อาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย (อังกฤษ: RMS Mauretania) หรือชื่อเต็มคือ เรือไปรษณีย์หลวงมอริเทเนีย (Royal Mail Steamer Mauretania) เป็นเรือเดินสมุทรสัญชาติอังกฤษ ของสายการเดินเรือคูนาร์ด ออกแบบโดย และสร้างโดยอู่ต่อเรือสวอนฮันเตอร์แอนด์วิกแฮม ริชาร์ดสัน (Swan Hunter & Wigham Richardson) ปล่อยลงน้ำในช่วงบ่ายของวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1906 และได้เป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกจนกระทั่งเรืออาร์เอ็มเอส โอลิมปิกเปิดตัวในปี ค.ศ. 1910
ประวัติ | |
---|---|
สหราชอาณาจักร | |
ตั้งชื่อตาม | |
เจ้าของ |
|
ผู้ให้บริการ | คูนาร์ดไลน์ |
เส้นทางเดินเรือ | เซาแธมป์ตัน – โคฟ – นครนิวยอร์ก |
อู่เรือ | สวอนฮันเตอร์ แอนด์วิกแฮม ริชาร์ดสัน, นอร์ทัมเบอร์แลนด์, อังกฤษ |
Yard number | 367 |
ปล่อยเรือ | 18 สิงหาคม 1904 |
สร้างเสร็จ | 11 พฤศจิกายน 1907 |
Maiden voyage | 16 พฤศจิกายน 1907 |
บริการ | 1907–1934 |
หยุดให้บริการ | กันยายน 1934 |
รหัสระบุ |
|
ความเป็นไป | ปลดระวางในปี 1934 และถูกแยกชิ้นส่วนในปี 1935 ที่รอสไฟฟ์ สกอตแลนด์ |
ลักษณะเฉพาะ | |
ชั้น: | |
ประเภท: | เรือเดินสมุทร |
ขนาด (ระวางขับน้ำ): | 31,938 ตัน |
ความยาว: | 790 ฟุต (240.8 เมตร) |
ความกว้าง: | 88 ฟุต (26.8 เมตร) |
ความสูง: | 144 ฟุต (43.9 เมตร) จากกระดูกงูถึงปลายปล่องควัน |
กินน้ำลึก: | 33 ฟุต 6 นิ้ว (10.2 เมตร) |
ดาดฟ้า: | 8 ชั้น |
ระบบพลังงาน: | กังหันไอน้ำพาร์สันส์ (Parsons) แบบขับเคลื่อนใบจักรโดยตรง (แรงดันสูง 2 เครื่อง แรงดันต่ำ 2 เครื่อง) ให้กำลังรวม 76,000 แรงม้า (57,000 กิโลวัตต์) ก่อนจะเพิ่มเป็น 90,000 แรงม้า (67,000 กิโลวัตต์) ในปี 1929 |
ระบบขับเคลื่อน: | ใบจักรปีก 4 ใบ จำนวน 4 เพลา |
ความเร็ว: | ความเร็วบริการ: 25 นอต (46 กม./ชม.; 29 ไมล์ต่อชม.) ความออกแบบ: 28 นอต (52 กม./ชม.; 32 ไมล์ต่อชม.) |
ความจุ: | 2,165 คน แบ่งเป็น:
|
ลูกเรือ: | 802 คน |
หมายเหตุ: | เป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปี 1907 และ เรือที่เร็วที่สุดในโลก 1910 |
เรือมอริเทเนียได้รับรางวัลบลูริบันด์ (Blue Riband) สำหรับการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปทางตะวันออกในเที่ยวกลับครั้งแรกในเดือนธันวาคมปี ค.ศ. 1907 จากนั้นได้รับรางวัลอีกครั้งสำหรับการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปทางตะวันตกที่เร็วที่สุดในฤดูการเดินเรือปี ค.ศ. 1909 และถือครองสถิติทั้งสองนั้นเป็นเวลา 20 ปี
ชื่อเรือนำมาจากชื่อมณฑลมอริเทเนียของโรมันโบราณ ซึ่งอยู่บนชายฝั่งแอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่ใช่ประเทศมอริเตเนียสมัยใหมที่อยู่ทางใต้ ชื่อของอาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนีย ซึ่งเป็นเรือคู่แฝดก็ใช้แนวทางเดียวกัน โดยตั้งชื่อตามมณฑลลูซิเทเนียของโรมันโบราณที่อยู่เหนือมณฑลมอริเทเนีย ตรงข้ามช่องแคบยิบรอลตาร์
อาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย ให้บริการจนถึงเดือนกันยายน ค.ศ. 1934 แล้วจึงปลดระวาง และขายแยกชิ้นส่วนในเมือง (Rosyth) ประเทศสกอตแลนด์ในปี ค.ศ. 1935
เบื้องหลัง
ในปี ค.ศ. 1897 เรือเดินสมุทร (SS Kaiser Wilhelm der Grosse) ของเยอรมนีได้กลายเป็นเรือที่ใหญ่และเร็วที่สุดในโลก ด้วยความเร็ว 22 นอต (41 กม./ชม.; 25 ไมล์/ชม.) ชิงรางวัลบลูริบนด์ไปจากเรือ และ ของสายการเดินเรือคูนาร์ด เยอรมนีเข้ามามีบทบาทในเส้นทางเดินเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมากขึ้น และภายในปี 1906 พวกเขาก็มีเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ 5 ลำให้บริการ ซึ่ง 4 ลำในนั้นเป็นของสายการเดินเรือนอร์ทด็อยท์เชอร์ล็อยท์ (Norddeutscher Lloyd)
ในช่วงเวลาเดียวกัน เจ. พี. มอร์แกน นักการเงินชาวอเมริกัน ได้พยายามผูกขาดอุตสาหกรรมการเดินเรือผ่าน (International Mercantile Marine Co.) และได้เข้าซื้อกิจการสายการเดินเรือไวต์สตาร์ สายการเดินเรือข้ามมหาสมุทรหลักอีกแห่งของอังกฤษไปเรียบร้อยแล้ว
เพื่อต่อกรกับภัยคุกคามเหล่านี้ คูนาร์ดไลน์มุ่งมั่นที่จะกู้คืนชื่อเสียงของการเป็นผู้นำด้านการเดินทางทางทะเล ไม่เพียงแค่สำหรับบริษัทเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสหราชอาณาจักรด้วย ในปี 1902 คูนาร์ดไลน์และรัฐบาลอังกฤษได้ตกลงสร้างเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ 2 ลำ ได้แก่ ลูซิเทเนีย และมอริเทเนีย ด้วยความเร็วบริการที่รับประกันไม่น้อยกว่า 24 นอต (44 กม./ชม.; 28 ไมล์/ชม.) โดยรัฐบาลอังกฤษให้กู้เงิน 2,600,000 ปอนด์ (252 ล้านปอนด์ในปี 2015) สำหรับการสร้างเรือ โดยมีอัตราดอกเบี้ย 2.75% ที่จะต้องจ่ายคืนภายใน 20 ปี พร้อมกับเงื่อนไขที่ว่าเรือต้องสามารถแปลงเป็นเรือลาดตระเวนติดอาวุธได้หากจำเป็น และได้รับเงินทุนเพิ่มเติมเมื่อจัดการให้คูนาร์ดไลน์ได้รับเงินเพิ่มเติมต่อปีเป็นค่าอุดหนุนไปรษณีย์
การออกแบบและการสร้าง
เรือมอริเทเนีย และลูซิเทเนีย ได้รับการออกแบบโดย (Leonard Peskett) สถาปนิกเรือของคูนาร์ด โดยมีอู่ต่อเรือ (Swan Hunter) และ (John Brown) ทำงานตามแผนสำหรับ "ม้าเร็วแห่งมหาสมุทร" ที่กำหนดความเร็วบริการไว้ที่ 24 นอตในสภาพอากาศปกติ ตามข้อตกลงของสัญญาอุดหนุนไปรษณีย์
การออกแบบเดิมของเพสเกตต์สำหรับเรือในปี 1902 นั้นเป็นแบบสามปล่องควัน เนื่องจากในเวลานั้นเครื่องยนต์แบบลูกสูบยังคงเป็นเครื่องยนต์หลัก ต่อมาคูนาร์ดได้ตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นเทคโนโลยีเครื่องกังหันไอน้ำแบบใหม่ของพาร์สัน และการออกแบบของเรือก็ได้รับการปรับเปลี่ยนอีกครั้งเมื่อเพสเกตต์เพิ่มปล่องควันที่สี่เข้าไปในโครงสร้างเรือ ในที่สุดการก่อสร้างเรือก็เริ่มต้นขึ้นด้วยการวางกระดูกงูในเดือนสิงหาคมปี 1904
เรือมอริเทเนียถูกทาสีเทาอ่อนก่อนพิธีปล่อยเรือ เพื่อให้รูปถ่ายออกมาชัดเจนขึ้น เนื่องจากในยุคนั้นการถ่ายภาพยังเป็นแบบขาวดำ การใช้สีเทาอ่อนช่วยให้เส้นสายของเรือดูโดดเด่นและสวยงาม หลังจากเสร็จสิ้นการเดินทางเที่ยวแรก (maiden voyage) เรือก็ถูกเปลี่ยนสีเป็นสีดำทั้งลำ ซึ่งเป็นสีมาตรฐานของเรือของคูนาร์ดในเวลานั้น
วันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1906 เรือมอริเทเนียถูกทำพิธีปล่อยโดย ในเวลานั้นเรือลำนี้เป็นโครงสร้างที่เคลื่อนไหวได้ที่ใหญ่ที่สุดที่เคยสร้างมา และมีขนาดใหญ่กว่าเรือลูซิเทเนียเล็กน้อย ความแตกต่างทางรูปลักษณ์หลักระหว่างเรือทั้งสองลำ คือเรือมอริเทเนียจะยาวกว่า 5 ฟุต และมีช่องระบายอากาศที่แตกต่างกัน
เรือมอริเทเนียยังมีใบพัดกังหันเพิ่มเติม 2 ชุดในกังหันด้านหน้า ที่ทำให้มีความเร็วมากกว่าลูซิเทเนียเล็กน้อย ทั้งเรือมอริเทเนียและลูซิเทเนียเป็นเรือที่ใช้เครื่องยนต์กังหันไอน้ำแบบขับเคลื่อนโดยตรงเพียงสองลำที่เคยครองรางวัลบลูริบันด์ ในขณะที่เรือรุ่นต่อมามักใช้เครื่องยนต์กังหันแบบทดเกียร์
เรือมอริเทเนียใช้เครื่องยนต์กังหันไอน้ำซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในเวลานั้นที่พัฒนาโดย (Charles Algernon Parsons) และถือเป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้ที่ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่ในระหว่างการทดสอบความเร็ว เครื่องยนต์เหล่านี้ก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงที่ความเร็วสูง เพื่อแก้ไขปัญหานี้ เรือจึงได้รับการติดตั้งโครงสร้างเสริมที่ท้ายเรือและใบจักรที่ออกแบบใหม่ก่อนเข้าประจำการ ซึ่งช่วยลดการสั่นสะเทือน
เรือได้รับการออกแบบให้สอดคล้องกับรสนิยมอันหรูหราของยุคเอ็ดเวิร์ด ภายในเรือได้รับการรังสรรค์โดยสถาปนิกชื่อดัง (Harold Peto) ส่วนห้องโถงได้รับการตกแต่งอย่างประณีตโดยบริษัทออกแบบชั้นนำสองแห่งจากลอนดอน Ch. Mellier & Sons และ Turner and Lord วัสดุที่ใช้ในการตกแต่งนั้นล้วนคัดสรรมาอย่างดีเยี่ยม ด้วยไม้ถึง 28 ชนิด หินอ่อน ผ้าทอสุดวิจิตร และเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเอก เช่น โต๊ะแปดเหลี่ยมอันน่าตื่นตาในห้องสูบบุหรี่
แผ่นไม้แกะสลักที่ใช้ตกแต่งห้องโถงชั้นหนึ่งของเรือนั้น เชื่อกันว่าแกะสลักโดยช่างฝีมือ 300 คนจากปาเลสไตน์ เรือโดดเด่นด้วยห้องอาหารชั้นหนึ่งแบบหลายชั้น สร้างจากไม้โอ๊กสีฟาง ตกแต่งสไตล์ฟรานซิสที่ 1 และประดับด้วยโดมสกายไลท์ขนาดใหญ่ เทคโนโลยีล้ำสมัยในยุคนั้นอย่างลิฟต์ ถูกนำมาใช้บนเรือมอริเทเนียเป็นครั้งแรก โดยโครงลิฟต์ทำจากอะลูมิเนียม ซึ่งเป็นวัสดุน้ำหนักเบาและค่อนข้างใหม่ ติดตั้งอยู่ข้างบันไดใหญ่ (grand staircase) ที่ทำจากไม้โอ๊ก
จุดเด่นอีกอย่างของเรือคือ คาเฟ่ระเบียง (Verandah Café) บนดาดฟ้าชั้นเรือบด (boat deck) ซึ่งผู้โดยสารสามารถนั่งจิบเครื่องดื่มในบรรยากาศปลอดลมฟ้าอากาศ อย่างไรก็ตาม ภายในเวลาเพียงปีเดียว คาเฟ่แห่งนี้ก็ถูกปิดล้อม เนื่องจากสภาพแวดล้อมชั้นเรือบดของเรือไม่เหมาะกับการเปิดโล่ง
เทียบกับเรือชั้นโอลิมปิก
เรือชั้นโอลิมปิกของไวต์สตาร์ไลน์มีความยาวมากกว่าเกือบ 30 เมตร (100 ฟุต) และกว้างกว่าเรือลูซิเทเนีย และมอริเทเนียเล็กน้อย ทำให้เรือของไวต์สตาร์มีน้ำหนักรวมมากกว่าเรือของคิวนาร์ดประมาณ 15,000 ตัน
เรือลูซิเทเนีย และมอริเทเนีย เปิดตัวและให้บริการก่อนที่เรือโอลิมปิก ไททานิก และบริแทนนิก จะพร้อมให้บริการเป็นเวลาหลายปี แม้ว่าจะมีความเร็วมากกว่าเรือชั้นโอลิมปิกอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่เพียงพอที่จะทำให้สายการเดินเรือให้บริการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกสองลำต่อสัปดาห์จากแต่ละฝั่งของมหาสมุทร จึงจำเป็นต้องมีเรือลำที่สามสำหรับให้บริการรายสัปดาห์ และเพื่อตอบโต้แผนการสร้างเรือชั้นโอลิมปิกทั้งสามลำที่ของไวต์สตาร์ คิวนาร์ดจึงสั่งต่อเรือลำที่สามชื่อว่า แอควิเทเนีย (Aquitania) ซึ่งจะมีความเร็วที่ต่ำกว่าเล็กน้อย แต่มีขนาดใหญ่กว่าและหรูหรากว่า[]
เรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิกมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่าลูซิเทเนีย และมอริเทเนีย เช่น สระว่ายน้ำ ห้องอาบน้ำแบบตุรกี โรงยิม สนามสควอช ห้องรับแขกขนาดใหญ่ ร้านอาหารตามสั่งแยกจากห้องอาหาร และห้องนอนพร้อมห้องน้ำส่วนตัวมากกว่าเรือของคิวนาร์ดทั้งสองลำ[]
แรงสั่นสะเทือนอย่างหนักซึ่งเป็นผลพลอยได้จากเครื่องยนต์กังหันไอน้ำสมัยใหม่ทั้ง 4 ตัวในเรือลูซิเทเนีย และมอริเทเนีย ได้ส่งผลกระทบต่อเรือทั้งสองลำเมื่อแล่นด้วยความเร็วสูงสุด แรงสั่นสะเทือนจะรุนแรงมากจนส่วนผู้โดยสารชั้นสองและสามไม่สามารถอยู่อาศัยได้ ในทางตรงกันข้าม เรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิกเลือกความประหยัดมากกว่าความเร็ว โดยการติดตั้งแบบดั้งเดิม 2 ตัว และกังหันสำหรับใบจักรกลาง ด้วยน้ำหนักที่มากขึ้นและความกว้างที่กว้างขึ้น เรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิกจึงมีความเสถียรมากขึ้นในทะเลและมีแนวโน้มที่จะโคลงน้อยลง
ลูซิเทเนีย และมอริเทเนีย มีหัวเรือที่ตรง ซึ่งต่างจากหัวเรือแบบทำมุมของเรือชั้นโอลิมปิก ออกแบบมาเพื่อให้เรือสามารถพุ่งผ่านคลื่นได้ แทนที่จะพุ่งขึ้นไปบนยอดคลื่น ก็คือเรือของคิวนาร์ดจะขว้างไปข้างหน้าอย่างน่าตกใจ แม้จะอยู่ในสภาพอากาศที่สงบ ทำให้คลื่นขนาดใหญ่สาดเข้าหัวเรือและส่วนหน้าของโครงสร้างส่วนบน (superstructure)
เรือชั้นโอลิมปิกยังแตกต่างจากเรือลูซิเทเนีย และมอริเทเนียในเรื่องกำแพงกั้นน้ำ เรือของไวต์สตาร์ถูกแบ่งด้วยกำแพงกั้นน้ำตามขวาง ในขณะที่ลูซิเทเนียก็มีกำแพงกั้นตามขวางเช่นเดียวกัน แต่ยังมีกำแพงกั้นตามยาว ระหว่างหม้อไอน้ำและห้องเครื่องยนต์ และคลังถ่านหินที่ด้านนอกของเรือ คณะกรรมาธิการอังกฤษที่สอบสวนการอับปางของเรือไททานิกในปี 1912 ได้ฟังคำให้การเกี่ยวกับน้ำท่วมคลังถ่านหินที่วางอยู่นอกกำแพงกั้นน้ำตามยาว ด้วยความยาวที่มาก เมื่อเรือถูกน้ำท่วม สิ่งเหล่านี้อาจเพิ่มความเอียงของเรือ และทำให้เรือสำรองที่อยู่อีกด้านหนึ่งลดระดับลงไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูซิเทเนียในภายหลัง นอกจากนี้ ของเรือยังไม่เพียงพอต่อการจัดกําแพงกั้นน้ำที่ใช้ น้ําท่วมคลังถ่านหินเพียง 3 แห่งในด้านหนึ่งอาจทําให้ (Metacentric Height) เป็นลบ ในทางกลับกัน เรือไททานิกมีความเสถียรมากพอที่จะจมลงด้วยความลาดเอียงเพียงไม่กี่องศา การออกแบบของไททานิกทำให้ความเสี่ยงที่น้ำจะท่วมไม่สม่ำเสมอและอาจพลิกคว่ำนั้นมีน้อยมาก
เรือลูซิเทเนียมีเรือชูชีพไม่เพียงพอสำหรับทุกคนบนเรือในการเดินทางครั้งแรก (น้อยกว่าที่ไททานิก 4 ลำ) ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติทั่วไปสำหรับเรือโดยสารขนาดใหญ่ในขณะนั้น เนื่องจากมีความเชื่อว่าเส้นทางเดินเรือที่พลุกพล่านจะมีความช่วยเหลืออยู่ใกล้ ๆ เสมอ และเรือชูชีพที่มีอยู่ไม่กี่ลำก็เพียงพอที่จะส่งทุกคนไปยังเรือที่มาช่วยเหลือก่อนที่เรือจะจม
หลังจากเรือไททานิกอับปาง เรือลูซิเทเนียและมอริเทเนียได้ติดตั้งเรือชูชีพเพิ่มอีก 6 ลำบน (davit; เครนแขวนเรือชูชีพชนิดหนึ่ง) ส่งผลให้มีเรือชูชีพทั้งหมด 22 ลำที่ติดตั้งบนดาวิต เรือชูชีพที่เหลือได้รับการเสริมด้วยเรือชูชีพแบบพับได้ 26 ลำ โดย 18 ลำเก็บไว้ใต้เรือชูชีพปกติโดยตรง และอีก 8 ลำอยู่บนดาดฟ้าเรือ ถูกสร้างขึ้นด้วยพื้นไม้กลวงและด้านข้างเป็นผ้าใบ จำเป็นต้องประกอบในกรณีที่ต้องใช้
ช่วงต้น
เรือมอริเทเนียออกเดินทางเที่ยวแรกจากลิเวอร์พูลในวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1907 ภายใต้การบัญชาของกัปตัน (John Pritchard) แต่ไม่สามารถทำลายสถิติความเร็วข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้เนื่องจากเกิดพายุรุนแรงที่ทำให้สมอสำรองหลุดออก และเรือยังได้รับความเสียหายเล็กน้อยที่ส่วนบนของเรือ อย่างไรก็ตาม ในการเดินทางกลับเที่ยวแรก (30 พฤศจิกายน – 5 ธันวาคม 1907) เรือได้ทำลายสถิติการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกขาไปที่เร็วที่สุดด้วยความเร็วเฉลี่ย 23.69 นอต (43.87 กม./ชม.)
ในวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 1907 เรือมอริเทเนียกลับมาเทียบท่าที่นครนิวยอร์กอีกครั้ง ณ ท่าเทียบเรือหมายเลข 54 บริเวณ แต่เกิดเหตุการณ์พายุลมแรงกระทันหัน ทำให้เสาเทียบเรือที่ท่าหมายเลข 54 พังเสียหาย เรือมอริเทเนียลอยออกจากท่าไปบางส่วน หัวเรือหันไปกระแทกกับเรือบรรทุกสินค้าหลายลำที่กำลังนำถ่านหินมาส่งและขนขี้เถ้าออก ในคดีความที่ตามมา บริษัทคูนาร์ดไลน์เจ้าของเรือมอริเทเนียถูกตัดสินว่าต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1909 เรือมอริเทเนียสามารถคว้ารางวัลบลูริบันด์ สำหรับการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกขาไปที่เร็วที่สุดได้ ซึ่งเป็นสถิติที่คงอยู่นานกว่าสองทศวรรษ ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1911 เรือก็ประสบเหตุซ้ำอีกเช่นเดียวกับเหตุการณ์ก่อนหน้าในปี 1909 สายสมอของเรือขาดขณะอยู่ที่แม่น้ำเมอร์ซีย์ ส่งผลให้เรือได้รับความเสียหาย และทำให้การเดินทางพิเศษช่วงเทศกาลคริสต์มาสไปนครนิวยอร์กต้องถูกยกเลิก คูนาร์ดไลน์ตอบสนองต่อสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ด้วยการส่งเรือลูซิเทเนียที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากนิวยอร์กไปทำหน้าที่แทน ภายใต้การบัญชาของกัปตัน (James Charles)
วันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1912 เรือมอริเทเนียเริ่มออกเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกขาไปจากลิเวอร์พูลไปนิวยอร์ก และเทียบท่าอยู่ที่เมืองควีนส์ทาวน์ ประเทศไอร์แลนด์ ในช่วงเวลาที่เรืออาร์เอ็มเอส ไททานิก (RMS Titanic) อับปาง ในขณะนั้นเรือมอริเทเนียได้ขนส่งเอกสารการขนส่งสินค้าของไททานิกไปด้วย โดยถูกจัดส่งเป็น นอกจากนี้ บนเรือในตอนนั้นยังมีประธานของคูนาร์ดไลน์ (A. A. Booth) ซึ่งได้จัดให้มีการไว้อาลัยผู้เสียชีวิตจากเรือไททานิก ในฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 1913 การเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกขาไปบนเรือมอริเทเนียสำหรับผู้โดยสารชั้นสามมีค่าใช้จ่ายประมาณ 17 ดอลลาร์สหรัฐ ตามที่แสดงในตั๋วต้นฉบับนี้[]
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1913 สมเด็จพระเจ้าจอร์จและสมเด็จพระราชินีแมรีได้เสด็จฯ มาทรงเยี่ยมชมเรือมอริเทเนียซึ่งเป็นเรือที่เร็วที่สุดของอังกฤษในเวลานั้น การเสด็จเยือนครั้งนี้ยิ่งเสริมสร้างชื่อเสียงและความภาคภูมิใจให้แก่เรือลำนี้
ในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1914 ขณะที่เรือมอริเทเนียกำลังเข้ารับการซ่อมประจำปีในลิเวอร์พูล ได้เกิดเหตุการณ์ถังแก๊สระเบิดระหว่างที่ลูกเรือกำลังทำงานบริเวณเครื่องกังหันไอน้ำ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 4 คน และบาดเจ็บอีก 6 คน ความเสียหายต่อตัวเรือมีเพียงน้อยนิด ทีมงานสามารถซ่อมแซมเรือได้อย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาเพียง 2 เดือน หลังซ่อมแซมเสร็จสิ้น เรือก็กลับมาทำหน้าที่ได้อีกครั้งในเดือนมีนาคมปี 1914
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
หลังจากบริเตนใหญ่ประกาศสงครามกับเยอรมนีในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1914 เรือมอริเทเนียก็รีบเดินทางมุ่งหน้าสู่แฮลิแฟกซ์ โนวาสโกเชีย เพื่อความปลอดภัย และมาถึงท่าเรืออย่างรวดเร็วในวันที่ 6 สิงหาคม หลังจากนั้นไม่นาน เรือมอริเทเนียและอควิเทเนียก็ได้รับคำร้องขอจากรัฐบาลอังกฤษให้ทำหน้าที่เป็นเรือลาดตระเวนติดอาวุธ แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่โตและการใช้เชื้อเพลิงอันมหาศาล จึงทำให้เรือทั้งสองลำไม่เหมาะสมกับภารกิจนี้ และเรือทั้งสองลำก็กลับมาทำหน้าที่พลเรือนอีกครั้งในวันที่ 11 สิงหาคม
ในภายหลัง เนื่องจากขาดผู้โดยสารที่จะข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก เรือมอริเทเนียจึงถูกหยุดให้บริการและเทียบท่าอยู่ที่ลิเวอร์พูล จนกระทั่งวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1915 ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่เรือลูซิเทเนียอับปางจากเรือดำน้ำของเยอรมนี[]
เรือมอริเทเนียกำลังจะเข้ามาทำหน้าที่แทนเรือลูซิเทเนียที่อับปางไป แต่รัฐบาลอังกฤษก็ตัดสินใจเปลี่ยนแผนอย่างกะทันหันให้เรือไปทำหน้าที่เป็นเรือขนส่งทหาร เพื่อลำเลียงทหารอังกฤษไปยังสมรภูมิกัลลิโพลี เรือถูกทาสีเทาเข้มพร้อมปล่องไฟสีดำ เช่นเดียวกับเรือลำอื่น ๆ ในช่วงสงคราม และรอดพ้นจากการเป็นเหยื่อของเรืออูของเยอรมนีได้ เนื่องด้วยความเร็วสูงและความชำนาญในการเดินเรือของลูกเรือ[]
เมื่อกองกำลังผสมของจักรวรรดิอังกฤษและฝรั่งเศสเริ่มเสียกำลังพลอย่างหนัก เรือมอริเทเนียก็ได้รับคำสั่งให้ไปทำหน้าที่เป็นเรือพยาบาลร่วมกับเรืออควิเทเนียและบริแทนนิกของไวต์สตาร์ไลน์ เพื่อทำการรักษาผู้บาดเจ็บจนถึงวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1916 เมื่อทำหน้าที่เป็นเรือพยาบาล เรือก็ถูกทาสีขาวสะอาด พร้อมปล่องไฟสีน้ำตาลอ่อน สัญลักษณ์ทางการแพทย์ขนาดใหญ่รอบตัวเรือ และมีป้ายไฟส่องสว่างบริเวณกราบซ้ายและขวา หลังจากทำหน้าที่เป็นเรือพยาบาลนาน 7 เดือน เรือมอริเทเนียก็กลับสู่การเป็นเรือขนส่งทหารอีกครั้งในปลายปี ค.ศ. 1916 โดยรัฐบาลแคนาดาได้ร้องขอให้เรือทำหน้าที่ขนส่งทหารแคนาดาจากแฮลิแฟกซ์ไปยังลิเวอร์พูล ภาระหน้าที่ทางสงครามของเรือมอริเทเนียยังไม่จบสิ้น เมื่อสหรัฐอเมริกาประกาศสงครามกับเยอรมนีในปี ค.ศ. 1917 เรือก็ได้รับหน้าที่ให้ลำเลียงทหารอเมริกันหลายพันคน[]
เรือลำนี้เป็นที่รู้จักในกองทัพเรือด้วยชื่อ เอชเอ็มเอส ทิวเบอร์โรส (HMS Tuberose) จนกระทั่งจบสงคราม[
] อย่างไรก็ตาม คูนาร์ดไลน์ก็ไม่เคยเปลี่ยนมาใช้ชื่อนี้อย่างเป็นทางการเรือมอริเทเนียเริ่มได้รับการทาสีเป็น (dazzle camouflage) ตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 1918 โดยเรือได้รับการทาลวดลายนี้ถึงสองแบบ ลลายพรางตาแบบเรขาคณิตนี้เป็นผลงานการออกแบบของ (Norman Wilkinson) ในปี 1917 ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความสับสนให้กับเรือศัตรู
เรือมอริเทเนียได้รับลวดลายพรางตาแบบแรกในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1918 ลวดลายนี้มีลักษณะโค้งเว้า เน้นโทนสีเขียวมะกอก ตัดกับสีดำ เทา และน้ำเงิน ส่วนลวดลายพรางตาแบบที่สองได้รับในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1918 เป็นแบบเรขาคณิต ที่คนทั่วไปเรียกติดปากว่า "แดซเซิล" (Dazzle) โดยใช้โทนสีน้ำเงินเข้มและเทาหลายเฉด ตัดกับสีดำเป็นหลัก หลังจบสงคราม เรือก็ถูกทาสีเทาหม่น และกลับมาทาสีแบบเดิมของคูนาร์ดในช่วงกลางปี ค.ศ. 1919[]
หลังสงคราม
เรือมอริเทเนียกลับมาให้บริการขนส่งผู้โดยสารอีกครั้งในวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1919 หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยเส้นทางหลักของเรือคือจากเซาแทมป์ตันสู่นครนิวยอร์ก
เนื่องด้วยตารางการเดินเรือที่แน่นทำให้เรือไม่สามารถเข้ารับการซ่อมแซมใหญ่ตามแผนในปี ค.ศ. 1920 อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1921 ก็ได้เกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นบนชั้น E ทางคูนาร์ดไลน์จึงตัดสินใจนำเรือออกจากบริการเพื่อทำการซ่อมแซม เรือเดินทางกลับไปยังอู่ต่อเรือไทน์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เรือถูกสร้างขึ้น ที่นั่นหม้อน้ำของเรือได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นระบบเผาไหม้น้ำมันแทน และกลับมาให้บริการอีกครั้งในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1922 คูนาร์ดไลน์พบว่าเรือประสบปัญหาในการรักษาความเร็วตามปกติบนเส้นทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก
แม้ว่าความเร็วในการให้บริการของเรือจะดีขึ้นและใช้น้ำมันเพียง 680 ตันต่อวัน เมื่อเทียบกับการใช้ถ่านหิน 1,000 ตันก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังไม่สามารถทำความเร็วปกติได้เท่ากับช่วงก่อนสงคราม ในการข้ามมหาสมุทรครั้งหนึ่งในปี ค.ศ. 1922 เรือทำความเร็วเฉลี่ยได้เพียง 19 นอต (35 กม./ชม.; 22 ไมล์/ชม.)[]
ในช่วงเวลานี้เอง ทางเดินเล่นบนเรือก็ถูกปิดชั่วคราว และปล่องไฟของเรือก็ได้รับการเปลี่ยนให้เป็นทรงรี ทำให้ดูคล้ายกับเรือลูซิเทเนียเป็นอย่างมาก คูนาร์ดไลน์ตัดสินใจว่าเครื่องยนต์กังหันล้ำสมัยของเรือซึ่งเคยเป็นนวัตกรรมใหม่ในสมัยนั้นจำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน ในปี ค.ศ. 1923 เรือมอริเทเนียเข้ารับการซ่อมแซมครั้งใหญ่ที่เมืองเซาแทมป์ตัน เครื่องยนต์กังหันของเรือถูกถอดออกเพื่อทำการปรับปรุง แต่การซ่อมแซมต้องหยุดชะงักเนื่องจากการประท้วงหยุดงานของคนงานอู่ต่อเรือ คูนาร์ดไลน์จึงตัดสินใจลากเรือไปยังเมืองแชร์บูร์ ประเทศฝรั่งเศส เพื่อซ่อมแซมเรือให้เสร็จที่อู่ต่อเรือแห่งอื่น ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1924 เรือก็กลับมาให้บริการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกอีกครั้ง
ปีต่อ ๆ มาได้พิสูจน์ให้กับคูนาร์ดไลน์ว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเรือมอริเทเนียนั้นได้ผล และเรือก็กลายเป็นเรือที่ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จอย่างมาก ในปี ค.ศ. 1928 เรือได้รับการปรับปรุงใหม่ด้วยการออกแบบตกแต่งภายในใหม่ และในปีต่อมา สถิติความเร็วของเรือก็ถูกทำลายโดยเรือ (SS Bremen) ของเยอรมนี ด้วยความเร็ว 28 นอต (52 กม./ชม.; 32 ไมล์/ชม.)
ในวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 1928 คูนาร์ดไลน์อนุญาตให้อดีต "ม้าเร็วแห่งมหาสมุทร" อย่างมอริเทเนียออกทำลายสถิติอีกครั้งจากเรือรุ่นใหม่ของเยอรมนี แต่แม้จะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ เรือมอริเทเนียก็ยังไม่สามารถทำลายสถิติของเบรเมนได้ เรือถูกหยุดให้บริการและเครื่องยนต์ของเรือก็ได้รับการปรับแต่งให้มีกำลังมากขึ้นเพื่อให้มีความเร็วสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม นี่ก็ยังไม่เพียงพอ เรือเบรเมนได้กลายเป็นตัวแทนของเรือเดินมหาสมุทรรุ่นใหม่ที่ทรงพลังและล้ำหน้ากว่าเรือของคูนาร์ดที่เริ่มเก่าลง แม้จะไม่สามารถทำลายสถิติเรือคู่แข่ง แต่ก็ทิ้งห่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากผ่านการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาหลายสิบปี เรือมอริเทเนียก็ได้ทำลายสถิติความเร็วของตนเองทั้งขาไปและกลับ ในปี ค.ศ. 1929 เรือได้ชนกับขนส่งรถไฟใกล้ (Robbins Reef Light) ไม่มีบาดเจ็บหรือผู้เสียชีวิต และความเสียหายของเรือก็ได้รับการซ่อมแซมอย่างรวดเร็ว[]
ในปี ค.ศ. 1930 ด้วยผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ และการแข่งขันที่รุนแรงจากเรือรุ่นใหม่บนเส้นทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก เรือมอริเทเนียจึงถูกเปลี่ยนบทบาทมาเป็นเรือสำราญ โดยให้บริการล่องเรือ 6 วันจากนิวยอร์กไปยังท่าเทียบเรือหมายเลข 21 ในแฮลิแฟกซ์ รัฐโนวาสโกเชีย
ในวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1930 เรือมอริเทเนียได้ทำวีรกรรมสำคัญด้วยการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเรือบรรทุกสินค้าสวีเดนที่ประสบเหตุอับปางในมหาสมุทรแอตแลนติก ห่างจาก นิวฟันด์แลนด์ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ 400 ไมล์ทะเล (740 กิโลเมตร; 460 ไมล์) โดยสามารถช่วยชีวิตลูกเรือ 28 คนและบรรทุกสินค้าเอาไว้ได้อย่างปลอดภัย
ในปี ค.ศ. 1932 เรือมอริเทเนียถูกทาสีขาวเพื่อให้เข้ากับบทบาทใหม่ในฐานะเรือสำราญ หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1934 คูนาร์ดไลน์ได้ควบรวมกิจการกับไวต์สตาร์ไลน์ ส่งผลให้เรือมอริเทเนีย รวมถึงเรือโอลิมปิก และเรือเดินสมุทรเก่าลำอื่น ๆ ถูกมองว่าเกินความจำเป็นและค่อย ๆ ถูกปลดประจำการ[]
ปลดระวาง
สายการเดินเรือคูนาร์ด–ไวต์สตาร์ได้ปลดประจำการเรือมอริเทเนียในเดือนกันยายน ค.ศ. 1934 หลังจากการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเที่ยวสุดท้ายจากนิวยอร์กมาเซาแทมป์ตัน โดยใช้ความเร็วเฉลี่ย 24 นอต (44 กม./ชม.; 28 ไมล์/ชม.) ซึ่งตรงกับเงื่อนไขเดิมของสัญญาอุดหนุนค่าขนส่งไปรษณีย์ หลังจากนั้น เรือมอริเทเนียก็ได้ถูกนำไปจอดเก็บไว้ที่เซาแทมป์ตัน ปิดฉากการเดินเรือมานานถึง 28 ปี
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1935 บริษัทแฮมป์ตันแอนด์ซันส์ (Hampton and Sons) ได้จัดการประมูลเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งภายในเรือมอริเทเนีย และในวันที่ 1 กรกฎาคมปีเดียวกัน เรือก็เดินทางออกจากเซาแทมป์ตันเป็นครั้งสุดท้าย มุ่งหน้าสู่บริษัทเมทัลอินดัสตรีส์ (Metal Industries) ซึ่งเป็นในเมือง ประเทศสกอตแลนด์
เซอร์อาร์เทอร์ รอสตรอน (Arthur Rostron) ผู้เคยเป็นกัปตันเรืออาร์เอ็มเอส คาร์เพเทีย (RMS Carpathia) ในการช่วยผู้รอดชีวิตจากเรือไททานิก และเคยเป็นหนึ่งในกัปตันของเรือมอริเทเนีย ได้เดินทางมาเพื่อดูเรือออกเดินทางเป็นครั้งสุดท้าย โดยรอสตรอนปฏิเสธที่จะขึ้นเรือมอริเทเนีย เขาเล่าว่าเขาอยากจดจำภาพลักษณ์ของเรือไว้ในยุคที่เขาเคยเป็นกัปตัน มากกว่าที่จะเห็นสภาพก่อนรื้อถอน[]
ในระหว่างทาง เรือมอริเทเนียได้แวะพัก ณ สถานที่ที่สร้างเรือที่ริมแม่น้ำไทน์เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ฝูงชนที่มามุงดู บนสะพานเดินเรือมีการจุดพลุส่งสัญญาณ ข้อความต่าง ๆ ถูกส่งต่อ[]นายกเทศมนตรีเมืองนิวคาสเซิลได้ขึ้นเรือมาเยี่ยมชมเรือมอริเทเนียและกล่าวอำลาเรือลำนี้ในนามชาวเมือง ต่อจากนั้นกัปตันเรือคนสุดท้าย (A. T. Brown) ก็นำเรือออกเดินทางต่อ
ประมาณ 30 ไมล์ไปทางเหนือของนิวคาสเซิล คือ ท่าเรือเล็ก ๆ ชื่อ (Amble) ตั้งอยู่ในภูมิภาคนอร์ทัมเบอร์แลนด์ สภาท้องถิ่นของเมืองได้ส่งโทรเลขไปยังเรือว่า "ถึงแม้เวลาจะล่วงเลย แต่มอริเทเนียก็ยังคงเป็นเรือที่งดงามที่สุดในท้องทะเล" เรือมอริเทเนียตอบกลับด้วยความซาบซึ้งว่า "ถึงท่าเรือสุดท้ายและแสนดีในอังกฤษ สวัสดีและขอบคุณ" จนถึงทุกวันนี้ อัมเบิลยังเป็นที่รู้จักในชื่อ 'อัมเบิล ท่าเรือมิตรภาพ' ป้ายชื่อนี้ปรากฏเด่นชัดให้ผู้มาเยือนได้เห็นทันทีเมื่อเข้าสู่เมือง เนื่องจากความสูงเกินกว่าจะผ่านใต้สะพานฟอร์ท เรือจึงถูกตัดเสากระโดง จากนั้นก็เรือมุ่งหน้าสู่จุดสิ้นสุดของการเดินทาง ณ บริษัทผู้รื้อถอนซากเรือ[]
วันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1935 เรือมอริเทเนียเดินทางมาถึงเมืองรอสไฟฟ์ ประเทศสกอตแลนด์ ในเวลาประมาณ 6 โมงเช้า ท่ามกลางพายุลมแรง เรือแล่นผ่านใต้สะพานฟอร์ทในเวลา 6:30 น. และเข้าเทียบท่าที่อู่รื้อถอนเรือ ที่ท่าเรือมีชายชาวสก็อตสวมชุดคิลต์เพียงคนเดียว เป่าขลุ่ยเล่นเพลงเศร้าไว้อาลัยเรือมอริเทเนีย
นักเขียนและนักประวัติศาสตร์ (John Maxtone-Graham) ได้รับรายงานว่า "ในขณะที่เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ของเรือมอริเทเนียหยุดทำงานเป็นครั้งสุดท้าย เรือได้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง... ราวกับเป็นอาการโหยหาหรือร่ำลึกถึงการเดินทางอันยาวนาน" ก่อนเข้าสู่การรื้อถอน เรือมอริเทเนียได้เปิดให้ประชาชนเข้าชมเป็นครั้งสุดท้ายในวันที่ 8 กรกฎาคม โดยมีผู้เข้าชมถึง 20,000 คน และรายได้ทั้งหมดมอบให้กับองค์กรการกุศลท้องถิ่น
การรื้อถอนเรือเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากการเปิดให้ประชาชนเข้าชม เรือถูกตัดแบ่งเป็นชิ้น ๆ ในขณะที่ยังลอยน้ำอยู่ภายในอู่แห้ง ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่ค่อยพบเห็นนัก โดยใช้ระบบไม้ค้ำยันที่ซับซ้อนและการทำเครื่องหมายด้วยดินสอเพื่อควบคุมความสมดุล ภายในระยะเวลาเพียง 1 เดือน ปล่องไฟอันโดดเด่นของเรือก็หายไป การรื้อถอนเรือเสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 1937[]
เพื่อป้องกันไม่ให้คู่แข่งนำชื่อมอริเทเนียไปใช้ และเพื่อรักษาชื่อนี้ไว้ให้กับเรือลำใหม่ที่จะสร้างในอนาคต คูนาร์ดจึงจัดการให้เรือใบพายชื่อควีน (Queen) ของ (Red Funnel Paddle Steamer) เปลี่ยนชื่อเป็นมอริเทเนียเป็นการชั่วคราว จนกระทั่งเรือลำใหม่เปิดตัวในปี 1938[]
การรื้อถอนเรือมอริเทเนียถูกคัดค้านโดยอดีตผู้โดยสารจำนวนมาก และอดีตประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์ (Franklin D. Roosevelt) ได้ถึงกับเขียนจดหมายส่วนตัวประท้วงการรื้อถอน
หลังปลดระวาง
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
รายชื่อกัปตัน
รายการนี้อิงตามข้อมูลที่มีอยู่และอาจไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ วันที่อาจแตกต่างกันเล็กน้อยขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา:
- จอห์น พริทชาร์ด (John Pritchard) (16 พฤศจิกายน – 6 ธันวาคม 1907) บัญชาการในการเดินทางเที่ยวแรก
- ธีโอดอร์ วิลเลียม แชลเมอส์ (Theodore William Chalmers) (7 ธันวาคม 1907 – 11 กุมภาพันธ์ 1911) บัญชาการเรือเป็นเวลานานหลายปี และช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับเรือในฐานะเรือที่เชื่อถือได้และรวดเร็ว
- เจมส์ ชาลส์ (James Charles) (12 กุมภาพันธ์ 1911 – 16 เมษายน 1912) บัญชาการเรือในช่วงที่เรือทำลายสถิติความเร็ว และในช่วงที่เรือไททานิกอับปาง
- เฮอร์เบิร์ต ออกัสตัส วอเตอร์ (Herbert Augustus Water) (17 เมษายน – 13 พฤศจิกายน 1912) เข้ารับตำแหน่งต่อจากเหตุภัยพิบัติเรือไททานิก และยังคงให้บริการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกของเรือมอริเทเนียต่อไป
- วิลเลียม เทอร์เนอร์ (William Turner) (14 พฤศจิกายน 1912 – 12 กรกฎาคม 1913) ได้นำเรือมอริเทเนียผ่านปีแห่งการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกที่ประสบความสำเร็จอีกครั้ง และได้เห็นการเยือนของกษัตริย์จอร์จที่ 5 และสมเด็จพระราชินีแมรี
- แฮโรลด์ อาร์เทอร์ ไบรท์ (Harold Arthur Bright) (13 กรกฎาคม 1913 – 30 เมษายน 1914) บัญชาการเรือมอริเทเนียระหว่างการเสด็จประพาสอันทรงเกียรติ และดูแลการปรับปรุงประจำปีของเรือที่ลิเวอร์พูล ซึ่งน่าเศร้าที่ประสบเหตุถังแก๊สระเบิดที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต
- อาร์เทอร์ เฮนรี รอสตรอน (Arthur Henry Rostron) (1 พฤษภาคม – 4 สิงหาคม 1914) ผู้โด่งดังจากวีรกรรมในการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากเรือไททานิก เคยเป็นผู้บัญชาการเรือมอริเทเนียในช่วงสั้น ๆ ก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุขึ้น
- วิลเลียม ไมลส์ (William Miles) (5 สิงหาคม 1914 – 1920) บัญชาการเรือผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งเรือทำหน้าที่เป็นเรือลาดตระเวนพาณิชย์ติดอาวุธ
- เบนจามิน เจมส์ วิลเลียมส์ (Benjamin James Williams) (1920 – 1924) บัญชาการเรือในระหว่างการฟื้นฟูเรือหลังสงคราม และดูแลการกลับคืนสู่การให้บริการพลเรือนของเรือ
- จอร์จ ชาลส์ เอ็ดการ์ เทอร์เนอร์ (George Charles Edgar Turner) (1924 –1929) นำพาเรือผ่านฤดูกาลที่ประสบความสำเร็จหลายฤดูกาล และดูแลการปรับปรุงครั้งสุดท้ายของเรือ ก่อนสถิติความเร็วข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกของเรือจะถูกทำลาย
- อาร์เทอร์ โรแลนด์ บราวน์ (Arthur Roland Brown) (1929 – 1934) บัญชาการเรือในช่วงปีสุดท้ายของการเป็นเรือเดินสมุทร ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนเป็นเรือสำราญ
ในวัฒนธรรมสมัยนิยม
เรือมอริเทเนียได้รับการกล่าวถึงในเพลง "The fireman's lament" หรือ "Firing the Mauretania" เพลงนี้เป็นเพลงพื้นบ้านของชาวไอริชที่กล่าวถึงชีวิตอันยากลำบากของคนงานเตาเผาบนเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความโหดร้ายของการทำงานบนเรือมอริเทเนีย
เรื่องราวในนิยาย "The Thief" ของไคลฟ์ คัสเลอร์ ( Clive Cussler) เกิดขึ้นบนเรือเดินสมุทรชื่อมอริเทเนีย โดยไฟไหม้รุนแรงได้โหมกระหน่ำบริเวณห้องเก็บสินค้าด้านหน้าของเรือ แต่สุดท้ายก็สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้
เรือมอริเทเนียถูกกล่าวถึงในบทกวี "The Secret of the Machines" ของรัดยาร์ด คิปลิง (Rudyard Kipling) ด้วย โดยปรากฏอยู่ในท่อนนี้:
เรือด่วนแห่งท้องน้ำ รอคำสั่งจากท่านอยู่!
ท่าเรือโน้น ท่านจะพบมอริเทเนีย
จนกระทั่งกัปตันหมุนคันโยกใต้มือ
เมืองมหึมาเก้าชั้นก็ทะยานสู่ทะเล
เรือมอริเทเนียถูกกล่าวถึงในช่วงต้นของภาพยนตร์ ไททานิค ของเจมส์ แคเมรอน เมื่อโรส เดวิตต์ บูเคเตอร์ (รับบทโดย เคต วินสเล็ต) กล่าวว่า "[ไททานิก] ดูไม่ใหญ่ไปกว่าเรือมอริเทเนียเลย" และคู่หมั้นของเธอ คาเลดอน ฮ็อกลีย์ (รับบทโดย บิลลี เซน) อธิบายให้เธอฟังว่า "โรส ที่รัก นี่คือไททานิก มันยาวเกิน 880 ฟุต เป็นเรือลำใหญ่ที่สุดที่เคยสร้างมา"
นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ เรื่อง "Maiden Voyage" โดยโรเจอร์ ฮาร์วีย์ (Roger Harvey) นักเขียนชาวอังกฤษ เล่าเรื่องราวการสร้างเรือมอริเทเนียอย่างละเอียด พร้อมด้วยตัวละครผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเครื่องยนต์กังหันอันล้ำสมัยของเรือ
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
- อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อMaritimequest
- อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อLiner
- Maxtone-Graham 1972, pp. 41–43.
- Maxtone-Graham 1972, p. 24.
- Maxtone-Graham 1972, p. 11.
- Floating Palaces. (1996) A&E. TV documentary. Narrated by Fritz Weaver.
- UK inflation figures are based on data from Clark, Gregory (2017). "The Annual RPI and Average Earnings for Britain, 1209 to Present (New Series)". MeasuringWorth. สืบค้นเมื่อ 2 December 2021.
- Layton, J. Kent. (2007) Lusitania: An Illustrated Biography, Lulu Press, pp. 3, 39.
- Vale, Vivian, The American Peril: Challenge to Britain on the North Atlantic, 1901–04, pp. 143–183.
- . collectionsprojects.org.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-07-24. สืบค้นเมื่อ 2023-07-24.
- Piouffre 2009, p. 52 .
- Maxtone-Graham 1972, p. 25.
- . Tyne and Wear Archives Service. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-01-06. สืบค้นเมื่อ 23 November 2008.
- Layton 2007, p. 44.
- Williams, Trevor. (1982) A short history of twentieth-century technology. Oxford University Press, p. 174.
- Maxtone-Graham 1972, p. 15.
- Maxtone-Graham 1972, pp. 38–39.
- . Tyne and Wear Archives Service. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-03-23. สืบค้นเมื่อ 25 November 2008.
- Maxtone-Graham 1972, p. 31.
- Maxtone-Graham 1972, pp. 33–36.
- Maxtone-Graham 1972, p. 33.
- Archibald, Rick & Ballard, Robert.The Lost Ships of Robert Ballard, Thunder Bay Press: 2005; p. 46.
- Archibald, Rick & Ballard, Robert."The Lost Ships of Robert Ballard," Thunder Bay Press: 2005; pp. 51–52.
- "British Wreck Commissioner's Inquiry, Day 19, Testimony of Edward Wilding, recalled (20227)". Titanic Inquiry Project.
- Layton 2010, p. 55.
- Hackett & Bedford 1996, p. 171.
- Simpson 1972, p. 159.
- Anonymous, The Federal Reporter, Volume 174, St. Paul, Minnesota: West Publishing Company, 1910, pp. 166–175.
- Department of Commerce and Labor Bureau of Navigation Fortieth Annual List of Merchant Vessels of the United States for the Year Ending June 30, 1908, Washington, D.C.: Government Printing Office, 1908, p. 383.
- Layton 2007, p. 120.
- "TIP – Titanic Related Ships – Mauretania – Cunard Line".
- []
- Tansley, Janet (13 January 2016). "Nostalgia: Cunard's super ship RMS Mauretania".
- Layton 2007, pp. 170–171.
- . Tyne and Wear Archives Service. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-11-20. สืบค้นเมื่อ 23 November 2008.
- "Luxury liner played vital war role". BBC News. 13 November 2014.
- Ocean liners of the past: the Cunard express liners Lusitania and Mauretania. Published by Patrick Stephens, 1970 (p. 207).
- . Tyne and Wear Archives Service. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-11-20. สืบค้นเมื่อ 23 November 2008.
- Maxtone-Graham 1972, pp. 342–345.
- . collectionsprojects.org.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-02-06. สืบค้นเมื่อ 2023-12-16.
- Maxtone-Graham 1972, p. 255.
- Maxtone-Graham 1972, p. 340.
- "Website Update | Nova Scotia Archives". novascotia.ca. 20 April 2020.
- "Swedish steamer abandoned". The Times. No. 45675. London. 20 November 1930. col E, p. 16.
- "Rescued Swedish crew". The Times. No. 45676. London. 21 November 1930. col F, p. 13.
- "Welcome to North Atlantic Run". www.northatlanticrun.com.[]
- "Why we are known as "The Friendliest Port" – The Ambler". 11 December 2012.
- Longo, Eric K. (8 July 2010). "Mauretania 75th Anniversary". Liners of the Edwardian Era. สืบค้นเมื่อ 18 September 2018.[]
- Adams, R. B. [1986] Red Funnel and Before. Kingfisher Publications.[]
- Hugill, Stan in Spin, The Folksong Magazine, Volume 1, # 9, 1962.
- Maiden Voyage by Roger Harvey, New Generation (2017), ISBN
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
xarexmexs mxrietheniy xngkvs RMS Mauretania hruxchuxetmkhux eruxiprsniyhlwngmxrietheniy Royal Mail Steamer Mauretania epneruxedinsmuthrsychatixngkvs khxngsaykaredineruxkhunard xxkaebbody aelasrangodyxutxeruxswxnhnetxraexndwikaehm richardsn Swan Hunter amp Wigham Richardson plxylngnainchwngbaykhxngwnthi 20 knyayn kh s 1906 aelaidepneruxthiihythisudinolkcnkrathngeruxxarexmexs oxlimpikepidtwinpi kh s 1910xarexmexs mxrietheniy RMS Mauretania prawtishrachxanackrtngchuxtamecakhxng1906 34 khunardiln 1934 35 khunard iwtstarilnphuihbrikarkhunardilnesnthangedineruxesaaethmptn okhf nkhrniwyxrkxueruxswxnhnetxr aexndwikaehm richardsn nxrthmebxraelnd xngkvsYard number367plxyerux18 singhakhm 1904srangesrc11 phvscikayn 1907Maiden voyage16 phvscikayn 1907brikar1907 1934hyudihbrikarknyayn 1934rhsrabuhmayelkhthaebiynerux xngkvs 124093rhstwxksr HLTQsyyaneriykkhanirsay MGAkhwamepnippldrawanginpi 1934 aelathukaeykchinswninpi 1935 thirxsiff skxtaelndlksnaechphaachn praephth eruxedinsmuthrkhnad rawangkhbna 31 938 tnkhwamyaw 790 fut 240 8 emtr khwamkwang 88 fut 26 8 emtr khwamsung 144 fut 43 9 emtr cakkraduknguthungplayplxngkhwnkinnaluk 33 fut 6 niw 10 2 emtr dadfa 8 chnrabbphlngngan knghnixnapharsns Parsons aebbkhbekhluxnibckrodytrng aerngdnsung 2 ekhruxng aerngdnta 2 ekhruxng ihkalngrwm 76 000 aerngma 57 000 kiolwtt kxncaephimepn 90 000 aerngma 67 000 kiolwtt inpi 1929rabbkhbekhluxn ibckrpik 4 ib canwn 4 ephlakhwamerw khwamerwbrikar 25 nxt 46 km chm 29 imltxchm khwamxxkaebb 28 nxt 52 km chm 32 imltxchm khwamcu 2 165 khn aebngepn chnhnung 563 khn chnsxng 464 khn chnsam 1 138 khnlukerux 802 khnhmayehtu epneruxthiihythisudinolkinpi 1907 aela eruxthierwthisudinolk 1910 eruxmxrietheniyidrbrangwlbluribnd Blue Riband sahrbkaredinthangkhammhasmuthraextaelntikipthangtawnxxkinethiywklbkhrngaerkineduxnthnwakhmpi kh s 1907 caknnidrbrangwlxikkhrngsahrbkaredinthangkhammhasmuthraextaelntikipthangtawntkthierwthisudinvdukaredineruxpi kh s 1909 aelathuxkhrxngsthitithngsxngnnepnewla 20 pi chuxeruxnamacakchuxmnthlmxrietheniykhxngormnobran sungxyubnchayfngaexfrikatawntkechiyngehnux imichpraethsmxrieteniysmyihmthixyuthangit chuxkhxngxarexmexs lusietheniy sungepneruxkhuaefdkichaenwthangediywkn odytngchuxtammnthllusietheniykhxngormnobranthixyuehnuxmnthlmxrietheniy trngkhamchxngaekhbyibrxltar xarexmexs mxrietheniy ihbrikarcnthungeduxnknyayn kh s 1934 aelwcungpldrawang aelakhayaeykchinswninemuxng Rosyth praethsskxtaelndinpi kh s 1935ebuxnghlngkhnnganyunxyuitibckredimkhxngeruxmxrietheniyinxuaehng inpi kh s 1897 eruxedinsmuthr SS Kaiser Wilhelm der Grosse khxngeyxrmniidklayepneruxthiihyaelaerwthisudinolk dwykhwamerw 22 nxt 41 km chm 25 iml chm chingrangwlbluribndipcakerux aela khxngsaykaredineruxkhunard eyxrmniekhamamibthbathinesnthangedineruxkhammhasmuthraextaelntikmakkhun aelaphayinpi 1906 phwkekhakmieruxedinsmuthrkhnadihy 5 laihbrikar sung 4 lainnnepnkhxngsaykaredineruxnxrthdxythechxrlxyth Norddeutscher Lloyd inchwngewlaediywkn ec phi mxraekn nkkarenginchawxemrikn idphyayamphukkhadxutsahkrrmkaredineruxphan International Mercantile Marine Co aelaidekhasuxkickarsaykaredineruxiwtstar saykaredineruxkhammhasmuthrhlkxikaehngkhxngxngkvsiperiybrxyaelw ephuxtxkrkbphykhukkhamehlani khunardilnmungmnthicakukhunchuxesiyngkhxngkarepnphunadankaredinthangthangthael imephiyngaekhsahrbbristhethann aetyngrwmthungshrachxanackrdwy inpi 1902 khunardilnaelarthbalxngkvsidtklngsrangeruxedinsmuthrkhnadihy 2 la idaek lusietheniy aelamxrietheniy dwykhwamerwbrikarthirbpraknimnxykwa 24 nxt 44 km chm 28 iml chm odyrthbalxngkvsihkuengin 2 600 000 pxnd 252 lanpxndinpi 2015 sahrbkarsrangerux odymixtradxkebiy 2 75 thicatxngcaykhunphayin 20 pi phrxmkbenguxnikhthiwaeruxtxngsamarthaeplngepneruxladtraewntidxawuthidhakcaepn aelaidrbenginthunephimetimemuxcdkarihkhunardilnidrbenginephimetimtxpiepnkhaxudhnuniprsniykarxxkaebbaelakarsrangeruxmxrietheniykxnwnphithiplxyinpi kh s 1906 eruxmxrietheniy aelalusietheniy idrbkarxxkaebbody Leonard Peskett sthapnikeruxkhxngkhunard odymixutxerux Swan Hunter aela John Brown thangantamaephnsahrb maerwaehngmhasmuthr thikahndkhwamerwbrikariwthi 24 nxtinsphaphxakaspkti tamkhxtklngkhxngsyyaxudhnuniprsniy karxxkaebbedimkhxngephsekttsahrberuxinpi 1902 nnepnaebbsamplxngkhwn enuxngcakinewlannekhruxngyntaebbluksubyngkhngepnekhruxngynthlk txmakhunardidtdsinicepliynekhruxngyntepnethkhonolyiekhruxngknghnixnaaebbihmkhxngpharsn aelakarxxkaebbkhxngeruxkidrbkarprbepliynxikkhrngemuxephsekttephimplxngkhwnthisiekhaipinokhrngsrangerux inthisudkarkxsrangeruxkerimtnkhundwykarwangkraduknguineduxnsinghakhmpi 1904 eruxmxrietheniythukthasiethaxxnkxnphithiplxyerux ephuxihrupthayxxkmachdecnkhun enuxngcakinyukhnnkarthayphaphyngepnaebbkhawda karichsiethaxxnchwyihesnsaykhxngeruxduoddednaelaswyngam hlngcakesrcsinkaredinthangethiywaerk maiden voyage eruxkthukepliynsiepnsidathngla sungepnsimatrthankhxngeruxkhxngkhunardinewlann phithiplxyxyangepnthangkarkhxngeruxmxrietheniy emuxwnthi 20 knyayn kh s 1906eruxmxrietheniyhlngcakthukplxylngna wnthi 20 knyayn kh s 1906 eruxmxrietheniythukthaphithiplxyody inewlanneruxlaniepnokhrngsrangthiekhluxnihwidthiihythisudthiekhysrangma aelamikhnadihykwaeruxlusietheniyelknxy khwamaetktangthangruplksnhlkrahwangeruxthngsxngla khuxeruxmxrietheniycayawkwa 5 fut aelamichxngrabayxakasthiaetktangkn eruxmxrietheniyyngmiibphdknghnephimetim 2 chudinknghndanhna thithaihmikhwamerwmakkwalusietheniyelknxy thngeruxmxrietheniyaelalusietheniyepneruxthiichekhruxngyntknghnixnaaebbkhbekhluxnodytrngephiyngsxnglathiekhykhrxngrangwlbluribnd inkhnathieruxruntxmamkichekhruxngyntknghnaebbthdekiyr eruxmxrietheniyichekhruxngyntknghnixnasungepnethkhonolyiihmlasudinewlannthiphthnaody Charles Algernon Parsons aelathuxepnkarprayuktichethkhonolyinithikhnadihythisudethathiekhymima aetinrahwangkarthdsxbkhwamerw ekhruxngyntehlanikxihekidkarsnsaethuxnxyangrunaerngthikhwamerwsung ephuxaekikhpyhani eruxcungidrbkartidtngokhrngsrangesrimthithayeruxaelaibckrthixxkaebbihmkxnekhapracakar sungchwyldkarsnsaethuxn swntang khxngeruxmxrietheniy eruxidrbkarxxkaebbihsxdkhlxngkbrsniymxnhruhrakhxngyukhexdewird phayineruxidrbkarrngsrrkhodysthapnikchuxdng Harold Peto swnhxngothngidrbkartkaetngxyangpranitodybristhxxkaebbchnnasxngaehngcaklxndxn Ch Mellier amp Sons aela Turner and Lord wsduthiichinkartkaetngnnlwnkhdsrrmaxyangdieyiym dwyimthung 28 chnid hinxxn phathxsudwicitr aelaefxrniecxrchinexk echn otaaepdehliymxnnatuntainhxngsubbuhri aephnimaekaslkthiichtkaetnghxngothngchnhnungkhxngeruxnn echuxknwaaekaslkodychangfimux 300 khncakpaelsitn eruxoddedndwyhxngxaharchnhnungaebbhlaychn srangcakimoxksifang tkaetngsitlfransisthi 1 aelapradbdwyodmskayilthkhnadihy ethkhonolyilasmyinyukhnnxyanglift thuknamaichbneruxmxrietheniyepnkhrngaerk odyokhrngliftthacakxalumieniym sungepnwsdunahnkebaaelakhxnkhangihm tidtngxyukhangbnidihy grand staircase thithacakimoxk cudednxikxyangkhxngeruxkhux khaefraebiyng Verandah Cafe bndadfachneruxbd boat deck sungphuodysarsamarthnngcibekhruxngduminbrryakasplxdlmfaxakas xyangirktam phayinewlaephiyngpiediyw khaefaehngnikthukpidlxm enuxngcaksphaphaewdlxmchneruxbdkhxngeruximehmaakbkarepidolngethiybkberuxchnoxlimpikaephnphaphepriybethiybdankhangkhxngxarexmexs mxrietheniy bn kbxarexmexs oxlimpik lang eruxchnoxlimpikkhxngiwtstarilnmikhwamyawmakkwaekuxb 30 emtr 100 fut aelakwangkwaeruxlusietheniy aelamxrietheniyelknxy thaiheruxkhxngiwtstarminahnkrwmmakkwaeruxkhxngkhiwnardpraman 15 000 tn eruxlusietheniy aelamxrietheniy epidtwaelaihbrikarkxnthieruxoxlimpik iththanik aelabriaethnnik caphrxmihbrikarepnewlahlaypi aemwacamikhwamerwmakkwaeruxchnoxlimpikxyangehnidchd aetimephiyngphxthicathaihsaykaredineruxihbrikarkhammhasmuthraextaelntiksxnglatxspdahcakaetlafngkhxngmhasmuthr cungcaepntxngmieruxlathisamsahrbihbrikarrayspdah aelaephuxtxbotaephnkarsrangeruxchnoxlimpikthngsamlathikhxngiwtstar khiwnardcungsngtxeruxlathisamchuxwa aexkhwietheniy Aquitania sungcamikhwamerwthitakwaelknxy aetmikhnadihykwaaelahruhrakwa txngkarxangxing eruxedinsmuthrchnoxlimpikmisingxanwykhwamsadwkmakkwalusietheniy aelamxrietheniy echn srawayna hxngxabnaaebbturki orngyim snamskhwxch hxngrbaekhkkhnadihy ranxahartamsngaeykcakhxngxahar aelahxngnxnphrxmhxngnaswntwmakkwaeruxkhxngkhiwnardthngsxngla txngkarxangxing aerngsnsaethuxnxyanghnksungepnphlphlxyidcakekhruxngyntknghnixnasmyihmthng 4 twineruxlusietheniy aelamxrietheniy idsngphlkrathbtxeruxthngsxnglaemuxaelndwykhwamerwsungsud aerngsnsaethuxncarunaerngmakcnswnphuodysarchnsxngaelasamimsamarthxyuxasyid inthangtrngknkham eruxedinsmuthrchnoxlimpikeluxkkhwamprahydmakkwakhwamerw odykartidtngaebbdngedim 2 tw aelaknghnsahrbibckrklang dwynahnkthimakkhunaelakhwamkwangthikwangkhun eruxedinsmuthrchnoxlimpikcungmikhwamesthiyrmakkhuninthaelaelamiaenwonmthicaokhlngnxylng lusietheniy aelamxrietheniy mihweruxthitrng sungtangcakhweruxaebbthamumkhxngeruxchnoxlimpik xxkaebbmaephuxiheruxsamarthphungphankhlunid aethnthicaphungkhunipbnyxdkhlun kkhuxeruxkhxngkhiwnardcakhwangipkhanghnaxyangnatkic aemcaxyuinsphaphxakasthisngb thaihkhlunkhnadihysadekhahweruxaelaswnhnakhxngokhrngsrangswnbn superstructure xarexmexs mxrietheniy aelaeruxinpi kh s 1907 eruxchnoxlimpikyngaetktangcakeruxlusietheniy aelamxrietheniyineruxngkaaephngknna eruxkhxngiwtstarthukaebngdwykaaephngknnatamkhwang inkhnathilusietheniykmikaaephngkntamkhwangechnediywkn aetyngmikaaephngkntamyaw rahwanghmxixnaaelahxngekhruxngynt aelakhlngthanhinthidannxkkhxngerux khnakrrmathikarxngkvsthisxbswnkarxbpangkhxngeruxiththanikinpi 1912 idfngkhaihkarekiywkbnathwmkhlngthanhinthiwangxyunxkkaaephngknnatamyaw dwykhwamyawthimak emuxeruxthuknathwm singehlanixacephimkhwamexiyngkhxngerux aelathaiheruxsarxngthixyuxikdanhnungldradblngimid nnkhuxsingthiekidkhunkblusietheniyinphayhlng nxkcakni khxngeruxyngimephiyngphxtxkarcdkaaephngknnathiich nathwmkhlngthanhinephiyng 3 aehngindanhnungxacthaih Metacentric Height epnlb inthangklbkn eruxiththanikmikhwamesthiyrmakphxthicacmlngdwykhwamladexiyngephiyngimkixngsa karxxkaebbkhxngiththanikthaihkhwamesiyngthinacathwmimsmaesmxaelaxacphlikkhwannminxymak eruxlusietheniymieruxchuchiphimephiyngphxsahrbthukkhnbneruxinkaredinthangkhrngaerk nxykwathiiththanik 4 la sungepnwithiptibtithwipsahrberuxodysarkhnadihyinkhnann enuxngcakmikhwamechuxwaesnthangedineruxthiphlukphlancamikhwamchwyehluxxyuikl esmx aelaeruxchuchiphthimixyuimkilakephiyngphxthicasngthukkhnipyngeruxthimachwyehluxkxnthieruxcacm hlngcakeruxiththanikxbpang eruxlusietheniyaelamxrietheniyidtidtngeruxchuchiphephimxik 6 labn davit ekhrnaekhwneruxchuchiphchnidhnung sngphlihmieruxchuchiphthnghmd 22 lathitidtngbndawit eruxchuchiphthiehluxidrbkaresrimdwyeruxchuchiphaebbphbid 26 la ody 18 laekbiwiteruxchuchiphpktiodytrng aelaxik 8 laxyubndadfaerux thuksrangkhundwyphunimklwngaeladankhangepnphaib caepntxngprakxbinkrnithitxngichchwngtneruxmxrietheniykhnakalngthakarthdsxbkhwamerwthinxkaehlmesntaexbs praethsskxtaelnd emuxwnthi 18 knyayn kh s 1907 khwamerwsungsudthithaidkhux 25 73 nxt 47 65 km chm eruxmxrietheniyxxkedinthangethiywaerkcakliewxrphulinwnthi 16 phvscikayn kh s 1907 phayitkarbychakhxngkptn John Pritchard aetimsamarththalaysthitikhwamerwkhammhasmuthraextaelntikidenuxngcakekidphayurunaerngthithaihsmxsarxnghludxxk aelaeruxyngidrbkhwamesiyhayelknxythiswnbnkhxngerux xyangirktam inkaredinthangklbethiywaerk 30 phvscikayn 5 thnwakhm 1907 eruxidthalaysthitikaredinthangkhammhasmuthraextaelntikkhaipthierwthisuddwykhwamerwechliy 23 69 nxt 43 87 km chm inwnthi 23 thnwakhm kh s 1907 eruxmxrietheniyklbmaethiybthathinkhrniwyxrkxikkhrng n thaethiyberuxhmayelkh 54 briewn aetekidehtukarnphayulmaerngkrathnhn thaihesaethiyberuxthithahmayelkh 54 phngesiyhay eruxmxrietheniylxyxxkcakthaipbangswn hweruxhnipkraaethkkberuxbrrthuksinkhahlaylathikalngnathanhinmasngaelakhnkhiethaxxk inkhdikhwamthitamma bristhkhunardilnecakhxngeruxmxrietheniythuktdsinwatxngrbphidchxbtxkhwamesiyhaythiekidkhun eruxmxrietheniykhnaerngkhwamerwsungsud playpi 1907 ineduxnknyayn kh s 1909 eruxmxrietheniysamarthkhwarangwlbluribnd sahrbkaredinthangkhammhasmuthraextaelntikkhaipthierwthisudid sungepnsthitithikhngxyunankwasxngthswrrs ineduxnthnwakhm kh s 1911 eruxkprasbehtusaxikechnediywkbehtukarnkxnhnainpi 1909 saysmxkhxngeruxkhadkhnaxyuthiaemnaemxrsiy sngphliheruxidrbkhwamesiyhay aelathaihkaredinthangphiesschwngethskalkhristmasipnkhrniwyxrktxngthukykelik khunardilntxbsnxngtxsthankarnxyangrwderw dwykarsngeruxlusietheniythiephingedinthangklbmacakniwyxrkipthahnathiaethn phayitkarbychakhxngkptn James Charles wnthi 10 emsayn kh s 1912 eruxmxrietheniyerimxxkedinthangkhammhasmuthraextaelntikkhaipcakliewxrphulipniwyxrk aelaethiybthaxyuthiemuxngkhwinsthawn praethsixraelnd inchwngewlathieruxxarexmexs iththanik RMS Titanic xbpang inkhnanneruxmxrietheniyidkhnsngexksarkarkhnsngsinkhakhxngiththanikipdwy odythukcdsngepn nxkcakni bneruxintxnnnyngmiprathankhxngkhunardiln A A Booth sungidcdihmikariwxalyphuesiychiwitcakeruxiththanik invduibimphlipi kh s 1913 karedinthangkhammhasmuthraextaelntikkhaipbneruxmxrietheniysahrbphuodysarchnsammikhaichcaypraman 17 dxllarshrth tamthiaesdngintwtnchbbni txngkarxangxing ifl 1913 ticket on RMS Mauretania jpgtwphuodysarchnsamkhxngeruxmxrietheniy pi 1913 ineduxnkrkdakhm kh s 1913 smedcphraecacxrcaelasmedcphrarachiniaemriidesdc mathrngeyiymchmeruxmxrietheniysungepneruxthierwthisudkhxngxngkvsinewlann karesdceyuxnkhrngniyingesrimsrangchuxesiyngaelakhwamphakhphumiicihaekeruxlani inwnthi 26 mkrakhm kh s 1914 khnathieruxmxrietheniykalngekharbkarsxmpracapiinliewxrphul idekidehtukarnthngaeksraebidrahwangthilukeruxkalngthanganbriewnekhruxngknghnixna sngphlihmiphuesiychiwit 4 khn aelabadecbxik 6 khn khwamesiyhaytxtweruxmiephiyngnxynid thimngansamarthsxmaesmeruxidxyangrwderwodyichewlaephiyng 2 eduxn hlngsxmaesmesrcsin eruxkklbmathahnathiidxikkhrngineduxnminakhmpi 1914sngkhramolkkhrngthihnunghlngcakbrietnihyprakassngkhramkbeyxrmniinwnthi 4 singhakhm kh s 1914 eruxmxrietheniykribedinthangmunghnasuaehliaefks onwasokechiy ephuxkhwamplxdphy aelamathungthaeruxxyangrwderwinwnthi 6 singhakhm hlngcaknnimnan eruxmxrietheniyaelaxkhwietheniykidrbkharxngkhxcakrthbalxngkvsihthahnathiepneruxladtraewntidxawuth aetdwykhnadthiihyotaelakarichechuxephlingxnmhasal cungthaiheruxthngsxnglaimehmaasmkbpharkicni aelaeruxthngsxnglakklbmathahnathiphleruxnxikkhrnginwnthi 11 singhakhm inphayhlng enuxngcakkhadphuodysarthicakhammhasmuthraextaelntik eruxmxrietheniycungthukhyudihbrikaraelaethiybthaxyuthiliewxrphul cnkrathngwnthi 7 phvsphakhm kh s 1915 sungtrngkbchwngewlathieruxlusietheniyxbpangcakeruxdanakhxngeyxrmni txngkarxangxing exchexmthi mxrietheniy phrxmlayphrangtaaebberkhakhnitaebbthisxng eruxmxrietheniykalngcaekhamathahnathiaethneruxlusietheniythixbpangip aetrthbalxngkvsktdsinicepliynaephnxyangkathnhniheruxipthahnathiepneruxkhnsngthhar ephuxlaeliyngthharxngkvsipyngsmrphumiklliophli eruxthukthasiethaekhmphrxmplxngifsida echnediywkberuxlaxun inchwngsngkhram aelarxdphncakkarepnehyuxkhxngeruxxukhxngeyxrmniid enuxngdwykhwamerwsungaelakhwamchanayinkaredineruxkhxnglukerux txngkarxangxing exchexmexchexs mxrietheniy rawpi kh s 1915 emuxkxngkalngphsmkhxngckrwrrdixngkvsaelafrngesserimesiykalngphlxyanghnk eruxmxrietheniykidrbkhasngihipthahnathiepneruxphyabalrwmkberuxxkhwietheniyaelabriaethnnikkhxngiwtstariln ephuxthakarrksaphubadecbcnthungwnthi 25 mkrakhm kh s 1916 emuxthahnathiepneruxphyabal eruxkthukthasikhawsaxad phrxmplxngifsinatalxxn sylksnthangkaraephthykhnadihyrxbtwerux aelamipayifsxngswangbriewnkrabsayaelakhwa hlngcakthahnathiepneruxphyabalnan 7 eduxn eruxmxrietheniykklbsukarepneruxkhnsngthharxikkhrnginplaypi kh s 1916 odyrthbalaekhnadaidrxngkhxiheruxthahnathikhnsngthharaekhnadacakaehliaefksipyngliewxrphul pharahnathithangsngkhramkhxngeruxmxrietheniyyngimcbsin emuxshrthxemrikaprakassngkhramkbeyxrmniinpi kh s 1917 eruxkidrbhnathiihlaeliyngthharxemriknhlayphnkhn txngkarxangxing eruxlaniepnthiruckinkxngthpheruxdwychux exchexmexs thiwebxrors HMS Tuberose cnkrathngcbsngkhram imaenic xyangirktam khunardilnkimekhyepliynmaichchuxnixyangepnthangkar eruxmxrietheniyerimidrbkarthasiepn dazzle camouflage tngaeteduxnminakhm pi 1918 odyeruxidrbkarthalwdlaynithungsxngaebb llayphrangtaaebberkhakhnitniepnphlngankarxxkaebbkhxng Norman Wilkinson inpi 1917 sungmicudprasngkhephuxsrangkhwamsbsnihkberuxstru eruxmxrietheniyidrblwdlayphrangtaaebbaerkineduxnminakhm kh s 1918 lwdlaynimilksnaokhngewa ennothnsiekhiywmakxk tdkbsida etha aelanaengin swnlwdlayphrangtaaebbthisxngidrbineduxnkrkdakhm kh s 1918 epnaebberkhakhnit thikhnthwiperiyktidpakwa aedsesil Dazzle odyichothnsinaenginekhmaelaethahlayechd tdkbsidaepnhlk hlngcbsngkhram eruxkthukthasiethahmn aelaklbmathasiaebbedimkhxngkhunardinchwngklangpi kh s 1919 txngkarxangxing hlngsngkhrameruxmxrietheniythikuraesa pramanpi kh s 1925khaefraebiyngkhxngerux tngxyubndadfachneruxbd pramanpi kh s 1927 eruxmxrietheniyklbmaihbrikarkhnsngphuodysarxikkhrnginwnthi 21 knyayn kh s 1919 hlngcakesrcsinpharkicinchwngsngkhramolkkhrngthihnung odyesnthanghlkkhxngeruxkhuxcakesaaethmptnsunkhrniwyxrk eruxmxrietheniyaelndwykhwamerwetmthiemuxpi kh s 1922 enuxngdwytarangkaredineruxthiaennthaiheruximsamarthekharbkarsxmaesmihytamaephninpi kh s 1920 xyangirktam inpi kh s 1921 kidekidehtuifihmkhunbnchn E thangkhunardilncungtdsinicnaeruxxxkcakbrikarephuxthakarsxmaesm eruxedinthangklbipyngxutxeruxithn sungepnsthanthithieruxthuksrangkhun thinnhmxnakhxngeruxidthukprbepliynepnrabbephaihmnamnaethn aelaklbmaihbrikarxikkhrngineduxnminakhm kh s 1922 khunardilnphbwaeruxprasbpyhainkarrksakhwamerwtampktibnesnthangkhammhasmuthraextaelntik phaphthaykhxngeruxmxrietheniyinpi kh s 1928 thayodyichkrabwnkar aemwakhwamerwinkarihbrikarkhxngeruxcadikhunaelaichnamnephiyng 680 tntxwn emuxethiybkbkarichthanhin 1 000 tnkxnhnani aetkyngimsamarththakhwamerwpktiidethakbchwngkxnsngkhram inkarkhammhasmuthrkhrnghnunginpi kh s 1922 eruxthakhwamerwechliyidephiyng 19 nxt 35 km chm 22 iml chm txngkarxangxing inchwngewlaniexng thangedinelnbneruxkthukpidchwkhraw aelaplxngifkhxngeruxkidrbkarepliynihepnthrngri thaihdukhlaykberuxlusietheniyepnxyangmak khunardilntdsinicwaekhruxngyntknghnlasmykhxngeruxsungekhyepnnwtkrrmihminsmynncaepntxngidrbkarsxmaesmxyangerngdwn inpi kh s 1923 eruxmxrietheniyekharbkarsxmaesmkhrngihythiemuxngesaaethmptn ekhruxngyntknghnkhxngeruxthukthxdxxkephuxthakarprbprung aetkarsxmaesmtxnghyudchangkenuxngcakkarprathwnghyudngankhxngkhnnganxutxerux khunardilncungtdsiniclakeruxipyngemuxngaechrbur praethsfrngess ephuxsxmaesmeruxihesrcthixutxeruxaehngxun ineduxnphvsphakhm kh s 1924 eruxkklbmaihbrikarkhammhasmuthraextaelntikxikkhrng eruxmxrietheniythithaeruxesaaethmptninpi kh s 1933 pitx maidphisucnihkbkhunardilnwakarepliynaeplngthiekidkhunkberuxmxrietheniynnidphl aelaeruxkklayepneruxthiidrbkhwamniymaelaprasbkhwamsaercxyangmak inpi kh s 1928 eruxidrbkarprbprungihmdwykarxxkaebbtkaetngphayinihm aelainpitxma sthitikhwamerwkhxngeruxkthukthalayodyerux SS Bremen khxngeyxrmni dwykhwamerw 28 nxt 52 km chm 32 iml chm inwnthi 27 singhakhm kh s 1928 khunardilnxnuyatihxdit maerwaehngmhasmuthr xyangmxrietheniyxxkthalaysthitixikkhrngcakeruxrunihmkhxngeyxrmni aetaemcaichkhwamphyayamxyangetmthi eruxmxrietheniykyngimsamarththalaysthitikhxngebremnid eruxthukhyudihbrikaraelaekhruxngyntkhxngeruxkidrbkarprbaetngihmikalngmakkhunephuxihmikhwamerwsungkhun xyangirktam nikyngimephiyngphx eruxebremnidklayepntwaethnkhxngeruxedinmhasmuthrrunihmthithrngphlngaelalahnakwaeruxkhxngkhunardthierimekalng aemcaimsamarththalaysthitieruxkhuaekhng aetkthinghangephiyngelknxyethann hlngcakphankarprbprungaelaphthnaxyangtxenuxngmahlaysibpi eruxmxrietheniykidthalaysthitikhwamerwkhxngtnexngthngkhaipaelaklb inpi kh s 1929 eruxidchnkbkhnsngrthifikl Robbins Reef Light immibadecbhruxphuesiychiwit aelakhwamesiyhaykhxngeruxkidrbkarsxmaesmxyangrwderw txngkarxangxing inpi kh s 1930 dwyphlkrathbcakphawaesrsthkictktakhrngihy aelakaraekhngkhnthirunaerngcakeruxrunihmbnesnthangkhammhasmuthraextaelntik eruxmxrietheniycungthukepliynbthbathmaepneruxsaray odyihbrikarlxngerux 6 wncakniwyxrkipyngthaethiyberuxhmayelkh 21 inaehliaefks rthonwasokechiy inwnthi 19 phvscikayn kh s 1930 eruxmxrietheniyidthawirkrrmsakhydwykarchwyehluxphuprasbphycakeruxbrrthuksinkhaswiednthiprasbehtuxbpanginmhasmuthraextaelntik hangcak niwfndaelndipthangthistawnxxkechiyngit 400 imlthael 740 kiolemtr 460 iml odysamarthchwychiwitlukerux 28 khnaelabrrthuksinkhaexaiwidxyangplxdphy inpi kh s 1932 eruxmxrietheniythukthasikhawephuxihekhakbbthbathihminthanaeruxsaray hlngcaknninpi kh s 1934 khunardilnidkhwbrwmkickarkbiwtstariln sngphliheruxmxrietheniy rwmthungeruxoxlimpik aelaeruxedinsmuthrekalaxun thukmxngwaekinkhwamcaepnaelakhxy thukpldpracakar txngkarxangxing pldrawangsxngxditkhuaekhng eruxoxlimpik say aelaeruxmxrietheniy khwa cxdethiybthaekhiyngkn n thaeruxewsethirndxksihm emuxngesaaethmptninpi kh s 1935 kxnthieruxmxrietheniycaxxkedinthangkhrngsudthayipyngxuruxthxneruxin praethsskxtaelnd saykaredineruxkhunard iwtstaridpldpracakareruxmxrietheniyineduxnknyayn kh s 1934 hlngcakkaredinthangkhammhasmuthraextaelntikethiywsudthaycakniwyxrkmaesaaethmptn odyichkhwamerwechliy 24 nxt 44 km chm 28 iml chm sungtrngkbenguxnikhedimkhxngsyyaxudhnunkhakhnsngiprsniy hlngcaknn eruxmxrietheniykidthuknaipcxdekbiwthiesaaethmptn pidchakkaredineruxmananthung 28 pi ineduxnphvsphakhm kh s 1935 bristhaehmptnaexndsns Hampton and Sons idcdkarpramulefxrniecxraelakhxngtkaetngphayineruxmxrietheniy aelainwnthi 1 krkdakhmpiediywkn eruxkedinthangxxkcakesaaethmptnepnkhrngsudthay munghnasubristhemthlxindstris Metal Industries sungepninemuxng praethsskxtaelnd esxrxarethxr rxstrxn Arthur Rostron phuekhyepnkptneruxxarexmexs kharephethiy RMS Carpathia inkarchwyphurxdchiwitcakeruxiththanik aelaekhyepnhnunginkptnkhxngeruxmxrietheniy idedinthangmaephuxdueruxxxkedinthangepnkhrngsudthay odyrxstrxnptiesththicakhuneruxmxrietheniy ekhaelawaekhaxyakcdcaphaphlksnkhxngeruxiwinyukhthiekhaekhyepnkptn makkwathicaehnsphaphkxnruxthxn txngkarxangxing eruxmxrietheniyxxkedinthangcakesaaethmptnepnkhrngsudthay munghnasuxuruxthxnerux esakraodngeruxthuktdxxkephuxihlxdphanitsaphanfxrthid inrahwangthang eruxmxrietheniyidaewaphk n sthanthithisrangeruxthirimaemnaithnepnewlakhrungchwomng srangkhwamtuntatunicihfungchnthimamungdu bnsaphanedineruxmikarcudphlusngsyyan khxkhwamtang thuksngtx aehlngkhxmulthitiphimphexng naykethsmntriemuxngniwkhasesilidkhuneruxmaeyiymchmeruxmxrietheniyaelaklawxalaeruxlaniinnamchawemuxng txcaknnkptneruxkhnsudthay A T Brown knaeruxxxkedinthangtx praman 30 imlipthangehnuxkhxngniwkhasesil khux thaeruxelk chux Amble tngxyuinphumiphakhnxrthmebxraelnd sphathxngthinkhxngemuxngidsngothrelkhipyngeruxwa thungaemewlacalwngely aetmxrietheniykyngkhngepneruxthingdngamthisudinthxngthael eruxmxrietheniytxbklbdwykhwamsabsungwa thungthaeruxsudthayaelaaesndiinxngkvs swsdiaelakhxbkhun cnthungthukwnni xmebilyngepnthiruckinchux xmebil thaeruxmitrphaph paychuxnipraktednchdihphumaeyuxnidehnthnthiemuxekhasuemuxng enuxngcakkhwamsungekinkwacaphanitsaphanfxrth eruxcungthuktdesakraodng caknnkeruxmunghnasucudsinsudkhxngkaredinthang n bristhphuruxthxnsakerux txngkarxangxing eruxmxrietheniykhnakalngaeykchinswn wnthi 4 krkdakhm kh s 1935 eruxmxrietheniyedinthangmathungemuxngrxsiff praethsskxtaelnd inewlapraman 6 omngecha thamklangphayulmaerng eruxaelnphanitsaphanfxrthinewla 6 30 n aelaekhaethiybthathixuruxthxnerux thithaeruxmichaychawskxtswmchudkhiltephiyngkhnediyw epakhluyelnephlngesraiwxalyeruxmxrietheniy nkekhiynaelankprawtisastr John Maxtone Graham idrbraynganwa inkhnathiekhruxngyntkhnadihykhxngeruxmxrietheniyhyudthanganepnkhrngsudthay eruxidsnsaethuxnxyangrunaerng rawkbepnxakarohyhahruxralukthungkaredinthangxnyawnan kxnekhasukarruxthxn eruxmxrietheniyidepidihprachachnekhachmepnkhrngsudthayinwnthi 8 krkdakhm odymiphuekhachmthung 20 000 khn aelarayidthnghmdmxbihkbxngkhkrkarkuslthxngthin karruxthxneruxerimkhunxyangrwderwhlngcakkarepidihprachachnekhachm eruxthuktdaebngepnchin inkhnathiynglxynaxyuphayinxuaehng sungepnwithikarthiimkhxyphbehnnk odyichrabbimkhaynthisbsxnaelakarthaekhruxnghmaydwydinsxephuxkhwbkhumkhwamsmdul phayinrayaewlaephiyng 1 eduxn plxngifxnoddednkhxngeruxkhayip karruxthxneruxesrcsininpi kh s 1937 aehlngkhxmulthitiphimphexng ephuxpxngknimihkhuaekhngnachuxmxrietheniyipich aelaephuxrksachuxniiwihkberuxlaihmthicasranginxnakht khunardcungcdkariheruxibphaychuxkhwin Queen khxng Red Funnel Paddle Steamer epliynchuxepnmxrietheniyepnkarchwkhraw cnkrathngeruxlaihmepidtwinpi 1938 txngkarelkhhna karruxthxneruxmxrietheniythukkhdkhanodyxditphuodysarcanwnmak aelaxditprathanathibdiaefrngkhlin di oresxewlt Franklin D Roosevelt idthungkbekhiyncdhmayswntwprathwngkarruxthxnhlngpldrawangswnnirxephimetimkhxmul khunsamarthchwyephimkhxmulswnniidraychuxkptnraykarnixingtamkhxmulthimixyuaelaxacimkhrbthwnsmburn wnthixacaetktangknelknxykhunxyukbaehlngthima cxhn phrithchard John Pritchard 16 phvscikayn 6 thnwakhm 1907 bychakarinkaredinthangethiywaerk thioxdxr wileliym aechlemxs Theodore William Chalmers 7 thnwakhm 1907 11 kumphaphnth 1911 bychakareruxepnewlananhlaypi aelachwysrangchuxesiyngihkberuxinthanaeruxthiechuxthuxidaelarwderw ecms chals James Charles 12 kumphaphnth 1911 16 emsayn 1912 bychakareruxinchwngthieruxthalaysthitikhwamerw aelainchwngthieruxiththanikxbpang ehxrebirt xxksts wxetxr Herbert Augustus Water 17 emsayn 13 phvscikayn 1912 ekharbtaaehnngtxcakehtuphyphibtieruxiththanik aelayngkhngihbrikarkhammhasmuthraextaelntikkhxngeruxmxrietheniytxip wileliym ethxrenxr William Turner 14 phvscikayn 1912 12 krkdakhm 1913 idnaeruxmxrietheniyphanpiaehngkarkhammhasmuthraextaelntikthiprasbkhwamsaercxikkhrng aelaidehnkareyuxnkhxngkstriycxrcthi 5 aelasmedcphrarachiniaemri aehorld xarethxr ibrth Harold Arthur Bright 13 krkdakhm 1913 30 emsayn 1914 bychakareruxmxrietheniyrahwangkaresdcpraphasxnthrngekiyrti aeladuaelkarprbprungpracapikhxngeruxthiliewxrphul sungnaesrathiprasbehtuthngaeksraebidthisngphlihmiphuesiychiwit xarethxr ehnri rxstrxn Arthur Henry Rostron 1 phvsphakhm 4 singhakhm 1914 phuodngdngcakwirkrrminkarchwyehluxphurxdchiwitcakeruxiththanik ekhyepnphubychakareruxmxrietheniyinchwngsn kxnsngkhramolkkhrngthihnungpathukhun wileliym imls William Miles 5 singhakhm 1914 1920 bychakareruxphanchwngewlathithathaykhxngsngkhramolkkhrngthihnung sungeruxthahnathiepneruxladtraewnphanichytidxawuth ebncamin ecms wileliyms Benjamin James Williams 1920 1924 bychakareruxinrahwangkarfunfueruxhlngsngkhram aeladuaelkarklbkhunsukarihbrikarphleruxnkhxngerux cxrc chals exdkar ethxrenxr George Charles Edgar Turner 1924 1929 naphaeruxphanvdukalthiprasbkhwamsaerchlayvdukal aeladuaelkarprbprungkhrngsudthaykhxngerux kxnsthitikhwamerwkhammhasmuthraextaelntikkhxngeruxcathukthalay xarethxr oraelnd brawn Arthur Roland Brown 1929 1934 bychakareruxinchwngpisudthaykhxngkarepneruxedinsmuthr kxnthicathukepliynepneruxsarayinwthnthrrmsmyniymeruxmxrietheniyidrbkarklawthunginephlng The fireman s lament hrux Firing the Mauretania ephlngniepnephlngphunbankhxngchawixrichthiklawthungchiwitxnyaklabakkhxngkhnnganetaephabneruxedinsmuthrkhnadihy odyechphaaxyangyingkhwamohdraykhxngkarthanganbneruxmxrietheniy eruxngrawinniyay The Thief khxngikhlf khselxr Clive Cussler ekidkhunbneruxedinsmuthrchuxmxrietheniy odyifihmrunaerngidohmkrahnabriewnhxngekbsinkhadanhnakhxngerux aetsudthayksamarthkhwbkhumsthankarniwid eruxmxrietheniythukklawthunginbthkwi The Secret of the Machines khxngrdyard khipling Rudyard Kipling dwy odypraktxyuinthxnni eruxdwnaehngthxngna rxkhasngcakthanxyu thaeruxonn thancaphbmxrietheniy cnkrathngkptnhmunkhnoykitmux emuxngmhumaekachnkthayansuthael eruxmxrietheniythukklawthunginchwngtnkhxngphaphyntr iththanikh khxngecms aekhemrxn emuxors edwitt buekhetxr rbbthody ekht winselt klawwa iththanik duimihyipkwaeruxmxrietheniyely aelakhuhmnkhxngethx khaeldxn hxkliy rbbthody billi esn xthibayihethxfngwa ors thirk nikhuxiththanik mnyawekin 880 fut epneruxlaihythisudthiekhysrangma nwniyayxingprawtisastr eruxng Maiden Voyage odyorecxr harwiy Roger Harvey nkekhiynchawxngkvs elaeruxngrawkarsrangeruxmxrietheniyxyanglaexiyd phrxmdwytwlakhrphumiswnekiywkhxngkbekhruxngyntknghnxnlasmykhxngeruxduephimxangxingxangxingphidphlad payrabu lt ref gt imthuktxng immikarkahndkhxkhwamsahrbxangxingchux Maritimequest xangxingphidphlad payrabu lt ref gt imthuktxng immikarkahndkhxkhwamsahrbxangxingchux Liner Maxtone Graham 1972 pp 41 43 Maxtone Graham 1972 p 24 Maxtone Graham 1972 p 11 Floating Palaces 1996 A amp E TV documentary Narrated by Fritz Weaver UK inflation figures are based on data from Clark Gregory 2017 The Annual RPI and Average Earnings for Britain 1209 to Present New Series MeasuringWorth subkhnemux 2 December 2021 Layton J Kent 2007 Lusitania An Illustrated Biography Lulu Press pp 3 39 Vale Vivian The American Peril Challenge to Britain on the North Atlantic 1901 04 pp 143 183 collectionsprojects org uk khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2023 07 24 subkhnemux 2023 07 24 Piouffre 2009 p 52harvnb error no target CITEREFPiouffre2009 Maxtone Graham 1972 p 25 Tyne and Wear Archives Service khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2009 01 06 subkhnemux 23 November 2008 Layton 2007 p 44 Williams Trevor 1982 A short history of twentieth century technology Oxford University Press p 174 Maxtone Graham 1972 p 15 Maxtone Graham 1972 pp 38 39 Tyne and Wear Archives Service khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2010 03 23 subkhnemux 25 November 2008 Maxtone Graham 1972 p 31 Maxtone Graham 1972 pp 33 36 Maxtone Graham 1972 p 33 Archibald Rick amp Ballard Robert The Lost Ships of Robert Ballard Thunder Bay Press 2005 p 46 Archibald Rick amp Ballard Robert The Lost Ships of Robert Ballard Thunder Bay Press 2005 pp 51 52 British Wreck Commissioner s Inquiry Day 19 Testimony of Edward Wilding recalled 20227 Titanic Inquiry Project Layton 2010 p 55 sfn error no target CITEREFLayton2010 Hackett amp Bedford 1996 p 171 sfn error no target CITEREFHackettBedford1996 Simpson 1972 p 159 sfn error no target CITEREFSimpson1972 Anonymous The Federal Reporter Volume 174 St Paul Minnesota West Publishing Company 1910 pp 166 175 Department of Commerce and Labor Bureau of Navigation Fortieth Annual List of Merchant Vessels of the United States for the Year Ending June 30 1908 Washington D C Government Printing Office 1908 p 383 Layton 2007 p 120 TIP Titanic Related Ships Mauretania Cunard Line aehlngkhxmulthitiphimphexng Tansley Janet 13 January 2016 Nostalgia Cunard s super ship RMS Mauretania Layton 2007 pp 170 171 Tyne and Wear Archives Service khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2008 11 20 subkhnemux 23 November 2008 Luxury liner played vital war role BBC News 13 November 2014 Ocean liners of the past the Cunard express liners Lusitania and Mauretania Published by Patrick Stephens 1970 p 207 Tyne and Wear Archives Service khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2008 11 20 subkhnemux 23 November 2008 Maxtone Graham 1972 pp 342 345 collectionsprojects org uk khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2023 02 06 subkhnemux 2023 12 16 Maxtone Graham 1972 p 255 Maxtone Graham 1972 p 340 Website Update Nova Scotia Archives novascotia ca 20 April 2020 Swedish steamer abandoned The Times No 45675 London 20 November 1930 col E p 16 Rescued Swedish crew The Times No 45676 London 21 November 1930 col F p 13 Welcome to North Atlantic Run www northatlanticrun com aehlngkhxmulthitiphimphexng Why we are known as The Friendliest Port The Ambler 11 December 2012 Longo Eric K 8 July 2010 Mauretania 75th Anniversary Liners of the Edwardian Era subkhnemux 18 September 2018 aehlngkhxmulthitiphimphexng Adams R B 1986 Red Funnel and Before Kingfisher Publications txngkarelkhhna Hugill Stan in Spin The Folksong Magazine Volume 1 9 1962 Maiden Voyage by Roger Harvey New Generation 2017 ISBN 978 1 78719 357 4