เซอร์ เคนเนท แมทีสัน "เคนนี" แดลกลีช (อังกฤษ: Sir Kenneth Mathieson "Kenny" Dalglish, เกิด 4 มีนาคม 1951) เป็นอดีตนักฟุตบอลอาชีพและผู้จัดการทีมชาวสก็อต เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล เช่นเดียวกับเป็น 1 ในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของลิเวอร์พูลและอังกฤษ ตลอดอาชีพของเขา เขาลงเล่นให้เซลติก 338 นัดและลิเวอร์พูล 515 นัดโดยเล่นในตำแหน่งกองหน้าและลงเล่นให้ทีมชาติสกอตแลนด์ 102 นัดยิงได้ 30 ประตูซึ่งถือเป็นสถิติร่วมด้วย แดลกลีชคว้ารางวัล Ballon d'Or Silver Award ในปี 1983, นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ ในปีเดียวกัน และนักฟุตบอลแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวฟุตบอล ในปี 1979 และ 1983
ข้อมูลส่วนตัว | |||
---|---|---|---|
ชื่อเต็ม | เคนเนท แมทีสัน แดลกลีช | ||
วันเกิด | 4 มีนาคม ค.ศ. 1951 | ||
สถานที่เกิด | กลาสโกว์ สกอตแลนด์ | ||
ส่วนสูง | 1.73 m (5 ft 8 in) | ||
ตำแหน่ง | กองหน้า, ผู้จัดการทีม | ||
สโมสรเยาวชน | |||
1967–1968 | |||
1967–1969 | เซลติก | ||
สโมสรอาชีพ* | |||
ปี | ทีม | ลงเล่น | (ประตู) |
1969–1977 | เซลติก | 204 | (112) |
1977–1990 | ลิเวอร์พูล | 355 | (118) |
รวม | 559 | (230) | |
ทีมชาติ | |||
1971–1986 | สกอตแลนด์ | 102 | (30) |
จัดการทีม | |||
1985–1991 | ลิเวอร์พูล | ||
1991–1995 | แบล็กเบิร์นโรเวอส์ | ||
1997–1998 | นิวคาสเซิลยูไนเต็ด | ||
2000 | เซลติก | ||
2011–2012 | ลิเวอร์พูล | ||
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น |
ประวัติ
เซอร์ เคนนี แดลกลีช เกิดที่เมืองกลาสโกว์ในสกอตแลนด์ ในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1951 เมื่อเขาอายุได้ 1 ปี ครอบครัวของเขาก็ได้ย้ายไปอยู่ที่แฟลตในเขตมิลตัน ห่างจากใจกลางกลาสโกว์ไปทางเหนือเพียง 3 กิโลเมตร แดลกลีชชื่นชอบฟุตบอลตั้งแต่ 4 ปี และมีความฝันว่าอยากจะเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลเรนเจอส์ เนื่องจากเป็นสโมสรที่อยู่กับบ้านเกิดของตน แดลกลีชมีบิดาชื่อ บิลล์ แดลกลีช ทำงานเป็นวิศวกรบริษัทรถยนต์ และมารดาชื่อ แคที แดลกลีช ในปี ค.ศ. 1974 เคนนีได้แต่งกับงานกับผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ มารีนา และได้กำเนิดบุตรทั้งหมดสี่คน คือ เคลลี แดลกลีช, , ลอเรน แดลกลีช และลินซีย์ แดลกลีช โดยเคลลีทำงานเป็นนักข่าว; พอลเป็นนักฟุตบอลและปัจจุบันเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมฟุตบอลเรียลซอลต์เลกในสหรัฐอเมริกา; ลอเรนทำงานเป็นพนักงานโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองกลาสโกว์ และลินซีย์เป็นนักดนตรีชื่อดังในเมืองกลาสโกว์เช่นกัน
สมัยเป็นนักฟุตบอล
เซลติกและคัมเบอร์นอลด์ยูไนเต็ด (นักฟุตบอลเยาวชน)
เคนนี แดลกลีช ในวัย 16 ปี ลงนามเซ็นสัญญาชั่วคราวกับ สโมสรฟุตบอลเซลติก ในช่วงเดือน พฤษภาคม ค.ศ. 1968 ก่อนที่จะได้ตัว แดลกลีชไปนั้น ผู้จัดการทีมของเซลติกในสมัยนั้น ส่ง ผู้ช่วยผู้จัดการทีมเซลติกไปแอบดู แดลกลีชกับครอบครัวของเขาที่บ้านของพวกเขา เมื่อแดลกลีช ได้ยินฟอลลอนอยู่ที่ประตูชั้นบน แดลกลีช รีบเอาโปสเตอร์ของ สโมสรฟุตบอลเรนเจอร์ส จากผนังห้องนอนเขาออกไป เพราะเขารู้ว่า ฟอลลอน จะแอบเอาของที่เขาชอบมากๆออกไปเพื่อเป็นสิ่งประกันในการแลกตัวของ แดลกลีช ในการแลกตัวไปเล่นให้กับ เซลติก ซึ่งพ่อของแดลกลีชได้เตือนเขาไว้แล้ว แต่แดลกลีชก้ตัดสินเลือกไปเล่นให้กับ เซลติก เพราะไม่อยากให้ครอบครัวของเขาวุ่นวายไปมากกว่านี้ แต่ก่อนที่แดลกลีชจะย้ายมาเล่นกับ เซลติกนั้น คณพ่อของเขาได้ลองให้แดลกลีชไปเล่นกับ เพื่อทดสอบว่าลูกของตนเหมาะสมหรือไม่ที่จะไปเล่นให้กับ เซลติก สโมสรฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ใน ประเทศ สกอตแลนด์ ในสมัยนั้นโดยแดลกลีชทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยมเมื่อมาอยู่กับ โดยเขายิงไป 18 ประตู ในการลงเล่นทั้งหมด 37 นัด ในปี ค.ศ. 1968 แดลกลีชย้ายจาก มาสู่ เซลติก ตามคำขอของตัวเขาเอง โดยแดลกลีชก็ได้โชว์ฟอร์มที่ยอดเยี่ยมด้วยการจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีมของเขาได้สวย ถึงแม้จะยิงประตูไม่ได้ก็ตาม แต่ แดลกลีชในวัย 16 ปีก็ยังดีใจที่ความพยามและความมั่นใจของตนเพิ่มพูนอยู่ตลอดจนเขาได้ถูกคัดเลือกให้มาเป็น นักฟุตบอล กองหน้า ของ เซลติก
เซลติก (นักฟุตบอลมืออาชีพ)
พอเข้าสู่ฤดูกาลใหม่ในปี ค.ศ. 1969 เคนนี แดลกลีช ได้ลงเล่นเป็นนักฟุตบอลอาชีพครั้งแรกโดยเขาได้ทำประตูไป ในฤดูกาล 1968-69 ไปได้ 14 ประตู และในช่วง 1969-70 30 ประตู แดลกลีชเคยบอกกับตนไว้ว่า
ถึงแม้เราจะไม่ได้เล่นให้กับทีมเรนเจอร์สทีมที่เราชื่นชอบ แต่ยังไงเราก็ยังได้เป็นนักฟุตบอลยังที่ใฝ่ฝันเอาไว้ไม่ว่าจะอยู่กับทีมไหนก็ตาม
คำกล่าวของนักฟุตบอลสายเลือดสก๊อตกล่าวทิ้งท้ายไว้ก่อนจบฤดูกาล 1969-70
และในฤดูกาล 1970-71 ความฝันของแดลกลีชก็เป็นจริงเมื่อเขาได้พาทีมของเขาไปสู่รอบชิงชนะเลิศ ถ้วยสกอตติชลีกคัพ ไปเจอกับ เรนเจอร์ส โดยแข่งกันเสมอกันไป 2-2 แล้วในช่วงต่อเวลาพิเศษ แดลกลีชได้ทำไป 2 ประตู ทำให้เซลติกชนะไป 4-2 ซึ่งเป็นผลงานที่แดลกลีชภาคภูมิใจมากที่สุดตั้งแต่เขาเริ่มรู้จักฟุตบอลมา และในฤดูกาลนี้แดลกลีชทำประตูไปได้ 23 ประตู และในช่วงฤดูกาล 1976-77 แดลกลีชได้ถูกให้สวมปลอกแขนกัปตันทีมของสโมสรฟุตบอลเซลติก แล้วก่อนทีแดลกลีชจะได้ถูกซื้อตัวไปเล่นให้กับ สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ในฟุตบอลลีกดิวิชัน 1 ประเทศ อังกฤษ แดลกลีชได้ทำลายสถิตการทำประตูให้กับเซลติกไป 167 ประตู โดยได้ลงเล่นทั้งหมด 322 นัด รวมทั้งหมด 9 ฤดูกาล ซึ่งเป็นนักฟุตบอลของเซลติกคนแรกที่ทำประตูมากกว่า 150 ประตู ใน 9 ฤดูกาล
ลิเวอร์พูล (นักฟุตบอล)
ในวันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ. 1977 ลิเวอร์พูลได้ซื้อ เคนนี แดลกลีช ในวัย 26 ปี ด้วยค่าตัวสูงสุดถึง 18 ล้านบาทซึ่งเป็นสถิติในการซื้อนักฟุตบอลของเกาะอังกฤษในยุคนั้น โดย เควิน คีแกน เพื่อนรวมทีมของลิเวอร์พูลในยุคนั้นมั่นใจในตัวของแดลกลีชว่า
ชายคนนี้อาจจะเป็นนักเตะที่ดีและมีชื่อเสียงและนำลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์
โดยแดลกลีชได้ลงเล่นนัดแรกหลังจากเขาย้ายมาอยู่กับลิเวอร์พูลได้ 1 สัปดาห์ ได้โชว์ฟอร์มอันแข็งแกร็งได้อย่างยอดเยี่ยมโดยเป็นคนทำไป 4 ประตูในนัดที่เจอกับ สโมสรฟุตบอลมิดเดิลสโบร ทำให้ลิเวอร์พูลเก็บ 3 แต้มสำคัญได้และเป็นการทำ แฮตทริก ของเขาในนัดที่ลงแข่งวันแรก โดยถูกจารึกเป็นประวัติศาสตร์ครั้งแรกของสโมสรลิเวอร์พูล และในช่วงปลายฤดูกาล 1977-78 แดลกลีชนำลิเวอร์พูลได้แชมป์ฟุตบอลยุโรปถึง 3 ถ้วยมี ฟุตบอลในลีกดิวิชัน 1 และ แชมป์ ยูโรเปียนคัพ กับ แชริตีชีลด์ และแดลกลีชได้ถูกขึ้นเป็นดาวซัลโวในดิวิชัน 1 ประเทศอังกฤษในช่วงฤดูกาลนั้นอีกด้วยโดยทำไป 61 ประตู ในฤดูกาล 1978-79 แดลกลีชได้ถูกเลือกเป็นนักฟุตบอลที่ดีที่สุดจากสมาคม ในประเทศอังกฤษ แดลกลีชทำผลงานต่างๆให้กับสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลได้มากมายไม่ว่าจะเป็น แชมป์ฟุตบอลลีกดิวิชัน 1 ในประเทศ,ยูโรเปียนคัพ, เอฟเอคัพ, ลีกคัพ, ยูโรเปียนซูเปอร์คัพ รวมทั้งหมด 22 ถ้วย และรวมถึง นักฟุตบอลดีเด่นประจำฤดูกาลของเกาะอังกฤษมาแล้ว 2 ครั้ง โดยแดลกลีชได้อยู่ร่วมกับผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูลมา 2 ยุคแล้ว คือ บ๊อบ เพสลีย์ และ โจ เฟแกน ซึ่งผู้จัดการทีม 2 คนนี้ก็ได้ชม เคนนี แดลกลีช ว่า
ชายชาวสกอตคนนี้มีพรสวรรค์ เล่นได้ในทุกสถานการณ์ แม้ว่าลิเวอร์พูลจะอยู่ในยามไหน เขาก็จะนำแสงสว่างและชัยชนะมาให้หงส์แดงอยู่เสมอ พวกเราชาวลิเวอร์พูลคิดถูกแล้วที่เลือกชายคนนี้มาเพื่อจะปั้นเขาให้เป็นตำนานของลิเวอร์พูลที่อยู่ในขวัญใจชาวเดอะค็อปทั่วโลกตลอดไป
คำพูดของบ๊อบ เพสลีย์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในช่วงฤดูกาล 1974-1983 และคำกล่าวของ โจ เฟแกน ผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูลในช่วงฤดูกาล 1983-1985
โดยในยุคนั้นลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะหนุ่มคนนี้ เขาได้สร้างความสำเร็จให้กับสโมสรเป็นอย่างมาก ไม่แน่ในอนาคตเขาอาจจะได้เป็นราชันย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของลิเวอร์พูลเลยก็ได้
และเดอะค็อปทั่วโลกได้ตั้งนามให้เขาว่า "คิง" เพื่อให้ เคนนี แดลกลีช นักฟุตบอลสายเลือดสก๊อตคนนี้เป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่ของลิเวอร์พูลและจะเป็นขวัญใจของเดอะค็อไปทั่วโลกตลอดไป และในช่วงฤดูกาล 1984-85 โจ เฟแกน ได้ขอลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูล เดอะค็อปทั่วโลกจึงเสนอ เคนนี แดลกลีช เป็นผู้จัดการทีมคนต่อไปของลิเวอร์พูล และในช่วงปลายฤดูกาล 1989-90 แดลกลีชในช่วงผู้จัดการทีมได้นำลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ฟุตบอลลีกดิวิชัน 1 ของเกาะ อังกฤษ ซึ่งเป็นแชมป์ที่ 18 ของลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายที่ เคนนี แดลกลีช มอบให้สโมสรลิเวอร์พูล และเขาได้กล่าวไว้ก่อนที่เลิกเล่นอาชีพนักฟุตบอลเอาไว้ว่า
ผมภูมิใจมากที่ได้เล่นมาเล่นให้สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลแห่งนี้ ชีวิตของผมได้ผ่านสิ่งต่างๆมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเล่นฟุตบอล,การคุมทีมฟุตบอล,การช่วยเหลือผู้อื่น,การเป็นลุกที่ดีของคุณพ่อคุณแม่ ผมภูมิใจมากๆเลยครับ และผมเชื่อว่าลิเวอร์พูลของผมอาจจะยิ่งใหญ่ต่อไปถึงแม้จะไม่มีผมก็ตาม
คำกล่าวของนักฟุตบอลชาวสกอต ในวัย 40 ปี ก่อนที่จะออกจาก แอนฟิลด์ ไป ในปี ค.ศ. 1991 โดยแดลกลีชได้ลงเล่นไป 501 นัด ทำประตูไปได้ 169 ประตู
สมัยเป็นผู้จัดการทีม
ลิเวอร์พูล (ผู้จัดการทีม)
ในช่วงฤดูกาล 1984-85 โจ เฟแกน ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในช่วงปี 1983-85 ได้ขอลาออกจากสโมสรเพราะเรื่องของการเมืองในประเทศของเขา ประธานสโมสรก็ไม่รู้ว่าจะเอาใครมาเป็นผู้จัดการทีมดี โดยเขาได้จัดตั้งกิจกรรมการเลือกโหวตผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลขึ้นให้แฟนเดอะค็อปได้คิดกัน แล้วมีเดอะค็อปกลุ่มหนึ่งได้เสนอ เคนนี แดลกลีช มาเป็นผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล โดยประธานของสโมสรก็ได้เห็นด้วยจึงเลยเรียกตัว เคนนี แดลกลีช เข้ามาคุมทีม โดยการคุมครั้งแรกของแดลกลีชนั่นทำผลงานไปได้สวยเมื่อเข้ามาคุมทีมนัดแรกเก็บชัยชนะได้โดยบุกไปเยือน สโมสรฟุตบอลเชลซี โดยลิเวอร์พูลชนะไป 1-0 และคว้าแชมป์ฟุตบอลลีกดิวิชัน 1 ของอังกฤษมาครองได้เป็นครั้งที่ 15 ในฤดูกาล 1987-88 แดลกลีชได้ซื้อนักฟุตบอลที่ชื่อ ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ มาเล่นในตำแหน่ง กองหน้าจากสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมของ สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด แล้วแดลกลีชก็หวังจะปั้นเขาให้เก่งเหมือนตน และในปีนี้แดลกลีชนำหงส์แดงคว้าแชมป์ ฟุตบอลลีกดิวิชัน 1 ของอังกฤษ และ เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ มาได้และในช่วงฤดูกาล 1988-89 แดลกลีชได้นำทีมลิเวอร์พูลไปคว้าแชมป์ เอฟเอคัพ ได้สำเร็จโดยชนะสโมสรคู่เมือง คือ สโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตัน ไป 3-2 และในช่วงฤดูกาล 1989-90 และ 1990-91 แดลกลีชได้นำทีมลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ ฟุตบอลลีกดิวชั่น 1 ของอังกฤษ และ เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ มาได้ก่อนที่เขาจะลาออกจากผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล โดยในนัดสุดท้ายที่เขานำทีมลิเวอร์พูลไปเยือน สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในรอบชิงคอมมิวนิตีชิลด์ โดยเสมอไป 1-1 แต่คว้าแชมป์ได้ด้วยการยิงจุดโทษชนะไป 6-5
แดลกลีชกลับมาคุมลิเวอร์พูลอีกครั้ง ในฤดูกาล 2011-2012 ท่ามกลางความคาดหวังของผู้บริหารทีมและแฟนบอล เนื่องจากรอย ฮอดจ์สัน ผู้จัดการคนก่อนหน้านั้นมีผลงานที่ไม่ดี แต่ว่าผลงานของทีมในฤดูกาลนี้ กลับทำได้เพียงแค่แชมป์ลีกคัพเท่านั้น แม้จะเป็นแชมป์แรกของทีมในรอบ 6 ปี และได้เข้าชิงเอฟเอคัพกับเชลซี แต่อันดับในตารางเมื่อจบฤดูกาล ลิเวอร์พูลทำได้เพียงแค่ที่ 8 เท่านั้น ซึ่งอันดับต่ำกว่าเอฟเวอร์ตัน ทีมคู่ปรับร่วมเมืองเสียอีกที่ได้ที่ 7 ทำให้เมื่อจบฤดูกาลทางผู้บริหารตัดสินใจปลดแดลกลีชออกจากตำแหน่ง
ในช่วงเปิดฤดูกาลใหม่ในฟุตบอลดิวิชัน 2 ประธานสโมสรแบล็กเบิร์นโรเวอส์ได้จ้างเคนนี แดลกลีช เข้ามาคุมทีม โดยแดลกลีชได้ตอบตกลง ในช่วง 1991-92 แดลกลีชนำทีมแบล็กเบิร์นโรเวอส์เก็บชัยชนะได้มาเกือบหมด โดยแดลกลีชได้วางแผนให้กับแบล็กเบิร์นโรเวอส์ไว้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการเสริมแนวรุกหรือการป้องกันลูกยิงของทีมอื่น ๆ ซึ่งแดลกลีชได้นำทีมแบล็กเบิร์นโรเวอส์เก็บชัยชนะมาได้ 78 แต้ม เป็นอันดับ 1 ของฟุตบอลลีกดิวิชัน 2 ในอังกฤษ โดยได้ลงแข่งทั้งหมด 36 นัด คว้าชัยชนะมาได้ 31 นัด เสมอ 3 นัด แพ้แค่ 2 นัด จึงให้แบล็กเบิร์นโรเวอส์คว้าแชมป์ฟุตบอลลีกดิวิชัน 2 ของอังกฤษได้สำเร็จและได้เลื่อนชั้นขึ้นไปในเล่นพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 1993-94 แดลกลีชนำทีมแบล็กเบิร์นโรเวอส์จบอันดับ 2 ในพรีเมียร์ลีกได้โดยมีแต้ม 84 แต้ม ตามหลังสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดซึ่งเป็นที่ 1 อยู่ 8 แต้ม โดยได้ลงแข่งไป 42 นัด ชนะ 25 นัด เสมอ 9 นัด แพ้ 8 นัด แล้วในฤดูกาล 1994-95 นัดแรกที่ลงเล่นในพรีเมียร์ลีก คือนัดที่เจอกับสโมสรฟุตบอลทอตนัมฮอตสเปอร์โดยเสมอไป 2-2 และในนัดสุดท้ายเจอกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดภายใต้การคุมทีมของอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดยแดลกลีชนำทีมแบล็กเบิร์นคว้าชัยชนะไปได้ 3-2 จึงทำให้แบล็กเบิร์นโรเวอส์มีแต้มทั้งหมด 89 แต้ม แล้วคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาได้สำเร็จและเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของแบล็กเบิร์นโรเวอส์ โดยในขณะที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, นอตทิงแฮมฟอเรสต์ และลิเวอร์พูล มี 88, 77 และ 74 แต้มตามลำดับ โดยเคนนี แดลกลีช ได้ถูกจารึกในประวัติของสโมสรแบล็กเบิร์นโรเวอส์ในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาให้กับสโมสรได้เป็นครั้งแรกแล้วได้นำทีมไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกของสโมสรอีกด้วย
แต่เคนนี แดลกลีช ก็ได้ขอลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีมแบล็กเบิร์นโรเวอส์ เนื่องจากมีเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของเขา ซึ่งปัจจุบันทางแบล็กเบิร์นโรเวอส์ก็ยังยกย่องแดลกลีชว่าเป็นผู้จัดการทีมที่ดีอันดับต้นของสโมสรมาตลอด
เกียรติประวัติ
นักฟุตบอล
- เซลติก (1969–1977)
- สกอตติช ดิวิชัน 1 4 สมัย: 1971-72, 1972-73, 1973-74, 1976-77
- สกอตติช คัพ 4 สมัย: 1971-72, 1973-74, 1974-75, 1976-77
- สกอตติช ลีก คัพ 1 สมัย: 1974-75
- ลิเวอร์พูล (1977–1990)
- ฟุตบอลลีกดิวิชัน 1 อังกฤษ 6 สมัย: 1978-79, 1979-80, 1981-82, 1982-83, 1983-84, 1985-86
- เอฟเอคัพ 1 สมัย: 1985-86
- ลีกคัพ 4 สมัย: 1980-81, 1981-82, 1982-83, 1983-84
- เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 7 สมัย: 1976-77, 1978-79, 1979-80, 1981-82, 1985-86, 1987-88, 1988-89
- ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 3 สมัย: 1977-78, 1980-81, 1983-84
- ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 1 สมัย: 1976-77
ผู้จัดการทีม
- ลิเวอร์พูล (1985–1991, 2011–2012)
- ฟุตบอลลีกดิวิชัน 1 อังกฤษ 3 สมัย: 1985-86, 1987-88, 1989-90
- เอฟเอคัพ 2 สมัย: 1985-1986, 1988-89
- ลีกคัพ 1 สมัย: 2011-12
- เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 4 สมัย: 1986-87, 1988-89, 1989-90, 1990-91
- แบล็กเบิร์นโรเวอส์ (1991–1995)
- พรีเมียร์ลีก 1 สมัย: 1994-95
- Football League Second Division Play Off Winners 1 สมัย: 1991-92
- เซลติก (2000)
- สกอตติซ ลีกคัพ 1 สมัย: 1999-2000
เกียรติประวัติส่วนตัว
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ: 1982-83
- FWA Footballer of the Year: 1979-79, 1982-83
- Scottish Premier Division top goalscorer: 1975-76
- ผู้จัดการยอดเยี่ยมประจำปี - 1985-86, 1987-88, 1989-90, 1994-95
- Inaugural Inductee to the English Football Hall of Fame: 2002
- Member of the Scotland Football Hall of Fame
- Member of the FIFA 100
- Freedom of the City of Glasgow: 1986
- 1st in the Liverpool Football Club poll 100 Players Who Shook The Kop: 2006
- Scotland: 30 goals in 102 international caps (both national records)
อ้างอิง
- "เคนนี แดลกลีช". Barry Hugman's Footballers. สืบค้นเมื่อ 30 ธันวาคม 2018.
- Rollin, Jack (1980). Rothmans football yearbook. London: Queen Anne Press. p. 222. ISBN .
- "The 100 Best Footballers of All Time". . 31 May 2011. สืบค้นเมื่อ 23 October 2023.
- "Ranked! The 100 best football players of all time". . 5 September 2023. สืบค้นเมื่อ 16 September 2023.
- "Best Liverpool players ever, the top 50". The Telegraph. 23 March 2015. สืบค้นเมื่อ 16 September 2023.
- "TBest Scottish Footballers Ever: Here are Scotland's 10 best footballers of all time - according to our readers". . 15 March 2023. สืบค้นเมื่อ 23 October 2023.
- "Ranked! The 25 best British players of all time". . 14 April 2023. สืบค้นเมื่อ 23 October 2023.
- Kelly 1993, p. 34
- ประมวลภาพ "คิงเคนนี" วันแรกถึงวันลา จากผู้จัดการออนไลน์ 2012-05-18 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
หนังสืออ่านเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
- Official past players at Liverpool fc.tv
- English Football Hall of Fame Profile 2006-05-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- LFCHistory.net Player profile
- LFCHistory.net Manager profile 2010-11-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ESPN Profile 2011-05-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
esxr ekhnenth aemthisn ekhnni aedlklich xngkvs Sir Kenneth Mathieson Kenny Dalglish ekid 4 minakhm 1951 epnxditnkfutbxlxachiphaelaphucdkarthimchawskxt ekhaidrbkarykyxngwaepn 1 inphuelnthiyingihythisudtlxdkal echnediywkbepn 1 inphuelnthiyingihythisudtlxdkalkhxngliewxrphulaelaxngkvs tlxdxachiphkhxngekha ekhalngelnihesltik 338 ndaelaliewxrphul 515 ndodyelnintaaehnngkxnghnaaelalngelnihthimchatiskxtaelnd 102 ndyingid 30 pratusungthuxepnsthitirwmdwy aedlklichkhwarangwl Ballon d Or Silver Award inpi 1983 nkfutbxlyxdeyiymkhxngphiexfex inpiediywkn aelankfutbxlaehngpikhxngsmakhmphusuxkhawfutbxl inpi 1979 aela 1983ekhnni aedlklichkhxmulswntwchuxetmekhnenth aemthisn aedlklichwnekid 1951 03 04 4 minakhm kh s 1951 73 pi sthanthiekidklasokw skxtaelndswnsung1 73 m 5 ft 8 in taaehnngkxnghna phucdkarthimsomsreyawchn1967 19681967 1969esltiksomsrxachiph pithimlngeln pratu 1969 1977esltik204 112 1977 1990liewxrphul355 118 rwm559 230 thimchati1971 1986skxtaelnd102 30 cdkarthim1985 1991liewxrphul1991 1995aeblkebirnorewxs1997 1998niwkhasesilyuinetd2000esltik2011 2012liewxrphul ndthilngelnaelapratuthiyingihaeksomsrechphaalikinpraethsethannprawtiesxr ekhnni aedlklich ekidthiemuxngklasokwinskxtaelnd inwnthi 4 minakhm kh s 1951 emuxekhaxayuid 1 pi khrxbkhrwkhxngekhakidyayipxyuthiaefltinekhtmiltn hangcakicklangklasokwipthangehnuxephiyng 3 kiolemtr aedlklichchunchxbfutbxltngaet 4 pi aelamikhwamfnwaxyakcaelnihkbsomsrfutbxlernecxs enuxngcakepnsomsrthixyukbbanekidkhxngtn aedlklichmibidachux bill aedlklich thanganepnwiswkrbristhrthynt aelamardachux aekhthi aedlklich inpi kh s 1974 ekhnniidaetngkbngankbphuhyingkhnhnungchux marina aelaidkaenidbutrthnghmdsikhn khux ekhlli aedlklich lxern aedlklich aelalinsiy aedlklich odyekhllithanganepnnkkhaw phxlepnnkfutbxlaelapccubnepnphuchwyphucdkarthimfutbxleriylsxltelkinshrthxemrika lxernthanganepnphnknganorngaermaehnghnunginemuxngklasokw aelalinsiyepnnkdntrichuxdnginemuxngklasokwechnknsmyepnnkfutbxlesltikaelakhmebxrnxldyuinetd nkfutbxleyawchn ekhnni aedlklich inwy 16 pi lngnamesnsyyachwkhrawkb somsrfutbxlesltik inchwngeduxn phvsphakhm kh s 1968 kxnthicaidtw aedlklichipnn phucdkarthimkhxngesltikinsmynn sng phuchwyphucdkarthimesltikipaexbdu aedlklichkbkhrxbkhrwkhxngekhathibankhxngphwkekha emuxaedlklich idyinfxllxnxyuthipratuchnbn aedlklich ribexaopsetxrkhxng somsrfutbxlernecxrs cakphnnghxngnxnekhaxxkip ephraaekharuwa fxllxn caaexbexakhxngthiekhachxbmakxxkipephuxepnsingprakninkaraelktwkhxng aedlklich inkaraelktwipelnihkb esltik sungphxkhxngaedlklichidetuxnekhaiwaelw aetaedlklichktdsineluxkipelnihkb esltik ephraaimxyakihkhrxbkhrwkhxngekhawunwayipmakkwani aetkxnthiaedlklichcayaymaelnkb esltiknn khnphxkhxngekhaidlxngihaedlklichipelnkb ephuxthdsxbwalukkhxngtnehmaasmhruximthicaipelnihkb esltik somsrfutbxlthiyingihyin praeths skxtaelnd insmynnodyaedlklichthaphlnganidxyangdieyiymemuxmaxyukb odyekhayingip 18 pratu inkarlngelnthnghmd 37 nd inpi kh s 1968 aedlklichyaycak masu esltik tamkhakhxkhxngtwekhaexng odyaedlklichkidochwfxrmthiyxdeyiymdwykarcaybxlihephuxnrwmthimkhxngekhaidswy thungaemcayingpratuimidktam aet aedlklichinwy 16 pikyngdiicthikhwamphyamaelakhwammnickhxngtnephimphunxyutlxdcnekhaidthukkhdeluxkihmaepn nkfutbxl kxnghna khxng esltik esltik nkfutbxlmuxxachiph phxekhasuvdukalihminpi kh s 1969 ekhnni aedlklich idlngelnepnnkfutbxlxachiphkhrngaerkodyekhaidthapratuip invdukal 1968 69 ipid 14 pratu aelainchwng 1969 70 30 pratu aedlklichekhybxkkbtniwwathungaemeracaimidelnihkbthimernecxrsthimthierachunchxb aetyngingerakyngidepnnkfutbxlyngthiiffnexaiwimwacaxyukbthimihnktam khaklawkhxngnkfutbxlsayeluxdskxtklawthingthayiwkxncbvdukal 1969 70 aelainvdukal 1970 71 khwamfnkhxngaedlklichkepncringemuxekhaidphathimkhxngekhaipsurxbchingchnaelis thwyskxttichlikkhph ipecxkb ernecxrs odyaekhngknesmxknip 2 2 aelwinchwngtxewlaphiess aedlklichidthaip 2 pratu thaihesltikchnaip 4 2 sungepnphlnganthiaedlklichphakhphumiicmakthisudtngaetekhaerimruckfutbxlma aelainvdukalniaedlklichthapratuipid 23 pratu aelainchwngvdukal 1976 77 aedlklichidthukihswmplxkaekhnkptnthimkhxngsomsrfutbxlesltik aelwkxnthiaedlklichcaidthuksuxtwipelnihkb somsrfutbxlliewxrphul infutbxllikdiwichn 1 praeths xngkvs aedlklichidthalaysthitkarthapratuihkbesltikip 167 pratu odyidlngelnthnghmd 322 nd rwmthnghmd 9 vdukal sungepnnkfutbxlkhxngesltikkhnaerkthithapratumakkwa 150 pratu in 9 vdukal liewxrphul nkfutbxl inwnthi 13 singhakhm kh s 1977 liewxrphulidsux ekhnni aedlklich inwy 26 pi dwykhatwsungsudthung 18 lanbathsungepnsthitiinkarsuxnkfutbxlkhxngekaaxngkvsinyukhnn ody ekhwin khiaekn ephuxnrwmthimkhxngliewxrphulinyukhnnmnicintwkhxngaedlklichwachaykhnnixaccaepnnketathidiaelamichuxesiyngaelanaliewxrphulprasbkhwamsaercinkarkhwaaechmp odyaedlklichidlngelnndaerkhlngcakekhayaymaxyukbliewxrphulid 1 spdah idochwfxrmxnaekhngaekrngidxyangyxdeyiymodyepnkhnthaip 4 pratuinndthiecxkb somsrfutbxlmidedilsobr thaihliewxrphulekb 3 aetmsakhyidaelaepnkartha aehtthrik khxngekhainndthilngaekhngwnaerk odythukcarukepnprawtisastrkhrngaerkkhxngsomsrliewxrphul aelainchwngplayvdukal 1977 78 aedlklichnaliewxrphulidaechmpfutbxlyuorpthung 3 thwymi futbxlinlikdiwichn 1 aela aechmp yuorepiynkhph kb aechritichild aelaaedlklichidthukkhunepndawslowindiwichn 1 praethsxngkvsinchwngvdukalnnxikdwyodythaip 61 pratu invdukal 1978 79 aedlklichidthukeluxkepnnkfutbxlthidithisudcaksmakhm inpraethsxngkvs aedlklichthaphlngantangihkbsomsrfutbxlliewxrphulidmakmayimwacaepn aechmpfutbxllikdiwichn 1 inpraeths yuorepiynkhph exfexkhph likkhph yuorepiynsuepxrkhph rwmthnghmd 22 thwy aelarwmthung nkfutbxldiednpracavdukalkhxngekaaxngkvsmaaelw 2 khrng odyaedlklichidxyurwmkbphucdkarthimkhxngliewxrphulma 2 yukhaelw khux bxb ephsliy aela oc efaekn sungphucdkarthim 2 khnnikidchm ekhnni aedlklich wachaychawskxtkhnnimiphrswrrkh elnidinthuksthankarn aemwaliewxrphulcaxyuinyamihn ekhakcanaaesngswangaelachychnamaihhngsaedngxyuesmx phwkerachawliewxrphulkhidthukaelwthieluxkchaykhnnimaephuxcapnekhaihepntanankhxngliewxrphulthixyuinkhwyicchawedxakhxpthwolktlxdip khaphudkhxngbxb ephsliy phucdkarthimliewxrphulinchwngvdukal 1974 1983 aelakhaklawkhxng oc efaekn phucdkarthimkhxngliewxrphulinchwngvdukal 1983 1985odyinyukhnnliewxrphulprasbkhwamsaercepnxyangmak ephraahnumkhnni ekhaidsrangkhwamsaercihkbsomsrepnxyangmak imaeninxnakhtekhaxaccaidepnrachnythiyingihythisudkhxngliewxrphulelykid aelaedxakhxpthwolkidtngnamihekhawa khing ephuxih ekhnni aedlklich nkfutbxlsayeluxdskxtkhnniepntananthiyingihykhxngliewxrphulaelacaepnkhwyickhxngedxakhxipthwolktlxdip aelainchwngvdukal 1984 85 oc efaekn idkhxlaxxkcakkarepnphucdkarthimkhxngliewxrphul edxakhxpthwolkcungesnx ekhnni aedlklich epnphucdkarthimkhntxipkhxngliewxrphul aelainchwngplayvdukal 1989 90 aedlklichinchwngphucdkarthimidnaliewxrphulkhwaaechmpfutbxllikdiwichn 1 khxngekaa xngkvs sungepnaechmpthi 18 khxngliewxrphul sungepnsingsudthaythi ekhnni aedlklich mxbihsomsrliewxrphul aelaekhaidklawiwkxnthielikelnxachiphnkfutbxlexaiwwaphmphumiicmakthiidelnmaelnihsomsrfutbxlliewxrphulaehngni chiwitkhxngphmidphansingtangmamakmay imwacaepnkarelnfutbxl karkhumthimfutbxl karchwyehluxphuxun karepnlukthidikhxngkhunphxkhunaem phmphumiicmakelykhrb aelaphmechuxwaliewxrphulkhxngphmxaccayingihytxipthungaemcaimmiphmktam khaklawkhxngnkfutbxlchawskxt inwy 40 pi kxnthicaxxkcak aexnfild ip inpi kh s 1991 odyaedlklichidlngelnip 501 nd thapratuipid 169 pratusmyepnphucdkarthimliewxrphul phucdkarthim inchwngvdukal 1984 85 oc efaekn phucdkarthimliewxrphulinchwngpi 1983 85 idkhxlaxxkcaksomsrephraaeruxngkhxngkaremuxnginpraethskhxngekha prathansomsrkimruwacaexaikhrmaepnphucdkarthimdi odyekhaidcdtngkickrrmkareluxkohwtphucdkarthimliewxrphulkhunihaefnedxakhxpidkhidkn aelwmiedxakhxpklumhnungidesnx ekhnni aedlklich maepnphucdkarthimliewxrphul odyprathankhxngsomsrkidehndwycungelyeriyktw ekhnni aedlklich ekhamakhumthim odykarkhumkhrngaerkkhxngaedlklichnnthaphlnganipidswyemuxekhamakhumthimndaerkekbchychnaidodybukipeyuxn somsrfutbxlechlsi odyliewxrphulchnaip 1 0 aelakhwaaechmpfutbxllikdiwichn 1 khxngxngkvsmakhrxngidepnkhrngthi 15 invdukal 1987 88 aedlklichidsuxnkfutbxlthichux pietxr ebiyrdsliy maelnintaaehnng kxnghnacaksomsrfutbxlniwkhasesilyuinetd sungpccubnepnphuchwyphucdkarthimkhxng somsrfutbxlniwkhasesilyuinetd aelwaedlklichkhwngcapnekhaihekngehmuxntn aelainpiniaedlklichnahngsaedngkhwaaechmp futbxllikdiwichn 1 khxngxngkvs aela exfexkhxmmiwnitichild maidaelainchwngvdukal 1988 89 aedlklichidnathimliewxrphulipkhwaaechmp exfexkhph idsaercodychnasomsrkhuemuxng khux somsrfutbxlexfewxrtn ip 3 2 aelainchwngvdukal 1989 90 aela 1990 91 aedlklichidnathimliewxrphulkhwaaechmp futbxllikdiwchn 1 khxngxngkvs aela exfexkhxmmiwnitichild maidkxnthiekhacalaxxkcakphucdkarthimliewxrphul odyinndsudthaythiekhanathimliewxrphulipeyuxn somsrfutbxlaemnechsetxryuinetd inrxbchingkhxmmiwnitichild odyesmxip 1 1 aetkhwaaechmpiddwykaryingcudothschnaip 6 5 aedlklichklbmakhumliewxrphulxikkhrng invdukal 2011 2012 thamklangkhwamkhadhwngkhxngphubriharthimaelaaefnbxl enuxngcakrxy hxdcsn phucdkarkhnkxnhnannmiphlnganthiimdi aetwaphlngankhxngthiminvdukalni klbthaidephiyngaekhaechmplikkhphethann aemcaepnaechmpaerkkhxngthiminrxb 6 pi aelaidekhachingexfexkhphkbechlsi aetxndbintarangemuxcbvdukal liewxrphulthaidephiyngaekhthi 8 ethann sungxndbtakwaexfewxrtn thimkhuprbrwmemuxngesiyxikthiidthi 7 thaihemuxcbvdukalthangphubrihartdsinicpldaedlklichxxkcaktaaehnng aeblkebirnorewxs inchwngepidvdukalihminfutbxldiwichn 2 prathansomsraeblkebirnorewxsidcangekhnni aedlklich ekhamakhumthim odyaedlklichidtxbtklng inchwng 1991 92 aedlklichnathimaeblkebirnorewxsekbchychnaidmaekuxbhmd odyaedlklichidwangaephnihkbaeblkebirnorewxsiwxyangdi imwacaepnkaresrimaenwrukhruxkarpxngknlukyingkhxngthimxun sungaedlklichidnathimaeblkebirnorewxsekbchychnamaid 78 aetm epnxndb 1 khxngfutbxllikdiwichn 2 inxngkvs odyidlngaekhngthnghmd 36 nd khwachychnamaid 31 nd esmx 3 nd aephaekh 2 nd cungihaeblkebirnorewxskhwaaechmpfutbxllikdiwichn 2 khxngxngkvsidsaercaelaideluxnchnkhunipinelnphriemiyrlikinvdukal 1993 94 aedlklichnathimaeblkebirnorewxscbxndb 2 inphriemiyrlikidodymiaetm 84 aetm tamhlngsomsrfutbxlaemnechsetxryuinetdsungepnthi 1 xyu 8 aetm odyidlngaekhngip 42 nd chna 25 nd esmx 9 nd aeph 8 nd aelwinvdukal 1994 95 ndaerkthilngelninphriemiyrlik khuxndthiecxkbsomsrfutbxlthxtnmhxtsepxrodyesmxip 2 2 aelainndsudthayecxkbaemnechsetxryuinetdphayitkarkhumthimkhxngxelks efxrkusn odyaedlklichnathimaeblkebirnkhwachychnaipid 3 2 cungthaihaeblkebirnorewxsmiaetmthnghmd 89 aetm aelwkhwaaechmpphriemiyrlikmaidsaercaelaepnkhrngaerkinprawtisastrkhxngaeblkebirnorewxs odyinkhnathiaemnechsetxryuinetd nxtthingaehmfxerst aelaliewxrphul mi 88 77 aela 74 aetmtamladb odyekhnni aedlklich idthukcarukinprawtikhxngsomsraeblkebirnorewxsinkarkhwaaechmpphriemiyrlikmaihkbsomsridepnkhrngaerkaelwidnathimipelnyufaaechmepiynslikepnkhrngaerkkhxngsomsrxikdwy aetekhnni aedlklich kidkhxlaxxkcakkarepnphucdkarthimaeblkebirnorewxs enuxngcakmieruxngekiywkbkhrxbkhrwkhxngekha sungpccubnthangaeblkebirnorewxskyngykyxngaedlklichwaepnphucdkarthimthidixndbtnkhxngsomsrmatlxdekiyrtiprawtinkfutbxl esltik 1969 1977 skxttich diwichn 1 4 smy 1971 72 1972 73 1973 74 1976 77 skxttich khph 4 smy 1971 72 1973 74 1974 75 1976 77 skxttich lik khph 1 smy 1974 75liewxrphul 1977 1990 futbxllikdiwichn 1 xngkvs 6 smy 1978 79 1979 80 1981 82 1982 83 1983 84 1985 86 exfexkhph 1 smy 1985 86 likkhph 4 smy 1980 81 1981 82 1982 83 1983 84 exfexkhxmmiwnitichild 7 smy 1976 77 1978 79 1979 80 1981 82 1985 86 1987 88 1988 89 yufaaechmepiynslik 3 smy 1977 78 1980 81 1983 84 yufasuepxrkhph 1 smy 1976 77phucdkarthim liewxrphul 1985 1991 2011 2012 futbxllikdiwichn 1 xngkvs 3 smy 1985 86 1987 88 1989 90 exfexkhph 2 smy 1985 1986 1988 89 likkhph 1 smy 2011 12 exfexkhxmmiwnitichild 4 smy 1986 87 1988 89 1989 90 1990 91aeblkebirnorewxs 1991 1995 phriemiyrlik 1 smy 1994 95 Football League Second Division Play Off Winners 1 smy 1991 92esltik 2000 skxttis likkhph 1 smy 1999 2000ekiyrtiprawtiswntw nkfutbxlyxdeyiymkhxngphiexfex 1982 83 FWA Footballer of the Year 1979 79 1982 83 Scottish Premier Division top goalscorer 1975 76 phucdkaryxdeyiympracapi 1985 86 1987 88 1989 90 1994 95 Inaugural Inductee to the English Football Hall of Fame 2002 Member of the Scotland Football Hall of Fame Member of the FIFA 100 Freedom of the City of Glasgow 1986 1st in the Liverpool Football Club poll 100 Players Who Shook The Kop 2006 Scotland 30 goals in 102 international caps both national records xangxing ekhnni aedlklich Barry Hugman s Footballers subkhnemux 30 thnwakhm 2018 Rollin Jack 1980 Rothmans football yearbook London Queen Anne Press p 222 ISBN 0362020175 The 100 Best Footballers of All Time 31 May 2011 subkhnemux 23 October 2023 Ranked The 100 best football players of all time 5 September 2023 subkhnemux 16 September 2023 Best Liverpool players ever the top 50 The Telegraph 23 March 2015 subkhnemux 16 September 2023 TBest Scottish Footballers Ever Here are Scotland s 10 best footballers of all time according to our readers 15 March 2023 subkhnemux 23 October 2023 Ranked The 25 best British players of all time 14 April 2023 subkhnemux 23 October 2023 Kelly 1993 p 34 pramwlphaph khingekhnni wnaerkthungwnla cakphucdkarxxniln 2012 05 18 thi ewyaebkaemchchinhnngsuxxanephimKelly Stephen 1993 Dalglish Headline Book Publishing New edition 19 August 1993 ISBN 0 7472 4124 4 Dalglish Kenny 2010 My Liverpool Home Hodder amp Stoughton ISBN 978 1 4447 0419 8 Macpherson Archie 2007 Jock Stein The Definitive Biography Highdown New Ed edition 18 May 2007 ISBN 978 1 905156 37 5 aehlngkhxmulxunwikimiediykhxmmxnsmisuxthiekiywkhxngkb ekhnni aedlklich Official past players at Liverpool fc tv English Football Hall of Fame Profile 2006 05 15 thi ewyaebkaemchchin LFCHistory net Player profile LFCHistory net Manager profile 2010 11 27 thi ewyaebkaemchchin ESPN Profile 2011 05 15 thi ewyaebkaemchchin