitaesdngphlukmisimumkhxngaekhlesiymxxksaeltidihedrt Weddellite thiyunxxkcakswnklangsungmiruprangimaennxnkhxngniw dankhwangkhxngruppraman 0 5 milliemtr niwithlaykxnthiodymakepnkrdyurikaelacanwnnxyepnaekhlesiymxxksaeltniwitrupthwthikhbxxkthangpssawaniwaebbaekhlesiym odythingkhad niwitchnidthisamythisudinolkcamiaekhlesiym yktwxyangechn niwmiaekhlesiymcaekidinkrnikhnikhniw 80 thnghmdinshrthxemrika sungpkticamiaekhlesiymxxksaeltimwacaodylaphnghruxodyphsmkbaekhlesiymfxseft aelaxyuinrupaebbkhxngaerxaphaiththrux brushite pccytang thiesrimihxxksaelttkphlukinpssawa echn phawaxxksaeltekininpssawahlk casmphnthkbkarekidniwaebbaekhlesiymxxksaelt karekidniwaebbaekhlesiymfxseftsmphnthkbxakartang echn phawahxromnpharaithrxydekinineluxd aelaphawakrdekinehtuhlxditfxy renal tubular acidosis xxksaeltinpssawacaephimkhuninkhnikhthimiorkhthangedinxaharbangxyangrwmthngorkhlaisxkesb inflammatory bowel disease echn Crohn disease hruxinkhnikhthiidphatdlaiselkxxk hruxphatdeliynglaiselk small bowel bypass aetkcaephimkhundwyinkhnikhthibriophkhxaharsungmixxksaeltephimkhun thimiinphkaelathw phawaxxksaeltekininpssawahlk epnorkhphnthukrrmaebbyindxyinxxotosmthiminxyaelapkticaprakttngaetwyedk phlukaekhlesiymxxksaeltinpssawacapraktepnrup sxngcdhmay inradbculthrrsn sungxaccaepnehmuxndmebl luktumnahnk iddwy niwaebbstruiwth niwpssawapraman 10 15 caprakxbdwystruiwth aexmomeniymaemkniesiymfxseft odymisutr NH4MgPO4 6H2O niwaebbstruiwth infection stone urease stone triple phosphate stone ekidbxythisudemuxtidechuxaebkhthieriythislayyueriyodyichexnismyuris urease epnaexmomeniyaelakharbxnidxxkisd sungsrangkhwamepndangihaekpssawa thaihmisphaphehmaasmephuxekidniwaebbstruiwth singmichiwitsamytamthiskdidmakthisudkkhux Proteus mirabilis Proteus vulgaris aela Morganella morganii aelathisamynxykwarwmthng Ureaplasma urealyticum aelabangspichiskhxngskul Providencia Klebsiella Serratia aela Enterobacter niwaebbtidechuxechnnimkcaphbinbukhkhlthimipccyesiyngihtidechuxinrabbthangedinpssawa echnphubadecbthiikhsnhlng phumikraephaapssawathanganphidpktiehtuprasath neurogenic bladder dysfunction phuphankarphatdepliynthangxxkkhxngpssawaaebb ileal conduit urinary diversion phumipssawaihlyxnekhathxit vesicoureteral reflux aelaphumiorkhthangedinpssawaaebbxudtn obstructive uropathy aelakyngphbxyangsamyinkhnikhthimi echn phawapssawamiaekhlesiymmaksungimthrabsaehtu phawahxromnpharaithrxydekinineluxd aelaorkhekat niwechnnisamarthotkhunxyangrwderw miruprangkhlayekhakwangthicaepntxngphatd echndwykarphaniwitxxkphanphiwhnng percutaneous nephrolithotomy ephuxrksa niwaebbstruiwth triple phosphate magnesium ammonium phosphate camisnthanepn faolngsph hakdudwyklxngculthrrsn niwaebbkrdyurik niwpraman 5 10 thnghmdekidcakkrdyurik khnikhthimiorkhthangemaethbxlisumrwmthngorkhxwn xacminiwaebbkrdyurik aetkxacekidsmphnthkbxakartang thikxihekidphawakrdyurikekininpssawa hyperuricosuria odycamihruximmiphawakrdyurikekinineluxd hyperuricemia kid aelaksamarthekidsmphnthkborkhthangemaethbxlisumthithaihpssawaepnkrdekin sungthaihkrdyuriktkphluk karwinicchyorkhniwpssawa urolithiasis enuxngcakkrdyurikcaxasykarminiwthioprngrngsiemuxpssawaepnkrdxyangkhngyun bwkkbkarphbphlukkrdyurikintwxyangpssawathiyngihmxyu dngthiklawthungmakxn inswnekiywkbniwaebbaekhlesiymxxksaelt khnikhthimiorkhlaisxkesb echn Crohn s disease ulcerative colitis mkcamiphawaxxksaeltekininpssawaaelaekidniwxxksaelt aetkmkcaekidniwaebbkrdyurik yuertdwy niwaebbyuertcasamyepnphiesshlngkarphatdlaisihy niwaebbkrdyurikxacpraktepnphlukhlayrupaebb pktiehmuxnephchr xacepnrupsiehliymhruxepnaethng khnikhphawakrdyurikekininpssawasamarthrksadwyaxlolphiwrinxlsungldkarekidyuert karthapssawaihepndangkxacchwyinkrninidwy aebbxun phuthimikhwamphidphladthangemaethbxlisumsungminxybangxyang mksasmwsduthisrangphlukinpssawa yktwxyangechn khnikhphawapssawamisisthin cystinuria cystinosis aela Fanconi syndrome xacekidniwthiprakxbdwysisthin niwaebbsisthinsamarthrksadwykarthapssawaihepndangaelakarcakdoprtininxahar khnikhphawapssawamiaesnthin bxykhrngcaekidniwthiprakxbdwyaesnthin khnikh adenine phosphoribosyltransferase deficiency xacekidniwaebb 2 8 dihydroxyadenine khnikh alkaptonuria caekidniwaebb homogentisic acid aelakhnikh iminoglycinuria caekidniwaebbiklsin aebb proline aelaaebb hydroxyproline orkhniwpssawayngekidemuxichyarksa odyphlukkhxngyacaekidphayinthangedinrabbitsahrbbangkhnthikalngrksadwyyatang echn xindinaewiyrslfaidxasin aela triamterene taaehnng phaphaesdngniwit orkhniwpssawa urolithiasis hmaythungniwthiekidphayinrabbpssawathnghmd rwmthngitaelakraephaapssawa orkhniwit nephrolithiasis hmaythungkarminiwechnniinit niwhlxdklibekliyng calyceal calculi hmaythungkxnniwthihlxdklibekliyngrxng minor calyx hruxhlxdklibekliynghlk major calyx sungepnswnkhxngitthisngpssawaekhaipinthxit sungechuxmitkbkraephaapssawa orkhcaeriykwa orkhniwthxit ureterolithiasis thaniwekidinthxit niwyngxacekidthikraephaapssawahruxhludekhaipinkraephaapssawa sungeriykwa niwkraephaapssawa bladder stone phaphrngsiaesdngniwrupekhakwangkhnadihythiekiywkbthnghlxdklibekliynghlk major calyx aelakrwyit renal pelvis inbukhkhlthimikraduksnhlngkhd scoliosis xyangrunaerngkhnad niwthimiesnphasunyklangelkkwa 5 mm cahludxxkexnginkhnikh 98 inkhnathiniwsungmiesnphasunyklangrahwang 5 10 mm cahludxxkexnginkrninxykwa 53 niwthiihyetmhlxdklibekliyngcaeriykwa niwrupekhakwang staghorn stone sungprakxbdwystruiwthinkrniodymak sungcaekidktxemuxmiaebkhthieriythiichexnismyuris niwrupaebbxun thixacotcnepnniwrupekhakwangrwmthngniwthiprakxbdwysisthin aekhlesiymxxksaeltomonihedrt calcium oxalate monohydrate aelakrdyurikkarpxngknkarpxngkncakhunxyukbpraephthkhxngniw sahrbphuminiwaebbaekhlesiym kardumnamak aelakarichyakhbpssawaklumithxaisdkbyaisetrtcamiprasiththiphl ehmuxnkbthixlolphiwrinxlcamiphltxphuthimiradbkrdyuriksungineluxdhruxpssawa xahar karrksakhwrthaodyechphaakbpraephthkhxngniw xaharxacmiphlmaktxkarekidniwit klyuththkarpxngknrwmthngkarepliynxahar aelakarichyathimiphlldkarthangankhxngitinkarkhbsarprakxbthikxniwxxkthangpssawa khaaenanaekiywkbxaharodypi kh s 2010 ephuxldkarkxniwitihnxythisudrwmthng dumnaephimephuxihpssawamakkwa 2 litrtxwn ephimxaharthimikrdsitrik odynaelmxnhruxmanawcaepnaehlngthismburnthisud thanxaharthimiaekhlesiymphxpraman cakdxaharthimiosediym hlikeliyngkarthanwitaminsiepnxaharesrimepnprimanmak cakdthanxaharoprtinstwimihekin 2 muxinaetlawn ephraakarbriophkhoprtinstwsmphnthkbkarekidniwitxikinchay cakdkardumnaxdlmokhla sungmikrdfxsfxrik ihnxykwahnunglitrtxxathity kardumnaihpssawaecuxcang epnwithithimipraoychntxniwitthukpraephth dngnn karephimprimanpssawacungepnhlksakhyinkarpxngknniwit kardumnakhwrephiyngphxihpssawaxyangnxy 2 litrtxwn kardumnaihmaksmphnthkbkarldkhwamesiyngkarekidniwxikthung 40 aetkhunphaphhlkthannikimkhxydi aekhlesiymcayudkbxxksaeltthimiinthangedinxahar aeladngnn capxngknimihmndudsumekhaipinkraaeseluxd aelakarldkardudsumxxksaeltkcaldkhwamesiyngkarekidniwsahrbphuthimioxkasepnidngay ephraaehtuni aephthyitaelaaephthythangedinpssawacungaenanaihekhiywaekhlesiymemuxthanxaharthimixxksaelt xaharesrimkhuxaekhlesiymisetrtsamarththanphrxmkbxaharthaimsamarthephimthanaekhlesiymidodywithixun aelaaekhlesiymthidisudsahrbphuesiyngekidniwkkhuxaekhlesiymisitrt ephraamnephimisetrtinpssawadwy nxkcakcaephimkardumnaaelakarthanaekhlesiymephim klyuththpxngknxun rwmthngkarhlikeliyngkarthanwitaminsiepncanwnmak aelakarcakdxaharthismburndwyxxksaeltrwmthngphkib phuchskulokthnaeta phlitphnththwehluxng aelachxkokaelt aetkyngimminganthdlxngaebbsumaelamiklumkhwbkhumephuxtrwcsxbsmmtithanwa karcakdxxksaeltmiphlldkhwamchukkarekidniw mihlkthanbangwa karthanaemkniesiymldkhwamesiyngtxniwit nephrolithiasis thimixakar karephimkhwamdangkhxngpssawa aenwthangkarrksaniwaebbkrdyurikhlkxyanghnungkkhux karephimkhwamdangkhxngpssawa niwaebbkrdyurikepnaebbhnunginbrrdanxyxyangthisamarthrksadwykarslay sungeriykwa chemolysis aelapktithaodykarichyathan aetinbangkrni yathiihthanghlxdeluxddahruxaemaetkarhyxdyathimivththichalangekhaodytrngthiniwxacthaidphankarecaait antegrade nephrostomy hruxhlxdswnthxityxnthang retrograde ureteral catheter ya acetazolamide Diamox samarthichthapssawaihepndang xnung odysamarthichephimetimtxya hruxepnthangeluxk xaharesrimbangxyangksamarthsrangkhwamepndanginpssawaiddwy rwmthngosediymibkharbxent sodium bicarbonate ophaethsesiyminetrt potassium citrate aemkniesiymisetrt magnesium citrate aela Bicitra sungepnkarphsm citric acid monohydrate aela sodium citrate dihydrate nxkcakcathapssawaihepndang xaharesrimehlaniyngephimradbisetrtinpssawa sungchwyldkarrwmtwkhxngniwaebbaekhlesiymxxksaelt karephimkha pH khxngpssawaipthiraw 6 5 casrangphawadisudephuxslayniwkrdyurik aetkarephimipcnekin 7 0 caephimkhwamesiyngkarekidniwaebbaekhlesiymfxseft karthdsxbpssawaepnraya dwykradaschub nitrazine cachwyihaenicidwa kha pH darnginphisydisud odywithini xtrakarslayniwsamarthhwngidthipraman 10 mm odyrsmi txeduxn yakhbpssawa karpxngknniwthiyxmrbxyanghnungkkhuxkarichyakhbpssawaklumithxaisdaelayaklumslofnaimd sulfonamide echn chlorthalidone aela indapamide yaehlanihamkarekidniwaebbaekhlesiymodyldkarkhbaekhlesiymxxkthangpssawa karcakdkarbriophkhosediymcaepnephuxihithxaisdidphl ephraaosediymthiekincaesrimkarkhbaekhlesiymxxk ithxaisdcaidphldisudinkrnithiaekhlesiymekininpssawaephraaitrwkhuxepnkhwamphidpktihlkkhxngit ithxaisdmipraoychninkarrksaphawaaekhlesiymekininpssawaenuxngcakkardudsum absorptive hypercalciuria khuxdudsumaekhlesiymmakekininthangedinxahar xlolphiwrinxl allopurinol sahrbkhnikhphawakrdyurikekininpssawaaelaorkhniw xlolphiwrinxlepnyahnunginbrrdanxyxyangthimihlkthanwaldkarekidkhunxikkhxngniwit ephraakhdkhwangkarphlitkrdyurikintb yayngichinkhnikhorkhekathruxphawakrdyurikekinineluxdxikdwy aephthycaprbkhnadyaephuxdarngkarldkhbkrdyurikxxkthangpssawa radbkrdyurikineluxdthihruxtakwa 6 mg 100 ml bxykhrngepnepahmaykarrksa aetphawakrdyurikekinineluxdimcaepntxngthaihekidniwkrdyurik ephraakrdyurikinpssawaxacekinaememuxradbkrdyurikineluxdpktihruxtakwapkti aephthybangthansnbsnunihephimxlolphiwrinxlaekkhnikhodyechphaa ethann khuxthimikrdyurikekininpssawaaelamikrdyurikekinineluxdaebbimhay aemcaidichsarthapssawaihepndang echn osediymibkharbxenthruxophaethsesiyminetrtaelwkarrksakhnadkhxngniwcamixiththiphltxxtrakarhludxxkexng yktwxyangechn sahrbniwkhnadelkkhuxmiesnphasunyklangelkkwa 5 mm 98 xachludxxkexnginpssawaphayin 4 xathityhlngcakerimxakar aetsahrbniwthiihykwakhuxmiesnphasunyklangrahwang 5 10 mm xtrakarhludxxkexngcaldlngehluxnxykwa 53 taaehnngerimtnkhxngniwyngmixiththiphltxoxkashludxxkexngdwy xtracaephimcak 48 sahrbniwthixyuinthxitswntnipepn 79 sahrbniwsungxyuthicudechuxmthxit kraephaapssawa vesicoureteric junction imwacamikhnadethair thaimkhdmakhruxtidechuxinthangedinpssawa aelaxakarkhxnkhangnxy ptibtikarthiimichkarphatdsamarthichchwihniwhlud khnthiminiwekidkhunxikcaidpraoychncakkarrksathiekhmkhun echn kardumnaihehmaasmaelakarichyabangchnid nxkcaknn karsxdsxngduaelxyangramdrawngkcaepnephuxihidphlkarrksadithisud karbrrethakhwamecbpwd khwamecbpwdbxykhrngcarksadwyyaaekxkesbchnidimichsetxrxyd NSAID hruxoxpixxydodyihthangesneluxdda NSAID duehmuxncadikwaoxpixxydhruxpharaestamxlsahrbkhnikhthiitthanganidpktiyathanbxykhrngmiprasiththiphlsahrbxakarthiecbnxy aetkarihyaaekekrngimidihphldiephimkhun karrksadwykarkhbxxk expulsive therapy karichyathaihniwinthxithludexngerwkhunepnkarrksadwkarkhbxxk expulsive therapy yahlayxyangrwmthngyaklum alpha adrenergic blocker echn tamsulosin aelaaekhlesiymaechnaenlblxkekxr echn nifedipine idphbwamiprasiththiphl khuxyaklum alpha blocker duehmuxncaephimxtrakarhludxxkthngerwkhunaelamakkhun aetkduehmuxncamiprasiththiphlinaekhniwthimikhnadrahwang 4 10 mm swn tamsulosin xacmiphldikwathaichrwmkb corticosteroid karrksaechnnikdumipraoychnthaichephimemuxkalngrksadwykarslayniw lithotripsy karslayniw ekhruxngslayniw dngthiehninhxngphatd miekhruxngmuxxun thiehninphunhlng rwmthngekhruxngihyaslb aelaekhruxngkaenidphaphrngsiaebbekhluxnthiid mobile fluoroscopic system chinswnkhxngniwaekhlesiymxxksaeltthithaihaetkdwyekhruxngslayniw karichkhlunesiyngnxkkayslayniw extracorporeal shock wave lithotripsy ESWL epnethkhnikhkarkacdniwitodyimtxngphatxngecaa sungodymakcaichemuxniwxyuikl krwyit renal pelvis ESWL ichekhruxngslayniwthisngximphlskhlunesiyngkhwamthisungxyangmikalngaelarwmcud odyaetathirangkayphaynxk ephuxthaihniwaetkinchwrayaewlapraman 30 60 nathi hlngcakthiidwangtladinshrthpi 1984 ESWL kklayepnwithikarrksathangeluxkthiyxmrbsahrbniwitaelaniwthxit pccubnmkichsahrbrksaniwkrnithiimyungyak sungxyuthiitaelathxitswnbn ody aggregate stone burden khxngniw khuxkhnadaelahmayelkh caimekin 20 mm aelaswnitthiekiywkhxngkmilksnathangkaywiphakhepnpkti aetsahrbniwthiihykwa 10 mm xacimsamarthslayniwdwykarrksarxbediyw dngnn xactxngtha 2 3 rxb niwitthrrmda 80 85 samarthrksaiddwy ESWL xyangmiprasiththiphl mipccyhlayxyangthimixiththiphltxprasiththiphlkhxngkarrksa rwmthngxngkhprakxbthangekhmikhxngniw khwamphidpktithangkaywiphakhkhxngit taaehnngodyechphaakhxngniwphayinit karmiphawaitesuxmaebbbwmna hydronephrosis dchnimwlkay aelakhwamluktunkhxngniwcakphiwhnng phlimphungprasngkhkhxng ESWL rwmthngkarbadecbchbphln echn rxyfkchatrngbriewnthirksa aelakhwamesiyhaytxesneluxdit cring aelw khnodymakthirksadwykhlunkraaethkinradbthiyxmrbephuxrksa mioxkasekiditesiyhayechiybphlninbangradb khwambadecbchbphlnthiitsungmiehtucak ESWL cakhunxyukbkhnadthiich khuxcaephimtamcanwnkhlunkraaethkthiichrksaaelatamkalngkhxngkhlun odyxacepnthungrunaerngid sungrwmthngeluxdxxkphayin aelakarkhngeluxditthunghum subcapsular hematoma inkrnithiminxy xaccatxngthayeluxdaelaaemaetthaihitway xtrakarkhngeluxdxacsmphnthkbpraephthekhruxngslaythiich odymirayngannxykwa 1 sahrbbangpraephth aelamakthung 13 sahrbbangpraephth ngansuksaemuximnanaesdngkarbadecbchbphlnthildlng emuxeknthwithirksarwmkarhyudphkchwngsn hlngerimrksa aelaxtrakhlunkraaethkthichakwa cathngephimkarslayniwaelaldkarbadecb nxkcakoxkasthiitcabadecbxyangchbphln ngansuksainstwaesdngnywa xacekidaephlepnaelathaihitthanganidldlngngansuksatamruntamaephnerw niyngbngdwywa khnchramioxkasesiyngekidkhwamdnolhitsungkrniihmhlngcakrksadwy ESWL nxkcaknn ngansuksatamrunyxnhlngpi 2006 yngphbkhwamesiyngkarekidorkhebahwanaelakhwamdnolhitsungthiephimkhun inbukhkhlthirksaaebb ESWL ethiybkbklumkhwbkhumxayuaelaephsediywknphuidrksaaebbimichkarphatd karluklamepnphlrayayaw nacakhunxyukbpccyhlayxyangrwmthngradbkhlunkraaethkthiich khux canwnkhlunthiich xtrakarsngkhlun kalngkhlun lksnathangesiyngkhxngekhruxngslayniwnn aelakhwamthiinkarrksaxik aelapccyesiyngthangphyathisrirwithyaxun thisrangpyha ephuxcdkarpyhaehlani smakhmwithyathangedinpssawaxemriknidtngkhnathanganechphaakickarslayniwdwykhlunkraaethk ephuxihkhwamehnkhxngphuechiywchayineruxngkhwamplxdphyaelaxtrakhwamesiyngodyethiybkbpraoychnkhxng ESWL khnathanganidphimphraynganthisrupkhwamehnwa xtrakhwamesiyng phlpraoychnyngdisahrbkhnhlaykhn praoychnkhxng ESWL rwmthngimcaepntxngphatxngtd rksaniwthangedinpssawaswnbnodymakidngay aelaxyangnxy kodyrayasn mnepnkarrksathixdthniddi aelasrangphyathisphawanxy sahrbkhnodymak aetkaenanaihldxtrakaryingkhlunkraaethklngcak 120 phlstxnathi ihehlux 60 phlstxnathi ephuxldkhwamesiyngkhwambadecbtxit aelaephimkarslaytwkhxngniw karphatd niwkhnadnxykwa 5 mm odymakcahludxxkipexng aetkarphatdxyangthwngthikyngxaccaepnsahrbkhnikhthimiitthanganidephiyngaekhkhangediyw hruxminiwxuditthngsxngkhang hruxtidechuxthangedinpssawaaelaodyxnumantidechuxthiitdwy hruxecbimhay erimtngaetklangkhristthswrrs 1980 karrksathitxngphatxngtdnxykwaechn karichkhlunesiyngnxkkayslayniw karsxngklxngthxit ureteroscopy aelakarphatdniwitthangphiwhnng percutaneous nephrolithotomy kerimeluxkichrksaaethnthikarphatdthwipemuxtxngphatdniw nganwicypi 2012 ichklxngthxitsayxxn flexible ureteroscopy prbephuxsrangthangaebbswnthang retrograde nephrostomy ephuxkarphatdniwphanphiwhnng percutaneous nephrolithotomy aemcayngepnethkhnikhthiyngtrwcsxbxyu aetphlebuxngtnkdudi karphatdniwitthangphiwhnng hruxnxykhrngmakkarphaniwxxkthwip lithotomy epnkarrksadisudsahrbniwthiihyhruxyungyak echn niwrupekhakwang hruxniwthiimsamarthexaxxkidodywithixun phaphexkserykhxmphiwetxrthaihmkhxng ureteral stent thxepidthxit initkhangsay luksrsiehluxng odyminiwitthikrwyitdanlang inferior renal pelvis thiluksrsiaedngbnsud aelathithxitkhang chinepidthx luksrsiaednglang niwitthiplayxupkrnslayniwdwykhlunesiyngkhwamthisung karphatdodyklxngthxit karsxngklxngthxit ureteroscopy idklayepnthiniymmakkhunemuxklxngiyaekwnaaesngthngaebbaekhngaebbxxnidelklng withikarrksahnungepnkaristhxepidthxit ureteral stent sungepnthxelk thiyuncakkraephaapssawaipthungthxitaelaekhaipinit ephuxbrrethaxakaritthixudtnaebbchbphln karisthxepidthxitxacmipraoychnephuxrksaitthiesiyngtxkarwaychbphlnephraaehtuthiekidtxcakit postrenal acute renal failure enuxngcakkhwamdnnathisungkhun xakarbwmaelakartidechux itaelakrwyitxkesb pyelonephritis aelaitepnhnxng pyonephrosis enuxngcakniwthixudtnit thxepidthxitcayawtang kntngaet 24 30 sm aelamiruprangthieriykthw ipwa double J hrux hanghmukhu ephraamnmwnngxthiplaythngsxngkhang epnxupkrnthixxkaebbihpssawaihlphansingxudtninthxitid sungxaccathingiwepnwn hruxxathity cnkwacahaytidechux aelacnkwaniwcaslayhruxxaetkody ESWL hruxkarrksaxun thxcakhyayepidthxit sungchwyxanwyekhruxngmux aelaepnekhruxnghmaysngektaesdngthxitaelaniwinthxphayinphaphrngsi karmithxepidthxitxacthaihecbephiyngelknxycnthungpanklang klnpssawaimid aelatidechux sungodythwipcahayexngemuxexaxxk thxepidthxitodymaksamarthexaxxkodyichklxngsxngtrwckraephaapssawa cystoscope inaephnkphupwynxkodyichyachaechphaathihlngcakthiniwhayaelw ethkhnikhkarexaniwxxkphanklxngsxngthxittang thiimichaekheliyngsingxudtn rwmthngkarexaxxkodytakra basket extraction aelakarslayniwinthxitodykhlunesiyngkhwamthisung ultrasound ureterolithotripsy karslayniwdwyelesxr laser lithotripsy epnxikwithihnung odyichelesxraebb ohlemiym yttrium aluminium garnet Ho YAG ephuxthaniwihaetkinkraephaapssawa thxit hruxit ethkhnikhthiichklxngsxngthxitodythwipcamiprasiththiphldikwa ESWL inkarrksaniwthixyuinthxitswnlang odymixtrasaerc 93 100 thaslayniwdwyelesxr Ho YAG aemaephthycachxbich ESWL ephuxrksaniwthixyuthithxitdanbn aetprasbkarnerw niaesdngnywa karsxngklxngthxitkmikhxidepriybinkarrksaniwinthxitdanbndwy odyechphaakkhux xtrasaercthwipcasungkwa caepntxngrksaxikaelamahaaephthyhlngphatdnxykwa aelamikhaichcaynxykwa khxidepriybehlanicachdyingkhunsahrbniwthimiesnphansunyklangihykwa 10 mm xyangirkdi ephraakarsxngklxngthxitdanbnyngyakkwa ESWL mak aephthythangedinpssawahlaythankyngchxbich ESWL ephuxrksainkhnaerksahrbniwthielkkwa 10 mm aelaichklxngsxngthxitsahrbniwthimiesnphansunyklangekin 10 mm karsxngklxngthxitepnwithikarksathidisahrbphutngkhrrph phumiorkhxwnkhnrunaerng aelaphumieluxdxxkphidpkti bleeding disorder withyakarrabadpraeths khwamchukemuxkxn pi khwamchukphayhlng pi shrthxemrika 2 6 1964 1972 5 2 1988 1994 xitali 1 2 1983 1 7 1993 1994 skxtaelnd 3 8 1977 3 5 1987 sepn 0 1 1977 10 0 1991 turki 14 8 1989 praeths khnikhihmtxaesnkhn pi thisthangshrthxemrika 116 2000 ldeyxrmni 720 2000 ephimyipun 114 3 2005 ephimsepn 270 1984 ldswiedn 200 1969 ephimphuesiychiwitephraaniwittxlankhninpi 2012 0 0 1 1 2 2 3 3 4 20 orkhniwitmiphltxprachakrthukphumiphakh thukwthnthrrm aelathukechuxchati xtraesiyngtlxdchiwitxyuthipraman 10 15 inpraethsphthnaaelw aetxacsungthung 20 25 intawnxxkklang karephimkhwamesiyngphawakhadnainphumixakasrxn bwkkbxaharthimiaekhlesiym 50 takwa aelamixxksaelt 250 sungkwa ethiybkbxaharchawtawntk epnkhaxthibaykhwamesiyngsuththithisungkwaintawnxxkklang intawnxxkklang niwaebbkrdyurikyngsamykwaniwthimiaekhlesiymxikdwy phuesiychiwitthwolkenuxngkbniwitpraeminthi 19 000 txpi sungkhxnkhangsmaesmxrahwangpi 1990 2010 inxemrikaehnuxaelayuorp canwnkhnikhihmtxpikhxngniwitxyuthipraman 0 5 inshrthxemrika xtrakhwamthiorkhniwitidephimcak 3 2 epn 5 2 rahwangklangkhristthswrrs 1970 aelaklangkhristthswrrs 1990 inshrth prachakrthnghmdpraman 9 mihruxekhyminiwitmakxn kharksaorkhniwitxyuthi 2 000 lanehriyyshrthinpi 2003 praman 65 80 epnkhnikhchay niwodymakinhyingmiehtucakkhwamphidpktithangemaethbxlisum echn phawasisthinekininpssawa hruxcakkartidechux chayswnmakprasbkbniwxnaerkrahwangxayu 30 40 pi ethiybkbhyingthicamitxnxayumakkwa xayuthiekidniwkhxnghyingaebngepnsxngphakh khux thixayu 35 pi aela 55 pi xtrakarekidxikpraeminthi 50 inchwng 10 pi hrux 75 inchwng 20 pi odymibangkhnthiminiwkwa 10 rxbinchwchiwit nganthbthwnpi 2010 srupwa xtrakarekidorkhkalngldlngprawtimikarbnthukthungniwitepnkhrngaerkemuxhlayphnpikxn aelakarphaniwxxkepnethkhnikhthangslykrrmsungekaaekthisudxyanghnung inpi 1901 mikarkhnphbniwinechingkrankhxngmmmixiyiptobran odyhaxayuidepn 4 800 pikxn kh s wrrnkrrmkaraephthyobrancakemosopetemiy xinediy cin epxresiy kris aelaorm lwnklawthungniw swnhnungkhxngkhastyptiyanhipphxkhrathisaesdngnywa mislyaephthyinkrisobranthiaephthysamarthsngtxkhnikhephuxphatdniw niphnthkaraephthyormn khux De Medicina khxng Aulus Cornelius Celsus idxthibaywithikarphaniwxxk sungepnmulthankhxngptibtikareyiyngnicnthungkhriststwrrsthi 18 inpraethstawntkchawtawntkthimichuxesiyngaelaminiwrwmthngckrphrrdinopeliynthi 1 ckrphrrdinopeliynthi 3 ckrphrrdipietxrthi 1 aehngrsesiy phraecahluysthi 14 aehngfrngess phraecacxrcthi 4 aehngshrachxanackr oxliewxr khrxmewll lindxn bi cxhnsn ebncamin aefrngkhlin fransis ebkhxn ixaesk niwtn samuexl phiphs aelawileliym harwiy miethkhnikhphatdniwihm thiekiderimtngaetpi 1520 aetkyngepnptibtikarthiesiyngxyu hlngcakaephthychawxemrikn nph Henry Jacob Bigelow srangkhwamniymtxethkhnikhkhblangniw litholapaxy inpi 1878 xtrakartaykldlngcak 24 ehlux 2 4 aetwithikarrksaxun kyngmixtrakartaysung odyechphaathithaodyaephthywithyathangedinpssawaphuimchanay inpi 1980 bristheyxrmn Dornier MedTech idwangtladekhruxngslayniwdwykhlunkraaethknxkkay sungtxmaklaymaepnethkhnikhthiichxyangkwangkhwang prawtikhaphasatawntk khawa Renal calculus niwit macakkhaphasalatin renes aeplwa it aela calculus aeplwa kxnhin Lithiasis orkhkxnhin initeriykwa nephrolithiasis ˌ n ɛ f r oʊ l ɪ ˈ 8 aɪ e s ɪ s aeplinphasaithywa orkhniwit macakkhawa nephro aeplwa it bwkkbkhawa lith hmaythungkxnhin aela iasis hmaythungkhwamphidpkti orkhnganwicykartkphlukkhxngaekhlesiymxxksaeltduehmuxncaybyngidodysarbangxyanginpssawa thichalxkarekid karetibot karrwmtw aelakartidphlukthiesllit emuxklnpssawaodykrabwnkartkphlukeklux isoelectric focusing aela size exclusion chromatography nkwicyidphboprtinekidinitthieriykwa calgranulin sungmivththiybyngkarekidphlukaekhlesiymxxksaeltphayinkay dngnn mncungxacepnpccythrrmchatithisakhyephuxpxngknorkhniwitedkaemniwitcaimkhxyekidinedk aetkhwamchukkkalngsungkhun niwcaxyuinitinkrnikhnikh 2 3 aelainthxitinkrnithiehlux odyedkxayumakkwakcaesiyngsungkwatanghakcakkarmiephssmphnth ehmuxnkbinphuihy niwinedkodymakcaprakxbdwyaekhlesiymxxksaelt swnniwaebbstruiwthaelaaekhlesiymfxseftcanxykwa niwaebbaekhlesiymxxksaeltinedksmphnthkbaekhlesiym xxksaelt aelaaemkniesiymradbsunginpssawathiepnkrdstwxun instwekhiywexuxng niwpssawamkcaepnpyhaintwphumakkwatwemiy ephraathangedinpssawakhxngtwphucaokhngepntwexs cungthaihmioxkasxudtnmakkwa twphuthithuktxntngaetelk caesiyngsungsud ephraathxpssawaelkkwa karkinxaharthimixtraswn aekhlesiym ophaethsesiym tathaihsamarthekidniwaebbmifxseft khuxaebbstruiwth idmakkwa echn aekathithuktxncamikhwamchukkhxngorkhtasudthakinxaharthimixtraswn 2 1 swnkhwamepndangcathaihekidniwaebbkharbxentaelafxseftidngay dngnn sahrbstwekhiywexuxngeliyng xtraaekhtixxxn thiidcakxaharbangkhrngcaprbephuxihpssawaepnkrdelknxy ephuxpxngknniw khwamepnkrddangmiphltxniwaebbsiliekhtthitangkn ineruxngni mikhxsngektwa phayitsthankarnbangxyang aekhlesiymkharbxentcaekidphrxmkbsilikainniw xaharemdxacnaipsukarekidniwaebbfxseft ephraapssawacamifxsfxrsephimkhun nimiehtucakkarphlitnalaynxykwaemuxkinxaharemdthimixngkhprakxbsungbdxyanglaexiyd ephraafxseftineluxdnamaichinnalaynxylng kcungtxngkhbxxkthangpssawamakkhun swnfxseftinnalayodymakcakhbxxkthangxuccara niwaebbxxksaeltksamarthekidinstwekhiywexuxngdwy aempyhakarkinxxksaeltxacepneruxngimkhxysamy aetkmiraynganekiywkbniwinstwekhiywexuxngthismphnthkbkarkinxxksaelt thungxyangnn sahrblukaekaxayuekinpiaetyngimthungsxngpi thikinxaharmixxksaeltsunglalayidodymisdswn 6 5 khxngxaharaehngaetlawnepnraya 100 wn kimphbkhwamesiyhaytxhlxdithruxmikartkphlukaekhlesiymxxksaeltthimxngehnidinit phawathicakdkarkinnaxacthaihekidniw karphatdrksatang echn kartd urethral process thithankhxngmniklhwxngkhchat glans penis instwtwphu karecaarabaythxpssawathifieyb perineal urethrostomy hruxkarecaathxrabaypssawa tube cystostomy samarthichbrrethaxakarniwaebbxudtnechingxrrthaelaxangxingSchulsinger David A 2014 phasaxngkvs Springer p 27 ISBN 9783319121055 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 8 September 2017 February 2013 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 11 May 2015 subkhnemux 22 May 2015 Knoll T Pearle MS 2012 Clinical Management of Urolithiasis phasaxngkvs Springer Science amp Business Media p 21 ISBN 9783642287329 cakaehlngedimemux 8 knyayn 2017 Qaseem A Dallas P Forciea MA Starkey M aelakhna 4 November 2014 Dietary and pharmacologic management to prevent recurrent nephrolithiasis in adults A clinical practice guideline from the American College of Physicians Annals of Internal Medicine 161 9 659 67 doi 10 7326 M13 2908 PMID 25364887 Vos Theo aelakhna GBD 2015 Disease and Injury Incidence and Prevalence Collaborators October 2016 Global regional and national incidence prevalence and years lived with disability for 310 diseases and injuries 1990 2015 a systematic analysis for the Global Burden of Disease Study 2015 Lancet 388 10053 1545 1602 doi 10 1016 S0140 6736 16 31678 6 PMC 5055577 PMID 27733282 Wang Haidong aelakhna GBD 2015 Disease and Injury Incidence and Prevalence Collaborators October 2016 Global regional and national life expectancy all cause mortality and cause specific mortality for 249 causes of death 1980 2015 a systematic analysis for the Global Burden of Disease Study 2015 Lancet 388 10053 1459 1544 doi 10 1016 s0140 6736 16 31012 1 PMC 5388903 PMID 27733281 Miller NL Lingeman JE 2007 PDF BMJ 334 7591 468 72 doi 10 1136 bmj 39113 480185 80 PMC 1808123 PMID 17332586 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedim PDF emux 27 December 2010 Morgan MS Pearle MS 14 March 2016 Medical management of renal stones BMJ Clinical research ed 352 i52 doi 10 1136 bmj i52 PMID 26977089 Afshar K Jafari S Marks AJ Eftekhari A MacNeily AE 29 June 2015 Nonsteroidal anti inflammatory drugs NSAIDs and non opioids for acute renal colic The Cochrane Database of Systematic Reviews 6 CD006027 doi 10 1002 14651858 CD006027 pub2 PMID 26120804 Wang RC Smith Bindman R Whitaker E Neilson J Allen IE Stoller ML Fahimi J 7 September 2016 Effect of Tamsulosin on Stone Passage for Ureteral Stones A Systematic Review and Meta analysis Annals of Emergency Medicine doi 10 1016 j annemergmed 2016 06 044 PMID 27616037 Preminger GM 2007 Chapter 148 Stones in the Urinary Tract in Cutler RE b k 3rd ed Whitehouse Station New Jersey Merck Sharp and Dohme Corporation cakaehlngedimemux 8 December 2014 subkhnemux 7 August 2011 Nephrolithiasis Overview cak Background Pearle MS Calhoun EA Curhan GC 2007 Ch 8 Urolithiasis PDF in Litwin MS Saigal CS b k Urologic Diseases in America NIH Publication No 07 5512 Bethesda Maryland National Institutes of Health pp 283 319 PDF cakaehlngedimemux 18 tulakhm 2011 Cavendish M 2008 Kidney disorders Diseases and Disorders Vol 2 1st ed Tarrytown New York Marshall Cavendish Corporation pp 490 3 ISBN 978 0 7614 7772 3 cakaehlngedimemux 14 April 2021 subkhnemux 6 November 2020 Curhan GC Willett WC Rimm EB Spiegelman D aelakhna February 1996 Prospective study of beverage use and the risk of kidney stones PDF American Journal of Epidemiology 143 3 240 7 doi 10 1093 oxfordjournals aje a008734 PMID 8561157 Knight J Assimos DG Easter L Holmes RP November 2010 Metabolism of fructose to oxalate and glycolate Hormone and Metabolic Research 42 12 868 73 doi 10 1055 s 0030 1265145 PMC 3139422 PMID 20842614 Johri N Cooper B Robertson W Choong S Rickards D Unwin R 2010 An update and practical guide to renal stone management Nephron Clinical Practice 116 3 c159 71 doi 10 1159 000317196 PMID 20606476 cakaehlngedimemux 31 January 2021 subkhnemux 18 May 2019 Moe OW mkrakhm 2006 Kidney stones pathophysiology and medical management PDF Lancet 367 9507 333 44 doi 10 1016 S0140 6736 06 68071 9 PMID 16443041 S2CID 26581831 PDF cakaehlngedimemux 15 singhakhm 2011 Thakker RV minakhm 2000 Pathogenesis of Dent s disease and related syndromes of X linked nephrolithiasis PDF Kidney International 57 3 787 93 doi 10 1046 j 1523 1755 2000 00916 x PMID 10720930 PDF cakaehlngedimemux 5 phvscikayn 2012 2006 Information about Endocrine and Metabolic Diseases A Z list of Topics and Titles Bethesda Maryland National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases National Institutes of Health Public Health Service US Department of Health and Human Services khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 24 phvsphakhm 2011 subkhnemux 27 krkdakhm 2011 Hoppe B Langman CB October 2003 A United States survey on diagnosis treatment and outcome of primary hyperoxaluria Pediatric Nephrology 18 10 986 91 doi 10 1007 s00467 003 1234 x PMID 12920626 S2CID 23503869 Reilly RF Ch 13 Nephrolithiasis In Reilly amp Perazella 2005 pp 192 207 National Kidney and Urologic Diseases Information Clearinghouse 2008 Kidney amp Urologic Diseases A Z list of Topics and Titles Bethesda Maryland National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases National Institutes of Health Public Health Service US Department of Health and Human Services khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 7 singhakhm 2011 subkhnemux 27 krkdakhm 2011 2006 Digestive Diseases A Z List of Topics and Titles Bethesda Maryland National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases National Institutes of Health United States Public Health Service United States Department of Health and Human Services khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 9 mithunayn 2014 subkhnemux 27 krkdakhm 2011 Farmer RG Hossein Mir Madjlessi S Kiser WS 1974 Urinary excretion of oxalate calcium magnesium and uric acid in inflammatory bowel disease Relationship to urolithiasis Cleveland Clinic Quarterly 41 3 109 17 doi 10 3949 ccjm 41 3 109 PMID 4416806 Summary In Committee to Review Dietary Reference Intakes for Vitamin D and Calcium 2011 pp 1 14 Tolerable upper intake levels Calcium and vitamin D In Committee to Review Dietary Reference Intakes for Vitamin D and Calcium 2011 pp 403 56 Parmar MS June 2004 Kidney stones BMJ 328 7453 1420 4 doi 10 1136 bmj 328 7453 1420 PMC 421787 PMID 15191979 Liebman M Al Wahsh IA phvsphakhm 2011 Probiotics and other key determinants of dietary oxalate absorption PDF Advances in Nutrition 2 3 254 60 doi 10 3945 an 111 000414 PMC 3090165 PMID 22332057 PDF cakaehlngedimemux 16 mkrakhm 2016 Committee on Fluoride in Drinking Water of the National Academy of Sciences 2006 Chapter 9 Effects on the Renal System Fluoride in Drinking Water A Scientific Review of EPA s Standards Washington DC The National Academies Press pp 236 48 ISBN 978 0 309 65799 0 cakaehlngedimemux 30 krkdakhm 2011 Riley JM Kim H Averch TD Kim HJ October 2013 Effect of magnesium on calcium and oxalate ion binding J Endourol 27 12 1487 92 doi 10 1089 end 2013 0173 PMC 3883082 PMID 24127630 Negri AL Spivacow FR Del Valle EE 2013 Diet in the treatment of renal lithiasis Pathophysiological basis Medicina B Aires 73 3 267 71 PMID 23732207 Goodwin JS Tangum MR November 1998 Battling quackery attitudes about micronutrient supplements in American academic medicine Archives of Internal Medicine 158 20 2187 91 doi 10 1001 archinte 158 20 2187 PMID 9818798 Brawer MK Makarov DV Partin AW Roehrborn CG aelakhna 2008 Best of the 2008 AUA Annual Meeting Highlights from the 2008 Annual Meeting of the American Urological Association May 17 22 2008 Orlando FL Reviews in Urology 10 2 136 56 PMC 2483319 PMID 18660856 Mirheydar Hossein S Banapour Pooya Massoudi Rustin Palazzi Kerrin L Jabaji Ramzi Reid Erin G Millard Frederick E Kane Christopher J Sur Roger L December 2014 What is the Incidence of Kidney Stones after Chemotherapy in Patients with Lymphoproliferative or Myeloproliferative Disorders Int Braz J Urol 40 6 772 80 doi 10 1590 S1677 5538 IBJU 2014 06 08 PMID 25615245 Caudarella R Vescini F September 2009 Urinary citrate and renal stone disease the preventive role of alkali citrate treatment Archivio Italiano di Urologia Andrologia 81 3 182 7 PMID 19911682 Perazella MA Ch 14 Urinalysis In Reilly amp Perazella 2005 pp 209 26 Knudsen BE Beiko DT Denstedt JD Ch 16 Uric Acid Urolithiasis In Stoller amp Meng 2007 pp 299 308 Nephrolithiasis Overview cak Pathophysiology Coe FL Evan A Worcester E October 2005 Kidney stone disease The Journal of Clinical Investigation 115 10 2598 608 doi 10 1172 JCI26662 PMC 1236703 PMID 16200192 del Valle EE Spivacow FR Negri AL 2013 Citrate and renal stones Medicina B Aires 73 4 363 8 PMID 23924538 Anoia EJ Paik ML Resnick MI 2009 Ch 7 Anatrophic Nephrolithomy in Graham SD Keane TE b k Glenn s Urologic Surgery 7th ed Philadelphia Lippincott Williams amp Wilkins pp 45 50 ISBN 978 0 7817 9141 0 cakaehlngedimemux 14 April 2021 subkhnemux 6 November 2020 Weaver SH Jenkins P 2002 Ch 14 Renal and Urological Care Illustrated Manual of Nursing Practice 3rd ed Lippincott Williams amp Wilkins ISBN 978 1 58255 082 4 American College of Emergency Physicians 27 October 2014 Choosing Wisely khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 7 March 2014 subkhnemux 2015 01 14 www choosingwisely org khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 23 February 2017 subkhnemux 28 May 2017 Smith RC Varanelli M July 2000 Diagnosis and management of acute ureterolithiasis CT is truth AJR American Journal of Roentgenology 175 1 3 6 doi 10 2214 ajr 175 1 1750003 PMID 10882237 S2CID 73387308 Fang LS 2009 Chapter 135 Approach to the Paient with Nephrolithiasis in Goroll AH Mulley AG b k Primary care medicine office evaluation and management of the adult patient 6th ed Philadelphia Lippincott Williams amp Wilkins pp 962 7 ISBN 978 0 7817 7513 7 cakaehlngedimemux 21 March 2021 subkhnemux 6 November 2020 Pietrow PK Karellas ME krkdakhm 2006 Medical management of common urinary calculi PDF American Family Physician 74 1 86 94 PMID 16848382 PDF cakaehlngedimemux 23 phvscikayn 2011 Bushinsky D Coe FL Moe OW 2007 in Brenner BM b k Brenner and Rector s The Kidney Vol 1 8th ed Philadelphia WB Saunders pp 1299 349 ISBN 978 1 4160 3105 5 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 8 tulakhm 2011 Smith RC Levine J Rosenfeld AT September 1999 Helical CT of urinary tract stones Epidemiology origin pathophysiology diagnosis and management Radiologic Clinics of North America 37 5 911 52 v doi 10 1016 S0033 8389 05 70138 X PMID 10494278 Smith Bindman R Aubin C Bailitz J Bengiamin RN aelakhna 18 September 2014 Ultrasonography versus computed tomography for suspected nephrolithiasis The New England Journal of Medicine 371 12 1100 1110 doi 10 1056 NEJMoa1404446 PMID 25229916 National Kidney and Urologic Diseases Information Clearinghouse 2007 Kidney amp Urologic Diseases A Z list of Topics and Titles Bethesda Maryland National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases National Institutes of Health Public Health Service US Department of Health and Human Services khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 26 krkdakhm 2011 subkhnemux 27 krkdakhm 2011 Becker KL 2001 Principles and practice of endocrinology and metabolism 3 ed Philadelphia Pa u a Lippincott Williams amp Wilkins p 684 ISBN 978 0 7817 1750 2 cakaehlngedimemux 8 knyayn 2017 UpToDate khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 26 February 2014 subkhnemux 20 February 2014 Bailey amp Love s 25th 1296 National Endocrine and Metabolic Diseases Information Service 2008 Kidney amp Urologic Diseases A Z list of Topics and Titles Bethesda Maryland National Institute of Diabetes and Digestive and Kidney Diseases National Institutes of Health Public Health Service US Department of Health and Human Services khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 28 krkdakhm 2011 subkhnemux 27 krkdakhm 2011 De Mais Daniel 2009 ASCP Quick Compendium of Clinical Pathology 2nd ed Chicago ASCP Press Weiss M Liapis H Tomaszewski JE Arend LJ 2007 Chapter 22 Pyelonephritis and Other Infections Reflux Nephropathy Hydronephrosis and Nephrolithiasis in Jennette JC Olson JL Schwartz MM Silva FG b k Heptinstall s Pathology of the Kidney Vol 2 6th ed Philadelphia Lippincott Williams amp Wilkins pp 991 1082 ISBN 978 0 7817 4750 9 cakaehlngedimemux 20 March 2021 subkhnemux 6 November 2020 Halabe A Sperling O 1994 Uric acid nephrolithiasis Mineral and Electrolyte Metabolism 20 6 424 31 PMID 7783706 Kamatani N December 1996 Adenine phosphoribosyltransferase APRT deficiency Nihon Rinsho Japanese Journal of Clinical Medicine phasayipun 54 12 3321 7 PMID 8976113 Rosenberg LE Durant JL Elsas LJ June 1968 Familial iminoglycinuria An inborn error of renal tubular transport The New England Journal of Medicine 278 26 1407 13 doi 10 1056 NEJM196806272782601 PMID 5652624 Coskun T Ozalp I Tokatli A 1993 Iminoglycinuria a benign type of inherited aminoaciduria The Turkish Journal of Pediatrics 35 2 121 5 PMID 7504361 Patient Information about Crixivan for HIV Human Immunodeficiency Virus Infection PDF Crixivan indinavir sulfate Capsules Whitehouse Station New Jersey Merck Sharp amp Dohme Corporation 2010 PDF cakaehlngedimemux 15 singhakhm 2011 subkhnemux 27 krkdakhm 2011 Schlossberg D Samuel R 2011 Sulfadiazine Antibiotic Manual A Guide to Commonly Used Antimicrobials 1st ed Shelton Connecticut People s Medical Publishing House pp 411 12 ISBN 978 1 60795 084 4 cakaehlngedimemux 20 March 2021 subkhnemux 25 August 2020 Carr MC Prien EL Babayan RK December 1990 Triamterene nephrolithiasis renewed attention is warranted The Journal of Urology 144 6 1339 40 doi 10 1016 S0022 5347 17 39734 3 PMID 2231920 McNutt WF 1893 Section IV Diseases of the Bladder Chapter VII Vesical Calculi Cysto lithiasis Diseases of the Kidneys and Bladder A Text Book for Students of Medicine Philadelphia J B Lippincott Company pp 185 6 cakaehlngedimemux 14 April 2021 subkhnemux 6 November 2020 Gettman MT Segura JW March 2005 Management of ureteric stones issues and controversies BJU International 95 Suppl 2 85 93 doi 10 1111 j 1464 410X 2005 05206 x PMID 15720341 S2CID 36265416 Segura Joseph W 1997 STAGHORN CALCULI Urologic Clinics of North America 24 1 71 80 doi 10 1016 S0094 0143 05 70355 4 ISSN 0094 0143 Fink HA Wilt TJ Eidman KE Garimella PS aelakhna 2 April 2013 Medical management to prevent recurrent nephrolithiasis in adults A systematic review for an American College of Physicians clinical guideline Annals of Internal Medicine 158 7 535 43 doi 10 7326 0003 4819 158 7 201304020 00005 PMID 23546565 Qaseem A Dallas P Forciea MA Starkey M Denberg TD Clinical Guidelines Committee of the American College of Physicians 4 November 2014 Dietary and pharmacologic management to prevent recurrent nephrolithiasis in adults a clinical practice guideline from the American College of Physicians Annals of Internal Medicine 161 9 659 67 doi 10 7326 m13 2908 PMID 25364887 Goldfarb DS Coe FL phvscikayn 1999 Prevention of recurrent nephrolithiasis American Family Physician 60 8 2269 76 PMID 10593318 cakaehlngedimemux 22 singhakhm 2005 Finkielstein VA Goldfarb DS phvsphakhm 2006 Strategies for preventing calcium oxalate stones CMAJ 174 10 1407 9 doi 10 1503 cmaj 051517 PMC 1455427 PMID 16682705 cakaehlngedimemux 15 tulakhm 2008 Citric Acid and Kidney Stones PDF uwhealth org PDF cakaehlngedimemux 2010 07 05 Taylor EN Curhan GC September 2006 Diet and fluid prescription in stone disease Kidney International 70 5 835 9 doi 10 1038 sj ki 5001656 PMID 16837923 kidney org khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 14 May 2013 subkhnemux 19 August 2013 Heaney RP minakhm 2006 Nutrition and chronic disease Mayo Clinic Proceedings 81 3 297 9 doi 10 4065 81 3 297 PMID 16529131 Tiselius HG May 2003 Epidemiology and medical management of stone disease BJU International 91 8 758 67 doi 10 1046 j 1464 410X 2003 04208 x PMID 12709088 S2CID 28256459 Taylor EN Stampfer MJ Curhan GC December 2004 Dietary factors and the risk of incident kidney stones in men new insights after 14 years of follow up PDF Journal of the American Society of Nephrology 15 12 3225 32 doi 10 1097 01 ASN 0000146012 44570 20 PMID 15579526 PDF cakaehlngedimemux 21 September 2017 subkhnemux 3 June 2011 Cicerello E Merlo F Maccatrozzo L September 2010 Urinary alkalization for the treatment of uric acid nephrolithiasis Archivio Italiano di Urologia Andrologia 82 3 145 8 PMID 21121431 Cameron JS Simmonds HA June 1987 Use and abuse of allopurinol British Medical Journal 294 6586 1504 5 doi 10 1136 bmj 294 6586 1504 PMC 1246665 PMID 3607420 Macaluso JN November 1996 Management of stone disease bearing the burden The Journal of Urology 156 5 1579 80 doi 10 1016 S0022 5347 01 65452 1 PMID 8863542 Pathan SA Mitra B Cameron PA April 2018 A Systematic Review and Meta analysis Comparing the Efficacy of Nonsteroidal Anti inflammatory Drugs Opioids and Paracetamol in the Treatment of Acute Renal Colic European Urology 73 4 583 595 doi 10 1016 j eururo 2017 11 001 PMID 29174580 Seitz C Liatsikos E Porpiglia F Tiselius HG aelakhna September 2009 Medical therapy to facilitate the passage of stones What is the evidence European Urology 56 3 455 71 doi 10 1016 j eururo 2009 06 012 PMID 19560860 Campschroer T Zhu Y Duijvesz D Grobbee DE aelakhna 2 April 2014 Alpha blockers as medical expulsive therapy for ureteral stones The Cochrane Database of Systematic Reviews 4 4 CD008509 doi 10 1002 14651858 CD008509 pub2 PMID 24691989 Campschroer T Zhu Y Duijvesz D Grobbee DE Lock MT 2 April 2014 Alpha blockers as medical expulsive therapy for ureteral stones The Cochrane Database of Systematic Reviews 4 4 CD008509 doi 10 1002 14651858 CD008509 pub2 PMID 24691989 Wang Ralph C Smith Bindman Rebecca Whitaker Evans Neilson Jersey Allen Isabel Elaine Stoller Marshall L Fahimi Jahan September 2016 Effect of Tamsulosin on Stone Passage for Ureteral Stones A Systematic Review and Meta analysis Annals of Emergency Medicine doi 10 1016 j annemergmed 2016 06 044 PMID 27616037 Shock Wave Lithotripsy Task Force 2009 PDF Clinical Guidelines Linthicum Maryland khlngkhxmulekaekbcakaehlngedim PDF emux 18 krkdakhm 2013 subkhnemux 13 tulakhm 2015 Lingeman JE Matlaga BR Evan AP 2007 Surgical Management of Urinary Lithiasis in Wein AJ Kavoussi LR Novick AC Partin AW Peters CA b k Campbell Walsh Urology Philadelphia W B Saunders pp 1431 1507 Preminger GM Tiselius HG Assimos DG Alken P Buck C Gallucci M Knoll T Lingeman JE Nakada SY Pearle MS Sarica K Turk C Wolf JS December 2007 2007 guideline for the management of ureteral calculi The Journal of Urology 178 6 2418 34 doi 10 1016 j juro 2007 09 107 PMID 17993340 Evan AP McAteer JA 1996 Ch 28 Q effects of Shock Wave Lithotripsy in Coe FL Favus MJ Pak CY Parks JH Preminger GM b k Kidney Stones Medical and Surgical Management Philadelphia Lippincott Raven pp 549 60 ISBN 9780781702638 Evan AP Willis LR 2007 Ch 41 Extracorporeal Shock Wave Lithotripsy Complications in Smith AD Badlani GH Bagley DH Clayman RV Docimo SG b k Smith s Textbook on Endourology Hamilton Ontario Canada B C Decker Inc pp 353 65 Young JG Keeley FX Ch 38 Indications for Surgical Removal Including Asymptomatic Stones in Rao Preminger amp Kavanagh 2011 pp 441 454 Wynberg JB Borin JF Vicena JZ Hannosh V Salmon SA October 2012 Flexible ureteroscopy directed retrograde nephrostomy for percutaneous nephrolithotomy description of a technique J Endourol 26 10 1268 74 doi 10 1089 end 2012 0160 PMID 22563900 Lam JS Gupta M Ch 25 Ureteral Stents In Stoller amp Meng 2007 pp 465 83 Marks AJ Qiu J Milner TE Chan KF Teichman JM 6 January 2011 Ch 26 Laser Lithotripsy Physics Springer ISBN 9781848003620 cakaehlngedimemux 20 February 2021 subkhnemux 6 November 2020 in Rao Preminger amp Kavanagh 2011 pp 301 310 Romero V Akpinar H Assimos DG 2010 Kidney stones a global picture of prevalence incidence and associated risk factors Reviews in Urology 12 2 3 e86 96 PMC 2931286 PMID 20811557 Lieske JC Segura JW 2004 Ch 7 Evaluation and Medical Management of Kidney Stones in Potts JM b k Essential Urology A Guide to Clinical Practice 1st ed Totowa New Jersey Humana Press pp 117 52 ISBN 978 1 58829 109 7 Lozano R Naghavi Mohsen Foreman Kyle Lim Stephen aelakhna 15 December 2012 Global and regional mortality from 235 causes of death for 20 age groups in 1990 and 2010 a systematic analysis for the Global Burden of Disease Study 2010 Lancet 380 9859 2095 128 doi 10 1016 S0140 6736 12 61728 0 10536 DRO DU 30050819 PMID 23245604 Windus D 2008 The Washington manual nephrology subspecialty consult 2nd ed Philadelphia Wolters Kluwer Health Lippincott Williams amp Wilkins Health p 235 ISBN 978 0 7817 9149 6 cakaehlngedimemux 9 knyayn 2016 Lewis SM 2017 Medical surgical nursing assessment and management of clinical problems Elsevier ISBN 978 0 323 32852 4 OCLC 944472408 1831 Book VII Chapter XXVI Of the operation necessary in a suppression of urine and lithotomy in Collier GF b k A translation of the eight books of Aul Corn Celsus on medicine 2nd ed London Simpkin and Marshall pp 306 14 cakaehlngedimemux 8 krkdakhm 2014 Shah J Whitfield HN May 2002 Urolithiasis through the ages BJU International 89 8 801 10 doi 10 1046 j 1464 410X 2002 02769 x PMID 11972501 S2CID 44311421 Ellis H 1969 A History of Bladder Stone Oxford England Blackwell Scientific Publications ISBN 978 0 632 06140 2 1878 Litholapaxy or rapid lithotrity with evacuation Boston A Williams and Company p 29 cakaehlngedimemux 14 April 2021 subkhnemux 25 August 2020 nephrolithiasis sphthbyytixngkvs ithy ithy xngkvs chbbrachbnthitysthan khxmphiwetxr run 1 1 chbb 2545 aephthysastr orkhniwit Dwyer Moira E Krambeck Amy E Bergstralh Eric J Milliner Dawn S Lieske John C Rule Andrew D July 2012 Temporal Trends in Incidence of Kidney Stones Among Children A 25 Year Population Based Study Pediatric Urology 188 1 247 252 doi 10 1016 j juro 2012 03 021 PMC 3482509 PMID 22595060 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 17 November 2007 subkhnemux 11 October 2013 Kirejczyk JK Porowski T Filonowicz R Kazberuk A Stefanowicz M Wasilewska A Debek W August 2013 An association between kidney stone composition and urinary metabolic disturbances in children J Pediatr Urol 10 1 130 5 doi 10 1016 j jpurol 2013 07 010 PMID 23953243 Pugh D G 2002 Sheep and goat medicine Philadelphia Saunders p 468 Bushman D H Emerick R J Embry L B 1965 Urolithiasis relationships involving dietary calcium phosphorus and magnesium J Nutr 87 499 504 doi 10 1093 jn 87 4 499 Stewart S R Emerick R J Pritchard R H 1991 Effects of dietary ammonium chloride and variations in calcium to phosphorus ratio on silica urolithiasis in sheep J Anim Sci 69 2225 2229 doi 10 2527 1991 6952225x Forman S A Whiting F Connell R 1959 Silica urolithiasis in beef cattle 3 Chemical and physical composition of the uroliths Can J Compar Med 23 4 157 162 Scott D Buchan W 1988 The effects of feeding pelleted diets made from either coarsely or finely ground hay on phosphorus balance and on the partition of phosphorus excretion between urine and faeces in the sheep Q J Exp Physiol 73 315 322 doi 10 1113 expphysiol 1988 sp003148 Bravo D Sauvant D Bogaert C Meschy F 2003 III Quantitative aspects of phosphorus excretion in ruminants Reprod Nutr Dev 43 285 300 doi 10 1051 rnd 2003021 Waltner Toews D Meadows DH 1980 Case report Urolithiasis in a herd of beef cattle associated with oxalate ingestion Can Vet J 21 61 62 James L F Butcher J E 1972 Halogeton poisoning of sheep effect of high level oxalate intake J Anim Sci 35 1233 1238 doi 10 2527 jas1972 3561233x Kahn C M b k 2005 Merck veterinary manual 9th ed Whitehouse Station Merck amp Co aehlngxangxingxun Committee to Review Dietary Reference Intakes for Vitamin D and Calcium Institute of Medicine of the National Academies 2011 Ross AC Taylor CL Yaktine AL Del HB b k Dietary Reference Intakes for Calcium and Vitamin D Washington DC The National Academies Press doi 10 17226 13050 ISBN 978 0 309 16394 1 PMID 21796828 S2CID 58721779 cakaehlngedimemux 9 September 2014 subkhnemux 21 June 2011 Rao PN Preminger GM Kavanagh JP b k 2011 Urinary Tract Stone Disease 1st ed London Springer Verlag doi 10 1007 978 1 84800 362 0 26 ISBN 978 1 84800 361 3 Reilly RF Perazella MA b k 2005 Nephrology in 30 Days 1st ed New York The McGraw Hill Companies Inc ISBN 978 0 07 143701 1 cakaehlngedimemux 14 April 2021 subkhnemux 25 August 2020 Stoller ML Meng MV b k 2007 Urinary stone disease the practical guide to medical and surgical management 1st ed Totowa New Jersey Humana Press ISBN 978 1 59259 972 1 aehlngkhxmulxunkarcaaenkorkhDICD 10 N20 0 N20 9ICD 592 0 594 9 167030MeSH D052878 11346thrphyakrphaynxk 000458 med 1600 orkhniwitwikimiediykhxmmxnsmisuxthiekiywkhxngkb orkhniwit orkhniwit thiewbist Curlie Information from the European Urological Association 22 knyayn 2016 thi ewyaebkaemchchin