บทความนี้ไม่มีจาก |
บทความนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน มีเนื้อหา รูปแบบ หรือลักษณะการนำเสนอที่ |
ปืนคาบศิลา (อังกฤษ: musket) เป็นปืนที่ใช้ดินปืน(ดิน"แรงดันต่ำ")ตำกรอกทางปากกระบอกปืน จากนั้นรอง"หมอน"นุ่น หรือผ้า แล้วใส่หัวกระสุนทรงกลม ปิดด้วยหมอนอีกชั้น ปืนชนิดนี้เมื่อบรรจุกระสุนไว้ต้องถือตั้งตรงตลอด ไม่งั้นกระสุนอาจไหลออกจากปากลำกล้อง เวลาจะยิงต้องใช้ หิน"คาบศิลา"(หินไฟ-Flint) ตอกกระทบโลหะ หรือกระทบกันเอง (มักทำเป็น คอนกติดหินไฟ ผงกด้วยสปริง) เพื่อจุดดินขับในถ้วยที่โคนปืน ให้ไฟแล่บติดดินขับ วิ่งเข้าไปทางรูที่ท้ายลำกล้อง แล้วจึงเกิดการลุกไหม้ในดินปืน ระเบิดกระสุนออกไป ปืนชนิดนี้เป็นต้นแบบของปืนไรเฟิลในปัจจุบันด้วย ไม่มีผู้ทราบว่าใครประดิษฐ์ขึ้น แต่ว่าในเอกสารทางการทหารของจีนได้มีการกล่าวถึงอาวุธชนิดหนึ่งเรียกว่า "หั่วหลงจิง (火龙经)" ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 ในแรกเริ่มปืนคาบศิลาได้มีการออกแบบให้ใช้กับทหารราบเท่านั้น และได้มีการปรับปรุงขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม เช่นมีเกลียวในลำกล้อง การมีกล้องเล็ง มีกระสุนปลายแหลมซี่งแต่เดิมนั้นเป็นลูกกลมๆ และในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ก็มีการประดิษฐ์ปืนชนิดที่บรรจุกระสุนทางท้ายรังเพลิงปืนซึ่งแต่เดิมนั้นบรรจุกระสุนทางปากลำกล้องเข้ามาแทนที่
หลักฐานการใช้ปืนไฟในช่วงแรก
ดินปืนค้นพบโดยชาวจีนโดยบังเอิญในสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันตก (ซีจิ้น) แต่ยังไม่ได้มีการใช้อย่างจริงจัง คงนำมาใช่ในลักษณะของพิธีกรรมขับไล่สิ่งชั่วร้าย และงานเฉลิมฉลองอย่างดอกไม้ไฟนั่นเอง แต่ชาวจีนเริ่มจะใช้ดินปืนอย่างจริงจัง ในสมัยราชวงศ์ซ่ง เพราะมีหลักฐานว่ากองทัพราชวงศ์ซ่งได้ประดิษฐ์อาวุธระเบิดแบบพกพา (ระเบิดขว้าง) ปืนไฟแบบจุดสายชนวน (แต่มิได้ใช้ระบบไกยิงอย่างปืนไฟในยุคหลัง เพียงแต่ใช้การจุดสายชนวนเท่านั้น) และเครื่องยิงที่ใช้กระสุนยิงแบบอัดดินปืนแล้ว แต่สาเหตุที่ดินปืนแพร่หลายไปสู่ดินแดนตะวันตกนั้น มีเหตุจากการรุกรานของพวกมองโกล เมื่อพวกมองโกลพิชิตแผ่นดินจีนทางเหนือได้สำเร็จแล้ว ก็ได้นำบรรดาช่างปืนใหญ่และปืนไฟจากจีนไปเป็นกำลังสำคัญในการขยายดินแดน โดยพวกมุสลิมในตะวันออกกลางเป็นชนกลุ่มแรกที่ได้ใช้อาวุธดินปืนในการสงคราม จากนั้นจึงแพร่หลายเข้าไปในยุโรป สำหรับรูปแบบอาวุธปืนไฟทรงกระบอกนั้น มีมาแต่เริ่มในสมัยซ่งแล้ว แต่เริ่มมีการประดิษฐ์อาวุธปืน โดยอาศัยระบบไกยิง (Trigger) ขึ้นในประเทศจีนในสมัยราชวงศ์หมิง ปืนคาบศิลาเริ่มปรากฏขึ้นในประเทศสเปน แต่จะรู้จักกันดีในนามของ ปืนคาบชุด (MATCH LOCK) ในทศวรรษที่ 1500 แต่ทหารเจนนิสซารี่ของจักรวรรดิออตโตมานก็ปรากฏว่ามีการใช้ปืนคาบศิลาในช่วงทศวรรษที่ 1440 แล้ว เทคโนโลยีปืนคาบศิลาได้พัฒนาขึ้นในยุโรปตะวันตกอย่างรวดเร็ว และเกิดอาวุธที่มีประสิทธิภาพการทำลายล้างมากกว่าแต่ก่อนทำให้เกิดการแสวงหาวัตถุดิบดินปืนซึ่งทำให้เกิดลัทธิจักรวรรดินิยมขึ้น
วิวัฒนาการของปืนคาบศิลา
ในคริสต์ศตวรรษที่15 ทหารราบของยุคกลางได้มีการใช้อาวุธดินปืนชนิดหนึ่งเรียกว่า "ปืนใหญ่ที่ยิงด้วยมือ" ถึงอย่างไรก็ดีอาวุธดังกล่าวก็ยุ่งยากในการใช้ซึ่งต้องใช้เวลานานในการบรรจุกระสุนปืนและไม่ค่อยจะมีประสิทธิภาพในการยิง เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 16 ก็เริ่มมีการประดิษฐ์ปืนสั้นขึ้นและในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 ปืนคาบศิลาก็ได้เข้ามาแทนที่หอกยาวซึ่งเคยเป็นอาวุธหลักของทหารราบในสมัยนั้น ปืนคาบศิลาในสมัยศตวรรษที่ 16 เรียกว่า อาร์กิวบัส (Arquebus) หรือปืนคาบชุด กลไกของปืนชนิดนี้คือใส่ดินปืนลงบนจานดินปืนแล้วใส่กระสุนกลมๆ และดินปืนทางปากกระบอกปืนแล้วกระทุ้งให้ดินปืนและกระสุนไปอยู่ในรังดินปืนทางท้ายลำกล้อง เมื่อเหนี่ยวไกก็จะมีเหล็กรูปงูตีที่จานดินปืนจะเป็นการจุดสายชนวนไปที่ท้ายลำกล้องทำให้ดินปืนระเบิดขึ้น แรงระเบิดจะทำให้กระสุนพุ่งออกไปทางปากลำกล้องอย่างรวดเร็ว
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ก็มีการพัฒนาปืนคาบชุดเป็น "ปืนสั้นแบบลูกล้อ" (Wheellock) แต่อย่างไรก็ดีปืนคาบชุดก็มีข้อเสียอยู่มากเช่น บรรจุกระสุนช้า มีความแม่นยำน้อย ไม่สามารถใช้ได้เมื่ออากาศชื้นเพราะจะทำให้จุดชนวนดินปืนไม่ติด แต่อย่างไรก็ตามปืนคาบชุดก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนโฉมหน้าสงครามของยุโรป และทำให้กษัตริย์ยุโรปมีสถานภาพมั่นคงขึ้นเพราะทำให้มีผู้ก่อกบฏยากเนื่องจากสงครามที่ใช้ปืนไฟจะเสียค่าใข้จ่ายในการรบสูงมาก ปืนคาบชุดสามารถทำให้อาณาจักรที่สำคัญล่มสลายเช่นอินคา เป็นต้นแต่มันก็สามารถสร้างอาณาจักรให้มีเอกราชได้ เช่นจักรวรรดิรัสเซียสามารใช้ปืนไฟขับไล่มองโกลออกไปได้แล้วสถาปนาราชวงศ์โรมานอฟ(Romanov) ขึ้น ต่อมาได้มีการดัดแปลงปืนคาบชุดให้พกพาได้สะดวกขึ้นเป็นปืนสั้นซึ่งเป็นที่นิยมของทหารม้าในสมัยนั้น
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ได้มีการพัฒนาปืนไฟแบบคาบชุด ให้เป็นปืนคาบศิลา (Flintlock อ่านว่าฟลิ้นท์ล็อก) ขึ้น ซึ่งมีกลไกคือใส่หินเหล็กไฟที่ตัวนกของปืนแล้วบรรจุกระสุนและดินปืนทางปากกระบอกแล้วกระทุ้งจากนั้น เมื่อเหนี่ยวไกเหล็กรูปนกสับหินเหล็กไฟทำให้เก็ดประกายไฟลามไปที่รังดินปืนทางท้ายกระบอกทำให้ดินปืนระเบิดและผลักกระสุนให้พุ่งไปข้างหน้า ต่อมาอาวุธชิ้นนี้ได้กลายเป็นอาวุธหลักของกองทัพยุโรปและอเมริกา เมื่อศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมได้มีการประดิษฐ์เกลียวในลำกล้องทำให้กระสุนพุ่งไปข้างหน้าในแนวตรง มีพิสัยไกลกว่าเดิม และมีความแม่นยำมากขึ้น และมีการประดิษฐ์แก๊บในตัวปืนทำให้ไม่ต้องคอยใส่ดินปืนอีกต่อไปเห็นได้จากสงครามไครเมีย การมีกล้องเล็งซึ่งทำมองเห็นเป้าหมายในระยะที่ใกล้และแม่นยำทำให้เกิดหน่วยซุ่มยิงขึ้น เห็นได้จากสงครามกลางเมืองอเมริกา
ปืนคาบศิลาในเอเชีย
จักรวรรดิออตโตมาน
ในการระดมยิงกรุงคอนสแตนติโนเปิล เมืองหลวงของจักรวรรดิไบแซนไทน์ ทหารชาวเติร์กก็ใช้ปืนใหญ่และปืนคาบชุดรุ่นแรก ๆ ในการระดมยิงกำแพงเมืองทั้งจากทางบกและทางเรือ ในการรบขยายอาณาจักรของสุลต่านสุไลมานปืนคาบชุดก็เป็นอาวุธสำคัญในการปิดล้อมเมืองเห็นได้จากสงครามฮับส์เบิร์ก-ออตโตมาน ทหารปืนคาบชุดของจักรวรรดิออตโตมานเรียกว่าแจนนิสซารี่ซึ่งส่วนใหญ่จะสืบเชื้อสายมาจากพลทหารอาร์เมเนียน และ จอร์เจียน ที่ถูกจับมาเป็นทาสเชลย และแม่ทัพของอาณาจักรออตโตมานส่วนใหญ่จะครอบครองปืนสั้นเป็นจำนวนมากอีกด้วย ปืนคาบชุดยังคงเป็นอาวุธหลักของจักรวรรดิออตโตมานจนเมื่อจักรวรรดิปฏิรูปการทหารในทศวรรษที่1830
เปอร์เซีย
จากหลักฐานการบันทึกของพ่อค้าชาวเวนิสได้พบว่าปืนคาบชุดได้แพร่หลายในอาณาจักรเปอร์เซียอย่างรวดเร็วอันเนื่องมาจากการค้ากับยุโรปและทหารม้าของราชวงศ์ซาร์ฟาวิดของเปอร์เซียจะนิยมพกปืนคาบชุดทุกคน ปืนคาบชุดของเปอร์เซียจะมีลวดลายประณีตบรรจงมาก ปืนคาบชุดยังคงเป็นอาวุธหลักของเปอร์เซียจนเมื่อราชวงศ์ซาร์ฟาวิดล่มสลาย
อินเดีย
ในอินเดียสมัยราชวงศ์โมกุลเริ่มปรากฏว่ามีการใช้ปืนคาบชุดในช่วงทศวรรษที่ 1510 ซึ่งในสมัยนี้พระเจ้าบาบูร์และพระเจ้าอัคบาร์ได้ใช้ปืนคาบชุดเป็นอาวุธหลักของทหารราบในการปราบปรามหัวเมืองฮินดูและมุสลิมของเจ้าผู้ครองแคว้นทางภาคใต้ เสียงของปืนคาบชุดยังทำให้ช้างหลายเชือกของฝ่ายหัวเมืองทางใต้ตกใจอีกด้วยทำให้อาณาจักรโมกุลสามารถรวบรวมอินเดียเป็นเอกภาพในสมัยพระเจ้าอัคบาร์มหาราช ปืนไฟของโมกุลจะเป็นแบบคาบชุดซึ่งเป็นงานหัถกรรมอย่างหนึ่งมีการตีเหล็กอย่างประณีตไม่ได้มีการใช้เหล็กหล่อเหมือนทางตะวันตก ต่อมาเมืออินเดียตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ทางข้าหลวงชาวอังกฤษได้จัดตั้งทหารซีปอยซึ่งมีการจัดระเบียบแบบอังกฤษมีอาวุธหลักเป็นปืนคาบศิลาแบบฟรินท์ล็อกหรือปืนนกสับจนมีปืนแบบบรรจุกระสุนทางพานท้ายปืนมาแทนที่
ญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นได้เผชิญกับอาวุธปืนครั้งแรกเมื่อจักรพรรดิกุบไลข่านรุกรานญี่ปุ่นในปี 1259 ในสึชิมะ ต่อมาในปี 1543 ได้มีเรือโปรตุเกสเข้ามาเทียบท่านำโดยนักบวชชื่อ "ฟือร์เนา เมงดิช ปิงตู" ชาวโปรตุเกสได้นำปืนไฟแบบคาบชุดมาด้วย ไดเมียวโอะดะ โนะบุนะงะได้ซื้อปืนคาบชุดของชาวโปรตุเกสมาศึกษากลไกแล้วให้ช่างเหล็กตีเลียนแบบจนกระทั่งสามารถผลิตปืนคาบชุดได้มากที่สุดในโลกและสามารถสร้างกองทหารที่เกณฑ์มาจากชาวนาหรือ "อาชิการุ ((あしがる))" ที่ติดอาวุธปืนเหมือนชาวยุโรปได้เป็นจำนวนมาก จนเมื่อปี 1575 โนะบุนางะได้นำทหารอาชิการุที่ติดอาวุธปืนยึดปราสาทนางาชิโนได้ ยุทธวิธีของโอดะคือแบ่งทหารอาชิการุเป็นสามแถวอยู่หลังรั้วไม้ เมื่อแถวแรกยิงทหารม้าของทาเคดะแล้วบรรจุกระสุนใหม่แถวที่สองเข้ามายิงต่อเมื่อแถวที่สองบรรจุกระสุนแถวสามจะยิงทำให้ทหารม้าของทาเคดะตายเป็นจำนวนมาก อาวุธของทหารม้าเป็นอาวุธแบบเดิมคือธนู "ยูมิ" และดาบคาตานะ ชัยชนะครั้งนี้ทำให้โอดะได้ตั้งตนเป็นโชกุน เมื่อโนะบุนางะถึงแก่อนิจกรรม โตโยโตมิได้รับตำแหน่งโชกุนแทน ต่อมาเมื่อปี 1592 ญี่ปุ่นรุกรานเกาหลี ญี่ปุ่นได้ใช้ปืนคาบชุดเป็นอาวุธหลักในการรบแต่ต่อมาญี่ปุ่นต้องถอยทัพกลับเพราะโตโยโตมิถึงแก่อนิจกรรมในปี 1598 ต่อมาเมื่อโชกุน โทะกุงะวะ อิเอะยะซุ ดำเนินนโยบายปิดประเทศในปี 1603 ห้ามทำการค้ากับชาวต่างชาติและห้ามนำเข้าและผลิตอาวุธปืนเพราะอาจจะทำให้สถานภาพของโชกุนไม่มั่นคง ทำให้ปืนแบบคาบชุดอยู่ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นเพียงห้าทศวรรษเท่านั้น จนกระทั่งในปี 1854 นายพลแมททิว เปอร์รี่บังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศ สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิได้ทำการยึดอำนาจของโชกุน โทะกุงะวะ โยะชิโนะบุและจัดตั้งกองทัพสมัยใหม่มีการนำเข้าปืนคาบศิลาแบบฟรินท์ล็อกจากสหรัฐอเมริกาจำนวนมาก ต่อมาญี่ปุ่นสามารถผลิตเองได้เป็นจำนวนมากและปืนคาบศิลายังคงเป็นอาวุธหลักของญี่ปุ่นจนมีปืนแบบบรรจุกระสุนทางพานท้ายปืนมาแทนที่
จีน
จีนเป็นชาติแรกที่ประดิษฐ์อาวุธปืนขึ้น ปืนที่เป็นต้นแบบของปืนคาบศิลาที่จีนประดิษฐ์ขึ้นมีลักษณะคล้ายปืนคาบศิลาแต่มีวิธียิงเหมือนปืนใหญ่ อาวุธปืนของจีนมักจะไม่ได้รับการพัฒนาเพราะในการรบกับชนเผ่าเร่ร่อนทางภาคเหนือจีนก็มีกำแพงเมืองจีนป้องกันอยู่แล้วและบ้านเมืองช่วงนี้มักจะสงบและในการรบจีนมักจะตั้งรับมากกว่ารุกราน จีนเผชิญกับอาวุธปืนครั้งแรกในสมัยราชวงศ์หมิงเมื่อสงครามอิมจินในปี 1592-1598 เกิดขึ้น โชกุนโตโยโตมิรุกรานเกาหลีเพื่อยึดเกาหลีซึ่งเป็นอาณานิคมของจีน จีนได้ส่งกองทัพจำนวนมากไปช่วยเกาหลีและสามารถรบชนะญี่ปุ่นได้หลายครั้งเพราะปืนคาบศิลาของโปรตุเกสที่ญี่ปุ่นใช้ในสมัยนั้นไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะสู้กับหน้าไม้กลของจีนได้ ต่อมาในสมัยราชวงศ์ชิง อาวุธปืนไม่แพร่หลายในจีนมากนักจนเมื่อปี่ 1839 ในรัชสมัยจักรพรรดิเต้ากวง จีนทำสงครามฝิ่นกับอังกฤษอังกฤษยกพลขี้นบกที่แหลมเกาลูนแล้วใช้ปืนคาบศิลายิงทหารจีนตายเป็นจำนวนมาก จีนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จีนจึงจัดตั้งกองทัพ "เป่ย์หยาง" และ "หนานหยาง" ขึ้นซึ่งมีการบริหารกองทัพเป็นแบบยุโรปมีปืนคาบศิลาเป็นอาวุธหลัก ในการระดมยิงจากกำแพงกองทัพเป่ย์หยางจะใช้ปืนคาบศิลาขนาดใหญ่ยิงลงจากกำแพงเรียกว่า"จินกอล" เห็นได้จากสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1 ปืนคาบศิลายังคงเป็นอาวุธหลักของจีนจนกระทั่งสงครามกบฏนักมวยที่จีนซื้อลิขสิทธิ์ปืนเล็กยาวของเยอรมันมาผลิตเอง
เกาหลี
เกาหลีได้รู้จักกับปืนคาบศิลาครั้งแรกในสมัยราชวงศ์โชซ็อนเมื่อครั้งญี่ปุ่นรุกรานเกาหลีปี 1592-1598 (แต่ก่อนหน้านั้นกองทัพเกาหลียังคงใช้พลธนูและปืนคาบชุดแบบจีนและมีการตั้งกองปืนขึ้นแต่ก็ไม่ได้รับความไว้วางใจประสิทธิภาพของมันจึงยกเลิกไป) ถึงแม้ญี่ปุ่นจะพ่ายแพ้แต่แม่ทัพลีซุนชินก็เสียชีวิตจากกระสุนปืนคาบชุด เกาหลีตระหนักดีว่าปืนคาบชุดก่อให้เกิดความได้เปรียบในการรบ จึงจัดตั้งหน่วยปืนคาบชุดขึ้นโดยใช้ในกององครักษ์ หรือใช้เป็นหลักพอๆกับธนูในการทำศึก ต่อมาปี 1627 เผ่าแมนจูจากจีนรุกรานเกาหลีเป็นครั้งแรกกองกำลังปืนคาบชุดของเกาหลีสามารถทำลายกองทหารม้าของแมนจูซึ่งมีจำนวนมากกว่าจนแตกพ่ายต่อมาจีนมีกรณีพิพาทเรื่องเขตแดนกับรัสเซียในแมนจูเรีย จึงขอกำลังหน่วยปืนคาบชุด 400 นายของเกาหลีมารบซึ่งกองปืนคาบชุดของเกาหลีสามารถทำลายทหารม้าคอสแซกของรัสเซียได้อย่างง่ายดายต่อมาในปลายศตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นพยายามมีอำนาจเหนือเกาหลีโดยมอบปืนคาบศิลาให้กบฏตงฮักซึ่งพยายามต่อต้านชนชั้นยางบานซึ่งเป็นชนชั้นสูงและขุนนางหัวเก่าของเกาหลี กบฏตงฮักต้องการปฏิรูปเกาหลีให้ทันสมัยโดยเอาญี่ปุ่นเป็นแบบอย่างจึงจับกุมพระเจ้าโกจง แล้วก็ได้ใช้ปืนคาบศิลาเป็นอาวุธในการบุกพระราชวังด้วย
ไทย
ประเทศไทยรู้จักกับปืนคาบชุดในกลางสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อรัชสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชจากชาวโปรตุเกส "เฟอร์เนา เมนเดส ปินโต" เช่นเดียวกับญี่ปุ่นที่กล่าวไว้ข้างต้นปืนคาบชุดถูกใช้ครั้งแรกเมื่ออาณาจักรล้านนาคิดแข็งเมือง ทางอยุธยาจึงส่งกำลังไปปราบและได้ใช้ปืนคาบชุดเป็นอาวุธในครั้งนี้ด้วย ต่อมาเกิดสงครามเมืองเชียงกรานกับพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้อยุธยาได้ใช้ปืนคาบชุดในการรบจนชนะ อยุธยาได้ใช้ปืนคาบชุดในการรบเรื่อยมาปืนคาบชุดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสมัยนี้คือซึ่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงยิงปืนคาบชุดข้ามแม่น้ำสะโตงถูกแม่ทัพสุรกรรมาตาย และหลังจากนั้นปืนคาบชุดก็มีใช้กองทัพสยามจวบจนสมัยรัตนโกสินตร์ ในขณะที่ในบรรดาประเทศข้างเคียงหันไปใช้ปืนคาบศิลากันเป็นปืนประจำการสิ้นแล้ว อาทิ พม่า ปืนคาบศิลาจึงมีใช้ในหมู่ขุนนางที่มีฐานะ และชนชั้นเจ้า ด้วยเหตุว่า มีราคาแพง และต้องสั่งจากนำเข้าหินเหล็กไฟ ซึ่งใช้ทำปฏิกิริยากับดินปืนซึ่งมีราคาแพงอีกเช่นกัน และประการสุดท้ายคือ ฝึกยิงและทำความเข้าใจได้ยากกว่า การยิงปืนคาบชุด นั่นเอง
ดูเพิ่ม
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
bthkhwamniimmikarxangxingcakaehlngthimaidkrunachwyprbprungbthkhwamni odyephimkarxangxingaehlngthimathinaechuxthux enuxkhwamthiimmiaehlngthimaxacthukkhdkhanhruxlbxxk eriynruwacanasaraemaebbnixxkidxyangiraelaemuxir bthkhwamnithnghmdhruxbangswn mienuxha rupaebb hruxlksnakarnaesnxthiimehmaasmsahrbsaranukrmoprdxphipraypyhadngklawinhnaxphipray hakbthkhwamniekhaknidkbokhrngkarphinxng oprdthakaraecngyayaethn eriynruwacanasaraemaebbnixxkidxyangiraelaemuxir punkhabsila xngkvs musket epnpunthiichdinpun din aerngdnta takrxkthangpakkrabxkpun caknnrxng hmxn nun hruxpha aelwishwkrasunthrngklm piddwyhmxnxikchn punchnidniemuxbrrcukrasuniwtxngthuxtngtrngtlxd imngnkrasunxacihlxxkcakpaklaklxng ewlacayingtxngich hin khabsila hinif Flint txkkrathbolha hruxkrathbknexng mkthaepn khxnktidhinif phngkdwyspring ephuxcuddinkhbinthwythiokhnpun ihifaelbtiddinkhb wingekhaipthangruthithaylaklxng aelwcungekidkarlukihmindinpun raebidkrasunxxkip punchnidniepntnaebbkhxngpunirefilinpccubndwy immiphuthrabwaikhrpradisthkhun aetwainexksarthangkarthharkhxngcinidmikarklawthungxawuthchnidhnungeriykwa hwhlngcing 火龙经 inchwngplaykhriststwrrsthi 14 inaerkerimpunkhabsilaidmikarxxkaebbihichkbthharrabethann aelaidmikarprbprungkhuninkhriststwrrsthi 19 sungepnchwngkarptiwtixutsahkrrm echnmiekliywinlaklxng karmiklxngelng mikrasunplayaehlmsingaetedimnnepnlukklm aelainchwngplaystwrrsthi 19 kmikarpradisthpunchnidthibrrcukrasunthangthayrngephlingpunsungaetedimnnbrrcukrasunthangpaklaklxngekhamaaethnthipunkhabsilaaeladabplaypunhlkthankarichpunifinchwngaerkdinpunkhnphbodychawcinodybngexiyinsmyrachwngscintawntk sicin aetyngimidmikarichxyangcringcng khngnamaichinlksnakhxngphithikrrmkhbilsingchwray aelanganechlimchlxngxyangdxkimifnnexng aetchawcinerimcaichdinpunxyangcringcng insmyrachwngssng ephraamihlkthanwakxngthphrachwngssngidpradisthxawuthraebidaebbphkpha raebidkhwang punifaebbcudsaychnwn aetmiidichrabbikyingxyangpunifinyukhhlng ephiyngaetichkarcudsaychnwnethann aelaekhruxngyingthiichkrasunyingaebbxddinpunaelw aetsaehtuthidinpunaephrhlayipsudinaedntawntknn miehtucakkarrukrankhxngphwkmxngokl emuxphwkmxngoklphichitaephndincinthangehnuxidsaercaelw kidnabrrdachangpunihyaelapunifcakcinipepnkalngsakhyinkarkhyaydinaedn odyphwkmuslimintawnxxkklangepnchnklumaerkthiidichxawuthdinpuninkarsngkhram caknncungaephrhlayekhaipinyuorp sahrbrupaebbxawuthpunifthrngkrabxknn mimaaeteriminsmysngaelw aeterimmikarpradisthxawuthpun odyxasyrabbikying Trigger khuninpraethscininsmyrachwngshming punkhabsilaerimpraktkhuninpraethssepn aetcaruckkndiinnamkhxng punkhabchud MATCH LOCK inthswrrsthi 1500 aetthharecnnissarikhxngckrwrrdixxtotmankpraktwamikarichpunkhabsilainchwngthswrrsthi 1440 aelw ethkhonolyipunkhabsilaidphthnakhuninyuorptawntkxyangrwderw aelaekidxawuththimiprasiththiphaphkarthalaylangmakkwaaetkxnthaihekidkaraeswnghawtthudibdinpunsungthaihekidlththickrwrrdiniymkhun punkhabchud hwhlngcingkhxngrachwngshmingwiwthnakarkhxngpunkhabsilainkhriststwrrsthi15 thharrabkhxngyukhklangidmikarichxawuthdinpunchnidhnungeriykwa punihythiyingdwymux thungxyangirkdixawuthdngklawkyungyakinkarichsungtxngichewlananinkarbrrcukrasunpunaelaimkhxycamiprasiththiphaphinkarying emuxkhriststwrrsthi 16 kerimmikarpradisthpunsnkhunaelainchwngklangkhriststwrrsthi 17 punkhabsilakidekhamaaethnthihxkyawsungekhyepnxawuthhlkkhxngthharrabinsmynn punkhabsilainsmystwrrsthi 16 eriykwa xarkiwbs Arquebus hruxpunkhabchud klikkhxngpunchnidnikhuxisdinpunlngbncandinpunaelwiskrasunklm aeladinpunthangpakkrabxkpunaelwkrathungihdinpunaelakrasunipxyuinrngdinpunthangthaylaklxng emuxehniywikkcamiehlkrupngutithicandinpuncaepnkarcudsaychnwnipthithaylaklxngthaihdinpunraebidkhun aerngraebidcathaihkrasunphungxxkipthangpaklaklxngxyangrwderw punsnaebbluklx inchwngewlaediywknnikmikarphthnapunkhabchudepn punsnaebbluklx Wheellock aetxyangirkdipunkhabchudkmikhxesiyxyumakechn brrcukrasuncha mikhwamaemnyanxy imsamarthichidemuxxakaschunephraacathaihcudchnwndinpunimtid aetxyangirktampunkhabchudkepnsingthiepliynochmhnasngkhramkhxngyuorp aelathaihkstriyyuorpmisthanphaphmnkhngkhunephraathaihmiphukxkbtyakenuxngcaksngkhramthiichpunifcaesiykhaikhcayinkarrbsungmak punkhabchudsamarththaihxanackrthisakhylmslayechnxinkha epntnaetmnksamarthsrangxanackrihmiexkrachid echnckrwrrdirsesiysamarichpunifkhbilmxngoklxxkipidaelwsthapnarachwngsormanxf Romanov khun txmaidmikarddaeplngpunkhabchudihphkphaidsadwkkhunepnpunsnsungepnthiniymkhxngthharmainsmynn thharpunkhabchudkhxngenethxraelndinstwrrsthi17punbrawebsaebbsnsahrbthharbkkhxngckrwrrdixngkvsinplaykhriststwrrsthi 18aelaintnkhriststwrrsthi 19punsninstwrrsthi 16 inchwngklangstwrrsthi 17 idmikarphthnapunifaebbkhabchud ihepnpunkhabsila Flintlock xanwaflinthlxk khun sungmiklikkhuxishinehlkifthitwnkkhxngpunaelwbrrcukrasunaeladinpunthangpakkrabxkaelwkrathungcaknn emuxehniywikehlkrupnksbhinehlkifthaihekdprakayiflamipthirngdinpunthangthaykrabxkthaihdinpunraebidaelaphlkkrasunihphungipkhanghna txmaxawuthchinniidklayepnxawuthhlkkhxngkxngthphyuorpaelaxemrika emuxstwrrsthi 19 sungepnyukhptiwtixutsahkrrmidmikarpradisthekliywinlaklxngthaihkrasunphungipkhanghnainaenwtrng miphisyiklkwaedim aelamikhwamaemnyamakkhun aelamikarpradisthaekbintwpunthaihimtxngkhxyisdinpunxiktxipehnidcaksngkhramikhremiy karmiklxngelngsungthamxngehnepahmayinrayathiiklaelaaemnyathaihekidhnwysumyingkhun ehnidcaksngkhramklangemuxngxemrikapunkhabsilainexechiyckrwrrdixxtotman thharaecnnissarikhxngxanackrxxtotman inkarradmyingkrungkhxnsaetntionepil emuxnghlwngkhxngckrwrrdiibaesnithn thharchawetirkkichpunihyaelapunkhabchudrunaerk inkarradmyingkaaephngemuxngthngcakthangbkaelathangerux inkarrbkhyayxanackrkhxngsultansuilmanpunkhabchudkepnxawuthsakhyinkarpidlxmemuxngehnidcaksngkhramhbsebirk xxtotman thharpunkhabchudkhxngckrwrrdixxtotmaneriykwaaecnnissarisungswnihycasubechuxsaymacakphlthharxaremeniyn aela cxreciyn thithukcbmaepnthasechly aelaaemthphkhxngxanackrxxtotmanswnihycakhrxbkhrxngpunsnepncanwnmakxikdwy punkhabchudyngkhngepnxawuthhlkkhxngckrwrrdixxtotmancnemuxckrwrrdiptirupkarthharinthswrrsthi1830 epxresiy cakhlkthankarbnthukkhxngphxkhachawewnisidphbwapunkhabchudidaephrhlayinxanackrepxresiyxyangrwderwxnenuxngmacakkarkhakbyuorpaelathharmakhxngrachwngssarfawidkhxngepxresiycaniymphkpunkhabchudthukkhn punkhabchudkhxngepxresiycamilwdlaypranitbrrcngmak punkhabchudyngkhngepnxawuthhlkkhxngepxresiycnemuxrachwngssarfawidlmslay xinediy phlpunomkulinchwngtnstwrrsthi 16 inxinediysmyrachwngsomkulerimpraktwamikarichpunkhabchudinchwngthswrrsthi 1510 sunginsmyniphraecababuraelaphraecaxkhbaridichpunkhabchudepnxawuthhlkkhxngthharrabinkarprabpramhwemuxnghinduaelamuslimkhxngecaphukhrxngaekhwnthangphakhit esiyngkhxngpunkhabchudyngthaihchanghlayechuxkkhxngfayhwemuxngthangittkicxikdwythaihxanackromkulsamarthrwbrwmxinediyepnexkphaphinsmyphraecaxkhbarmharach punifkhxngomkulcaepnaebbkhabchudsungepnnganhthkrrmxyanghnungmikartiehlkxyangpranitimidmikarichehlkhlxehmuxnthangtawntk txmaemuxxinediytkepnxananikhmkhxngxngkvs thangkhahlwngchawxngkvsidcdtngthharsipxysungmikarcdraebiybaebbxngkvsmixawuthhlkepnpunkhabsilaaebbfrinthlxkhruxpunnksbcnmipunaebbbrrcukrasunthangphanthaypunmaaethnthi yipun punkhabchudkhxngyipuninstwrrsthi16 yipunidephchiykbxawuthpunkhrngaerkemuxckrphrrdikubilkhanrukranyipuninpi 1259 insuchima txmainpi 1543 idmieruxoprtueksekhamaethiybthanaodynkbwchchux fuxrena emngdich pingtu chawoprtueksidnapunifaebbkhabchudmadwy idemiywoxada onabunangaidsuxpunkhabchudkhxngchawoprtueksmasuksaklikaelwihchangehlktieliynaebbcnkrathngsamarthphlitpunkhabchudidmakthisudinolkaelasamarthsrangkxngthharthieknthmacakchawnahrux xachikaru あしがる thitidxawuthpunehmuxnchawyuorpidepncanwnmak cnemuxpi 1575 onabunangaidnathharxachikaruthitidxawuthpunyudprasathnangachionid yuththwithikhxngoxdakhuxaebngthharxachikaruepnsamaethwxyuhlngrwim emuxaethwaerkyingthharmakhxngthaekhdaaelwbrrcukrasunihmaethwthisxngekhamayingtxemuxaethwthisxngbrrcukrasunaethwsamcayingthaihthharmakhxngthaekhdatayepncanwnmak xawuthkhxngthharmaepnxawuthaebbedimkhuxthnu yumi aeladabkhatana chychnakhrngnithaihoxdaidtngtnepnochkun emuxonabunangathungaekxnickrrm otoyotmiidrbtaaehnngochkunaethn txmaemuxpi 1592 yipunrukranekahli yipunidichpunkhabchudepnxawuthhlkinkarrbaettxmayipuntxngthxythphklbephraaotoyotmithungaekxnickrrminpi 1598 txmaemuxochkun othakungawa xiexayasu daeninnoybaypidpraethsinpi 1603 hamthakarkhakbchawtangchatiaelahamnaekhaaelaphlitxawuthpunephraaxaccathaihsthanphaphkhxngochkunimmnkhng thaihpunaebbkhabchudxyuinprawtisastryipunephiynghathswrrsethann cnkrathnginpi 1854 nayphlaemththiw epxrribngkhbihyipunepidpraeths smedcphrackrphrrdiemciidthakaryudxanackhxngochkun othakungawa oyachionabuaelacdtngkxngthphsmyihmmikarnaekhapunkhabsilaaebbfrinthlxkcakshrthxemrikacanwnmak txmayipunsamarthphlitexngidepncanwnmakaelapunkhabsilayngkhngepnxawuthhlkkhxngyipuncnmipunaebbbrrcukrasunthangphanthaypunmaaethnthi cin cinepnchatiaerkthipradisthxawuthpunkhun punthiepntnaebbkhxngpunkhabsilathicinpradisthkhunmilksnakhlaypunkhabsilaaetmiwithiyingehmuxnpunihy xawuthpunkhxngcinmkcaimidrbkarphthnaephraainkarrbkbchnephaerrxnthangphakhehnuxcinkmikaaephngemuxngcinpxngknxyuaelwaelabanemuxngchwngnimkcasngbaelainkarrbcinmkcatngrbmakkwarukran cinephchiykbxawuthpunkhrngaerkinsmyrachwngshmingemuxsngkhramximcininpi 1592 1598 ekidkhun ochkunotoyotmirukranekahliephuxyudekahlisungepnxananikhmkhxngcin cinidsngkxngthphcanwnmakipchwyekahliaelasamarthrbchnayipunidhlaykhrngephraapunkhabsilakhxngoprtueksthiyipunichinsmynnimmiprasiththiphaphmakphxthicasukbhnaimklkhxngcinid txmainsmyrachwngsching xawuthpunimaephrhlayincinmaknkcnemuxpi 1839 inrchsmyckrphrrdietakwng cinthasngkhramfinkbxngkvsxngkvsykphlkhinbkthiaehlmekalunaelwichpunkhabsilayingthharcintayepncanwnmak cinepnfayphayaeph cincungcdtngkxngthph epyhyang aela hnanhyang khunsungmikarbriharkxngthphepnaebbyuorpmipunkhabsilaepnxawuthhlk inkarradmyingcakkaaephngkxngthphepyhyangcaichpunkhabsilakhnadihyyinglngcakkaaephngeriykwa cinkxl ehnidcaksngkhramcin yipunkhrngthi 1 punkhabsilayngkhngepnxawuthhlkkhxngcincnkrathngsngkhramkbtnkmwythicinsuxlikhsiththipunelkyawkhxngeyxrmnmaphlitexng ekahli punkhabchudekahli occhxng aelapunihyekahli hngyiepa ekahliidruckkbpunkhabsilakhrngaerkinsmyrachwngsochsxnemuxkhrngyipunrukranekahlipi 1592 1598 aetkxnhnannkxngthphekahliyngkhngichphlthnuaelapunkhabchudaebbcinaelamikartngkxngpunkhunaetkimidrbkhwamiwwangicprasiththiphaphkhxngmncungykelikip thungaemyipuncaphayaephaetaemthphlisunchinkesiychiwitcakkrasunpunkhabchud ekahlitrahnkdiwapunkhabchudkxihekidkhwamidepriybinkarrb cungcdtnghnwypunkhabchudkhunodyichinkxngxngkhrks hruxichepnhlkphxkbthnuinkarthasuk txmapi 1627 ephaaemncucakcinrukranekahliepnkhrngaerkkxngkalngpunkhabchudkhxngekahlisamarththalaykxngthharmakhxngaemncusungmicanwnmakkwacnaetkphaytxmacinmikrniphiphatheruxngekhtaednkbrsesiyinaemncueriy cungkhxkalnghnwypunkhabchud 400 naykhxngekahlimarbsungkxngpunkhabchudkhxngekahlisamarththalaythharmakhxsaeskkhxngrsesiyidxyangngaydaytxmainplaystwrrsthi 19 yipunphyayammixanacehnuxekahliodymxbpunkhabsilaihkbttnghksungphyayamtxtanchnchnyangbansungepnchnchnsungaelakhunnanghwekakhxngekahli kbttnghktxngkarptirupekahliihthnsmyodyexayipunepnaebbxyangcungcbkumphraecaokcng aelwkidichpunkhabsilaepnxawuthinkarbukphrarachwngdwy ithy praethsithyruckkbpunkhabchudinklangsmykrungsrixyuthya emuxrchsmysmedcphraichyrachathirachcakchawoprtueks efxrena emneds pinot echnediywkbyipunthiklawiwkhangtnpunkhabchudthukichkhrngaerkemuxxanackrlannakhidaekhngemuxng thangxyuthyacungsngkalngipprabaelaidichpunkhabchudepnxawuthinkhrngnidwy txmaekidsngkhramemuxngechiyngkrankbphraecataebngchaewtixyuthyaidichpunkhabchudinkarrbcnchna xyuthyaidichpunkhabchudinkarrberuxymapunkhabchudthimichuxesiyngmakthisudinsmynikhuxsungsmedcphranerswrmharachthrngyingpunkhabchudkhamaemnasaotngthukaemthphsurkrrmatay aelahlngcaknnpunkhabchudkmiichkxngthphsyamcwbcnsmyrtnoksintr inkhnathiinbrrdapraethskhangekhiynghnipichpunkhabsilaknepnpunpracakarsinaelw xathi phma punkhabsilacungmiichinhmukhunnangthimithana aelachnchneca dwyehtuwa mirakhaaephng aelatxngsngcaknaekhahinehlkif sungichthaptikiriyakbdinpunsungmirakhaaephngxikechnkn aelaprakarsudthaykhux fukyingaelathakhwamekhaicidyakkwa karyingpunkhabchud nnexngduephimpunifwikimiediykhxmmxnsmisuxthiekiywkhxngkb punkhabsila