ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (อังกฤษ: Queen Victoria; ชื่อเดิม: อเล็กซานดรีนา วิกตอเรีย; 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1819 – 22 มกราคม ค.ศ. 1901) ทรงครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งสหราชอาณาจักร เเละประมุขสูงสุดเเห่งคริสตจักรแห่งอังกฤษ ตั้งเเต่วันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 1837 จนสวรรคตในวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1901 ทรงมีสายพระโลหิตสืบทอดมาเป็นเชื้อพระวงศ์ทั่วยุโรป (ยกเว้นประเทศเนเธอร์แลนด์) เช่น จักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 2 แห่งเยอรมนี หรือ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร เป็นต้น จนได้รับพระราชสมัญญานามว่า "สมเด็จย่าแห่งยุโรป" (Grandmother of Europe) นอกจากนี้พระนางยังเป็น จักรพรรดินีนาถเเห่งอนุทวีปอินเดีย เเละประมุขสูงสุดแห่งจักรวรรดิบริติชเเละอาณานิคมในเครือ
วัยเยาว์
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียเสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1819 เป็นพระธิดาในเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ดยุกแห่งเคนต์และสแตรธเอิร์น พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักรกับสมเด็จพระราชินีชาร์ล็อทเทอแห่งสหราชอาณาจักร พระราชชนนีคือเจ้าหญิงวิกตอเรียแห่งซัคเซิน-โคบวร์ค-ซาลเฟลด์ พระราชปิตุลา 2 พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 4 แห่งสหราชอาณาจักร และ สมเด็จพระเจ้าวิลเลียมที่ 4 แห่งสหราชอาณาจักร
พระนามของพระองค์ ซึ่งแม้ว่าลงเอยในตอนท้ายเป็น อเล็กซานดรินา วิกตอเรีย ได้เป็นที่ถกเถียงกันระหว่างพระราชชนนีและบรรดาพระราชวงศ์ พระเจ้าวิลเลียมที่ 4 พระปิตุลาเสนอพระนามว่า เอลิซาเบธ ในขณะที่ทรงคัดค้านการขนานพระนามเจ้าหญิงตามพระราชมารดา โดยตรัสว่า วิกตอเรีย "ไม่เคยเป็นชื่อทางศาสนาคริสต์ที่รู้จักมาก่อนในประเทศนี้" แต่ดัชเชสแห่งเคนต์ทรงปฏิเสธ แม้พระนามชาร์ล็อตก็ไม่ได้รับการพิจารณา เพราะเป็นการไม่ให้เกียรติแก่เจ้าหญิงชาร์ลอตต์แห่งเวลส์ ซึ่งสิ้นพระชนม์ขณะมีพระประสูติกาลก่อนหน้านี้
พระชนกของเจ้าหญิงวิกตอเรียสิ้นพระชนม์ด้วยโรคมะเร็ง หลังจากการประสูติได้เพียงแปดเดือน และสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 พระอัยกาได้เสด็จสวรรคตในอีกหกวันต่อมา เจ้าชายผู้สำเร็จราชการ จึงเสวยราชสมบัติสืบต่อมาเป็นสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 4 แต่พระองค์เสด็จสวรรคตโดยปราศจากรัชทายาทเมื่อเจ้าหญิงมีพระชนมายุ 11 พรรษา ตอนนี้ราชบัลลังก์จึงตกเป็นของเจ้าชายวิลเลียม ดยุกแห่งแคลเรนซ์และเซนต์แอนดรูว์ ซึ่งเถลิงพระปรมาภิไธยเป็น สมเด็จพระเจ้าวิลเลียมที่ 4
รัชทายาท
เจ้าชายแห่งเวลส์ ซึ่งต่อมาคือ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 4 พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 มีพระราชธิดาอยู่เพียงพระองค์เดียวคือ เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ ออกัสตาแห่งเวลส์ เมื่อเจ้าหญิงสิ้นพระชนม์ในปีค.ศ. 1817 พระโอรสที่ยังไม่ได้ทรงอภิเษกสมรสของพระเจ้าจอร์จที่ 3 ต่างทรงรีบเร่งที่จะอภิเษกสมรสและมีพระโอรสธิดาเพื่อรักษาลำดับการสืบราชบัลลังก์
แม้ว่าพระเจ้าวิลเลียมที่ 4 เป็นพระชนกของพระโอรสธิดานอกกฎหมายจำนวนสิบคนที่เกิดจากโดโรธี จอร์แดน ซึ่งเป็นนางสนม โดยมีอาชีพเป็นนางละคร พระองค์ไม่มีพระโอรสธิดาที่ถูกต้องตามกฎหมายเลย เจ้าหญิงวิกตอเรียจึงทรงเป็นรัชทายาทในราชบัลลังก์ที่เปลี่ยนแปลงได้ (heiress presumptive)
กฎหมายในขณะนั้นไม่ได้ให้สิทธิ์แก่พระมหากษัตริย์เด็ก ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการหากเจ้าหญิงวิกตอเรียเสวยราชสมบัติก่อนการมีพระชนมายุครบ 18 พรรษา รัฐสภาจึงผ่านพระราชบัญญัติผู้สำเร็จราชการ ค.ศ. 1830 (Regency Act 1830) กำหนดให้เจ้าหญิงวิกตอเรีย ดัชเชสแห่งเคนต์ พระชนนีทรงปฏิบัติพระราชภารกิจแทนในฐานะผู้สำเร็จราชการขณะที่พระราชินีนาถยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ อีกทั้งรัฐสภายังมิได้แต่งตั้งคณะองคมนตรีเพื่อจำกัดอำนาจของผู้สำเร็จราชการ พระเจ้าวิลเลียมที่ 4 มิโปรดดัชเชสแห่งเคนต์เลย และครั้งหนึ่งเคยตรัสว่าพระองค์มีพระประสงค์จะดำรงพระชนม์ชีพอยู่จนกระทั่งถึงวันประสูติครบรอบ 18 พรรษาของเจ้าหญิงวิกตอเรีย การปกครองโดยผู้สำเร็จราชการจึงไม่จำเป็นต้องมีอีกต่อไป
เจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา
เจ้าหญิงวิกตอเรียทรงพบกับเจ้าชายอัลแบร์ทแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา พระราชสวามีในอนาคตเมื่อพระชนมายุ 16 พรรษาในปีค.ศ. 2379 แต่เป็นการพบกันครั้งที่สองในปีค.ศ. 1839 ที่พระองค์ตรัสถึงเจ้าชายว่า "...อัลเบิร์ตที่รัก...เขาช่างมีเหตุผล เมตตา ใจดี และอัธยาศัยดีมากเช่นกัน นอกจากนั้นแล้วยังมีลักษณะภายนอกและหน้าตาที่น่าพึงพอใจและน่ายินดีเป็นที่สุดเท่าที่เธอจะเห็นได้เลยล่ะ" เจ้าชายอัลเบิร์ตเป็นพระญาติชั้นที่หนึ่งในเจ้าหญิงวิกตอเรีย โดยแอนสท์ที่ 1 ดยุกแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา พระบิดาเจ้าชายเป็นพระเชษฐาของพระชนนีของเจ้าหญิง ในฐานะพระประมุข พระองค์ต้องทรงขอ เจ้าชายอัลเบิร์ตอภิเษกสมรสด้วย การอภิเษกสมรสของทั้งสองถือว่ามีความสุขอย่างยิ่ง
ต้นรัชกาล
ในวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1837 เจ้าหญิงวิกตอเรียมีพระชนมายุ 18 พรรษา ซึ่งหมายความว่าจะไม่จำเป็นต้องมีผู้สำเร็จราชการอีกแล้ว รุ่งเช้าวันหนึ่งในอีกสี่สัปดาห์ต่อมาพระชนนีของเจ้าหญิงได้ทรงปลุกให้ตื่นจากบรรทมเพื่อรับทราบว่าเมื่อตอน 2 นาฬิกา 12 นาทีของวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 1837 พระเจ้าวิลเลียมที่ 4 เสด็จสวรรคตด้วยอาการพระหทัยล้มเหลวขณะมีพระชนมพรรษา 71 พรรษา จึงทำให้เจ้าหญิงทรงเป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งสหราชอาณาจักร อย่างไรก็ดี พระองค์ไม่ได้เสวยราชสมบัติของราชอาณาจักรฮันโนเฟอร์ ซึ่งเป็นอาณาจักรที่มีเคยพระประมุของค์เดียวกันกับประเทศอังกฤษมาตั้งแต่ค.ศ. 1714
ฮันโนเฟอร์ได้มีรัฐธรรมนูญของตนในปีค.ศ. 1833 ซึ่งกล่าวถึงกฎหมายมรดกของตระกูลเวลฟ์ไว้ว่าถ้าไม่มีรัชทายาทในพระมหากษัตริย์ที่เป็นชาย สายเวลฟ์ของนครเบราน์ชไวก์-โวลเฟนบึทเทินจะได้สืบราชสมบัติราชอาณาจักรฮันโนเฟอร์ (ซึ่งเป็นราชอาณาจักรตั้งแต่ปีค.ศ. 1806) ยกเว้นว่าสายนั้นไม่มีทายาทอีกต่อไป ผู้หญิงจึงสามารถสืบราชบัลลังก์ได้ กษัตริย์ลีโอโพลด์ที่ 1 ในอนาคตทรงเป็นที่ปรึกษาหลักแก่พระราชนัดดาของพระองค์ ซึ่งก็คือ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย พระธิดาในเจ้าหญิงวิกตอเรียแห่งซัคเซิน-โคบวร์ค-ซาลเฟลด์ พระเชษฐภคินี พระญาติชั้นที่หนึ่งของสมเด็จพระราชินีในสายของกษัตริย์เลโอโพลด์คือ พระเจ้าเลออปอลที่ 2 แห่งเบลเยียม และ เจ้าหญิงชาร์ลอตแห่งเบลเยียม
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียก็ยังทรงมียศเป็นเจ้าหญิงแห่งฮันโนเฟอร์และดัชเชสแห่งเบราน์ชไวก์-ลือเนบูร์กตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ แต่ราชบัลลังก์ของฮันโนเฟอร์ได้ตกไปเป็นของเจ้าชายแอนสท์ ออกัสตัส ดยุกแห่งคัมบาลันด์และสแตรธเอิร์น พระปิตุลาซึ่งทรงกลายเป็นพระเจ้าแอ็นสท์ เอากุสท์ที่ 1 แห่งฮันโนเฟอร์ เนื่องมาจากว่าสมเด็จพระราชินีวัยดรุณียังมิได้ทรงอภิเษกสมรสและยังมิมีพระราชโอรสและธิดา พระเจ้าแอนสท์ เอากุสท์ จึงยังทรงเป็นรัชทายาทในราชบัลลังก์อังกฤษจนกระทั่งพระราชธิดาพระองค์แรกในสมเด็จพระราชินีประสูติในปีค.ศ. 1840
ในช่วงที่เจ้าหญิงวิกตอเรียเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ รัฐบาลส่วนมากจะมาพรรควิก ที่อยู่ในอำนาจมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1830 ยกเว้นการเว้นช่วงสั้นไปหลายครั้ง ลอร์ดเมลเบิร์น ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีสังกัดพรรควิกครั้งหนึ่งเคยมีอิทธิพลอันแรงกล้าต่อชีวิตอันอ่อนประสบการณ์ทางการเมืองของสมเด็จพระราชินีนาถ ซึ่งต้องทรงพึ่งพาคำแนะนำในเรื่องต่าง ๆ ของเขา (บางคนก็ถึงกับกล่าวว่าพระองค์ทรงเป็น "นางเมลเบิร์น") คณะรัฐมนตรีของเมลเบิร์นไม่ได้อยู่ในอำนาจเป็นเวลานานนัก เนื่องจากเริ่มไม่เป็นที่ชื่นชอบมากขึ้นและยิ่งไปกว่านั้นยังต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างมากในการปกครองอาณานิคมต่าง ๆ ของอังกฤษ ในประเทศแคนาดา อังกฤษต้องเผชิญกับการปฏิวัติ (ดูเรื่อง การลุกฮือในปีค.ศ. 1837 ที่มีการก่อการกบฏหลายครั้งกินเวลาถึงปีค.ศ. 1839) และในประเทศจาเมกา สภานิติบัญญัติแห่งอาณานิคมได้ต่อต้านนโยบายของอังกฤษโดยการปฏิเสธการผ่านกฎหมายใด ๆ ออกมา ต่อมาในปีค.ศ. 1839 รัฐบาลของเมลเบิร์นได้ลาออกไปเนื่องจากว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในดินแดนโพ้นทะเลได้
สมเด็จพระราชินีนาถทรงมอบหมายให้เซอร์รอเบิร์ต พีล ซึ่งเป็นนักการเมืองสังกัดพรรคทอรีตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้นมา แต่ว่าต้องเผชิญกับความล้มเหลวซึ่งรู้กันในเรื่องของ ในเวลานั้นถือเป็นธรรมเนียมสำหรับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในสำนักพระราชวังต้องอยู่บนพื้นฐานของระบบอุปถัมภ์ (ซึ่งก็คือ นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งสมาชิกของสำนักพระราชวังบนพื้นฐานของความซื่อสัตย์ภายในพรรคตนเอง) นางกำนัลประจำห้องพระบรรทมของพระราชินีจำนวนมากเป็นภรรยาของนักการเมืองพรรควิก แต่เซอร์ โรเบิร์ต พีลกลับต้องการให้จะเปลี่ยนเป็นเหล่าภรรยาของนักการเมืองพรรคทอรีแทน สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงคัดค้านอย่างมากกับการปลดนางกำนัลเหล่านี้ ซึ่งทรงเห็นเป็นเหมือนพระสหายสนิทมากกว่าเป็นเหล่าข้าราชบริพารที่ทำตามระเบียบพิธีการ เซอร์ โรเบิร์ต พีล รู้สึกว่าเขาไม่สามารถจะบริหารงานใต้ข้อจำกัดจากสมเด็จพระราชินีได้ ดังนั้นจึงได้ถวายบังคมทูลลาออกจากตำแหน่ง ทำให้เมลเบิร์นกลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง
อภิเษกสมรส
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเจ้าชายอัลเบิร์ต ซึ่งเป็นพระญาติชั้นที่หนึ่งในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1840 ณ โบสถ์หลวงในพระราชวังเซนต์เจมส์ เจ้าชายอัลเบิร์ตทรงเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปในฐานะ เจ้าชายพระราชสวามี (Prince Consort) แม้ว่าจะไม่ได้ทรงรับการสถาปนาเป็นทางการจนกระทั่งปีค.ศ. 1857 เจ้าชายมิเคยทรงได้รับบรรดาศักดิขุนนางเลย พระองค์มิทรงเป็นเพียงแค่ผู้ดูแลสมเด็จพระราชินีนาถอย่างใกล้ชิด แต่ยังเป็นที่ปรึกษาทางด้านการเมืองคนสำคัญแทนลอร์ดเมลเบิร์นในฐานะบุคคลสำคัญที่เป็นผู้นำในชีวิตของพระองค์อีกด้วย
ในการทรงพระครรภ์แรกของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ซึ่งมีอายุ 18 ปีได้พยายามลอบปลงพระชนม์พระราชินีขณะทรงประทับรถม้าพระที่นั่งกับเจ้าชายอัลเบิร์ตในกรุงลอนดอน ออกซฟอร์ดได้ยิงปืนออกไปสองครั้ง แต่กระสุนพลาดเป้าไปทั้งสองนัด เขาถูกพิจารณาว่าเป็นกบฏต่อชาติ แต่เขาได้รับการตัดสินให้พ้นความผิดเนื่องจากความวิกลจริต คำแก้ต่างของเขาเป็นที่สงสัยต่อหลายคน กล่าวคือ เขาอาจพยายามเรียกร้องความสนใจ แต่มีหลายคนกล่าวว่าการวางแผนประทุษร้ายจากพวกปฏิรูปการเมืองอยู่เบื้องหลังการลอบปลงพระชนม์ครั้งนี้ บางกลุ่มให้ข้อมูลว่าเป็นแผนการของกลุ่มสนับสนุนของกษัตริย์ เออร์เนส ออกัสตัสแห่งฮันโนเฟอร์ ซึ่งทรงเป็นรัชทายาทอยู่ในขณะนั้น ทฤษฎีในการวางแผนประทุษร้ายเหล่านี้ทำให้เกิดกระแสความรักชาติและความจงรักภักดีขึ้นภายในประเทศขึ้นมา
การลอบยิงไม่ได้มีผลกระทบต่อพระพลานามัยของสมเด็จพระราชินีหรือพระครรภ์แม้แต่น้อย พระธิดาพระองค์แรกในเก้าพระองค์ของทั้งสองพระองค์ ซึ่งมีพระนามว่า วิกตอเรีย ประสูติเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1837
เมื่อพรรควิกภายใต้การนำของเมลเบิร์นแพ้การเลือกตั้งในปีค.ศ. 1838 และพรรคทอรีภายใต้การนำของพีลได้เข้ามารับหน้าที่แทน ก็ไม่มีเหตุการณ์กรณีห้องพระบรรทมเกิดขึ้นมาอีกครั้ง สมเด็จพระราชินีนาถยังคงมีพระราชหัตถเลขาโต้ตอบอย่างลับ ๆ กับลอร์ดเมลเบิร์น ซึ่งอิทธิพลของเขาค่อย ๆ จางหายลงไปในขณะที่ของเจ้าชายอัลเบิร์ตเพิ่มมากขึ้น
ในวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1842 สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียเสด็จพระราชดำเนินโดยรถไฟเป็นครั้งแรก โดยเสด็จออกจากสถานีรถไฟสโลฟ (ใกล้กับปราสาทวินด์เซอร์) ไปยังสะพานบิช็อป ที่อยู่ใกล้กับ (ในกรุงลอนดอน) ด้วยตู้ขบวนพระที่นั่งพิเศษที่จัดถวายโดยบริษัท Great Western Railway ในครั้งนี้มีผู้โดยเสด็จพร้อมกับพระองค์คือ เจ้าชายอัลเบิร์ต พระราชสวามี และ วิศวกรของบริษัท
การลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียสามครั้งเกิดขึ้นในปีค.ศ. 1842 ในวันที่ 29 พฤษภาคม ที่ จอห์น ฟรานซิส (ซึ่งมีแนวโน้มว่าต้องการเรียกร้องความสนใจมากกว่า) ได้ยิงปืนไปที่พระราชินี (ซึ่งประทับในรถม้าพระที่นั่ง) แต่ถูกรวบตัวได้ทันควันโดยนายตำรวจชั้นสูงคนหนึ่งชื่อ วิลเลียม เทรานซ์ ส่วนฟรานซิสได้ถูกตัดสินมีโทษฐานเป็นกบฏต่อชาติ แต่โทษตายของเขาได้ถูกลดหย่อนเหลือแค่การเนรเทศออกนอกประเทศตลอดชีวิต เจ้าชายอัลเบิร์ตทรงเห็นว่าความพยายามในการลอบปลงพระชนม์ได้รับแรงจูงใจจากการปล่อยตัวออกซฟอร์ดในปีค.ศ. 1840 ในวันที่ 3 กรกฎาคม เพียงไม่กี่วันหลังจากฟรานซิสได้รับการหย่อนโทษ ก็มีเด็กวัยรุ่นชายอีกคนหนึ่งคือ จอห์น วิลเลียม บีนได้พยายามที่จะยิงสมเด็จพระราชินีนาถ แม้ว่าที่ปืนของเขาจะบรรจุด้วยกระดาษและยาสูบ การก่ออาชญากรรมของเขาก็ทำให้มีโทษถึงแก่ชีวิตได้ เจ้าชายอัลเบิร์ตซึ่งทรงเห็นว่าการลงโทษเช่นนี้ทารุณเกินไป จึงทรงสนับสนุนให้รัฐสภาออกพระราชบัญญัติการทรยศต่อชาติปีค.ศ. 1842 (Treason Act of 1842) ซึ่งระบุว่าการเล็งปืนพกยังพระราชินี ลอบทำร้ายพระองค์ ขวางปาสิ่งของยังพระองค์ ผลิตปืนพกหรืออาวุธอันตรายใด ๆ ต่อการปรากฏพระองค์ด้วยเจตนาให้พระองค์ตกพระทัย สามารถลงโทษได้ด้วยการจำคุกเป็นเวลาเจ็ดปีและการเฆี่ยนตี ดังนั้นบีน จึงได้รับโทษจำคุกเป็นเวลาสิบแปดเดือน อย่างไรก็ดี ทั้งตัวเขาและบุคคลอื่นที่ได้ละเมิดพระราชบัญญัติในอนาคตต่างก็ไม่ได้ถูกเฆี่ยนเลย
พระราชสกุล
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงอยู่ในราชวงศ์ฮันโนเฟอร์ แม้บางคนจะให้ราชสกุล d'Este หรือ Welf กับพระองค์ แต่ก็มิทรงจำเป็นต้องใช้ราชสกุลเหล่านี้ (เชื้อสายพระองค์อื่นในราชวงศ์ฮันโนเฟอร์ได้ใช้ราชสกุลฮันโนเฟอร์ในประเทศอังกฤษ) ส่วนพระราชสวามีของพระองค์ทรงอยู่ในราชวงศ์ซัคเซิน-โคบวร์คและโกทาและหลังจากการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ราชวงศ์นี้ได้ครองราชสมบัติอังกฤษด้วยตัวบุคคลคือ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 พระราชโอรสและรัชทายาทในราชบัลลังก์ ตามธรรมเนียมปฏิบัติของพวกผู้ดีและเชื้อพระวงศ์ ภรรยาจะไม่ได้รับการเป็นสมาชิกในบ้านของสามี แต่ยังคงเป็นของบ้านตนเองอยู่ ดังนั้นสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียจึงมิได้ทรงอยู่ในราชวงศ์ซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา ในฐานะทรงเป็นสตรีสมรสแล้ว นักวงศ์วานวิทยาได้กำหนดราชสกุลของพระองค์เป็น ฟอน เว็ตติน (von Wettin) ซึ่งอิงหลักฐานจาก (College of Arms) ดังนั้นบางครั้งพระองค์ทรงเป็นรู้จักว่า อเล็กซานดรินา วิกตอเรีย ฟอน เว็ตติน ราชสกุลเดิม ฮันโนเฟอร์
ขณะที่เจ้าชายทรงอยู่ในราชวงศ์ซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา ราชวงศ์เยอรมันได้สืบเชื้อสายมาจากนสาขาของเจ้าชายเออร์เนสแห่งราชวงศ์เว็ตติน สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงขอให้เจ้าพนักงานกำหนดหาสาขาของเจ้าชายอัลเบิร์ตและราชสกุลในการอภิเษกของพระองค์เองว่าเป็นอันใด หลังจากการตวจสอบบันทึกต่าง ๆ จากจดหมายเหตุในราชวงศ์ซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา พวกเขารายงานว่าราชสกุลส่วนพระองค์ของพระราชสวามี ในฐานะที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสมาชิกพระองค์อื่นทั้งในสาขาของเจ้าชายเออร์เนสและเจ้าชายอัลเบิร์ต นั่นคือ เว็ตติน (หรือ ฟอน เว็ตติน) เอกสารต่าง ๆ ของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียยังบันทึกถึงการไม่โปรดชื่อของราชสกุลนี้ไว้อีกด้วย
สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 พระราชนัดดาของพระองค์ทรงศึกษาถึงประเด็นดังกล่าวอย่างถี่ถ้วนอีกครั้งเมื่อทรงเปลี่ยนชื่อราชสกุลและราชวงศ์เป็นวินด์เซอร์ในปีค.ศ. 1917 สำนักงานตราประจำราชตระกูลได้แจ้งพระองค์ทรงทราบว่าราชสกุลเดิมก่อนการเปลี่ยนแปลงคือ เว็ตติน ในปี ค.ศ. 1958 พระราชโองการตามคำแนะนำของคณะองคมนตรีได้ปรับเปลี่ยนการตัดสินใจในปีค.ศ. 1917 โดยการให้เชื้อสายในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 บางพระองค์ใช้ชื่อราชสกุลเป็น การให้ใช้ชื่อราชสกุลนี้ไม่ได้นำมาใช้กับเจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์และพระโอรสทั้งสองพระองค์ แต่แค่ใช้กับเชื้อสายพระองค์อื่นของสมเด็จพระราชินีนาถกับเจ้าชายฟิลิปที่ไม่ได้ขึ้นครองราชสมบัติเพียงเท่านั้น ตามตัวบทกฎหมายแล้ว องค์พระประมุขที่ครองราชย์"ทุกพระองค์"ตั้งแต่ปีค.ศ. 1917 เป็นต้นไปมีพระราชสกุล "วินด์เซอร์" แม้ว่าจะเสด็จพระราชสมภพในพระราชวงศ์หรือไม่ก็ตาม
การเมืองในยุควิกตอเรียตอนต้น
คณะรัฐมนตรีของพีลต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์อย่างหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับการเลิกล้ม (ภาษีสินค้านำเข้าพวกธัญพืช) พวกพรรคทอรีหลาย ๆ คน (ตอนนั้นก็เป็นที่รู้จักว่า ) คัดค้านการล้มเลิกกฎหมายดังกล่าว แต่ว่าพวกพรรคทอรี (หรือ "พวกพีลไลท์") และพวกพรรดวิกโดยส่วนมากสนับสนุนกฎหมายนี้ พีลได้ลาออกเมื่อปีค.ศ. 1846 หลังจากการเลิกล้มกฎหมายได้ผ่านความเห็นชอบไปอย่างหวุดหวิด และลอร์ด จอห์น รัสเซลล์ได้เข้ามาทำหน้าที่แทน ถึงแม้ว่าคณะรัฐมนตรีของรัสเซลล์เป็นพวกวิกแต่ก็ไม่เป็นที่โปรดปรานต่อสมเด็จพระราชินีนาถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ก้าวร้าวต่อพระองค์คือ พาลเมอร์สตัน รัฐมนตรีต่างประเทศ ซึ่งทำการใด ๆ โดยไม่ปรึกษาคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีและสมเด็จพระราชินีนาถอยู่บ่อยครั้ง
ในปีค.ศ. 1849 สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงฝากคำติเตียนกับลอร์ดรัสเซลล์ โดยทรงอ้างว่าพาล์มเมอร์สตันได้ส่งแถลงการณ์ทางราชการต่าง ๆ ไปยังประมุขต่างประเทศโดยที่พระองค์ไม่ทรงรับรู้ด้วย พระองค์ทรงเน้นย้ำถึงการคัดค้านอยู่หลายครั้งในปี ค.ศ. 1850 แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เมื่อถึงปีค.ศ. 1851 ลอร์ดพาล์มเมอร์สตันได้ถูกปลดออกจากตำแหน่ง โดยในตอนนั้นเขาได้ประกาศความเห็นชอบของรัฐบาลอังกฤษต่อการก่อรัฐประหารของประธานาธิบดีหลุยส์-นโปเลียน โบนาปาร์ตในประเทศฝรั่งเศสโดยไม่ได้ปรึกษากับนายกรัฐมนตรีมาก่อนล่วงหน้า
ในช่วงเวลาที่รัสเซลล์เป็นนายกรัฐมนตรียังได้เห็นถึงการทำให้สมเด็จพระราชินีนาถทรงทุกข์โดยส่วนตัว ในปีค.ศ. 1849 ก็มีผู้ชายชาวไอริชที่ตกงานและอารมณ์หงุดหงิดที่ชื่อว่า พยายามทำให้สมเด็จพระราชินีนาถทรงตกพระทัยโดยการยิงปืนบรรจุดินปืนขณะที่รถม้าพระที่นั่งดำเนินไปตามถนน Constitution Hill ในกรุงลอนดอน แฮมิลตันมีโทษตามพระราชบัญญัติปี ค.ศ. 1842 โดยยอมรับว่าได้กระทำผิดและรับโทษสูงสุดด้วยการถูกเนรเทศออกนอกประเทศเป็นเวลาเจ็ดปี
ในปีค.ศ. 1850 สมเด็จพระราชินีทรงได้รับการบาดเจ็บเมื่อพระองค์ทรงถูกจู่โจมจากโรเบิร์ต เพท ที่คาดว่าเป็นอดีตทหารในกองทัพที่วิกลจริต ในขณะที่สมเด็จพระราชินีนาถทรงประทับมาในรถม้าพระที่นั่ง เขาตีพระองค์ด้วยปืน ทำให้พระมาลาหลุดกระเด็นออกมาและทำให้พระองค์มีอาการฟกช้ำ ต่อมาเพทได้ถูกสอบสวนพิจารณาคดี เขาได้รับการพิสูจน์ว่าไม่มีความวิกลจริตเลยและได้รับโทษเช่นเดียวกับแฮมิลตัน
ไอร์แลนด์
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียในวัยดรุณีทรงตกหลุมรักประเทศไอร์แลนด์ โดยทรงเลือกที่จะเสด็จไปพักผ่อนที่เมือง ใน ที่อยู่ในระหว่างกระบวนการที่ทำให้เป็นเมืองท่องเที่ยวชั้นแนวหน้าเมืองหนึ่งของศตวรรษที่ 19 ความรักในเกาะไอร์แลนด์ของพระองค์เข้ากันได้กับควาบอบอุ่นแบบไอริชช่วงแรกต่อสมเด็จพระราชินีนาถในวัยดรุณี เมื่อปีค.ศ. 1845 ไอร์แลนด์ประสบกับปัญหามันฝรั่งเหี่ยวแห้งที่ทำให้ชาวไอริชเสียชีวิตไปจำนวนหนึ่งล้านคนมากกว่าสี่ปีและอีกล้านคนได้อพยพออกนอกประเทศไป ในการตอบสนองปัญหาที่ต่อมาได้เรียกว่า "ความอดอยากมันฝรั่งในไอร์แลนด์" (Irish Potato Famine) พระนางทรงบริจาคเงินส่วนพระองค์ (จำนวน 5,000 ปอนด์สเตอร์ลิง) ให้กับชาวไอริชที่หิวโหย
นโยบายต่าง ๆ ของลอร์ดรัสเซลล์ได้รับการตำหนิอยู่บ่อยครั้งในเรื่องการทำให้ความอดอยากอย่างรุนแรงเลวร้ายมากขึ้นไปอีก ทำให้ชาวไอริชหนึ่งล้านคนต้องเสียชีวิต ซึ่งส่งผลกระทบในด้านลบต่อชื่อเสียงของสมเด็จพระราชินีนาถในประเทศไอร์แลนด์
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงเป็นผู้สนับสนุนเข้มแข็งต่อชาวไอริช พระองค์ทรงสนับสนุนความแย้ง Maynooth Grant และได้ทรงทำให้เกิดเรื่องใหญ่ขณะเสด็จเยือนประเทศไอร์แลนด์ด้วยการเสด็จไปเยี่ยมโรงเรียนสอนศาสนา
การเสด็จเยือนไอร์แลนด์อย่างเป็นทางการครั้งแรกของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียในปีค.ศ. 1849 ได้จัดขึ้นอย่างเป็นเฉพาะกิจโดย ซึ่งเป็นผู้ว่าราชแห่งไอร์แลนด์ หัวหน้ากลุ่มบริหารของอังกฤษที่พยายามจะดึงความสนใจจากเรื่องความอดอยากและทำให้นักการเมืองอังกฤษตื่นตัวกับเรื่องความตึงเครียดของวิกฤติดังกล่าวในไอร์แลนด์โดยผ่านการเสด็จมาของสมเด็จพระราชินีนาถ ถึงแม้จะมีผลกระทบด้านลบในเรื่องความอดอยากต่อชื่อเสียงของสมเด็จพระราชินีนาถ พระองค์ก็ยังทรงเป็นที่นิยมชมชอบอย่างเพียงพอสำหรับพวกชาตินิยมในการจบการประชุมพรรคด้วยการร้องเพลง ก็อดเซฟเดอะควีน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1870 และ 1880 ความชื่นชอบในระบอบกษัตริย์ได้เสื่อมถอยลงอย่างมาก โดยส่วนหนึ่งมาจากสมเด็จพระราชินีนาถทรงปฏิเสธที่จะเสด็จเยือนไอร์แลนด์เพื่อไปในการคัดค้านการตัดสินใจของเทศบาลเมืองดับลินที่จะไม่ร่วมแสดงความยินดีกับการอภิเษกสมรสของเจ้าชายแห่งเวลส์กับเจ้าหญิงอเล็กซานดราแห่งเดนมาร์ก และการประสูติของเจ้าชายอัลเบิร์ต วิกเตอร์ พระโอรสองค์โตของทั้งสองพระองค์
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงปฏิเสธความกดดันอันซ้ำซากจากนายกรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการไอร์แลนด์และแม้แต่สมาชิกในพระราชวงศ์ต่าง ๆ มากมายในการสร้างพระราชฐานในประเทศไอร์แลนด์ อดีตหัวหน้าพรรคสหภาพแรงงานของไอร์แลนด์ ซึ่งเขียนบันทึกความทรงจำในปี ค.ศ. 1930 เรื่อง Ireland: Dupe or Heroine? (ไอร์แลนด์: การหลอกลวงหรือวีรสตรี) โดยบรรยายว่าการตัดสินใจดังกล่าวของพระองค์ถึงว่าเป็นหายนะแก่ระบอบกษัตริย์และการปกครองของอังกฤษในประเทศไอร์แลนด์
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียเสด็จเยือนประเทศไอร์แลนด์เป็นครั้งสุดท้ายในปี ค.ศ. 1900 เพื่อทรงขอให้ชายชาวไอริชเข้าร่วมในกองทัพบกอังกฤษและสู้รบใน พวกฝ่ายค้านชาตินิยมต่อการเสด็จมาเยือนไอร์แลนด์ของพระองค์นำโดย ที่ได้ก่อตั้งองค์กรหนึ่งที่ชื่อว่า Cumann na nGaedheal (: สมาคมแห่งชาวเกลส์) เพื่อรวมตัวกันคัดค้าน ในอีกห้าปีต่อมา กริฟฟิธได้ใช้ความคุ้นเคยต่าง ๆ ที่สร้างในช่วงการรณรงค์ต่อต้านการเสด็จเยือนไอร์แลนด์ของสมเด็จพระราชินีนาถเพื่อสร้างความเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบใหม่ที่เรียกว่า ซินน์ ไฟน์ (Sinn Fein)
การเป็นหม้าย
เจ้าชายพระราชสวามีสิ้นพระชนม์ด้วยโรคไทฟอยด์อย่างที่สงสัยกันเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1861 ได้สร้างความโทมนัสอย่างแสนสาหัสให้กับสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียซึ่งได้ทรงตกอยู่ในสภาพการไว้ทุกข์กึ่งถาวรและฉลองพระองค์เป็นสีดำตลอดพระชนม์ชีพที่เหลือ พระองค์ทรงหลีกเลี่ยงการปรากฏองค์ในที่สาธารณะและไม่ค่อยเสด็จเข้ากรุงลอนดอนในอีกหลายปีต่อมา การหลบพระองค์จากสาธารณชนทำให้มีพระนามเรียกเล่น ๆ ว่า "แม่หม้ายแห่งวินด์เซอร์" พระองค์ทรงเห็นเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เจ้าชายแห่งเวลส์ที่ทรงใช้ชีวิตวัยเยาว์อย่างไม่รอบคอบและเหลวไหลไร้สาระ เป็นต้นเหตุของการสิ้นพระชนม์ของพระชนก
สมเด็จพระราชินีนาถทรงพึ่งพามหาดเล็กชาวสกอตชื่อ จอห์น บราวน์ เพิ่มมากขึ้น ถึงกับได้มีการกล่าวอ้างว่าทรงมีความสัมพันธ์แบบชู้สาวหรือการอภิเษกสมรสแบบเงียบ ๆ เกิดขึ้น แต่ทั้งสองข้อหาเป็นเพียงแค่การทำให้เสียชื่อเสียง ย่อหน้าหนึ่งในบทความของเปโตรเนลลา ไวแอ็ต ในหนังสือพิมพ์เดลีเมล์ (ฉบับวันที่ 2 พฤศจิกายน ) กล่าวว่า วูดโรว์ ไวแอ็ต ซึ่งเป็นบิดาของเธอได้พบกับเอลิซาเบธ โบวส์-ลีออน พระราชชนนีในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในทศวรรษที่ 1980 และเสด็จมาที่บ้านเพื่อรับประทานพระกระยาหารกลางวันและค่ำอยู่เป็นประจำ ครั้งหนึ่งของการรับประทานอาหารการสนทนาดำเนินมาถึงเรื่องของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียกับจอห์น บราวน์ พระราชชนนีก็ทรงอ้างว่าพระองค์ทรงพบเอกสารในหอจดหมายเหตุของพระราชวงศ์ที่ปราสาทวินด์เซอร์ ซึ่งในนั้นเขียนไว้ว่าทั้งสองคนได้อภิเษกกัน เมื่อทรงถามพระองค์ว่าทรงทำเช่นไรกับการค้นพบเอกสารฉบับนั้น พระองค์ตรัสตอบว่าพระองค์ได้ทรงเผามันทิ้งไป
สมุดบันทึกเล่มหนึ่งที่ถูกค้นพบเมื่อไม่นานมานี้บันทึกคำสารภาพที่คิดเอาเองขณะมีอาการตรีทูตของบาทหลวงประจำพระองค์สมเด็จพระราชินีนาถ ซึ่งเขาได้ยอมรับกับนักการเมืองคนหนึ่งว่าเขาได้เป็นประธานในการอภิเษกสมรสอย่างลับ ๆ ระหว่างสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียกับจอห์น บราวน์ นักประวัติศาสตร์แค่เพียงบางคนก็เชื่อความน่าเชื่อถือของสมุดบันทึกเล่มนี้ อย่างไรก็ดี พระศพของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียได้วางลงอยู่ในพระศพ โดยมีของที่ระลึกสองชุดวางไว้บนพระศพตามความต้องการของพระองค์ ขวามือของพระองค์จะมีเสื้อคลุมของเจ้าชายอัลเบิร์ตตัวหนึ่งวางอยู่ ส่วนทางซ้ายมือจะเป็นเส้นผมของบราวน์วางไว้คู่กับรูปภาพของเขา ข่าวลือเกี่ยวกับความสัมพันธ์และการอภิเษกสมรสทำให้พระองค์มีพระนามเรียกเล่น ๆ อีกอย่างหนึ่งว่า "นางบราวน์"
การปลีกพระองค์อยู่โดดเดี่ยวจากสาธารณชนทำให้ความนิยมในระบอบกษัตริย์เสื่อมถอยลงอย่างมาก และแม้กระทั่งผลักดันให้เกิดความเคลื่อนไหวของพวกสนับสนุนการเป็นสาธารณรัฐเพิ่มขึ้นไปด้วย แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมาย แต่ก็มิได้ทรงมีบทบาทในการปกครองมากเท่าใดนัก ยังคงหลบซ่อนพระองค์อยู่ในพระราชฐานอย่างปราสาทบัลมอรัลในสกอตแลนด์ หรือ ตำหนักออสบอร์น บน ในขณะนั้นรัฐสภาก็ได้การผ่านกฎหมายฉบับหนึ่งที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 19 คือ พระราชบัญญัติการปฏิรูป ค.ศ. 1867 (Reform Act 1867) ออกมา ลอร์ดพาล์มเมอร์สตันค้ดค้านการปฏิรูปการเลือกตั้งอย่างชนิดหัวชนฝา แต่สมัยการเป็นนายกรัฐมนตรีของเขาหมดลงหลังจากถึงแก่กรรมในปีค.ศ. 1865 ซึ่งเอิร์ลรัสเซลล์ (ซึ่งเป็นลอร์ด จอห์น รัสเซลล์ ในอดีต) ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน จากนั้นก็เป็นลอร์ดดาร์บี้ ซึ่งในสมัยการเป็นนายกรัฐมนตรีของเขาก็ได้ผ่านพระราชบัญญัติการปฏิรูปออกมาเป็นผลสำเร็จ
ปลายพระชนม์ชีพ
ค.ศ. 1887 สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ก็ได้จัดงานพระราชพิธีกาญจนาภิเษกให้กับสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย พระองค์ทรงครองราชสมบัติครบรอบปีที่ห้าสิบในวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 1887 โดยมีการจัดงานเลี้ยงพระกระยาหารซึ่งกษัตริย์และเจ้าชายจากราชวงศ์ในยุโรป 50 พระองค์ทรงได้รับเชิญมา แม้ว่าพระองค์จะมิทรงตระหนักถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น แต่ก็มีการวางแผนไว้อย่างเปิดเผยโดยพวกต่อสู้เพื่ออิสรภาพชาวไอริชที่จะระเบิดมหาวิหารเวสต์มินส์เตอร์ขณะที่สมเด็จพระราชินีนาถเสด็จไปร่วมในงานขอบคุณพระเจ้า การลอบปลงพระชนม์ครั้งนี้เป็นที่รู้จักกันว่า "The Jubilee Plot" (แผนลอบสังหารในงานกาญจนาภิเษก) วันต่อมาพระองค์ทรงประทับในขบวนเสด็จ ซึ่งมาร์ค ทเวนได้กล่าวไว้ว่า "ทอดยาวไปสุดสายตาตลอดสองข้างฝั่ง" ในช่วงเวลานั้นสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงเป็นองค์พระมุขอังกฤษที่เป็นที่นิยมอย่างสูงสุด
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียก็ต้องทรงอดทนกับสมัยการเป็นนายกรัฐมนตรีของวิลเลียม เอวาร์ต แกลดสโตนอีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ. 1892 หลังจากพระราชบัญญัติปกครองตนเองของไอร์แลนด์ของเขาไม่ได้รับคะแนนเสียง เขาจึงลาออกไปในปีค.ศ. 1894 แล้วมีผู้มารับหน้าที่แทนคือ ลอร์ดโรสเบรี ซึ่งสังกัดพรรคเสรีนิยมที่สนับสนุนลัทธิจักรวรรดินิยม แล้วมีผู้สืบทอดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคือ ลอร์ดซอลสบรี ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจวบจนกระทั่งสิ้นรัชกาลของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย
22 กันยายน ค.ศ. 1896 สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงแซงหน้าสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 ในฐานะที่เป็นพระประมุขที่ทรงครองราชสมบัติยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ สกอตแลนด์ และสหราชอาณาจักร พระองค์จึงทรงประสงค์ให้เลื่อนการเฉลิมฉลองของประชาชนแบบพิเศษต่าง ๆ ออกไปถึงปีค.ศ. 1897 พร้อมพระราชพิธีพัชราภิเษกของพระองค์ นาย ได้เสนอว่าพระราชพิธีพัชราภิเษกควรจะจัดให้เป็นการเฉลิมฉลองทั่วจักรวรรดิอังกฤษ
ดังนั้นนายกรัฐมนตรีของอาณานิคมที่ปกครองตนเองต่าง ๆ พร้อมกับครอบครัวได้รับเชิญให้มาร่วมในงานฉลอง ในขบวนเสด็จที่สมเด็จพระราชินีนาถทรงเข้าร่วมประกอบด้วยกองทหารจากอาณานิคมและดินแดนในปกครองอังกฤษแต่ละแห่ง พร้อมกับทารที่ส่งมาจากเจ้าครองรัฐหรือหัวหน้าดินแดนของอินเดีย (ซึ่งขึ้นกับสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย จักรพรรดินีนาถแห่งอินเดีย) การเฉลิมฉลองพระราชพิธีพัชราภิเษกก็ได้เป็นโอกาสที่แสดงถึงความรักอันท่วมท้นอย่างมากต่อสมเด็จพระราชินีนาถในวัย 70 พรรษาเศษ ซึ่งในขณะนั้นได้ประทับอยู่บนรถเข็น
นักประวัติศาสตร์บางคนคิดว่าสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงฉลองพระองค์สีขาวในพระราชพิธีพัชราภิเษกเพียงเท่านั้น ถึงแม้จะมิทรงสีดำอย่างที่ทรงฉลองพระองค์มาตลอดเวลาตั้งแต่การสิ้นพระชนม์ของพระราชสวามี
ช่วงปลายพระชนม์ชีพของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย สหราชอาณาจักรได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับ ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างกระตือรือร้นจากพระองค์ ชีวิตส่วนพระองค์ก็ทรงพบกับความโทมนัสอยู่หลายครั้ง รวมถึงการสิ้นพระชนม์ของพระราชโอรสทั้งสองพระองค์คือ เจ้าชายอัลเฟรด ดยุกแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา (ซึ่งก็คือ ดยุกแห่งเอดินบะระ) และเจ้าชายเลโอโพลด์ ดยุกแห่งออลบานี และพระราชธิดาคือ เจ้าหญิงอลิซ (ต่อมาคือ แกรนด์ดัชเชสพระชายาแห่งเฮสส์) และพระราชนัดดาสามพระองค์คือ เจ้าชายอัลเบิร์ต วิกเตอร์ ดยุกแห่งคลาเรนซ์ เจ้าชายอัลเฟรดแห่งเอดินบะระและซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา และเจ้าชายคริสเตียน วิกเตอร์แห่งชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์ การปฏิบัติพระราชกรณียกิจในด้านพิธีการต่อประชาชนครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1899 เมื่อเสด็จไปในการวางฐานหินสำหรับอาคารหลังใหม่ของพิพิธภัณฑ์เซาท์เค็นชิงตัน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบันคือ
สวรรคต
ตามธรรมเนียมที่ได้ทรงปฏิบัติมาตลอดตั้งแต่การเป็นหม้าย สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงใช้เวลาในวันคริสต์มาสที่ตำหนักออสบอร์น (เจ้าชายอัลเบิร์ต ทรงออกแบบไว้) อยู่บนเกาะไวท์ พระองค์เสด็จสวรรคตในที่แห่งนั้นด้วยอาการเส้นพระโลหิตในพระสมองแตกในสมองเมื่อวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1901 สิริพระชนมพรรษา 81 พรรษา ขณะใกล้สวรรคตได้มีพระราชโอรส ซึ่งจะขึ้นครองราชสมบัติเป็นกษัตริย์องค์ต่อไปและจักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 2 แห่งเยอรมนี พระราชนัดดาพระองค์ใหญ่เสด็จมาเฝ้าฯ พระราชโอรสของพระองค์ได้ยกพระบรมศพลงในหีบพระบรมศพ ซึ่งทรงฉลองพระองค์สีขาวและผ้าคลุมพระพักตร์อภิเษกสมรสอย่างที่มีพระประสงค์เอาไว้ งานพระราชพิธีพระบรมศพมีขึ้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ และหลังจากประดิษฐานพระบรมศพไว้ให้ประชาชนเคารพเป็นเวลาสองวัน พระบรมศพของพระองค์ถูกฝังลงเคียงข้างเจ้าชายอัลเบิร์ตในสุสานหลวงฟร็อกมอร์ ปราสาทวินด์เซอร์ เนื่องจากสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียมิโปรดงานพิธีศพสีดำ กรุงลอนดอนจึงประดับประดาด้วยระย้าที่เป็นสีม่วงและสีขาว ที่จริงแล้วเมื่อพระบรมศพฝังลงในสุสานหลวงฟร็อกมอร์แล้ว หิมะก็เริ่มตกลงมาทำให้พื้นดินกลายเป็นสีขาว ซึ่งทำให้แนวคิดเรื่องงานพระราชพิธีพระบรมศพของพระองค์สมบูรณ์แบบ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงครองสิริราชสมบัติรวมทั้งสิ้น 63 ปี 7 เดือน 2 วัน ซึ่งเป็นรัชกาลที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ ณ ขณะนั้น สถิตินี้ยังคงอยู่อีกหลายทศวรรษ จนกระทั่งสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงครองราชย์นานทำลายสถิติของพระองค์ได้ในปี ค.ศ. 2015
เจ้าชายแห่งเวลส์ พระราชโอรสองค์โตในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงสืบราชสมบัติเป็นสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 การเสด็จสวรรคตของพระองค์ทำให้การปกครองของราชวงศ์ฮันโนเฟอร์สิ้นสุดลงในสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ ส่วนพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 ทรงอยู่ในราชวงศ์ซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา ซึ่งสืบทอดมาจากพระชนกคือ เจ้าชายอัลเบิร์ต
พระราชอิสริยยศ
- 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1819 - 20 มิถุนายน ค.ศ. 1837: เจ้าหญิงอเล็กซานดรินา วิกตอเรียแห่งเคนต์ (Her Royal Highness Princess Alexandrina Victoria of Kent)
- 20 มิถุนายน ค.ศ. 1837 - 22 มกราคม ค.ศ. 1901: สมเด็จพระราชินีนาถแห่งสหราชอาณาจักร (Her Majesty The Queen of the United Kingdom)
- 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1876 - 22 มกราคม ค.ศ. 1901: สมเด็จพระจักรพรรดินีนาถแห่งอินเดีย (Her Imperial Majesty The Empress of India)
- พระราชอิสริยยศเต็มเมื่อเสด็จสวรรคตคือ: "สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย โดยพระคุณของพระเป็นเจ้า สมเด็จพระราชินีนาถแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ ผู้ปกป้องศรัทธา สมเด็จพระจักรพรรดินีนาถแห่งอินเดีย"
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
- พ.ศ. 2423 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.)
- พ.ศ. 2430 – เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ (ม.จ.ก.) (ฝ่ายใน)
พระราชโอรสและธิดา
ดูเพิ่มเติมที่ พระราชสันตติวงศ์ในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย
- เจ้าหญิงวิกตอเรีย พระราชกุมารี (วิกตอเรีย แอดิเลด แมรี หลุยซา; 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1840 — 5 สิงหาคม] ค.ศ. 1901)
- ทรงได้รับการเฉลิมพระอิสริยยศเป็น ราชกุมารี เมื่อวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 1841
- อภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1858 ณ โบสถ์หลวง พระราชวังเซนต์เจมส์ กรุงลอนดอน กับจักรพรรดิฟรีดริชที่ 3 แห่งเยอรมนี (18 ตุลาคม ค.ศ. 1831 — 15 มิถุนายน ค.ศ. 1888)
- พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 (อัลเบิร์ต เอ็ดเวิร์ด; 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1841 — 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1910)
- ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น ดยุกแห่งคอร์นวอลล์และโรธเซย์ เอิร์ลแห่งแคร์ริค บารอนเรนฟรูว์ ลอร์ดแห่งไอเอิลส์ เจ้าชายและจอมทัพแห่งสกอตแลนด์ ตั้งแต่แรกประสูติ
- ทรงได้รับการเฉลิมพระอิสริยยศเป็น เจ้าชายแห่งเวลส์และเอิร์ลแห่งเชสเตอร์ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1841
- ทรงได้รับการเฉลิมพระอิสริยยศเป็น เอิร์ลแห่งดับลิน เมื่อวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1850
- เสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อจากสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย พระราชชนนี เมื่อวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1901
- อภิเษกสมรสในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1863 ณ โบสถ์เซ็นต์จอร์จ ปราสาทวินด์เซอร์ กับ เจ้าหญิงอเล็กซานดราแห่งเดนมาร์ก (1 ธันวาคม ค.ศ. 1844 — 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1925)
- เจ้าหญิงอลิซ (อลิซ ม็อด แมรี; 25 เมษายน ค.ศ. 1843 — 14 ธันวาคม ค.ศ. 1878)
- ทรงอภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1862 ณ ตำหนักออสบอร์น เกาะไวท์ กับ แกรนด์ดยุกลุดวิกที่ 4 แห่งเฮสส์และไรน์ (ประสูติ 12 กันยายน ค.ศ. 1837 สิ้นพระชนม์ 13 มีนาคม ค.ศ. 1892)
- เจ้าชายอัลเฟรด ดยุกแห่งเอดินบะระและแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา (อัลเฟรด เออร์เนสต์ อัลเบิร์ต; 6 สิงหาคม ค.ศ. 1844 — 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1900)
- ทรงได้รับการเฉลิมพระอิสริยยศเป็น ดยุกแห่งเอดินบะระ เอิร์ลแห่งอัลส์เตอร์และเคนต์ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1866
- เสวยราชสมบัติสืบต่อจากพระปิตุลาเป็น ดยุกแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ. 1893
- ทรงอภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 1874 ณ พระราชวังฤดูหนาว กับ แกรนด์ดัชเชสมาเรีย อเล็กซานดรอฟนาแห่งรัสเซีย (17 ตุลาคม ค.ศ. 1853 - 24 ตุลาคม ค.ศ. 1920)
- เจ้าหญิงเฮเลนา (เฮเลนา ออกัสตา วิกตอเรีย; 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1846 - 9 มิถุนายน ค.ศ. 1923)
- เจ้าหญิงลูอิส (ลูอิซา แคโรไลน์ อัลเบอร์ตา; 18 มีนาคม ค.ศ. 1848 - 3 ธันวาคม ค.ศ. 1939)
- ทรงอภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 1871 ณ โบสถ์เซ็นต์จอร์จ ปราสาทวินด์เซอร์ กับ จอห์น ดักลาส ซูเธอร์แลนด์ แคมป์เบลล์ (เกิด 6 สิงหาคม ค.ศ. 1845 ตาย 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1914) ดยุกที่ 9 แห่งอาร์กายล์ ข้าหลวงต่างพระองค์แห่งแคนาดา (25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1878 - 22 ธันวาคม ค.ศ. 1880)
- เจ้าชายอาร์เธอร์ ดยุกแห่งคอนน็อตและสแตรธเอิร์น (อาร์เธอร์ วิลเลียม แพทริก อัลเบิร์ต; 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1850 - 16 มกราคม ค.ศ. 1942)
- ทรงได้รับการเฉลิมพระอิสริยยศเป็น ดยุกแห่งคอนน็อทและสแตรเธิร์น เอิร์ลแห่งซัสเซ็กส์ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1874
- ทรงดำรงตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์แห่งแคนาดา (13 ตุลาคม ค.ศ. 1911 - 16 ตุลาคม ค.ศ. 1916)
- ทรงอภิเษกสมรสวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 1879 ณ โบสถ์เซนต์จอร์จ ปราสาทวินด์เซอร์ กับ เจ้าหญิงหลุยส์ มาร์กาเรเทแห่งปรัสเซีย (ประสูติ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2403 สิ้นพระชนม์ 14 มีนาคม ค.ศ. 1917)
- เจ้าชายลีโอโพลด์ ดยุกแห่งออลบานี (ลีโอโพลด์ จอร์จ ดันแคน อัลเบิร์ต; 7 เมษายน ค.ศ. 1853 - 28 มีนาคม ค.ศ. 1884)
- ทรงได้รับการเฉลิมพระอิสริยยศเป็น ดยุกแห่งอัลบานี เอิร์ลแห่งคลาเรนซ์ และ บารอนอาร์คโลว์ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1881
- ทรงอภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 1882 ณ โบสถ์เซนต์จอร์จ ปราสาทวินด์เซอร์ กับ เจ้าหญิงเฮเลนาแห่งวัลเด็คและไพร์มอนท์ (17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1861 - 1 กันยายน ค.ศ. 1922)
- เจ้าหญิงเบียทริซ (เบียทริซ แมรี วิกตอเรีย ฟีโอดอร์; 14 เมษายน ค.ศ. 1857 - 26 ตุลาคม ค.ศ. 1944)
พระราชตระกูล
พงศาวลีของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
มรดกตกทอด
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียเป็นพระประมุขสมัยใหม่พระองค์แรกของประเทศอังกฤษ พระประมุของค์ก่อน ๆ ทรงเป็นผู้เข้าไปมีบทบาทอย่างแท้จริงในกระบวนการปกครองบ้านเมือง ความต่อเนื่องของการปฏิรูปด้านกฎหมายต่าง ๆ ทำให้เห็นถึงอำนาจของสภาสามัญเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลเสียต่อสภาขุนนางและสถาบันกษัตริย์ เพราะบทบาทขององค์ประมุขกลายเป็นสัญลักษณ์มากขึ้น นับตั้งแต่รัชกาลของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียเป็นต้นมา องค์พระประมุข "ทรงมีสิทธิจะได้รับคำปรึกษา มีสิทธิจะแนะนำ และมีสิทธิจะตักเตือน" ตามคำกล่าวของ นักหนังสือพิมพ์ชาวอังกฤษ
ในฐานะที่สถาบันกษัตริย์ของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงเป็นทางสัญลักษณ์มากกว่าทางการเมือง มันก็แสดงถึงการมุ่งเน้นอย่างแข็งขันถึงคุณค่าของครอบครัวและศีลธรรมจรรยา ตรงข้ามกับเรื่องอื้อฉาวส่วนบุคคล ทางการเงินหรือการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งได้เกี่ยวข้องกับสมาชิกคนก่อน ๆ ในราชวงศ์ฮันโนเฟอร์และทำให้สถาบันกษัตริย์ต้องมัวหมอง รัชกาลของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียได้สร้างแนวความคิดในการเป็น"สถานบันพระมหากษัตริย์แบบครัวเรือน"ให้กับประเทศอังกฤษซึ่งชนชั้นกลางที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วสามารถร่วมอยู่ได้
ในทางระหว่างประเทศ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงเป็นบุคคลที่สำคัญโดดเด่น ไม่ใช่เพียงแค่ภาพพจน์หรืออิทธิพลของอังกฤษอันผ่านทางจักรวรรดิ แต่ยังมาจากความเชื่อมโยงของครอบครัวทั่วทั้งพระราชวงศ์ต่าง ๆ ในทวีปยุโรป ก็ทำให้มีพระนามเรียกเล่นแบบรักใคร่ว่า "พระอัยยิกาแห่งยุโรป" ตัวอย่างของสภาวะดังกล่าวสามารถเห็นได้จากความจริงที่ว่าพระประมุขสามพระองค์หลักที่ประเทศของพระองค์ได้เข้าไปเกี่ยวข้องในสงครามโลกครั้งที่ 1โดยอยู่คนละฝ่ายเป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียหรืออภิเษกสมรสกับหนึ่งในพระราชนัดดาของพระองค์ พระราชโอรสและธิดาแปดในเก้าองค์ทรงอภิเษกสมรสกับสมาชิกในพระราชวงศ์ต่าง ๆ ของยุโรป ส่วนอีกพระองค์ที่เหลือคือ เจ้าหญิงหลุยส์ ทรงอภิเษกสมรสกับข้าหลวงต่างพระองค์แห่งแคนาดาคนแรก
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงเป็นพาหะของโรคเฮโมฟีเลียที่เป็นที่รู้จักพระองค์แรกในเชื้อสายกษัตริย์ แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าพระองค์ทรงเป็นพาหะได้อย่างไร มันอาจจะเป็นผลมาจากการกลายพันธุ์ของเชื้ออสุจิ เพราะพระชนกของพระองค์มีพระชนมายุห้าสิบสองพรรษาเมื่อทรงปฏิสนธิในพระครรภ์ อีกทั้งยังมีข่าวลือว่าดยุกแห่งเคนต์มิใช่พระชนกที่แท้จริงของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย และที่จริงเป็นพระธิดาของเซอร์ จอห์น คอนรอย ซึ่งเป็นราชเลขานุการส่วนพระองค์และชู้รักนามกระฉ่อนชาวไอริชของพระชนนี ขณะมีหลักฐานบางอย่างในการกล่าวอ้างถึงความสัมพันธ์ระหว่างดัชเชสกับคอนรอย (พระองค์ทรงอ้างกับดยุกแห่งเวลลิงตันว่าทรงเห็นเหตุการณ์ระหว่างทั้งสองด้วยพระองค์เอง) แต่ประวัติทางการแพทย์ของคอนรอยก็ไม่แสดงถึงหลักฐานการเป็นโรคเฮโมฟีเลียในครอบครัวของเขา หรือได้รับเชื้อผ่านมาทางสายผู้ชายในครอบครัวเลย
มันน่าจะเป็นไปได้อย่างมากว่าพระองค์ทรงได้รับโรคเฮโมฟีเลียมาจากพระชนนี แม้ว่าจะไม่พบประวัติการเป็นโรคดังกล่าวในราชวงศ์ของพระชนนี สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียมิได้ทรงเป็นโรคเฮโมฟีเลีย แต่ทรงถ่ายทอดไปยังไปยังเจ้าหญิงอลิซและเจ้าหญิงเบียทริซในฐานะพาหะของโรค และเจ้าชายเลโอโพลด์ทรงได้รับผลกระทบจากโรคนี้อย่างเต็มที่ บุคคลซึ่งรับเคราะห์จากโรคเฮโมฟีเลียอันโด่งดังที่สุดในพระราชสันตติวงศ์ของพระองค์เป็นพระราชปนัดดา พระนามว่า อย่างไรก็ดี เชื้อสายของโรคเฮโมฟีเลียในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียน่าจะสูญสิ้นไปแล้ว ก็ยังอาจจะมีสาขาที่เป็นโรคนี้หลงเหลืออยู่ในราชวงศ์สเปน แต่ในปี ค.ศ. 2007 โรคเฮโมฟีเลียยังมิได้เกิดขึ้นมาให้เห็นเลย
ในปี ค.ศ. 2007 องค์พระประมุของค์ปัจจุบันและอดีตพระประมุขในราชวงศ์ต่าง ๆ ของทวีปยุโรปที่ทรงสืบเชื้อสายมาจากสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียคือ สมเด็จพระราชินีนาถแห่งสหราชอาณาจักร (พระราชสวามี) สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งนอร์เวย์ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งสวีเดน สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งสเปน สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งกรีซ (ถูกปลดออกจากราชบัลลังก์) และสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งโรมาเนีย (ถูกถอดออกจากราชบัลลังก์) แล้วยังมีผู้อ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์แห่ง และบาเดินที่ล้วนเป็นพระราชสันตติวงศ์ของพระองค์ด้วยเช่นกัน
อ้างอิง
- The Life and Times of Queen Victoria by Dorothy Marshall, p. 16.
- The Life and Times of Victoria by Dorothy Marshall, p. 60.
- Ibid.
- Ibid, p. 76.
- อนุสรณ์แห่งรักบันลือโลก 24 มิ.ย. 50 - 17:09 ไทยรัฐ
- อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อVICTORIA
- (1900) Facsimile Reprint 1998, London: Stationery Office, , p. 86
- (1993) Concise Edition, London: J. Whitaker and Sons, , pp. 134–136
- "Court Circular". Court and Social. The Times (29924). London. 3 July 1880. col G, p. 11.
- ราชกิจจานุเบกษา, ข่าวรับพระราชสาสน์ 2016-03-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๔, ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๓๐, หน้า ๒๑๕]
แหล่งข้อมูลอื่น
ก่อนหน้า | สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
วิลเลียมที่ 4 | พระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักร (ราชวงศ์ฮันโนเฟอร์) (20 มิถุนายน ค.ศ. 1837 – 22 มกราคม ค.ศ. 1901) | เอ็ดเวิร์ดที่ 7 | ||
จักรพรรดิแห่งโมกุล | จักรพรรดินีนาถแห่งอินเดีย (1 พฤษภาคม ค.ศ. 1876 – 22 มกราคม ค.ศ. 1901) | เอ็ดเวิร์ดที่ 7 |
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
lingkkhamphasa inbthkhwamni miiwihphuxanaelaphurwmaekikhbthkhwamsuksaephimetimodysadwk enuxngcakwikiphiediyphasaithyyngimmibthkhwamdngklaw krann khwrribsrangepnbthkhwamodyerwthisud smedcphrarachininathwiktxeriy xngkvs Queen Victoria chuxedim xelksandrina wiktxeriy 24 phvsphakhm kh s 1819 22 mkrakhm kh s 1901 thrngkhrxngrachyepnsmedcphrarachininathaehngshrachxanackr eelapramukhsungsudeehngkhristckraehngxngkvs tngeetwnthi 20 mithunayn kh s 1837 cnswrrkhtinwnthi 22 mkrakhm kh s 1901 thrngmisayphraolhitsubthxdmaepnechuxphrawngsthwyuorp ykewnpraethsenethxraelnd echn ckrphrrdiwilehlmthi 2 aehngeyxrmni hrux smedcphrarachininathexlisaebththi 2 aehngshrachxanackr epntn cnidrbphrarachsmyyanamwa smedcyaaehngyuorp Grandmother of Europe nxkcakniphranangyngepn ckrphrrdininatheehngxnuthwipxinediy eelapramukhsungsudaehngckrwrrdibriticheelaxananikhminekhruxsmedcphrarachininathwiktxeriysmedcphrarachininatheehngshrachxanackrkhrxngrachy20 mithunayn 1837 22 mkrakhm 1901 63 pi 216 wn rachaphiesk28 mithunayn kh s 1838kxnhnaphraecawileliymthi 4thdipphraecaexdewirdthi 7rchthayathdurayphranam phraecaaexnsth exakusththi 1 aehnghnonefxr ecahyingwiktxeriy phrarachkumari ecachayxlebirt exdewird ecachayaehngewlsnaykrthmntriduraychux shrachxanackrbrietnihyaelaixraelnd wileliym aelmb iwekhantemlebirnthi 2 rxebirt phil cxhn rsesll exirlrsesllthi 1 exdewird smith saetnliy exirlthi 14 aehngdarbiy cxrc aehmiltn kxrdxn exirlthi 4 aehngaexebxrdin ehnri cxhn ethmephil iwekhantphalemxrstnthi 3 ebncamin disraexli wileliym aekldstn rxebirt essil markhwisthi 3 aehngsxlsbri xarchibxld phrimors exirlthi 5 aehngorsebri xxsetreliy aekhnada nikhmaehlm niwsiaelndckrphrrdininathaehngxinediykhrxngrachy1 phvsphakhm 1876 22 mkrakhm 1901 24 pi 266 wn rachaphiesk1 mkrakhm kh s 1877thdipexdewirdthi 7phrarachsmphph24 phvsphakhm kh s 1819 1819 05 24 phrarachwngekhnsingtn lxndxn shrachxanackrswrrkht22 mkrakhm kh s 1901 1901 01 22 81 pi tahnkxxsbxrn ixlxxfiwt shrachxanackrfngphrabrmsph4 kumphaphnth kh s 1901 phrabrmrachanusrnthifrxkmxr barkechxrphrarachswamiecachayxlebirtaehngskhesin okhbwrkhaelaokthaphrarachbutr raylaexiydecahyingwiktxeriy ckrphrrdiniaehngeyxrmni smedcphraecaexdewirdthi 7 aehngshrachxanackr ecahyingxlis aekrnddsechsaehngehssaelairn ecachayxlefrd dyukaehngskhesin okhbwrkhaelaoktha ecahyingehelna ecahyingluxis dchechsaehngxarkayl ecachayxarethxr dyukaehngkhxnnxtaelasaetrthexirn ecachaylioxophld dyukaehngxxlbani ecahyingebiythrisphranametmxelksndrina wiktxeriyrachwngshnonefxrphrarachbidaecachayexdewird dyukaehngekhntaelasaetrthexirnphrarachmardaecahyingwiktxeriyaehngskhesin okhbwrkh salefldsasnakhristckraehngxngkvslayphraxphiithywyeyawecahyingwiktxeriykhnamiphrachnsa 4 pi wadodystiefn phxyn ednning kh s 1823 smedcphrarachininathwiktxeriyesdcphrarachsmphphemuxwnthi 24 phvsphakhm kh s 1819 epnphrathidainecachayexdewird dyukaehngekhntaelasaetrthexirn phrarachoxrsinsmedcphraecacxrcthi 3 aehngshrachxanackrkbsmedcphrarachinicharlxthethxaehngshrachxanackr phrarachchnnikhuxecahyingwiktxeriyaehngskhesin okhbwrkh salefld phrarachpitula 2 phraxngkhepnphramhakstriyshrachxanackr idaek smedcphraecacxrcthi 4 aehngshrachxanackr aela smedcphraecawileliymthi 4 aehngshrachxanackr phranamkhxngphraxngkh sungaemwalngexyintxnthayepn xelksandrina wiktxeriy idepnthithkethiyngknrahwangphrarachchnniaelabrrdaphrarachwngs phraecawileliymthi 4 phrapitulaesnxphranamwa exlisaebth inkhnathithrngkhdkhankarkhnanphranamecahyingtamphrarachmarda odytrswa wiktxeriy imekhyepnchuxthangsasnakhristthiruckmakxninpraethsni aetdchechsaehngekhntthrngptiesth aemphranamcharlxtkimidrbkarphicarna ephraaepnkarimihekiyrtiaekecahyingcharlxttaehngewls sungsinphrachnmkhnamiphraprasutikalkxnhnani phrachnkkhxngecahyingwiktxeriysinphrachnmdwyorkhmaerng hlngcakkarprasutiidephiyngaepdeduxn aelasmedcphraecacxrcthi 3 phraxykaidesdcswrrkhtinxikhkwntxma ecachayphusaercrachkar cungeswyrachsmbtisubtxmaepnsmedcphraecacxrcthi 4 aetphraxngkhesdcswrrkhtodyprascakrchthayathemuxecahyingmiphrachnmayu 11 phrrsa txnnirachbllngkcungtkepnkhxngecachaywileliym dyukaehngaekhlernsaelaesntaexndruw sungethlingphraprmaphiithyepn smedcphraecawileliymthi 4rchthayathecachayaehngewls sungtxmakhux smedcphraecacxrcthi 4 phrarachoxrsphraxngkhihyinsmedcphraecacxrcthi 3 miphrarachthidaxyuephiyngphraxngkhediywkhux ecahyingcharlxtt xxkstaaehngewls emuxecahyingsinphrachnminpikh s 1817 phraoxrsthiyngimidthrngxphiesksmrskhxngphraecacxrcthi 3 tangthrngriberngthicaxphiesksmrsaelamiphraoxrsthidaephuxrksaladbkarsubrachbllngk aemwaphraecawileliymthi 4 epnphrachnkkhxngphraoxrsthidanxkkdhmaycanwnsibkhnthiekidcakodorthi cxraedn sungepnnangsnm odymixachiphepnnanglakhr phraxngkhimmiphraoxrsthidathithuktxngtamkdhmayely ecahyingwiktxeriycungthrngepnrchthayathinrachbllngkthiepliynaeplngid heiress presumptive kdhmayinkhnannimidihsiththiaekphramhakstriyedk dngnncungmikhwamcaepnthicatxngaetngtngphusaercrachkarhakecahyingwiktxeriyeswyrachsmbtikxnkarmiphrachnmayukhrb 18 phrrsa rthsphacungphanphrarachbyytiphusaercrachkar kh s 1830 Regency Act 1830 kahndihecahyingwiktxeriy dchechsaehngekhnt phrachnnithrngptibtiphrarachpharkicaethninthanaphusaercrachkarkhnathiphrarachininathyngimthrngbrrlunitiphawa xikthngrthsphayngmiidaetngtngkhnaxngkhmntriephuxcakdxanackhxngphusaercrachkar phraecawileliymthi 4 mioprddchechsaehngekhntely aelakhrnghnungekhytrswaphraxngkhmiphraprasngkhcadarngphrachnmchiphxyucnkrathngthungwnprasutikhrbrxb 18 phrrsakhxngecahyingwiktxeriy karpkkhrxngodyphusaercrachkarcungimcaepntxngmixiktxip ecachayxlebirtaehngskhesin okhbwrkhaelaoktha ecahyingwiktxeriythrngphbkbecachayxlaebrthaehngskhesin okhbwrkhaelaoktha phrarachswamiinxnakhtemuxphrachnmayu 16 phrrsainpikh s 2379 aetepnkarphbknkhrngthisxnginpikh s 1839 thiphraxngkhtrsthungecachaywa xlebirtthirk ekhachangmiehtuphl emtta icdi aelaxthyasydimakechnkn nxkcaknnaelwyngmilksnaphaynxkaelahnatathinaphungphxicaelanayindiepnthisudethathiethxcaehnidelyla ecachayxlebirtepnphrayatichnthihnunginecahyingwiktxeriy odyaexnsththi 1 dyukaehngskhesin okhbwrkhaelaoktha phrabidaecachayepnphraechsthakhxngphrachnnikhxngecahying inthanaphrapramukh phraxngkhtxngthrngkhx ecachayxlebirtxphiesksmrsdwy karxphiesksmrskhxngthngsxngthuxwamikhwamsukhxyangyingtnrchkalsmedcphrarachininathwiktxeriyinwnkhrxngrachsmbti inwnthi 24 phvsphakhm kh s 1837 ecahyingwiktxeriymiphrachnmayu 18 phrrsa sunghmaykhwamwacaimcaepntxngmiphusaercrachkarxikaelw rungechawnhnunginxiksispdahtxmaphrachnnikhxngecahyingidthrngplukihtuncakbrrthmephuxrbthrabwaemuxtxn 2 nalika 12 nathikhxngwnthi 20 mithunayn kh s 1837 phraecawileliymthi 4 esdcswrrkhtdwyxakarphrahthylmehlwkhnamiphrachnmphrrsa 71 phrrsa cungthaihecahyingthrngepnsmedcphrarachininathaehngshrachxanackr xyangirkdi phraxngkhimideswyrachsmbtikhxngrachxanackrhnonefxr sungepnxanackrthimiekhyphrapramukhxngkhediywknkbpraethsxngkvsmatngaetkh s 1714 hnonefxridmirththrrmnuykhxngtninpikh s 1833 sungklawthungkdhmaymrdkkhxngtrakulewlfiwwathaimmirchthayathinphramhakstriythiepnchay sayewlfkhxngnkhrebranchiwk owlefnbuthethincaidsubrachsmbtirachxanackrhnonefxr sungepnrachxanackrtngaetpikh s 1806 ykewnwasaynnimmithayathxiktxip phuhyingcungsamarthsubrachbllngkid kstriylioxophldthi 1 inxnakhtthrngepnthipruksahlkaekphrarachnddakhxngphraxngkh sungkkhux smedcphrarachininathwiktxeriy phrathidainecahyingwiktxeriyaehngskhesin okhbwrkh salefld phraechsthphkhini phrayatichnthihnungkhxngsmedcphrarachiniinsaykhxngkstriyeloxophldkhux phraecaelxxpxlthi 2 aehngebleyiym aela ecahyingcharlxtaehngebleyiym smedcphrarachininathwiktxeriykyngthrngmiysepnecahyingaehnghnonefxraeladchechsaehngebranchiwk luxenburktlxdphrachnmchiphkhxngphraxngkh aetrachbllngkkhxnghnonefxridtkipepnkhxngecachayaexnsth xxksts dyukaehngkhmbalndaelasaetrthexirn phrapitulasungthrngklayepnphraecaaexnsth exakusththi 1 aehnghnonefxr enuxngmacakwasmedcphrarachiniwydruniyngmiidthrngxphiesksmrsaelayngmimiphrarachoxrsaelathida phraecaaexnsth exakusth cungyngthrngepnrchthayathinrachbllngkxngkvscnkrathngphrarachthidaphraxngkhaerkinsmedcphrarachiniprasutiinpikh s 1840 inchwngthiecahyingwiktxeriyesdckhunkhrxngrachsmbti rthbalswnmakcamaphrrkhwik thixyuinxanacmatngaetpikh s 1830 ykewnkarewnchwngsniphlaykhrng lxrdemlebirn sungepnnaykrthmntrisngkdphrrkhwikkhrnghnungekhymixiththiphlxnaerngklatxchiwitxnxxnprasbkarnthangkaremuxngkhxngsmedcphrarachininath sungtxngthrngphungphakhaaenanaineruxngtang khxngekha bangkhnkthungkbklawwaphraxngkhthrngepn nangemlebirn khnarthmntrikhxngemlebirnimidxyuinxanacepnewlanannk enuxngcakerimimepnthichunchxbmakkhunaelayingipkwannyngtxngephchiykbkhwamyaklabakxyangmakinkarpkkhrxngxananikhmtang khxngxngkvs inpraethsaekhnada xngkvstxngephchiykbkarptiwti dueruxng karlukhuxinpikh s 1837 thimikarkxkarkbthlaykhrngkinewlathungpikh s 1839 aelainpraethscaemka sphanitibyytiaehngxananikhmidtxtannoybaykhxngxngkvsodykarptiesthkarphankdhmayid xxkma txmainpikh s 1839 rthbalkhxngemlebirnidlaxxkipenuxngcakwaimsamarthaekikhpyhatang indinaednophnthaelid smedcphrarachininaththrngmxbhmayihesxrrxebirt phil sungepnnkkaremuxngsngkdphrrkhthxritngrthbalihmkhunma aetwatxngephchiykbkhwamlmehlwsungruknineruxngkhxng inewlannthuxepnthrrmeniymsahrbkaraetngtngihdarngtaaehnnginsankphrarachwngtxngxyubnphunthankhxngrabbxupthmph sungkkhux naykrthmntritxngaetngtngsmachikkhxngsankphrarachwngbnphunthankhxngkhwamsuxstyphayinphrrkhtnexng nangkanlpracahxngphrabrrthmkhxngphrarachinicanwnmakepnphrryakhxngnkkaremuxngphrrkhwik aetesxr orebirt philklbtxngkarihcaepliynepnehlaphrryakhxngnkkaremuxngphrrkhthxriaethn smedcphrarachininathwiktxeriythrngkhdkhanxyangmakkbkarpldnangkanlehlani sungthrngehnepnehmuxnphrashaysnithmakkwaepnehlakharachbripharthithatamraebiybphithikar esxr orebirt phil rusukwaekhaimsamarthcabriharnganitkhxcakdcaksmedcphrarachiniid dngnncungidthwaybngkhmthullaxxkcaktaaehnng thaihemlebirnklbmadarngtaaehnngxikkhrngxphiesksmrsphithixphiesksmrskhxngsmedcphrarachininathwiktxeriyaelaecachayxlebirtaehngskhesin okhbwrkhaelaoktha odycxrc ehyetxr smedcphrarachininathwiktxeriythrngekhaphithixphiesksmrskbecachayxlebirt sungepnphrayatichnthihnunginwnthi 10 kumphaphnth kh s 1840 n obsthhlwnginphrarachwngesntecms ecachayxlebirtthrngepnthiruckodythwipinthana ecachayphrarachswami Prince Consort aemwacaimidthrngrbkarsthapnaepnthangkarcnkrathngpikh s 1857 ecachaymiekhythrngidrbbrrdaskdikhunnangely phraxngkhmithrngepnephiyngaekhphuduaelsmedcphrarachininathxyangiklchid aetyngepnthipruksathangdankaremuxngkhnsakhyaethnlxrdemlebirninthanabukhkhlsakhythiepnphunainchiwitkhxngphraxngkhxikdwy inkarthrngphrakhrrphaerkkhxngsmedcphrarachininathwiktxeriy sungmixayu 18 piidphyayamlxbplngphrachnmphrarachinikhnathrngprathbrthmaphrathinngkbecachayxlebirtinkrunglxndxn xxksfxrdidyingpunxxkipsxngkhrng aetkrasunphladepaipthngsxngnd ekhathukphicarnawaepnkbttxchati aetekhaidrbkartdsinihphnkhwamphidenuxngcakkhwamwiklcrit khaaektangkhxngekhaepnthisngsytxhlaykhn klawkhux ekhaxacphyayameriykrxngkhwamsnic aetmihlaykhnklawwakarwangaephnprathusraycakphwkptirupkaremuxngxyuebuxnghlngkarlxbplngphrachnmkhrngni bangklumihkhxmulwaepnaephnkarkhxngklumsnbsnunkhxngkstriy exxrens xxkstsaehnghnonefxr sungthrngepnrchthayathxyuinkhnann thvsdiinkarwangaephnprathusrayehlanithaihekidkraaeskhwamrkchatiaelakhwamcngrkphkdikhunphayinpraethskhunma karlxbyingimidmiphlkrathbtxphraphlanamykhxngsmedcphrarachinihruxphrakhrrphaemaetnxy phrathidaphraxngkhaerkinekaphraxngkhkhxngthngsxngphraxngkh sungmiphranamwa wiktxeriy prasutiemuxwnthi 21 phvscikayn kh s 1837 emuxphrrkhwikphayitkarnakhxngemlebirnaephkareluxktnginpikh s 1838 aelaphrrkhthxriphayitkarnakhxngphilidekhamarbhnathiaethn kimmiehtukarnkrnihxngphrabrrthmekidkhunmaxikkhrng smedcphrarachininathyngkhngmiphrarachhtthelkhaottxbxyanglb kblxrdemlebirn sungxiththiphlkhxngekhakhxy canghaylngipinkhnathikhxngecachayxlebirtephimmakkhun inwnthi 13 mithunayn kh s 1842 smedcphrarachininathwiktxeriyesdcphrarachdaeninodyrthifepnkhrngaerk odyesdcxxkcaksthanirthifsolf iklkbprasathwindesxr ipyngsaphanbichxp thixyuiklkb inkrunglxndxn dwytukhbwnphrathinngphiessthicdthwayodybristh Great Western Railway inkhrngnimiphuodyesdcphrxmkbphraxngkhkhux ecachayxlebirt phrarachswami aela wiswkrkhxngbristh phaphwadcalxngehtukarnlxbplngphrachnmodyexdewird xxksfxrd kh s 1840 karlxbplngphrachnmsmedcphrarachininathwiktxeriysamkhrngekidkhuninpikh s 1842 inwnthi 29 phvsphakhm thi cxhn fransis sungmiaenwonmwatxngkareriykrxngkhwamsnicmakkwa idyingpunipthiphrarachini sungprathbinrthmaphrathinng aetthukrwbtwidthnkhwnodynaytarwcchnsungkhnhnungchux wileliym ethrans swnfransisidthuktdsinmiothsthanepnkbttxchati aetothstaykhxngekhaidthukldhyxnehluxaekhkarenrethsxxknxkpraethstlxdchiwit ecachayxlebirtthrngehnwakhwamphyayaminkarlxbplngphrachnmidrbaerngcungiccakkarplxytwxxksfxrdinpikh s 1840 inwnthi 3 krkdakhm ephiyngimkiwnhlngcakfransisidrbkarhyxnoths kmiedkwyrunchayxikkhnhnungkhux cxhn wileliym binidphyayamthicayingsmedcphrarachininath aemwathipunkhxngekhacabrrcudwykradasaelayasub karkxxachyakrrmkhxngekhakthaihmiothsthungaekchiwitid ecachayxlebirtsungthrngehnwakarlngothsechnnitharunekinip cungthrngsnbsnunihrthsphaxxkphrarachbyytikarthrystxchatipikh s 1842 Treason Act of 1842 sungrabuwakarelngpunphkyngphrarachini lxbtharayphraxngkh khwangpasingkhxngyngphraxngkh phlitpunphkhruxxawuthxntrayid txkarpraktphraxngkhdwyectnaihphraxngkhtkphrathy samarthlngothsiddwykarcakhukepnewlaecdpiaelakarekhiynti dngnnbin cungidrbothscakhukepnewlasibaepdeduxn xyangirkdi thngtwekhaaelabukhkhlxunthiidlaemidphrarachbyytiinxnakhttangkimidthukekhiynely phrarachskul smedcphrarachininathwiktxeriythrngxyuinrachwngshnonefxr aembangkhncaihrachskul d Este hrux Welf kbphraxngkh aetkmithrngcaepntxngichrachskulehlani echuxsayphraxngkhxuninrachwngshnonefxridichrachskulhnonefxrinpraethsxngkvs swnphrarachswamikhxngphraxngkhthrngxyuinrachwngsskhesin okhbwrkhaelaokthaaelahlngcakkaresdcswrrkhtkhxngsmedcphrarachininathwiktxeriy rachwngsniidkhrxngrachsmbtixngkvsdwytwbukhkhlkhux phraecaexdewirdthi 7 phrarachoxrsaelarchthayathinrachbllngk tamthrrmeniymptibtikhxngphwkphudiaelaechuxphrawngs phrryacaimidrbkarepnsmachikinbankhxngsami aetyngkhngepnkhxngbantnexngxyu dngnnsmedcphrarachininathwiktxeriycungmiidthrngxyuinrachwngsskhesin okhbwrkhaelaoktha inthanathrngepnstrismrsaelw nkwngswanwithyaidkahndrachskulkhxngphraxngkhepn fxn ewttin von Wettin sungxinghlkthancak College of Arms dngnnbangkhrngphraxngkhthrngepnruckwa xelksandrina wiktxeriy fxn ewttin rachskuledim hnonefxr khnathiecachaythrngxyuinrachwngsskhesin okhbwrkhaelaoktha rachwngseyxrmnidsubechuxsaymacaknsakhakhxngecachayexxrensaehngrachwngsewttin smedcphrarachininathwiktxeriythrngkhxihecaphnkngankahndhasakhakhxngecachayxlebirtaelarachskulinkarxphieskkhxngphraxngkhexngwaepnxnid hlngcakkartwcsxbbnthuktang cakcdhmayehtuinrachwngsskhesin okhbwrkhaelaoktha phwkekharaynganwarachskulswnphraxngkhkhxngphrarachswami inthanathiepneruxngekiywkbsmachikphraxngkhxunthnginsakhakhxngecachayexxrensaelaecachayxlebirt nnkhux ewttin hrux fxn ewttin exksartang khxngsmedcphrarachininathwiktxeriyyngbnthukthungkarimoprdchuxkhxngrachskulniiwxikdwy smedcphraecacxrcthi 5 phrarachnddakhxngphraxngkhthrngsuksathungpraedndngklawxyangthithwnxikkhrngemuxthrngepliynchuxrachskulaelarachwngsepnwindesxrinpikh s 1917 sankngantrapracarachtrakulidaecngphraxngkhthrngthrabwarachskuledimkxnkarepliynaeplngkhux ewttin inpi kh s 1958 phrarachoxngkartamkhaaenanakhxngkhnaxngkhmntriidprbepliynkartdsinicinpikh s 1917 odykarihechuxsayinsmedcphrarachininathexlisaebththi 2 bangphraxngkhichchuxrachskulepn karihichchuxrachskulniimidnamaichkbecachaychals ecachayaehngewlsaelaphraoxrsthngsxngphraxngkh aetaekhichkbechuxsayphraxngkhxunkhxngsmedcphrarachininathkbecachayfilipthiimidkhunkhrxngrachsmbtiephiyngethann tamtwbthkdhmayaelw xngkhphrapramukhthikhrxngrachy thukphraxngkh tngaetpikh s 1917 epntnipmiphrarachskul windesxr aemwacaesdcphrarachsmphphinphrarachwngshruximktamkaremuxnginyukhwiktxeriytxntnkhnarthmntrikhxngphiltxngephchiykbwikvtkarnxyanghnungsungekiywkbkareliklm phasisinkhanaekhaphwkthyphuch phwkphrrkhthxrihlay khn txnnnkepnthiruckwa khdkhankarlmelikkdhmaydngklaw aetwaphwkphrrkhthxri hrux phwkphililth aelaphwkphrrdwikodyswnmaksnbsnunkdhmayni philidlaxxkemuxpikh s 1846 hlngcakkareliklmkdhmayidphankhwamehnchxbipxyanghwudhwid aelalxrd cxhn rsesllidekhamathahnathiaethn thungaemwakhnarthmntrikhxngrsesllepnphwkwikaetkimepnthioprdprantxsmedcphrarachininath odyechphaaxyangyingthikawrawtxphraxngkhkhux phalemxrstn rthmntritangpraeths sungthakarid odyimpruksakhnarthmntri naykrthmntriaelasmedcphrarachininathxyubxykhrng inpikh s 1849 smedcphrarachininathwiktxeriythrngfakkhatietiynkblxrdrsesll odythrngxangwaphalmemxrstnidsngaethlngkarnthangrachkartang ipyngpramukhtangpraethsodythiphraxngkhimthrngrbrudwy phraxngkhthrngennyathungkarkhdkhanxyuhlaykhrnginpi kh s 1850 aetimprasbphlsaerc emuxthungpikh s 1851 lxrdphalmemxrstnidthukpldxxkcaktaaehnng odyintxnnnekhaidprakaskhwamehnchxbkhxngrthbalxngkvstxkarkxrthpraharkhxngprathanathibdihluys nopeliyn obnapartinpraethsfrngessodyimidpruksakbnaykrthmntrimakxnlwnghna inchwngewlathirsesllepnnaykrthmntriyngidehnthungkarthaihsmedcphrarachininaththrngthukkhodyswntw inpikh s 1849 kmiphuchaychawixrichthitknganaelaxarmnhngudhngidthichuxwa phyayamthaihsmedcphrarachininaththrngtkphrathyodykaryingpunbrrcudinpunkhnathirthmaphrathinngdaeniniptamthnn Constitution Hill inkrunglxndxn aehmiltnmiothstamphrarachbyytipi kh s 1842 odyyxmrbwaidkrathaphidaelarbothssungsuddwykarthukenrethsxxknxkpraethsepnewlaecdpi inpikh s 1850 smedcphrarachinithrngidrbkarbadecbemuxphraxngkhthrngthukcuocmcakorebirt ephth thikhadwaepnxditthharinkxngthphthiwiklcrit inkhnathismedcphrarachininaththrngprathbmainrthmaphrathinng ekhatiphraxngkhdwypun thaihphramalahludkraednxxkmaaelathaihphraxngkhmixakarfkcha txmaephthidthuksxbswnphicarnakhdi ekhaidrbkarphisucnwaimmikhwamwiklcritelyaelaidrbothsechnediywkbaehmiltnixraelndsmedcphrarachininathwiktxeriyinwydrunithrngtkhlumrkpraethsixraelnd odythrngeluxkthicaesdcipphkphxnthiemuxng in thixyuinrahwangkrabwnkarthithaihepnemuxngthxngethiywchnaenwhnaemuxnghnungkhxngstwrrsthi 19 khwamrkinekaaixraelndkhxngphraxngkhekhaknidkbkhwabxbxunaebbixrichchwngaerktxsmedcphrarachininathinwydruni emuxpikh s 1845 ixraelndprasbkbpyhamnfrngehiywaehngthithaihchawixrichesiychiwitipcanwnhnunglankhnmakkwasipiaelaxiklankhnidxphyphxxknxkpraethsip inkartxbsnxngpyhathitxmaideriykwa khwamxdxyakmnfrnginixraelnd Irish Potato Famine phranangthrngbricakhenginswnphraxngkh canwn 5 000 pxndsetxrling ihkbchawixrichthihiwohy noybaytang khxnglxrdrsesllidrbkartahnixyubxykhrngineruxngkarthaihkhwamxdxyakxyangrunaerngelwraymakkhunipxik thaihchawixrichhnunglankhntxngesiychiwit sungsngphlkrathbindanlbtxchuxesiyngkhxngsmedcphrarachininathinpraethsixraelnd smedcphrarachininathwiktxeriythrngepnphusnbsnunekhmaekhngtxchawixrich phraxngkhthrngsnbsnunkhwamaeyng Maynooth Grant aelaidthrngthaihekideruxngihykhnaesdceyuxnpraethsixraelnddwykaresdcipeyiymorngeriynsxnsasna karesdceyuxnixraelndxyangepnthangkarkhrngaerkkhxngsmedcphrarachininathwiktxeriyinpikh s 1849 idcdkhunxyangepnechphaakicody sungepnphuwarachaehngixraelnd hwhnaklumbriharkhxngxngkvsthiphyayamcadungkhwamsniccakeruxngkhwamxdxyakaelathaihnkkaremuxngxngkvstuntwkberuxngkhwamtungekhriydkhxngwikvtidngklawinixraelndodyphankaresdcmakhxngsmedcphrarachininath thungaemcamiphlkrathbdanlbineruxngkhwamxdxyaktxchuxesiyngkhxngsmedcphrarachininath phraxngkhkyngthrngepnthiniymchmchxbxyangephiyngphxsahrbphwkchatiniyminkarcbkarprachumphrrkhdwykarrxngephlng kxdesfedxakhwin xyangirktam inchwngkhristthswrrsthi 1870 aela 1880 khwamchunchxbinrabxbkstriyidesuxmthxylngxyangmak odyswnhnungmacaksmedcphrarachininaththrngptiesththicaesdceyuxnixraelndephuxipinkarkhdkhankartdsinickhxngethsbalemuxngdblinthicaimrwmaesdngkhwamyindikbkarxphiesksmrskhxngecachayaehngewlskbecahyingxelksandraaehngednmark aelakarprasutikhxngecachayxlebirt wiketxr phraoxrsxngkhotkhxngthngsxngphraxngkh phrabrmsathislksnsmedcphrarachininathwiktxeriy ph s 2402 wadodywinethxrhxlethxr smedcphrarachininathwiktxeriythrngptiesthkhwamkddnxnsasakcaknaykrthmntri phuwarachkarixraelndaelaaemaetsmachikinphrarachwngstang makmayinkarsrangphrarachthaninpraethsixraelnd xdithwhnaphrrkhshphaphaerngngankhxngixraelnd sungekhiynbnthukkhwamthrngcainpi kh s 1930 eruxng Ireland Dupe or Heroine ixraelnd karhlxklwnghruxwirstri odybrryaywakartdsinicdngklawkhxngphraxngkhthungwaepnhaynaaekrabxbkstriyaelakarpkkhrxngkhxngxngkvsinpraethsixraelnd smedcphrarachininathwiktxeriyesdceyuxnpraethsixraelndepnkhrngsudthayinpi kh s 1900 ephuxthrngkhxihchaychawixrichekharwminkxngthphbkxngkvsaelasurbin phwkfaykhanchatiniymtxkaresdcmaeyuxnixraelndkhxngphraxngkhnaody thiidkxtngxngkhkrhnungthichuxwa Cumann na nGaedheal smakhmaehngchawekls ephuxrwmtwknkhdkhan inxikhapitxma kriffithidichkhwamkhunekhytang thisranginchwngkarrnrngkhtxtankaresdceyuxnixraelndkhxngsmedcphrarachininathephuxsrangkhwamekhluxnihwthangkaremuxngaebbihmthieriykwa sinn ifn Sinn Fein karepnhmayecachayphrarachswamisinphrachnmdwyorkhithfxydxyangthisngsyknemuxwnthi 14 thnwakhm kh s 1861 idsrangkhwamothmnsxyangaesnsahsihkbsmedcphrarachininathwiktxeriysungidthrngtkxyuinsphaphkariwthukkhkungthawraelachlxngphraxngkhepnsidatlxdphrachnmchiphthiehlux phraxngkhthrnghlikeliyngkarpraktxngkhinthisatharnaaelaimkhxyesdcekhakrunglxndxninxikhlaypitxma karhlbphraxngkhcaksatharnchnthaihmiphranameriykeln wa aemhmayaehngwindesxr phraxngkhthrngehnecachayexdewird ecachayaehngewlsthithrngichchiwitwyeyawxyangimrxbkhxbaelaehlwihlirsara epntnehtukhxngkarsinphrachnmkhxngphrachnk smedcphrarachininaththrngphungphamhadelkchawskxtchux cxhn brawn ephimmakkhun thungkbidmikarklawxangwathrngmikhwamsmphnthaebbchusawhruxkarxphiesksmrsaebbengiyb ekidkhun aetthngsxngkhxhaepnephiyngaekhkarthaihesiychuxesiyng yxhnahnunginbthkhwamkhxngepotrenlla iwaext inhnngsuxphimphedlieml chbbwnthi 2 phvscikayn klawwa wudorw iwaext sungepnbidakhxngethxidphbkbexlisaebth obws lixxn phrarachchnniinsmedcphrarachininathexlisaebththi 2 inthswrrsthi 1980 aelaesdcmathibanephuxrbprathanphrakrayaharklangwnaelakhaxyuepnpraca khrnghnungkhxngkarrbprathanxaharkarsnthnadaeninmathungeruxngkhxngsmedcphrarachininathwiktxeriykbcxhn brawn phrarachchnnikthrngxangwaphraxngkhthrngphbexksarinhxcdhmayehtukhxngphrarachwngsthiprasathwindesxr sunginnnekhiyniwwathngsxngkhnidxphieskkn emuxthrngthamphraxngkhwathrngthaechnirkbkarkhnphbexksarchbbnn phraxngkhtrstxbwaphraxngkhidthrngephamnthingip smudbnthukelmhnungthithukkhnphbemuximnanmanibnthukkhasarphaphthikhidexaexngkhnamixakartrithutkhxngbathhlwngpracaphraxngkhsmedcphrarachininath sungekhaidyxmrbkbnkkaremuxngkhnhnungwaekhaidepnprathaninkarxphiesksmrsxyanglb rahwangsmedcphrarachininathwiktxeriykbcxhn brawn nkprawtisastraekhephiyngbangkhnkechuxkhwamnaechuxthuxkhxngsmudbnthukelmni xyangirkdi phrasphkhxngsmedcphrarachininathwiktxeriyidwanglngxyuinphrasph odymikhxngthiraluksxngchudwangiwbnphrasphtamkhwamtxngkarkhxngphraxngkh khwamuxkhxngphraxngkhcamiesuxkhlumkhxngecachayxlebirttwhnungwangxyu swnthangsaymuxcaepnesnphmkhxngbrawnwangiwkhukbrupphaphkhxngekha khawluxekiywkbkhwamsmphnthaelakarxphiesksmrsthaihphraxngkhmiphranameriykeln xikxyanghnungwa nangbrawn karplikphraxngkhxyuoddediywcaksatharnchnthaihkhwamniyminrabxbkstriyesuxmthxylngxyangmak aelaaemkrathngphlkdnihekidkhwamekhluxnihwkhxngphwksnbsnunkarepnsatharnrthephimkhunipdwy aemwaphraxngkhcathrngptibtiphrarachkrniykicmakmay aetkmiidthrngmibthbathinkarpkkhrxngmakethaidnk yngkhnghlbsxnphraxngkhxyuinphrarachthanxyangprasathblmxrlinskxtaelnd hrux tahnkxxsbxrn bn inkhnannrthsphakidkarphankdhmaychbbhnungthisakhythisudinstwrrsthi 19 khux phrarachbyytikarptirup kh s 1867 Reform Act 1867 xxkma lxrdphalmemxrstnkhdkhankarptirupkareluxktngxyangchnidhwchnfa aetsmykarepnnaykrthmntrikhxngekhahmdlnghlngcakthungaekkrrminpikh s 1865 sungexirlrsesll sungepnlxrd cxhn rsesll inxdit iddarngtaaehnngnaykrthmntriaethn caknnkepnlxrddarbi sunginsmykarepnnaykrthmntrikhxngekhakidphanphrarachbyytikarptirupxxkmaepnphlsaercplayphrachnmchiphkh s 1887 shrachxanackrbrietnihykidcdnganphrarachphithikaycnaphieskihkbsmedcphrarachininathwiktxeriy phraxngkhthrngkhrxngrachsmbtikhrbrxbpithihasibinwnthi 20 mithunayn kh s 1887 odymikarcdnganeliyngphrakrayaharsungkstriyaelaecachaycakrachwngsinyuorp 50 phraxngkhthrngidrbechiyma aemwaphraxngkhcamithrngtrahnkthungsingthicaekidkhun aetkmikarwangaephniwxyangepidephyodyphwktxsuephuxxisrphaphchawixrichthicaraebidmhawiharewstminsetxrkhnathismedcphrarachininathesdciprwminngankhxbkhunphraeca karlxbplngphrachnmkhrngniepnthiruckknwa The Jubilee Plot aephnlxbsngharinngankaycnaphiesk wntxmaphraxngkhthrngprathbinkhbwnesdc sungmarkh thewnidklawiwwa thxdyawipsudsaytatlxdsxngkhangfng inchwngewlannsmedcphrarachininathwiktxeriythrngepnxngkhphramukhxngkvsthiepnthiniymxyangsungsud phrabrmchayalksnkhxngsmedcphrarachininathwiktxeriyinnganphrarachphithiphchraphieskemuxpikh s 1897 smedcphrarachininathwiktxeriyktxngthrngxdthnkbsmykarepnnaykrthmntrikhxngwileliym exwart aekldsotnxikkhrnghnunginpi kh s 1892 hlngcakphrarachbyytipkkhrxngtnexngkhxngixraelndkhxngekhaimidrbkhaaennesiyng ekhacunglaxxkipinpikh s 1894 aelwmiphumarbhnathiaethnkhux lxrdorsebri sungsngkdphrrkhesriniymthisnbsnunlththickrwrrdiniym aelwmiphusubthxdtaaehnngnaykrthmntrikhux lxrdsxlsbri sungdarngtaaehnngnaykrthmntricwbcnkrathngsinrchkalkhxngsmedcphrarachininathwiktxeriy 22 knyayn kh s 1896 smedcphrarachininathwiktxeriythrngaesnghnasmedcphraecacxrcthi 3 inthanathiepnphrapramukhthithrngkhrxngrachsmbtiyawnanthisudinprawtisastrxngkvs skxtaelnd aelashrachxanackr phraxngkhcungthrngprasngkhiheluxnkarechlimchlxngkhxngprachachnaebbphiesstang xxkipthungpikh s 1897 phrxmphrarachphithiphchraphieskkhxngphraxngkh nay idesnxwaphrarachphithiphchraphieskkhwrcacdihepnkarechlimchlxngthwckrwrrdixngkvs dngnnnaykrthmntrikhxngxananikhmthipkkhrxngtnexngtang phrxmkbkhrxbkhrwidrbechiyihmarwminnganchlxng inkhbwnesdcthismedcphrarachininaththrngekharwmprakxbdwykxngthharcakxananikhmaeladinaedninpkkhrxngxngkvsaetlaaehng phrxmkbtharthisngmacakecakhrxngrthhruxhwhnadinaednkhxngxinediy sungkhunkbsmedcphrarachininathwiktxeriy ckrphrrdininathaehngxinediy karechlimchlxngphrarachphithiphchraphieskkidepnoxkasthiaesdngthungkhwamrkxnthwmthnxyangmaktxsmedcphrarachininathinwy 70 phrrsaess sunginkhnannidprathbxyubnrthekhn nkprawtisastrbangkhnkhidwasmedcphrarachininathwiktxeriythrngchlxngphraxngkhsikhawinphrarachphithiphchraphieskephiyngethann thungaemcamithrngsidaxyangthithrngchlxngphraxngkhmatlxdewlatngaetkarsinphrachnmkhxngphrarachswami chwngplayphrachnmchiphkhxngsmedcphrarachininathwiktxeriy shrachxanackridekhaipekiywkhxngkb sungidrbkarsnbsnunxyangkratuxruxrncakphraxngkh chiwitswnphraxngkhkthrngphbkbkhwamothmnsxyuhlaykhrng rwmthungkarsinphrachnmkhxngphrarachoxrsthngsxngphraxngkhkhux ecachayxlefrd dyukaehngskhesin okhbwrkhaelaoktha sungkkhux dyukaehngexdinbara aelaecachayeloxophld dyukaehngxxlbani aelaphrarachthidakhux ecahyingxlis txmakhux aekrnddchechsphrachayaaehngehss aelaphrarachnddasamphraxngkhkhux ecachayxlebirt wiketxr dyukaehngkhlaerns ecachayxlefrdaehngexdinbaraaelaskhesin okhbwrkhaelaoktha aelaecachaykhrisetiyn wiketxraehngchelswich hxlchitn karptibtiphrarachkrniykicindanphithikartxprachachnkhrngsudthayekidkhuninpi kh s 1899 emuxesdcipinkarwangthanhinsahrbxakharhlngihmkhxngphiphithphnthesathekhnchingtn sungepnthiruckkninpccubnkhuxswrrkhttamthrrmeniymthiidthrngptibtimatlxdtngaetkarepnhmay smedcphrarachininathwiktxeriythrngichewlainwnkhristmasthitahnkxxsbxrn ecachayxlebirt thrngxxkaebbiw xyubnekaaiwth phraxngkhesdcswrrkhtinthiaehngnndwyxakaresnphraolhitinphrasmxng aetkinsmxngemuxwnthi 22 mkrakhm kh s 1901 siriphrachnmphrrsa 81 phrrsa khnaiklswrrkhtidmiphrarachoxrs sungcakhunkhrxngrachsmbtiepnkstriyxngkhtxipaelackrphrrdiwilehlmthi 2 aehngeyxrmni phrarachnddaphraxngkhihyesdcmaefa phrarachoxrskhxngphraxngkhidykphrabrmsphlnginhibphrabrmsph sungthrngchlxngphraxngkhsikhawaelaphakhlumphraphktrxphiesksmrsxyangthimiphraprasngkhexaiw nganphrarachphithiphrabrmsphmikhuninwnthi 2 kumphaphnth aelahlngcakpradisthanphrabrmsphiwihprachachnekharphepnewlasxngwn phrabrmsphkhxngphraxngkhthukfnglngekhiyngkhangecachayxlebirtinsusanhlwngfrxkmxr prasathwindesxr enuxngcaksmedcphrarachininathwiktxeriymioprdnganphithisphsida krunglxndxncungpradbpradadwyrayathiepnsimwngaelasikhaw thicringaelwemuxphrabrmsphfnglnginsusanhlwngfrxkmxraelw himakerimtklngmathaihphundinklayepnsikhaw sungthaihaenwkhideruxngnganphrarachphithiphrabrmsphkhxngphraxngkhsmburnaebb smedcphrarachininathwiktxeriythrngkhrxngsirirachsmbtirwmthngsin 63 pi 7 eduxn 2 wn sungepnrchkalthiyawnanthisudinprawtisastrxngkvs n khnann sthitiniyngkhngxyuxikhlaythswrrs cnkrathngsmedcphrarachininathexlisaebththi 2 thrngkhrxngrachynanthalaysthitikhxngphraxngkhidinpi kh s 2015 ecachayaehngewls phrarachoxrsxngkhotinsmedcphrarachininathwiktxeriythrngsubrachsmbtiepnsmedcphraecaexdewirdthi 7 karesdcswrrkhtkhxngphraxngkhthaihkarpkkhrxngkhxngrachwngshnonefxrsinsudlnginshrachxanackrbrietnihy swnphraecaexdewirdthi 7 thrngxyuinrachwngsskhesin okhbwrkhaelaoktha sungsubthxdmacakphrachnkkhux ecachayxlebirtphrarachxisriyys24 phvsphakhm kh s 1819 20 mithunayn kh s 1837 ecahyingxelksandrina wiktxeriyaehngekhnt Her Royal Highness Princess Alexandrina Victoria of Kent 20 mithunayn kh s 1837 22 mkrakhm kh s 1901 smedcphrarachininathaehngshrachxanackr Her Majesty The Queen of the United Kingdom 1 phvsphakhm kh s 1876 22 mkrakhm kh s 1901 smedcphrackrphrrdininathaehngxinediy Her Imperial Majesty The Empress of India phrarachxisriyysetmemuxesdcswrrkhtkhux smedcphrarachininathwiktxeriy odyphrakhunkhxngphraepneca smedcphrarachininathaehngshrachxanackrbrietnihyaelaixraelnd phupkpxngsrththa smedcphrackrphrrdininathaehngxinediy traxarm nxkskxtaelnd traxarm inskxtaelnd ekhruxngrachxisriyaphrn ph s 2423 ekhruxngrachxisriyaphrnxnepnthiechidchuyingchangephuxk chnthi 1 prathmaphrnchangephuxk p ch ph s 2430 ekhruxngkhttiyrachxisriyaphrnxnmiekiyrtikhunrungeruxngyingmhackribrmrachwngs m c k fayin phrarachoxrsaelathidaduephimetimthi phrarachsnttiwngsinsmedcphrarachininathwiktxeriy ecahyingwiktxeriy phrarachkumari wiktxeriy aexdield aemri hluysa 21 phvscikayn kh s 1840 5 singhakhm kh s 1901 thrngidrbkarechlimphraxisriyysepn rachkumari emuxwnthi 19 mkrakhm kh s 1841 xphiesksmrsemuxwnthi 25 mkrakhm kh s 1858 n obsthhlwng phrarachwngesntecms krunglxndxn kbckrphrrdifridrichthi 3 aehngeyxrmni 18 tulakhm kh s 1831 15 mithunayn kh s 1888 phraecaexdewirdthi 7 xlebirt exdewird 9 phvscikayn kh s 1841 6 phvsphakhm kh s 1910 thrngdarngphraxisriyysepn dyukaehngkhxrnwxllaelaorthesy exirlaehngaekhrrikh barxnernfruw lxrdaehngixexils ecachayaelacxmthphaehngskxtaelnd tngaetaerkprasuti thrngidrbkarechlimphraxisriyysepn ecachayaehngewlsaelaexirlaehngechsetxr emuxwnthi 8 thnwakhm kh s 1841 thrngidrbkarechlimphraxisriyysepn exirlaehngdblin emuxwnthi 17 mkrakhm kh s 1850 esdckhunkhrxngrachsmbtisubtxcaksmedcphrarachininathwiktxeriy phrarachchnni emuxwnthi 22 mkrakhm kh s 1901 xphiesksmrsinwnthi 10 minakhm kh s 1863 n obsthesntcxrc prasathwindesxr kb ecahyingxelksandraaehngednmark 1 thnwakhm kh s 1844 20 phvscikayn kh s 1925 ecahyingxlis xlis mxd aemri 25 emsayn kh s 1843 14 thnwakhm kh s 1878 thrngxphiesksmrsemuxwnthi 1 krkdakhm kh s 1862 n tahnkxxsbxrn ekaaiwth kb aekrnddyukludwikthi 4 aehngehssaelairn prasuti 12 knyayn kh s 1837 sinphrachnm 13 minakhm kh s 1892 ecachayxlefrd dyukaehngexdinbaraaelaaehngskhesin okhbwrkhaelaoktha xlefrd exxrenst xlebirt 6 singhakhm kh s 1844 30 krkdakhm kh s 1900 thrngidrbkarechlimphraxisriyysepn dyukaehngexdinbara exirlaehngxlsetxraelaekhnt emuxwnthi 24 phvsphakhm kh s 1866 eswyrachsmbtisubtxcakphrapitulaepn dyukaehngskhesin okhbwrkhaelaoktha emuxwnthi 22 singhakhm kh s 1893 thrngxphiesksmrsemuxwnthi 23 mkrakhm kh s 1874 n phrarachwngvduhnaw kb aekrnddchechsmaeriy xelksandrxfnaaehngrsesiy 17 tulakhm kh s 1853 24 tulakhm kh s 1920 ecahyingehelna ehelna xxksta wiktxeriy 25 phvsphakhm kh s 1846 9 mithunayn kh s 1923 thrngxphiesksmrsemuxinwnthi 5 krkdakhm kh s 1866 n prasathwindesxr kb ecachaykhrisetiynaehngchelswich hxlchitn sxnedxrburk xxksetnburk 22 mkrakhm kh s 1831 28 tulakhm kh s 1917 ecahyingluxis luxisa aekhoriln xlebxrta 18 minakhm kh s 1848 3 thnwakhm kh s 1939 thrngxphiesksmrsemuxwnthi 21 minakhm kh s 1871 n obsthesntcxrc prasathwindesxr kb cxhn dklas suethxraelnd aekhmpebll ekid 6 singhakhm kh s 1845 tay 2 phvsphakhm kh s 1914 dyukthi 9 aehngxarkayl khahlwngtangphraxngkhaehngaekhnada 25 phvscikayn kh s 1878 22 thnwakhm kh s 1880 ecachayxarethxr dyukaehngkhxnnxtaelasaetrthexirn xarethxr wileliym aephthrik xlebirt 1 phvsphakhm kh s 1850 16 mkrakhm kh s 1942 thrngidrbkarechlimphraxisriyysepn dyukaehngkhxnnxthaelasaetrethirn exirlaehngssesks emuxwnthi 24 phvsphakhm kh s 1874 thrngdarngtaaehnngkhahlwngtangphraxngkhaehngaekhnada 13 tulakhm kh s 1911 16 tulakhm kh s 1916 thrngxphiesksmrswnthi 13 minakhm kh s 1879 n obsthesntcxrc prasathwindesxr kb ecahyinghluys markaerethaehngprsesiy prasuti 25 mithunayn ph s 2403 sinphrachnm 14 minakhm kh s 1917 ecachaylioxophld dyukaehngxxlbani lioxophld cxrc dnaekhn xlebirt 7 emsayn kh s 1853 28 minakhm kh s 1884 thrngidrbkarechlimphraxisriyysepn dyukaehngxlbani exirlaehngkhlaerns aela barxnxarkholw emuxwnthi 24 phvsphakhm kh s 1881 thrngxphiesksmrsemuxwnthi 27 emsayn kh s 1882 n obsthesntcxrc prasathwindesxr kb ecahyingehelnaaehngwledkhaelaiphrmxnth 17 kumphaphnth kh s 1861 1 knyayn kh s 1922 ecahyingebiythris ebiythris aemri wiktxeriy fioxdxr 14 emsayn kh s 1857 26 tulakhm kh s 1944 thrngxphiesksmrsemuxwnthi 23 krkdakhm kh s 1885 n obsthwippingaehm ikltahnkxxsbxrn ekaaiwth kb ecachayehnriaehngbthethnaebrk 5 tulakhm kh s 1858 20 mkrakhm kh s 1896 phrarachtrakulphngsawlikhxngsmedcphrarachininathwiktxeriy 16 phraecacxrcthi 2 aehngbrietnihy 8 ecachayefredxrik ecachayaehngewls 17 khaorlinaehngbrnedinbwrkh xnsbkh 4 smedcphraecacxrcthi 3 aehngshrachxanackr 18 9 ecahyingxxkstaaehngskhesin oktha 19 2 ecachayexdewird dyukaehngekhntaelasaetrethirn 20 10 21 ecahyingkhrisethiyn exmili aehngchwasburk snedxrsehaesin 5 charlxttaehngemkhelinbwrkh chetrliths 22 11 23 1 phranangecawiktxeriyaehngshrachxanackr 24 12 25 6 frns dyukaehngskhesin okhbwrkh salefld 26 13 27 3 ecahyingwiktxeriyaehngskhesin okhbwrkh salefld 28 14 29 ekhanetsosfi thioxodra aehngkhsethil ermlingengin 7 30 15 31 mrdktkthxdsmedcphrarachininathwiktxeriyepnphrapramukhsmyihmphraxngkhaerkkhxngpraethsxngkvs phrapramukhxngkhkxn thrngepnphuekhaipmibthbathxyangaethcringinkrabwnkarpkkhrxngbanemuxng khwamtxenuxngkhxngkarptirupdankdhmaytang thaihehnthungxanackhxngsphasamyephimmakkhun sungsngphlesiytxsphakhunnangaelasthabnkstriy ephraabthbathkhxngxngkhpramukhklayepnsylksnmakkhun nbtngaetrchkalkhxngsmedcphrarachininathwiktxeriyepntnma xngkhphrapramukh thrngmisiththicaidrbkhapruksa misiththicaaenana aelamisiththicatketuxn tamkhaklawkhxng nkhnngsuxphimphchawxngkvs inthanathisthabnkstriykhxngsmedcphrarachininathwiktxeriythrngepnthangsylksnmakkwathangkaremuxng mnkaesdngthungkarmungennxyangaekhngkhnthungkhunkhakhxngkhrxbkhrwaelasilthrrmcrrya trngkhamkberuxngxuxchawswnbukhkhl thangkarenginhruxkarlwnglaemidthangephs sungidekiywkhxngkbsmachikkhnkxn inrachwngshnonefxraelathaihsthabnkstriytxngmwhmxng rchkalkhxngsmedcphrarachininathwiktxeriyidsrangaenwkhwamkhidinkarepn sthanbnphramhakstriyaebbkhrweruxn ihkbpraethsxngkvssungchnchnklangthietibotkhunxyangrwderwsamarthrwmxyuid inthangrahwangpraeths smedcphrarachininathwiktxeriythrngepnbukhkhlthisakhyoddedn imichephiyngaekhphaphphcnhruxxiththiphlkhxngxngkvsxnphanthangckrwrrdi aetyngmacakkhwamechuxmoyngkhxngkhrxbkhrwthwthngphrarachwngstang inthwipyuorp kthaihmiphranameriykelnaebbrkikhrwa phraxyyikaaehngyuorp twxyangkhxngsphawadngklawsamarthehnidcakkhwamcringthiwaphrapramukhsamphraxngkhhlkthipraethskhxngphraxngkhidekhaipekiywkhxnginsngkhramolkkhrngthi 1odyxyukhnlafayepnphrarachnddainsmedcphrarachininathwiktxeriyhruxxphiesksmrskbhnunginphrarachnddakhxngphraxngkh phrarachoxrsaelathidaaepdinekaxngkhthrngxphiesksmrskbsmachikinphrarachwngstang khxngyuorp swnxikphraxngkhthiehluxkhux ecahyinghluys thrngxphiesksmrskbkhahlwngtangphraxngkhaehngaekhnadakhnaerk smedcphrarachininathwiktxeriythrngepnphahakhxngorkhehomfieliythiepnthiruckphraxngkhaerkinechuxsaykstriy aetyngimthrabaenchdwaphraxngkhthrngepnphahaidxyangir mnxaccaepnphlmacakkarklayphnthukhxngechuxxsuci ephraaphrachnkkhxngphraxngkhmiphrachnmayuhasibsxngphrrsaemuxthrngptisnthiinphrakhrrph xikthngyngmikhawluxwadyukaehngekhntmiichphrachnkthiaethcringkhxngsmedcphrarachininathwiktxeriy aelathicringepnphrathidakhxngesxr cxhn khxnrxy sungepnrachelkhanukarswnphraxngkhaelachurknamkrachxnchawixrichkhxngphrachnni khnamihlkthanbangxyanginkarklawxangthungkhwamsmphnthrahwangdchechskbkhxnrxy phraxngkhthrngxangkbdyukaehngewllingtnwathrngehnehtukarnrahwangthngsxngdwyphraxngkhexng aetprawtithangkaraephthykhxngkhxnrxykimaesdngthunghlkthankarepnorkhehomfieliyinkhrxbkhrwkhxngekha hruxidrbechuxphanmathangsayphuchayinkhrxbkhrwely mnnacaepnipidxyangmakwaphraxngkhthrngidrborkhehomfieliymacakphrachnni aemwacaimphbprawtikarepnorkhdngklawinrachwngskhxngphrachnni smedcphrarachininathwiktxeriymiidthrngepnorkhehomfieliy aetthrngthaythxdipyngipyngecahyingxlisaelaecahyingebiythrisinthanaphahakhxngorkh aelaecachayeloxophldthrngidrbphlkrathbcakorkhnixyangetmthi bukhkhlsungrbekhraahcakorkhehomfieliyxnodngdngthisudinphrarachsnttiwngskhxngphraxngkhepnphrarachpndda phranamwa xyangirkdi echuxsaykhxngorkhehomfieliyinsmedcphrarachininathwiktxeriynacasuysinipaelw kyngxaccamisakhathiepnorkhnihlngehluxxyuinrachwngssepn aetinpi kh s 2007 orkhehomfieliyyngmiidekidkhunmaihehnely inpi kh s 2007 xngkhphrapramukhxngkhpccubnaelaxditphrapramukhinrachwngstang khxngthwipyuorpthithrngsubechuxsaymacaksmedcphrarachininathwiktxeriykhux smedcphrarachininathaehngshrachxanackr phrarachswami smedcphrarachathibdiaehngnxrewy smedcphrarachathibdiaehngswiedn smedcphrarachathibdiaehngsepn smedcphrarachathibdiaehngkris thukpldxxkcakrachbllngk aelasmedcphrarachathibdiaehngormaeniy thukthxdxxkcakrachbllngk aelwyngmiphuxangsiththiinrachbllngkaehng aelabaedinthilwnepnphrarachsnttiwngskhxngphraxngkhdwyechnknxangxingThe Life and Times of Queen Victoria by Dorothy Marshall p 16 The Life and Times of Victoria by Dorothy Marshall p 60 Ibid Ibid p 76 xnusrnaehngrkbnluxolk 24 mi y 50 17 09 ithyrth xangxingphidphlad payrabu lt ref gt imthuktxng immikarkahndkhxkhwamsahrbxangxingchux VICTORIA 1900 Facsimile Reprint 1998 London Stationery Office ISBN 0 11 702247 0 p 86 1993 Concise Edition London J Whitaker and Sons ISBN 0 85021 232 4 pp 134 136 Court Circular Court and Social The Times 29924 London 3 July 1880 col G p 11 rachkiccanuebksa khawrbphrarachsasn 2016 03 04 thi ewyaebkaemchchin elm 4 5 phvsphakhm ph s 2430 hna 215 aehlngkhxmulxunwikimiediykhxmmxnsmisuxthiekiywkhxngkb smedcphrarachininathwiktxeriy kxnhna smedcphrarachininathwiktxeriy thdipwileliymthi 4 phramhakstriyaehngshrachxanackr rachwngshnonefxr 20 mithunayn kh s 1837 22 mkrakhm kh s 1901 exdewirdthi 7ckrphrrdiaehngomkul ckrphrrdininathaehngxinediy 1 phvsphakhm kh s 1876 22 mkrakhm kh s 1901 exdewirdthi 7