กะโหลกศีรษะ (อังกฤษ: skull) เป็นโครงสร้างของกระดูกที่ประกอบขึ้นเป็นโครงร่างที่สำคัญของส่วนศีรษะในสัตว์ในกลุ่ม (Craniate) หรือสัตว์ที่มีกะโหลกศีรษะ ซึ่งรวมทั้งสัตว์มีกระดูกสันหลังทุกชนิด กะโหลกศีรษะทำหน้าที่ปกป้องสมองซึ่งเป็นศูนย์กลางของระบบประสาท รวมทั้งเป็นโครงร่างที่ค้ำจุนต่างๆ ทั้งตา หู จมูก และลิ้น และยังทำหน้าที่เป็นทางเข้าของทางเดินอาหารและทางเดินหายใจ
การศึกษาเกี่ยวกับกะโหลกศีรษะมีประโยชน์อย่างมากหลายประการ โดยเฉพาะการศึกษาในเชิงกายวิภาคศาสตร์เปรียบเทียบระหว่างสัตว์ชนิดต่างๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ด้านบรรพชีวินวิทยาและความเข้าใจถึงลำดับทางวิวัฒนาการ นอกจากนี้การศึกษาลงไปเฉพาะกะโหลกศีรษะมนุษย์ก็มีประโยชน์อย่างมากในการศึกษาด้านนิติเวชศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ รวมทั้งมานุษยวิทยาและโบราณคดี
กะโหลกศีรษะของมนุษย์
กะโหลกศีรษะของมนุษย์ประกอบด้วยกระดูกทั้งหมด 22 ชิ้น ทั้งนี้ไม่นับรวมกระดูกหู (ear ossicles) กระดูกแต่ละชิ้นของกะโหลกศีรษะส่วนใหญ่เชื่อมต่อเข้าด้วยกันโดยข้อต่อแบบซูเจอร์ (Suture) ที่เคลื่อนไหวไม่ได้ แต่มีความแข็งแรงสูง
กระดูกของกะโหลกศีรษะสามารถแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ กระดูกหุ้มสมอง (Neurocranium) ทำหน้าที่ป้องกันสมองที่อยู่ภายในโพรงกะโหลก (cranial cavity) ซึ่งมีด้วยกัน 8 ชิ้น และสแปลงคโนเครเนียม (Splanchnocranium) ทำหน้าที่ค้ำจุนบริเวณใบหน้า รวมแล้วมีจำนวน 14 ชิ้น นอกจากนี้ ภายในกระดูกขมับ (temporal bone) ยังมีกระดูกหูอีก 6 ชิ้น ซึ่งหน้าที่เกี่ยวกับการขยายความสั่นสะเทือนของเสียงจากไปยัง (cochlear) และกระดูกไฮออยด์ (hyoid bone) ทำหน้าที่ค้ำจุนลิ้นและกล่องเสียงซึ่งปกติแล้วไม่นับเป็นส่วนหนึ่งของกะโหลกศีรษะ
ภายในกะโหลกศีรษะยังมี (sinus cavities) 4 คู่ หน้าที่ของโพรงไซนัสยังเป็นที่ถกเถียงอยู่ในปัจจุบัน แต่เชื่อว่าช่วยในการทำให้กะโหลกศีรษะมีน้ำหนักเบาขึ้น ทำให้ศีรษะไม่เอนมาทางด้านหน้าและทำให้ศีรษะตั้งตรงได้ ช่วยให้เสียงก้องกังวาน และช่วยให้อากาศที่ผ่านโพรงจมูกเข้าไปในทางเดินหายใจอุ่นและชื้นมากขึ้น
ด้านในของกะโหลกศีรษะส่วนที่หุ้มสมองยังมีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่หุ้มรอบโครงสร้างของระบบประสาทกลาง เรียกว่า เยื่อหุ้มสมอง (meninges) ซึ่งมีอยู่ 3 ชั้นเรียงจากชั้นนอกสุดเข้าไปยังชั้นในสุดได้แก่ เยื่อดูรา (dura mater), เยื่ออะแร็กนอยด์ (arachnoid mater), และเยื่อเพีย (pia mater) เยื่อหุ้มสมองมีหน้าที่สำคัญในการปกป้องและหน้าที่ทางสรีรวิทยาอื่นๆ อีกมากมาย
พยาธิวิทยา
การบาดเจ็บหรือบวมของเนื้อสมองเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตและความพิการ การบาดเจ็บที่กะโหลกศีรษะในส่วนที่ปกป้องสมอง อาจทำให้เกิดการแตกของได้ ในภาวะที่มีเลือดออกในสมอง หรือมี (intracranial pressure) เพิ่มมากขึ้น อาจมีผลต่อก้านสมอง (brain stem) ทำให้ถึงแก่ชีวิตได้
กะโหลกศีรษะของสัตว์ชนิดอื่นๆ และกายวิภาคศาสตร์เปรียบเทียบ
กะโหลกศีรษะเป็นโครงสร้างที่พบได้ในสัตว์มีแกนสันหลังกลุ่มที่เรียกว่า (Craniata) ซึ่งเริ่มพบในลำดับวิวัฒนาการตั้งแต่ (Hagfish; Class Myxini) เป็นต้นไป และรวมถึงสัตว์มีกระดูกสันหลังได้แก่ ปลากระดูกอ่อน, ปลากระดูกแข็ง, สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ, สัตว์เลื้อยคลาน, สัตว์ปีก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ศีรษะของสัตว์กลุ่มเครนิเอตจะประกอบด้วยสมอง อวัยวะรับสัมผัสเช่นตา และกะโหลกศีรษะ สัตว์ในกลุ่มนี้จะมีการใช้พลังงานมากกว่าสัตว์ในลำดับวิวัฒนาการต่ำกว่า และมีการปรับตัวทางรูปร่างและกายวิภาคศาสตร์อย่างมากเพื่อช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานให้มากขึ้น กะโหลกศีรษะในสัตว์จำพวกแฮกฟิชและปลากระดูกอ่อนจะเป็นกระดูกอ่อน ส่วนของเครนิเอตชนิดอื่นๆ จะมีกะโหลกศีรษะเป็นกระดูกแข็ง
กะโหลกศีรษะของปลา
กะโหลกศีรษะของปลามีปุ่มกระดูกท้ายทอย (occipital condyles) 1 อัน และมีลักษณะเด่นคือมีแผ่นปิดเหงือก กะโหลกศีรษะของปลาประกอบด้วย 2 ส่วน ซึ่งมีทั้งส่วนที่เป็นกระดูกและกระดูกอ่อน ได้แก่
- กระดูกหุ้มสมอง หรือ นิวโรเครเนียม (Neurocranium) ซึ่งหุ้มรอบสมองและอวัยวะรับสัมผัสเช่นเดียวกับในมนุษย์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ส่วนได้แก่ บริเวณรับกลิ่น (Olfactory Region) , บริเวณเบ้าตา (Orbital region) , บริเวณหู (Otic Region) , และบริเวณฐานกล่องสมอง (Basicranial Region)
- บรางคิโอเครเนียม (Branchiocranium) ซึ่งเป็นส่วนกระดูกที่ไม่ได้หุ้มรอบสมอง แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ บริเวณปากและขากรรไกร (Oromandibular Region) , บริเวณไฮออยด์ (hyoid region) และบริเวณเหงือก (branchial region)
กะโหลกศีรษะของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ
วิวัฒนาการของกะโหลกศีรษะของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำพบครั้งแรกจากซากฟอสซิลของ Ichthyostega อายุประมาณ 350 ล้านปี ซึ่งแสดงถึงการปรับตัวให้เหมาะกับการดำรงชีวิตอยู่บนบก โดยมีการพัฒนากระดูกแข็ง เพื่อหนีการล่าของปลาและเพื่อขึ้นมาหาอาหารบนบก ฟอสซิลสัตว์ชนิดนี้มีหู กะโหลกศีรษะด้านหน้าสั้น พัฒนาปลายจมูกยาวขึ้นเพื่อสูดอากาศที่มีความเจือจางกว่าในน้ำ แต่ก็ยังมีลักษณะอื่นๆ ที่เหมือนปลา เช่น ยังคงมี มี เป็นต้น
กะโหลกศีรษะของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำมีปุ่มกระดูกท้ายทอย 2 อัน ไม่มีกระดูกส่วนฐานและส่วนเหนือกระดูกท้ายทอย (supra- or basioccipitals) กระดูกหุ้มสมองส่วนใหญ่ยังคงเป็นกระดูกอ่อน มีส่วนที่เป็นกระดูกปฐมภูมิอยู่น้อย
ประเภทกะโหลกศีรษะของสัตว์ที่มีถุงน้ำคร่ำ
ภาพเปรียบเทียบตำแหน่งของช่องเปิดของกระดูกขมับในกะโหลกศีรษะชนิดต่างๆ จากซ้ายไปขวา และบนลงล่าง:แอนแนปซิด ซินแนปซิด ยูรีแอปซิด ไดแอปซิด |
การวิเคราะห์รูปร่างของกะโหลกศีรษะมีประโยชน์มากในการจัดจำแนกสัตว์ในกลุ่มสัตว์มีกระดูกสันหลังที่มี (Amniotes) ซึ่งได้แก่กลุ่มของสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ปีก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม รวมทั้งกลุ่มของไดโนเสาร์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว โครงสร้างของกะโหลกศีรษะที่ใช้ในการจำแนกคือ (temporal fenestrae) ซึ่งคาดว่าจะเป็นจุดเกาะของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเคลื่อนไหวของขากรรไกร ทำให้สัตว์ที่มีวิวัฒนาการของช่องเปิดดังกล่าวมีความสามารถในการหาอาหารได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ในสัตว์ปีกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมซึ่งโครงสร้างของกะโหลกศีรษะมีการเปลี่ยนรูปไปมาก ช่องเปิดของกระดูกขมับนี้จึงมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยและอาจเห็นไม่ชัดเจนนัก
โดยอาศัยโครงสร้างของกะโหลกศีรษะ สามารถจำแนกสัตว์มีกระดูกสันหลังที่มีถุงน้ำคร่ำออกได้เป็นสี่กลุ่ม ได้แก่
- (Anapsids) เป็นกลุ่มที่ไม่มีช่องเปิดของกระดูกขมับ ได้แก่กลุ่มของสัตว์เลื้อยคลานจำพวกเต่า (testudines)
- (Synapsids) มีช่องเปิดหนึ่งช่องที่อยู่ใต้รอยต่อระหว่าง (postorbital bone) และ (squamous bone) ได้แก่กลุ่มของสัตว์เลื้อยคลานที่คล้ายกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม (mammal-like reptiles) ซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่คาดว่าได้มีวิวัฒนาการต่อมาเป็นกะโหลกของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมในปัจจุบัน
- (Euryapsids) มีช่องเปิดหนึ่งช่องที่อยู่เหนือรอยต่อระหว่างกระดูกหลังเบ้าตาและกระดูกสความัส ได้แก่กลุ่มของสัตว์เลื้อยคลานทะเลบางประเภท เช่น (Ichthyosaurus)
- (Diapsids) มีช่องเปิดสองช่อง ทั้งเหนือและใต้ต่อรอยต่อระหว่างกระดูกเบ้าตาและกระดูกสความัส ได้แก่กลุ่มของสัตว์เลื้อยคลานส่วนใหญ่ ไดโนเสาร์ รวมทั้งสัตว์ปีกในปัจจุบัน
กะโหลกศีรษะของสัตว์เลื้อยคลาน
สัตว์เลื้อยคลานมีสายวิวัฒนาการใหญ่อยู่ 2 สายด้วยกัน ได้แก่
- ซินแนปซิด ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานโบราณที่เป็นบรรพบุรุษของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
- เซารอปซิด (Sauropsid) ซึ่งแบ่งออกย่อยๆ ได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
กะโหลกศีรษะของสัตว์เลื้อยคลานจะมีปุ่มกระดูกท้ายทอย 1 อัน โค้งกระดูกโหนกแก้ม (zygomatic arch) เกิดจาก (jugal) และ (Quadratojugal bone) ซึ่งอยู่ที่ฐานของขากรรไกรล่าง มีช่องเปิดรูจมูก 2 ช่อง ขากรรไกรล่างเกิดจากกระดูกหลายชิ้น และมีกระดูกหู 1 ชิ้น
กะโหลกศีรษะของสัตว์ปีก
รอยต่อของวิวัฒนาการของกะโหลกศีรษะจากสัตว์เลื้อยคลานไปเป็นสัตว์ปีกพบในซากฟอสซิลของบรรพบุรุษของนกที่เรียกว่า Archaeopteryx ซึ่งค้นพบที่บาวาเรีย ประเทศเยอรมนี ซึ่งมีอายุประมาณ 150 ล้านปี ซึ่งพบว่ากะโหลกของสิ่งมีชีวิตดังกล่าวมีลักษณะต่างจากนกชนิดอื่นๆ คือมีฟันที่ขากรรไกร เหมือนสัตว์เลื้อยคลาน แต่มีจะงอยปากเหมือนนก แสดงหลักฐานวิวัฒนาการของสัตว์ปีกที่ต่อเนื่องมาจากสัตว์เลื้อยคลานจำพวกไดแอปซิด
กะโหลกศีรษะของนกจะมีลักษณะเบาเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว คือประมาณ 0.21% ของน้ำหนักตัวในขณะที่ในกะโหลกศีรษะของหนูหนักเป็น 1.25% ของน้ำหนักตัว กะโหลกศีรษะของนกจะไม่มีฟันหรือกรามที่หนักเพื่อช่วยในการบินกระดูกหุ้มสมองมีขนาดใหญ่ มีเบ้าตาขนาดใหญ่เพราะมีดวงตาขนาดใหญ่เพื่อใช้ในการมองเห็นอย่างรวดเร็ว ปุ่มกระดูกท้ายทอยมี 1 อัน กระดูกแต่ละชิ้นของกะโหลกศีรษะนกจะรวมกันเป็นชิ้นเดียวอย่างรวดเร็วทำให้เห็นซูเจอร์หรือรอยประสานระหว่างกระดูกได้ไม่ชัดเจน ด้านหน้าของกะโหลกศีรษะยืดยาวออกเป็นจะงอยปาก ขากรรไกรล่างเกิดจากกระดูกหลายชิ้น ซึ่งจะงอยปากของนกนั้นจะมีวิวัฒนาการแตกต่างกันออกไปเพื่อให้เหมาะกับการดำรงชีวิตของนก เช่น จะงอยปากของกาจะมีลักษณะแหลม และแข็งแรง จะงอยปากของนกฟลามิงโกจะมีลักษณะงุ้ม และจะงอยปากของนกหัวขวานจะยาวตรงและแข็งแรง เพื่อใช้ในการเจาะไม้ และมีกะโหลกศีรษะที่หนาเพื่อรองรับแรงกระแทกและความสั่นสะเทือนได้ดี
กะโหลกศีรษะของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม
เนื่องจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมวิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลานกลุ่มซินแนปซิด กะโหลกศีรษะของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมจึงมีช่องเปิดหนึ่งช่องใต้รอยต่อระหว่างกระดูกหลังเบ้าตาและกระดูกสความัส มีปุ่มกระดูกท้ายทอย 2 ปุ่ม มีช่องรูจมูก 1 ช่อง โพรงกะโหลกมีขนาดใหญ่ ขากรรไกรล่างเกิดจากกระดูกเพียงชิ้นเดียว มีกระดูกหูที่อยู่ในหูชั้นกลาง 3 ชิ้น ได้แก่ กระดูกค้อน กระดูกทั่ง และกระดูกโกลน กะโหลกศีรษะของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมนับว่ามีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของฟันเพื่อทำหน้าที่เฉพาะมากกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ ซึ่งจำแนกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ ดังนี้
- สัตว์กินเนื้อ (Carnivore) เช่น สุนัข แมว จะมัฟันหน้าและฟันเขี้ยวที่แหลมคมเพื่อล่าเหยื่อ หรือฉีกชิ้นเนื้อ ส่วนฟันกรามหน้าและฟันกรามจะหยักและขรุขระ เพื่อใช้บดเคี้ยวอาหาร
- สัตว์กินพืช (Herbivore) เช่น วัว จะมีผิวฟันกว้างเป็นสัน เพื่อใช้บดเคี้ยวพืชที่เหนียว ส่วนฟันหน้าและฟันเขี้ยวจะเปลี่ยนแปลงไปเพื่อกัดอาหารจำพวกพืช หรืออาจมีลักษณะเฉพาะของสัตว์ในแต่ละอันดับ เช่น (Class Edentata) ซึ่งวิวัฒนาการจนไม่มีฟัน, อันดับกระต่าย (Class Lagomorpha) หรือสัตว์ฟันแทะ (Class Rodentia) ซึ่งมีการพัฒนาฟันแทะให้มีขนาดใหญ่, หรือ (Class Proboscidea) ซึ่งมีฟันแทะยื่นยาวออกมาเป็นงา เช่น ช้าง
- (Omnivore) เช่น มนุษย์ จะมีฟันที่ปรับตัวให้สามารถกินทั้งพืชและเนื้อสัตว์ได้ ฟันหน้าจะเหมือนใบมีดใช้ตัดอาหาร ฟันเขี้ยวมีลักษณะแหลมคม ใช้ฉีกอาหาร ฟันกรามหน้าและฟันกรามใช้ในการบดเคี้ยวอาหาร
กะโหลกศีรษะในอันดับลิงและมนุษย์
สัตว์ในอันดับลิงหรือไพรเมต (primate) วิวัฒนาการมาจากสัตว์ในอันดับอินเซคทิวอรา (Class Insectivora) ซึ่งลักษณะของกะโหลกศีรษะจะมีโพรงกะโหลกใหญ่ จมูกสั้น เบ้าตาชิดกัน ขากรรไกรห้อยต่ำ มีฟันที่เหมาะกับการกินทั้งพืชและสัตว์ เมื่อเปรียบเทียบกะโหลกศีรษะของมนุษย์และลิงกอริลลาซึ่งอยู่ในวงศ์ย่อย Homininae เดียวกัน พบว่ากะโหลกศีรษะของมนุษย์จะมีลักษณะขากรรไกรแบน ฟันขึ้นตรงตั้งฉาก และส่วนคางยื่นออกไปเล็กน้อย ในขณะที่กะโหลกศีรษะของลิงกอริลลาจะมีสันกระดูกเหนือตาที่ยื่นออกมา ขากรรไกรและฟันยื่นออกมาด้านหน้า แต่ส่วนคางหดเข้าไป
เมื่อเปรียบเทียบกะโหลกศีรษะของมนุษย์และของลิงชิมแพนซีซึ่งอยู่ในเผ่า Hominini เดียวกัน พบว่ากะโหลกศีรษะของมนุษย์และลิงชิมแพนซีในระยะทารกมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน คือมีรูปร่างกลม ขากรรไกรเล็ก และใบหน้าแบน แต่เมื่อเจริญเติบโตมากขึ้น กะโหลกศีรษะของชิมแพนซีจะมีขากรรไกรที่ยื่นออกมามากขึ้น หน้าผากลาดและมีฟันขนาดใหญ่ขึ้น ในขณะที่กะโหลกศีรษะของมนุษย์จะมีสัณฐานกลมเหมือนเช่นในระยะทารก ลักษณะดังกล่าวมีการสันนิษฐานว่าการเจริญของสมองมนุษย์นั้นมีระยะเวลานานกว่าของลิงชิมแพนซี ทำให้สามารถเรียนรู้ได้มากขึ้นและมีความฉลาดมากกว่าของลิงชิมแพนซี
รูปประกอบเพิ่มเติม
- ภาพวาดแสดงกระดูกชิ้นต่างๆของกะโหลกศีรษะจากทางด้านหน้า
- ภาพวาดแสดงกระดูกชิ้นต่างๆของกะโหลกศีรษะจากทางด้านข้าง
- ภาพวาดแสดงแนวรอยต่อกระดูกของกะโหลกศีรษะจากทางด้านหน้า
- ภาพวาดแสดงแนวรอยต่อกระดูกของกะโหลกศีรษะจากทางด้านข้าง
- ภาพวาดของกะโหลกศีรษะตัดตามยาว โดยลีโอนาร์โด ดา วินซี
- มุมมองทางด้านบนของกะโหลกศีรษะของเด็กแรกเกิด แสดงกระหม่อมหน้าและกระหม่อมหลัง
- มุมมองทางด้านข้างของกะโหลกศีรษะของเด็กแรกเกิด แสดงกระหม่อมหน้า กระหม่อมข้าง และกระหม่อมกกหู
- กะโหลกของไทแรนโนเซารัส เร็กซ์
- กะโหลกนกเพนกวินที่จัดแสดง ณ สวนสัตว์พาต้า
อ้างอิง
- Gray H. 1918. "Gray's Anatomy of the Human Body" (Public Domain Resources)
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-07-19. สืบค้นเมื่อ 2008-04-28.
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-01-14. สืบค้นเมื่อ 2008-04-29.
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-05-27. สืบค้นเมื่อ 2008-04-29.
- มีชัย ศรีใส และคณะ. มหกายวิภาคศาสตร์ประยุกต์ เล่มที่ 2: ศีรษะและคอ. พิมพ์ครั้งที่ 3. เยียร์บุ๊คพับลิชเชอร์, 2541.
- Moore K. L., Dalley A. F. Clinically Oriented Anatomy. 4th ed., 1997.
- Campbell N. A., Reece J. B. Biology, 7th Ed. San Francisco CA: Benjamin Cummings, 2005
- Comparative Chart of the Vertebrate Skull
- มีนวิทยา: ระบบโครงร่างและการเคลื่อนที่ของปลา 2008-08-02 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน จากเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
- ชีววิทยา: สัตววิทยา 3 โครงการตำราวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มูลนิธิ สอวน.
- บพิธ จารุพันธ์ และ นันทพร จารุพันธ์. สัตววิทยา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์,2540
- เชาวน์ ชิโนรักษ์ และ พรรณี ชิโนรักษ์. ชีววิทยา ๒. กรุงเทพฯ: บูรพาสาส์น, 2541
- ปรีชา สุวรรณพินิจ และนงลักษณ์ สุวรรณพินิจ, ชีววิทยา 2. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2542
- ชีววิทยา: สัตววิทยา 2 โครงการตำราวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มูลนิธิ สอวน.
แหล่งข้อมูลอื่น
- Animal Skull Collection 2007-12-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เว็บไซต์รวบรวมกะโหลกของสัตว์ชนิดต่างๆ โดย DeLoy Robert
- Dept of Anth Skull Module 2018-04-30 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เว็บไซต์เกี่ยวกับกะโหลกศีรษะของมนุษย์
- Skull Anatomy Tutorial. 2017-07-02 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ภาพของกะโหลกศีรษะในมุมต่างๆ
- Comparative Chart of the Vertebrate Skull กายวิภาคศาสตร์เปรียบเทียบกะโหลกศีรษะของสัตว์มีกระดูกสันหลัง
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
kaohlksirsa xngkvs skull epnokhrngsrangkhxngkradukthiprakxbkhunepnokhrngrangthisakhykhxngswnsirsainstwinklum Craniate hruxstwthimikaohlksirsa sungrwmthngstwmikraduksnhlngthukchnid kaohlksirsathahnathipkpxngsmxngsungepnsunyklangkhxngrabbprasath rwmthngepnokhrngrangthikhacuntang thngta hu cmuk aelalin aelayngthahnathiepnthangekhakhxngthangedinxaharaelathangedinhayicphaphwadaesdngmummxngcakthangdanhnakhxngkaohlksirsakhxngmnusy karsuksaekiywkbkaohlksirsamipraoychnxyangmakhlayprakar odyechphaakarsuksainechingkaywiphakhsastrepriybethiybrahwangstwchnidtang sungepnpraoychndanbrrphchiwinwithyaaelakhwamekhaicthungladbthangwiwthnakar nxkcaknikarsuksalngipechphaakaohlksirsamnusykmipraoychnxyangmakinkarsuksadannitiewchsastr thntaephthysastr rwmthngmanusywithyaaelaobrankhdikaohlksirsakhxngmnusykaohlksirsakhxngmnusyprakxbdwykradukthnghmd 22 chin thngniimnbrwmkradukhu ear ossicles kradukaetlachinkhxngkaohlksirsaswnihyechuxmtxekhadwyknodykhxtxaebbsuecxr Suture thiekhluxnihwimid aetmikhwamaekhngaerngsung kradukkhxngkaohlksirsasamarthaebngxxkidepnsxngklumihy idaek kradukhumsmxng Neurocranium thahnathipxngknsmxngthixyuphayinophrngkaohlk cranial cavity sungmidwykn 8 chin aelasaeplngkhonekhreniym Splanchnocranium thahnathikhacunbriewnibhna rwmaelwmicanwn 14 chin nxkcakni phayinkradukkhmb temporal bone yngmikradukhuxik 6 chin sunghnathiekiywkbkarkhyaykhwamsnsaethuxnkhxngesiyngcakipyng cochlear aelakradukihxxyd hyoid bone thahnathikhacunlinaelaklxngesiyngsungpktiaelwimnbepnswnhnungkhxngkaohlksirsa phayinkaohlksirsayngmi sinus cavities 4 khu hnathikhxngophrngisnsyngepnthithkethiyngxyuinpccubn aetechuxwachwyinkarthaihkaohlksirsaminahnkebakhun thaihsirsaimexnmathangdanhnaaelathaihsirsatngtrngid chwyihesiyngkxngkngwan aelachwyihxakasthiphanophrngcmukekhaipinthangedinhayicxunaelachunmakkhun daninkhxngkaohlksirsaswnthihumsmxngyngmienuxeyuxekiywphnthihumrxbokhrngsrangkhxngrabbprasathklang eriykwa eyuxhumsmxng meninges sungmixyu 3 chneriyngcakchnnxksudekhaipyngchninsudidaek eyuxdura dura mater eyuxxaaerknxyd arachnoid mater aelaeyuxephiy pia mater eyuxhumsmxngmihnathisakhyinkarpkpxngaelahnathithangsrirwithyaxun xikmakmay phyathiwithya karbadecbhruxbwmkhxngenuxsmxngepnsaehtuhlkkhxngkaresiychiwitaelakhwamphikar karbadecbthikaohlksirsainswnthipkpxngsmxng xacthaihekidkaraetkkhxngid inphawathimieluxdxxkinsmxng hruxmi intracranial pressure ephimmakkhun xacmiphltxkansmxng brain stem thaihthungaekchiwitidkaohlksirsakhxngstwchnidxun aelakaywiphakhsastrepriybethiybkaohlksirsaepnokhrngsrangthiphbidinstwmiaeknsnhlngklumthieriykwa Craniata sungerimphbinladbwiwthnakartngaet Hagfish Class Myxini epntnip aelarwmthungstwmikraduksnhlngidaek plakradukxxn plakradukaekhng stwkhrungbkkhrungna stweluxykhlan stwpik aelastweliynglukdwynanm sirsakhxngstwklumekhrniextcaprakxbdwysmxng xwywarbsmphsechnta aelakaohlksirsa stwinklumnicamikarichphlngnganmakkwastwinladbwiwthnakartakwa aelamikarprbtwthangruprangaelakaywiphakhsastrxyangmakephuxchwyinkarephimprasiththiphaphinkarichphlngnganihmakkhun kaohlksirsainstwcaphwkaehkfichaelaplakradukxxncaepnkradukxxn swnkhxngekhrniextchnidxun camikaohlksirsaepnkradukaekhng kaohlksirsakhxngpla kaohlksirsakhxngplamipumkradukthaythxy occipital condyles 1 xn aelamilksnaednkhuxmiaephnpidehnguxk kaohlksirsakhxngplaprakxbdwy 2 swn sungmithngswnthiepnkradukaelakradukxxn idaek kradukhumsmxng hrux niworekhreniym Neurocranium sunghumrxbsmxngaelaxwywarbsmphsechnediywkbinmnusy sungaebngxxkepn 4 swnidaek briewnrbklin Olfactory Region briewnebata Orbital region briewnhu Otic Region aelabriewnthanklxngsmxng Basicranial Region brangkhioxekhreniym Branchiocranium sungepnswnkradukthiimidhumrxbsmxng aebngxxkepn 3 swn idaek briewnpakaelakhakrrikr Oromandibular Region briewnihxxyd hyoid region aelabriewnehnguxk branchial region kaohlksirsakhxngstwkhrungbkkhrungna wiwthnakarkhxngkaohlksirsakhxngstwkhrungbkkhrungnaphbkhrngaerkcaksakfxssilkhxng Ichthyostega xayupraman 350 lanpi sungaesdngthungkarprbtwihehmaakbkardarngchiwitxyubnbk odymikarphthnakradukaekhng ephuxhnikarlakhxngplaaelaephuxkhunmahaxaharbnbk fxssilstwchnidnimihu kaohlksirsadanhnasn phthnaplaycmukyawkhunephuxsudxakasthimikhwamecuxcangkwainna aetkyngmilksnaxun thiehmuxnpla echn yngkhngmi mi epntn kaohlksirsakhxngstwkhrungbkkhrungnamipumkradukthaythxy 2 xn immikradukswnthanaelaswnehnuxkradukthaythxy supra or basioccipitals kradukhumsmxngswnihyyngkhngepnkradukxxn miswnthiepnkradukpthmphumixyunxy praephthkaohlksirsakhxngstwthimithungnakhra phaphepriybethiybtaaehnngkhxngchxngepidkhxngkradukkhmbinkaohlksirsachnidtang caksayipkhwa aelabnlnglang aexnaenpsid sinaenpsid yuriaexpsid idaexpsid karwiekhraahruprangkhxngkaohlksirsamipraoychnmakinkarcdcaaenkstwinklumstwmikraduksnhlngthimi Amniotes sungidaekklumkhxngstweluxykhlan stwpik aelastweliynglukdwynanm rwmthngklumkhxngidonesarthisuyphnthuipaelw okhrngsrangkhxngkaohlksirsathiichinkarcaaenkkhux temporal fenestrae sungkhadwacaepncudekaakhxngklamenuxthiichinkarekhluxnihwkhxngkhakrrikr thaihstwthimiwiwthnakarkhxngchxngepiddngklawmikhwamsamarthinkarhaxahariddikhun xyangirktam instwpikaelastweliynglukdwynanmsungokhrngsrangkhxngkaohlksirsamikarepliynrupipmak chxngepidkhxngkradukkhmbnicungmikarepliynaeplngtamipdwyaelaxacehnimchdecnnk odyxasyokhrngsrangkhxngkaohlksirsa samarthcaaenkstwmikraduksnhlngthimithungnakhraxxkidepnsiklum idaek Anapsids epnklumthiimmichxngepidkhxngkradukkhmb idaekklumkhxngstweluxykhlancaphwketa testudines Synapsids michxngepidhnungchxngthixyuitrxytxrahwang postorbital bone aela squamous bone idaekklumkhxngstweluxykhlanthikhlaykbstweliynglukdwynanm mammal like reptiles sungsuyphnthuipaelw aetkhadwaidmiwiwthnakartxmaepnkaohlkkhxngstweliynglukdwynanminpccubn Euryapsids michxngepidhnungchxngthixyuehnuxrxytxrahwangkradukhlngebataaelakradukskhwams idaekklumkhxngstw eluxykhlanthaelbangpraephth echn Ichthyosaurus Diapsids michxngepidsxngchxng thngehnuxaelaittxrxytxrahwangkradukebataaelakradukskhwams idaekklumkhxngstweluxykhlanswnihy idonesar rwmthngstwpikinpccubnkaohlksirsakhxngstweluxykhlan stweluxykhlanmisaywiwthnakarihyxyu 2 saydwykn idaek sinaenpsid sungepnstweluxykhlanobranthiepnbrrphburuskhxngstweliynglukdwynanmdngthiidklawmaaelw esarxpsid Sauropsid sungaebngxxkyxy idepn 2 klum idaek klumaexnaenpsid idaek klumkhxngstwcaphwketa klumidaexpsid idaek kingka cingck tukaek ngu craekh idonesar epntn sungmikhwamsmphnthiklchidkbstwpik kaohlksirsakhxngstweluxykhlancamipumkradukthaythxy 1 xn okhngkradukohnkaekm zygomatic arch ekidcak jugal aela Quadratojugal bone sungxyuthithankhxngkhakrrikrlang michxngepidrucmuk 2 chxng khakrrikrlangekidcakkradukhlaychin aelamikradukhu 1 chin kaohlksirsakhxngstwpik kaohlksirsakhxngstwpik rxytxkhxngwiwthnakarkhxngkaohlksirsacakstweluxykhlanipepnstwpikphbinsakfxssilkhxngbrrphburuskhxngnkthieriykwa Archaeopteryx sungkhnphbthibawaeriy praethseyxrmni sungmixayupraman 150 lanpi sungphbwakaohlkkhxngsingmichiwitdngklawmilksnatangcaknkchnidxun khuxmifnthikhakrrikr ehmuxnstweluxykhlan aetmicangxypakehmuxnnk aesdnghlkthanwiwthnakarkhxngstwpikthitxenuxngmacakstweluxykhlancaphwkidaexpsid kaohlksirsakhxngnkcamilksnaebaemuxethiybkbnahnktw khuxpraman 0 21 khxngnahnktwinkhnathiinkaohlksirsakhxnghnuhnkepn 1 25 khxngnahnktw kaohlksirsakhxngnkcaimmifnhruxkramthihnkephuxchwyinkarbinkradukhumsmxngmikhnadihy miebatakhnadihyephraamidwngtakhnadihyephuxichinkarmxngehnxyangrwderw pumkradukthaythxymi 1 xn kradukaetlachinkhxngkaohlksirsankcarwmknepnchinediywxyangrwderwthaihehnsuecxrhruxrxyprasanrahwangkradukidimchdecn danhnakhxngkaohlksirsayudyawxxkepncangxypak khakrrikrlangekidcakkradukhlaychin sungcangxypakkhxngnknncamiwiwthnakaraetktangknxxkipephuxihehmaakbkardarngchiwitkhxngnk echn cangxypakkhxngkacamilksnaaehlm aelaaekhngaerng cangxypakkhxngnkflamingokcamilksnangum aelacangxypakkhxngnkhwkhwancayawtrngaelaaekhngaerng ephuxichinkarecaaim aelamikaohlksirsathihnaephuxrxngrbaerngkraaethkaelakhwamsnsaethuxniddi kaohlksirsakhxngstweliynglukdwynanm kaohlksirsakhxngaemwkaohlksirsakhxngkratay enuxngcakstweliynglukdwynanmwiwthnakarmacakstweluxykhlanklumsinaenpsid kaohlksirsakhxngstweliynglukdwynanmcungmichxngepidhnungchxngitrxytxrahwangkradukhlngebataaelakradukskhwams mipumkradukthaythxy 2 pum michxngrucmuk 1 chxng ophrngkaohlkmikhnadihy khakrrikrlangekidcakkradukephiyngchinediyw mikradukhuthixyuinhuchnklang 3 chin idaek kradukkhxn kradukthng aelakradukokln kaohlksirsakhxngstweliynglukdwynanmnbwamikarepliynaeplngrupaebbkhxngfnephuxthahnathiechphaamakkwastwchnidxun sungcaaenkepnpraephthihy id dngni stwkinenux Carnivore echn sunkh aemw camfnhnaaelafnekhiywthiaehlmkhmephuxlaehyux hruxchikchinenux swnfnkramhnaaelafnkramcahykaelakhrukhra ephuxichbdekhiywxahar stwkinphuch Herbivore echn ww camiphiwfnkwangepnsn ephuxichbdekhiywphuchthiehniyw swnfnhnaaelafnekhiywcaepliynaeplngipephuxkdxaharcaphwkphuch hruxxacmilksnaechphaakhxngstwinaetlaxndb echn Class Edentata sungwiwthnakarcnimmifn xndbkratay Class Lagomorpha hruxstwfnaetha Class Rodentia sungmikarphthnafnaethaihmikhnadihy hrux Class Proboscidea sungmifnaethayunyawxxkmaepnnga echn chang Omnivore echn mnusy camifnthiprbtwihsamarthkinthngphuchaelaenuxstwid fnhnacaehmuxnibmidichtdxahar fnekhiywmilksnaaehlmkhm ichchikxahar fnkramhnaaelafnkramichinkarbdekhiywxaharkaohlksirsainxndblingaelamnusy stwinxndblinghruxiphremt primate wiwthnakarmacakstwinxndbxineskhthiwxra Class Insectivora sunglksnakhxngkaohlksirsacamiophrngkaohlkihy cmuksn ebatachidkn khakrrikrhxyta mifnthiehmaakbkarkinthngphuchaelastw emuxepriybethiybkaohlksirsakhxngmnusyaelalingkxrillasungxyuinwngsyxy Homininae ediywkn phbwakaohlksirsakhxngmnusycamilksnakhakrrikraebn fnkhuntrngtngchak aelaswnkhangyunxxkipelknxy inkhnathikaohlksirsakhxnglingkxrillacamisnkradukehnuxtathiyunxxkma khakrrikraelafnyunxxkmadanhna aetswnkhanghdekhaip kaohlksirsastwinxndblingbangchnid emuxepriybethiybkaohlksirsakhxngmnusyaelakhxnglingchimaephnsisungxyuinepha Hominini ediywkn phbwakaohlksirsakhxngmnusyaelalingchimaephnsiinrayatharkmilksnathikhlaykhlungkn khuxmiruprangklm khakrrikrelk aelaibhnaaebn aetemuxecriyetibotmakkhun kaohlksirsakhxngchimaephnsicamikhakrrikrthiyunxxkmamakkhun hnaphakladaelamifnkhnadihykhun inkhnathikaohlksirsakhxngmnusycamisnthanklmehmuxnechninrayathark lksnadngklawmikarsnnisthanwakarecriykhxngsmxngmnusynnmirayaewlanankwakhxnglingchimaephnsi thaihsamartheriynruidmakkhunaelamikhwamchladmakkwakhxnglingchimaephnsirupprakxbephimetimphaphwadaesdngkradukchintangkhxngkaohlksirsacakthangdanhna phaphwadaesdngkradukchintangkhxngkaohlksirsacakthangdankhang phaphwadaesdngaenwrxytxkradukkhxngkaohlksirsacakthangdanhna phaphwadaesdngaenwrxytxkradukkhxngkaohlksirsacakthangdankhang phaphwadkhxngkaohlksirsatdtamyaw odylioxnarod da winsi mummxngthangdanbnkhxngkaohlksirsakhxngedkaerkekid aesdngkrahmxmhnaaelakrahmxmhlng mummxngthangdankhangkhxngkaohlksirsakhxngedkaerkekid aesdngkrahmxmhna krahmxmkhang aelakrahmxmkkhu kaohlkkhxngithaernonesars erks kaohlknkephnkwinthicdaesdng n swnstwphataxangxingGray H 1918 Gray s Anatomy of the Human Body Public Domain Resources khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2010 07 19 subkhnemux 2008 04 28 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2009 01 14 subkhnemux 2008 04 29 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2008 05 27 subkhnemux 2008 04 29 michy sriis aelakhna mhkaywiphakhsastrprayukt elmthi 2 sirsaaelakhx phimphkhrngthi 3 eyiyrbukhphblichechxr 2541 Moore K L Dalley A F Clinically Oriented Anatomy 4th ed 1997 Campbell N A Reece J B Biology 7th Ed San Francisco CA Benjamin Cummings 2005 Comparative Chart of the Vertebrate Skull minwithya rabbokhrngrangaelakarekhluxnthikhxngpla 2008 08 02 thi ewyaebkaemchchin cakewbistmhawithyalyethkhonolyirachmngkhllanna chiwwithya stwwithya 3 okhrngkartarawithyasastraelakhnitsastrmulnithi sxwn bphith caruphnth aela nnthphr caruphnth stwwithya phimphkhrngthi 2 krungethph mhawithyalyekstrsastr 2540 echawn chionrks aela phrrni chionrks chiwwithya 2 krungethph burphasasn 2541 pricha suwrrnphinic aelannglksn suwrrnphinic chiwwithya 2 krungethph sankphimphaehngculalngkrnmhawithyaly 2542 chiwwithya stwwithya 2 okhrngkartarawithyasastraelakhnitsastrmulnithi sxwn aehlngkhxmulxunwikimiediykhxmmxnsmisuxthiekiywkhxngkb kaohlksirsa Animal Skull Collection 2007 12 29 thi ewyaebkaemchchin ewbistrwbrwmkaohlkkhxngstwchnidtang ody DeLoy Robert Dept of Anth Skull Module 2018 04 30 thi ewyaebkaemchchin ewbistekiywkbkaohlksirsakhxngmnusy Skull Anatomy Tutorial 2017 07 02 thi ewyaebkaemchchin phaphkhxngkaohlksirsainmumtang Comparative Chart of the Vertebrate Skull kaywiphakhsastrepriybethiybkaohlksirsakhxngstwmikraduksnhlng