เจ้าอนันตวรฤทธิเดช ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 62 และองค์ที่ 12 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ ทรงเป็นราชโอรสในสมเด็จเจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 57 ชาวเมืองน่านเรียกพระนามโดยลำลองว่า เจ้ามหาชีวิต ทรงครองเมืองน่านระหว่างปี พ.ศ. 2395 - พ.ศ. 2435 และทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครน่านที่ครองราชย์สมบัติเมืองนครน่าน ยาวนานที่สุดถึง 40 ปี
เจ้าอนันตวรฤทธิเดช | |||||
---|---|---|---|---|---|
เจ้ามหาชีวิต | |||||
เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 62 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ | |||||
ราชาภิเษก | 18 เมษายน พ.ศ. 2399 | ||||
ครองราชย์ | 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2395 - 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2435 | ||||
รัชกาล | 40 ปี 24 วัน | ||||
พระอิสริยยศ | เจ้าประเทศราช | ||||
ก่อนหน้า | เจ้ามหาวงษ์ | ||||
ถัดไป | พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช | ||||
ประสูติ | พ.ศ. 2348 | ||||
พิราลัย | 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2435 (86 ปี) ณ คุ้มหลวงนครน่าน (เวียงใต้) | ||||
พระราชทานเพลิงพระศพ | 28 เมษายน พ.ศ. 2436 ณ พระเมรุชั่วคราว สุสานหลวงดอนชัย | ||||
พระอัครชายา | แม่เจ้าสุนันทาอัครเทวี แม่เจ้าขอดแก้วเทวี | ||||
พระชายา | 10 องค์ | ||||
พระราชบุตร | 31 พระองค์ | ||||
| |||||
ราชสกุล | ณ น่าน สายที่ 2 | ||||
ราชวงศ์ | ติ๋นมหาวงศ์ | ||||
พระบิดา | สมเด็จเจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญ | ||||
พระมารดา | แม่เจ้าขันแก้วชายา |
พระประวัติ
เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ ทรงมีพระนามเดิมว่า เจ้าอนันตยศ ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2348 ทรงเป็นพระโอรสองค์โตในสมเด็จเจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 57 ประสูติแต่แม่เจ้าขันแก้วราชเทวี (ชายาองค์ที่ 4) ราชธิดาในเจ้าฟ้าเมืองเชียงแขง ทรงมีพระขนิษฐาร่วมพระมารดา 1 พระองค์ คือ เจ้านางต่อมคำ
เจ้าอนันตยศ ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งขึ้นเป็น เจ้าพระพิไชยราชา เมืองน่าน ต่อมาได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนยศขึ้นเป็น เจ้าพระยารัตนหัวเมืองแก้ว เมืองน่าน ต่อมาได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนยศขึ้นเป็น เจ้าพระยาบุรีรัตน เมืองน่าน ต่อมาภายหลังจากที่พระเจ้ามหาวงศ์ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 61 ถึงแก่พิราลัย เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2394 เจ้าบุรีรัตน์ (อนันตยศ) เจ้าบุรีรัตน์นครเมืองน่าน ผู้เป็นพระภาติยะในพระเจ้ามหาวงศ์ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 61 จึงได้ขึ้นครองราชย์สมบัติเมืองนครน่าน (รอการแต่งตั้งจากสยาม) ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนยศขึ้นเป็น “เจ้าเมืองน่าน” ได้รับการเฉลิมพระนามว่า .. พระยามงคลวรยศ พระยานครน่าน .. ในวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2395 ต่อมาทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกวงศ์สกุลเจ้าเมืองน่านขึ้นเป็น "เจ้า" กันทั้งวงศ์สกุล พระยามงคลวรยศ เจ้าเมืองน่าน จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนอิสริยยศขึ้นเป็น “เจ้านครเมืองน่าน” ได้รับการเฉลิมพระนามว่า .. เจ้าอนันตวรฤทธิเดช กุลเชฐมหันต์ ไชยนันทบุร มหาราชวงษาธิบดี เจ้านครเมืองน่าน .. ในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2400
คำบอกเล่าบางส่วนเมื่อครั้ง คณะมิชชันนารีมาเมืองน่าน เมื่อปี พ.ศ. 2415
คณะมิชชันนารีมาเมืองน่านในสมัยเจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ ทรงเป็รเจ้าผู้ครองนครน่าน ความว่า .....เมื่อ ค.ศ. ๑๘๗๒ (พ.ศ. ๒๔๑๕) พ่อครูหลวงแมคกิลวารี.....ผ่านมายังเมืองน่านในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม.....ในสายตาของมิชชันนารี.....เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเจริญรุ่งเรืองและมีความสำคัญยิ่งเมืองหนึ่งในล้านนา เจ้าผู้ครองนครเป็นผู้ที่มีความปรีชาสามารถ แม้ว่าจะทรงเป็นผู้ปกครองหัวเก่าไม่ยอมรับวิถีชีวิตและการค้าของต่างชาติก็ตาม .....
.....เมื่อมิชชันนารีไปถึงเมืองน่านก็ได้รับการเอาใจใส่อย่างดีจากเจ้าบุรีรัตน์ หลานของเจ้าผู้ครองนครน่าน ซึ่งมิชชันนารีเคยพบที่เชียงใหม่
.....พ่อครูหลวง (แมคกิลวารี) มีความใฝ่ฝันมาก่อนหน้านี้ว่าอยากจะขยายงานมาที่เมืองน่าน...ท่านบันทึกไว้ว่า "ข้าพเจ้ารู้สึกรักเมืองน่านตั้งแต่แรกพบและหมายไว้ว่าจะเป็นที่ตั้งศูนย์มิชชันในวันข้างหน้า"
.....เมื่อ ค.ศ. ๑๘๙๐ (พ.ศ. ๒๔๓๓) พ่อครูหลวงแมคกิลวารีเดินทางมายังเมืองน่านอีกครั้งหนึ่ง พร้อมด้วยนางสาวมาการ์เร็ต ลูกสาว.....ถึงเมืองน่านในวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากข้าราชการเมืองน่าน มีชาวเมืองมามุงดูอย่างหนาแน่น มิชชันนารีกล่าวว่า ถึงแม้จะมีคนมามุงดูแน่นขนัดแต่ก็ไม่ค่อยยอมฟังเรื่องราวของคริสต์ศาสนาเลย.....
.....การมาครั้งนี้ มิชชันนารีได้มีโอกาสเข้าเฝ้าเจ้าผู้ครองนคร คือ เจ้าอนันตวรฤทธิเดช ที่คุ้มแก้ว มิชชันนารีบันทึกเรื่องเจ้าอนันตวรฤทธิเดชไว้ว่า เป็นเจ้าผู้ครองหัวเมืองล้านนาที่มีความสำคัญในราชสำนักกรุงเทพฯ เป็นที่สองรองจากกษัตริย์เชียงใหม่ พระองค์แสดงความยินดีที่มีฝรั่งมิชชันนารีมาเยี่ยมเมืองน่าน และทรงกล่าวสัพยอกกับมิชชันนารีว่า ท่านอายุมากเกินที่จะเข้าศาสนาใหม่.....
ที่มาข้อมูล : ประสิทธิ์ พงศ์อุดม. นันทบุรีศรีนครน่าน ประวัติศาสตร์ สังคม และคริสต์ศาสนา เชียงใหม่ : ฝ่ายประวัติศาสตร์ สภาคริสตจักรในประเทศไทย, ๒๕๓๙
พระนาม
- สมเด็จพระเชษฐบรมราชาอนันตยศวรราชเจ้า องค์เป็นอิสสราธิบัตติองค์ เป็นเจ้าแก่รัฐประชาในไชยนันทเทพบุรีนครราชธานีนครเมืองน่าน พระนามเจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ ที่ปรากฏในกฎหมายอาณาจักรหลักคำเมืองน่าน
- สมเด็จเสฏฐบรมบพิตรเจ้ามหาชีวิตองค์อนันตวรฤทธิเดช กุลเชษฐมหันต์ ชัยนันทเทพ บรมมหาราชพงษาธิบดี มหาอิสราธิปติในสิริชัยนันทเทพบุรี พระนามเจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ ที่ปรากฏในศิลาจารึก วัดดอนไชย
พระอิสริยยศ
เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้านครเมืองน่าน ทรงดำรงพระอิสริยยศ ดังนี้
- เจ้าพระพิไชยราชา เมืองน่าน
- เจ้าพระยารัตนหัวเมืองแก้ว เมืองน่าน
- เจ้าพระยาบุรีรัตน เมืองน่าน
- เจ้าพระยามงคลวรยศ เจ้านครเมืองน่าน
- เจ้าอนันตวรฤทธิเดช กุลเชษฐมหันต์ ไชยนันทบุร มหาราชวงษาธิบดี เจ้านครเมืองน่าน
เครื่องอิสริยยศที่ได้รับพระราชทาน
- ในปี พ.ศ. 2395 เจ้าอนันตยศ เสด็จลงมาเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ กรุงเทพฯ เมื่อนั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเลื่อนอิสริยยศขึ้นเป็น "เจ้าพระยามงคลวรยศ เจ้านครแมืองน่าน " และทรงได้รับพระราชทานเครื่องประกอบอิสริยยศ ดังนี้
- เสื้อแขบคำ
- ผ้านุ่งแขบคำ
- พระมาลาสุบหัว
- กระโถนคำ
- คนโทคำ
- พานหมากคำเครื่องในคำ
- ปืนชนิดดี 1 บอก
- ดาบฝักคำ 1 เถื่อน
- โถเงิน 2 ใบ
- ทวน 2 เล่ม
- ในปี พ.ศ. 2399 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเลื่อนอิสริยยศ "เจ้าพระยามงคลวรยศ เจ้าเมืองน่าน" ขึ้นเป็น "เจ้าอนันตวรฤทธิเดช กุลเชษฐมหันต์ ไชยนันทบุร มหาราชวงษาธิบดี เจ้านครเมืองน่าน " และทรงได้รับพระราชทานเครื่องประกอบอิสริยยศ ดังนี้
- ทรงประพาศ
- กระโจมหัวคำ
- แท่นแก้ว 5 ชั้น
- เสตฉัตรขาว 7 ใบ
- ดาบหลูปคำ
- ทวนเขียวคำ ฝักเขียว 4 เล่ม
- ปืนชนิดดี 2 บอก
- กระโถนคำ 1
- พานหมากคำ 1
- มีดด้ามคำ 1
- มปัดตีคำ 2 แถว
- รูปม้าคำ 1
- โต๊ะเงิน 1 ใบ
- เบ้ายาคำ 1
ราชโอรส ราชธิดา
เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 62 ทรงมีพระอรรคราชเทวี , พระราชเทวี , หม่อม 12 องค์ และพระโอรสพระธิดา รวมทั้งสิ้น 31 พระองค์ (อยู่ในราชสกุล ณ น่าน สายที่ 2) มีรายพระนามตามลำดับ ดังนี้
- พระชายาที่ 1 แม่เจ้าสุนันทาอรรคราชเทวี ประสูติพระโอรสพระธิดา 6 พระองค์ ดังนี้
- เจ้ามหาพรหม ณ น่าน ภายหลังเป็น เจ้าอุปราช นครเมืองน่าน
- เจ้าสุริยะ ณ น่าน ภายหลังเป็น พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช พระเจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 63
- เจ้าสิทธิสาร ณ น่าน ภายหลังเป็น เจ้าอุปราช นครเมืองน่าน
- ภายหลังเป็น
- เจ้านางหมอกแก้ว ณ น่าน
- เจ้านางคำทิพ ณ น่าน
- พระชายาที่ 2 แม่เจ้าขอดแก้วอรรคเทวี ประสูติพระโอรสพระธิดา 2 พระองค์ ดังนี้
- เจ้ามหาพรม ณ น่าน ภายหลังเป็น เจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 64
- เจ้านางยอดมโนลา ณ น่าน (เจ้านางเบาะ)
- พระชายาที่ 3 แม่เจ้าคำปิวราชเทวี
- - ไม่มีประสูติกาล
- พระชายาที่ 4 แม่เจ้าบัวเขียวราชเทวี ประสูติพระธิดา 1 พระองค์ ดังนี้
- เจ้านางปิว ณ น่าน
- พระชายาที่ 5 แม่เจ้าแว่นเทวี ประสูติพระโอรสพระธิดา 3 พระองค์ ดังนี้
- เจ้านางแก้วไหลมา ณ น่าน
- เจ้านางบุษบา ณ น่าน
- เจ้าบุญสวรรค์ ณ น่าน
- พระชายาที่ 6 แม่เจ้าอัมราเทวี ประสูติพระโอรสพระธิดา 2 พระองค์ ดังนี้
- เจ้าฟ้าร่วนเมืองอิน ณ น่าน
- เจ้านางขันคำ ณ น่าน
- พระชายาที่ 7 แม่เจ้าปาริกาเทวี ประสูติพระโอรสพระธิดา 8 พระองค์ ดังนี้
- ภายหลังเป็น เสกสมรสกับเจ้านางบัวเขียว (พระธิดาองค์ที่ 7 ใน พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 63 กับแม่เจ้ายอดหล้าอรรคราชเทวี (พระชายาองค์ที่ 1)
- เจ้าบัวเลียว ณ น่าน
- เจ้าหยั่งคำเขียว ณ น่าน
- ภายหลังเป็น
- เจ้าหมอกมุงเมือง ณ น่าน
- ภายหลังเป็น
- เจ้าสุทธนะ ณ น่าน
- เจ้านางคำเขียว ณ น่าน
- พระชายาที่ 8 แม่เจ้าสุคันธาเทวี ประสูติพระโอรสพระธิดา 4 พระองค์ ดังนี้
- ภายหลังเป็น
- เจ้านางเกียงคำ ณ น่าน
- เจ้านางเหมือย ณ น่าน
- เจ้านางสาวดี ณ น่าน
- พระชายาที่ 9 แม่เจ้าแว่นเทวี
- - ไม่มีประสูติกาล
- หม่อมที่ 10 หม่อมแก้ว ชายา ประสูติพระโอรสพระธิดา 2 พระองค์ ดังนี้
- เจ้ามหาวงษ์ ณ น่าน
- เจ้านางปอก ณ น่าน
- หม่อมที่ 11 หม่อมคำแปง ชายา ประสูติพระโอรสพระธิดา 2 พระองค์ ดังนี้
- เจ้าน้อยนนต์ ณ น่าน
- เจ้านางบัวแฝง ณ น่าน
- หม่อมที่ 12 บาทบริจาริกา ประสูติพระโอรส 1 พระองค์
- เจ้าหนานมหาวงษ์ ณ น่าน
พิราลัย
ถึงแก่พิราลัย
เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 62 ประชวรด้วยพระโรคชรา พระอาการทรงบ้างทรุดบ้างเสมอมา ครั้นถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2435 พระอาการได้กำเริบมากขึ้น แพทยหลวงได้ประกอบโอสถถวายการรักษาโดยเต็มกำลังพระอาการหาคลายไม่ ครั้นถึงวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2435 ก็ได้เสด็จถึงแก่พิราลัย ณ หอคำคุ้มหลวงนครน่าน สิริพระชนมายุได้ 87 ปี 5 เดือน 28 วัน รวมระยะเวลาที่ทรงปกครองนครน่าน 40 ปี 24 วัน
พระราชทานหีบศิลาน่าเพลิง
วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2435 (รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๑) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานหีบศิลาหน้าเพลิง แลของไทยธรรมทั้งเครื่องสำหรับเกียรติยศ ให้ข้าหลวงและเจ้าพนักงานคุมไปพระราชทานในการปลงศพ เจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้านครเมืองน่าน โดยพระราชทาน โกศแปดเหลี่ยม กลองชะนะเขียว 5 คู่ ฉัตรเบญจา 2 คู่ ไตร 10 ไตร เงิน 1 ชั่ง ผ้าขาว 20 ผับ ร่ม 50 คัน รองเท้า 50 คู่ และหีบศิลาหน้าเพลิง 1 สำหรับ
พระราชทานเพลิงพระศพ
วันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2436 (รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๒) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาสุนทรนุรักษ์ (เลื่อง ภูมิรัตน์) ข้าหลวง กับพระอนุรักษ์สมบัติพนักงาน พร้อมด้วย เจ้าราชวงษ์ (สุริยะ ณ น่าน) ว่าที่เจ้าอุปราชนครเมืองน่าน แลเจ้านายบุตรหลานญาติพี่น้อง ได้ยกพระศพเจ้าอนันตวรฤทธิเดช ลงโกษตั้งเหนือชั้นแว่นฟ้าแห่เข้าพระเมรุ เชิญหีบศิลาน่าเพลิงตั้งไว้ในที่สมควร ได้มีการกุศลแลการมหรศพครบ 7 วัน ครั้นถึงวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2436 (รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๒) เป็นวันพระราชทานเพลิงพระศพของหลวง พระราชทานของทัยธรรมต่างๆ แลเครื่องพระราชทานเพลิงพร้อม
ราชวงษปกรณ์ พงษาวดารเมืองน่าน ได้ระบุว่า
ภายหลังจากที่ เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้านครเมืองน่าน ได้เสด็จถึงแก่พิราลัย เมื่อวันศุกร์ ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2435 ณ คุ้มหลวงนครน่าน เมื่อนั้นเจ้าอุปราช ก็ให้เจ้านายผู้ใหญ่ผู้น้อยลงไปกราบทูลพระมหากระษัตริย์เจ้าในกรุงเทพมหานคร ว่าด้วย เจ้าอนันตวรฤทธิเดช กุลเชษฐมหันต์ ไชยนันทบุรมหาราชวงษาธิบดี เจ้านครเมืองน่าน ถึงแก่พิราลัย
ในปี พ.ศ. 2435 เจ้ามหาอุปราชาหอน่า เป็นประธาน และพระยาสุนทรนุรักษ์ ข้าหลวงใหญ่ประจำนครเมืองน่าน และเจ้าราชวงษ์ เสนาอามาตย์ก็ได้กะเกณฑ์ไพร่พลบ้านเมืองให้ตัดไม้มาสร้างพระเมรุ
ในปี พ.ศ. 2435 เจ้ามหาอุปราชาหอน่า เป็นประธาน เจ้าราชวงษ์ และพระยาสุนทรนุรักษ์ ข้าหลวงใหญ่ประจำนครเมืองน่าน พร้อมด้วยหน่อมหาขัติยราชวงษา และเสนาอามาตย์ทั้งหลายก็พร้อมกันแล้ว ก็ชุมนุมมายังช่างไม้ทั้งหลาย ให้สร้างมหาปราสาทพระเมรุหลวงหลังใหญ่ ที่สุสานหลวงข่วงดอนไชย ลุ่มวัดหัวเวียงหั้นแล เจ้ามหาอุปราชาหอน่า ก็ได้แต่งให้พระยาหลวงจ่าแสนราชาไชยอภัยนันทวรปัญญาวิสุทธิมงคล ให้เป็นหัวหน้าในการจัดการควบคุมยังช่างไม้ทั้งหลาย ที่สร้างมหาปราสาทพระเมรุหลวง มหาปราสาทพระเมรุหลวง สร้างเป็นจตุรมุข ออก 4 ด้านหลังมุงยอดภายในบนประดับแล้วไปด้วยน้ำสีต่าง ๆ ใส่ข้างยอดช่องฟ้าและปวงปี บนยอดใส่เสวตรฉัตรงามดีสอาด แล้วก็แต่งสร้างศาลาบาดล้อมแง่ 14 ด้านจอดติดกันมุงด้วยคา หุ้มด้วยผ้าขาว ทั้ง 4 ด้าน มีประตูทั้ง 4 ด้าน สามารถไขเปิดได้ แล้วก็ตกแต่งด้วยโคมไฟ มากมาย
ครั้นถึงวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2436 ก็ได้เชิญเอาพระบรมศพเจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ ลงจากหอคำราชโรงหลวง ก็กระทำสงเสพด้วยดุริยดนตรีนันทเภรีพันสอาด แต่งรูปเทวบุตร 32 ตนไปก่อนน่าแทนแห่ เอาพระศพพระเจ้าฟ้าไปสู่ปราสาทพระเมรุหลวงวันนั้นแล แล้วก็ตั้งเขาอันม่วน มโหรสพ อย่างยิ่งใหญ่ ฝูงประชาไพร่สนุกใจ กระทำบุญให้ทานไปไม่ให้ขาดหยาดน้ำอุทิศส่วนบุญ คือว่ามหาบังสกุลเปนต้นหั้นแล
ครั้นถึงวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2436 ก็ได้พร้อมกันอัญเชิญเอาพระบรมศพ พระเจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ ไปถวายพระเพลิงวันนั้นแล
ครั้นถึงวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2436 เจ้ามหาอุปราชาสุวรรณฝ่ายน่าหอคำ เจ้าราชวงษาเป็นประธาน และหน่อขัติยวงษา เสนาอามาตย์ทั้งหลายก็พร้อมกันอังคาตราธนาเอายังมหาอัฐิเจ้า เสด็จลงจากพระเมรุแล้วก็สงเสพด้วยดุริยดนตรีแห่นำเข้ามาให้สถิตย์อยู่ในพระวิหารหลวงวัดพระธาตุช้างค้ำก่อน แล้วก็กระทำบังสกุลพระอัฐิเจ้าทำบุญหื้อทานอยู่ในที่นั้น
ครั้นถึงวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2436 ก็พร้อมอาราธนาเอาพระมหาอัฐิเจ้าขึ้นสถิตย์ในพระสูป ณ ข่วงพระธาตุเจ้า วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร ณ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวัด
พระกรณียกิจ
(1.) ด้านการถวายความจงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรี
เจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 62 (14 พฤษภาคม พ.ศ. 2395 - 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2435) ได้เข้าเฝ้าทูลอองธุลีพระบาทถวายความจงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรี ดังนี้
- เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2426 เวลาบ่าย 4 โมงเศษ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์เครื่องยศทหาร ทรงสพายสายเครื่องราชอิสสริยาภรณ์ตรามหาสุราภรณ์และดวงพระตราอื่นๆ เสด็จออกท้องพระโรงกลางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชการฝ่ายทหารพลเรือนเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทตามตำแหน่ง
เจ้าพนักงานประโคมแตรตามธรรมเนียมเสด็จออก ทหารแตรเป่าสรรเสริญพระบารมี เจ้าพนักงานประโคมจบแล้ว กรมมหาดไทยนำ เจ้าราชวงศ์แสนท้าวพระยาลาวเมืองน่านเข้ามาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระยาศรีอ่านศุภอักษร เจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้านครเมืองน่าน ว่าแต่งให้เจ้าราชวงศ์คุมต้นไม้ทองเงินเครื่องราชบรรณาการ จำนวนปีมะเมียจัตวาศก ลงมาทูลเกล้าฯ ถวาย และขอปืนหามแล่น กระสุนดินประสิว มาศพริกไทย กระวาน กานพลูขึ้นไปไว้สำหรับราชการ และว่ามิสโอซื้อไม้ซุงไว้ราคา 12 ชั่ง ยังไม่ได้ให้เงิน ได้มาฟ้องเจ้าพระยาภูธราภัยแต่ยังอยู่ เจ้าพระยาภูธราภัยผัดไว้นานแล้ว ได้มาเตือนเจ้าพระยาภูธราภัยว่ามิสโอตายเงินก็ไม่ได้ รายหนึ่งว่าพระยาพิษณุโลก (พุ่ม) ให้ขุนอมรศักดาวุธขึ้นไปซื้อช้างมาใช้การเมืองพิษณุโลก ขุนอมรศักดาวุธ กู้เงินเจ้าอนันตวรฤทธิเดช 200 แน่น ยังไม่ได้ใช้เงิน เตือนก็ผัดไปนานแล้ว เงิน 2 รายนี้ จะควรอย่างไร และว่าเจ้านายเมืองน่านจัดได้ขี้ผึ้งหาบ 1 ผ้าขาว 100 เพลา ทูลเกล้าฯ ถวายในสมเด็จพระนางเจ้า ทรงพระราชปฏิสันถาร 3 นัดตามธรรมเนียมแล้วเสด็จขึ้น - วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2431 เวลา 4 ทุ่มเสศ เสด็จออกขุนนาง กรมมหาดไทยอ่านบอก เจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้านครเมืองน่าน ถวายพระราชกุศลทำบุญสงกรานต แลว่าด้วยพระยาสุรศักดิ เชิญตราขึ้นไปถึง ได้มอบเครื่องราชอิศริยยศช้างเผือกสยาม ชั้นที่ 3 ให้เจ้าราชวงษแล้ว กับว่าเจ้าอุปราช เจ้าราชบุตร นครเมืองน่านถึงแก่กรรม ได้ให้เจ้าน้อยบุญหลง บุตรเจ้าอุปราช คุมเครื่องยศเจ้าอุปราชแลเจ้าราชบุตรลงมาส่ง อีกฉบับ 1 ว่าได้ข่าวม้าประหลาดลายดำลายขาว (คือผ่าน) ที่เมืองพง 1 เมืองไทร 1 จึงแต่งคนไปซื้อมาได้ม้า 1 ราคา 310 แถบ แต่ที่เมืองพงนั้นให้ช้างแลกไป ช้าง 1 จึงให้เจ้าน้อยบุญหลง คุมลงมาถวาย กับใบบอกพระยาศุโขไทยว่าเจ้าน้อยบุญหลงคุมม้าขาวมีลายดำมาถึงเมืองพิไชย ม้าตัวย่อมป่วย ได้ภักรักษาอาการหาคลายไม่ ม้าล้มม้า 1
กรมมหาดไทยนำนายน้อยบุญหลง นายน้อยมโนรส นายหนานสาร นายหนานอัก เฝ้าทูลลอองธุลีพระบาท - เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2433 เจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้านครเมืองน่าน เจ้านายบุตรหลานแสนเท้าพระยานครเมืองน่าน ลงวันที่ 19 มกราคม ร.ศ. 108 ความว่า เจ้าอนันตวรฤทธิเดช จัดได้นรมาต 2 ยอด หนัก 2 ชั่ง แต่งให้นายน้อยบรม นายน้อยบุญเลิศ นายหนานมหาวงษ์ แสนท้าวพระยาคุมลงมาทูลเกล้าฯ ถวาย กับขอนายบรมเป็นที่เจ้าบุรีรัตน แลเจ้าอนันตวรฤทธิเดช อายุได้ 84 ปี เดินไปทางไกลหาได้ไม่ ขอรับพระราชทานแคร่ขึ้นไปขี่พอเปนเกียรติยศต่อไป
แล้วพระยาศรีสิงหเทพ นำนายน้อยบรม นายน้อยบุญเลิศ นายหนานมหาวงษ์ พระยาไชยราศ พระยาไชยศาล หลวงพรหมศาล เฝ้าทูลลอองธุลีพระบาท จำนวนคนนายไพร่ที่ลงมาครั้งนี้ 50 คน
มีพระราชปฏิสัณฐาร ถึงเจ้าอนันตวรฤทธิเดช แลเจ้านายบุตรหลานแสนเท้าพระยา ซึ่งมาเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทครั้งนี้ทั่วกัน
และมีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าไชยยันตมงคล ให้ทำแคร่พระราชทานเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้านครเมืองน่าน - เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2433 เวลาบ่าย 5 โมงเศษ เสด็จทรงรถพระที่นั่งประพาศถนนตามเคย ไปตามถนนบำรุงเมืองประทับวังพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นศิริธัชสังกาศ แล้วเสด็จรถพระที่นั่งประทับวังพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ ประตูสามยอด เวลาทุ่มเศษเสด็จกลับถึงพระบรมมหาราชวัง
เวลายามเศษเสด็จขึ้นจากประชุมปฤกษาราชการข้างใน แล้วเสด็จออกขุนนางตามเคย
แล้วพระยาราชวรานุกูล นำพระยาพิบูลย์สงคราม ผู้ว่าราชการเมืองนครนายก แลเจ้าบุรีรัตนนครเมืองน่าน กราบถวายบังคมลาขึ้นไปรักษาราชการบ้านเมือง โปรดเกล้าฯ ให้พระราชทาน ถาดหมาก ๑ คนโททองคำ ๑ ลูกประคำทองคำ ๑ แลผ้าพรรณนุ่งห่ม แก่พระยานครนายก ถาดหมาก ๑ คนโทเงิน ๑ แลผ้าพรรณนุ่งห่ม แก่เจ้าบุรีรัตน์นครเมืองน่าน
แล้วมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานพรไปถึงเจ้านครเมืองน่าน ด้วย
แล้วดำรัสถามพระยาศรีว่าแคร่ที่จะพระราชทานเจ้านครเมืองน่าน นั้นได้มอบให้เจ้าบุรีรัตน์แล้วฤๅยัง พระยาศรีกราบบังคมทูลว่าได้มอบแล้ว
(2.) ด้านการปกครองเมือง
- สร้างคุ้มหลวงนครน่าน
คุ้มหลวงพระเจ้านครน่านหรือ “หอคำเมืองน่าน” หอคำคุ้มหลวงนครน่าน ตรงใจกลางเมืองเป็นที่อยู่ของเจ้าผู้ครองนคร เรียกว่าคุ้มหลวงและหอคำ “ คุ้ม” ตรงกับภาษาไทยใต้เรียกว่า “ วัง” คุ้มหลวง ก็คือวังใหญ่นั่นเอง และ “ หอคำ” นั้นตรงกับภาษาไทยใต้เรียกว่า “ ตำหนักทอง” อันสร้างขึ้นไว้ในบริเวณคุ้มหลวงเป็นเครื่องประดับเกียรติยศของเจ้าผู้ครองนคร บรรดาเมืองประเทศราชในลานนาไทยทั้งปวง ย่อมมีบริเวณที่คุ้มหลวงสำหรับเมือง ใครได้เป็นเจ้าเมืองจะเป็นโดยได้สืบทายาทหรือไม่ก็ตาม ย่อมย้ายจากบ้านเดิมไปอยู่ในคุ้มหลวง แต่ส่วนเหย้าเรือนในคุ้มหลวงนั้นแต่ก่อนสร้างเป็นเครื่องไม้ ถ้าเจ้าเมืองคนใหม่ไม่พอใจจะอยู่ร่วมเรือนกับเจ้าเมืองคนเก่าก็ย่อมจะให้ รื้อถอนเอาไปปลูกถวายวัด ( ยังปรากฏเป็นกุฏิวิหารของวัดที่เมืองน่านบางแห่ง ) แล้วสั่งกะเกณฑ์ให้สร้างเรือนขึ้นอยู่ตามชอบใจของตน ส่วนหอคำนั้น มิได้มีทุกเมืองประเทศราช เพราะหอคำหลวง เป็นเครื่องประดับพระเกียรติพิเศษ สำหรับตัวเจ้าผู้ครองนคร ต่อเจ้าผู้ครองเมืองคนใดได้รับเกียรติเศษสูงกว่าเจ้าผู้ครองเมืองโดยสามัญ ก็สร้างหอคำขึ้งเป็นที่อยู่เฉลิมพระเกียรติยศ
หอคำหลวงเมืองน่าน สร้างขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2399 - พ.ศ. 2400 ในสมัยของเจ้าอนันตวรฤทธิเดช กุลเชษฐมหันต์ ไชยนันทบุรมหาราชวงศาธิบดี เจ้านครเมืองน่าน ปรากฏในพงศาวดารเมืองน่าน ว่าเมื่อพระยาอนันตยศ ย้ายกลับมาตั้งอยู่ ที่เมืองเก่าแล้ว ต่อมาอีกปีหนึ่งคือปี พ.ศ. 2399 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระยาอนันตยศเลื่อนขึ้นเป็นเจ้าอนันตวรฤทธิเดช กุลเชษฐมหันต์ ไชยนันทบุรมหาราชวงศาธิบดี เจ้านครเมืองน่าน มีพระเกียรติยศสูงกว่าเจ้าเมืองน่านคนก่อนๆ ซึ่งเคยมียศเป็นแต่พระยา ฉะนั้นในปี พ.ศ. 2400 เจ้าอนันตวรฤทธิเดชจึงสร้างหอคำขึ้นและให้เปลี่ยนชื่อคุ้มหลวงว่า “ คุ้มแก้ว” เพื่อให้วิเศษเป็นตามลักษณะของหอคำ
หอคำหลวง ที่สร้างขึ้นในครั้งนั้น เป็นอาคารไม้สักผสมไม้ตะเคียน หลังคาเป็นทรงจั่ว มุงกระเบื้องไม้แป้นเกล็ด ประดับช่อฟ้าใบระกาและหางหงส์ ตามแบบศิลปะพื้นบ้านเมืองน่าน มีบันไดทางขึ้นสองด้าน มีกำแพงอิฐทั้งสี่ด้าน เป็นตัวเรือนรวมอยู่ในคุ้มแก้ว 7 หลัง โดยเฉพาะตัวเรือนที่เป็นหอคำมีห้องโถงใหญ่ นับว่าเป็นทำนองท้องพระโรงสำหรับเป็นที่ว่าราชการ
ต่อมาในปี พ.ศ. 2446 พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช พระเจ้าผู้ครองนครเมืองน่าน ได้โปรดให้รื้อลงและสร้างหอคำขึ้นใหม่ตามแบบสถาปัตยกรรมตะวันตกผสมล้านนา ซึ่งปัจจุบันคือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน สมุดภาพปักปันเขตแดน ร.ศ. 124 โดยกรมการปกครอง
- กฎหมายเมืองน่าน
--- อาณาจักรหลักคำ หรือ กฎหมายเมืองน่าน สร้างขึ้นและใช้ในปี พ.ศ. 2396 - พ.ศ. 2451 ลักษณะเป็นพับสา มีไม้ประกับสองด้าน จำนวน 1 เล่ม 61 หน้า มีขนาดความกว้าง 11.8 เซนติเมตร ยาว 36.5 เซนติเมตร และหนา 5 เซนติเมตร ต้นฉบับเป็นอักษรธรรมล้านนา ภาษาไทยยวน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ได้รับมอบจาก นางสุภาพ สองเมืองแก่น เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2530
--- อาณาจักรหลักคำ หรือ กฎหมายเมืองน่าน นอกจากจะมีความสำคัญในเมืองน่านเมื่อครั้งอดีตแล้ว ในปัจจุบันยังนับเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่มีคุณค่าความสำคัญจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น "เอกสารมรดกความทรงจำแห่งโลก" ของประเทศไทย ส่วนท้องถิ่น เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2559
--- คำว่า "อาณาจักรหลักคำ" มีความหมายว่า "อาณาจักร" ในที่นี้หมายถึง "กฎหมาย" ดังปรากฏข้อความตอนหนึ่งในอาณาจักรหลักคำว่า "จึ่งได้หาเอาเจ้านายพี่น้องขัตติยราชวงสา ลูกหลานและท้าวพญาเสนาอามาตย์ ขึ้นเปิกสาพร้อมกันยังหน้าโรงไชย เจ้าพระยาหอหน้าเปิกสากันพิจารณา ด้วยจักตั้งพระราชอาณาจักรนั้นตกลงแล้ว” และในอีกนัยหนึ่ง กล่าวว่า "อาณา" เป็นคำบาลีตรงกับ "อาชญา" ซึ่งเป็นคำสันสกฤต แปลว่า อำนาจการปกครอง จักร แปลว่า ล้อ แว่นแคว้น รวมความแล้วจึงหมายถึง อำนาจปกครองของบ้านเมือง ส่วนคำว่า “หลักคำ” หมายถึง หลักอันมีค่าประดุจทองคำ คำว่า อาณาจักรหลักคำ จึงอาจหมายถึง “กฎหมายที่ใช้เป็นหลักในการปกครองบ้านเมืองอันมีคุณค่าประดุจดั่งทองคำ”
--- อาณาจักรหลักคำ หรือ กฎหมายเมืองน่าน ได้บัญญัติขึ้นเมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2396 โดยเจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 62 (14 พฤษภาคม พ.ศ. 2395 - 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2435) กฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายที่ใช้ปกครองเฉพาะในเมืองนครน่านและหัวเมืองต่างๆที่ขึ้นกับเมืองนครน่าน เหตุที่ต้องมีการออกกฎหมายได้มีการกล่าวไว้ในตอนต้นของกฎหมายอาณาจักรหลักคำว่า .. บ้านเมืองในขณะนั้นเกิดความวุ่นวาย มีการลักขโมย การเล่นการพนัน ตลอดจนปัญหาต่างๆ ที่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้คนในเมือง เพื่อให้บ้านเมืองเป็นไปด้วยความสงบสุขและเป็นระเบียบเรียบร้อย จึงได้กำหนดกฎหมายฉบับนี้ขึ้นมา .. โดยอาณาจักรหลักคำเป็นกฎหมายที่ใช้ปกครองภายในเมืองนครน่าน และเมืองต่างๆ ที่ขึ้นกับเมืองนครน่าน เรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ. 2451 ในรัชสมัยเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 63 (21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2436 - 5 เมษายน พ.ศ. 2461) ได้ประกาศให้ยกเลิกการใช้อาณาจักรหลักคำเป็นกฎหมายในการปกครองของเมืองนครน่าน และให้เปลี่ยนมาใช้กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ ของกรุงรัตนโกสินทร์แทน เนื่องด้วยในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีนโยบายในการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง จึงทรงปฏิรูปการปกครองมณฑลพายัพและส่งข้าหลวงจากส่วนกลางมาเป็นส่วนหนึ่งของเค้าสนามหลวงประจำอยู่ที่เมืองนครน่าน
--- อาณาจักรหลักคำ มีลักษณะเป็นกฎหมายท้องถิ่น ซึ่งออกโดยเจ้าผู้ครองนครน่าน เจ้านายบุตรหลาน ขุนนาง และพ่อเมืองต่างๆ ร่วมกันออกตัวบทกฎหมายเพื่อใช้ภายในบ้านเมืองของตน โดยในการใช้กฎหมายนอกจากใช้ในเขตเมืองนครน่านโดยมีเค้าสนามหลวงดำเนินการแล้ว ยังมีการกระจายอำนาจให้กับหัวเมืองต่างๆ ที่อยู่ภายใต้การปกครองของเมืองนครน่านให้มีอำนาจตัดสินคดีความ แต่หากคดีนั้นพิจารณาในหัวเมืองน้อยแล้วยังไม่ยอมความ สามารถที่จะฟ้องร้องต่อเค้าสนามหลวงในเวียงเพื่อพิจารณาคดีใหม่ได้
--- ในส่วนของเนื้อหากฎหมายในอาณาจักรหลักคำ อาจแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ กฎหมายในช่วงตอนต้นที่ออกในปี พ.ศ. 2395 และกฎหมายในช่วงตอนหลังที่ออกในปี พ.ศ. 2418
- กฎหมายอาณาจักรหลักคำ ที่บัญญัติขึ้นในปี พ.ศ. 2395 มีสาระสำคัญอยู่หลายมาตรา แต่ละมาตราจะมีรายละเอียดตัวบทกฎหมายและบทลงโทษผู้กระทำความผิดแตกต่างกันไป การทำความผิดในกรณีเดียวกันอาจรับโทษหนักเบาไม่เท่ากัน เนื่องจากมีการกำหนดระดับชนชั้นของผู้ที่กระทำความผิด คือ เจ้านาย ขุนนาง หรือ ไพร่ ชนชั้นสูงจะเสียค่าปรับมากกว่าสามัญชน กฎหมายที่สำคัญที่ลงโทษหนัก คือ การลักควาย ซึ่งในสมัยนั้นอาจมีการลักขโมยควายไปฆ่ากินอยู่บ่อยครั้ง จึงระบุโทษว่า ผู้ลักควายไปฆ่ากินจะมีโทษถึงขั้นประหารชีวิต เนื้อหาของกฎหมายในช่วงนี้มีเพียงตัวบทกฎหมายซึ่งมีการกำหนดบทลงโทษผู้กระทำผิดอย่างชัดเจน แต่ไม่มีตัวอย่างคดีความที่เกิดขึ้นจริงให้เห็นถึงการบังคับใช้กฎหมายปรากฏอยู่ แต่อย่างไรก็ตามเนื้อความในกฎหมายก็ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงการเมืองการปกครอง สภาพสังคมและเศรษฐกิจของเมืองน่านในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งกฎหมายส่วนใหญ่ในช่วงตอนต้นนี้มักจะมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของผู้คนในเมืองน่านในด้านต่างๆ ได้แก่ การเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ การเก็บของป่า การแลกเปลี่ยนสินค้า การประมง การแบ่งชนชั้น ตลอดจนความเชื่อค่านิยมและประเพณี ดังเนื้อความที่ปรากฏในอาณาจักรหลักคำ เช่น การทำเครื่องมือจับปลาในแม่น้ำจะต้องเว้นช่องไว้ให้เรือผ่านได้สะดวก , การห้ามฟันไร่บริเวณต้นน้ำและริมแม่น้ำ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดน้ำและนำน้ำเข้าสู่ไร่นา หากฝ่าฝืนมีโทษ เฆี่ยนหลัง ๓๐ แส้ และปรับเงิน ๓๓๐ น้ำผ่า นอกจากนั้นยังมีกฎหมายห้ามฆ่าค้างคาวในถ้ำ ห้ามเบื่อปลาในน้ำ และห้ามตัดต้นไม้บางชนิด , กฎหมายห้ามปลอมแปลงเงินตรา โดยมีโทษต้องเข้าคุก ปรับไหมและเฆี่ยนตี ความว่า “...คันว่าบุคคลผู้ใดเบ้าเงินแปลกปลอมและจ่ายเงินแปลกปลอมเงินดำคำเส้านั้น คันรู้จับตัวไว้จักเอาตัวเข้าใส่ราชวัตร ไว้แล้ว...จักไหม ๓๓๐ น้ำผ่า เฆี่ยน ๓๐ แส้...” เป็นต้น
- กฎหมายอาณาจักรหลักคำ ที่มีการบัญญัติขึ้นเพิ่มในปี พ.ศ. 2418 มีลักษณะแตกต่างจากช่วงตอนแรก ประกอบด้วย กฎหมายที่ออกเพิ่มเติมขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. ๒๔๑๘ , พ.ศ. ๒๔๒๓ และบันทึกการตัดสินคดี พ.ศ. ๒๔๑๙ และบันทึกกฎหมายเก่าที่ออกใน พ.ศ. ๒๓๘๗ นอกจากนี้ยังมีบันทึกเหตุการณ์ที่จดแทรกเข้ามา ได้แก่ บันทึกเหตุการณ์เจ้าเมืองล้าส่งบรรณาการมาให้เจ้าเมืองน่าน (พ.ศ. ๒๔๒๑) และจดบันทึกนาสักดิ์เจ้านาย ขุนนางและไพร่ แสดงให้เห็นว่าในช่วงตอนหลังการบันทึกในอาณาจักรหลักคำนอกจากกฎหมายที่ประกาศใช้แล้ว ยังมีการจดแทรกเพิ่มเติมเรื่องอื่นไว้ด้วยโดยไม่ได้ลำดับศักราชและเหตุการณ์ อย่างไรก็ตาม กฎหมายที่ออกในช่วง พ.ศ. ๒๔๑๘ ก็มีความสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคม จึงต้องออกกฎหมายใหม่เพิ่มเติมให้ทันกับสถานการณ์บ้านเมือง คือ เรื่องห้ามสูบฝิ่น ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุก ๓ ปี และกฎหมายห้ามจับควายละเลิง (ควายป่า, ควายไม่มีเจ้าของ) ที่มาของกฎหมายห้ามสูบฝิ่น แสดงให้เห็นถึงคนจีนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานค้าขายในเมืองน่านมากขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว สิ่งที่คนจีนนำเข้ามาคือการสูบฝิ่น สืบเนื่องมาจากมีเจ้านายบุตรหลานเมืองน่านผู้หนึ่งติดฝิ่น สร้างปัญหาให้กับบิดา จึงได้มีการเสนอเรื่องนี้พิจารณาในระดับชั้นเจ้า ในที่สุดเจ้าเมืองน่านจึงพิจารณาโทษเจ้านายบุตรหลาน และต่อมาก็ออกกฎหมายประกาศใช้ทั่วไป และมีหนังสือบันทึกกฎหมายใหม่ส่งไปยังหัวเมืองต่างๆในการปกครองของเมืองน่านได้รับรู้ด้วย
--- ปัจจุบัน อาณาจักรหลักคำ ซึ่งถูกจัดเก็บรักษาและจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ได้มีโครงการศูนย์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งจัดทำโครงการอนุรักษ์คัมภีร์ใบลาน ได้บันทึกภาพอาณาจักรหลักคำไว้ในรูปไมโครฟิล์ม เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2532 และต่อมาจึงได้มีการปริวรรตโดยศาสตราจารย์เกียรติคุณ สรัสวดี อ๋องสกุล
- กฎหมายสูงสุดที่ใช้ปกครองในอาณาจักรน่าน (ระหว่างปี พ.ศ. 2396 - พ.ศ. 2451) คือ '''กฎหมายพระราชอาณาจักรหลักคำของเจ้ามหาชีวิตน่าน'''
- ย้ายเมืองน่าน
ในปี พ.ศ. 2397 เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้านครมืองน่าน ได้ย้ายเมืองน่าน จากดงพระเนตรช้างกลับมาอยู่ที่หัวเวียงใต้ หรือเมืองน่านในปัจจุบัน และให้ซ่อมกำแพงเมืองให้มั่นคง โดยสร้างเป็นกำแพงอิฐ สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2400 ตัวเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหันหน้าออกสู่แม่น้ำน่าน ตัวกำแพงก่ออิฐถือปูนประดับใบเสมา ตั้งอยู่บนเชิงเทิน ซุ้มประตูและป้อมเป็นทรงเรือนยอด กำแพงสูงประมาณ 6 เมตร เชิงเทินกว้าง 2.20 เมตร ใบเสมากว้าง 1 เมตร ยาว 0.90 เมตร สูง 1.20 เมตร ความสูงจากเชิงเทินถึงใบเสมาประมาณ 2 เมตร
- กำแพงด้านทิศเหนือ มีความยาวประมาณ 900 เมตร มีสองประตู คือ
- ประตูริม : เป็นประตูเมืองที่ออกเดินทางสู่เมืองขึ้นของเมืองนครน่านทางภาคเหนือ เช่น เมืองเชียงคำ เมืองเทิง และเมืองเชียงของ เป็นต้น
- ประตูอมร : เป็นประตูที่เจาะขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2450
- กำแพงด้านทิศตะวันออก มีความยาวประมาณ 650 เมตร มีสองประตู คือ
- ประตูชัย : เป็นประตูที่เจ้าผู้ครองนครและเจ้านายชั้นสูงใช้ในการเสด็จทางชลมาร์คไปกรุงเทพฯ
- ประตูน้ำเข้ม : เป็นประตูเข้าออกสู่แม่น้ำน่านของประชาชนทั่วไป และใช้สำหรับติดต่อค้าขายทางน้ำ
- กำแพงด้านทิศใต้ มีความยาวประมาณ 1,400 เมตร มีสองประตู คือ
- ประตูเชียงใหม่ : เป็นประตูเมืองที่ใช้เดินทางไปสู่ต่างเมือง โดยเฉพาะเมืองนครเชียงใหม่
- ประตูท่าลี่ : เป็นประตูที่นำศพออกไปเผานอกเมือง ณ สุสานหลวงดอนไชย
- กำแพงด้านทิศตะวันตก มีความยาวประมาณ 950 เมตร มีประตูปล่องน้ำ มีสองประตู คือ
- ประตูปล่องน้ำ : ใช้ในการระบายน้ำจากตัวเมืองออกสู่ด้านนอก
- ประตูหนองห้า : เป็นประตูสำหรับคนในเมืองออกไปทำไร่ทำนาในทุ่งกว้าง และใช้ขนผลผลิตเข้ามาในเมือง
ลักษณะของประตูเมืองทำเป็นซุ้มบานประตูเป็นไม้ หลังคาประตูเป็นทรงเรือนยอดสี่เหลี่ยมซ้อนกันสามชั้น มีป้อมอยู่เพียงสามป้อมอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ และด้านตะวันตกเฉียงใต้ เป็นป้อมแปดเหลี่ยม หลังคาทรงเรือนยอดซ้อนกันสองชั้น หลังคาชั้นแรกเป็นทรงแปดเหลี่ยม ชั้นที่สองเป็นทรงสี่เหลี่ยม
(3.) ด้านศาสนา
เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 62 พระองค์ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในพระอาณาจักรเมืองน่าน ทั้งการสร้างวิหาร วัด พระพุทธรูป รวมไปถึงการอุปถัมภ์การบูรณะปฏิสังขรณ์ วัดวาอาราม ต่างๆ ในพระอาณาจักรนครเมืองน่าน ดังนี้
- พ.ศ. 2400 บูรณปฏิสังขรณ์พระวิหาร วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร
- พ.ศ. 2400 บูรณปฏิสังขรณ์พระวิหาร วัดกู่คำ
- พ.ศ. 2400 บูรณปฏิสังขรณ์พระวิหาร วัดศรีพันต้น
- พ.ศ. 2400 บูรณปฏิสังขรณ์พระวิหาร วัดมิ่งเมือง
- พ.ศ. 2400 สร้างพระวิหาร วัดนาปัง
- สร้างพระธาตุขิงแกง
- สร้างพระธาตุจอมทอง เมืองปง
- สร้างพระธาตุหนองบัว เมืองไชยพรหม
- พ.ศ. 2400 บูรณะปฏิสังขรณ์พระธาตุ วัดพญาภู
- พ.ศ. 2400 บูรณปฏิสังขรณ์พระธาตุเจ้าจอมจ้อ เมืองเทิง
- สร้างพระธาตุปูตุง เมืองอินทร์
- พ.ศ. 2400 บูรณปฏิสังขรณ์พระธาตุ วัดเบ็งสกัด เมืองปัว
- พ.ศ. 2410 บูรณปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวง วัดภูมินทร์
- พ.ศ. 2422 ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดดอนไชย เมืองศรีสะเกษ (ปัจจุบันอยู่ในเขต อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน)
- พ.ศ. 2425 บูรณปฏิสังขรณ์พระวิหาร วัดหัวข่วง
- พ.ศ. 2424 บูรณปฏิสังขรณ์พระธาตุสบแวน เมืองเชียงคำ
- พ.ศ. 2426 สร้างหอพระธรรม ณ คุ้มหลวงนครน่าน
- พ.ศ. 2427 สร้างพระวิหาร วัดม่วงใต้
- พ.ศ. 2427 บูรณะพระวิหารและพระอุโบสถ วัดสวนตาล
- พ.ศ. 2427 บูรณะพระวิหารและบูรณะพระธาตุวัดดอยเขาแก้ว (วัดเขาน้อย)
- พ.ศ. 2427 สร้างพระวิหารวัดมณเฑียร
- พ.ศ. 2427 ใส่ยอดฉัตรพระธาตุแช่แห้ง
- พ.ศ. 2427 สร้างพระวิหารวัดหัวข่วง
- พ.ศ. 2427 บูรณะพระอุโบสถวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร
นอกจากนี้ ยังได้สร้างธรรมนิทานชาดก และจารพระไตรปิฎกลงในคัมภีร์ใบลาน รวมได้ 335 คัมภีร์ นับเป็นผูกได้ 2,606 ผูก ได้นำไปมอบให้เมืองต่างๆ อาทิ เมืองนครลำปาง เมือนครลำพูน เมืองนครเชียงใหม่ และเมืองนครหลวงพระบาง เป็นต้น
การตั้งเมืองน่าน (ปัจจุบัน) เมื่อปี พ.ศ. 2400
เมืองนครน่าน (ณ ปัจจุบัน) นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2400 จนถึงปัจจุบัน เจ้าผู้ครองนครน่านที่เสวยราชย์สมบัติอยู่ที่เวียงเหนือสืบกันมาได้ 36 ปี จนถึงปี พ.ศ. 2398 พระยาอนันตยศ เจ้าเมืองน่าน (ภายหลังได้รับการสถาปนาเลื่อนอิสริยยศขึ้นเป็น เจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้านครเมืองน่าน คือ พระบิดาในพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช และเจ้ามหาพรหมสุรธาดา) จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจาก รัชกาลที่ 4 ย้ายเมืองกลับมาตั้งอยู่ที่เวียงเก่า (เมืองน่าน ปัจจุบัน) และโปรดให้ย้ายมาเมื่อปี พ.ศ. 2400 และโปรดให้สร้างคุ้มหลวงหอคำเป็นที่ประทับของเจ้าผู้ครองนครน่าน สืบกันมาจนบัดนี้
ตัวเมืองน่าน ในปี พ.ศ. 2400
- กำแพงเมืองน่าน
ตัวเมืองน่านหันหน้าเมืองออกสู่แม่น้ำน่านซึ่งเป็นเบื้องตะวันออก มีกำแพง 4 ด้าน ด้านยาวทอดไปตามลำน้ำน่านเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตัวกำแพงสูงจากพื้นดินประมาณ 2 วา มีเชิงเทินกว้าง 3 ศอก ประกอบด้วยในเสมาตรงมุมกำแพงก่อป้อมไว้ทั้ง ๔ แห่ง มีปืนใหญ่ประจำป้อมๆละ 4 กระบอก มีประตู 7 ประตู ที่ประตูก่อเป็นซุ้ม ประกอบด้วยใบทวารแข็งแรง กำแพงด้านตะวันออกมีประตูชัย, ประตูน้ำเข้ม ด้านตะวันตกมีประตูท่อน้ำ, ประตูหนองห่าน ด้านใต้มีประตูเชียงใหม่, ประตู่ท่าลี่ มีคูล้อม 3 ด้าน เว้นด้านตะวันออกซึ่งเป็นลำแม่น้ำน่านเดิมกั้น
การก่อสร้างกำแพงเมืองเมื่อครั้งแรกมาตั้งเมืองนี้ มีเรื่องเล่ากันสืบมาเป็นทำนองเทพนิยายว่า ครั้งนั้นตกอยู่ในวัสสันตฤดู มีโคอศุภราชตัวหนึ่งวิ่งข้ามแม่น้ำน่านมาจากทางทิศตะวันออก ครั้นมาถึงที่บ้านห้วยไค้ก็ถ่ายมูลและเหยียบพื้นดินทิ้งรอยไว้ เริ่มแต่ประตูชัยบ่ายหน้าไปทิศเหนือแล้ววกไปทางทิศตะวันตกเป็นวงกลมสี่เหลี่ยมมาบรรจบรอยเดิมที่ประตูชัย แล้วก็นิราศอันตรธานไป ลำดับกาลนั้น พระยาผากองดำริที่จะสร้างนครขึ้นใหม่ ครั้นได้ประสบรอยโคอันหากกระทำไว้เป็นอัศจรรย์ พิเคราะห์ดูก็ทราบแล้วว่าสถานที่บริเวณรอบโคนั้นเป็นชัยภูมิดี สมควรที่จะตั้งนครได้ จึงได้ย้ายเมืองมาตั้งที่บ้านห้วยไค้นั้น และก่อกำแพงฝังรากลงตรงแนวทางที่โคเดินถ่ายมูลไว้มิได้ทิ้งรอยแนวกำแพงจึง มิสู้จะตรงนัก เพราะเป็นกำแพงโดยโคจร เรื่องนี้จะมีความจริงหรือไม่เพียงไรก็ตามเห็นว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติของเมืองนี้ ซึ่งชาวเมืองก็ยังนิยมเชื่อถือว่าเป็นความจริง และนำเอาคติที่เชื่อว่าโคเป็น ผู้บันดาลเมืองมาทำรูปโคติดไว้ตามจั่วบ้านเรือนเพื่อเป็นศิริมงคลอยู่ทั่วไป จึงนำมากล่าวไว้ด้วย
ประตูเมืองเป็นด่านสำคัญชั้นในของเมือง ในเวลาที่บ้านเมืองไม่ใคร่จะปกติราบคาบจึงต้องมีการรักษากันแข็งแรง ประตูเมืองทั้ง 7 นี้ มีนายประตูเป็นผู้รักษา มีหน้าที่ในการปิดเปิดประตูตามกำหนดเวลา คือ ปิดเวลาประมาณ 22.00 น. และเปิดในเวลาประมาณ 05.00 น. ถ้าเป็นเวลาที่ประตูปิดตามกำหนดเวลาแล้ว จะเปิดให้ผู้หนึ่งผู้ใดเข้าออกไม่ได้ และทั้งมีอาชญาของเจ้าผู้ครองนครบังคับเอาโทษแก่ผู้ที่ปีนข้ามกำแพงไว้ด้วย นายประตูเป็นผู้ที่เจ้าผู้ครองนครได้แต่งตั้งไว้ได้รับศักดิ์เป็นแสนบ้าง ท้าวบ้าง มีบ้านเรือนประจำอยู่ใกล้ๆ ประตูนั่นเอง ให้มีผลประโยชน์คือในฤดูเดือนยี่หรือเดือนสาม ซึ่งเป็นฤดูเก็บเกี่ยวข้าว เจ้านายท้าวพญาและราษฎรภายในกำแพงเมืองทั้งปวง เมื่อขนข้าวจากนาเข้ามาในเมืองทางประตูใด ก็ให้นายประตูนั้นมีสิทธิเก็บกักข้าวจากผู้นำเข้ามาได้หาบละ 1 แคลง (ประมาณ 1 ทะนาน) นอกจากนี้ นายประตูยังได้สิ่งของโดยมากเป็นอาหารจากผู้ที่ผ่านเข้าออกประตูเป็นประจำวันโดยนำตะกร้าหรือกระบุงไปแขวนไว้ที่หน้าประตูอันสุดแล้วแต่ใครจะให้อีกด้วย
(อาชญาของเมืองที่ต้องมีนายประตูดังกล่าวแล้วนี้ ได้เลิกไปเมื่อในสมัยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน)
- คุ้มหลวง - หอคำ (ราชวัง)
ตรงใจกลางเมืองเป็นที่อยู่ของเจ้าผู้ครองนคร เรียกว่าคุ้มหลวงและหอคำ “คุ้ม” ตรงกับภาษาไทยใต้เรียกว่า “วัง” คุ้มหลวง ก็คือวังใหญ่นั่นเอง และ “หอคำ” นั้นตรงกับภาษาไทยใต้เรียกว่า “ตำหนักทอง” อันสร้างขึ้นไว้ในบริเวณคุ้มหลวงเป็นเครื่องประดับเกียรติยศ
บรรดาเมืองประเทศราชในลานนาไทยทั้งปวง ย่อมมีบริเวณที่คุ้มหลวงสำหรับเมือง ใครได้เป็นเจ้าเมืองจะเป็นโดยได้สืบทายาทหรือไม่ก็ตาม ย่อมย้ายจากบ้านเดิมไปอยู่ในคุ้มหลวงทุกคน แต่ส่วนเหย้าเรือนในคุ้มหลวงนั้นแต่ก่อนสร้างเป็นเครื่องไม้ ถ้าเจ้าเมืองคนใหม่ไม่พอใจจะอยู่ร่วมเรือนกับเจ้าเมืองคนเก่าก็ย่อมจะให้รื้อถอนเอาไปปลูกถวายวัด (ยังปรากฏเป็นกุฏิวิหารของวัดที่เมืองน่านบางแห่ง) แล้วสั่งกะเกณฑ์ให้สร้างเรือนขึ้นอยู่ตามชอบใจของตน ส่วนหอคำนั้น มิได้มีทุกเมืองประเทศราช เพราะหอคำเป็นเครื่องประดับเกียรติพิเศษสำหรับตัวเจ้าผู้ครอง ต่อเจ้าผู้ครองเมืองคนใดได้รับเกียรติเศษสูงกว่าเจ้าผู้ครองเมืองโดยสามัญ ก็สร้างหอคำขึ้งเป็นที่อยู่เฉลิมเกียรติยศ
หอคำเมืองนครน่าน เพิ่งมีขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2400 มีเรื่องปรากฏในพงศาวดารเมืองน่านว่าเมื่อพระยาอนันตยศย้ายกลับมาตั้งอยู่ที่เมืองเก่าแล้ว ต่อมาอีกปีหนึ่ง พ.ศ. 2399 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเลื่อนอิสริยยศ พระยาอนันตยศ เจ้าเมืองน่าน ขึ้นเป็น เจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้านครเมืองน่าน ทรงมีพระเกียรติยศสูงกว่าเจ้าเมืองน่านองค์ก่อนๆ ซึ่งดำรงพระยศเป็นแต่ พระยาน่าน ฉะนั้นในปี พ.ศ. 2400 เจ้าอนันตวรฤทธิเดช จึงโปรดให้สร้างหอคำขึ้นและให้เปลี่ยนชื่อคุ้มหลวงว่า “คุ้มแก้ว” เพื่อให้วิเศษเป็นตามลักษณะของหอคำ
หอคำที่สร้างขึ้นในครั้งนั้น ตัวเรือนเป็นเครื่องไม้ เป็นตัวเรือนรวมอยู่ในคุ้มแก้ว 7 หลัง โดยเฉพาะตัวเรือนที่เป็นหอคำหลวงมีห้องโถงขนาดใหญ่ นับว่าเป็นทำนองท้องพระโรงสำหรับเป็นที่เสด็จออกว่าราชการ
เมื่อเจ้าอนันตวรฤทธิเดช ถึงแก่พิราลัย ในปี พ.ศ. 2435 เจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช ผู้เป็นพระโอรสจึงได้ขึ้นครองเมืองนครน่านสืบต่อไป ต่อมาในปี พ.ศ. 2437 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเลื่อนอิสริยยศ เจ้าราชวงษ์ ว่าที่เจ้าอุปราช นครเมืองน่าน ขึ้นเป็น เจ้าสุริยพงศ์ผริตเดชฯ เจ้านครเมืองน่าน เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2437 ก็ได้เสด็จเข้าไปประทับอยู่ในคุ้มแก้ว แล้วทรงโปรดให้เรียกว่า “คุ้มหลวง” ไปตามเดิม ล่วงเวลามาอีก 10 ปี ครั้นถึงปี พ.ศ. 2446 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเลื่อนพระอิสริยยศ เจ้าสุริยพงศ์ผริตเดชฯ เจ้านครเมืองน่าน ขึ้นเป็น พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ พระเจ้านครเมืองน่าน พระองค์จึงโปรดให้รื้อหอคำหลังเก่าไปถวายวัด แล้วทรงโปรดให้สร้างหอคำขึ้นใหม่โดยเป็นตึกก่ออิฐถือปูนขึ้นแทน และยังถาวรอยู่มาจนทุกวันนี้ ซึ่งขณะนี้ทางราชการได้ใช้เป็น
ภายในบริเวณหอคำหลวงนครน่าน (คุ้มแก้ว) ประกอบด้วย
- โรงม้า คือ คอกเลี้ยงม้า
- โรงแต๊ก คือ เป็นที่เก็บเครื่องอาวุธ หอก ดาบ ง้าว ปืนคาบศิลาและกระสุนดินดำ อันมีไว้สำหรับบ้านเมืองในอันที่จะใช้ในราชการทัพศึก
ณ ลานหน้าคุ้มแก้วเป็นที่ตั้งโรงช้าง ซึ่งเป็นพาหนะที่สำคัญของบ้านเมืองในสมัยนั้น บ้านเมืองที่เป็นเมืองชั้นราชธานี ย่อมจะรวบรวมสะสมช้างไว้มากทุกเมือง ยิ่งเป็นท้องที่ในภาคพายัพนี้แล้วช้างเป็นสิ่งจำเป็นในการลำเลียงและการทัพศึก ในสมัยนั้นเป็นอันมาก
1.) สนาม
ณ เบื้องขวาของคุ้ม ตรงข้ามกับวัดภูมินทรและที่โรงเรียนจุมปีวนิดาตั้งอยู่เดี๋ยวนี้เป็นที่ตั้งศาลาว่าการบ้านเมือง เรียกว่า “สนาม” ถัดไปเป็นศาลาสุรอัยการ 2 หลัง (สุรเพ็ชฌฆาต, อัยการ – คนใช้, คนเวร) คือเป็นที่สำนักของพวกเพ็ชฌฆาต และเป็นที่เก็บสรรพเอกสารของบ้านเมือง ซึ่งมีคนเวรอยู่ประจำ ถัดไปเป็นคอก (เรือนจำ) จะได้กล่าวต่อไปในเรื่องการปกครอง
2.) ฉางหลวง
ณ ศาลากลางจังหวัด เดิมเป็นที่ตั้งฉางของบ้านเมือง มีอยู่ 2 โรงด้วยกัน สำหรับเป็นที่เก็บเสบียงและพัสดุสิ่งของที่ใช้ในกิจการบ้านเมือง เป็นต้นว่าจำพวกเสบียงก็มี ข้าว เกลือ มะพร้าว พริก หอม กระเทียม ตลอดจนหมู เป็ด ไก่ ที่เป็นๆ สะสมไว้เป็นบางคราว และจำพวกเครื่องก็มี ขัน น้ำมันยาง ขี้ผึ้ง ดินประสิว กระดาษ เป็นต้น สิ่งของเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญของบ้านเมือง โดยเฉพาะเสบียงเป็นกำลังของรี้พลสำหรับป้องกันบ้านเมือง ซึ่งจะต้องมีให้พรักพร้อมอยู่เสมอ ทางบ้านเมืองได้กะเกณฑ์เอาสิ่งของเหล่านี้แก่พลเมือง เอามาขึ้นฉางไว้ทุกปี เรียกว่า “หล่อฉาง”
3.) บ้านเรือน
ในยุคนั้นได้ความว่าเมืองน่านมีภูมิฐานบ้านเรือนเป็นปึกแผ่นคับคั่งแล้ว แต่ภายนอกกำแพงนั้นเป็นป่ารกอยู่โดยมาก มีบ้านเรือนเบาบางไม่อุ่นหนาฝาครั่งเหมือนภายในกำแพงเมืองแต่บ้านเรือนนั้นไม่ใคร่จะเป็นที่เจริญนัก เพราะเครื่องมือที่จะตัดฟันไม้ไม่มีมากเหมือนเดี๋ยวนี้ จะทำอะไรก็ไม่ใคร่สะดวก เป็นต้นว่ากระดานก็ต้องถากเอาด้วยมีดและขวานเป็นพื้น ไม่มีเลื่อยจะใช้ ราษฎรไม่มีกำลังพอที่จะทำบ้านเรือนด้วยเครื่องไม้จริงได้ จึงต้องทำด้วยไม้ไผ่ เว้นแต่เจ้านายท้าวพญาผู้ซึ่งมีอำนาจใช้กะเกณฑ์ผู้คนได้ จึงจะปลูกบ้านได้งามๆ นอกจากนี้ยังมีกฎเกณฑ์ห้ามไว้ว่าบ้านเรือนราษฎรที่อยู่ภายในกำแพงเมืองก็ดี ภายนอกก็ดี จะมุงหลังคาด้วยกระเบื้องไม้ไม่ได้ด้วยถือว่าเป็นการกระทำเทียบเคียงหรือตีเสมอกับเจ้านาย มีอาชญาไว้ว่าเป็นความผิด ฉะนั้นบ้านเรือนจึงมุงหลังคาด้วยใบพลวงหรือแฝกเป็นพื้น
4.) วัด
วัดวาอารามภายในกำแพงเมืองครั้งนั้นคงมีจำนวนเท่ากับปัจจุบันนี้ แต่ส่วนมากเศร้าหมองไม่รุ่งเรือง มีวัดที่สำคัญอยู่ 2 วัด คือ วัดช้างค้ำกับวัดภูมินทร์ แท้จริงกิจการฝ่ายพระศาสนานี้อาจกล่าวได้ว่า ได้ย่างขึ้นสู่ความเจริญนับแต่ พ.ศ. 2400 เป็นต้นมา ปรากฏตามพงศาวดารเมืองน่านว่า เจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้าผู้ครองนครน่าน เป็นผู้มากด้วยศรัทธาแก่กล้าด้วยการบริจาคในอันที่จะเชิดชูพระศาสนาให้รุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่ง ในชั้วชนมายุกาลของท่านจึงเต็มไปด้วยเรื่องการสร้างบูรณะปฏิสังขรณ์โบสถ์ วิหาร เจดียสถาน ตามวัดทั้งในเมืองและนอกเมือง และสร้างคัมภีร์พระสูตรพระธรรมขึ้นไว้เกือบตลอดสมัย ความเจริญในฝ่ายพระศาสนาที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ ย่อมเป็นผลนับเนื่องในเนื้อนาบุญของท่านที่ได้ปลูกฝังไว้ด้วยดีแล้วส่วนหนึ่ง
5.) ตลาด
การค้าขายแลกเปลี่ยนคงกระทำกันแต่ที่กาดมั่ว (ตลาด) แห่งเดียวแท้จริง ที่เรียกว่าตลาดนี้ ยังไม่ถูกต้องดี เพราะตลาดในครั้งนั้นยังไม่มีตัวเรือนโรง เพียงแต่มีข้าวของอะไรก็นำมาวางขายกันตามสองฟากข้างถนนเท่านั้น ตำบลที่นัดตลาดอยู่ในกำแพงเมืองที่ถนนผากองเดี๋ยวนี้ตรงหน้าคุ้มข้างวัดช้างค้ำ นัดซื้อขายกันแต่เวลาเช้าเวลาเดียว สิ่งของที่นำมาขายกันเป็นจำพวกกับข้าวโดยมาก ส่วนร้านขายสิ่งของนั้นปรากฏว่ายังไม่มีเลย
6.) ถนน
ถนนหนทางในครั้งนั้น เท่าที่มีควรจะเรียกว่าเป็นตรอกทางเดินมากกวา เพราะมีส่วนกว้าง อย่างดีก็แต่เพียง 4 - 5 ศอก ถนนชนิดนี้แต่ภายในกำแพงเมืองซึ่งตัดจากประตูหนึ่งไปยังอีกประตูหนึ่ง นอกจากนี้ก็มีแต่ทางเดินธรรมดา
สงครามปราบฮ่อ
กองทัพฝ่ายเหนือ ซึ่งมี เป็นแม่ทัพนั้นยกออกจากกรุงเทพฯ โดยทางเรือเมื่อวันอังคารเดือน 11 แรม 11 ค่ำ ปีระกา พ.ศ. 2428 ขึ้นไปถึงเมืองพิชัยเมื่อเดือน 12 แรม 2 ค่ำ ตั้งประชุมพลที่เมืองพิชัยนั้น ได้โปรดฯ ให้พระยาศรีสหเทพ (อ่วม) ขึ้นไปเป็นพนักงานจัดเสบียงพาหนะส่งกองทัพ ได้จัดการเดินทัพขึ้นไปเมืองหลวงพระบางเป็น 3 ทาง คือ
- ทางที่ 1 กองทัพใหญ่จะยกจากเมืองพิชัยทาง 3 วันถึงเมืองฝาง ต่อนั้นไป 4 วันถึงท่าแฝกเข้าเขตเมืองน่าน ต่อไปอีก 6 วันถึงบ้านนาแล แต่บ้านนาแล 6 วัน รวม 13 วันถึงเมืองหลวงพระบาง
- ทางที่ 2 นั้น จะได้จัดแบ่งเครื่องยุทธภัณฑ์สำหรับกองทัพแต่งให้พระศรีพิชัยสงคราม ปลัดซ้ายกรมการเมืองพิชัย กับนายทหารกรุงเทพฯ ให้คุมไปทางเมืองน้ำปาด ตรงไปตำบลปากลายลงบรรทุกเรือขึ้นไปทางลำน้ำโขง ขึ้นบกที่เมืองหลวงพระบาง
- ทางที่ 3 เมื่อกองทัพใหญ่ยกไปถึงนครเมืองน่านแล้ว จะแต่งให้พระพลสงคราม เมืองสวรรคโลก กับนายทหารปืนใหญ่คุมปืนใหญ่และกระสุนดินดำแยกทางไปลงท่านุ่นริมแม่น้ำโขง จัดลงบรรทุกเรือส่งไปยังเมืองหลวงพระบาง
อนึ่ง เสบียงอาหารที่จะจ่ายให้ไพร่พลในกองทัพตั้งแต่เมืองพิชัย เป็นระยะตลอดไปกว่าจะถึงเมืองหลวงพระบางนั้น พระยาศรีสหเทพรับจัดส่งขึ้นไปรวบรวมไว้เป็นระยะทุก ๆ ตำบล ที่พักให้พอจ่ายกับจำนวนพลในกองทัพมิให้เป็นที่ขัดขวางได้
กองทัพตั้งพักรอพาหนะอยู่ ณ เมืองพิชัย ประมาณ 20 วัน ก็ยังหามาพรักพร้อมกับจำนวนที่เกณฑ์ไม่ ได้ช้าง 108 เชือก โคต่าง 310 ตัว ม้า 11 ตัวเท่านั้น แต่จะให้รอชักช้าไปก็จะเสียราชการ จึงได้จัดเสบียงแบ่งไปแต่พอควรส่วนหนึ่งก่อน อีกส่วนหนึ่งได้มอบให้กรมการเมืองพิชัยรักษาไว้ให้ส่งไปกับกองลำเลียง
ครั้น ณ วันศุกร์ เดือนอ้าย แรม 11 ค่ำ ปีระกา พ.ศ. 2428 เวลาเช้า 3 โมงเศษ เจ้าหมื่นไวยวรนารถยกกองทัพออกจากเมืองพิชัยให้นายร้อยเอกหลวงจำนงยุทธกิจ (อิ่ม) คุมทหารกรุงเทพฯ 100 คนเป็นทัพหน้า ให้นายจ่ายวด (สุข ชูโต) เป็นผู้ตรวจตรา ให้พระอินทรแสนแสง ปลัดเมืองกำแพงเพชรคุมไพร่พลหัวเมือง 100 คน เป็นผู้ช่วยกองหน้า สำหรับแผ้วถางหนทางที่รกเรี้ยวกีดขวางให้กองทัพเดินได้สะดวกด้วย ให้นายร้อยเอกหลวงอาจหาญณรงค์ กับนายร้อยเอกหลวงดัษกรปลาศ เป็นปีกซ้ายและขวา นายร้อยเอกหลวงวิชิต เป็นกองหลัง พระพลเมืองสวรรคโลกเป็นกองลำเลียงเสบียงอาหาร และกองอื่น ๆ นอกจากที่กล่าวมานี้ก็ให้ยกเป็นลำดับไปทุก ๆ กอง
ครั้น ณ วันพุธ เดือนยี่ แรมค่ำ 1 ปีระกา ฯ กองทัพได้ยกไปถึงสบสมุนใกล้กับเมืองน่าน ระยะทางราว 200 เส้นเศษ พักจัดกองทัพอยู่ใกล้เมือง เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้านครเมืองน่าน แต่งให้พระยาวังซ้าย และเจ้านายบุตรหลาน แสนท้าวพระยา คุมช้างพลายสูง 5 ศอก ผูกเครื่องจำลองเขียนทอง 3 เชือก กับดอกไม้ ธูปเทียนออกมารับ แม่ทัพจึงให้รอกองทัพพักอยู่นอกเมือง 1 คืน
ครั้นรุ่งขึ้นวันพฤหัสบดี เดือนยี่ แรม 2 ค่ำ เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้านครเมืองน่าน จึงแต่งให้ท้าวพระยาคุมช้างพลายผูกจำลองเขียนทอง ออกมารับ 3 เชือก และจัดให้เจ้าวังซ้ายผู้หลานคุมกระบวนออกมารับกองทัพด้วย เวลาเช้า 3 โมงเศษ เดินช้างนำทัพเข้าในเมืองพร้อมด้วยกระบวนแห่ที่มารับ ตั้งแต่กองทัพฝ่ายเหนือออกจากเมืองพิชัยไปจนถึงเมืองน่าน รวมวันเดินกองทัพ 17 วัน หยุดพักอยู่เมืองฝางและท่าแฝก 4 วัน รวมเป็น 21 วัน
เวลาบ่าย 3 โมงเศษ เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้านครเมืองน่าน พร้อมด้วยเจ้าอุปราช เจ้าราชวงศ์ เจ้านายบุตรหลาน แต่งตัวเต็มยศตามแบบบ้านเมืองมายังทำเนียบที่พักกองทัพนั้น ฝ่ายกองทัพก็ได้จัดทหารกองเกียรติยศ 12 คน มีแตรเดี่ยว 2 คัน คอยรับอยู่ที่ทำเนียบ เมื่อเจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้านครเมืองน่าน เสด็จมาถึงแล้วสนทนาปราศรัยไต่ถามด้วยข้อราชการ และอวยชัยให้พรในการที่จะปราบศัตรูให้สำเร็จ โดยพระบรมราชประสงค์ทุกประการและจัดพระพุทธรูปศิลาศรีพลี 1 องค์ พระบรมธาตุ 1 องค์ ให้แม่ทัพ เพื่อเป็นพิชัยมงคลป้องกันอันตรายในการที่จะไปราชการทัพนั้น กับให้ของทักถามแก่กองทัพสำหรับบริโภคด้วยหลายสิ่ง ครั้นรุ่งขึ้นแม่ทัพนายกองได้ไปเยี่ยมตอบเจ้านครเมืองน่าน กับเจ้าอุปราชเจ้าราชวงศ์และเจ้านายเมืองน่าน
ต่อมาพระยาศรีสหเทพข้าหลวงเชิญเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาสุราภรณ์มงกุฎสยามชั้นที่ 1 ซึ่งโปรดฯ พระราชทานแก่ เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้านครเมืองน่าน ขึ้นไปถึงแม่ทัพได้จัดพิธีรับพระราชทานตามธรรมเนียม
ครั้น ณ วันเสาร์ เดือนยี่ แรม 11 ค่ำ เจ้านครน่านได้ส่งช้างมาเข้ากองทัพ 100 เชือก แม่ทัพจึงให้เปลี่ยนช้างหัวเมืองชั้นในที่ได้บรรทุกกระสุนดินดำ เสบียงอาหารมาในกองทัพ 58 เชือก มอบให้พระพิชัยชุมพลมหาดไทยเมืองพิชัย คุมกลับคืนไปยังเมืองพิชัย เพื่อจะได้บรรทุกเสบียงลำเลียงเข้าจากเมืองพิชัยขึ้นมาส่งยังฉางเมืองท่าแฝก ซึ่งพระยาสวรรคโลกได้มาตั้งฉางพักเสบียงไว้สำหรับเมืองน่านจะมารับลำเลียงส่งไปถึงท่าปากเงยและเมืองหลวงพระบางจะได้จัดเรือมารับแต่ปากเงย ส่งต่อไปถึงเมืองงอย
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
- พ.ศ. 2428 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.) ชื่อเดิม มงกุฎสยามมหาสุราภรณ์
สถานที่อันเนื่องมาจากพระนาม
ราชตระกูล
พงศาวลีของเจ้าอนันตวรฤทธิเดช | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
อ้างอิง
- นามสกุลคนไทย (ต้นสกุล (ต้นวงศ์), ต้นราชสกุล)
- คำบอกเล่าบางส่วนเมื่อครั้งคณะมิชชันนารีมาเมืองน่านสมัยเจ้าอนันตวรฤทธิเดช (องค์ความรู้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน)
- กฎหมายอาณาจักรหลักคำเมืองน่าน
- ราชวงศปกรณ์ พงศาวดารเมืองน่าน (ฉบับพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช)
- ราชกิจานุเบกษา,เจ้าประเทศราชถึงแก่พิราไลย เมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2434
- ราชกิจานุเบกษา, พระราชทานเพลิง เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2435
- ราชกิจานุเบกษา, พระราชทานเพลิง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2436
- จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภาค ๑๖
- จดหมายเหตุพระราชกิจรายวันใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (จุลศักราช ๑๒๕๐)
- จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว-พุทธศักราช-๒๔๓๔/เดือน-๑๐-จุลศักราช-๑๒๕๓
- จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน-ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว-พุทธศักราช-๒๔๓๓/เดือน-๘๘-จุลศักราช-๑๒๕๒
- อาณาจักรหลักคำ-กฎหมายเมืองน่าน
- หอมรดกไทย เมืองเก่าของไทย
- นิราศเมืองหลวงพระบาง-และ-รายงานปราบเงี้ยว/ประวัติสังเขปของเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี
ดูเพิ่ม
- รายพระนามเจ้าผู้ครองนครน่าน
- เครือข่ายกาญจนาภิเษก
ก่อนหน้า | เจ้าอนันตวรฤทธิเดช | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
พระเจ้ามหาวงษ์ | เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 62 และองค์ที่ 12 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ (พ.ศ. 2395 - พ.ศ. 2435) | พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช |
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
ecaxnntwrvththiedch thrngepnecaphukhrxngnkhrnan xngkhthi 62 aelaxngkhthi 12 aehngrachwngstinmhawngs thrngepnrachoxrsinsmedcecafaxtthwrpyoy ecaphukhrxngnkhrnan xngkhthi 57 chawemuxngnaneriykphranamodylalxngwa ecamhachiwit thrngkhrxngemuxngnanrahwangpi ph s 2395 ph s 2435 aelathrngepnecaphukhrxngnkhrnanthikhrxngrachysmbtiemuxngnkhrnan yawnanthisudthung 40 piecaxnntwrvththiedchecamhachiwitecaphukhrxngnkhrnan xngkhthi 62 aehngrachwngstinmhawngsrachaphiesk18 emsayn ph s 2399khrxngrachy14 phvsphakhm ph s 2395 28 phvsphakhm ph s 2435rchkal40 pi 24 wnphraxisriyysecapraethsrachkxnhnaecamhawngsthdipphraecasuriyphngsphritedchprasutiph s 2348phiraly28 phvsphakhm ph s 2435 86 pi n khumhlwngnkhrnan ewiyngit phrarachthanephlingphrasph28 emsayn ph s 2436 n phraemruchwkhraw susanhlwngdxnchyphraxkhrchayaaemecasunnthaxkhrethwi aemecakhxdaekwethwiphrachaya10 xngkhphrarachbutr31 phraxngkhphranametmecaxnntwrvththiedch kulechthmhnt ichynnthbur mharachwngsathibdi ecankhremuxngnanrachskuln nan saythi 2rachwngstinmhawngsphrabidasmedcecafaxtthwrpyoyphramardaaemecakhnaekwchayaphraprawtiecaxnntwrvththiedch thrngmiphranamedimwa ecaxnntys prasutiemuxpi ph s 2348 thrngepnphraoxrsxngkhotinsmedcecafaxtthwrpyoy ecaphukhrxngnkhrnan xngkhthi 57 prasutiaetaemecakhnaekwrachethwi chayaxngkhthi 4 rachthidainecafaemuxngechiyngaekhng thrngmiphrakhnistharwmphramarda 1 phraxngkh khux ecanangtxmkha ecaxnntys idrbphrakrunaoprdekla tngkhunepn ecaphraphiichyracha emuxngnan txmaidrbphrakrunaoprdekla eluxnyskhunepn ecaphrayartnhwemuxngaekw emuxngnan txmaidrbphrakrunaoprdekla eluxnyskhunepn ecaphrayaburirtn emuxngnan txmaphayhlngcakthiphraecamhawngs ecaphukhrxngnkhrnan xngkhthi 61 thungaekphiraly emuxwnthi 23 tulakhm ph s 2394 ecaburirtn xnntys ecaburirtnnkhremuxngnan phuepnphraphatiyainphraecamhawngs ecaphukhrxngnkhrnan xngkhthi 61 cungidkhunkhrxngrachysmbtiemuxngnkhrnan rxkaraetngtngcaksyam txmaphrabathsmedcphracxmeklaecaxyuhw thrngphrakrunaoprdekla eluxnyskhunepn ecaemuxngnan idrbkarechlimphranamwa phrayamngkhlwrys phrayankhrnan inwnthi 14 phvsphakhm ph s 2395 txmathrngidrbphrakrunaoprdekla ykwngsskulecaemuxngnankhunepn eca knthngwngsskul phrayamngkhlwrys ecaemuxngnan cungidrbphrakrunaoprdekla eluxnxisriyyskhunepn ecankhremuxngnan idrbkarechlimphranamwa ecaxnntwrvththiedch kulechthmhnt ichynnthbur mharachwngsathibdi ecankhremuxngnan inwnthi 7 emsayn ph s 2400 khabxkelabangswnemuxkhrng khnamichchnnarimaemuxngnan emuxpi ph s 2415 khnamichchnnarimaemuxngnaninsmyecaxnntwrvththiedch thrngeprecaphukhrxngnkhrnan khwamwa emux kh s 1872 ph s 2415 phxkhruhlwngaemkhkilwari phanmayngemuxngnaninchwngplayeduxnphvsphakhm insaytakhxngmichchnnari epnemuxngthimichuxesiyngecriyrungeruxngaelamikhwamsakhyyingemuxnghnunginlanna ecaphukhrxngnkhrepnphuthimikhwamprichasamarth aemwacathrngepnphupkkhrxnghwekaimyxmrbwithichiwitaelakarkhakhxngtangchatiktam emuxmichchnnariipthungemuxngnankidrbkarexaicisxyangdicakecaburirtn hlankhxngecaphukhrxngnkhrnan sungmichchnnariekhyphbthiechiyngihm phxkhruhlwng aemkhkilwari mikhwamiffnmakxnhnaniwaxyakcakhyaynganmathiemuxngnan thanbnthukiwwa khaphecarusukrkemuxngnantngaetaerkphbaelahmayiwwacaepnthitngsunymichchninwnkhanghna emux kh s 1890 ph s 2433 phxkhruhlwngaemkhkilwariedinthangmayngemuxngnanxikkhrnghnung phrxmdwynangsawmakarert luksaw thungemuxngnaninwnthi 25 kumphaphnth idrbkartxnrbxyangdicakkharachkaremuxngnan michawemuxngmamungduxyanghnaaenn michchnnariklawwa thungaemcamikhnmamungduaennkhndaetkimkhxyyxmfngeruxngrawkhxngkhristsasnaely karmakhrngni michchnnariidmioxkasekhaefaecaphukhrxngnkhr khux ecaxnntwrvththiedch thikhumaekw michchnnaribnthukeruxngecaxnntwrvththiedchiwwa epnecaphukhrxnghwemuxnglannathimikhwamsakhyinrachsankkrungethph epnthisxngrxngcakkstriyechiyngihm phraxngkhaesdngkhwamyindithimifrngmichchnnarimaeyiymemuxngnan aelathrngklawsphyxkkbmichchnnariwa thanxayumakekinthicaekhasasnaihm thimakhxmul prasiththi phngsxudm nnthburisrinkhrnan prawtisastr sngkhm aelakhristsasna echiyngihm fayprawtisastr sphakhristckrinpraethsithy 2539phranamsmedcphraechsthbrmrachaxnntyswrracheca xngkhepnxissrathibttixngkh epnecaaekrthprachainichynnthethphburinkhrrachthaninkhremuxngnan phranamecaxnntwrvththiedch thipraktinkdhmayxanackrhlkkhaemuxngnan smedcestthbrmbphitrecamhachiwitxngkhxnntwrvththiedch kulechsthmhnt chynnthethph brmmharachphngsathibdi mhaxisrathiptiinsirichynnthethphburiphranamecaxnntwrvththiedch thipraktinsilacaruk wddxnichyphraxisriyysecaxnntwrvththiedch ecankhremuxngnan thrngdarngphraxisriyys dngni ecaphraphiichyracha emuxngnan ecaphrayartnhwemuxngaekw emuxngnan ecaphrayaburirtn emuxngnan ecaphrayamngkhlwrys ecankhremuxngnan ecaxnntwrvththiedch kulechsthmhnt ichynnthbur mharachwngsathibdi ecankhremuxngnanekhruxngxisriyysthiidrbphrarachthaninpi ph s 2395 ecaxnntys esdclngmaekhaefaphrabathsmedcphracxmeklaecaxyuhw n krungethph emuxnnphrabathsmedcphracxmeklaecaxyuhw cungthrngphrakrunaoprdekla sthapnaeluxnxisriyyskhunepn ecaphrayamngkhlwrys ecankhraemuxngnan aelathrngidrbphrarachthanekhruxngprakxbxisriyys dngniesuxaekhbkha phanungaekhbkha phramalasubhw kraothnkha khnothkha phanhmakkhaekhruxnginkha punchniddi 1 bxk dabfkkha 1 ethuxn othengin 2 ib thwn 2 elminpi ph s 2399 phrabathsmedcphracxmeklaecaxyuhw thrngphrakrunaoprdekla sthapnaeluxnxisriyys ecaphrayamngkhlwrys ecaemuxngnan khunepn ecaxnntwrvththiedch kulechsthmhnt ichynnthbur mharachwngsathibdi ecankhremuxngnan aelathrngidrbphrarachthanekhruxngprakxbxisriyys dngnithrngpraphas kraocmhwkha aethnaekw 5 chn estchtrkhaw 7 ib dabhlupkha thwnekhiywkha fkekhiyw 4 elm punchniddi 2 bxk kraothnkha 1 phanhmakkha 1 middamkha 1 mpdtikha 2 aethw rupmakha 1 otaengin 1 ib ebayakha 1rachoxrs rachthida ecaxnntwrvththiedch ecaphukhrxngnkhrnan xngkhthi 62 thrngmiphraxrrkhrachethwi phrarachethwi hmxm 12 xngkh aelaphraoxrsphrathida rwmthngsin 31 phraxngkh xyuinrachskul n nan saythi 2 mirayphranamtamladb dngni phrachayathi 1 aemecasunnthaxrrkhrachethwi prasutiphraoxrsphrathida 6 phraxngkh dngni ecamhaphrhm n nan phayhlngepn ecaxuprach nkhremuxngnan ecasuriya n nan phayhlngepn phraecasuriyphngsphritedch phraecaphukhrxngnkhrnan xngkhthi 63 ecasiththisar n nan phayhlngepn ecaxuprach nkhremuxngnan phayhlngepn ecananghmxkaekw n nan ecanangkhathiph n nan phrachayathi 2 aemecakhxdaekwxrrkhethwi prasutiphraoxrsphrathida 2 phraxngkh dngni ecamhaphrm n nan phayhlngepn ecamhaphrhmsurthada ecaphukhrxngnkhrnan xngkhthi 64 ecanangyxdmonla n nan ecanangebaa phrachayathi 3 aemecakhapiwrachethwi immiprasutikalphrachayathi 4 aemecabwekhiywrachethwi prasutiphrathida 1 phraxngkh dngni ecanangpiw n nan phrachayathi 5 aemecaaewnethwiprasutiphraoxrsphrathida 3 phraxngkh dngni ecanangaekwihlma n nan ecanangbusba n nan ecabuyswrrkh n nan phrachayathi 6 aemecaxmraethwi prasutiphraoxrsphrathida 2 phraxngkh dngni ecafarwnemuxngxin n nan ecanangkhnkha n nan phrachayathi 7 aemecaparikaethwi prasutiphraoxrsphrathida 8 phraxngkh dngni phayhlngepn esksmrskbecanangbwekhiyw phrathidaxngkhthi 7 in phraecasuriyphngsphritedch ecaphukhrxngnkhrnan xngkhthi 63 kbaemecayxdhlaxrrkhrachethwi phrachayaxngkhthi 1 ecabweliyw n nan ecahyngkhaekhiyw n nan phayhlngepn ecahmxkmungemuxng n nan phayhlngepn ecasuththna n nan ecanangkhaekhiyw n nan phrachayathi 8 aemecasukhnthaethwi prasutiphraoxrsphrathida 4 phraxngkh dngni phayhlngepn ecanangekiyngkha n nan ecanangehmuxy n nan ecanangsawdi n nan phrachayathi 9 aemecaaewnethwi immiprasutikalhmxmthi 10 hmxmaekw chaya prasutiphraoxrsphrathida 2 phraxngkh dngni ecamhawngs n nan ecanangpxk n nan hmxmthi 11 hmxmkhaaepng chaya prasutiphraoxrsphrathida 2 phraxngkh dngni ecanxynnt n nan ecanangbwaefng n nan hmxmthi 12 bathbricarika prasutiphraoxrs 1 phraxngkh ecahnanmhawngs n nanphiralythungaekphiraly ecaxnntwrvththiedch ecaphukhrxngnkhrnan xngkhthi 62 prachwrdwyphraorkhchra phraxakarthrngbangthrudbangesmxma khrnthungeduxnphvsphakhm ph s 2435 phraxakaridkaeribmakkhun aephthyhlwngidprakxboxsththwaykarrksaodyetmkalngphraxakarhakhlayim khrnthungwnthi 28 phvsphakhm ph s 2435 kidesdcthungaekphiraly n hxkhakhumhlwngnkhrnan siriphrachnmayuid 87 pi 5 eduxn 28 wn rwmrayaewlathithrngpkkhrxngnkhrnan 40 pi 24 wn phrarachthanhibsilanaephling wnthi 22 thnwakhm ph s 2435 rtnoksinthrsk 111 phrabathsmedcphraculcxmeklaecaxyuhw thrngphrakrunaoprdekla phrarachthanhibsilahnaephling aelkhxngithythrrmthngekhruxngsahrbekiyrtiys ihkhahlwngaelaecaphnkngankhumipphrarachthaninkarplngsph ecaxnntwrvththiedch ecankhremuxngnan odyphrarachthan oksaepdehliym klxngchanaekhiyw 5 khu chtrebyca 2 khu itr 10 itr engin 1 chng phakhaw 20 phb rm 50 khn rxngetha 50 khu aelahibsilahnaephling 1 sahrb phrarachthanephlingphrasph wnthi 23 emsayn ph s 2436 rtnoksinthrsk 112 phrabathsmedcphraculcxmeklaecaxyuhw thrngphrakrunaoprdekla ihphrayasunthrnurks eluxng phumirtn khahlwng kbphraxnurkssmbtiphnkngan phrxmdwy ecarachwngs suriya n nan wathiecaxuprachnkhremuxngnan aelecanaybutrhlanyatiphinxng idykphrasphecaxnntwrvththiedch lngokstngehnuxchnaewnfaaehekhaphraemru echiyhibsilanaephlingtngiwinthismkhwr idmikarkuslaelkarmhrsphkhrb 7 wn khrnthungwnthi 28 emsayn ph s 2436 rtnoksinthrsk 112 epnwnphrarachthanephlingphrasphkhxnghlwng phrarachthankhxngthythrrmtang aelekhruxngphrarachthanephlingphrxm rachwngspkrn phngsawdaremuxngnan idrabuwa phayhlngcakthi ecaxnntwrvththiedch ecankhremuxngnan idesdcthungaekphiraly emuxwnsukr thi 28 phvsphakhm ph s 2435 n khumhlwngnkhrnan emuxnnecaxuprach kihecanayphuihyphunxylngipkrabthulphramhakrastriyecainkrungethphmhankhr wadwy ecaxnntwrvththiedch kulechsthmhnt ichynnthburmharachwngsathibdi ecankhremuxngnan thungaekphiraly inpi ph s 2435 ecamhaxuprachahxna epnprathan aelaphrayasunthrnurks khahlwngihypracankhremuxngnan aelaecarachwngs esnaxamatykidkaeknthiphrphlbanemuxngihtdimmasrangphraemru inpi ph s 2435 ecamhaxuprachahxna epnprathan ecarachwngs aelaphrayasunthrnurks khahlwngihypracankhremuxngnan phrxmdwyhnxmhakhtiyrachwngsa aelaesnaxamatythnghlaykphrxmknaelw kchumnummayngchangimthnghlay ihsrangmhaprasathphraemruhlwnghlngihy thisusanhlwngkhwngdxnichy lumwdhwewiynghnael ecamhaxuprachahxna kidaetngihphrayahlwngcaaesnrachaichyxphynnthwrpyyawisuththimngkhl ihepnhwhnainkarcdkarkhwbkhumyngchangimthnghlay thisrangmhaprasathphraemruhlwng mhaprasathphraemruhlwng srangepncturmukh xxk 4 danhlngmungyxdphayinbnpradbaelwipdwynasitang iskhangyxdchxngfaaelapwngpi bnyxdiseswtrchtrngamdisxad aelwkaetngsrangsalabadlxmaeng 14 dancxdtidknmungdwykha humdwyphakhaw thng 4 dan mipratuthng 4 dan samarthikhepidid aelwktkaetngdwyokhmif makmay khrnthungwnthi 19 mithunayn ph s 2436 kidechiyexaphrabrmsphecaxnntwrvththiedch lngcakhxkharachornghlwng kkrathasngesphdwyduriydntrinnthephriphnsxad aetngrupethwbutr 32 tnipkxnnaaethnaeh exaphrasphphraecafaipsuprasathphraemruhlwngwnnnael aelwktngekhaxnmwn mohrsph xyangyingihy fungprachaiphrsnukic krathabuyihthanipimihkhadhyadnaxuthisswnbuy khuxwamhabngskulepntnhnael khrnthungwnthi 27 mithunayn ph s 2436 kidphrxmknxyechiyexaphrabrmsph phraecaxnntwrvththiedch ipthwayphraephlingwnnnael khrnthungwnthi 29 mithunayn ph s 2436 ecamhaxuprachasuwrrnfaynahxkha ecarachwngsaepnprathan aelahnxkhtiywngsa esnaxamatythnghlaykphrxmknxngkhatrathnaexayngmhaxthieca esdclngcakphraemruaelwksngesphdwyduriydntriaehnaekhamaihsthityxyuinphrawiharhlwngwdphrathatuchangkhakxn aelwkkrathabngskulphraxthiecathabuyhuxthanxyuinthinn khrnthungwnthi 1 krkdakhm ph s 2436 kphrxmxarathnaexaphramhaxthiecakhunsthityinphrasup n khwngphrathatueca wdphrathatuchangkhawrwihar n thistawntkechiyngehnuxkhxngwdphrakrniykic 1 dankarthwaykhwamcngrkphkditxrachwngsckri ecaxnntwrvththiedch ecaphukhrxngnkhrnan xngkhthi 62 14 phvsphakhm ph s 2395 28 phvsphakhm ph s 2435 idekhaefathulxxngthuliphrabaththwaykhwamcngrkphkditxrachwngsckri dngni emuxwnthi 16 thnwakhm ph s 2426 ewlabay 4 omngess phrabathsmedcphraecaxyuhw thrngchlxngphraxngkhekhruxngysthhar thrngsphaysayekhruxngrachxissriyaphrntramhasuraphrnaeladwngphratraxun esdcxxkthxngphraorngklangphrathinngckrimhaprasath phrxmdwyphrabrmwngsanuwngskharachkarfaythharphleruxnefathullaxxngthuliphrabathtamtaaehnng ecaphnknganpraokhmaetrtamthrrmeniymesdcxxk thharaetrepasrresriyphrabarmi ecaphnknganpraokhmcbaelw krmmhadithyna ecarachwngsaesnthawphrayalawemuxngnanekhamaefathullaxxngthuliphrabath phrayasrixansuphxksr ecaxnntwrvththiedch ecankhremuxngnan waaetngihecarachwngskhumtnimthxngenginekhruxngrachbrrnakar canwnpimaemiyctwask lngmathulekla thway aelakhxpunhamaeln krasundinprasiw masphrikithy krawan kanphlukhunipiwsahrbrachkar aelawamisoxsuximsungiwrakha 12 chng yngimidihengin idmafxngecaphrayaphuthraphyaetyngxyu ecaphrayaphuthraphyphdiwnanaelw idmaetuxnecaphrayaphuthraphywamisoxtayenginkimid rayhnungwaphrayaphisnuolk phum ihkhunxmrskdawuthkhunipsuxchangmaichkaremuxngphisnuolk khunxmrskdawuth kuenginecaxnntwrvththiedch 200 aenn yngimid ichengin etuxnkphdipnanaelw engin 2 rayni cakhwrxyangir aelawaecanayemuxngnancdidkhiphunghab 1 phakhaw 100 ephla thulekla thwayinsmedcphranangeca thrngphrarachptisnthar 3 ndtamthrrmeniymaelwesdckhun wnthi 12 singhakhm ph s 2431 ewla 4 thumess esdcxxkkhunnang krmmhadithyxanbxk ecaxnntwrvththiedch ecankhremuxngnan thwayphrarachkuslthabuysngkrant aelwadwyphrayasurskdi echiytrakhunipthung idmxbekhruxngrachxisriyyschangephuxksyam chnthi 3 ihecarachwngsaelw kbwaecaxuprach ecarachbutr nkhremuxngnanthungaekkrrm idihecanxybuyhlng butrecaxuprach khumekhruxngysecaxuprachaelecarachbutrlngmasng xikchbb 1 waidkhawmaprahladlaydalaykhaw khuxphan thiemuxngphng 1 emuxngithr 1 cungaetngkhnipsuxmaidma 1 rakha 310 aethb aetthiemuxngphngnnihchangaelkip chang 1 cungihecanxybuyhlng khumlngmathway kbibbxkphrayasuokhithywaecanxybuyhlngkhummakhawmilaydamathungemuxngphiichy matwyxmpwy idphkrksaxakarhakhlayim malmma 1 krmmhadithynanaynxybuyhlng naynxymonrs nayhnansar nayhnanxk efathullxxngthuliphrabath emuxwnthi 28 mithunayn ph s 2433 ecaxnntwrvththiedch ecankhremuxngnan ecanaybutrhlanaesnethaphrayankhremuxngnan lngwnthi 19 mkrakhm r s 108 khwamwa ecaxnntwrvththiedch cdidnrmat 2 yxd hnk 2 chng aetngihnaynxybrm naynxybuyelis nayhnanmhawngs aesnthawphrayakhumlngmathulekla thway kbkhxnaybrmepnthiecaburirtn aelecaxnntwrvththiedch xayuid 84 pi edinipthangiklhaidim khxrbphrarachthanaekhrkhunipkhiphxepnekiyrtiystxip aelwphrayasrisinghethph nanaynxybrm naynxybuyelis nayhnanmhawngs phrayaichyras phrayaichysal hlwngphrhmsal efathullxxngthuliphrabath canwnkhnnayiphrthilngmakhrngni 50 khn miphrarachptisnthar thungecaxnntwrvththiedch aelecanaybutrhlanaesnethaphraya sungmaefathullxxngthuliphrabathkhrngnithwkn aelamiphrabrmrachoxngkardarssngphraecanxngyaethx phraxngkhecaichyyntmngkhl ihthaaekhrphrarachthanecaxnntwrvththiedch ecankhremuxngnan emuxwnthi 4 singhakhm ph s 2433 ewlabay 5 omngess esdcthrngrthphrathinngpraphasthnntamekhy iptamthnnbarungemuxngprathbwngphraecanxngyaethx krmhmunsirithchsngkas aelwesdcrthphrathinngprathbwngphraecanxngyaethx krmhmundarngrachanuphaph pratusamyxd ewlathumessesdcklbthungphrabrmmharachwng ewlayamessesdckhuncakprachumpvksarachkarkhangin aelwesdcxxkkhunnangtamekhy aelwphrayarachwranukul naphrayaphibulysngkhram phuwarachkaremuxngnkhrnayk aelecaburirtnnkhremuxngnan krabthwaybngkhmlakhuniprksarachkarbanemuxng oprdekla ihphrarachthan thadhmak 1 khnoththxngkha 1 lukprakhathxngkha 1 aelphaphrrnnunghm aekphrayankhrnayk thadhmak 1 khnothengin 1 aelphaphrrnnunghm aekecaburirtnnkhremuxngnan aelwmiphrabrmrachoxngkaroprdekla phrarachthanphripthungecankhremuxngnan dwy aelwdarsthamphrayasriwaaekhrthicaphrarachthanecankhremuxngnan nnidmxbihecaburirtnaelwviyng phrayasrikrabbngkhmthulwaidmxbaelw 2 dankarpkkhrxngemuxng srangkhumhlwngnkhrnan khumhlwngphraecankhrnanhrux hxkhaemuxngnan hxkhakhumhlwngnkhrnan trngicklangemuxngepnthixyukhxngecaphukhrxngnkhr eriykwakhumhlwngaelahxkha khum trngkbphasaithyiteriykwa wng khumhlwng kkhuxwngihynnexng aela hxkha nntrngkbphasaithyiteriykwa tahnkthxng xnsrangkhuniwinbriewnkhumhlwngepnekhruxngpradbekiyrtiyskhxngecaphukhrxngnkhr brrdaemuxngpraethsrachinlannaithythngpwng yxmmibriewnthikhumhlwngsahrbemuxng ikhridepnecaemuxngcaepnodyidsubthayathhruximktam yxmyaycakbanedimipxyuinkhumhlwng aetswnehyaeruxninkhumhlwngnnaetkxnsrangepnekhruxngim thaecaemuxngkhnihmimphxiccaxyurwmeruxnkbecaemuxngkhnekakyxmcaih ruxthxnexaipplukthwaywd yngpraktepnkutiwiharkhxngwdthiemuxngnanbangaehng aelwsngkaeknthihsrangeruxnkhunxyutamchxbickhxngtn swnhxkhann miidmithukemuxngpraethsrach ephraahxkhahlwng epnekhruxngpradbphraekiyrtiphiess sahrbtwecaphukhrxngnkhr txecaphukhrxngemuxngkhnididrbekiyrtiesssungkwaecaphukhrxngemuxngodysamy ksranghxkhakhungepnthixyuechlimphraekiyrtiys hxkhahlwngemuxngnan srangkhunrahwangpi ph s 2399 ph s 2400 insmykhxngecaxnntwrvththiedch kulechsthmhnt ichynnthburmharachwngsathibdi ecankhremuxngnan praktinphngsawdaremuxngnan waemuxphrayaxnntys yayklbmatngxyu thiemuxngekaaelw txmaxikpihnungkhuxpi ph s 2399 phrabathsmedcphracxmeklaecaxyuhw thrngphrakrunaoprdekla ihsthapnaphrayaxnntyseluxnkhunepnecaxnntwrvththiedch kulechsthmhnt ichynnthburmharachwngsathibdi ecankhremuxngnan miphraekiyrtiyssungkwaecaemuxngnankhnkxn sungekhymiysepnaetphraya channinpi ph s 2400 ecaxnntwrvththiedchcungsranghxkhakhunaelaihepliynchuxkhumhlwngwa khumaekw ephuxihwiessepntamlksnakhxnghxkha hxkhahlwng thisrangkhuninkhrngnn epnxakharimskphsmimtaekhiyn hlngkhaepnthrngcw mungkraebuxngimaepnekld pradbchxfaibrakaaelahanghngs tamaebbsilpaphunbanemuxngnan mibnidthangkhunsxngdan mikaaephngxiththngsidan epntweruxnrwmxyuinkhumaekw 7 hlng odyechphaatweruxnthiepnhxkhamihxngothngihy nbwaepnthanxngthxngphraorngsahrbepnthiwarachkar txmainpi ph s 2446 phraecasuriyphngsphritedch phraecaphukhrxngnkhremuxngnan idoprdihruxlngaelasranghxkhakhunihmtamaebbsthaptykrrmtawntkphsmlanna sungpccubnkhuxphiphithphnthsthanaehngchatinan smudphaphpkpnekhtaedn r s 124 odykrmkarpkkhrxng kdhmayemuxngnan xanackrhlkkha hrux kdhmayemuxngnan srangkhunaelaichinpi ph s 2396 ph s 2451 lksnaepnphbsa miimprakbsxngdan canwn 1 elm 61 hna mikhnadkhwamkwang 11 8 esntiemtr yaw 36 5 esntiemtr aelahna 5 esntiemtr tnchbbepnxksrthrrmlanna phasaithyywn phiphithphnthsthanaehngchati nan idrbmxbcak nangsuphaph sxngemuxngaekn emuxwnthi 14 singhakhm ph s 2530 xanackrhlkkha hrux kdhmayemuxngnan nxkcakcamikhwamsakhyinemuxngnanemuxkhrngxditaelw inpccubnyngnbepnhlkthansakhythangprawtisastr thimikhunkhakhwamsakhycnidrbkarkhunthaebiynepn exksarmrdkkhwamthrngcaaehngolk khxngpraethsithy swnthxngthin emuxwnthi 20 thnwakhm ph s 2559 khawa xanackrhlkkha mikhwamhmaywa xanackr inthinihmaythung kdhmay dngpraktkhxkhwamtxnhnunginxanackrhlkkhawa cungidhaexaecanayphinxngkhttiyrachwngsa lukhlanaelathawphyaesnaxamaty khunepiksaphrxmknynghnaorngichy ecaphrayahxhnaepiksaknphicarna dwycktngphrarachxanackrnntklngaelw aelainxiknyhnung klawwa xana epnkhabalitrngkb xachya sungepnkhasnskvt aeplwa xanackarpkkhrxng ckr aeplwa lx aewnaekhwn rwmkhwamaelwcunghmaythung xanacpkkhrxngkhxngbanemuxng swnkhawa hlkkha hmaythung hlkxnmikhapraducthxngkha khawa xanackrhlkkha cungxachmaythung kdhmaythiichepnhlkinkarpkkhrxngbanemuxngxnmikhunkhapraducdngthxngkha xanackrhlkkha hrux kdhmayemuxngnan idbyytikhunemuxwnthi 7 mkrakhm ph s 2396 odyecaxnntwrvththiedch ecaphukhrxngnkhrnan xngkhthi 62 14 phvsphakhm ph s 2395 28 phvsphakhm ph s 2435 kdhmaychbbniepnkdhmaythiichpkkhrxngechphaainemuxngnkhrnanaelahwemuxngtangthikhunkbemuxngnkhrnan ehtuthitxngmikarxxkkdhmayidmikarklawiwintxntnkhxngkdhmayxanackrhlkkhawa banemuxnginkhnannekidkhwamwunway mikarlkkhomy karelnkarphnn tlxdcnpyhatang thisrangkhwameduxdrxnaekphukhninemuxng ephuxihbanemuxngepnipdwykhwamsngbsukhaelaepnraebiyberiybrxy cungidkahndkdhmaychbbnikhunma odyxanackrhlkkhaepnkdhmaythiichpkkhrxngphayinemuxngnkhrnan aelaemuxngtang thikhunkbemuxngnkhrnan eruxymacnthungpi ph s 2451 inrchsmyecasuriyphngsphritedch ecaphukhrxngnkhrnan xngkhthi 63 21 kumphaphnth ph s 2436 5 emsayn ph s 2461 idprakasihykelikkarichxanackrhlkkhaepnkdhmayinkarpkkhrxngkhxngemuxngnkhrnan aelaihepliynmaichkdhmaylksnaxaya r s 127 khxngkrungrtnoksinthraethn enuxngdwyinkhnannphrabathsmedcphraculcxmeklaecaxyuhw thrngminoybayinkarrwmxanacekhasusunyklang cungthrngptirupkarpkkhrxngmnthlphayphaelasngkhahlwngcakswnklangmaepnswnhnungkhxngekhasnamhlwngpracaxyuthiemuxngnkhrnan xanackrhlkkha milksnaepnkdhmaythxngthin sungxxkodyecaphukhrxngnkhrnan ecanaybutrhlan khunnang aelaphxemuxngtang rwmknxxktwbthkdhmayephuxichphayinbanemuxngkhxngtn odyinkarichkdhmaynxkcakichinekhtemuxngnkhrnanodymiekhasnamhlwngdaeninkaraelw yngmikarkracayxanacihkbhwemuxngtang thixyuphayitkarpkkhrxngkhxngemuxngnkhrnanihmixanactdsinkhdikhwam aethakkhdinnphicarnainhwemuxngnxyaelwyngimyxmkhwam samarththicafxngrxngtxekhasnamhlwnginewiyngephuxphicarnakhdiihmid inswnkhxngenuxhakdhmayinxanackrhlkkha xacaebngxxkepn 2 chwng idaek kdhmayinchwngtxntnthixxkinpi ph s 2395 aelakdhmayinchwngtxnhlngthixxkinpi ph s 2418 kdhmayxanackrhlkkha thibyytikhuninpi ph s 2395 misarasakhyxyuhlaymatra aetlamatracamiraylaexiydtwbthkdhmayaelabthlngothsphukrathakhwamphidaetktangknip karthakhwamphidinkrniediywknxacrbothshnkebaimethakn enuxngcakmikarkahndradbchnchnkhxngphuthikrathakhwamphid khux ecanay khunnang hrux iphr chnchnsungcaesiykhaprbmakkwasamychn kdhmaythisakhythilngothshnk khux karlkkhway sunginsmynnxacmikarlkkhomykhwayipkhakinxyubxykhrng cungrabuothswa phulkkhwayipkhakincamiothsthungkhnpraharchiwit enuxhakhxngkdhmayinchwngnimiephiyngtwbthkdhmaysungmikarkahndbthlngothsphukrathaphidxyangchdecn aetimmitwxyangkhdikhwamthiekidkhuncringihehnthungkarbngkhbichkdhmaypraktxyu aetxyangirktamenuxkhwaminkdhmayklwnsathxnihehnthungkaremuxngkarpkkhrxng sphaphsngkhmaelaesrsthkickhxngemuxngnaninchwngewladngklaw sungkdhmayswnihyinchwngtxntnnimkcamienuxhathiekiywkhxngkbwithichiwitkhxngphukhninemuxngnanindantang idaek karephaapluk kareliyngstw karekbkhxngpa karaelkepliynsinkha karpramng karaebngchnchn tlxdcnkhwamechuxkhaniymaelapraephni dngenuxkhwamthipraktinxanackrhlkkha echn karthaekhruxngmuxcbplainaemnacatxngewnchxngiwiheruxphanidsadwk karhamfnirbriewntnnaaelarimaemna sungepnaehlngkaenidnaaelananaekhasuirna hakfafunmioths ekhiynhlng 30 aes aelaprbengin 330 napha nxkcaknnyngmikdhmayhamkhakhangkhawintha hamebuxplainna aelahamtdtnimbangchnid kdhmayhamplxmaeplngengintra odymiothstxngekhakhuk prbihmaelaekhiynti khwamwa khnwabukhkhlphuidebaenginaeplkplxmaelacayenginaeplkplxmengindakhaesann khnrucbtwiwckexatwekhaisrachwtr iwaelw ckihm 330 napha ekhiyn 30 aes epntn kdhmayxanackrhlkkha thimikarbyytikhunephiminpi ph s 2418 milksnaaetktangcakchwngtxnaerk prakxbdwy kdhmaythixxkephimetimkhunihminpi ph s 2418 ph s 2423 aelabnthukkartdsinkhdi ph s 2419 aelabnthukkdhmayekathixxkin ph s 2387 nxkcakniyngmibnthukehtukarnthicdaethrkekhama idaek bnthukehtukarnecaemuxnglasngbrrnakarmaihecaemuxngnan ph s 2421 aelacdbnthuknaskdiecanay khunnangaelaiphr aesdngihehnwainchwngtxnhlngkarbnthukinxanackrhlkkhanxkcakkdhmaythiprakasichaelw yngmikarcdaethrkephimetimeruxngxuniwdwyodyimidladbskrachaelaehtukarn xyangirktam kdhmaythixxkinchwng ph s 2418 kmikhwamsakhythiaesdngihehnthungkhwamepliynaeplngthangdanesrsthkicaelasngkhm cungtxngxxkkdhmayihmephimetimihthnkbsthankarnbanemuxng khux eruxnghamsubfin phufafunmiothscakhuk 3 pi aelakdhmayhamcbkhwaylaeling khwaypa khwayimmiecakhxng thimakhxngkdhmayhamsubfin aesdngihehnthungkhncinthiekhamatngthinthankhakhayinemuxngnanmakkhuninchwngewladngklaw singthikhncinnaekhamakhuxkarsubfin subenuxngmacakmiecanaybutrhlanemuxngnanphuhnungtidfin srangpyhaihkbbida cungidmikaresnxeruxngniphicarnainradbchneca inthisudecaemuxngnancungphicarnaothsecanaybutrhlan aelatxmakxxkkdhmayprakasichthwip aelamihnngsuxbnthukkdhmayihmsngipynghwemuxngtanginkarpkkhrxngkhxngemuxngnanidrbrudwy pccubn xanackrhlkkha sungthukcdekbrksaaelacdaesdngxyuthiphiphithphnthsthanaehngchati nan idmiokhrngkarsunysngesrimsilpwthnthrrm mhawithyalyechiyngihm sungcdthaokhrngkarxnurkskhmphiriblan idbnthukphaphxanackrhlkkhaiwinrupimokhrfilm emuxwnthi 20 singhakhm ph s 2532 aelatxmacungidmikarpriwrrtodysastracaryekiyrtikhun srswdi xxngskul kdhmaysungsudthiichpkkhrxnginxanackrnan rahwangpi ph s 2396 ph s 2451 khux kdhmayphrarachxanackrhlkkhakhxngecamhachiwitnan yayemuxngnan inpi ph s 2397 ecaxnntwrvththiedch ecankhrmuxngnan idyayemuxngnan cakdngphraentrchangklbmaxyuthihwewiyngit hruxemuxngnaninpccubn aelaihsxmkaaephngemuxngihmnkhng odysrangepnkaaephngxith srangesrcemuxpi ph s 2400 twemuxngepnrupsiehliymphunphahnhnaxxksuaemnanan twkaaephngkxxiththuxpunpradbibesma tngxyubnechingethin sumpratuaelapxmepnthrngeruxnyxd kaaephngsungpraman 6 emtr echingethinkwang 2 20 emtr ibesmakwang 1 emtr yaw 0 90 emtr sung 1 20 emtr khwamsungcakechingethinthungibesmapraman 2 emtr kaaephngdanthisehnux mikhwamyawpraman 900 emtr misxngpratu khux praturim epnpratuemuxngthixxkedinthangsuemuxngkhunkhxngemuxngnkhrnanthangphakhehnux echn emuxngechiyngkha emuxngething aelaemuxngechiyngkhxng epntn pratuxmr epnpratuthiecaakhunihm emuxpi ph s 2450 kaaephngdanthistawnxxk mikhwamyawpraman 650 emtr misxngpratu khux pratuchy epnpratuthiecaphukhrxngnkhraelaecanaychnsungichinkaresdcthangchlmarkhipkrungethph pratunaekhm epnpratuekhaxxksuaemnanankhxngprachachnthwip aelaichsahrbtidtxkhakhaythangna kaaephngdanthisit mikhwamyawpraman 1 400 emtr misxngpratu khux pratuechiyngihm epnpratuemuxngthiichedinthangipsutangemuxng odyechphaaemuxngnkhrechiyngihm pratuthali epnpratuthinasphxxkipephanxkemuxng n susanhlwngdxnichy kaaephngdanthistawntk mikhwamyawpraman 950 emtr mipratuplxngna misxngpratu khux pratuplxngna ichinkarrabaynacaktwemuxngxxksudannxk pratuhnxngha epnpratusahrbkhninemuxngxxkipthairthanainthungkwang aelaichkhnphlphlitekhamainemuxng lksnakhxngpratuemuxngthaepnsumbanpratuepnim hlngkhapratuepnthrngeruxnyxdsiehliymsxnknsamchn mipxmxyuephiyngsampxmxyuthangdantawnxxkechiyngehnux aeladantawntkechiyngit epnpxmaepdehliym hlngkhathrngeruxnyxdsxnknsxngchn hlngkhachnaerkepnthrngaepdehliym chnthisxngepnthrngsiehliym 3 dansasna ecaxnntwrvththiedch ecaphukhrxngnkhrnan xngkhthi 62 phraxngkhthrngthanubarungphraphuththsasnainphraxanackremuxngnan thngkarsrangwihar wd phraphuththrup rwmipthungkarxupthmphkarburnaptisngkhrn wdwaxaram tang inphraxanackrnkhremuxngnan dngni ph s 2400 burnptisngkhrnphrawihar wdphrathatuchangkhawrwihar ph s 2400 burnptisngkhrnphrawihar wdkukha ph s 2400 burnptisngkhrnphrawihar wdsriphntn ph s 2400 burnptisngkhrnphrawihar wdmingemuxng ph s 2400 srangphrawihar wdnapng srangphrathatukhingaekng srangphrathatucxmthxng emuxngpng srangphrathatuhnxngbw emuxngichyphrhm ph s 2400 burnaptisngkhrnphrathatu wdphyaphu ph s 2400 burnptisngkhrnphrathatuecacxmcx emuxngething srangphrathatuputung emuxngxinthr ph s 2400 burnptisngkhrnphrathatu wdebngskd emuxngpw ph s 2410 burnptisngkhrnphrawiharhlwng wdphuminthr ph s 2422 thrngburnptisngkhrnwddxnichy emuxngsrisaeks pccubnxyuinekht xaephxnanxy cnghwdnan ph s 2425 burnptisngkhrnphrawihar wdhwkhwng ph s 2424 burnptisngkhrnphrathatusbaewn emuxngechiyngkha ph s 2426 sranghxphrathrrm n khumhlwngnkhrnan ph s 2427 srangphrawihar wdmwngit ph s 2427 burnaphrawiharaelaphraxuobsth wdswntal ph s 2427 burnaphrawiharaelaburnaphrathatuwddxyekhaaekw wdekhanxy ph s 2427 srangphrawiharwdmnethiyr ph s 2427 isyxdchtrphrathatuaechaehng ph s 2427 srangphrawiharwdhwkhwng ph s 2427 burnaphraxuobsthwdphrathatuchangkhawrwihar nxkcakni yngidsrangthrrmnithanchadk aelacarphraitrpidklnginkhmphiriblan rwmid 335 khmphir nbepnphukid 2 606 phuk idnaipmxbihemuxngtang xathi emuxngnkhrlapang emuxnkhrlaphun emuxngnkhrechiyngihm aelaemuxngnkhrhlwngphrabang epntnkartngemuxngnan pccubn emuxpi ph s 2400emuxngnkhrnan n pccubn nbtngaetpi ph s 2400 cnthungpccubn ecaphukhrxngnkhrnanthieswyrachysmbtixyuthiewiyngehnuxsubknmaid 36 pi cnthungpi ph s 2398 phrayaxnntys ecaemuxngnan phayhlngidrbkarsthapnaeluxnxisriyyskhunepn ecaxnntwrvththiedch ecankhremuxngnan khux phrabidainphraecasuriyphngsphritedch aelaecamhaphrhmsurthada cungkhxphrarachthanphrabrmrachanuyatcak rchkalthi 4 yayemuxngklbmatngxyuthiewiyngeka emuxngnan pccubn aelaoprdihyaymaemuxpi ph s 2400 aelaoprdihsrangkhumhlwnghxkhaepnthiprathbkhxngecaphukhrxngnkhrnan subknmacnbdni twemuxngnan inpi ph s 2400 kaaephngemuxngnan twemuxngnanhnhnaemuxngxxksuaemnanansungepnebuxngtawnxxk mikaaephng 4 dan danyawthxdiptamlanananepnrupsiehliymphunpha twkaaephngsungcakphundinpraman 2 wa miechingethinkwang 3 sxk prakxbdwyinesmatrngmumkaaephngkxpxmiwthng 4 aehng mipunihypracapxmla 4 krabxk mipratu 7 pratu thipratukxepnsum prakxbdwyibthwaraekhngaerng kaaephngdantawnxxkmipratuchy pratunaekhm dantawntkmipratuthxna pratuhnxnghan danitmipratuechiyngihm pratuthali mikhulxm 3 dan ewndantawnxxksungepnlaaemnananedimkn karkxsrangkaaephngemuxngemuxkhrngaerkmatngemuxngni mieruxngelaknsubmaepnthanxngethphniyaywa khrngnntkxyuinwssntvdu miokhxsuphrachtwhnungwingkhamaemnananmacakthangthistawnxxk khrnmathungthibanhwyikhkthaymulaelaehyiybphundinthingrxyiw erimaetpratuchybayhnaipthisehnuxaelwwkipthangthistawntkepnwngklmsiehliymmabrrcbrxyedimthipratuchy aelwknirasxntrthanip ladbkalnn phrayaphakxngdarithicasrangnkhrkhunihm khrnidprasbrxyokhxnhakkrathaiwepnxscrry phiekhraahdukthrabaelwwasthanthibriewnrxbokhnnepnchyphumidi smkhwrthicatngnkhrid cungidyayemuxngmatngthibanhwyikhnn aelakxkaaephngfngraklngtrngaenwthangthiokhedinthaymuliwmiidthingrxyaenwkaaephngcung misucatrngnk ephraaepnkaaephngodyokhcr eruxngnicamikhwamcringhruximephiyngirktamehnwaepneruxngekiywkbprawtikhxngemuxngni sungchawemuxngkyngniymechuxthuxwaepnkhwamcring aelanaexakhtithiechuxwaokhepn phubndalemuxngmatharupokhtidiwtamcwbaneruxnephuxepnsirimngkhlxyuthwip cungnamaklawiwdwy pratuemuxngepndansakhychninkhxngemuxng inewlathibanemuxngimikhrcapktirabkhabcungtxngmikarrksaknaekhngaerng pratuemuxngthng 7 ni minaypratuepnphurksa mihnathiinkarpidepidpratutamkahndewla khux pidewlapraman 22 00 n aelaepidinewlapraman 05 00 n thaepnewlathipratupidtamkahndewlaaelw caepidihphuhnungphuidekhaxxkimid aelathngmixachyakhxngecaphukhrxngnkhrbngkhbexaothsaekphuthipinkhamkaaephngiwdwy naypratuepnphuthiecaphukhrxngnkhridaetngtngiwidrbskdiepnaesnbang thawbang mibaneruxnpracaxyuikl pratunnexng ihmiphlpraoychnkhuxinvdueduxnyihruxeduxnsam sungepnvduekbekiywkhaw ecanaythawphyaaelarasdrphayinkaaephngemuxngthngpwng emuxkhnkhawcaknaekhamainemuxngthangpratuid kihnaypratunnmisiththiekbkkkhawcakphunaekhamaidhabla 1 aekhlng praman 1 thanan nxkcakni naypratuyngidsingkhxngodymakepnxaharcakphuthiphanekhaxxkpratuepnpracawnodynatakrahruxkrabungipaekhwniwthihnapratuxnsudaelwaetikhrcaihxikdwy xachyakhxngemuxngthitxngminaypratudngklawaelwni idelikipemuxinsmyphraecasuriyphngsphritedch thrngepnecaphukhrxngnkhrnan khumhlwng hxkha rachwng trngicklangemuxngepnthixyukhxngecaphukhrxngnkhr eriykwakhumhlwngaelahxkha khum trngkbphasaithyiteriykwa wng khumhlwng kkhuxwngihynnexng aela hxkha nntrngkbphasaithyiteriykwa tahnkthxng xnsrangkhuniwinbriewnkhumhlwngepnekhruxngpradbekiyrtiys brrdaemuxngpraethsrachinlannaithythngpwng yxmmibriewnthikhumhlwngsahrbemuxng ikhridepnecaemuxngcaepnodyidsubthayathhruximktam yxmyaycakbanedimipxyuinkhumhlwngthukkhn aetswnehyaeruxninkhumhlwngnnaetkxnsrangepnekhruxngim thaecaemuxngkhnihmimphxiccaxyurwmeruxnkbecaemuxngkhnekakyxmcaihruxthxnexaipplukthwaywd yngpraktepnkutiwiharkhxngwdthiemuxngnanbangaehng aelwsngkaeknthihsrangeruxnkhunxyutamchxbickhxngtn swnhxkhann miidmithukemuxngpraethsrach ephraahxkhaepnekhruxngpradbekiyrtiphiesssahrbtwecaphukhrxng txecaphukhrxngemuxngkhnididrbekiyrtiesssungkwaecaphukhrxngemuxngodysamy ksranghxkhakhungepnthixyuechlimekiyrtiys hxkhaemuxngnkhrnan ephingmikhunemuxpi ph s 2400 mieruxngpraktinphngsawdaremuxngnanwaemuxphrayaxnntysyayklbmatngxyuthiemuxngekaaelw txmaxikpihnung ph s 2399 phrabathsmedcphracxmeklaecaxyuhw thrngphrakrunaoprdekla sthapnaeluxnxisriyys phrayaxnntys ecaemuxngnan khunepn ecaxnntwrvththiedch ecankhremuxngnan thrngmiphraekiyrtiyssungkwaecaemuxngnanxngkhkxn sungdarngphraysepnaet phrayanan channinpi ph s 2400 ecaxnntwrvththiedch cungoprdihsranghxkhakhunaelaihepliynchuxkhumhlwngwa khumaekw ephuxihwiessepntamlksnakhxnghxkha hxkhathisrangkhuninkhrngnn tweruxnepnekhruxngim epntweruxnrwmxyuinkhumaekw 7 hlng odyechphaatweruxnthiepnhxkhahlwngmihxngothngkhnadihy nbwaepnthanxngthxngphraorngsahrbepnthiesdcxxkwarachkar emuxecaxnntwrvththiedch thungaekphiraly inpi ph s 2435 ecasuriyphngsphritedch phuepnphraoxrscungidkhunkhrxngemuxngnkhrnansubtxip txmainpi ph s 2437 phrabathsmedcphraculcxmeklaecaxyuhw thrngphrakrunaoprdekla sthapnaeluxnxisriyys ecarachwngs wathiecaxuprach nkhremuxngnan khunepn ecasuriyphngsphritedch ecankhremuxngnan emuxwnthi 21 kumphaphnth ph s 2437 kidesdcekhaipprathbxyuinkhumaekw aelwthrngoprdiheriykwa khumhlwng iptamedim lwngewlamaxik 10 pi khrnthungpi ph s 2446 phrabathsmedcphraculcxmeklaecaxyuhw thrngphrakrunaoprdekla sthapnaeluxnphraxisriyys ecasuriyphngsphritedch ecankhremuxngnan khunepn phraecasuriyphngsphritedch phraecankhremuxngnan phraxngkhcungoprdihruxhxkhahlngekaipthwaywd aelwthrngoprdihsranghxkhakhunihmodyepntukkxxiththuxpunkhunaethn aelayngthawrxyumacnthukwnni sungkhnanithangrachkaridichepn phayinbriewnhxkhahlwngnkhrnan khumaekw prakxbdwy orngma khux khxkeliyngma orngaetk khux epnthiekbekhruxngxawuth hxk dab ngaw punkhabsilaaelakrasundinda xnmiiwsahrbbanemuxnginxnthicaichinrachkarthphsuk n lanhnakhumaekwepnthitngorngchang sungepnphahnathisakhykhxngbanemuxnginsmynn banemuxngthiepnemuxngchnrachthani yxmcarwbrwmsasmchangiwmakthukemuxng yingepnthxngthiinphakhphayphniaelwchangepnsingcaepninkarlaeliyngaelakarthphsuk insmynnepnxnmak 1 snam n ebuxngkhwakhxngkhum trngkhamkbwdphuminthraelathiorngeriyncumpiwnidatngxyuediywniepnthitngsalawakarbanemuxng eriykwa snam thdipepnsalasurxykar 2 hlng surephchchkhat xykar khnich khnewr khuxepnthisankkhxngphwkephchchkhat aelaepnthiekbsrrphexksarkhxngbanemuxng sungmikhnewrxyupraca thdipepnkhxk eruxnca caidklawtxipineruxngkarpkkhrxng 2 changhlwng n salaklangcnghwd edimepnthitngchangkhxngbanemuxng mixyu 2 orngdwykn sahrbepnthiekbesbiyngaelaphsdusingkhxngthiichinkickarbanemuxng epntnwacaphwkesbiyngkmi khaw eklux maphraw phrik hxm kraethiym tlxdcnhmu epd ik thiepn sasmiwepnbangkhraw aelacaphwkekhruxngkmi khn namnyang khiphung dinprasiw kradas epntn singkhxngehlaniepnsingsakhykhxngbanemuxng odyechphaaesbiyngepnkalngkhxngriphlsahrbpxngknbanemuxng sungcatxngmiihphrkphrxmxyuesmx thangbanemuxngidkaeknthexasingkhxngehlaniaekphlemuxng examakhunchangiwthukpi eriykwa hlxchang 3 baneruxn inyukhnnidkhwamwaemuxngnanmiphumithanbaneruxnepnpukaephnkhbkhngaelw aetphaynxkkaaephngnnepnparkxyuodymak mibaneruxnebabangimxunhnafakhrngehmuxnphayinkaaephngemuxngaetbaneruxnnnimikhrcaepnthiecriynk ephraaekhruxngmuxthicatdfnimimmimakehmuxnediywni cathaxairkimikhrsadwk epntnwakradanktxngthakexadwymidaelakhwanepnphun immieluxycaich rasdrimmikalngphxthicathabaneruxndwyekhruxngimcringid cungtxngthadwyimiph ewnaetecanaythawphyaphusungmixanacichkaeknthphukhnid cungcaplukbanidngam nxkcakniyngmikdeknthhamiwwabaneruxnrasdrthixyuphayinkaaephngemuxngkdi phaynxkkdi camunghlngkhadwykraebuxngimimiddwythuxwaepnkarkrathaethiybekhiynghruxtiesmxkbecanay mixachyaiwwaepnkhwamphid channbaneruxncungmunghlngkhadwyibphlwnghruxaefkepnphun 4 wd wdwaxaramphayinkaaephngemuxngkhrngnnkhngmicanwnethakbpccubnni aetswnmakesrahmxngimrungeruxng miwdthisakhyxyu 2 wd khux wdchangkhakbwdphuminthr aethcringkickarfayphrasasnanixacklawidwa idyangkhunsukhwamecriynbaet ph s 2400 epntnma prakttamphngsawdaremuxngnanwa ecaxnntwrvththiedch ecaphukhrxngnkhrnan epnphumakdwysrththaaekkladwykarbricakhinxnthicaechidchuphrasasnaihrungeruxngepnxyangying inchwchnmayukalkhxngthancungetmipdwyeruxngkarsrangburnaptisngkhrnobsth wihar ecdiysthan tamwdthnginemuxngaelanxkemuxng aelasrangkhmphirphrasutrphrathrrmkhuniwekuxbtlxdsmy khwamecriyinfayphrasasnathimixyuinpccubnni yxmepnphlnbenuxnginenuxnabuykhxngthanthiidplukfngiwdwydiaelwswnhnung 5 tlad karkhakhayaelkepliynkhngkrathaknaetthikadmw tlad aehngediywaethcring thieriykwatladni yngimthuktxngdi ephraatladinkhrngnnyngimmitweruxnorng ephiyngaetmikhawkhxngxairknamawangkhaykntamsxngfakkhangthnnethann tablthindtladxyuinkaaephngemuxngthithnnphakxngediywnitrnghnakhumkhangwdchangkha ndsuxkhayknaetewlaechaewlaediyw singkhxngthinamakhayknepncaphwkkbkhawodymak swnrankhaysingkhxngnnpraktwayngimmiely 6 thnn thnnhnthanginkhrngnn ethathimikhwrcaeriykwaepntrxkthangedinmakkwa ephraamiswnkwang xyangdikaetephiyng 4 5 sxk thnnchnidniaetphayinkaaephngemuxngsungtdcakpratuhnungipyngxikpratuhnung nxkcaknikmiaetthangedinthrrmdasngkhramprabhxkxngthphfayehnux sungmi epnaemthphnnykxxkcakkrungethph odythangeruxemuxwnxngkhareduxn 11 aerm 11 kha piraka ph s 2428 khunipthungemuxngphichyemuxeduxn 12 aerm 2 kha tngprachumphlthiemuxngphichynn idoprd ihphrayasrishethph xwm khunipepnphnkngancdesbiyngphahnasngkxngthph idcdkaredinthphkhunipemuxnghlwngphrabangepn 3 thang khux thangthi 1 kxngthphihycaykcakemuxngphichythang 3 wnthungemuxngfang txnnip 4 wnthungthaaefkekhaekhtemuxngnan txipxik 6 wnthungbannaael aetbannaael 6 wn rwm 13 wnthungemuxnghlwngphrabang thangthi 2 nn caidcdaebngekhruxngyuththphnthsahrbkxngthphaetngihphrasriphichysngkhram pldsaykrmkaremuxngphichy kbnaythharkrungethph ihkhumipthangemuxngnapad trngiptablpaklaylngbrrthukeruxkhunipthanglanaokhng khunbkthiemuxnghlwngphrabang thangthi 3 emuxkxngthphihyykipthungnkhremuxngnanaelw caaetngihphraphlsngkhram emuxngswrrkholk kbnaythharpunihykhumpunihyaelakrasundindaaeykthangiplngthanunrimaemnaokhng cdlngbrrthukeruxsngipyngemuxnghlwngphrabang xnung esbiyngxaharthicacayihiphrphlinkxngthphtngaetemuxngphichy epnrayatlxdipkwacathungemuxnghlwngphrabangnn phrayasrishethphrbcdsngkhuniprwbrwmiwepnrayathuk tabl thiphkihphxcaykbcanwnphlinkxngthphmiihepnthikhdkhwangid kxngthphtngphkrxphahnaxyu n emuxngphichy praman 20 wn kynghamaphrkphrxmkbcanwnthieknthim idchang 108 echuxk okhtang 310 tw ma 11 twethann aetcaihrxchkchaipkcaesiyrachkar cungidcdesbiyngaebngipaetphxkhwrswnhnungkxn xikswnhnungidmxbihkrmkaremuxngphichyrksaiwihsngipkbkxnglaeliyng khrn n wnsukr eduxnxay aerm 11 kha piraka ph s 2428 ewlaecha 3 omngess ecahmuniwywrnarthykkxngthphxxkcakemuxngphichyihnayrxyexkhlwngcanngyuththkic xim khumthharkrungethph 100 khnepnthphhna ihnaycaywd sukh chuot epnphutrwctra ihphraxinthraesnaesng pldemuxngkaaephngephchrkhumiphrphlhwemuxng 100 khn epnphuchwykxnghna sahrbaephwthanghnthangthirkeriywkidkhwangihkxngthphedinidsadwkdwy ihnayrxyexkhlwngxachaynrngkh kbnayrxyexkhlwngdskrplas epnpiksayaelakhwa nayrxyexkhlwngwichit epnkxnghlng phraphlemuxngswrrkholkepnkxnglaeliyngesbiyngxahar aelakxngxun nxkcakthiklawmanikihykepnladbipthuk kxng khrn n wnphuth eduxnyi aermkha 1 piraka kxngthphidykipthungsbsmuniklkbemuxngnan rayathangraw 200 esness phkcdkxngthphxyuiklemuxng ecaxnntwrvththiedch ecankhremuxngnan aetngihphrayawngsay aelaecanaybutrhlan aesnthawphraya khumchangphlaysung 5 sxk phukekhruxngcalxngekhiynthxng 3 echuxk kbdxkim thupethiynxxkmarb aemthphcungihrxkxngthphphkxyunxkemuxng 1 khun khrnrungkhunwnphvhsbdi eduxnyi aerm 2 kha ecaxnntwrvththiedch ecankhremuxngnan cungaetngihthawphrayakhumchangphlayphukcalxngekhiynthxng xxkmarb 3 echuxk aelacdihecawngsayphuhlankhumkrabwnxxkmarbkxngthphdwy ewlaecha 3 omngess edinchangnathphekhainemuxngphrxmdwykrabwnaehthimarb tngaetkxngthphfayehnuxxxkcakemuxngphichyipcnthungemuxngnan rwmwnedinkxngthph 17 wn hyudphkxyuemuxngfangaelathaaefk 4 wn rwmepn 21 wn ewlabay 3 omngess ecaxnntwrvththiedch ecankhremuxngnan phrxmdwyecaxuprach ecarachwngs ecanaybutrhlan aetngtwetmystamaebbbanemuxngmayngthaeniybthiphkkxngthphnn faykxngthphkidcdthharkxngekiyrtiys 12 khn miaetrediyw 2 khn khxyrbxyuthithaeniyb emuxecaxnntwrvththiedch ecankhremuxngnan esdcmathungaelwsnthnaprasryitthamdwykhxrachkar aelaxwychyihphrinkarthicaprabstruihsaerc odyphrabrmrachprasngkhthukprakaraelacdphraphuththrupsilasriphli 1 xngkh phrabrmthatu 1 xngkh ihaemthph ephuxepnphichymngkhlpxngknxntrayinkarthicaiprachkarthphnn kbihkhxngthkthamaekkxngthphsahrbbriophkhdwyhlaysing khrnrungkhunaemthphnaykxngidipeyiymtxbecankhremuxngnan kbecaxuprachecarachwngsaelaecanayemuxngnan txmaphrayasrishethphkhahlwngechiyekhruxngrachxisriyaphrnmhasuraphrnmngkudsyamchnthi 1 sungoprd phrarachthanaek ecaxnntwrvththiedch ecankhremuxngnan khunipthungaemthphidcdphithirbphrarachthantamthrrmeniym khrn n wnesar eduxnyi aerm 11 kha ecankhrnanidsngchangmaekhakxngthph 100 echuxk aemthphcungihepliynchanghwemuxngchninthiidbrrthukkrasundinda esbiyngxaharmainkxngthph 58 echuxk mxbihphraphichychumphlmhadithyemuxngphichy khumklbkhunipyngemuxngphichy ephuxcaidbrrthukesbiynglaeliyngekhacakemuxngphichykhunmasngyngchangemuxngthaaefk sungphrayaswrrkholkidmatngchangphkesbiyngiwsahrbemuxngnancamarblaeliyngsngipthungthapakengyaelaemuxnghlwngphrabangcaidcderuxmarbaetpakengy sngtxipthungemuxngngxyekhruxngrachxisriyaphrnph s 2428 ekhruxngrachxisriyaphrnxnmiekiyrtiysyingmngkudithy chnthi 1 prathmaphrnmngkudithy p m chuxedim mngkudsyammhasuraphrnsthanthixnenuxngmacakphranamrachtrakulphngsawlikhxngecaxnntwrvththiedch 8 ecaichyracha 4 ecasuththa 18 phyahlwngtinmhawngs 9 aemecanangethph 19 aemecaemuxngechiyngihmethwi 2 ecafahlwngxtthwrpyoy 5 ecanangkrrnika 1 ecaxnntwrvththiedch 6 ecafaaewn ecafaemuxngechiyngaekhng 3 aemecakhnaekwethwi chayaxngkhthi 4 7 aemecaemuxngechiyngaekhng xangxingnamskulkhnithy tnskul tnwngs tnrachskul khabxkelabangswnemuxkhrngkhnamichchnnarimaemuxngnansmyecaxnntwrvththiedch xngkhkhwamruphiphithphnthsthanaehngchatinan kdhmayxanackrhlkkhaemuxngnan rachwngspkrn phngsawdaremuxngnan chbbphraecasuriyphngsphritedch rachkicanuebksa ecapraethsrachthungaekphiraily emuxwnthi 26 knyayn ph s 2434 rachkicanuebksa phrarachthanephling emuxwnthi 24 thnwakhm ph s 2435 rachkicanuebksa phrarachthanephling emuxwnthi 24 mithunayn ph s 2436 cdhmayehtuphrarachkicraywn phrarachniphnthinphrabathsmedcphraculcxmeklaecaxyuhw phakh 16 cdhmayehtuphrarachkicraywnin phrabathsmedcphraculcxmeklaecaxyuhw culskrach 1250 cdhmayehtuphrarachkicraywn inphrabathsmedcphraculcxmeklaecaxyuhw phuththskrach 2434 eduxn 10 culskrach 1253 cdhmayehtuphrarachkicraywn inphrabathsmedcphraculcxmeklaecaxyuhw phuththskrach 2433 eduxn 88 culskrach 1252 xanackrhlkkha kdhmayemuxngnan hxmrdkithy emuxngekakhxngithy nirasemuxnghlwngphrabang aela raynganprabengiyw prawtisngekhpkhxngecaphrayasurskdimntriduephimrayphranamecaphukhrxngnkhrnan ekhruxkhaykaycnaphieskkxnhna ecaxnntwrvththiedch thdipphraecamhawngs ecaphukhrxngnkhrnan xngkhthi 62 aelaxngkhthi 12 aehngrachwngstinmhawngs ph s 2395 ph s 2435 phraecasuriyphngsphritedchbthkhwamchiwprawtiniyngepnokhrng khunsamarthchwywikiphiediyidodykarephimetimkhxmuldkhk