นครรัฐน่าน บ้างเรียก อาณาจักรน่าน หรือ รัฐปัว เป็นนครรัฐอิสระขนาดเล็กในอดีตรัฐหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่น้ำน่าน เดิมเรียกว่าเมืองกาว, แคว้นกาว, รัฐกาว, กาวเทศ หรือ กาวน่าน
นครรัฐน่าน | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
พุทธศตวรรษที่ 18–พ.ศ. 1992 | |||||||||
สถานะ | นครรัฐ | ||||||||
เมืองหลวง | เมืองย่าง เมืองปัว (พ.ศ. 1825–1902) เมืองภูเพียงแช่แห้ง (พ.ศ. 1902–1911) เมืองน่าน (พ.ศ. 1911–1991) | ||||||||
การปกครอง | ราชาธิปไตย | ||||||||
เจ้าผู้ครอง | |||||||||
• พุทธศตวรรษที่ 18 – พ.ศ. 2004 | ราชวงศ์ภูคา | ||||||||
ประวัติศาสตร์ | |||||||||
• สถาปนา | พุทธศตวรรษที่ 18 | ||||||||
• ถูกผนวกเข้ากับล้านนา | พ.ศ. 1992 | ||||||||
| |||||||||
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ |
แต่ด้วยอุปสรรคด้านภูมิศาสตร์เนื่องด้วยตั้งอยู่ในหุบเขาขนาดเล็กจึงมีการพัฒนาที่ล้าหลังกว่ารัฐอื่น ๆ ที่ตั้งในแถบลุ่มน้ำปิงและวัง ด้วยเหตุนี้น่านจึงตกอยู่ภายใต้การปกครองของพะเยาช่วงต้นถึงปลายศตวรรษที่ 19, ล้านนาในปี พ.ศ. 1993 และพม่าในปี พ.ศ. 2103
ประวัติ
แรกก่อตั้งและการยึดครองของพะเยา
นครรัฐน่านถูกสถาปนาขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 18 โดยการนำของพญาภูคา มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองย่าง (ปัจจุบันอยู่ในเขตบ้านเสี้ยว ตำบลยม อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน) ขณะที่ ราชวงษปกรณ์ พงศาวดารน่าน ที่รวบรวมโดยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชช่วงรัตนโกสินทร์เพียงฉบับเดียว ที่ระบุว่า ราชวงศ์กาวนี้สืบเชื้อสายมาจากพญาลาวกอ โอรสพญาลวจังกราช เมื่อปี พ.ศ. 1220 ซึ่งเนื้อหาดังกล่าวไม่มีความสัมพันธ์กับตอนที่สองจนถึงยุคพระเจ้าสุริยวงษ์ผริตเดชโดยไม่กล่าวถึงราชวงศ์ลวจังกราชอีกเลย
ใน พื้นเมืองน่าน ได้กล่าวถึงพญาภูคา มีพระโอรสสองพระองค์คือขุนนุ่นและขุนฟอง พญาภูคาจึงให้องค์พี่ไปสร้างเมืองหลวงพระบางปกครองชาวลาว และองค์น้องไปสร้างเมืองปัว (หรือ วรนคร) ปกครองชาวกาว
ครั้นขุนฟองพิราลัย เจ้าเก้าเถื่อนราชบุตรจึงครองเมืองปัวสืบมา ส่วนพญาภูคาเองก็มีชนมายุมาก มีพระราชประสงค์ให้พระนัดดามากินเมืองต่อ จึงส่งเสนาอำมาตย์ไปอัญเชิญ ด้วยเจ้าเก้าเถื่อนเกรงพระทัยพระอัยกาจึงเสด็จครองเมืองย่างต่อ โดยให้นางพญาแม่ท้าวคำพินครองเมืองปัวแทน ในช่วงเวลาดังกล่าวเมืองปัวกำลังอ่อนแอ พญางำเมืองเจ้าผู้ครองนครรัฐพะเยา จึงสบโอกาสยกทัพมาปล้นเมืองปัว หลังจากนั้นก็ให้นางอั้วสิม พระชายา และเจ้าอามป้อม ราชบุตร มากินเมืองปัว ในช่วงเวลาเดียวกับที่พญางำเมืองตีเมืองปัวนั้น นางพญาแม่ท้าวคำพินผู้ทรงพระหน่อได้เสด็จลี้ภัยไปที่บ้านห้วยแร้งแล้วให้กำเนิดโอรสชื่อเจ้าขุนใส เมื่อเจ้าขุนใสเจริญพระชันษาก็ได้เป็นขุนนางรับใช้พญางำเมือง พญางำเมืองก็สถาปนาเป็น "เจ้าขุนใสยศ" ครองเมืองปราด เมื่อเจ้าขุนใสยศมีกำลังพลมากขึ้นก็ทรงยกทัพขึ้นต่อสู้จนสามารถยึดเมืองปัวคืนมาได้ พร้อมกับได้นางอั้วสิมในพญางำเมืองมาเป็นพระชายาด้วย และสถาปนาพระองค์เองขึ้นเป็น พญาผานอง (หรือ ผากองผู้ปู่) ปกครองเมืองปัวอย่างรัฐอิสระ
การขยายตัวและปัญหาระหว่างรัฐ
ในรัชกาลพญาผานอง นครรัฐอิสระนี้เริ่มมีเสถียรภาพ หลังมีการขยายตัวของเมืองเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังทรงร่วมมือกับพญาคำฟูกษัตริย์ล้านนาเข้าปล้นแคว้นพะเยาในรัชกาลพญาคำลือ และเริ่มมีปัญหาระหองระแหงกับล้านนาอันเนื่องมาจากการถูกเอารัดเอาเปรียบในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินที่ปล้นมาจากพะเยา
รัชสมัยพญาครานเมือง (หรือ การเมือง หรือ กรานเมือง) ได้ทำการย้ายเมืองหลวงลงมายังภูเพียงแช่แห้ง เมื่อปี พ.ศ. 1902 ด้วยมีความอุดมสมบูรณ์ และสามารถติดต่อค้าขายกับเมืองทางใต้ได้สะดวกกว่าเมืองหลวงเก่า และได้ทรงสร้างพระธาตุแช่แห้ง เพื่อดึงดูดความสนใจและสร้างศูนย์รวมจิตใจแก่ทวยราษฎร์ หลังได้รับพระธาตุและพระพิมพ์มาจากอาณาจักรสุโขทัย ที่เป็นรัฐเครือญาติ แต่ความสัมพันธ์อันดีดังกล่าวสร้างความไม่ชอบใจแก่อาณาจักรอยุธยานัก ที่ช่วงเวลานั้นอยุธยาพยายามขยายอำนาจสู่สุโขทัย พญาครานเมืองจึงถูกกษัตริย์อยุธยาลอบวางยาพิษจนสิ้นพระชนม์ทันที และยิ่งทวีความร้าวฉานเมื่อพญาผาคอง (หรือ ผากองผู้หลาน) ส่งทัพไปช่วยพระมหาธรรมราชาที่ 2 แห่งสุโขทัย รบกับสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 แห่งกรุงศรีอยุธยา แต่ผลคือทัพน่านที่ยกไปช่วยนั้นแตก และถูกกรุงศรีอยุธยาจับเป็นเชลยอันมาก และท้าวคำตัน รัชกาลถัดมา ก็ถูกกรุงศรีอยุธยาลอบปลงพระชนม์อีกครั้งโดยใส่ยาพิษในน้ำอาบองค์สรงเกศ
อนึ่งในรัชกาลพญาผาคอง (หรือ ผากองผู้หลาน) นั้น ได้มีการย้ายเมืองหลวงจากภูเพียงแช่แห้งมายังเวียงใต้ หรือเมืองน่านในปัจจุบันเมื่อปี พ.ศ. 1911 โดยให้เหตุผลว่าขาดแคลนน้ำ และเวียงนั้นไม่สามารถรองรับประชาชนจำนวนมากได้
ความขัดแย้งภายในและการล่มสลาย
นครรัฐน่านประสบปัญหาอีกครั้งเมื่อท้าวเมืองแพร่ยกทัพมาปล้นและครองเมืองน่านครั้งหนึ่ง และอีกครั้งเมื่อช่วงปี พ.ศ. 1942-1943 ซึ่งเจ้าเมืองน่านจึงหนีไปพึ่งเจ้าสุโขทัย และได้รับการช่วยเหลือจนกระทั่งยึดอำนาจคืนสำเร็จทั้งสองครั้ง แต่กระนั้นการเมืองภายในราชวงศ์ภูคาก็ชิงอำนาจกันเสียเอง คืออินทแก่นท้าว ถูกเจ้าแพงและเจ้าหอพรหมผู้น้องยึดอำนาจได้ อินทแก่นท้าวจึงไปขอความช่วยเหลือจากสุโขทัยและยึดอำนาจคืน
ปลายพุทธศตวรรษที่ 20 บรรดาแว่นแคว้นและนครรัฐต่าง ๆ ค่อย ๆ ถูกรัฐที่ใหญ่กว่าผนวก อาณาจักรสุโขทัยล่มสลายและรวมเข้ากับกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 1981 แต่นครรัฐน่านที่ห่างไกลยังคงเป็นนครรัฐอิสระขนาดเล็กอยู่อย่างโดดเดี่ยว ก่อนถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรล้านนาใน ปี พ.ศ. 1992 ใน พื้นเมืองน่าน กล่าวว่าพระเจ้าติโลกราชทรงยกทัพจากพะเยามาทางเมืองปง เมืองควร เข้าล้อมเมืองน่าน และ "ตั้งอม็อกสินาดยิงเข้าทางประตูอุทยาน โห่ร้องเข้าคุ้มเวียง" อินทแก่นท้าวหนีไปพึ่งพระยาเชลียง พระเจ้าติโลกราชจึงแต่งตั้งท้าวผาแสงพระโอรสเจ้าแพงกินเมืองสืบมา ครั้นสิ้นท้าวผาแสงก็หาขุนนางมากินเมืองแทน ดังปรากฏ ความว่า "...แต่นั้นมาชื่อว่าพระญาบ่มีแลย่อมว่าเจ้าเมืองว่าอั้นมาแล..."
การปกครอง
น่านมีกษัตริย์จากราชวงศ์ภูคาเป็นประมุข ปกครองตนเองแบบนครรัฐอิสระที่ถูกตั้งขึ้นด้วยเงื่อนไขท้องถิ่นที่มิใช่อิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดีย และเนื่องด้วยที่ตั้งของน่านเป็นชายขอบของรัฐที่เข้มแข็ง ประวัติศาสตร์ของน่านจึงมีความพยายามรักษาสถานะความเป็น "นครรัฐ" ให้อยู่รอด
น่านเคยถูกพะเยายึดครองช่วงต้นศตวรรษที่ 19 และปลายศตวรรษนั้นก็กลับเป็นนครรัฐอิสระดังเดิม แต่จากการขยายอำนาจของอาณาจักรล้านนาและอยุธยาทำให้น่านสถาปนาความสัมพันธ์กับอาณาจักรสุโขทัย แม้จะได้รับการช่วยเหลือจากสุโขทัยก็ตามแต่เจ้านายในราชวงศ์กาวเองกลับแย่งชิงอำนาจกันเองทำให้รัฐขาดเสถียรภาพ จนเมื่อพันธมิตรอย่างอาณาจักรสุโขทัยสลายตัวและรวมเข้ากับอยุธยาในปี พ.ศ. 1981 ไม่นานหลังจากนั้นน่านเองก็สลายตัวและรวมเข้ากับล้านนาในปี พ.ศ. 1992
ประชากร
น่านมีชนพื้นเมืองดั้งเดิมคือชาวกาวเป็นชนชาติหนึ่งโดยเอกเทศ แต่ต้นกำเนิดของชนชาติกาวก่อนมายังเมืองปัวยังเป็นปริศนา สรัสวดี อ๋องสกุลได้ตั้งข้อสังเกตว่าพญาภูคาอาจมีความเกี่ยวข้องกับเมืองภูคาทางตอนเหนือของประเทศลาว และตั้งข้อสังเกตว่าไทกาว, ไทลาว และไทเลือง (บรรพบุรุษราชวงศ์สุโขทัย) มีความสัมพันธ์กัน แต่เธอก็กล่าวว่าเป็นเพียงข้อสันนิษฐานที่ต้องสืบค้นต่อไป
ใน พื้นเมืองน่าน ได้กล่าวถึงพญาภูคา มีพระโอรสสองพระองค์คือขุนนุ่นและขุนฟอง พญาภูคาจึงให้องค์พี่ไปสร้างเมืองหลวงพระบางปกครองชาวลาว โดยตำนานให้ภาพของเมืองปัวและหลวงพระบางเป็นพี่น้องกัน ลาวและกาวมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันตั้งถิ่นฐานใกล้กัน
หลักฐานที่กล่าวถึงชาวกาวที่เก่าแก่ที่สุดคือ ศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 ด้านที่ 4 ปรากฏความว่า "ทังมา กาว ลาว และไทยเมืองใต้หล้าฟ้าฏ..ไทยชาวอูชาวของมาออก" พื้นเมืองน่าน ฉบับวัดพระเกิด เรียกเมืองปัวซึ่งเป็นเมืองของชาวกาวว่า "เมืองกาว" หรือ "เมืองกาวเทศ" และกล่าวว่าเป็นคนไทกลุ่มหนึ่งความว่า "เมื่อนั้นชาวกาวไทยทั้งหลาย" และ "เมื่อตติยสักกราช ๗๒๗ ตัว ปีกัดใค้ สนำกุญชรชาวกาวไทยเรียกร้องกันมาแปลงโรงหลวง" ในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่เรียกกษัตริย์น่านว่า "พระญากาวน่าน" และเรียกประชาชนชาวน่านว่า "กาวน่าน" ซึ่งสอดคล้องกับศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 45 พ.ศ. 1935 เรียกผีบรรพบุรุษของกษัตริย์น่านว่า "ด้ำพงศ์กาว" ซึ่งยืนยันถึงบรรพบุรุษของกษัตริย์น่านว่าเป็นชาวกาว ในจารึกวัดบูรพาราม ด้านที่ 1 อ้างถึงปี พ.ศ. 1939 กษัตริย์สุโขทัยได้ขยายอาณาเขตไปยังเมืองกาว ดังความว่า "ท่านได้ปราบต์ ทั้งปกกาว" ปกหมายถึงรัฐคือรัฐกาวนั่นเอง ส่วนจารึกวัดบูรพารามด้าน 2 ซึ่งเป็นภาษาบาลี เรียกปกกาวว่า "กาวรฏฺ" และกล่าวต่อว่าตั้งอยู่ทางทิศอุดรของสุโขทัย
หลังจากการสร้างเมืองน่านเป็นต้นมา ประชาชนส่วนใหญ่เริ่มนิยมเรียกชื่อตามเมืองคือน่านแทนชื่อชนชาติ ผู้คนในเมืองน่านก็เรียกตัวเองว่าชาวน่านแทนชาวกาวดังปรากฏหลักฐานในพื้นเมืองน่าน ฉบับวัดพระเกิด จนกล่าวได้ว่าตั้งแต่กลางพุทธศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา คำว่า "กาว" ได้หายไปจากเมืองน่านแล้ว เหลือเพียงแต่ร่องรอยที่ปรากฏในเอกสารโบราณเท่านั้น และทุกวันนี้ชาวจังหวัดน่านเองก็ไม่รู้จักคำว่าชาวกาวแล้ว
ภูมิศาสตร์
น่านเป็นนครรัฐในหุบเขาพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา มีที่ราบลุ่มแม่น้ำน่านทางตอนบนขนาดเล็กเป็นตอน ๆ ในลักษณะแนวยาวทิศเหนือ-ใต้ขนาบโดยเทือกเขาผีปันน้ำทางตะวันตก และเทือกเขาหลวงพระบางทางตะวันออก ที่ราบแบ่งได้เป็นสองตอน คือตอนเหนือเป็นที่ราบขนาดเล็กต้นแม่น้ำน่านเป็นที่ตั้งของเมืองปัว และที่ราบตอนล่างอันเป็นตั้งของเมืองน่านซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์กว่า สามารถติดต่อค้าขายกับเมืองทางใต้ได้อย่างสะดวก นอกจากนี้น่านยังมีที่ราบขนาดเล็กอีกหลายแห่งกระจายตัวในหุบเขาอีกด้วย ถือว่าน่านมีที่ราบขนาดใหญ่และกว้างขวางกว่านครรัฐแพร่ซึ่งเป็นรัฐจารีตร่วมสมัย แม้กระนั้นนครรัฐน่านก็ประสบปัญหามีพื้นที่ทำการเกษตรจำกัด และประชากรเบาบาง
ด้วยเหตุที่น่านถูกโอบล้อมด้วยเทือกเขาสามารถติดต่อเมืองอื่น ๆ ได้ยาก ทำให้น่านเป็นเมืองโดดเดี่ยว มีพัฒนาการที่ล่าช้ากว่ารัฐจารีตที่รายรอบ และ พื้นเมืองน่าน ซึ่งเป็นตำนานพื้นเมืองของน่านช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 19 ก็ไม่ได้กล่าวถึงอาณาจักรสุโขทัยหรือล้านนาช่วงนั้นเลย โลกของผู้เขียนตำนานขีดวงไว้เพียงแถบลุ่มแม่น้ำน่านเท่านั้น อย่างไรก็ตามน่านตั้งอยู่บนและควบคุมเส้นทางการติดต่อระหว่างล้านนาตะวันออกกับหลวงพระบางในแนวตะวันออกถึงตะวันตก และเป็นปราการที่สำคัญของล้านนาด้วย ดังปรากฏในรัชสมัยพระเจ้าติโลกราช เวียดนามได้คุกคามหลวงพระบางและน่าน โดยน่านได้ต่อต้านอย่างเข้มแข็งจนเวียดนามพ่ายไปในที่สุด
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
นครรัฐน่านมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับรัฐหลวงพระบาง (หลัง พ.ศ. 1700) และรัฐสุโขทัยที่มีบรรพบุรุษจากเมืองน่านชื่อ "ปู่ฟ้าฟื้น" ดังปรากฏใน จารึกปู่สบถหลาน อันเป็นคำสัตย์ว่าสองรัฐจะไม่สู้รบกันเมื่อปี พ.ศ. 1935
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
รายพระนามกษัตริย์แห่งนครรัฐน่าน
เชิงอรรถ
- ในตำนานกล่าวถึงฤๅษีสร้างเมืองจันทบุรีให้ขุนนุ่น ซึ่งเมืองจันทบุรีคือเมืองเวียงจันทน์ แต่สรัสวดี อ๋องสกุลพิจารณาถึงตำแหน่งที่ตั้งเมืองตามบริบทของตำนานว่าควรเป็นเมืองหลวงพระบาง (อ้างอิง: สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ:อมรินทร์, 2552. หน้า 107)
อ้างอิง
- สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ:อมรินทร์, 2552. หน้า 111
- . จังหวัดน่าน. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-10-07. สืบค้นเมื่อ 2015-05-29.
- คณะทำงานเอกลักษณ์น่าน (2549). (PDF). ม.ป.ป. p. 1. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-09-21. สืบค้นเมื่อ 2021-09-23.
- สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ:อมรินทร์, 2552. หน้า 256
- . นิทรรศการ พิพิธภัณฑ์ชีวิต วิถีชาวน่าน. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-02-27. สืบค้นเมื่อ 2013-06-04.
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-11-28. สืบค้นเมื่อ 2013-05-10.
- สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ:อมรินทร์, 2552. หน้า 113
- "ชนชาติกาว บรรพบุรุษผู้สูญหายของคนเมืองน่าน". Thailand Art. สืบค้นเมื่อ 2013-05-23.
{{}}
: CS1 maint: url-status () - "เมืองกาว เมืองน่าน". คมชัดลึก. สืบค้นเมื่อ 2013-05-25.
{{}}
: CS1 maint: url-status () - สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ:อมรินทร์, 2552. หน้า 41
- สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ:อมรินทร์, 2552. หน้า 105
- คณะทำงานเอกลักษณ์น่าน (2549). (PDF). ม.ป.ป. p. 3. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-09-21. สืบค้นเมื่อ 2021-09-23.
- สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ:อมรินทร์, 2552. หน้า 107
- สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ:อมรินทร์, 2552. หน้า 109
- สุจิตต์ วงษ์เทศ (5 ธันวาคม 2557). "พระขรรค์ชัยศรี กับดาบฟ้าฟื้น". Sujitwongthes.com. สืบค้นเมื่อ 2014-12-19.
{{}}
: CS1 maint: url-status () - สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ:อมรินทร์, 2552. หน้า 112
- ประเสริฐ ณ นคร. ผากอง, พระยา ใน ประวัติศาสตร์เบ็ดเตล็ด. กรุงเทพฯ : มติชน, 2549, หน้า 254 - 255
- คณะทำงานเอกลักษณ์น่าน (2549). (PDF). ม.ป.ป. p. 9. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-09-21. สืบค้นเมื่อ 2021-09-23.
- คณะทำงานเอกลักษณ์น่าน (2549). (PDF). ม.ป.ป. p. 16. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-09-21. สืบค้นเมื่อ 2021-09-23.
- คณะทำงานเอกลักษณ์น่าน (2549). (PDF). ม.ป.ป. p. 18. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-09-21. สืบค้นเมื่อ 2021-09-23.
- สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ:อมรินทร์, 2552. หน้า 108
- สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ:อมรินทร์, 2552. หน้า 106
- สรัสวดี อ๋องสกุล. ประวัติศาสตร์ล้านนา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ:อมรินทร์, 2552. หน้า 102
- ประพฤทธิ์ ศุกลรัตนเมธี และวินัย ศรีพงศ์เพียร. "บทบาทของล้านนาในวิกฤตการณ์การเมืองระหว่างรัฐในราชอาณาจักรลาว พ.ศ. 2002-2024", ใน รวมบทความประวัติศาสตร์ ฉบับที่ 16, พ.ศ. 2537, หน้า 98-110
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
nkhrrthnan bangeriyk xanackrnan hrux rthpw epnnkhrrthxisrakhnadelkinxditrthhnung sungtngxyubnthirablumaemnanan edimeriykwaemuxngkaw aekhwnkaw rthkaw kaweths hrux kawnannkhrrthnanphuththstwrrsthi 18 ph s 1992sthanankhrrthemuxnghlwngemuxngyang emuxngpw ph s 1825 1902 emuxngphuephiyngaechaehng ph s 1902 1911 emuxngnan ph s 1911 1991 karpkkhrxngrachathipityecaphukhrxng phuththstwrrsthi 18 ph s 2004rachwngsphukhaprawtisastr sthapnaphuththstwrrsthi 18 thukphnwkekhakblannaph s 1992kxnhna thdipenginyang xanackrlannapccubnepnswnhnungkhxngpraethsithypraethslaw aetdwyxupsrrkhdanphumisastrenuxngdwytngxyuinhubekhakhnadelkcungmikarphthnathilahlngkwarthxun thitnginaethblumnapingaelawng dwyehtuninancungtkxyuphayitkarpkkhrxngkhxngphaeyachwngtnthungplaystwrrsthi 19 lannainpi ph s 1993 aelaphmainpi ph s 2103prawtiaerkkxtngaelakaryudkhrxngkhxngphaeya nkhrrthnanthuksthapnakhunrawphuththstwrrsthi 18 odykarnakhxngphyaphukha misunyklangxyuthiemuxngyang pccubnxyuinekhtbanesiyw tablym xaephxthawngpha cnghwdnan khnathi rachwngspkrn phngsawdarnan thirwbrwmodyphraecasuriyphngsphritedchchwngrtnoksinthrephiyngchbbediyw thirabuwa rachwngskawnisubechuxsaymacakphyalawkx oxrsphyalwcngkrach emuxpi ph s 1220 sungenuxhadngklawimmikhwamsmphnthkbtxnthisxngcnthungyukhphraecasuriywngsphritedchodyimklawthungrachwngslwcngkrachxikely in phunemuxngnan idklawthungphyaphukha miphraoxrssxngphraxngkhkhuxkhunnunaelakhunfxng phyaphukhacungihxngkhphiipsrangemuxnghlwngphrabangpkkhrxngchawlaw aelaxngkhnxngipsrangemuxngpw hrux wrnkhr pkkhrxngchawkaw khrnkhunfxngphiraly ecaekaethuxnrachbutrcungkhrxngemuxngpwsubma swnphyaphukhaexngkmichnmayumak miphrarachprasngkhihphranddamakinemuxngtx cungsngesnaxamatyipxyechiy dwyecaekaethuxnekrngphrathyphraxykacungesdckhrxngemuxngyangtx odyihnangphyaaemthawkhaphinkhrxngemuxngpwaethn inchwngewladngklawemuxngpwkalngxxnaex phyangaemuxngecaphukhrxngnkhrrthphaeya cungsboxkasykthphmaplnemuxngpw hlngcaknnkihnangxwsim phrachaya aelaecaxampxm rachbutr makinemuxngpw inchwngewlaediywkbthiphyangaemuxngtiemuxngpwnn nangphyaaemthawkhaphinphuthrngphrahnxidesdcliphyipthibanhwyaerngaelwihkaenidoxrschuxecakhunis emuxecakhunisecriyphrachnsakidepnkhunnangrbichphyangaemuxng phyangaemuxngksthapnaepn ecakhunisys khrxngemuxngprad emuxecakhunisysmikalngphlmakkhunkthrngykthphkhuntxsucnsamarthyudemuxngpwkhunmaid phrxmkbidnangxwsiminphyangaemuxngmaepnphrachayadwy aelasthapnaphraxngkhexngkhunepn phyaphanxng hrux phakxngphupu pkkhrxngemuxngpwxyangrthxisra karkhyaytwaelapyharahwangrth wdphrathatuaechaehng inrchkalphyaphanxng nkhrrthxisranierimmiesthiyrphaph hlngmikarkhyaytwkhxngemuxngephimkhun nxkcakniyngthrngrwmmuxkbphyakhafukstriylannaekhaplnaekhwnphaeyainrchkalphyakhalux aelaerimmipyharahxngraaehngkblannaxnenuxngmacakkarthukexardexaepriybinkrrmsiththithrphysinthiplnmacakphaeya rchsmyphyakhranemuxng hrux karemuxng hrux kranemuxng idthakaryayemuxnghlwnglngmayngphuephiyngaechaehng emuxpi ph s 1902 dwymikhwamxudmsmburn aelasamarthtidtxkhakhaykbemuxngthangitidsadwkkwaemuxnghlwngeka aelaidthrngsrangphrathatuaechaehng ephuxdungdudkhwamsnicaelasrangsunyrwmciticaekthwyrasdr hlngidrbphrathatuaelaphraphimphmacakxanackrsuokhthy thiepnrthekhruxyati aetkhwamsmphnthxndidngklawsrangkhwamimchxbicaekxanackrxyuthyank thichwngewlannxyuthyaphyayamkhyayxanacsusuokhthy phyakhranemuxngcungthukkstriyxyuthyalxbwangyaphiscnsinphrachnmthnthi aelayingthwikhwamrawchanemuxphyaphakhxng hrux phakxngphuhlan sngthphipchwyphramhathrrmrachathi 2 aehngsuokhthy rbkbsmedcphrabrmrachathirachthi 1 aehngkrungsrixyuthya aetphlkhuxthphnanthiykipchwynnaetk aelathukkrungsrixyuthyacbepnechlyxnmak aelathawkhatn rchkalthdma kthukkrungsrixyuthyalxbplngphrachnmxikkhrngodyisyaphisinnaxabxngkhsrngeks xnunginrchkalphyaphakhxng hrux phakxngphuhlan nn idmikaryayemuxnghlwngcakphuephiyngaechaehngmayngewiyngit hruxemuxngnaninpccubnemuxpi ph s 1911 odyihehtuphlwakhadaekhlnna aelaewiyngnnimsamarthrxngrbprachachncanwnmakid khwamkhdaeyngphayinaelakarlmslay nkhrrthnanprasbpyhaxikkhrngemuxthawemuxngaephrykthphmaplnaelakhrxngemuxngnankhrnghnung aelaxikkhrngemuxchwngpi ph s 1942 1943 sungecaemuxngnancunghniipphungecasuokhthy aelaidrbkarchwyehluxcnkrathngyudxanackhunsaercthngsxngkhrng aetkrannkaremuxngphayinrachwngsphukhakchingxanacknesiyexng khuxxinthaeknthaw thukecaaephngaelaecahxphrhmphunxngyudxanacid xinthaeknthawcungipkhxkhwamchwyehluxcaksuokhthyaelayudxanackhun playphuththstwrrsthi 20 brrdaaewnaekhwnaelankhrrthtang khxy thukrththiihykwaphnwk xanackrsuokhthylmslayaelarwmekhakbkrungsrixyuthyainpi ph s 1981 aetnkhrrthnanthihangiklyngkhngepnnkhrrthxisrakhnadelkxyuxyangoddediyw kxnthukphnwkekhakbxanackrlannain pi ph s 1992 in phunemuxngnan klawwaphraecatiolkrachthrngykthphcakphaeyamathangemuxngpng emuxngkhwr ekhalxmemuxngnan aela tngxmxksinadyingekhathangpratuxuthyan ohrxngekhakhumewiyng xinthaeknthawhniipphungphrayaechliyng phraecatiolkrachcungaetngtngthawphaaesngphraoxrsecaaephngkinemuxngsubma khrnsinthawphaaesngkhakhunnangmakinemuxngaethn dngprakt khwamwa aetnnmachuxwaphrayabmiaelyxmwaecaemuxngwaxnmaael karpkkhrxngnanmikstriycakrachwngsphukhaepnpramukh pkkhrxngtnexngaebbnkhrrthxisrathithuktngkhundwyenguxnikhthxngthinthimiichxiththiphlkhxngwthnthrrmxinediy aelaenuxngdwythitngkhxngnanepnchaykhxbkhxngrththiekhmaekhng prawtisastrkhxngnancungmikhwamphyayamrksasthanakhwamepn nkhrrth ihxyurxd nanekhythukphaeyayudkhrxngchwngtnstwrrsthi 19 aelaplaystwrrsnnkklbepnnkhrrthxisradngedim aetcakkarkhyayxanackhxngxanackrlannaaelaxyuthyathaihnansthapnakhwamsmphnthkbxanackrsuokhthy aemcaidrbkarchwyehluxcaksuokhthyktamaetecanayinrachwngskawexngklbaeyngchingxanacknexngthaihrthkhadesthiyrphaph cnemuxphnthmitrxyangxanackrsuokhthyslaytwaelarwmekhakbxyuthyainpi ph s 1981 imnanhlngcaknnnanexngkslaytwaelarwmekhakblannainpi ph s 1992prachakrnanmichnphunemuxngdngedimkhuxchawkawepnchnchatihnungodyexkeths aettnkaenidkhxngchnchatikawkxnmayngemuxngpwyngepnprisna srswdi xxngskulidtngkhxsngektwaphyaphukhaxacmikhwamekiywkhxngkbemuxngphukhathangtxnehnuxkhxngpraethslaw aelatngkhxsngektwaithkaw ithlaw aelaitheluxng brrphburusrachwngssuokhthy mikhwamsmphnthkn aetethxkklawwaepnephiyngkhxsnnisthanthitxngsubkhntxip in phunemuxngnan idklawthungphyaphukha miphraoxrssxngphraxngkhkhuxkhunnunaelakhunfxng phyaphukhacungihxngkhphiipsrangemuxnghlwngphrabangpkkhrxngchawlaw odytananihphaphkhxngemuxngpwaelahlwngphrabangepnphinxngkn lawaelakawmikhwamsmphnthiklchidkntngthinthaniklkn hlkthanthiklawthungchawkawthiekaaekthisudkhux silacaruksuokhthyhlkthi 1 danthi 4 praktkhwamwa thngma kaw law aelaithyemuxngithlafat ithychawxuchawkhxngmaxxk phunemuxngnan chbbwdphraekid eriykemuxngpwsungepnemuxngkhxngchawkawwa emuxngkaw hrux emuxngkaweths aelaklawwaepnkhnithklumhnungkhwamwa emuxnnchawkawithythnghlay aela emuxttiyskkrach 727 tw pikdikh snakuychrchawkawithyeriykrxngknmaaeplngornghlwng intananphunemuxngechiyngihmeriykkstriynanwa phrayakawnan aelaeriykprachachnchawnanwa kawnan sungsxdkhlxngkbsilacaruksuokhthyhlkthi 45 ph s 1935 eriykphibrrphburuskhxngkstriynanwa daphngskaw sungyunynthungbrrphburuskhxngkstriynanwaepnchawkaw incarukwdburpharam danthi 1 xangthungpi ph s 1939 kstriysuokhthyidkhyayxanaekhtipyngemuxngkaw dngkhwamwa thanidprabt thngpkkaw pkhmaythungrthkhuxrthkawnnexng swncarukwdburpharamdan 2 sungepnphasabali eriykpkkawwa kawrt aelaklawtxwatngxyuthangthisxudrkhxngsuokhthy hlngcakkarsrangemuxngnanepntnma prachachnswnihyerimniymeriykchuxtamemuxngkhuxnanaethnchuxchnchati phukhninemuxngnankeriyktwexngwachawnanaethnchawkawdngprakthlkthaninphunemuxngnan chbbwdphraekid cnklawidwatngaetklangphuththstwrrsthi 20 epntnma khawa kaw idhayipcakemuxngnanaelw ehluxephiyngaetrxngrxythipraktinexksarobranethann aelathukwnnichawcnghwdnanexngkimruckkhawachawkawaelwphumisastrphaphphaonramaethuxkekhaphipnna nanepnnkhrrthinhubekhaphunthiswnihyepnphuekha mithirablumaemnananthangtxnbnkhnadelkepntxn inlksnaaenwyawthisehnux itkhnabodyethuxkekhaphipnnathangtawntk aelaethuxkekhahlwngphrabangthangtawnxxk thirabaebngidepnsxngtxn khuxtxnehnuxepnthirabkhnadelktnaemnananepnthitngkhxngemuxngpw aelathirabtxnlangxnepntngkhxngemuxngnansungmikhwamxudmsmburnkwa samarthtidtxkhakhaykbemuxngthangitidxyangsadwk nxkcakninanyngmithirabkhnadelkxikhlayaehngkracaytwinhubekhaxikdwy thuxwananmithirabkhnadihyaelakwangkhwangkwankhrrthaephrsungepnrthcaritrwmsmy aemkrannnkhrrthnankprasbpyhamiphunthithakarekstrcakd aelaprachakrebabang dwyehtuthinanthukoxblxmdwyethuxkekhasamarthtidtxemuxngxun idyak thaihnanepnemuxngoddediyw miphthnakarthilachakwarthcaritthirayrxb aela phunemuxngnan sungepntananphunemuxngkhxngnanchwngtnphuththstwrrsthi 19 kimidklawthungxanackrsuokhthyhruxlannachwngnnely olkkhxngphuekhiyntanankhidwngiwephiyngaethblumaemnananethann xyangirktamnantngxyubnaelakhwbkhumesnthangkartidtxrahwanglannatawnxxkkbhlwngphrabanginaenwtawnxxkthungtawntk aelaepnprakarthisakhykhxnglannadwy dngpraktinrchsmyphraecatiolkrach ewiydnamidkhukkhamhlwngphrabangaelanan odynanidtxtanxyangekhmaekhngcnewiydnamphayipinthisudkhwamsmphnthrahwangpraethsnkhrrthnanmikhwamsmphnththangekhruxyatikbrthhlwngphrabang hlng ph s 1700 aelarthsuokhthythimibrrphburuscakemuxngnanchux pufafun dngpraktin carukpusbthhlan xnepnkhastywasxngrthcaimsurbknemuxpi ph s 1935 swnnirxephimetimkhxmul khunsamarthchwyephimkhxmulswnniidrayphranamkstriyaehngnkhrrthnanechingxrrthintananklawthungvisisrangemuxngcnthburiihkhunnun sungemuxngcnthburikhuxemuxngewiyngcnthn aetsrswdi xxngskulphicarnathungtaaehnngthitngemuxngtambribthkhxngtananwakhwrepnemuxnghlwngphrabang xangxing srswdi xxngskul prawtisastrlanna phimphkhrngthi 6 krungethph xmrinthr 2552 hna 107 xangxingsrswdi xxngskul prawtisastrlanna phimphkhrngthi 6 krungethph xmrinthr 2552 hna 111 cnghwdnan khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2013 10 07 subkhnemux 2015 05 29 khnathanganexklksnnan 2549 PDF m p p p 1 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedim PDF emux 2020 09 21 subkhnemux 2021 09 23 srswdi xxngskul prawtisastrlanna phimphkhrngthi 6 krungethph xmrinthr 2552 hna 256 nithrrskar phiphithphnthchiwit withichawnan khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2015 02 27 subkhnemux 2013 06 04 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2011 11 28 subkhnemux 2013 05 10 srswdi xxngskul prawtisastrlanna phimphkhrngthi 6 krungethph xmrinthr 2552 hna 113 chnchatikaw brrphburusphusuyhaykhxngkhnemuxngnan Thailand Art subkhnemux 2013 05 23 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite web title aemaebb Cite web cite web a CS1 maint url status lingk emuxngkaw emuxngnan khmchdluk subkhnemux 2013 05 25 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite web title aemaebb Cite web cite web a CS1 maint url status lingk srswdi xxngskul prawtisastrlanna phimphkhrngthi 6 krungethph xmrinthr 2552 hna 41 srswdi xxngskul prawtisastrlanna phimphkhrngthi 6 krungethph xmrinthr 2552 hna 105 khnathanganexklksnnan 2549 PDF m p p p 3 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedim PDF emux 2020 09 21 subkhnemux 2021 09 23 srswdi xxngskul prawtisastrlanna phimphkhrngthi 6 krungethph xmrinthr 2552 hna 107 srswdi xxngskul prawtisastrlanna phimphkhrngthi 6 krungethph xmrinthr 2552 hna 109 sucitt wngseths 5 thnwakhm 2557 phrakhrrkhchysri kbdabfafun Sujitwongthes com subkhnemux 2014 12 19 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite web title aemaebb Cite web cite web a CS1 maint url status lingk srswdi xxngskul prawtisastrlanna phimphkhrngthi 6 krungethph xmrinthr 2552 hna 112 praesrith n nkhr phakxng phraya in prawtisastrebdetld krungethph mtichn 2549 hna 254 255 khnathanganexklksnnan 2549 PDF m p p p 9 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedim PDF emux 2020 09 21 subkhnemux 2021 09 23 khnathanganexklksnnan 2549 PDF m p p p 16 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedim PDF emux 2020 09 21 subkhnemux 2021 09 23 khnathanganexklksnnan 2549 PDF m p p p 18 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedim PDF emux 2020 09 21 subkhnemux 2021 09 23 srswdi xxngskul prawtisastrlanna phimphkhrngthi 6 krungethph xmrinthr 2552 hna 108 srswdi xxngskul prawtisastrlanna phimphkhrngthi 6 krungethph xmrinthr 2552 hna 106 srswdi xxngskul prawtisastrlanna phimphkhrngthi 6 krungethph xmrinthr 2552 hna 102 praphvththi suklrtnemthi aelawiny sriphngsephiyr bthbathkhxnglannainwikvtkarnkaremuxngrahwangrthinrachxanackrlaw ph s 2002 2024 in rwmbthkhwamprawtisastr chbbthi 16 ph s 2537 hna 98 110