มันแกว | |
---|---|
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Plantae |
หมวด: | Magnoliophyta |
ชั้น: | Magnoliopsida |
อันดับ: | Fabales |
วงศ์: | Fabaceae |
วงศ์ย่อย: | Faboideae |
สกุล: | |
สปีชีส์: | P. erosus |
ชื่อทวินาม | |
Pachyrhizus erosus (L.) | |
ชื่อพ้อง | |
|
คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม (3.5 ออนซ์) | |
---|---|
พลังงาน | 159 กิโลจูล (38 กิโลแคลอรี) |
8.82 g | |
น้ำตาล | 1.8 g |
ใยอาหาร | 4.9 g |
0.09 g | |
0.72 g | |
วิตามิน | |
ไทอามีน (บี1) | (2%) 0.02 มก. |
ไรโบเฟลวิน (บี2) | (2%) 0.029 มก. |
ไนอาซิน (บี3) | (1%) 0.2 มก. |
(3%) 0.135 มก. | |
วิตามินบี6 | (3%) 0.042 มก. |
โฟเลต (บี9) | (3%) 12 μg |
คลอรีน | (3%) 13.6 มก. |
วิตามินซี | (24%) 20.2 มก. |
แร่ธาตุ | |
แคลเซียม | (1%) 12 มก. |
เหล็ก | (5%) 0.6 มก. |
แมกนีเซียม | (3%) 12 มก. |
แมงกานีส | (3%) 0.06 มก. |
ฟอสฟอรัส | (3%) 18 มก. |
โพแทสเซียม | (3%) 150 มก. |
โซเดียม | (0%) 4 มก. |
สังกะสี | (2%) 0.16 มก. |
Link to USDA Database entry | |
ประมาณร้อยละคร่าว ๆ โดยใช้การแนะนำของสหรัฐสำหรับผู้ใหญ่ แหล่งที่มา: USDA FoodData Central |
มันแกว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Pachyrhizus erosus; อังกฤษ: Mexican turnip หรือ jicama หรือ yam bean) เป็นพืชตระกูลถั่ว มีญาติใกล้ชิดคือถั่วเหลือง ลักษณะต้นมันแกวเป็นเลื้อย หัวอวบใหญ่ขยายจากรากแก้ว โคนตันเนื้อแข็ง ใบประกอบด้วย 3 ใบย่อยขอบจักใหญ่ ดอกมีสีขาวหรือชมพูเป็นช่อ เมล็ดมีสีเหลือง สีน้ำตาล ทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสแบน มันแกว 1 ต้นมีเพียงหัวเดียว ส่วนที่ใช้รับประทานคือส่วนของรากแก้ว ชาวเม็กซิโกชอบรับประทานมันแกวตั้งแต่สมัยอารยธรรมมายาและ นิยมใช้เป็นอาหารว่าง ใส่น้ำมะนาว พริกผง และเกลือ
ประวัติ
มันแกว (P. erosus) เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศเม็กซิโก และแถบอเมริกากลาง ทางใต้สุดที่คอสตาริกา โดยพบหลักฐานการปลูกจากแหล่งโบราณคดีที่เปรูซึ่งมีอายุประมาณ 3,000ปี และนำเข้าไปปลูกในประเทศแถบทวีปเอเชียโดยชาวสเปน จากเส้นทางอะคาปุลโก-ฟิลิปปินส์ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ จีน อินโดจีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย อินเดีย และแอฟริกา ในประเทศไทยมันแถวมีอยู่ 2 ชนิดคือ พันธุ์หัวใหญ่ และพันธุ์หัวเล็ก อาจจะมีชื่อเรียกต่างกันไปตามแต่ภูมิภาคได้แก่ ภาคใต้เรียกว่า "หัวแปะกัวะ" ภาคเหนือเรียกว่า "มันละแวก" "มันลาว" ส่วนภาคอีสานเรียกว่า "มันเพา" นอกจากนี้ยังอาจเรียกด้วยชื่ออื่น ๆ เช่น "เครือเขาขน" "ถั้วบ้ง" และ "ถั่วกินหัว"
ชื่ออื่น
มันแกว มีชื่อสามัญอื่นเรียกในภาษาต่าง ๆ ได้แก่
ชื่อภาษาอินโดนีเซีย: bengkuang (ชื่อในภาษาชวา bengkowang; ภาษาซุนดา bangkuang)
ชื่อภาษามลายู: sengkuwang, bengkuwang, mengkuwang
ชื่อภาษาตากาล็อก: singkamas (ซิงกามาส)
ชื่อภาษาเวียดนาม: cây củ đậu (ภาคเหนือ), sắn nước (ภาคใต้).
ชื่อภาษาลาว: ມັນເພົາ (มันเพา)
ชื่อภาษาอีสาน (ประเทศไทย) : มันเพา
ชื่อภาษาเขมร: ប៉ិគក់ (เบะ-โกก)
ชื่อภาษาพม่า: ပဲစိမ်းစားပင် (pell hcaim hcarr pain)
ชื่อภาษาจีน: 凉薯 (เหลียงสู) แปลตามตัวว่า มันเย็น, 豆薯 (จีนภาคเหนือ หูหนาน - โต้วสู ถั่วกินหัว หรือ ถั่วหัวมัน), 番葛 (หมิ่นหนาน - ฟานเก๋อ), 沙葛 (กว่างตุ้ง - ซากอต), 芒光 (แต้จิ๋ว - หมังกวง เรียกทับศัพท์ตามภาษามลายู)
อนุกรมวิธานและการกระจายพันธุ์
มันแกว (Pachyrhizus erosus) เป็นพืช 1 ในอย่างน้อย 4-5 ชนิดของสกุลมันแกว(Pachyrhizus) คือ
- มันแกว หรือ มันแกวเม็กซิโก (Pachyrhizus erosus) — พืชพื้นเมืองอเมริกากลาง เป็นชนิดพันธุ์ที่ปลูกในประเทศไทย ซึ่งสันนิษฐานว่าผ่านทางฟิลิปปินส์โดยชาวสเปน และนำเข้ามายังจีนใต้และอินโดจีน และสู่ประเทศไทย
- มันแกวแอมะซอน (Amazonnian yam bean) หรือ jiquima, หรือ jacatupe (Pachyrhizus tuberosus) — มีความหลากหลายของสายพันธุ์ถึง 11 ชนิดย่อยตามแหล่งเพาะปลูกในเขตร้อนในเขตที่ราบลุ่มต้นน้ำแอมะซอนในเปรูและเอกวาดอร์ แบ่งเป็น 4 กลุ่มคือ Jíquima (เอกวาดอร์ชายฝั่งทะเล), Ashipa (กระจายทั่วไปในที่ลุ่มน้ำแอมะซอนตะวันตก), Chuin (ตลอดเส้นทางแม่น้ำเปรู), Yushpe (ปลูกเฉพาะในท้องถิ่นของเปรู) อาจพบในบางส่วนของบราซิล, โคลัมเบีย และเวเนซุเอลา
- มันแกวแอนดีส หรือ ahipa หรือ ajipa (Pachyrhizus ahipa) — พบในภูมิภาคที่ราบสูงโบลิเวียทางตะวันตกของอเมริกาใต้ ในเขตเทือกเขาแอนดีสของโบลิเวีย, เปรู และเอกวาดอร์ เป็นพันธุ์ที่คล้ายกับมันแกว (Pachyrhizus erosus) มากที่สุด
- และอีก 2 พันธุ์ที่เป็นพืชป่า คือ Pachyrhizus ferrugineus (Piper) Sørensen และ Pachyrhizus panamensis Clausen (Sørensen 1988)
มันแกวแอฟริกา (African yam bean, Sphenostylis stenocarpa) — มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของแอฟริกาตอนกลางและตะวันตก และเพาะปลูกในแอฟริกาตอนใต้และตะวันออก เป็นพืชตระกูลถั่วที่มีหัว ถูกเรียกว่ามันแกว (ถั่วกินหัว) จากลักษณะรากที่มีหัว แต่ไม่นับเป็นสกุลมันแกว เนื่องจากแตกออกหลายหัวคล้ายมันเทศ หัวยาวและเนื้อในสีขาว (ต่างจากมันเทศ) บางครั้งหัวบิดงอพับหรือมีผิวย่น ผิวสีน้ำตาลคล้ำ มีใบขนนก 3 ใบย่อยแต่ขอบใบเรียบ มีฝักเมล็ดยาวกว่าคล้ายถั่วฝักยาว เมล็ดกลมแป้น มีมากกว่า 4 สีขี้นไปตามสายพันธุ์ย่อย
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
มันแกว (P. erosus) เป็นพืชตระกูลถั่วที่มีเถาเลื้อยพัน รากเป็นระบบรากแก้ว ซึ่งสะสมอาหารแล้วขยายตัวออกเป็นหัวใต้ดิน ทรงกลมแป้น อวบน้ำ เปลือกหัวบาง ผิวเรียบ หัวเดี่ยว มีรูปร่างไม่แน่นอน อาจมีพูนูนรอบ ๆ เถาของมันแกว สามารถสูงได้ถึง 4-5 เมตร และอาจยาวได้ 20 ม. หากได้รับการค้ำหรือการยึดเกาะที่เหมาะสม รากมีความยาวได้ถึง 2 ม. และรากรวมหัวหนักได้ถึง 20 กก. (ขนาดหัว 10-15 ซม.) หนักที่สุดเท่าที่เคยบันทึกไว้คือ 23 กก. พบในปี 2010 ที่ฟิลิปปินส์[] (ซึ่งเรียกว่า ซิงกามาส)
ใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 3 ใบ เรียงสลับ ขอบใบจักใหญ่ ดอกช่อกระจะ ออกเดี่ยวๆ ที่ซอกใบ มีขนสีน้ำตาล กลีบดอกสีม่วงแกมน้ำเงิน สีขาว หรือชมพู รูปทรงดอกถั่วทั่วไป ยาว 1.5-2 ซม. ผลเป็นฝัก รูปขอบขนาน แบน มีขนเล็กน้อย ฝักอ่อนจะมีสีเขียว และสีเขียวแก่ สีน้ำตาล จนถึงสีดำเมื่อแก่ ยาวประมาณ 7-13 ซม. กว้าง 1.2-1.5 ซม. ฝักเมล็ดมี 4-9 เมล็ด มีลักษณะรูปสี่เหลี่ยม กว้าง-ยาวประมาณ 6-9 มม. สีเหลืองหรือออกแดง เป็นสีน้ำตาลเมื่อแก่ เมล็ดแก่มีพิษ
การเพาะพันธุ์
พื้นที่ที่เหมาะกับการปลูกมันแกว มีอุณหภูมิเฉลี่ยที่ 23-28 องศาเซลเซียส และมีฝนเฉลี่ย 400-1200 มิลลิเมตรต่อปี มันแกวเติบโตได้ดีในพื้นที่ดินเหนียวปนทราย ดินร่วนปนทราย ดินทราย ที่ระดับความสูงไม่เกิน 1,700 ม.
ปัจจุบันพบมีการปลูกเกือบทั่วประเทศไทย มีพื้นที่ปลูกมากที่สุดในภาคกลาง ได้แก่ สระบุรี ลพบุรี ชลบุรี สมุทรสาคร รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ มหาสารคาม ขอนแก่น หนองคาย นครพนม ส่วนภาคอื่นมีปลูกน้อย มันแกวเป็นพืชใช้น้ำน้อย ในประเทศไทยชาวอีสานนิยมปลูกเป็นพืชเสริมรายได้หลังหมดฤดูทำนา ในช่วงฤดูแล้งเดือนพฤศจิกายน ใช้เวลาปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 90-120 วัน ปลูกโดยการหยอดเมล็ดเหมือนการปลูกถั่วทั่วไป
การปลูกในทวีปอเมริกา มันแกวอ่อนไหวต่อความเย็นจัด และต้องใช้เวลาปลูกในเชิงพาณิชย์อย่างน้อย 5 - 9 เดือนโดยไม่มีน้ำค้างแข็ง เพื่อการเก็บเกี่ยวหัวขนาดใหญ่ ไม่เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีฤดูปลูกสั้น (พื้นที่ที่มีฤดูหนาวนานกว่า 3 เดือน) เว้นแต่จะเพาะเลี้ยงในเรือนกระจก การปลูกในพื้นที่เขตร้อนสามารถหว่านเมล็ดพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี และในพื้นที่กึ่งเขตร้อนควรหว่านเมล็ดพันธุ์เมื่อดินอุ่นขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ
การผลิตเชิงพาณิชย์
ในประเทศเม็กซิโก มีพื้นที่ปลูกมันแกวประมาณ 65,000 ไร่ 2.3-6.9 ตันต่อไร่ (15-45 ตันต่อเฮกตาร์)
ในประเทศไทย บางพื้นที่สามารถปลูกมันแกวได้ 3 รุ่นต่อปี รุ่นแรกปลูกช่วงต้นฤดูฝน ระหว่างเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน จะได้ผลผลิตเฉลี่ย ไร่ละ 10 ตัน รุ่นที่ 2 ปลูกช่วงปลายฤดูฝนระหว่างเดือนกันยายน-เดือนตุลาคม จะได้ผลผลิต 5-6 ตัน ต่อไร่ และรุ่นที่ 3 ปลูกช่วงฤดูแล้ง ระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ จะได้ผลผลิตเฉลี่ย ไร่ละ 4-5 ตัน ต่อไร่ มันแกวจะใช้เวลาปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 90-120 วัน และในปี 2556 ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกมันแกวในทุกภาค ทั้งหมด 8,708 ไร่ ผลผลิต 16,876 ตัน
การปลูกโดยทั่วไป หัวมันแกวมีน้ำหนักประมาณ 0.5-2.5 กก. ต่อหัว
การใช้ประโยชน์
ในการปรุงอาหาร
ส่วนหัวของมันแกว (รากแก้ว) เป็นส่วนที่ใช้รับประทาน ลักษณะภายนอกมีสีน้ำตาลอ่อนภายในมีสีขาว เมื่อเคี้ยว รู้สึกกรอบคล้ายผลสาลี่สด อีกทั้งยังมีรสคล้ายแป้งแต่ออกหวาน โดยทั่วไปจะรับประทานสด หรือจิ้มกับพริกเกลือ แล้วยังสามารถนำไปประกอบอาหารได้ทั้งคาวและหวานอีกด้วย เช่น แกงส้ม แกงป่า ผัดเปรี้ยวหวาน ผัดไข่ เป็นส่วนผสมของไส้ซาลาเปา และทับทิมกรอบ (ใช้แทนแห้ว)
ในการกำจัดแมลง
แต่ในทางกลับกัน มันแกวสามารถใช้เป็น โดยใช้ส่วนของเมล็ด ฝักแก่ ลำต้น และราก แต่ส่วนเมล็ดจะมีสารพิษมากที่สุด ทำให้มีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงดีที่สุด นอกจากนั้นถ้ามนุษย์รับประทานเมล็ดเข้าไปจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งถ้าได้รับในปริมาณมาก สารพิษโรติโนน (rotenone) จะรบกวนระบบหายใจ อาจชัก และอาจเสียชีวิตได้
คุณค่าทางอาหาร
คุณค่าทางอาหารของมันแกวนั้นประกอบด้วยน้ำ 90.5% โปรตีน 0.9% คาร์โบไฮเดรต 7.6% โดยรสหวานนั้นมาจาก (oligofructose หรือ fructo-oligosaccharides) ซึ่งเป็นอินูลิน ร่างกายของมนุษย์ไม่สามารถเผาผลาญได้ ดังนั้นมันแกวจึงอาจเหมาะสำหรับผู้เป็นโรคเบาหวาน หรือผู้ และเป็นแหล่งวิตามินซีที่ดี
ควรเก็บมันแกวในที่แห้ง อุณหภูมิระหว่าง 12 - 16 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่านี้จะทำให้ส่วนรากช้ำได้ ถ้าเก็บรักษาถูกวิธีสามารถอยู่ได้นานถึง 1-2 เดือน
สารสำคัญในมันแกว
เมล็ด เมื่อผ่าออกจะมีเนื้อภายในสีเหลือง สารสำคัญประกอบด้วยสารพิษในกลุ่ม (isoflavonoid) ได้แก่ erosin, pachyrrhizone, pachyrrhizin, โรติโนน (rotenone) และสารเคมีอื่นๆ ได้แก่ 12-(A)- hydroxypachyrrhizone, 12-(A)-hydroxy lineonone, 12-(A)-hydroxymundu- serone, dolineone, erosone, dehydropachyrrhizone, erosenone, neodehydrorotenone, (saponins A และ B) เป็นพิษทำให้ปลาตายได้
ระเบียงภาพ
- ภาพวาดประกอบ ต้น ใบ หัว ดอก และฝัก ของมันแกว
- ดอก และใบ ของมันแกว
- ดอกมันแกว
- มันแกว (เรียก ซิงกามาส) ในฟิลิปปินส์
- มันแกวโรยพริก ในเม็กซิโก
แหล่งข้อมูลอื่น
- พืชเศรษฐกิจ มันแกว 2007-05-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
อ้างอิง
- Mr. Pug, ผลไม้ไทยอร่อยได้ทุกฤดู, นิตยสารแม่บ้าน ปีที่ 31 ฉบับที่ 450, พฤศจิกายน 2549, หน้า 31
- Sanderson, Helen (2005). Prance, Ghillean; Nesbitt, Mark (บ.ก.). The Cultural History of Plants. Routledge. p. 67. ISBN .
- "Pachyrhizus erosus (PROSEA) - PlantUse English". uses.plantnet-project.org.
- Sanderson, Helen (2005). Prance, Ghillean; Nesbitt, Mark (บ.ก.). The Cultural History of Plants. Routledge. p. 67. ISBN .
- Sanderson, Helen (2005). Prance, Ghillean; Nesbitt, Mark (บ.ก.). The Cultural History of Plants. Routledge. p. 67. ISBN .
- Cornelis Gijsbert Gerrit Jan van Steenis Steenis, CGGJ van. 1981. Flora, untuk sekolah di Indonesia. PT Pradnya Paramita, Jakarta. Hal. 238
- . Tridge. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-04-05. สืบค้นเมื่อ 2021-03-22.
- "Plant Genetic Resources Newsletter - Review of the Pachyrhizus tuberosus (Lam.) Spreng. cultivar groups in Peru". www.bioversityinternational.org.
- "(PDF) African Yam Bean (Sphenostylis Stenocarpa) tubers for nutritional security 1, 2 *Ojuederie OB and". ResearchGate (ภาษาอังกฤษ).
- Is the African Yam Bean Nigeria’s answer to help reduce its devastating food insecurity? Cordis EU Research Results. สืบค้นเมื่อ 22 มีนาคม 2564.
- "Sphenostylis stenocarpa African Yam Bean PFAF Plant Database". pfaf.org.
- "The prospects of African yam bean: past and future importance". Heliyon (ภาษาอังกฤษ). 6 (11): e05458. 2020-11-01. doi:10.1016/j.heliyon.2020.e05458. ISSN 2405-8440.
- มันแกวกุดรัง ปลูกง่าย กำไรงาม ลงทุนหลักพัน โกยกำไรทะลุหมื่น. เทคโนโลยีชาวบ้าน. 12 เมษายน 2563.
- "มันแกว - สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ". www.saranukromthai.or.th.
- JOM (2016-12-19). "มันแกว". Thai Food.
- puechkaset (2014-12-20). "มันแกว และการปลูกมันแกว | พืชเกษตร.คอม".
- Zanklan, A. Séraphin; Becker, Heiko C.; Sørensen, Marten; Pawelzik, Elke; Grüneberg, Wolfgang J. (2018-03-01). "Genetic diversity in cultivated yam bean (Pachyrhizus spp.) evaluated through multivariate analysis of morphological and agronomic traits". Genetic Resources and Crop Evolution (ภาษาอังกฤษ). 65 (3): 811–843. doi:10.1007/s10722-017-0582-5. ISSN 1573-5109.
- สาวบางแค22 (2563-04-12). "มันแกวกุดรัง ปลูกง่าย กำไรงาม ลงทุนหลักพัน โกยกำไรทะลุหมื่น". เทคโนโลยีชาวบ้าน.
- K. Gupta et al. SALAD CROPS | Root, Bulb, and Tuber Crops. 2003.
- "เกษตรกรกหันมาปลูก "มันแกว" ปลูกง่าย สร้างรายได้แบบสบายๆ เฉลี่ยสูงถึงไร่ละเกือบ 5 หมื่นบาท..!?? (ชมคลิป)". ทีนิวส์. 2018-02-18.
- จันทร์สุดา คำปัน, พรชุลีย์ นิลวิเศษ, บำเพ็ญ เขียวหวาน. สภาพการผลิตและความต้องการการส่งเสริมการผลิตมันแกวของเกษตรกร ในอำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. 2556.
- "พืชมีพิษ". www.rspg.or.th.
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
mnaekwkarcaaenkchnthangwithyasastrxanackr Plantaehmwd Magnoliophytachn Magnoliopsidaxndb Fabaleswngs Fabaceaewngsyxy Faboideaeskul spichis P erosuschuxthwinamPachyrhizus erosus L chuxphxngDolichos erosus L 1753 Pachyrhizus angulatus Rich ex DC 1825 P bulbosus L Kurz 1876 mnaekw dibkhunkhathangophchnakartx 100 krm 3 5 xxns phlngngan159 kiolcul 38 kiolaekhlxri kharobihedrt8 82 gnatal1 8 giyxahar4 9 gikhmn0 09 goprtin0 72 gwitaminithxamin bi1 2 0 02 mk irobeflwin bi2 2 0 029 mk inxasin bi3 1 0 2 mk krdaephnothethnik bi5 3 0 135 mk witaminbi6 3 0 042 mk ofelt bi9 3 12 mgkhlxrin 3 13 6 mk witaminsi 24 20 2 mk aerthatuaekhlesiym 1 12 mk ehlk 5 0 6 mk aemkniesiym 3 12 mk aemngkanis 3 0 06 mk fxsfxrs 3 18 mk ophaethsesiym 3 150 mk osediym 0 4 mk sngkasi 2 0 16 mk Link to USDA Database entryhnwy mg imokhrkrm mg millikrm IU hnwysaklpramanrxylakhraw odyichkaraenanakhxngshrthsahrbphuihy aehlngthima USDA FoodData Central mnaekw chuxwithyasastr Pachyrhizus erosus xngkvs Mexican turnip hrux jicama hrux yam bean epnphuchtrakulthw miyatiiklchidkhuxthwehluxng lksnatnmnaekwepneluxy hwxwbihykhyaycakrakaekw okhntnenuxaekhng ibprakxbdwy 3 ibyxykhxbckihy dxkmisikhawhruxchmphuepnchx emldmisiehluxng sinatal thrngsiehliymctursaebn mnaekw 1 tnmiephiynghwediyw swnthiichrbprathankhuxswnkhxngrakaekw chawemksiokchxbrbprathanmnaekwtngaetsmyxarythrrmmayaaela niymichepnxaharwang isnamanaw phrikphng aelaekluxprawtimnaekw P erosus epnphuchthimithinkaenidinpraethsemksiok aelaaethbxemrikaklang thangitsudthikhxstarika odyphbhlkthankarplukcakaehlngobrankhdithieprusungmixayupraman 3 000pi aelanaekhaipplukinpraethsaethbthwipexechiyodychawsepn cakesnthangxakhapulok filippins idaek filippins cin xinodcin xinodniesiy maelesiy ithy xinediy aelaaexfrika inpraethsithymnaethwmixyu 2 chnidkhux phnthuhwihy aelaphnthuhwelk xaccamichuxeriyktangkniptamaetphumiphakhidaek phakhiteriykwa hwaepakwa phakhehnuxeriykwa mnlaaewk mnlaw swnphakhxisaneriykwa mnepha nxkcakniyngxaceriykdwychuxxun echn ekhruxekhakhn thwbng aela thwkinhw chuxxun mnaekw michuxsamyxuneriykinphasatang idaek chuxphasaxinodniesiy bengkuang chuxinphasachwa bengkowang phasasunda bangkuang chuxphasamlayu sengkuwang bengkuwang mengkuwang chuxphasatakalxk singkamas singkamas chuxphasaewiydnam cay củ đậu phakhehnux sắn nước phakhit chuxphasalaw ມ ນເພ າ mnepha chuxphasaxisan praethsithy mnepha chuxphasaekhmr ប គក eba okk chuxphasaphma ပ စ မ စ ပင pell hcaim hcarr pain chuxphasacin 凉薯 ehliyngsu aepltamtwwa mneyn 豆薯 cinphakhehnux huhnan otwsu thwkinhw hrux thwhwmn 番葛 hminhnan fanekx 沙葛 kwangtung sakxt 芒光 aetciw hmngkwng eriykthbsphthtamphasamlayu xnukrmwithanaelakarkracayphnthumnaekw Pachyrhizus erosus epnphuch 1 inxyangnxy 4 5 chnidkhxngskulmnaekw Pachyrhizus khux mnaekw hrux mnaekwemksiok Pachyrhizus erosus phuchphunemuxngxemrikaklang epnchnidphnthuthiplukinpraethsithy sungsnnisthanwaphanthangfilippinsodychawsepn aelanaekhamayngcinitaelaxinodcin aelasupraethsithy mnaekwaexmasxn Amazonnian yam bean hrux jiquima hrux jacatupe Pachyrhizus tuberosus mikhwamhlakhlaykhxngsayphnthuthung 11 chnidyxytamaehlngephaaplukinekhtrxninekhtthirablumtnnaaexmasxninepruaelaexkwadxr aebngepn 4 klumkhux Jiquima exkwadxrchayfngthael Ashipa kracaythwipinthilumnaaexmasxntawntk Chuin tlxdesnthangaemnaepru Yushpe plukechphaainthxngthinkhxngepru xacphbinbangswnkhxngbrasil okhlmebiy aelaewensuexla mnaekwaexndis hrux ahipa hrux ajipa Pachyrhizus ahipa phbinphumiphakhthirabsungobliewiythangtawntkkhxngxemrikait inekhtethuxkekhaaexndiskhxngobliewiy epru aelaexkwadxr epnphnthuthikhlaykbmnaekw Pachyrhizus erosus makthisud aelaxik 2 phnthuthiepnphuchpa khux Pachyrhizus ferrugineus Piper Sorensen aela Pachyrhizus panamensis Clausen Sorensen 1988 mnaekwaexfrika African yam bean Sphenostylis stenocarpa mithinkaenidinekhtrxnkhxngaexfrikatxnklangaelatawntk aelaephaaplukinaexfrikatxnitaelatawnxxk epnphuchtrakulthwthimihw thukeriykwamnaekw thwkinhw caklksnarakthimihw aetimnbepnskulmnaekw enuxngcakaetkxxkhlayhwkhlaymneths hwyawaelaenuxinsikhaw tangcakmneths bangkhrnghwbidngxphbhruxmiphiwyn phiwsinatalkhla miibkhnnk 3 ibyxyaetkhxbiberiyb mifkemldyawkwakhlaythwfkyaw emldklmaepn mimakkwa 4 sikhiniptamsayphnthuyxylksnathangphvkssastrmnaekw P erosus epnphuchtrakulthwthimiethaeluxyphn rakepnrabbrakaekw sungsasmxaharaelwkhyaytwxxkepnhwitdin thrngklmaepn xwbna epluxkhwbang phiweriyb hwediyw miruprangimaennxn xacmiphununrxb ethakhxngmnaekw samarthsungidthung 4 5 emtr aelaxacyawid 20 m hakidrbkarkhahruxkaryudekaathiehmaasm rakmikhwamyawidthung 2 m aelarakrwmhwhnkidthung 20 kk khnadhw 10 15 sm hnkthisudethathiekhybnthukiwkhux 23 kk phbinpi 2010 thifilippins txngkarxangxing sungeriykwa singkamas ibprakxbaebbkhnnk miibyxy 3 ib eriyngslb khxbibckihy dxkchxkraca xxkediyw thisxkib mikhnsinatal klibdxksimwngaekmnaengin sikhaw hruxchmphu rupthrngdxkthwthwip yaw 1 5 2 sm phlepnfk rupkhxbkhnan aebn mikhnelknxy fkxxncamisiekhiyw aelasiekhiywaek sinatal cnthungsidaemuxaek yawpraman 7 13 sm kwang 1 2 1 5 sm fkemldmi 4 9 emld milksnarupsiehliym kwang yawpraman 6 9 mm siehluxnghruxxxkaedng epnsinatalemuxaek emldaekmiphiskarephaaphnthuphunthithiehmaakbkarplukmnaekw mixunhphumiechliythi 23 28 xngsaeslesiys aelamifnechliy 400 1200 milliemtrtxpi mnaekwetibotiddiinphunthidinehniywpnthray dinrwnpnthray dinthray thiradbkhwamsungimekin 1 700 m pccubnphbmikarplukekuxbthwpraethsithy miphunthiplukmakthisudinphakhklang idaek sraburi lphburi chlburi smuthrsakhr rxnglngmakhux phakhtawnxxkechiyngehnux idaek mhasarkham khxnaekn hnxngkhay nkhrphnm swnphakhxunmipluknxy mnaekwepnphuchichnanxy inpraethsithychawxisanniymplukepnphuchesrimrayidhlnghmdvduthana inchwngvduaelngeduxnphvscikayn ichewlaplukcnthungekbekiywpraman 90 120 wn plukodykarhyxdemldehmuxnkarplukthwthwip karplukinthwipxemrika mnaekwxxnihwtxkhwameyncd aelatxngichewlaplukinechingphanichyxyangnxy 5 9 eduxnodyimminakhangaekhng ephuxkarekbekiywhwkhnadihy imehmaasahrbphunthithimivdupluksn phunthithimivduhnawnankwa 3 eduxn ewnaetcaephaaeliyngineruxnkrack karplukinphunthiekhtrxnsamarthhwanemldphnthuidtlxdthngpi aelainphunthikungekhtrxnkhwrhwanemldphnthuemuxdinxunkhuninvduibimphli karphlitechingphanichy inpraethsemksiok miphunthiplukmnaekwpraman 65 000 ir 2 3 6 9 tntxir 15 45 tntxehktar inpraethsithy bangphunthisamarthplukmnaekwid 3 runtxpi runaerkplukchwngtnvdufn rahwangeduxnphvsphakhm mithunayn caidphlphlitechliy irla 10 tn runthi 2 plukchwngplayvdufnrahwangeduxnknyayn eduxntulakhm caidphlphlit 5 6 tn txir aelarunthi 3 plukchwngvduaelng rahwangeduxnmkrakhm kumphaphnth caidphlphlitechliy irla 4 5 tn txir mnaekwcaichewlaplukcnthungekbekiywpraman 90 120 wn aelainpi 2556 praethsithymiphunthiplukmnaekwinthukphakh thnghmd 8 708 ir phlphlit 16 876 tn karplukodythwip hwmnaekwminahnkpraman 0 5 2 5 kk txhwkarichpraoychninkarprungxahar swnhwkhxngmnaekw rakaekw epnswnthiichrbprathan lksnaphaynxkmisinatalxxnphayinmisikhaw emuxekhiyw rusukkrxbkhlayphlsalisd xikthngyngmirskhlayaepngaetxxkhwan odythwipcarbprathansd hruxcimkbphrikeklux aelwyngsamarthnaipprakxbxaharidthngkhawaelahwanxikdwy echn aekngsm aekngpa phdepriywhwan phdikh epnswnphsmkhxngissalaepa aelathbthimkrxb ichaethnaehw inkarkacdaemlng aetinthangklbkn mnaekwsamarthichepn odyichswnkhxngemld fkaek latn aelarak aetswnemldcamisarphismakthisud thaihmiprasiththiphaphinkarkacdaemlngdithisud nxkcaknnthamnusyrbprathanemldekhaipcathaihekidxakarkhlunis xaeciyn sungthaidrbinprimanmak sarphisortionn rotenone carbkwnrabbhayic xacchk aelaxacesiychiwitid khunkhathangxahar khunkhathangxaharkhxngmnaekwnnprakxbdwyna 90 5 oprtin 0 9 kharobihedrt 7 6 odyrshwannnmacak oligofructose hrux fructo oligosaccharides sungepnxinulin rangkaykhxngmnusyimsamarthephaphlayid dngnnmnaekwcungxacehmaasahrbphuepnorkhebahwan hruxphu aelaepnaehlngwitaminsithidi khwrekbmnaekwinthiaehng xunhphumirahwang 12 16 xngsaeslesiys thaxunhphumitakwanicathaihswnrakchaid thaekbrksathukwithisamarthxyuidnanthung 1 2 eduxn sarsakhyinmnaekw emld emuxphaxxkcamienuxphayinsiehluxng sarsakhyprakxbdwysarphisinklum isoflavonoid idaek erosin pachyrrhizone pachyrrhizin ortionn rotenone aelasarekhmixun idaek 12 A hydroxypachyrrhizone 12 A hydroxy lineonone 12 A hydroxymundu serone dolineone erosone dehydropachyrrhizone erosenone neodehydrorotenone saponins A aela B epnphisthaihplatayidraebiyngphaphphaphwadprakxb tn ib hw dxk aelafk khxngmnaekw dxk aelaib khxngmnaekw dxkmnaekw mnaekw eriyk singkamas infilippins mnaekworyphrik inemksiokaehlngkhxmulxunphuchesrsthkic mnaekw 2007 05 19 thi ewyaebkaemchchinwikimiediykhxmmxnsmisuxthiekiywkhxngkb mnaekwxangxingMr Pug phlimithyxrxyidthukvdu nitysaraemban pithi 31 chbbthi 450 phvscikayn 2549 hna 31Sanderson Helen 2005 Prance Ghillean Nesbitt Mark b k The Cultural History of Plants Routledge p 67 ISBN 0415927463 Pachyrhizus erosus PROSEA PlantUse English uses plantnet project org Sanderson Helen 2005 Prance Ghillean Nesbitt Mark b k The Cultural History of Plants Routledge p 67 ISBN 0415927463 Sanderson Helen 2005 Prance Ghillean Nesbitt Mark b k The Cultural History of Plants Routledge p 67 ISBN 0415927463 Cornelis Gijsbert Gerrit Jan van Steenis Steenis CGGJ van 1981 Flora untuk sekolah di Indonesia PT Pradnya Paramita Jakarta Hal 238 Tridge khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2022 04 05 subkhnemux 2021 03 22 Plant Genetic Resources Newsletter Review of the Pachyrhizus tuberosus Lam Spreng cultivar groups in Peru www bioversityinternational org PDF African Yam Bean Sphenostylis Stenocarpa tubers for nutritional security 1 2 Ojuederie OB and ResearchGate phasaxngkvs Is the African Yam Bean Nigeria s answer to help reduce its devastating food insecurity Cordis EU Research Results subkhnemux 22 minakhm 2564 Sphenostylis stenocarpa African Yam Bean PFAF Plant Database pfaf org The prospects of African yam bean past and future importance Heliyon phasaxngkvs 6 11 e05458 2020 11 01 doi 10 1016 j heliyon 2020 e05458 ISSN 2405 8440 mnaekwkudrng plukngay kairngam lngthunhlkphn okykairthaluhmun ethkhonolyichawban 12 emsayn 2563 mnaekw saranukrmithysahrbeyawchn www saranukromthai or th JOM 2016 12 19 mnaekw Thai Food puechkaset 2014 12 20 mnaekw aelakarplukmnaekw phuchekstr khxm Zanklan A Seraphin Becker Heiko C Sorensen Marten Pawelzik Elke Gruneberg Wolfgang J 2018 03 01 Genetic diversity in cultivated yam bean Pachyrhizus spp evaluated through multivariate analysis of morphological and agronomic traits Genetic Resources and Crop Evolution phasaxngkvs 65 3 811 843 doi 10 1007 s10722 017 0582 5 ISSN 1573 5109 sawbangaekh22 2563 04 12 mnaekwkudrng plukngay kairngam lngthunhlkphn okykairthaluhmun ethkhonolyichawban K Gupta et al SALAD CROPS Root Bulb and Tuber Crops 2003 ekstrkrkhnmapluk mnaekw plukngay srangrayidaebbsbay echliysungthungirlaekuxb 5 hmunbath chmkhlip thiniws 2018 02 18 cnthrsuda khapn phrchuliy nilwiess baephy ekhiywhwan sphaphkarphlitaelakhwamtxngkarkarsngesrimkarphlitmnaekwkhxngekstrkr inxaephxthatuphnm cnghwdnkhrphnm mhawithyalysuokhthythrrmathirach 2556 phuchmiphis www rspg or th