ราชวงศ์ที่สิบสองแห่งอียิปต์ ถือว่าเป็นราชวงศ์ที่อยู่ช่วงเวลาจุดรุ่งเรืองที่สุดของสมัยราชอาณาจักรกลางโดยเหล่านักไอยคุปต์วิทยา ซึ่งมักจะรวมเข้ากับราชวงศ์ที่สิบเอ็ด สิบสาม และสิบสี่ให้อยู่ในช่วงเวลาของสมัยราชอาณาจักรกลาง แต่นักวิชาการบางคนถือเพียงแค่ว่าราชวงศ์ที่สิบเอ็ดและราชวงศ์ที่สิบสองเป็นส่วนหนึ่งในสมัยราชอาณาจักรกลางเท่านั้น
ราชวงศ์ที่สิบสองแห่งอียิปต์ | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1991 ปีก่อนคริสตกาล – 1802 ปีก่อนคริสตกาล | |||||||||
รูปสลักพระสรีระส่วนบนของฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 3 จากสมัยราชวงศ์ที่สิบสอง ราว 1800 ปีก่อนคริสตกาล ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะอียิปต์แห่งรัฐ เมืองมิวนิค | |||||||||
เมืองหลวง | ทีบส์, อิทจ์-ทาวี | ||||||||
ภาษาทั่วไป | ภาษาอียิปต์ | ||||||||
ศาสนา | ศาสนาอียิปต์โบราณ | ||||||||
การปกครอง | สมบูรณาญาสิทธิราชย์ | ||||||||
ยุคประวัติศาสตร์ | ยุคทองแดง | ||||||||
• ก่อตั้ง | 1991 ปีก่อนคริสตกาล | ||||||||
• สิ้นสุด | 1802 ปีก่อนคริสตกาล | ||||||||
|
ประวัติราชวงศ์
ลำดับเหตุการณ์ภายในช่วงราชวงศ์ที่สิบสองนั้นคงที่ที่สุดในยุคใดๆ ก่อนหน้าสมัยราชอาณาจักรใหม่ บันทึกพระนามกษัตริย์แห่งตูรินได้บันทึกระยะเวลาที่ราชวงศ์นี้ปกครองพระราชอาณาจักรอยู่ที่ 213 ปี (ระหว่าง 1991–1778 ปีก่อนคริสตกาล) นักบวชมาเนโทได้ระบุว่าราชวงศ์มีศูนย์กลางปกครองอยู่ที่เมืองธีบส์ แต่จากบันทึกชั้นต้นร่วมสมัยเป็นที่ชัดเจนว่าฟาโรห์พระองค์แรกจากราชวงศ์นี้พระนามว่า อเมนเอมฮัตที่ 1 ได้ทรงย้ายเมืองหลวงไปยังเมืองใหม่ที่มีนามว่า "อเมนเอมฮัต-อิทจ์-ทาวี" ("อเมนเอมฮัต ผู้ทรงยึดครองทั้งสองดินแดน") หรือเรียกอย่างง่ายว่า อิทจ์ทาวี ซึ่งยังไม่ทราบที่ตั้งเมืองโบราณแห่งนี้ แต่สันนิษฐานว่าจะอยู่ใกล้เมืองฟัยยูม ซึ่งอาจจะตั้งใกล้สุสานหลวงที่อัลลิชต์
ลำดับของผู้ปกครองจากราชวงศ์ที่สิบสองนั้นเป็นที่ทราบอย่างดีจากหลายแหล่งหลักฐานคือ บันทึกพระนามกษัตริย์จำนวนสองรายการที่บันทึกไว้ในวิหารในเมืองอไบดอส และอีกหนึ่งบันทึกที่เมืองซัคคารา รวมถึงบันทึกพระนามที่ได้จากงานเขียนของมาเนโท ซึ่งบันทึกไว้ในรัชสมัยของฟาโรห์เซนุสเรสที่ 3 สามารถสัมพันธ์กับวัฏจักรโซทิก ดังนั้น เหตุการณ์มากมายภายในราชวงศ์นี้มักถูกกำหนดให้เป็นปีใดปีหนึ่ง
บันทึกทางประวัติศาสตร์จากช่วงเวลาดังกล่าวที่กล่าวถึงพระราชมารดาของฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 1 ว่ามาจากบริเวณแอลเลเฟนไทน์ หรือ ตา-เซติ โดยนักวิชาการหลายคนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแย้งว่าพระราชมารดาของฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 1 น่าจะมาจากดินแดนนิวเบีย
รายพระนามฟาโรห์แห่งราชวงศ์ที่สิบสองแห่งอียิปต์
พระนาม | พระนามฮอรัส | รูปภาพ | รัชสมัย | พีระมิด | พระมเหสี |
---|---|---|---|---|---|
อเมนเอมฮัตที่ 1 | เซเฮเทปอิบเร | 1991 – 1962 ปีก่อนคริสตกาล | พีระมิดแห่งอเมนเอมฮัตที่ 1 | เนเฟริทาทเจเนน | |
เซนุสเรตที่ 1 (เซซอสทริสที่ 1) | เคเปอร์คาเร | 1971 – 1926 ปีก่อนคริสตกาล | พีระมิดแห่งเซนุสเรตที่ 1 | เนเฟรูที่ 3 | |
อเมนเอมฮัตที่ 2 | นุบเคาเร | 1929 – 1895 ปีก่อนคริสตกาล | พีระมิดขาว | คาเนเฟรู เคมินุบ? | |
เซนุสเรตที่ 2 (เซซอสทริสที่ 2) | คาเคเปอร์เร | 1897 – 1878 ปีก่อนคริสตกาล | ที่ | ||
เซนุสเรตที่ 3 (เซซอสทริสที่ 3) | คาเคาเร | 1878 – 1839 ปีก่อนคริสตกาล | ที่ดาห์ชูร์ | เมเรตเซเกอร์ | |
อเมนเอมฮัตที่ 3 | นิมาอัตเร | 1860 – 1814 ปีก่อนคริสตกาล | ที่ | อาอัต
| |
อเมนเอมฮัตที่ 4 | มาอาเครูเร | 1815 – 1806 ปีก่อนคริสตกาล | (สันนิษฐาน) | ||
โซเบคเนเฟรู | โซเบคคาเร | 1806 – 1802 ปีก่อนคริสตกาล | (สันนิษฐาน) |
ผู้ปกครองที่เป็นที่ทราบของราชวงศ์ที่สิบสอง มีดังนี้
ฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 1
ราชวงศ์ที่สิบสองสถาปนาขึ้นโดยฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 1 ซึ่งอาจจะเป็นราชมนตรีของฟาโรห์พระองค์สุดท้ายของราชวงศ์ที่สิบเอ็ดพระนามว่า ฟาโรห์เมนทูโฮเทปที่ 4 กองทัพของพระองค์เคลื่อนทัพไปทางใต้ไกลถึงแก่งน้ำตกที่สองของแม่น้ำไนล์และถึงทางตอนใต้คานาอัน นอกจากนี้พระองค์ยังทรงสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับดินแดนคานาอันแห่งไบบลอสและผู้ปกครองชาวกรีกในทะเลอีเจียน พระองค์เป็นพระราชบิดาของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 1
ฟาโรห์เซนุสเรตที่ 1
ฟาโรห์เซนุสเรตที่ 1 ทรงโปรดให้ส่งคณะสำรวจเดินทางลงใต้ไปยังแก่งน้ำตกที่สามของแม่น้ำไนล์ต่อจากพระราชบิดาของพระองค์
ฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 2
ฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 2 ทรงเป็นฟาโรห์ในช่วงเวลาที่สงบสุข
ฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2
ฟาโรห์เซนุสเรตที่ 2 ก็ทรงพอพระราชหฤทัยที่จะทรงอยู่อย่างสงบ
ฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3
เมื่อพบว่าดินแดนนิวเบียเกิดความมากขึ้นในรัชสมัยผู้ปกครองพระองค์ก่อน ฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3 จึงทรงส่งคณะสำรวจไปยังดินแดนแห่งนิวเบีย นอกจากนี้พระองค์ยังทรงส่งคณะสำรวจไปยัง การดำเนินการทางทหารของพระองค์ทำให้เกิดตำนานของนักรบผู้ยิ่งใหญ่นาม ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เล่าขานโดยมาเนโธ, เฮโรโดตัส และ โดยที่มาเนโธกล่าวว่า เซโซสทริส ในตำนานนั้นไม่เพียงพิชิตดินแดนเช่นเดียวกับฟาโรห์เซนุสเรตที่ 1 เท่านั้น แต่ยังพิชิตบางส่วนของคานาอันและข้ามไปยังยุโรปเพื่อผนวกเธรซ อย่างไรก็ตาม ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งในอียิปต์หรืองานเขียนร่วมสมัยอื่นๆ ที่ยืนยันคำกล่าวอ้างเพิ่มเติมของมาเนโธ
ฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 3
ฟาโรห์อเมนเอมเฮตที่ 3 ทรงเป็นผู้สืบทอดพระราชบัลลังก์ของฟาโรห์เซนุสเรตที่ 3 และยังทรงดำเนินการทางนโยบายต่างประเทศของผู้ปกครองก่อนหน้าของพระองค์อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม หลังจากรัชสมัยของฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 3 พระราชอำนาจของราชวงศ์ที่สิบสองก็ถูกใช้ไปอย่างมหาศาล และปัญหาที่เพิ่มขึ้นในการปกครองก็ตกเป็นของผู้ปกครองพระองค์สุดท้ายของราชวงศ์พระนามว่า โซเบคเนเฟรู เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น ฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 3 ทรงเป็นที่จดจำสำหรับวิหารพระบรมศพที่ฮาวาราที่พระองค์ทรงโปรดให้สร้างขึ้น ซึ่งเฮโรโดตัส และ และสตราโบรู้จักในนาม "เขาวงกต" นอกจากนี้ ในรัชสมัยของพระองค์ มีการใช้ประโยชน์กับที่ลุ่มฟัยยูมเป็นครั้งแรก
ฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 4
ฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 4 ทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 3 ผู้เป็นพระราชบิดา และทรงปกครองอยู่ประมาณเก้าปี
ฟาโรห์โซเบคเนเฟรู
ฟาโรห์โซเบคเนเฟรู เป็นพระราชธิดาของฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 3 โดยที่พระองค์ทรงถูกทิ้งให้อยู่กับปัญหาทางราชการที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งถูกบันทึกไว้ว่าเกิดขึ้นในรัชสมัยของพระราชบิดาของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 4 ซึ่งเชื่อว่าเป็นพระเชษฐาของพระองค์หรือพระเชษฐาต่างพระราชมารดาหรือพระเชษฐาบุญธรรม เมื่อฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 4 สวรรคต พระองค์ทรงกลายเป็นรัชทายาท เพราะพระภคินีของพระองค์พระนามว่า เนเฟรูพทาห์ ซึ่งทรงน่าจะเป็นรัชทายาทลำดับต่อไปในการปกครอง ซึ่งสิ้นพระชนม์ไปก่อนหน้าแล้วตั้งแต่พระชนมายุยังน้อย ฟาโรห์โซเบคเนเฟรูทรงเป็นฟาโรห์พระองค์สุดท้ายของราชวงศ์ที่สิบสอง ไม่มีบันทึกว่าพระองค์ทรงมีองค์รัชทายาท นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีรัชกาลที่ค่อนข้างสั้น และได้มีการเปลี่ยนแปลงในการสืบสันตติวงศ์ ซึ่งพระราชบัลลังก์อาจจะตกเป็นของรัชทายาทที่ไม่เกี่ยวข้องทางสายเลือดกับฟาโรห์อเมนเอมฮัตที่ 4
วรรณกรรมอียิปต์โบราณ
ในช่วงราชวงศ์ที่สิบสอง ได้รับการพัฒนาอย่างมาก ผลงานบางชิ้นที่รู้จักกันดีในช่วงเวลาดังกล่าว คือ เรื่องราวแห่งซินูเฮ ซึ่งมีสำเนาของบันทึกปาปิรุสหลายร้อยเล่มยังคงหลงเหลืออยู่ นอกจากนี้ ในสมัยราชวงศ์ที่สิบสองยังมีตำราคำสอนอีกหลายเล่ม เช่น ตำราคำสอนแห่งอเมเนมเฮตและ
นอกจากนี้ ฟาโรห์แห่งราชวงศ์ที่สิบสองถึงสิบแปดยังทรงการเก็บรักษาบันทึกปาปิรุสอียิปต์ที่โดดเด่นที่สุด และบางส่วนซึ่งหลงเหลือรอดมาจนถึงทุกปัจจุบัน ได้แก่
- 1900 ปีก่อนคริสตกาล –
- 1800 ปีก่อนคริสตกาล –
- 1800 ปีก่อนคริสตกาล –
- 1650 ปีก่อนคริสตกาล –
- 1600 ปีก่อนคริสตกาล –
- 1550 ปีก่อนคริสตกาล –
อ้างอิง
- Arnold, Dorothea (1991). "Amenemhat I and the Early Twelfth Dynasty at Thebes". Metropolitan Museum Journal. The Metropolitan Museum of Art. 26: 5–48. doi:10.2307/1512902. JSTOR 1512902.
- Shaw, Ian, บ.ก. (2000). The Oxford History of Ancient Egypt. Oxford: Oxford University Press. p. 159.
- Parker, Richard A., "The Sothic Dating of the Twelfth and Eighteenth Dynasties," in Studies in Honor of George R. Hughes, 1977 [1]
- "Then a king will come from the South, Ameny, the justified, by name, son of a woman of Ta-seti, child of Upper Egypt""The Beginning of the Twelfth Dynasty". Kingship, Power, and Legitimacy in Ancient Egypt: From the Old Kingdom to the Middle Kingdom. Cambridge University Press: 138–160. 2020.
- "Ammenemes himself was not a Theban but the son of a woman from Elephantine called Nofret and a priest called Sesostris (‘The man of the Great Goddess’).",Grimal, Nicolas (1994). A History of Ancient Egypt. Wiley-Blackwell (July 19, 1994). p. 159.
- "Senusret, a commoner as the father of Amenemhet, his mother, Nefert, came from the area Elephantine."A. Clayton, Peter (2006). Chronicle of the Pharaohs: The Reign-by-Reign Record of the Rulers and Dynasties of Ancient Egypt. Thames & Hudson. p. 78.
- "Amenemhet I was a commoner, the son of one Sen- wosret and a woman named NEFRET, listed as prominent members of a family from ELEPHANTINE Island."Bunson, Margaret (2002). Encyclopedia of Ancient Egypt (Facts on File Library of World History). Facts on File. p. 25.
- General History of Africa Volume II - Ancient civilizations of Africa (ed. G Moktar). UNESCO. p. 152.
- Crawford, Keith W. (1 December 2021). "Critique of the "Black Pharaohs" Theme: Racist Perspectives of Egyptian and Kushite/Nubian Interactions in Popular Media". African Archaeological Review (ภาษาอังกฤษ). 38 (4): 695–712. doi:10.1007/s10437-021-09453-7. ISSN 1572-9842. S2CID 238718279.
- Jr, Richard A. Lobban (10 April 2021). Historical Dictionary of Ancient Nubia (ภาษาอังกฤษ). Rowman & Littlefield. ISBN .
- Morris, Ellen (6 August 2018). Ancient Egyptian Imperialism (ภาษาอังกฤษ). John Wiley & Sons. p. 72. ISBN .
- Van de Mieroop, Marc (2021). A history of ancient Egypt (Second ed.). Chichester, West Sussex. p. 99. ISBN .
- Fletcher, Joann (2017). The story of Egypt : the civilization that shaped the world (First Pegasus books paperback ed.). New York. pp. Chapter 12. ISBN .
- Smith, Stuart Tyson (8 October 2018). "Ethnicity: Constructions of Self and Other in Ancient Egypt". Journal of Egyptian History. 11 (1–2): 113–146. doi:10.1163/18741665-12340045. ISSN 1874-1665.
- Aidan Dodson, Dyan Hilton: The Complete Royal Families of Ancient Egypt. The American University in Cairo Press, London 2004
- Dodson, Hilton, The Complete Royal Families of Egypt, 2004, p. 98.
- Ryholt, The Political Situation in Egypt during the Second Intermediate Period (1997), p. 15.
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
rachwngsthisibsxngaehngxiyipt thuxwaepnrachwngsthixyuchwngewlacudrungeruxngthisudkhxngsmyrachxanackrklangodyehlankixykhuptwithya sungmkcarwmekhakbrachwngsthisibexd sibsam aelasibsiihxyuinchwngewlakhxngsmyrachxanackrklang aetnkwichakarbangkhnthuxephiyngaekhwarachwngsthisibexdaelarachwngsthisibsxngepnswnhnunginsmyrachxanackrklangethannrachwngsthisibsxngaehngxiyipt1991 pikxnkhristkal 1802 pikxnkhristkalrupslkphrasriraswnbnkhxngfaorhxemnexmhtthi 3 caksmyrachwngsthisibsxng raw 1800 pikxnkhristkal inphiphithphnthsilpaxiyiptaehngrth emuxngmiwnikhemuxnghlwngthibs xithc thawiphasathwipphasaxiyiptsasnasasnaxiyiptobrankarpkkhrxngsmburnayasiththirachyyukhprawtisastryukhthxngaedng kxtng1991 pikxnkhristkal sinsud 1802 pikxnkhristkalkxnhna thdiprachwngsthisibexdaehngxiyipt rachwngsthisibsamaehngxiyiptprawtirachwngsladbehtukarnphayinchwngrachwngsthisibsxngnnkhngthithisudinyukhid kxnhnasmyrachxanackrihm bnthukphranamkstriyaehngturinidbnthukrayaewlathirachwngsnipkkhrxngphrarachxanackrxyuthi 213 pi rahwang 1991 1778 pikxnkhristkal nkbwchmaenothidrabuwarachwngsmisunyklangpkkhrxngxyuthiemuxngthibs aetcakbnthukchntnrwmsmyepnthichdecnwafaorhphraxngkhaerkcakrachwngsniphranamwa xemnexmhtthi 1 idthrngyayemuxnghlwngipyngemuxngihmthiminamwa xemnexmht xithc thawi xemnexmht phuthrngyudkhrxngthngsxngdinaedn hruxeriykxyangngaywa xithcthawi sungyngimthrabthitngemuxngobranaehngni aetsnnisthanwacaxyuiklemuxngfyyum sungxaccatngiklsusanhlwngthixllicht ladbkhxngphupkkhrxngcakrachwngsthisibsxngnnepnthithrabxyangdicakhlayaehlnghlkthankhux bnthukphranamkstriycanwnsxngraykarthibnthukiwinwiharinemuxngxibdxs aelaxikhnungbnthukthiemuxngskhkhara rwmthungbnthukphranamthiidcaknganekhiynkhxngmaenoth sungbnthukiwinrchsmykhxngfaorhesnusersthi 3 samarthsmphnthkbwtckrosthik dngnn ehtukarnmakmayphayinrachwngsnimkthukkahndihepnpiidpihnung bnthukthangprawtisastrcakchwngewladngklawthiklawthungphrarachmardakhxngfaorhxemnexmhtthi 1 wamacakbriewnaexlelefnithn hrux ta esti odynkwichakarhlaykhninchwngimkipithiphanmaaeyngwaphrarachmardakhxngfaorhxemnexmhtthi 1 nacamacakdinaednniwebiyrayphranamfaorhaehngrachwngsthisibsxngaehngxiyiptfaorhaehngrachwngsthisibsxng phranam phranamhxrs rupphaph rchsmy phiramid phramehsixemnexmhtthi 1 esehethpxiber 1991 1962 pikxnkhristkal phiramidaehngxemnexmhtthi 1 enefrithathecennesnusertthi 1 essxsthristhi 1 ekhepxrkhaer 1971 1926 pikxnkhristkal phiramidaehngesnusertthi 1 enefruthi 3xemnexmhtthi 2 nubekhaer 1929 1895 pikxnkhristkal phiramidkhaw khaenefru ekhminub esnusertthi 2 essxsthristhi 2 khaekhepxrer 1897 1878 pikxnkhristkal thi onefrtthi 2 esnusertthi 3 essxsthristhi 3 khaekhaer 1878 1839 pikxnkhristkal thidahchur emertesekxr enefirtehnuth ekhenemtenefxrehdectthi 2 sithathxryurientxemnexmhtthi 3 nimaxter 1860 1814 pikxnkhristkal thi xaxtxemnexmhtthi 4 maxaekhruer 1815 1806 pikxnkhristkal snnisthan osebkhenefru osebkhkhaer 1806 1802 pikxnkhristkal snnisthan phupkkhrxngthiepnthithrabkhxngrachwngsthisibsxng midngni faorhxemnexmhtthi 1 rachwngsthisibsxngsthapnakhunodyfaorhxemnexmhtthi 1 sungxaccaepnrachmntrikhxngfaorhphraxngkhsudthaykhxngrachwngsthisibexdphranamwa faorhemnthuohethpthi 4 kxngthphkhxngphraxngkhekhluxnthphipthangitiklthungaekngnatkthisxngkhxngaemnainlaelathungthangtxnitkhanaxn nxkcakniphraxngkhyngthrngsrangkhwamsmphnththangkarthutkbdinaednkhanaxnaehngibblxsaelaphupkkhrxngchawkrikinthaelxieciyn phraxngkhepnphrarachbidakhxngfaorhesnusertthi 1 faorhesnusertthi 1 faorhesnusertthi 1 thrngoprdihsngkhnasarwcedinthanglngitipyngaekngnatkthisamkhxngaemnainltxcakphrarachbidakhxngphraxngkh faorhxemnexmhtthi 2 rupslkthiswmmngkutsiaedngaehngxiyiptlangaelaibhnathisathxnthunglksnakhxngfaorhphukhrxngrachy nacaepnfaorhxemnexmhtthi 2 hruxfaorhesnusertthi 2 rupslkdngklawthahnathiepnphuphithksxnskdisiththisahrb aelaswmkraoprngsnskdisiththi sungaesdngihehnwarupslkimidepnephiyngtwaethnkhxngphupkkhrxngthimiphrachnmchiph faorhxemnexmhtthi 2 thrngepnfaorhinchwngewlathisngbsukh faorhesnusertthi 2 rupslkswnphraesiyrkhxngfaorhesnusertthi 3 thimilksnaxxneyaw cakchwngrachwngsthisibsxng raw 1870 pikxnkhristkal phiphithphnthsilpaxiyiptaehngrththimiwnikfaorhosebkhenefru thrngepnphupkkhrxngphraxngkhsudthaykhxngrachwngsthisibsxngaehngxiyiptcarukaehngxbkhaxu srangkhuninchwngsmyrachwngsthisibsxng faorhesnusertthi 2 kthrngphxphrarachhvthythicathrngxyuxyangsngb faorhesnusertthi 3 emuxphbwadinaednniwebiyekidkhwammakkhuninrchsmyphupkkhrxngphraxngkhkxn faorhesnusertthi 3 cungthrngsngkhnasarwcipyngdinaednaehngniwebiy nxkcakniphraxngkhyngthrngsngkhnasarwcipyng kardaeninkarthangthharkhxngphraxngkhthaihekidtanankhxngnkrbphuyingihynam sungepneruxngrawthielakhanodymaenoth ehorodts aela odythimaenothklawwa esossthris intanannnimephiyngphichitdinaednechnediywkbfaorhesnusertthi 1 ethann aetyngphichitbangswnkhxngkhanaxnaelakhamipyngyuorpephuxphnwkethrs xyangirktam immibnthukekiywkbchwngewladngklaw thnginxiyipthruxnganekhiynrwmsmyxun thiyunynkhaklawxangephimetimkhxngmaenoth faorhxemnexmhtthi 3 faorhxemnexmehtthi 3 thrngepnphusubthxdphrarachbllngkkhxngfaorhesnusertthi 3 aelayngthrngdaeninkarthangnoybaytangpraethskhxngphupkkhrxngkxnhnakhxngphraxngkhxikkhrng xyangirktam hlngcakrchsmykhxngfaorhxemnexmhtthi 3 phrarachxanackhxngrachwngsthisibsxngkthukichipxyangmhasal aelapyhathiephimkhuninkarpkkhrxngktkepnkhxngphupkkhrxngphraxngkhsudthaykhxngrachwngsphranamwa osebkhenefru ephuxaekikhpyhaehlann faorhxemnexmhtthi 3 thrngepnthicdcasahrbwiharphrabrmsphthihawarathiphraxngkhthrngoprdihsrangkhun sungehorodts aela aelastraobruckinnam ekhawngkt nxkcakni inrchsmykhxngphraxngkh mikarichpraoychnkbthilumfyyumepnkhrngaerk faorhxemnexmhtthi 4 faorhxemnexmhtthi 4 thrngkhunkhrxngrachytxcakfaorhxemnexmhtthi 3 phuepnphrarachbida aelathrngpkkhrxngxyupramanekapi faorhosebkhenefru faorhosebkhenefru epnphrarachthidakhxngfaorhxemnexmhtthi 3 odythiphraxngkhthrngthukthingihxyukbpyhathangrachkarthiyngimidrbkaraekikh sungthukbnthukiwwaekidkhuninrchsmykhxngphrarachbidakhxngphraxngkh emuxphraxngkhthrngkhunkhrxngrachytxcakfaorhxemnexmhtthi 4 sungechuxwaepnphraechsthakhxngphraxngkhhruxphraechsthatangphrarachmardahruxphraechsthabuythrrm emuxfaorhxemnexmhtthi 4 swrrkht phraxngkhthrngklayepnrchthayath ephraaphraphkhinikhxngphraxngkhphranamwa enefruphthah sungthrngnacaepnrchthayathladbtxipinkarpkkhrxng sungsinphrachnmipkxnhnaaelwtngaetphrachnmayuyngnxy faorhosebkhenefruthrngepnfaorhphraxngkhsudthaykhxngrachwngsthisibsxng immibnthukwaphraxngkhthrngmixngkhrchthayath nxkcakni phraxngkhyngthrngmirchkalthikhxnkhangsn aelaidmikarepliynaeplnginkarsubsnttiwngs sungphrarachbllngkxaccatkepnkhxngrchthayaththiimekiywkhxngthangsayeluxdkbfaorhxemnexmhtthi 4wrrnkrrmxiyiptobraninchwngrachwngsthisibsxng idrbkarphthnaxyangmak phlnganbangchinthiruckkndiinchwngewladngklaw khux eruxngrawaehngsinueh sungmisaenakhxngbnthukpapirushlayrxyelmyngkhnghlngehluxxyu nxkcakni insmyrachwngsthisibsxngyngmitarakhasxnxikhlayelm echn tarakhasxnaehngxemenmehtaela nxkcakni faorhaehngrachwngsthisibsxngthungsibaepdyngthrngkarekbrksabnthukpapirusxiyiptthioddednthisud aelabangswnsunghlngehluxrxdmacnthungthukpccubn idaek 1900 pikxnkhristkal 1800 pikxnkhristkal 1800 pikxnkhristkal 1650 pikxnkhristkal 1600 pikxnkhristkal 1550 pikxnkhristkal xangxingArnold Dorothea 1991 Amenemhat I and the Early Twelfth Dynasty at Thebes Metropolitan Museum Journal The Metropolitan Museum of Art 26 5 48 doi 10 2307 1512902 JSTOR 1512902 Shaw Ian b k 2000 The Oxford History of Ancient Egypt Oxford Oxford University Press p 159 Parker Richard A The Sothic Dating of the Twelfth and Eighteenth Dynasties in Studies in Honor of George R Hughes 1977 1 Then a king will come from the South Ameny the justified by name son of a woman of Ta seti child of Upper Egypt The Beginning of the Twelfth Dynasty Kingship Power and Legitimacy in Ancient Egypt From the Old Kingdom to the Middle Kingdom Cambridge University Press 138 160 2020 Ammenemes himself was not a Theban but the son of a woman from Elephantine called Nofret and a priest called Sesostris The man of the Great Goddess Grimal Nicolas 1994 A History of Ancient Egypt Wiley Blackwell July 19 1994 p 159 Senusret a commoner as the father of Amenemhet his mother Nefert came from the area Elephantine A Clayton Peter 2006 Chronicle of the Pharaohs The Reign by Reign Record of the Rulers and Dynasties of Ancient Egypt Thames amp Hudson p 78 Amenemhet I was a commoner the son of one Sen wosret and a woman named NEFRET listed as prominent members of a family from ELEPHANTINE Island Bunson Margaret 2002 Encyclopedia of Ancient Egypt Facts on File Library of World History Facts on File p 25 General History of Africa Volume II Ancient civilizations of Africa ed G Moktar UNESCO p 152 Crawford Keith W 1 December 2021 Critique of the Black Pharaohs Theme Racist Perspectives of Egyptian and Kushite Nubian Interactions in Popular Media African Archaeological Review phasaxngkvs 38 4 695 712 doi 10 1007 s10437 021 09453 7 ISSN 1572 9842 S2CID 238718279 Jr Richard A Lobban 10 April 2021 Historical Dictionary of Ancient Nubia phasaxngkvs Rowman amp Littlefield ISBN 9781538133392 Morris Ellen 6 August 2018 Ancient Egyptian Imperialism phasaxngkvs John Wiley amp Sons p 72 ISBN 978 1 4051 3677 8 Van de Mieroop Marc 2021 A history of ancient Egypt Second ed Chichester West Sussex p 99 ISBN 1119620872 Fletcher Joann 2017 The story of Egypt the civilization that shaped the world First Pegasus books paperback ed New York pp Chapter 12 ISBN 1681774569 Smith Stuart Tyson 8 October 2018 Ethnicity Constructions of Self and Other in Ancient Egypt Journal of Egyptian History 11 1 2 113 146 doi 10 1163 18741665 12340045 ISSN 1874 1665 Aidan Dodson Dyan Hilton The Complete Royal Families of Ancient Egypt The American University in Cairo Press London 2004 Dodson Hilton The Complete Royal Families of Egypt 2004 p 98 Ryholt The Political Situation in Egypt during the Second Intermediate Period 1997 p 15