เน อหาในบทความน ล าสม ย โปรดปร บปร งข อม ลให เป นไปตามเหต การณ ป จจ บ นหร อล าส ด ด ประกอบ ฤด กาลของสโมสรฟ ตบอลน วคาสเซ

ฤดูกาลของสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด ตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรจนถึงปัจจุบัน

นัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ปี 1905 กับแอสตันวิลลา

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1881 ทีมคริกเก็ตสแตนลีย์ได้ตัดสินใจตั้งทีมฟุตบอลขึ้น เพื่อลงเล่นในช่วงที่ฤดูกาลแข่งขันคริกเก็ตปิดตัวลงในฤดูหนาว พวกเขาชนะเกมแรกที่ลงแข่งขันด้วยสกอร์ 5-0 โดยมีคู่แข่งเป็นทีมเอลสวิกเลเธอร์เวิร์คส์ชุดสำรอง หนึ่งปีต่อมา ทีมก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลอีสต์เอนด์

ขณะเดียวกัน ทีมคริกเก็ตอีกทีมหนึ่งในย่านเดียวกันก็ได้เริ่มสนใจที่จะตั้งทีมฟุตบอล จนกระทั่งมีการก่อตั้งสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลเวสต์เอนด์ขึ้น ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1882 โดยในช่วงแรกนั้น พวกเขาใช้สนามคริกเก็ตเดิมเป็นสนามเหย้า ก่อนที่จะย้ายไปลงเตะในเซนต์เจมส์พาร์ก

หลังจากนั้น ได้มีการจัดตั้งฟุตบอลลีกท้องถิ่นขึ้นในปี ค.ศ. 1889 การที่มีลีกอาชีพในบริเวณใกล้เคียงให้ลงเตะ ประกอบกับความสนใจในถ้วยเอฟเอคัพ ทำให้นิวคาสเซิลอีสต์เอนด์เปลี่ยนจากทีมสมัครเล่นมาเป็นทีมอาชีพในปีเดียวกันนั้นเอง แต่ทว่าทางฝั่งนิวคาสเซิลเวสต์เอนด์กลับล้มเหลวที่จะตามรอยทีมเพื่อนบ้านสู่สถานะทีมฟุตบอลอาชีพ จนกระทั่งในช่วงต้นปี ค.ศ. 1892 ผู้บริหารของนิวคาสเซิลเวสต์เอนด์ได้ตัดสินใจที่จะขอเข้าควบกิจการกับนิวคาสเซิล อีสต์ เอนด์ เพื่อมิให้ทีมต้องยุบตัวลงโดยสิ้นเชิง

การควบกิจการเป็นไปด้วยดี ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1892 ชื่อ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ก็ถูกเลือกให้เป็นชื่อใหม่ของทีม

นิวคาสเซิลสามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศมาครองได้ถึงสามสมัยในช่วงทศวรรษ 1900s และยังเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพถึง 5 ครั้งใน 7 ฤดูกาล แต่สามารถเป็นแชมป์ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นในปี 1910 หลังจากเอาชนะบาร์นสลีย์ไปได้ในการเตะนัดรีเพลย์ที่กูดิสันพาร์ก

หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง พวกเขาคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้อีกสมัยโดยการเอาชนะแอสตันวิลลาในรอบชิงชนะเลิศที่สนามเวมบลีย์ นอกจากนั้น นิวคาสเซิลยังเป็นแชมป์ลีกได้อีกหนึ่งสมัยในปี 1927 อีกด้วย

ในช่วงทศวรรษ 1950s นิวคาสเซิลเป็นแชมป์เอฟเอคัพถึง 3 สมัยในช่วงเวลา 5 ปี โดยเอาชนะแบล็กพูล 2-0 ในปี 1951 ชนะอาร์เซนอล 1-0 ในปี 1952 และชนะแมนเชสเตอร์ซิตี 3-1 ในปี 1955 โดยทีมนิวคาสเซิลในยุคนั้น มีผู้เล่นชื่อดังอยู่หลายคนด้วยกัน เช่น , , และ

หลังจากตกชั้นลงไปเล่นในดิวิชันสองอยู่ชั่วขณะ นิวคาสเซิลที่นำโดยผู้จัดการทีม โจ ฮาร์วีย์ ก็ได้เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดในปี 1965 แต่ทว่าฟอร์มของพวกเขาหลังจากนั้นไม่สม่ำเสมอนัก

ทีมของฮาร์วีย์สามารถทำอันดับผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลถ้วยยุโรปครั้งแรกในปี 1968 ก่อนจะคว้าแชมป์ถ้วย (หรือถ้วยยูฟ่าคัพในปัจจุบัน) ไปครองอย่างเหนือความคาดหมายในปีถัดมา โดยสามารถเอาชนะทีมใหญ่ในยุโรปของยุคนั้นไปได้หลายราย ไม่ว่าจะเป็นสปอร์ติง ลิสบอน, เฟเยนูร์ด รอตเตอร์ดัม หรือ รีล ซาราโกซา และปิดท้ายด้วยการคว่ำทีมจากฮังการีในรอบชิงชนะเลิศ

นับตั้งแต่ก่อตั้งทีมมา นิวคาสเซิลมักจะมอบเสื้อหมายเลข 9 ให้แก่ผู้เล่นกองหน้าชื่อดังประจำทีม โดยประเพณีนี้ยังคงตกทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับในช่วงเวลานั้น ผู้เล่นที่ได้ใส่เสื้อหมายเลข 9 มีหลายคนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น , ไบรอัน ร็อบสัน, หรือ

หลังจากประสบความสำเร็จในฟุตบอลสโมสรยุโรป ฮาร์วีย์ก็ได้ดึงตัวผู้เล่นเกมรุกชื่อดังมากมายเข้ามาร่วมทีม นับตั้งแต่ , และ ไปจนถึงยอดศูนย์หน้าอย่าง เจ้าของฉายา 'ซูเปอร์แมค' ผู้เป็นหนึ่งในตำนานของสโมสร แมคโดแนลด์พานิวคาสเซิลเข้าชิงชนะเลิศถ้วยเอฟเอคัพและลีกคัพกับลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ซิตีในปี 1974 และ 1976 ตามลำดับ แต่พลพรรคแม็กพายส์กลับล้มเหลวในรอบชิงทั้งสองครั้ง

ในช่วงต้นทศวรรษ 1980s นิวคาสเซิลอยู่ในช่วงตกต่ำ โดยได้ตกชั้นลงไปเล่นอยู่ในดิวิชัน 2 อยู่เป็นเวลาหลายปี ก่อนที่ผู้จัดการทีมจะสร้างทีมขึ้นมาใหม่โดยมีเควิน คีแกน อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษเป็นแกนหลัก จนกระทั่งได้เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุด

หลังจากนั้น นิวคาสเซิลเล่นอยู่ในดิวิชัน 1 จนกระทั่งพวกเขาตกชั้นอีกครั้งในปี 1989

ในปี 1992 เควิน คีแกนได้กลับคืนสู่นิวคาสเซิลอีกครั้งในฐานะผู้จัดการทีม เมื่อเขาตอบรับสัญญาระยะสั้น เข้ามาคุมทีมแทนออสซี อาร์ดิเลส ตัวคีแกนเองนั้นกล่าวว่า งานคุมทีมนิวคาสเซิลเป็นงานเดียวเท่านั้น ที่สามารถทำให้เขาหวนคืนสู่วงการฟุตบอลได้ ในขณะนั้น นิวคาสเซิลกำลังดิ้นรนหนีการตกชั้นอยู่ในดิวิชัน 2 ถึงแม้ว่าจะเพิ่งถูกซื้อกิจการโดยไปไม่นานก็ตาม

ในฤดูกาลนั้น นิวคาสเซิลสามารถหนีรอดพ้นการตกชั้นไปได้ โดยเปิดบ้านเอาชนะปอร์ทสมัธก่อนจะบุกไปเอาชนะเลสเตอร์ซิตีในสองเกมสุดท้ายของฤดูกาล

ในฤดูกาลถัดมา (1992-93) ฟอร์มของนิวคาสเซิลเปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ พวกเขาเล่นฟุตบอลเกมรุกแบบตื่นตาตื่นใจ จนกระทั่งคว้าชัยชนะในเกมลีก 11 นัดแรก ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแชมป์ดิวิชัน 1 และเลื่อนชั้นขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกด้วยชัยชนะเหนือ 2-0

นิวคาสเซิลประสบความสำเร็จในระดับสูงสุดภายใต้การคุมทีมของคีแกน พวกเขาจบฤดูกาล 1993-94 ที่อันดับ 3 และได้รับการตั้งฉายาโดยสื่อมวลชนอังกฤษว่าเป็น "The Entertainers"

ในปีถัดมา นิวคาสเซิลจบฤดูกาลที่อันดับ 6 หลังจากที่ช็อกแฟนบอลด้วยการขายกองหน้าจอมถล่มประตู แอนดี โคล ให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยค่าตัว 6 ล้านปอนด์บวกกับ ปีกขวาดาวรุ่งชาวไอริช

ในปี 1995-96 นิวคาสเซิลเสริมทีมครั้งใหญ่ โดยดึงตัวผู้เล่นชื่อดังเช่นดาวีด ฌีโนลาและเลส เฟอร์ดินานด์มาร่วมทีม พวกเขาเกือบที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ แต่ก็ทำได้เพียงตำแหน่งรองแชมป์ ทั้งที่ในช่วงคริสต์มาส พวกเขาทิ้งห่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดถึง 12 คะแนน เกมที่นิวคาสเซิลพ่ายให้กับลิเวอร์พูลไป 3-4 ที่สนามแอนฟิลด์ในฤดูกาลนี้ ได้รับการโหวตให้เป็นเกมยอดเยี่ยมตลอดกาลของพรีเมียร์ลีกเลยทีเดียว

นิวคาสเซิลเข้าป้ายเป็นอันดับที่ 2 อีกครั้งในปีถัดมา แม้ว่าจะทำการเซ็นสัญญากองหน้าทีมชาติอังกฤษ แอลัน เชียเรอร์ มาร่วมทีมด้วยค่าตัวสถิติโลก 15 ล้านปอนด์ สำหรับฤดูกาล 1996-97 นี้ เป็นที่จดจำของแฟนบอลหลายคน เนื่องจากนิวคาสเซิลได้ถล่มเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปด้วยสกอร์ถึง 5-0 เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1996

คีแกนลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในเดือนมกราคม ปี 1997 และถูกแทนที่โดยเคนนี ดัลกลิช ซึ่งได้รับเลือกเพื่อมาช่วยแก้ปัญหาเกมรับของทีม ในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังของปี 1997-98 ดัลกลิชพานิวคาสเซิลเข้าไปเล่นฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และพ่ายต่ออาร์เซนอลในรอบชิงชนะเลิศถ้วยเอฟเอคัพไป 0-2 หลังจากนั้น แฟนบอลก็เริ่มที่จะไม่พอใจกับสไตล์การทำทีมที่เน้นเกมรับของดัลกลิช เมื่อบวกกับผลงานที่ตกต่ำลงของทีม เป็นผลให้ดัลกลิชถูกปลดออกจากตำแหน่งในช่วงต้นฤดูกาล 1998-99

รืด คึลลิตก้าวเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมต่อจากดัลกลิช และพาทีมเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพอีกครั้ง ก่อนจะพ่ายให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปในที่สุด แต่คึลลิตได้ทำการซื้อตัวผู้เล่นราคาแพงหลายคนที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในพรีเมียร์ลีก เช่น กองหลังชาวสเปน และ มิดฟิลด์โครเอเชีย นอกจากนี้คึลลิตยังมีปากเสียงกับผู้เล่นคนสำคัญหลายคนในทีม ทั้งหมดนี้ประกอบกับการเริ่มต้นฤดูกาล 1999-2000 ได้อย่างเลวร้าย ทำให้คึลลิตถูกกดดันให้ลาออกไป

นิวคาสเซิลตัดสินใจแต่งตั้งเซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน อดีตผู้จัดการทีมชาติอังกฤษชาว เข้ามากู้สถานการณ์ของทีม ซึ่งในขณะนั้นอยู่ในโซนตกชั้น เกมเหย้าเกมแรกของนิวคาสเซิลภายใต้ร็อบสันจบลงด้วยชัยชนะ 8-0 เหนือเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ พร้อมทั้ง 5 ประตูจากกัปตันทีมแอลัน เชียเรอร์ ในช่วงที่ร็อบสันคุมทีม นิวคาสเซิลได้สร้างทีมขึ้นมาใหม่โดยอาศัยนักเตะดาวรุ่งเป็นแกนหลัก ผู้เล่นอย่างคีรอน ดายเออร์, เคร็ก เบลลามี่ และ ทำให้นิวคาสเซิลกลับมาเป็นทีมระดับหัวแถวของพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง ฟุตบอลเกมรุกอันน่าตื่นเต้นของพวกเขาทำให้นิวคาสเซิลทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาล 2001-02 จนได้กลับเข้าไปเล่นในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และได้เข้าไปเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของถ้วยเอฟเอคัพและลีกคัพ

ในฤดูกาล 2002-03 นิวคาสเซิลได้สร้างประวัติศาสตร์ เป็นทีมแรกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่แพ้ในรอบแบ่งกลุ่ม 3 เกมแรกแล้วยังสามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้ ก่อนจะตกรอบแบ่งกลุ่มรอบสอง หลังจากถูกจับฉลากแบ่งสายไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับทีมยักษ์ใหญ่อย่างบาร์เซโลนาและอินเตอร์ มิลาน ส่วนผลงานในพรีเมียร์ลีกนั้น นิวคาสเซิลก็ยังคงทำได้ดีอย่างสม่ำเสมอ จนจบฤดูกาลในอันดับที่ 3

ต่อมาในฤดูกาล 2003-04 นิวคาสเซิลตกรอบคัดเลือกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกหลังพ่ายในการดวลจุดโทษให้กับ จนต้องตกลงไปเล่นในถ้วยยูฟ่าคัพแทน นิวคาสเซิลจบฤดูกาลในอันดับที่ 5 และเข้าถึงรอบรองชนะเลิศถ้วยยูฟ่าคัพ

นัดสุดท้ายของฤดูกาล 2008-09 นิวคาสเซิลบุกไปแพ้แอสตันวิลลา 1-0 ที่วิลลาพาร์ก ทำให้ทีมต้องตกชั้นสู่เดอะแชมเปียนชิพด้วยอันดับ 18 ของตาราง หลังจากตกชั้นได้ไม่นานแอลัน เชียเรอร์ ก็หมดสัญญาคุมทีม โดยมีคริส ฮิวจ์ตัน ทำหน้าที่รักษาการแทน หลังจากนั้นทีมต้องเสียนักเตะอย่าง ไมเคิล โอเวน, , , และ

ฤดูกาล

ฤดูกาล	ลีก									เอฟเอคัพ	ลีกคัพ		ดาวซัลโว
ฤดูกาล	ดิวิชัน	แข่ง	ชนะ	เสมอ	แพ้	ได้	เสีย	คะแนน	อันดับ	เอฟเอคัพ	ลีกคัพ		ชื่อ	ประตู
	North	10	5	1	4	30	19	11	2nd	R1				7
	Div 2	28	15	6	7	66	39	36	4th	R2				17
	Div 2	30	12	3	15	72	84	27	10th	R2				18
	Div 2	30	16	2	12	73	50	34	5th	R2				20
	Div 2	30	17	1	12	56	52	35	5th	R1				15
	Div 2	30	21	3	6	64	32	45	2nd	R2				18
	Div 1	34	11	8	15	49	48	30	13th	R2				20
	Div 1	34	13	10	11	53	53	36	5th	R2				16
	Div 1	34	14	10	10	42	37	38	6th	R1				16
	Div 1	34	14	9	11	48	34	37	3rd	QF				12
	Div 1	34	14	4	16	41	51	32	14th	R1				10
	Div 1	34	18	6	10	58	45	42	4th	R1				16
	Div 1	34	23	2	9	72	33	48	1st					18
	Div 1	38	18	7	13	74	48	43	4th					21
	Div 1	38	22	7	9	74	46	51	1st	R1				18
	Div 1	38	15	12	11	65	54	42	4th					22
	Div 1	38	24	5	9	65	41	53	1st	SF				15
	Div 1	38	19	7	12	70	56	45	4th					31
	Div 1	38	15	10	13	61	43	40	8th					33
	Div 1	30	18	8	12	64	50	44	3rd	R1				14
	Div 1	38	13	8	17	47	47	34	14th	QF				9
	Div 1	38	13	11	14	39	48	37	11th	R1				10
	Div 1	38	11	10	17	46	48	32	15th	QF				16
ไม่มีการแข่งขันระหว่างปี 1915 และ 1919 เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1
	Div 1	42	17	9	16	44	39	43	8th	R2				10
	Div 1	42	20	10	12	66	45	50	5th	R3				19
	Div 1	42	18	10	14	59	45	46	7th	R2				23
	Div 1	42	18	12	12	45	37	48	4th	R1				15
	Div 1	42	17	10	15	60	54	44	9th					23
	Div 1	42	16	16	10	61	42	48	6th	R2				20
	Div 1	42	16	10	16	84	75	42	10th	R5				25
	Div 1	42	25	6	11	96	58	67	1st	R5				39
	Div 1	42	15	13	14	79	81	43	9th	R3				21
	Div 1	42	19	6	17	70	72	44	10th	R3				24
	Div 1	42	15	7	20	71	92	37	19th	QF				34
	Div 1	42	15	6	21	78	87	36	17th	R4				14
	Div 1	42	18	6	18	80	87	42	11th					23
	Div 1	42	22	5	15	71	63	49	5th	R3				19
	Div 1	42	10	14	18	68	77	34	21st	R3				14
	Div 2	42	22	4	16	89	68	48	6th	R4				16
	Div 2	42	20	6	16	88	79	46	8th	R5				26
	Div 2	42	22	5	15	80	56	49	4th	R3				24
	Div 2	42	14	8	20	51	58	36	19th	R3				9
	Div 2	42	18	10	14	61	48	46	9th	R5				20
ไม่มีการแข่งขันระหว่างปี 1939 และ 1946 เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
										R3				2
	Div 2	42	19	10	13	95	62	48	5th	SF				34
	Div 2	42	24	8	10	72	41	56	2nd	R3				20
	Div 1	42	20	12	10	70	56	52	4th	R3				19
	Div 1	42	19	12	11	77	55	50	5th	R4				21
	Div 1	42	18	13	11	62	53	49	4th					25
	Div 1	42	18	9	15	98	73	45	8th					39
	Div 1	42	14	9	19	59	70	37	16th	R4				18
	Div 1	42	14	10	18	72	77	38	15th	R5				18
	Div 1	42	17	9	16	89	77	43	8th					23
	Div 1	42	17	7	18	85	70	41	11th	QF				29
	Div 1	42	14	8	20	67	87	36	17th	R4				13
	Div 1	42	12	8	22	73	81	32	19th	R4				25
	Div 1	42	17	7	18	80	80	41	11th	R3				25
	Div 1	42	18	8	16	82	78	44	8th	R3				29
	Div 1	42	11	10	21	86	109	32	21st	QF	R1			29
	Div 2	42	15	9	18	64	58	39	11th	R3	R2			11
	Div 2	42	18	11	13	79	59	47	7th	R4	R2			16
	Div 2	42	20	5	17	74	69	45	8th	R3	R3			21
	Div 2	42	24	9	9	81	45	57	1st	R3	R2			16
	Div 1	42	14	9	19	50	63	37	15th	R4	R2			15
	Div 1	42	12	9	21	39	81	33	20th	R4	R2		ไบรอัน ร็อบสัน	11
	Div 1	42	13	15	14	54	67	41	10th	R3	R2			12
	Div 1	42	15	14	13	61	55	44	9th	R4	R3	-	ไบรอัน ร็อบสัน	30
	Div 1	42	17	13	12	57	35	47	7th	R3	R2	-	ไบรอัน ร็อบสัน	25
	Div 1	42	14	13	15	44	46	41	12th	R3	R2	-	ไบรอัน ร็อบสัน	10
	Div 1	42	15	11	16	49	52	41	11th	R3	R3			26
	Div 1	42	16	13	13	60	51	45	9th	R4	R3			19
	Div 1	42	13	12	17	49	48	38	15th		R3			25
	Div 1	42	15	9	18	59	72	39	15th	R4	QF			27
	Div 1	42	15	9	18	71	62	39	15th	QF				30
	Div 1	42	18	13	11	64	49	49	5th	R4	R4			17
	Div 1	42	6	10	26	42	78	22	21st	R4	R2	ยูฟ่าคัพ -		16
	Div 2	42	17	8	17	51	55	42	8th	R4	R2		ปีเตอร์ วิธ	16
	Div 2	42	15	14	13	53	49	44	9th	R3	R2			21
	Div 2	42	14	14	14	30	45	42	11th	R5	R2			7
	Div 2	42	18	8	16	52	50	62	9th	R4	R2			20
	Div 2	42	18	13	11	75	53	67	5th	R3	R2			22
	Div 2	42	24	8	10	85	53	80	3rd	R3	R2		เควิน คีแกน	28
	Div 1	42	13	13	16	55	70	52	14th	R3	R3		ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์	17
	Div 1	42	17	12	13	67	72	63	11th	R3	R3		ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์	19
	Div 1	42	12	11	19	47	65	47	17th	R5	R2			13
	Div 1	40	14	14	12	55	53	56	8th	R5	R3		ไมเคิล โอนีลล์	13
	Div 1	38	7	10	21	32	63	31	20th	R3	R2			11
	Div 2	46	22	14	10	80	55	80	3rd	R5	R3			34
	Div 2	46	14	17	15	49	56	59	11th	R4	R2			20
	Div 2	46	13	13	20	66	84	52	20th	R3	R3			19
	Div 1	46	29	9	8	92	38	96	1st	R5	R3			27
		42	23	8	11	82	41	77	3rd	R4	R3		แอนดี โคล	41
		42	20	12	10	67	47	72	6th	QF	R4	ยูฟ่าคัพ -	แอนดี โคล	15
		38	24	6	8	66	37	78	2nd	R3	R5		เลส เฟอร์ดินานด์	29
		38	19	11	8	73	40	68	2nd	R4	R4	ยูฟ่าคัพ -	แอลัน เชียเรอร์	28
		38	11	11	16	35	44	44	13th		R5	ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก -	แอลัน เชียเรอร์	7
		38	11	13	14	48	54	46	13th		R4	ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ -	แอลัน เชียเรอร์	21
		38	14	10	14	63	54	52	11th	SF	R3	ยูฟ่าคัพ -	แอลัน เชียเรอร์	30
		38	14	9	15	44	50	51	11th	R3	R4		แอลัน เชียเรอร์	7
		38	21	8	9	67	30	71	4th	QF	R5	ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ -	แอลัน เชียเรอร์	27
	Prem	38	21	6	11	63	48	69	3rd	R3	R3	ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก -	แอลัน เชียเรอร์	25
		38	13	17	8	52	40	56	5th	R4	R3	ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก -	แอลัน เชียเรอร์	28
		38	13	17	8	52	40	56	5th	R4	R3	ยูฟ่าคัพ -	แอลัน เชียเรอร์	28
		38	10	14	14	47	57	44	14th	SF	R4	ยูฟ่าคัพ -	แอลัน เชียเรอร์	19
2005–06		38	17	7	14	47	42	58	7th	QF	R4	ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ -	แอลัน เชียเรอร์	14
2006–07	Prem	38	11	10	17	38	47	43	13th	R3	R5	ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ -		17
2006–07	Prem	38	11	10	17	38	47	43	13th	R3	R5	ยูฟ่าคัพ -		17
2007–08	Prem	38	11	10	17	46	65	43	12th	R4	R3		ไมเคิล โอเวน	13
2008–09		38	7	13	18	40	59	34	18th	R3	R3		ไมเคิล โอเวน	10
2009–10

ชนะเลิศ	รองชนะเลิศ

QR1 = รอบคัดเลือก รอบแรก
QR2 = รอบคัดเลือก รอบสอง
QR3 = รอบคัดเลือก รอบสาม
QR4 = รอบคัดเลือก รอบสี่
RInt = รอบกลาง
R1 = รอบ 1
R2 = รอบ 2
R3 = รอบ 3
R4 = รอบ 4

R5 = รอบ 5
R6 = รอบ 6
GR1 = รอบแบ่งกลุ่ม รอบแรก
GR2 = รอบแบ่งกลุ่ม รอบสอง
QF = รอบก่อนรองชนะเลิศ
SF = รอบรองชนะเลิศ
RU = รองชนะเลิศ
S = ชนะเลิศร่วม
W = ชนะเลิศ

ประตูของดาวซัลโวจะนับเฉพาะเกมที่แข่งขันอย่างเป็นทางการ (ฟุตบอลลีกหรือพรีเมียร์ลีก, เอฟเอคัพ, ลีกคัพ และ) เท่านั้น
ดาวซัลโวที่เป็น ตัวหนา คือนักเตะที่เป็นดาวซัลโวลีกด้วย

แหล่งข้อมูลอื่น

League Record and Topscorers 1893-2008 2011-04-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน at khscott.org.uk 2011-04-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
League Record 1893-2008 2009-02-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน at nufc.com
League Cup Record 1960-2008 2009-02-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน at nufc.com
European Record 1968-2008 2009-02-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน at nufc.com