ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
พระเจ้าฟารูกที่ 1 แห่งอียิปต์ (อาหรับ:فاروق الأول Fārūq al-Awwal) (11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1920-18 มีนาคม ค.ศ. 1965) พระมหากษัตริย์แห่งอียิปต์และซูดาน และองค์อธิปัตย์แห่งนิวเบีย, คูร์ดูฟาน และดาร์ฟูร์ แห่ง โดยพระองค์ครองราชย์ต่อจากพระเจ้าฟุอาดที่ 1 แห่งอียิปต์ พระราชบิดา ส่วนพระขนิษฐาของพระองค์ เจ้าหญิงเฟาซียะห์แห่งอียิปต์ ได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี เป็นราชินีแห่งอิหร่าน
พระเจ้าฟารูกแห่งอียิปต์ | |
---|---|
พระมหากษัตริย์แห่งอียิปต์และซูดาน องค์อธิปัตย์แห่งนิวเบีย, คูร์ดูฟาน และดาร์ฟูร์ | |
ครองราชย์ | 28 เมษายน ค.ศ. 1936 – 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1952 (16 ปี 89 วัน) |
ก่อนหน้า | พระเจ้าฟุอาดที่ 1 แห่งอียิปต์ |
ถัดไป | พระเจ้าฟุอาดที่ 2 แห่งอียิปต์ |
พระราชสมภพ | 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1920 พระราชวังอับดีน ไคโร |
สวรรคต | 18 มีนาคม ค.ศ. 1965 (45 พรรษา) โรงพยาบาลซานคามิลโล โรม อิตาลี |
พระบรมราชินี | ซาฟีนาซ ซุลฟิการ์ (ค.ศ. 1938 – 1948) นาร์รีมาน ซาเดก (ค.ศ. 1951 – 1954) |
พระราชบุตร | เจ้าหญิงเฟริยาล เจ้าหญิงเฟาซียะห์ เจ้าหญิงฟาดียะห์ พระเจ้าฟุอาดที่ 2 |
ราชวงศ์ | |
พระราชบิดา | พระเจ้าฟุอาดที่ 1 แห่งอียิปต์ |
พระราชมารดา | นาซลี ซาบรี |
ลายพระอภิไธย |
ก่อนเกิดการปฏิวัติอียิปต์ ค.ศ. 1952 ได้ทำการถอดพระองค์ออกจากราชสมบัติ แล้วยกพระราชโอรสของพระองค์เป็นกษัตริย์องค์ต่อมาพระนามว่า พระเจ้าฟุอาดที่ 2 แห่งอียิปต์ แต่ปกครองได้เพียงปีเดียวรัฐบาลก็ได้ทำการล้มล้างราชวงศ์ เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบสาธารณรัฐ
พระราชประวัติ
พระเจ้าฟารูกที่ 1 แห่งอียิปต์ ประสูติเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1920 พระองค์เป็นพระราชโอรสในพระเจ้าฟูอัดที่ 1 แห่งอียิปต์ และสมเด็จพระราชินีนาซลีแห่งอียิปต์ โดยพระองค์นั้นมีศักดิ์เป็นลื่อของมูฮัมหมัด อาลี ปาชา วาลิแห่งอียิปต์และซูดาน ต้นพระราชวงศ์มูฮัมหมัดอาลี ซึ่งมีเชื้อสายแอลเบเนีย ส่วนโดยส่วนพระเจ้าฟารูกเอง พระองค์มีเชื้อสายอียิปต์ และฝรั่งเศสจากพระราชมารดา โดยก่อนที่พระราชบิดาจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ได้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยวูลวิช สหราชอาณาจักร เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ 16 พรรษา และต่อมาเมื่อพระองค์มีพระชนมายุ 17 พรรษา จึงมีพิธีสวมมงกุฎขึ้น พระราชบิดาของพระองค์ได้เสด็จสวรรคต โดยในพระราชพิธีสวมมงกุฎของพระองค์ พระองค์ได้มีพระราชดำรัสแก่ประชาชนด้วย พระองค์สามารถรับสั่งเป็นภาษาอาหรับ ภาษาตุรกี ภาษาอิตาลี ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษารัสเซีย ภาษาเยอรมัน และภาษาสเปน
พระองค์มีวิถีชีวิตที่น่าลุ่มหลงฟุ่มเฟือยฟู่ฟ่า พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ในดินแดนที่ยิ่งใหญ่ พระราชวัง 12 แห่ง รถยนต์พระที่นั่งกว่า 100 คัน และพระองค์ยังโปรดเสด็จประพาสดินแดนยุโรปอย่างเกษมสำราญอยู่บ่อย ๆ จึงสร้างความไม่พอใจในหมู่ไพร่ฟ้าประชาชนทั่วไปเป็นจำนวนมาก
เมื่อพระเจ้าฟารูกขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้ปลุกใจแก่ประชาชนชาวอียิปต์ได้เนื่องจากพระองค์มีเชื้อสายอียิปต์จากพระมารดา แม้พระราชวงศ์จะมาจากเชื้อสายแอลเบเนีย แต่อย่างไรก็ตามสถานการณ์ของพระองค์นั้นถือว่าวิกฤต เนื่องจากพระองค์ยังไม่มีความพร้อมในการปกครอง และเห็นได้ว่าพระองค์ได้มีความเห็นไม่ลงรอยกับผู้อื่นทั้งหมดในขณะขึ้นครองราชบัลลังก์
ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ในระหว่างช่วงทุกข์ยากของสงครามโลกครั้งที่ 2 พระองค์ถูกเพ่งเล็งในเรื่องของการใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย พระองค์ได้พิพากษาคดีที่พระราชวังในเมืองอเล็กซานเดรียของพระองค์ถูกเผา ในขณะที่พลเมืองกำลังอยู่อย่างสิ้นหวัง เนื่องจากอิตาลีและเยอรมันได้ทิ้งระเบิดทำลาย แต่พระเจ้าฟารูกคิดว่าเป็นการกระทำของคนกลุ่มอื่น ในขณะนั้นอังกฤษได้เริ่มกลับมายึดครองดินแดนอียิปต์อีกครั้ง ชาวอียิปต์จำนวนมากพร้อมด้วยพระเจ้าฟารูก ซึ่งได้พยายามโน้มน้าวเยอรมันและอิตาลีให้ทำการช่วยเหลือ อย่างไรก็ตามชาวอังกฤษที่พำนักในอียิปต์ก็วางตัวเป็นกลาง จนกระทั่งสิ้นสุดยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 พระเจ้าฟารูกเป็นผู้ที่มีความเห็นใจเข้าข้างฝ่ายอักษะ ได้กล่าวต้นรับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำพรรคนาซี ทั้งที่อยากจะมาบุกรุกอียิปต์ แต่พระเจ้าฟารูกได้เปิดเผยตัวเป็นฝ่ายอักษะภายใต้การกดดันอย่างหนักของอังกฤษเป็นเวลานาน ใน ค.ศ. 1945 หลังจากการต่อสู้ในทะเลทรายได้สิ้นสุดลง
การล้มล้างราชบัลลังก์
ในช่วงสงครามปาเลสไตน์ซึ่งเป็นการสู้รบระหว่างยิวและอาหรับ อียิปต์ได้เข้าร่วมสงครามในนามของชาติสันนิบาตอาหรับ จึงสร้งความไม่พอใจแก่อังกฤษ ทางอังกฤษจึงได้ให้การสนับสนุนกลุ่มต่อต้านพระเจ้าฟารูกในการล้มล้างพระราชบัลลังก์ ในช่วงนี้มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงในเหล่าข้าราชการ บางพวกใช้อำนาจหน้าที่ของตนสร้างความร่ำรวยแก่ตนเอง ขณะที่เหล่าราษฎรอยู่อย่างยากลำบาก แต่ราชสำนักและเหล่าข้าราชการกลับใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย
พระเจ้าฟารูกได้รับการดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในเรื่องของการปกครองที่ไม่ได้ผล ประกอบกับการเข้ามาปกครองอีกครั้งของอังกฤษ รวมไปถึงการเสียดินแดนปาเลสไตน์ให้แก่อิสราเอลถึงร้อยละ 78 ในสงครามอาหรับ-อิสราเอล ค.ศ. 1948 ทำให้เหล่าพสกนิกรต่างไม่พอใจในการปกครองของพระเจ้าฟารูก ท้ายที่สุดในวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1952 กลุ่มขวนการ Free Officers Movement ภายใต้การนำของมูฮัมเหม็ด นาจีบ และกาเมล อับเดล นัสซอร์ ได้กระทำการรัฐประหารใน ค.ศ. 1952 โดยบังคับให้พระองค์สละราชสมบัติ และเสด็จลี้ภัยไปยังประเทศโมนาโก และประเทศอิตาลี ทันทีทันใดหลังจากการสละราชสมบัติของพระเจ้าฟารูก ก็ได้มีการยกเจ้าชายอาเหม็ด ฟูอัด พระราชโอรสของพระเจ้าฟารูกที่ยังเป็นทารกอยู่เสด็จขึ้นครองราชย์ขึ้นเป็น พระเจ้าฟูอัดที่ 2 แห่งอียิปต์ แต่เมื่อครองราชย์ได้ 324 วัน ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบสาธารณรัฐ จึงเป็นอันสิ้นสุดการปกครองภายใต้ราชวงศ์มูฮัมหมัดอาลี
ชีวิตหลังการสละราชสมบัติและการสวรรคต
หลังจากเสด็จลี้ภัยจากประเทศอียิปต์แล้ว พระองค์ได้เข้าไปพำนักในประเทศโมนาโก โดยพระองค์ได้ถูกถอดสัญชาติอียิปต์โดยสหพันธ์สาธารณรัฐอาหรับ แต่ภายหลังพระองค์ได้รับพระราชทานสัญชาติโมนาโกจากเจ้าชายเรนิเยที่ 3 องค์อธิปัตย์แห่งโมนาโก ซึ่งเป็นพระสหาย และภายหลังได้เข้ามาพำนักในกรุงโรม ประเทศอิตาลี โดยพระองค์ได้รับเป็นพลเมืองของโมนาโก พระองค์มีปัญหาเกี่ยวกับการเสวยอาหาร จนทำให้มีพระวรกายใหญ่ และมีพระน้ำหนักเกือบ 300 ปอนด์ (136 กิโลกรัม) ในที่สุดพระองค์ก็เสด็จสวรรคตในภัตตาคารอาหารฝรั่งเศสแห่งหนึ่งในกรุงโรม ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ. 1965 ขณะที่พระองค์กำลังเสวยพระกระยาหารมื้อใหญ่ โดยที่พระองค์ได้ทรุดพระองค์ และสวรรคต แม้ว่าหน่วยข่าวกรองบางส่วนของอียิปต์คิดว่าเป็นการวางยาพิษลอบปลงพระชนม์ เนื่องจากไม่มีการตรวจชันสูตรพระศพ รวมไปถึงมื้อกระยาหารเหล่านั้นด้วย โดยงานพระศพของพระองค์นั้นตามเดิมต้องจัดที่มัสยิดอัลริฟะอี (Al-Rifa'i Mosque) กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ แต่การขอร้องถูกปฏิเสธโดยทางการอียิปต์ ซึ่งนำโดยนายกาเมล อับเดล นัสซอร์ พระศพของพระเจ้าฟารูกจึงถูกฝังในประเทศอิตาลีเอง (พระยศในขณะนั้น) จึงได้โปรดให้ทำการฝังพระเจ้าฟารูกในประเทศซาอุดิอาระเบีย เมื่อประธานาธิบดีนัสซอร์เห็นเช่นนั้น จึงได้ให้นำพระศพมาฝังยังประเทศอียิปต์ ณ มัสยิดอัลริฟะอี
อภิเษกสมรส
พระเจ้าฟารูกที่ 1 แห่งอียิปต์ โดยครั้งแรกพระองค์ได้มีความสัมพันธ์กับ นักเขียนชาวอังกฤษ ท่ามกลางเสียงคัดค้าน ทั้งสองจึงไม่ได้แต่งงานกัน พระเจ้าฟารูกจึงได้ทำการอภิเษกสมรสอย่างเป็นทางการ 2 ครั้ง ดังต่อไปนี้
- สมเด็จพระราชินีฟารีดาแห่งอียิปต์ (1921–1988) พระนามเดิม ซาฟีนาซ ซุลฟิการ์ ต่อมาได้เปลี่ยนพระนามเป็น ฟารีดา ได้อภิเษกสมรสกันเมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 1938 ต่อมาได้ทรงหย่ากัน เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1948 เนื่องจากมิทรงให้พระประสูติกาลพระราชโอรส โดยทั้งสองพระองค์มีพระราชธิดาด้วยกัน 3 พระองค์ ได้แก่
- เจ้าหญิงเฟริยาล (1938-2009)
- เจ้าหญิงเฟาซียะห์ (1940- 2005)
- เจ้าหญิงฟาดียะห์ (1943-2002)
- สมเด็จพระราชินีนาร์รีมานแห่งอียิปต์ (1934–2005) พระนามเดิม นาร์รีมาน ซาเดก ได้อภิเษกสมรสกันเมื่อวันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 1952 ต่อมาได้ทรงหย่ากันเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1954 เนื่องจากทรงเบื่อหน่ายกับการลี้ภัย ทั้งสองพระองค์ได้ให้พระประสูติกาลพระโอรสพระองค์แรก และพระองค์เดียว คือ
- พระเจ้าฟูอัดที่ 2 แห่งอียิปต์ (1952-)
ผู้ที่อ้างว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับพระเจ้าฟารูก
- (1935-) หรือชื่อปัจจุบันคือ อีร์มา กาเปเซ มีนูโตโล ฟารุก อดีตนักร้องโอเปราจากประเทศอิตาลี ซึ่งเคยเป็นพระสหายเก่า โดยในปี ค.ศ. 2005 เธอได้อ้างว่า เธอได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าฟารูก ในปี ค.ศ. 1957 ไม่ปรากฏว่ามีพระโอรสธิดาด้วยกัน
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
- (Kungliga Serafimerorden) ประเทศสวีเดน
- Annunziata ราชอาณาจักรอิตาลี
- SS Cyril & Methodius ราชอาณาจักรบัลแกเรีย
- เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ฝ่ายหน้า (ม.จ.ก.) (ประเทศไทย)
- (the Grand Order of the Hashimites) ราชอาณาจักรอิรัก
- the Grand Collar and Chain of the Order of Solomon จักรวรรดิเอธิโอเปีย
- (the Grand Collars of the Orders of Pahlavi) ประเทศอิหร่าน
- the Supreme Sun ประเทศอัฟกานิสถาน
- the Grand Collar ราชอาณาจักรแอลเบเนีย
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันสูงส่งยิ่งดอกเบญจมาศ (the Collars of the Orders of the Chrysanthemum) ประเทศญี่ปุ่น
- Idris I ราชอาณาจักรลิเบีย
- Hussein ibn 'Ali ประเทศจอร์แดน
- GC of the Orders of the Redeemer ราชอาณาจักรกรีซ
- the Netherlands Lion ประเทศเนเธอร์แลนด์
- เครื่องอิสริยาภรณ์เลชียงดอนเนอร์ (Legion d'Honneur) ประเทศฝรั่งเศส
- SS Maurice & Lazarus ราชอาณาจักรอิตาลี
- Carol I with collar ราชอาณาจักรโรมาเนีย
- Star of Karageorge ราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย
- Leopold of Belgium (mil) ประเทศเบลเยียม
- (The Imperial Order of the Dragon of Annam) จักรวรรดิเวียดนาม
- St Charles ประเทศโมนาโก
- Renaissance (special class) in brilliants ประเทศจอร์แดน
- the Omayyad ประเทศซีเรีย
- (Orders of the White Eagle) ประเทศโปแลนด์
- the White Lion ประเทศเชโกสโลวาเกีย
- 1st class with collar Chief Cdr. Legion of Merit สหรัฐอเมริกา
พระราชตระกูล
พงศาวลีของพระเจ้าฟารูกแห่งอียิปต์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
อ้างอิง
- Whiteman, Marjorie Millace; (1963). Digest of International Law (snippet view). Vol. 2. United States Department of State. p. 64. OCLC 79506166. สืบค้นเมื่อ 2010-02-26.
The Egyptian Parliament amended the Constitution by Law 176 of October 16, 1951, to provide that the title of the King should be "King of Egypt and the Sudan" instead of "King of Egypt, Sovereign of Nubia, Sudan, Kordofan, and Darfur".
- Egypt14
- Rizk, Yunan Labib (28 July – 3 August 2005). . Al-Ahram Weekly (753). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-09-14. สืบค้นเมื่อ 2010-02-25.
- Halsey, William Darrach; Friedman, Emanuel (1983). "Faruk I". . Vol. 9. New York: Macmillan Educational Co. p. 574. OCLC 9355858. สืบค้นเมื่อ 2010-02-25.
- "Monaco Makes Farouk Citizen". Deseret News. 351 (107): A3. May 5, 1959. สืบค้นเมื่อ 2010-02-25.
- "Time: "Egypt: A Tale of Two Autocrats", Mar. 26, 1965". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-04-14. สืบค้นเมื่อ 2010-01-09.
- Farouk of Egypt 2009-10-26 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Accessed 2010.02.26.
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-11-21. สืบค้นเมื่อ 2021-08-18.
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-12-16. สืบค้นเมื่อ 2010-01-09.
- , บ.ก. (1980). "The French Ancestry of King Farouk of Egypt". Burke's Royal Families of the World. Vol. Volume II: Africa & the Middle East. London: Burke's Peerage. p. 287. ISBN . OCLC 18496936.
{{}}
:|volume=
has extra text ((help))
แหล่งข้อมูลอื่น
- Ashraf Pahlavi "Faces in a Mirror", Englewood Cliffs: Prentice-Hall, Inc., 1980
- McLeave, Hugh The Last Pharaoh : Farouk of Egypt, New York : McCall Pub. Co., 1970, 1969 .
- New King, Old Trouble, Time Magazine, Monday, May 11, 1936. 2013-08-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Sadat, Jehan "A Woman of Egypt", New York: Simon and Schuster, 1987
- Stadiem, William Too Rich: The High Life and Tragic Death of King Farouk, New York: Carroll & Graf Pub, 1991
ก่อนหน้า | พระเจ้าฟารูกแห่งอียิปต์ | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
พระเจ้าฟูอัดที่ 1 แห่งอียิปต์ | กษัตริย์แห่งอียิปต์ (28 เมษายน ค.ศ. 1936 – 19 ตุลาคม ค.ศ. 1951) | เปลี่ยนตำแหน่ง สนธิสัญญาอังกฤษ-อียิปต์ ค.ศ. 1936 | ||
เริ่มตำแหน่งใหม่ สนธิสัญญาอังกฤษ-อียิปต์ ค.ศ. 1936 | กษัตริย์แห่งอียิปต์และซูดาน (19 ตุลาคม ค.ศ. 1951 – 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1952) | พระเจ้าฟูอัดที่ 2 แห่งอียิปต์ |
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
lingkkhamphasa inbthkhwamni miiwihphuxanaelaphurwmaekikhbthkhwamsuksaephimetimodysadwk enuxngcakwikiphiediyphasaithyyngimmibthkhwamdngklaw krann khwrribsrangepnbthkhwamodyerwthisud phraecafarukthi 1 aehngxiyipt xahrb فاروق الأول Faruq al Awwal 11 kumphaphnth kh s 1920 18 minakhm kh s 1965 phramhakstriyaehngxiyiptaelasudan aelaxngkhxthiptyaehngniwebiy khurdufan aeladarfur aehng odyphraxngkhkhrxngrachytxcakphraecafuxadthi 1 aehngxiyipt phrarachbida swnphrakhnisthakhxngphraxngkh ecahyingefasiyahaehngxiyipt idxphiesksmrskbphraecachah omhmhmd ersa pahlawi epnrachiniaehngxihranphraecafarukaehngxiyiptphramhakstriyaehngxiyiptaelasudan xngkhxthiptyaehngniwebiy khurdufan aeladarfurkhrxngrachy28 emsayn kh s 1936 27 krkdakhm kh s 1952 16 pi 89 wn kxnhnaphraecafuxadthi 1 aehngxiyiptthdipphraecafuxadthi 2 aehngxiyiptphrarachsmphph11 kumphaphnth kh s 1920 phrarachwngxbdin ikhorswrrkht18 minakhm kh s 1965 45 phrrsa orngphyabalsankhamilol orm xitaliphrabrmrachinisafinas sulfikar kh s 1938 1948 narriman saedk kh s 1951 1954 phrarachbutrecahyingefriyal ecahyingefasiyah ecahyingfadiyah phraecafuxadthi 2rachwngsphrarachbidaphraecafuxadthi 1 aehngxiyiptphrarachmardanasli sabrilayphraxphiithy kxnekidkarptiwtixiyipt kh s 1952 idthakarthxdphraxngkhxxkcakrachsmbti aelwykphrarachoxrskhxngphraxngkhepnkstriyxngkhtxmaphranamwa phraecafuxadthi 2 aehngxiyipt aetpkkhrxngidephiyngpiediywrthbalkidthakarlmlangrachwngs epliynaeplngkarpkkhrxngepnaebbsatharnrthphrarachprawtiecachayfarukinchlxngphraxngkhchudlukesux phraecafarukthi 1 aehngxiyipt prasutiemuxwnthi 11 kumphaphnth kh s 1920 phraxngkhepnphrarachoxrsinphraecafuxdthi 1 aehngxiyipt aelasmedcphrarachininasliaehngxiyipt odyphraxngkhnnmiskdiepnluxkhxngmuhmhmd xali pacha waliaehngxiyiptaelasudan tnphrarachwngsmuhmhmdxali sungmiechuxsayaexlebeniy swnodyswnphraecafarukexng phraxngkhmiechuxsayxiyipt aelafrngesscakphrarachmarda odykxnthiphrarachbidacasinphrachnm phraxngkhidsaerckarsuksacakorngeriynnayrxywulwich shrachxanackr emuxphraxngkhmiphrachnmayuid 16 phrrsa aelatxmaemuxphraxngkhmiphrachnmayu 17 phrrsa cungmiphithiswmmngkudkhun phrarachbidakhxngphraxngkhidesdcswrrkht odyinphrarachphithiswmmngkudkhxngphraxngkh phraxngkhidmiphrarachdarsaekprachachndwy phraxngkhsamarthrbsngepnphasaxahrb phasaturki phasaxitali phasaxngkvs phasafrngess phasarsesiy phasaeyxrmn aelaphasasepn phraxngkhmiwithichiwitthinalumhlngfumefuxyfufa phraxngkhepnphramhakstriyindinaednthiyingihy phrarachwng 12 aehng rthyntphrathinngkwa 100 khn aelaphraxngkhyngoprdesdcpraphasdinaednyuorpxyangeksmsarayxyubxy cungsrangkhwamimphxicinhmuiphrfaprachachnthwipepncanwnmak emuxphraecafarukkhunkhrxngrachy phraxngkhidplukicaekprachachnchawxiyiptidenuxngcakphraxngkhmiechuxsayxiyiptcakphramarda aemphrarachwngscamacakechuxsayaexlebeniy aetxyangirktamsthankarnkhxngphraxngkhnnthuxwawikvt enuxngcakphraxngkhyngimmikhwamphrxminkarpkkhrxng aelaehnidwaphraxngkhidmikhwamehnimlngrxykbphuxunthnghmdinkhnakhunkhrxngrachbllngkchwngsngkhramolkkhrngthisxnginrahwangchwngthukkhyakkhxngsngkhramolkkhrngthi 2 phraxngkhthukephngelngineruxngkhxngkarichchiwitfumefuxy phraxngkhidphiphaksakhdithiphrarachwnginemuxngxelksanedriykhxngphraxngkhthukepha inkhnathiphlemuxngkalngxyuxyangsinhwng enuxngcakxitaliaelaeyxrmnidthingraebidthalay aetphraecafarukkhidwaepnkarkrathakhxngkhnklumxun inkhnannxngkvsiderimklbmayudkhrxngdinaednxiyiptxikkhrng chawxiyiptcanwnmakphrxmdwyphraecafaruk sungidphyayamonmnaweyxrmnaelaxitaliihthakarchwyehlux xyangirktamchawxngkvsthiphankinxiyiptkwangtwepnklang cnkrathngsinsudyukhsngkhramolkkhrngthi 2 phraecafarukepnphuthimikhwamehnicekhakhangfayxksa idklawtnrbxdxlf hitelxr phunaphrrkhnasi thngthixyakcamabukrukxiyipt aetphraecafarukidepidephytwepnfayxksaphayitkarkddnxyanghnkkhxngxngkvsepnewlanan in kh s 1945 hlngcakkartxsuinthaelthrayidsinsudlngkarlmlangrachbllngkphraecafarukaehngxiyipt inchwngsngkhrampaelsitnsungepnkarsurbrahwangyiwaelaxahrb xiyiptidekharwmsngkhraminnamkhxngchatisnnibatxahrb cungsrngkhwamimphxicaekxngkvs thangxngkvscungidihkarsnbsnunklumtxtanphraecafarukinkarlmlangphrarachbllngk inchwngnimikarchxrasdrbnghlwnginehlakharachkar bangphwkichxanachnathikhxngtnsrangkhwamrarwyaektnexng khnathiehlarasdrxyuxyangyaklabak aetrachsankaelaehlakharachkarklbichchiwitxyanghruhrafumefuxy phraecafarukidrbkarduhminphrabrmedchanuphaphineruxngkhxngkarpkkhrxngthiimidphl prakxbkbkarekhamapkkhrxngxikkhrngkhxngxngkvs rwmipthungkaresiydinaednpaelsitnihaekxisraexlthungrxyla 78 insngkhramxahrb xisraexl kh s 1948 thaihehlaphsknikrtangimphxicinkarpkkhrxngkhxngphraecafaruk thaythisudinwnthi 23 krkdakhm kh s 1952 klumkhwnkar Free Officers Movement phayitkarnakhxngmuhmehmd nacib aelakaeml xbedl nssxr idkrathakarrthpraharin kh s 1952 odybngkhbihphraxngkhslarachsmbti aelaesdcliphyipyngpraethsomnaok aelapraethsxitali thnthithnidhlngcakkarslarachsmbtikhxngphraecafaruk kidmikarykecachayxaehmd fuxd phrarachoxrskhxngphraecafarukthiyngepntharkxyuesdckhunkhrxngrachykhunepn phraecafuxdthi 2 aehngxiyipt aetemuxkhrxngrachyid 324 wn kidmikarepliynaeplngkarpkkhrxngepnaebbsatharnrth cungepnxnsinsudkarpkkhrxngphayitrachwngsmuhmhmdxalichiwithlngkarslarachsmbtiaelakarswrrkhthlngcakesdcliphycakpraethsxiyiptaelw phraxngkhidekhaipphankinpraethsomnaok odyphraxngkhidthukthxdsychatixiyiptodyshphnthsatharnrthxahrb aetphayhlngphraxngkhidrbphrarachthansychatiomnaokcakecachayernieythi 3 xngkhxthiptyaehngomnaok sungepnphrashay aelaphayhlngidekhamaphankinkrungorm praethsxitali odyphraxngkhidrbepnphlemuxngkhxngomnaok phraxngkhmipyhaekiywkbkareswyxahar cnthaihmiphrawrkayihy aelamiphranahnkekuxb 300 pxnd 136 kiolkrm inthisudphraxngkhkesdcswrrkhtinphttakharxaharfrngessaehnghnunginkrungorm praethsxitali emuxwnthi 18 minakhm kh s 1965 khnathiphraxngkhkalngeswyphrakrayaharmuxihy odythiphraxngkhidthrudphraxngkh aelaswrrkht aemwahnwykhawkrxngbangswnkhxngxiyiptkhidwaepnkarwangyaphislxbplngphrachnm enuxngcakimmikartrwcchnsutrphrasph rwmipthungmuxkrayaharehlanndwy odynganphrasphkhxngphraxngkhnntamedimtxngcdthimsyidxlrifaxi Al Rifa i Mosque krungikhor praethsxiyipt aetkarkhxrxngthukptiesthodythangkarxiyipt sungnaodynaykaeml xbedl nssxr phrasphkhxngphraecafarukcungthukfnginpraethsxitaliexng phraysinkhnann cungidoprdihthakarfngphraecafarukinpraethssaxudixaraebiy emuxprathanathibdinssxrehnechnnn cungidihnaphrasphmafngyngpraethsxiyipt n msyidxlrifaxixphiesksmrsphraecafarukthi 1 phrarachinifarida aelaecahyingfariyl inpi kh s 1940 phraecafarukthi 1 aehngxiyipt odykhrngaerkphraxngkhidmikhwamsmphnthkb nkekhiynchawxngkvs thamklangesiyngkhdkhan thngsxngcungimidaetngngankn phraecafarukcungidthakarxphiesksmrsxyangepnthangkar 2 khrng dngtxipni smedcphrarachinifaridaaehngxiyipt 1921 1988 phranamedim safinas sulfikar txmaidepliynphranamepn farida idxphiesksmrsknemuxwnthi 20 mkrakhm kh s 1938 txmaidthrnghyakn emuxwnthi 19 phvscikayn kh s 1948 enuxngcakmithrngihphraprasutikalphrarachoxrs odythngsxngphraxngkhmiphrarachthidadwykn 3 phraxngkh idaek ecahyingefriyal 1938 2009 ecahyingefasiyah 1940 2005 ecahyingfadiyah 1943 2002 smedcphrarachininarrimanaehngxiyipt 1934 2005 phranamedim narriman saedk idxphiesksmrsknemuxwnthi 16 mkrakhm kh s 1952 txmaidthrnghyaknemuxwnthi 2 kumphaphnth kh s 1954 enuxngcakthrngebuxhnaykbkarliphy thngsxngphraxngkhidihphraprasutikalphraoxrsphraxngkhaerk aelaphraxngkhediyw khux phraecafuxdthi 2 aehngxiyipt 1952 phuthixangwamiswnekiywkhxngkbphraecafaruk 1935 hruxchuxpccubnkhux xirma kaepes minuotol faruk xditnkrxngoxepracakpraethsxitali sungekhyepnphrashayeka odyinpi kh s 2005 ethxidxangwa ethxidxphiesksmrskbphraecafaruk inpi kh s 1957 impraktwamiphraoxrsthidadwyknekhruxngrachxisriyaphrnphraecafarukaehngxiyipt Kungliga Serafimerorden praethsswiedn Annunziata rachxanackrxitali SS Cyril amp Methodius rachxanackrblaekeriy ekhruxngkhttiyrachxisriyaphrnxnmiekiyrtikhunrungeruxngyingmhackribrmrachwngsfayhna m c k praethsithy the Grand Order of the Hashimites rachxanackrxirk the Grand Collar and Chain of the Order of Solomon ckrwrrdiexthioxepiy the Grand Collars of the Orders of Pahlavi praethsxihran the Supreme Sun praethsxfkanisthan the Grand Collar rachxanackraexlebeniy ekhruxngrachxisriyaphrnxnsungsngyingdxkebycmas the Collars of the Orders of the Chrysanthemum praethsyipun Idris I rachxanackrliebiy Hussein ibn Ali praethscxraedn GC of the Orders of the Redeemer rachxanackrkris the Netherlands Lion praethsenethxraelnd ekhruxngxisriyaphrnelchiyngdxnenxr Legion d Honneur praethsfrngess SS Maurice amp Lazarus rachxanackrxitali Carol I with collar rachxanackrormaeniy Star of Karageorge rachxanackryuokslaewiy Leopold of Belgium mil praethsebleyiym The Imperial Order of the Dragon of Annam ckrwrrdiewiydnam St Charles praethsomnaok Renaissance special class in brilliants praethscxraedn the Omayyad praethssieriy Orders of the White Eagle praethsopaelnd the White Lion praethsechoksolwaekiy 1st class with collar Chief Cdr Legion of Merit shrthxemrikaphrarachtrakulphngsawlikhxngphraecafarukaehngxiyipt xaminaaehngnxsrtli ohchixar khadin phraecafuxdthi 1 aehngxiyipt faeriyl khadin phraecafarukthi 1 aehngxiyipt xbdulrxhim sabri pacha smedcphrarachininasliaehngxiyipt xahmd charif exfefndi kxdi xl xskr muhmhmd charif pacha etafika hanim suilman pacha xl fransawi nasli xl fransawi maeriy exelssi xangxingwikimiediykhxmmxnsmisuxthiekiywkhxngkb phraecafarukaehngxiyipt Whiteman Marjorie Millace 1963 Digest of International Law snippet view Vol 2 United States Department of State p 64 OCLC 79506166 subkhnemux 2010 02 26 The Egyptian Parliament amended the Constitution by Law 176 of October 16 1951 to provide that the title of the King should be King of Egypt and the Sudan instead of King of Egypt Sovereign of Nubia Sudan Kordofan and Darfur Egypt14 Rizk Yunan Labib 28 July 3 August 2005 Al Ahram Weekly 753 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2008 09 14 subkhnemux 2010 02 25 Halsey William Darrach Friedman Emanuel 1983 Faruk I Vol 9 New York Macmillan Educational Co p 574 OCLC 9355858 subkhnemux 2010 02 25 Monaco Makes Farouk Citizen Deseret News 351 107 A3 May 5 1959 subkhnemux 2010 02 25 Time Egypt A Tale of Two Autocrats Mar 26 1965 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2012 04 14 subkhnemux 2010 01 09 Farouk of Egypt 2009 10 26 thi ewyaebkaemchchin Accessed 2010 02 26 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2008 11 21 subkhnemux 2021 08 18 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2008 12 16 subkhnemux 2010 01 09 b k 1980 The French Ancestry of King Farouk of Egypt Burke s Royal Families of the World Vol Volume II Africa amp the Middle East London Burke s Peerage p 287 ISBN 9780850110296 OCLC 18496936 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite book title aemaebb Cite book cite book a volume has extra text help aehlngkhxmulxunAshraf Pahlavi Faces in a Mirror Englewood Cliffs Prentice Hall Inc 1980 McLeave Hugh The Last Pharaoh Farouk of Egypt New York McCall Pub Co 1970 1969 ISBN 0841500207 New King Old Trouble Time Magazine Monday May 11 1936 2013 08 27 thi ewyaebkaemchchin Sadat Jehan A Woman of Egypt New York Simon and Schuster 1987 ISBN 0671540713 Stadiem William Too Rich The High Life and Tragic Death of King Farouk New York Carroll amp Graf Pub 1991 ISBN 0881846295kxnhna phraecafarukaehngxiyipt thdipphraecafuxdthi 1 aehngxiyipt kstriyaehngxiyipt 28 emsayn kh s 1936 19 tulakhm kh s 1951 epliyntaaehnng snthisyyaxngkvs xiyipt kh s 1936erimtaaehnngihm snthisyyaxngkvs xiyipt kh s 1936 kstriyaehngxiyiptaelasudan 19 tulakhm kh s 1951 26 krkdakhm kh s 1952 phraecafuxdthi 2 aehngxiyipt