โพลาไรเซอร์ (Polarizer หรือ Polariser) เป็นตัวกรองแสงซึ่งสามารถทำให้แสงซึ่งมีโพลาไรซ์ตามแนวที่กำหนดหรือแบบที่ต้องการผ่านได้ ส่วนแสงที่มีโพลาไรซ์แบบอื่นจะถูกปิดกั้นไว้มิให้ผ่านได้ นอกจากนี้ โพลาไรเซอร์ยังสามารถแปลงแสงซึ่งมีโพลาไรซ์แบบผสมหรือไม่ทราบทิศทางให้กลายเป็นแสงโพลาไรซ์ได้อีกด้วย เรียกแสงที่ผ่านโพลาไรเซอร์ว่า แสงโพลาไรซ์
ในชีวิตประจำวัน โพลาไรเซอร์มีสองชนิด คือ โพลาไรเซอร์แบบเส้นตรง (linear polarizer) และ โพลาไรเซอร์แบบวงกลม (circular polarizer) โพลาไรเซอร์เหล่านี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในทางการถ่ายภาพ การประดิษฐ์เครื่องมือทางแสง เช่น จอภาพผลึกเหลว ได้อีกด้วย นอกเหนือจากแสงแล้ว ยังมีโพลาไรเซอร์สำหรับคลื่นวิทยุ (เช่นเสาอากาศ) คลื่นไมโครเวฟ และรังสีเอกซ์
โพลาไรเซอร์แบบเส้นตรง
โพลาไรเซอร์แบบเส้นตรงแบ่งได้เป็นสองประเภทคือ โพลาไรเซอร์ดูดกลืน (absorptive polarizer) ซึ่งทำงานโดยการดูดกลืนแสงโพลาไรซ์ในทิศที่ไม่ต้องการออกเสีย และโพลาไรเซอร์แบ่งลำแสง (beam-splitting polarizer) ซึ่งทำงานโดยการแยกลำแสงออกเป็นสองลำ แต่ละลำมีทิศทางการสั่นหรือโพลาไรซ์ตรงข้ามกัน
โพลาไรเซอร์ชนิดตับลวด
โพลาไรเซอร์ชนิดตับลวด (wire-grid polarizer) เป็นโพลาไรเซอร์แบบที่ง่ายที่สุด ประกอบด้วยลวดโลหะขนาดเล็กมากเรียงกันเป็นตับบนระนาบที่ตั้งฉากกับเส้นลำแสง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าใดที่มีองค์ประกอบในทิศขนานกับเส้นลวด จะกระตุ้นให้อิเล็กตรอนในตับลวดเคลื่อนไปตามเส้นลวด จากนั้นจึงสะท้อนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากลับ โดยมีพลังงานบางส่วนสูญเสียไปเป็นพลังงานความร้อน ในส่วนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีองค์ประกอบในทิศตั้งฉากกับแนวลวด อิเล็กตรอนไม่สามารถเคลื่อนที่ไปได้ไกลนัก ส่งผลให้เส้นลวดไม่สามารถสะท้อนพลังงานกลับไปได้ จึงยอมให้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าผ่านออกไป จากความจริงข้างต้นทำให้ได้ว่าทิศทางการโพลาไรซ์ของโพลาไรเซอร์ชนิดตับลวด คือ ทิศตั้งฉากกับแนวลวด ซึ่งขัดแย้งกับการมองว่าคลื่นสามารถลอดผ่านรูระหว่างลวดสองเส้นในตับลวดได้
ในทางปฏิบัติ มักกำหนดให้ระยะระหว่างเส้นลวดสองเส้นในตับลวด น้อยกว่าความยาวคลื่นของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และเส้นลวดควรมีขนาดเล็กกว่านั้นมาก ๆ ส่งผลให้โพลาไรเซอร์ชนิดนี้นิยมใช้กับคลื่นไมโครเวฟ และรังสีอินฟราเรด หากจะใช้กับแสงที่มองเห็น จะต้องใช้เทคนิคการพิมพ์หิน (lithography) ในการผลิตตับลวด เนื่องจากสัดส่วนโพลาไรซ์ (degree of polarization) ไม่ค่อยขึ้นกับความยาวคลื่นและมุมตกกระทบ ทำให้โพลาไรเซอร์ชนิดนี้นิยมใช้ในช่วงย่านความถี่กว้าง ๆ
โพลาไรเซอร์ชนิดดูดกลืน
โพลาไรเซอร์ชนิดดูดกลืน (absorptive polarizer) ทำงานโดยอาศัยผลึกบางชนิด ซึ่งสามารถดูดกลืนแสงโพลาไรซ์ลักษณะหนึ่งได้ ทำให้มีการนำมาใช้งานเป็นโพลาไรเซอร์ ตัวอย่างของผลึกซึ่งมีสมบัติดังกล่าวคือ ทัวร์มาลีน (tourmaline) อย่างไรก็ตาม ทัวร์มาลีนมีสมบัติขึ้นกับความยาวคลื่น นอกจากนี้ตัวผลึกยังมีสีด้วย จึงนิยมใช้ (Herapathite) ซึ่งไม่มีสีแต่สร้างให้ผลึกมีขนาดใหญ่ยาก แทน
ตัวกรองโพลารอยด์เดิมทีทำจากผลึกเฮราพาไทต์ แต่ต่อมาได้มีการดัดแปลงขึ้นให้ทำงานคล้ายกับโพลาไรเซอร์ชนิดตับลวด วิธีการผลิตมีดังนี้ คือผลิตแผ่นเจือไอโอดีน จากนั้นยืดไปในทางใดทางหนึ่งจนอนุภาคไอโอดีนที่เจือสามารถเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับทิศที่ยืด อนุภาคไอโอดีนนี้เองที่ทำงานเหมือนกับอิเล็กตรอนในตับลวด ตัวกรองโพลารอยด์ปัจจุบันนำไปใช้ทำแว่นกันแดด ตัวกรองแสงสำหรับถ่ายภาพ และหน้าจอผลึกเหลว มีข้อดีคือ ทน ราคาถูก
นอกจากโพลาไรเซอร์ที่กล่าวมาแล้ว โพลาไรเซอร์ยังสามารถทำได้จากอนุภาคนาโนเงินฝังในแผ่นแก้วบางมาก (≤0.5 mm) ทำให้ได้โพลาไรเซอร์ที่ทนกว่าและประสิทธิภาพดีกว่าโพลารอยด์ ซึ่งเห็นได้จากสัดส่วนโพลาไรเซชันที่ 100,000:1 และสัดส่วนดูดกลืนแสงโพลาไรซ์แนวเดียวกัน 1.5% โพลาไรเซอร์ชนิดนี้มีประสิทธิภาพดีในย่านอินฟราเรดคลื่นสั้น และนิยมใช้ในการสื่อสารด้วยใยแก้วนำแสง
โพลาไรเซอร์ชนิดแยกลำแสง
โพลาไรเซอร์ชนิดแยกลำแสง (Beam-splitting polarizers) ทำงานโดยแยกลำแสงตกกระทบเป็นสองลำ แต่ละลำมีโพลาไรเซชันแตกต่างกัน โพลาไรเซชนันชนิดนี้ทำงานได้ดีเมื่อใช้แยกโพลาไรเซชันสองชนิดที่ตั้งฉากกัน แต่ในทางปฏิบัติแล้วมีเพียงสองลำแสงที่โพลาไรซ์อย่างสมบูรณ์ ส่วนลำแสงที่เหลือเป็นแสงโพลาไรซ์แบบผสม
โพลาไรเซอร์ชนิดแยกลำแสงไม่ดูดกลืนแสงโพลาไรซ์ที่ไม่ต้องการ แต่ทำหน้าที่แยกออกไปในทิศทางอื่นแทน ดังนั้นจึงนิยมใช้ในทางการสื่อสารข้อมูลด้วยแสงเลเซอร์ หรือการวิเคราะห์และใช้งานลำแสงโพลาไรซ์สองชนิดพร้อมกัน
การโพลาไรซ์โดยการสะท้อน
เมื่อแสงตกกระทบรอยต่อระหว่างตัวกลางโปร่งใสสองชนิดที่มีดัชนีหักเหแตกต่างกัน ค่าความสะท้อนของแสงโพลาไรซ์ตั้งฉากกับระนาบตกกระทบ (s) และแสงโพลาไรซ์บนระนาบตกกระทบ (p) จะแตกต่างกัน ถ้ามุมตกกระทบเท่ากับมุมค่าหนึ่งที่เรียกว่า มุมบริวสเตอร์ (Brewster's angle) จะทำให้ลำแสงสะท้อนเป็นแสงโพลาไรซ์ในทิศทางตั้งฉากกับระนาบตกกระทบ (s) ชนิดเดียว สำหรับแสงที่ตกกระทบรอยต่ออากาศ-แก้ว จะได้ว่ามุมบริวสเตอร์มีค่า 57° อนึ่ง โพลาไรเซอร์แบบสะท้อนนิยมทำด้วยกระจกหลายอันประกบติดกัน และจากการทดลองพบว่าลำแสงโพลาไรซ์แบบ s ประมาณ 16% จะสะท้อนที่รอยต่ออากาศ-กระจก หรือกระจก-อากาศ ส่วนที่เหลือนั้นสะท้อนในแนวรอยต่อระหว่างกระจก ซึ่งถ้าวางกระจกหนาหลายชั้น แม้ว่าจะได้ลำแสงโพลาไรซ์เข้มขึ้น แต่ก็เป็นลำแสงที่กว้างและไม่ค่อยมีประโยชน์มากนัก
หากสร้างโพลาไรเซอร์โดยเรียงกระจกซ้อนกันหลายชั้น อาจเพิ่มปริมาณของแสงโพลาไรซ์ในลำแสงส่องผ่านได้ โดยการเพิ่มมุมตกกระทบให้มากกว่ามุมบริวสเตอร์ ซึ่งอาจได้ถึง 100% ถ้าใช้กระจกสี่แผ่นเรียงติดกันและมุมตกกระทบ 80° แต่ความเข้มแสงจะลดลง ยิ่งเพิ่มจำนวนชั้นของกระจก ก็จะได้แสงโพลาไรซ์ในสัดส่วนมากขึ้นแต่ความเข้มน้อยลง
โพลาไรเซอร์แบบหักเหสองแนว
โพลาไรเซอร์แบบหักเหสองแนว (birefringent polarizer) ทำงานโดยอาศัยหลักการหักเหสองแนวของผลึกเช่นเขี้ยวหนุมาน และแคลไซต์ ซึ่งเป็นผลึกที่สามารถแยกลำแสงตกกระทบออกเป็นสองลำ ลำหนึ่งเป็นไปตามกฎของสแน็ล เรียกว่า รังสีสามัญ (ordinary "o" ray) อีกลำไม่เป็นไปตามกฎของสแน็ล เรียกว่า รังสีวิสามัญ (extraordinary "e" ray) รังสีทั้งสองนี้ มีสถานะโพลาไรเซชันที่แตกต่างกัน แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นโพลาไรซ์แบบเส้นตรง อาจจะเป็นโพลาไรซ์แบบวงกลมก็ได้ นอกจากนี้ยังมีค่าดัชนีหักเหที่ไม่เหมือนกันแม้เป็นผลึกก้อนเดียวกันด้วย
โพลาไรเซอร์แบบหักเหสองแนวที่รู้จักกันดี ได้แก่ ปริซึมนิคอล (Nicol prism) ซึ่งเป็นผลึกแคลไซต์สองก้อนประสานด้วยน้ำมันสนบาลซัม (Canada Balsam) ผลึกดังกล่าวจะตัดให้มีลักษณะที่รังสีสามัญกับรังสีวิสามัญมีสถานะโพลาไรเซชันตั้งฉากกัน จากนั้นเมื่อรังสีสามัญกระทบรอยต่อ จะเกิดการสะท้อนไปทางข้างของปริซึม ส่วนรังสีวิสามัญจะทะลุผ่านได้ตามปกติ ปริซึมชนิดนี้นิยมใช้มากในทางการศึกษาด้วยกล้องจุลทรรศน์ ในปัจจุบันได้มีปริซึมกลาน–ทอมป์สัน (Glan–Thompson prism) ปริซึมกลาน–ฟูโก (Glan–Foucault prism) และปริซึมกลาน–เทย์เลอร์ (Glan–Taylor prism) อนึ่ง ปริซึมเหล่านี้ไม่ใช่ตัวแยกลำแสงโพลาไรซ์อย่างแท้จริง เพราะมีแค่ลำแสงส่องผ่านเท่านั้นที่ได้รับการโพลาไรซ์โดยสมบูรณ์
ปริซึมวอลลัสตัน (Wollaston prism) เป็นโพลาไรเซอร์แบบหักเหสองแนวที่รู้จักกันดีเช่นกัน ทำจากปรึซึมแคลไซต์รูปทรงสามเหลี่ยมสองก้อนเชื่อมติดกัน โดยให้แกนผลึกของแต่ละก้อนตั้งฉากกัน เมื่อฉายแสงโพลาไรซ์แบบผสมเข้าไป จะได้แสงสองลำแยกกันที่แนวเชื่อมระหว่างผลึกออกจากกัน ลำแสงทั้งสองทำมุม 15°–45° นอกจากปริซึมวอลลัสตันแล้ว ยังมี (Rochon prism) และปริซึมเซนาร์มง (Sénarmont prism) ที่ทำงานคล้ายกัน แตกต่างก็ตรงที่มีการจัดวางแกนผลึกไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ ปริซึมเซนาร์มงยังมีอากาศแทรกระหว่างรอยต่อผลึกด้วย ซึ่งไม่เหมือนกับปริซึมวอลลัสตันและปริซึมโรคง
(Nomarski prism) เป็นปรึซึมที่ดัดแปลงจากปริซึมวอลลัสตัน สำหรับใช้ศึกษาวัตถุโปร่งใสมาก ๆ ด้วยกล้องจุลทรรศน์
โพลาไรเซอร์ชนิดฟิล์มบาง
โพลาไรเซอร์ชนิดทำด้วยวัสดุพื้น (ซับสเตรต) เคลือบด้วยฟิล์มบางซึ่งมีสมบัติเฉพาะ ทำให้โพลาไรเซอร์ชนิดนี้สามารถทำงานอย่างโพลาไรเซอร์ชนิดแยกแสง อนึ่งวัสดุพื้นนิยมใช้แผ่นแก้วบาง หรือปลูกไว้บนผิวเอียงของลิ่มแก้ว ซึ่งจะมีลิ่มแก้วอีกอันมาประกบต่อกัน อนึ่ง โพลาไรเซอร์ชนิดฟิล์มบางมีราคาถูก ทำงานได้ไม่ดีเท่าโพลาไรเซอร์แบบปริซึม นอกจากนี้ โพลาไรเซอร์แบบฟิล์มบางแทรกระหว่างลิ่มแก้วจะมีประสิทธิภาพดีกว่าแบบแผ่นแก้วบางธรรมดา
กฎของมาลุสและสมบัติ
กฎของมาลุส ซึ่งตั้งชื่อตามเอเตียน-ลุย มาลุส กล่าวว่า เมื่อวางโพลาไรเซอร์แบบสมบูรณ์ไว้ในลำแสงที่โพลาไรซ์แล้ว ความเข้มแสงที่ทะลุผ่านโพลาไรเซอร์ออกมา I จะกำหนดตามสมการ
โดยที่ I0 แทนความเข้มเริ่มต้น และ θi แทนมุมวัดระหว่างแกนโพลาไรซ์กับแนวการโพลาไรซ์ของลำแสงเริ่มต้น ในลำแสงธรรมชาติซึ่งมีโพลาไรซ์ในทุกทิศทางผสมปนกัน เราจำเป็นจะต้องเฉลี่ยค่าโคไซน์ของมุมที่เป็นไปได้ทั้งหมด และจากการที่ค่า เท่ากับ 1/2 ทำให้ได้ว่า
ในทางปฏิบัติ แสงบางส่วนถูกดูดกลืนไปภายในตัวโพลาไรเซอร์ ทำให้ความเข้มแสงที่ทะลุผ่านออกมาลดลงไปบ้าง ในโพลาไรเซอร์แบบโพลารอยด์ ความเข้มแสงจะลดลงราว ๆ 38% ส่วนปริซึมหักเหสองแนว ความเข้มแสงจะลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง
หากมีโพลาไรเซอร์สองอันวางเรียงในแนวเดียวกัน โดยกำหนดให้โพลาไรเซอร์ตัวที่สองเรียกว่า อะนาไลเซอร์ (ตัววิเคราะห์) จะได้ว่า มุม θ ในกฎของมาลุสคือมุมวัดระหว่างแกนโพลาไรเซอร์ทั้งสองดังกล่าว เมื่อแกนโพลาไรเซอร์ทั้งสองถูกปรับให้ตั้งฉากกัน ในทางทฤษฎีจะได้ว่าไม่มีแสงผ่านออกไปได้ แม้ว่าโพลาไรเซอร์จริงอาจยอมให้แสงผ่านออกไปได้เล็กน้อยจนเห็นเป็นสีราง ๆ อัตราส่วนระหว่างแสงที่เล็ดลอดออกมาได้กับแสงก่อนการผ่าน เรียกว่า อัตราส่วนการสูญเสีย (extinction ratio) มีได้ตั้งแต่ 1:500 สำหรับโพลารอยด์ และ 1:106 สำหรับปริซึมกลาน–เทย์เลอร์ นอกจากนี้ ถ้าวางวัตถุโปร่งแสงไว้ระหว่างโพลาไรเซอร์ทั้งสอง อาจเห็นความเข้มของแสงมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากสมบัติโพลาไรเซชันของวัตถุดังกล่าว การวัดสมบัติของวัสดุด้วยวิธีนี้เรียกว่า (polarimetry)
สำหรับในรังสีเอกซ์ กฎของมาลุสยังจะต้องคำนึงถึงผลของทฤษฎีสัมพัทธภาพด้วย โดยนิยามตามสมการ
โดยที่ แทนความถี่ของรังสีเอกซ์ก่อนผ่านเข้าสู่โพลาไรเซอร์ แทนความถี่ของรังสีเอกซ์หลังผ่านโพลาไรเซอร์ แทนความยาวคลื่นคอมป์ตันของอิเล็กตรอน แทนอัตราเร็วแสงในสุญญากาศ
โพลาไรเซอร์แบบวงกลม
โพลาไรเซอร์แบบวงกลม (circular polarizer) เป็นโพลาไรเซอร์ชนิดที่สามารถสร้างแสงที่โพลาไรซ์กวาดเป็นเกลียวกลม โดยยอมให้องค์ประกอบสนามไฟฟ้าในแนวตั้งและแนวนอนผ่านเข้ามาด้วยสัตส่วนรวมถึงความต่างเฟสที่เหมาะสม หรืออาจจะแยกแสงที่โพลาไรซ์เป็นวงกลมอยู่แล้วออกให้เหลือชนิดเดียว นิยมใช้ในการถ่ายภาพ (ลดแสงสะท้อนออก) และการผลิตแว่นสามมิติชนิด
การสร้างแสงโพลาไรซ์เป็นวงกลม
การสร้างแสงโพลาไรซ์เป็นวงกลมหรือวงรี ทำได้โดยการปรับองค์ประกอบสนามไฟฟ้าในแกนตั้งและแกนนอนให้มีความต่างเฟสที่เหมาะสม เมื่อคลื่นเคลื่อนที่ไป องค์ประกอบแต่ละองค์ประกอบจะสลับกันขยายและหด ซึ่งเมื่อนำมารวมกันแบบเวกเตอร์จะได้รูปวงรีหรือวงกลม ในทางปฏิบัติ นิยมใช้แผ่นหน่วงคลื่นชนิดหนึ่งในสี่ของคลื่น (quarter-wave plate) ซึ่งทำจากวัสดุหักเหสองแนว วางต่อจากโพลาไรเซอร์แบบเส้นตรง จากนั้นจึงให้แสงไม่โพลาไรซ์ (หรือแสงโพลาไรซ์แบบผสม) ผ่านเข้าสู่โพลาไรเซอร์แบบเส้นตรงจนได้แสงโพลาไรซ์ เมื่อแสงโพลาไรซ์ผ่านเข้าแผ่นหน่วงคลื่น จะเกิดการแยกออกเป็นองค์ประกอบตามแกนสองแกน ได้แก่ แกนช้า (slow axis) และแกนเร็ว (fast axis) ซึ่งตั้งฉากกัน สนามไฟฟ้าที่แยกเข้าแต่ละแกนแล้วจะเคลื่อนที่ในลักษณะที่มีความต่างเฟสไม่เป็นศูนย์อีกต่อไป เมื่อแกนหนึ่งดับ อีกแกนก็จะสว่าง สลับกันเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ทำให้สนามไฟฟ้าที่เกิดจากการทับซ้อนเริ่มเคลื่อนที่กวาดเป็นวิถีเกลียวกลม จากรูปสังเกตว่า แกนโพลาไรซ์ของโพลาไรเซอร์ตัวแรกจัดไว้ที่ 45° เพื่อให้สามารถแยกองค์ประกอบของสนามไฟฟ้าเข้าแกนช้าและแกนเร็วได้เท่ากัน เป็นผลให้แสงที่ทะลุผ่านแผ่นหน่วงคลื่นมีโพลาไรเซชันเป็นวงกลมตามที่ต้องการ
นอกจากการสร้างแสงโพลาไรซ์แบบวงกลมแล้ว แผ่นหน่วงคลื่นยังสามารถยอมให้แสงที่โพลาไรซ์แบบเดียวกับตัวมันเองผ่านเข้าไปได้ และไม่ยอมให้แสงที่โพลาไรซ์ในทิศตรงข้ามผ่าน หลักการนี้ถูกนำไปใช้ประดิษฐ์แว่นสามมิติชนิด RealD Cinema
โพลาไรเซอร์แบบวงกลมเนื้อเดียว
โพลาไรเซอร์แบบวงกลมเนื้อเดียว (homogenous circular polarizer) เป็นโพลาไรเซอร์ที่สามารถยอมให้แสงโพลาไรซ์แบบหนึ่งผ่านได้ แต่ไม่ยอมให้อีกแบบผ่าน ทำได้โดยนำแผ่นหน่วงคลื่นสองแผ่นมาประกบติดกัน คั่นกลางด้วยโพลาไรเซอร์แบบเส้นตรง เมื่อฉายแสงโพลาไรซ์แบบหมุนซ้ายเข้าไป แผ่นหน่วงคลื่นแผ่นแรกจะมีหน้าที่ปรับความต่างเฟสของสนามไฟฟ้าแต่ละแกนให้เป็นศูนย์ ก่อนผ่านเข้าสู่โพลาไรเซอร์แบบเส้นตรง หลังจากนั้นจึงผ่านแสงโพลาไรซ์แบบเส้นตรงเข้าสู่แผ่นหน่วงคลื่น เพื่อแปลงกลับเป็นแสงโพลาไรซ์หมุนซ้ายเช่นเดิม
โพลาไรเซอร์แบบแบบเส้นตรง นิยมใช้ในการถ่ายภาพยุคแรก ๆ รวมถึงกล้องเก่า ๆ แต่ไม่นิยมใช้ในกล้องรุ่นใหม่ ๆ ซึ่งมีการวัดแสงและการโฟกัสอัตโนมัติผ่านเลนส์ หากแสงที่ผ่านเข้ามาเป็นแสงโพลาไรซ์แบบเส้นตรงอยู่แล้ว ก็จะทำให้ระบบโฟกัสอัตโนมัติไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ดังนั้นจึงนิยมใช้ตัวกรองแบบโพลาไรซ์วงกลมแทน
หมายเหตุ
- ทั้งสองแบบใช้ได้ในสหราชอาณาจักร (อังกฤษแบบอังกฤษ) โดยนิยมใช้ Polariser ในทางราชการ ส่วนสหรัฐอเมริกา (อังกฤษแบบอเมริกา) ใช้ Polarizer
- อังกฤษเรียก plane of incidence หมายถึงระนาบกระดาษที่ทำการวิเคราะห์การสะท้อนหรือหักเห ถ้าโพลาไรซ์ในระนาบกระดาษ ก็เรียก p ถ้าโพลาไรซ์ตั้งฉากกับกระดาษ ก็เรียก s
- ตามชื่อ อเล็กซี-มารี เดอ โรชง (Alexis-Marie de Rochon) หรืออับเบ โรชง (Abbé Rochon)
- ตามชื่อ อ็องรี เซนาร์มง (Henri Sénarmont; พ.ศ. 2351-2405) นักวิทยาแร่ธาตุชาวฝรั่งเศส
อ้างอิง
- Wolf, Mark J. P. (2008). The Video Game Explosion: A History from PONG to Playstation and Beyond. ABC-CLIO. p. 315. ISBN .[]
- Johnsen, Sönke (2012). The Optics of Life: A Biologist's Guide to Light in Nature. Princeton Univ. Press. pp. 207–208. ISBN .
- Basu, Dipak (2000). Dictionary of Pure and Applied Physics. CRC Press. pp. 142–143. ISBN .
- Gåsvik, Kjell J. (2003). Optical Metrology (3 ed.). John Wiley and Sons. pp. 219–221. ISBN .
- Hecht, Eugene. Optics, 2nd ed., Addison Wesley (1990) . Chapter 8.
- (PDF). Corning.com. December 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (pdf)เมื่อ 2012-02-14. สืบค้นเมื่อ 2008-08-08.
- Collett, Edward. Field Guide to Polarization, SPIE Field Guides vol. FG05, SPIE (2005) .
- US2,403,731 (1946-June-4) Stephen M. MacNeille, Beam splitter.
- A. N. Volobuev (2013). Interaction of the Electromagnetic Field with Substance. Nova Science Publishers, Inc. New York. ISBN .
- Bass M (1995) Handbook of Optics, Second edition, Vol. 2, Ch. 22.19, McGraw-Hill,
- Ang, Tom (2008).Fundamentals of Modern Photography. Octopus Publishing Group Limited. p168. .
- Kliger, David S. Polarized Light in Optics and Spectroscopy, Academic Press (1990)
- Mann, James "Austine Wood Comarow: Paintings in Polarized Light", Wasabi Publishing (2005)
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
ophlairesxr Polarizer hrux Polariser epntwkrxngaesngsungsamarththaihaesngsungmiophlairstamaenwthikahndhruxaebbthitxngkarphanid swnaesngthimiophlairsaebbxuncathukpidkniwmiihphanid nxkcakni ophlairesxryngsamarthaeplngaesngsungmiophlairsaebbphsmhruximthrabthisthangihklayepnaesngophlairsidxikdwy eriykaesngthiphanophlairesxrwa aesngophlairstwkrxngophlairs thahnathildkarsathxn sikbn aetyngsamarthsathxncnehnphuthayphaphcang idthimumbruwsetxr xyangirktamenuxngcakaesngthisathxncakkrackeknghlngrthkhxnkhangepnaesngophlairs du ophlaireschnodykarsathxn kthaihimsamarthtdaesngsathxnswnniiddink inchiwitpracawn ophlairesxrmisxngchnid khux ophlairesxraebbesntrng linear polarizer aela ophlairesxraebbwngklm circular polarizer ophlairesxrehlanisamarthnaipprayuktichinthangkarthayphaph karpradisthekhruxngmuxthangaesng echn cxphaphphlukehlw idxikdwy nxkehnuxcakaesngaelw yngmiophlairesxrsahrbkhlunwithyu echnesaxakas khlunimokhrewf aelarngsiexksophlairesxraebbesntrngophlairesxraebbesntrngaebngidepnsxngpraephthkhux ophlairesxrdudklun absorptive polarizer sungthanganodykardudklunaesngophlairsinthisthiimtxngkarxxkesiy aelaophlairesxraebnglaaesng beam splitting polarizer sungthanganodykaraeyklaaesngxxkepnsxngla aetlalamithisthangkarsnhruxophlairstrngkhamkn ophlairesxrchnidtblwd ophlairesxrchnidtblwd thahnathiaeplngaesngimophlairs hruxophlairsaebbphsm ihehluxophlairsaebbediyw luksrinphaphchithissnamiffa odyihthuxwasnamaemehlktngchakkbsnamiffaesmx aesngswnthiimyxmihphancathukdudklunaelasathxnklb ophlairesxrchnidtblwd wire grid polarizer epnophlairesxraebbthingaythisud prakxbdwylwdolhakhnadelkmakeriyngknepntbbnranabthitngchakkbesnlaaesng khlunaemehlkiffaidthimixngkhprakxbinthiskhnankbesnlwd cakratunihxielktrxnintblwdekhluxniptamesnlwd caknncungsathxnkhlunaemehlkiffaklb odymiphlngnganbangswnsuyesiyipepnphlngngankhwamrxn inswnkhxngkhlunaemehlkiffathimixngkhprakxbinthistngchakkbaenwlwd xielktrxnimsamarthekhluxnthiipidiklnk sngphlihesnlwdimsamarthsathxnphlngnganklbipid cungyxmihkhlunaemehlkiffaphanxxkip cakkhwamcringkhangtnthaihidwathisthangkarophlairskhxngophlairesxrchnidtblwd khux thistngchakkbaenwlwd sungkhdaeyngkbkarmxngwakhlunsamarthlxdphanrurahwanglwdsxngesnintblwdid inthangptibti mkkahndihrayarahwangesnlwdsxngesnintblwd nxykwakhwamyawkhlunkhxngkhlunaemehlkiffa aelaesnlwdkhwrmikhnadelkkwannmak sngphlihophlairesxrchnidniniymichkbkhlunimokhrewf aelarngsixinfraerd hakcaichkbaesngthimxngehn catxngichethkhnikhkarphimphhin lithography inkarphlittblwd enuxngcaksdswnophlairs degree of polarization imkhxykhunkbkhwamyawkhlunaelamumtkkrathb thaihophlairesxrchnidniniymichinchwngyankhwamthikwang ophlairesxrchniddudklun ophlairesxrchniddudklun absorptive polarizer thanganodyxasyphlukbangchnid sungsamarthdudklunaesngophlairslksnahnungid thaihmikarnamaichnganepnophlairesxr twxyangkhxngphluksungmismbtidngklawkhux thwrmalin tourmaline xyangirktam thwrmalinmismbtikhunkbkhwamyawkhlun nxkcaknitwphlukyngmisidwy cungniymich Herapathite sungimmisiaetsrangihphlukmikhnadihyyak aethn twkrxngophlarxydedimthithacakphlukehraphaitht aettxmaidmikarddaeplngkhunihthangankhlaykbophlairesxrchnidtblwd withikarphlitmidngni khuxphlitaephnecuxixoxdin caknnyudipinthangidthanghnungcnxnuphakhixoxdinthiecuxsamarthekhluxnthiipinthisthangediywkbthisthiyud xnuphakhixoxdinniexngthithanganehmuxnkbxielktrxnintblwd twkrxngophlarxydpccubnnaipichthaaewnknaedd twkrxngaesngsahrbthayphaph aelahnacxphlukehlw mikhxdikhux thn rakhathuk nxkcakophlairesxrthiklawmaaelw ophlairesxryngsamarththaidcakxnuphakhnaonenginfnginaephnaekwbangmak 0 5 mm thaihidophlairesxrthithnkwaaelaprasiththiphaphdikwaophlarxyd sungehnidcaksdswnophlaireschnthi 100 000 1 aelasdswndudklunaesngophlairsaenwediywkn 1 5 ophlairesxrchnidnimiprasiththiphaphdiinyanxinfraerdkhlunsn aelaniymichinkarsuxsardwyiyaekwnaaesng ophlairesxrchnidaeyklaaesng ophlairesxrchnidaeyklaaesng Beam splitting polarizers thanganodyaeyklaaesngtkkrathbepnsxngla aetlalamiophlaireschnaetktangkn ophlaireschnnchnidnithanganiddiemuxichaeykophlaireschnsxngchnidthitngchakkn aetinthangptibtiaelwmiephiyngsxnglaaesngthiophlairsxyangsmburn swnlaaesngthiehluxepnaesngophlairsaebbphsm ophlairesxrchnidaeyklaaesngimdudklunaesngophlairsthiimtxngkar aetthahnathiaeykxxkipinthisthangxunaethn dngnncungniymichinthangkarsuxsarkhxmuldwyaesngelesxr hruxkarwiekhraahaelaichnganlaaesngophlairssxngchnidphrxmkn karophlairsodykarsathxn aephnkrackeriyngsxnkn samarthsathxnaesngophlairsaebb s thimumbriwsetxrid swnaesngophlairsaebb p cayxmihphanipid xnungthatxngkaraesngophlairsaebbbrisuththitxngichkrackmakkwani luksrinphaph chithiskhxngsnamiffa swnthiskhxngsnamaemehlkkhuxthistngchakkbsnamiffaesmx emuxaesngtkkrathbrxytxrahwangtwklangoprngissxngchnidthimidchnihkehaetktangkn khakhwamsathxnkhxngaesngophlairstngchakkbranabtkkrathb s aelaaesngophlairsbnranabtkkrathb p caaetktangkn thamumtkkrathbethakbmumkhahnungthieriykwa mumbriwsetxr Brewster s angle cathaihlaaesngsathxnepnaesngophlairsinthisthangtngchakkbranabtkkrathb s chnidediyw sahrbaesngthitkkrathbrxytxxakas aekw caidwamumbriwsetxrmikha 57 xnung ophlairesxraebbsathxnniymthadwykrackhlayxnprakbtidkn aelacakkarthdlxngphbwalaaesngophlairsaebb s praman 16 casathxnthirxytxxakas krack hruxkrack xakas swnthiehluxnnsathxninaenwrxytxrahwangkrack sungthawangkrackhnahlaychn aemwacaidlaaesngophlairsekhmkhun aetkepnlaaesngthikwangaelaimkhxymipraoychnmaknk haksrangophlairesxrodyeriyngkracksxnknhlaychn xacephimprimankhxngaesngophlairsinlaaesngsxngphanid odykarephimmumtkkrathbihmakkwamumbriwsetxr sungxacidthung 100 thaichkracksiaephneriyngtidknaelamumtkkrathb 80 aetkhwamekhmaesngcaldlng yingephimcanwnchnkhxngkrack kcaidaesngophlairsinsdswnmakkhunaetkhwamekhmnxylng ophlairesxraebbhkehsxngaenw ophlairesxraebbhkehsxngaenw birefringent polarizer thanganodyxasyhlkkarhkehsxngaenwkhxngphlukechnekhiywhnuman aelaaekhlist sungepnphlukthisamarthaeyklaaesngtkkrathbxxkepnsxngla lahnungepniptamkdkhxngsaenl eriykwa rngsisamy ordinary o ray xiklaimepniptamkdkhxngsaenl eriykwa rngsiwisamy extraordinary e ray rngsithngsxngni misthanaophlaireschnthiaetktangkn aetimcaepntxngepnophlairsaebbesntrng xaccaepnophlairsaebbwngklmkid nxkcakniyngmikhadchnihkehthiimehmuxnknaemepnphlukkxnediywkndwy prisumnikhxl ophlairesxraebbhkehsxngaenwthiruckkndi idaek prisumnikhxl Nicol prism sungepnphlukaekhlistsxngkxnprasandwynamnsnbalsm Canada Balsam phlukdngklawcatdihmilksnathirngsisamykbrngsiwisamymisthanaophlaireschntngchakkn caknnemuxrngsisamykrathbrxytx caekidkarsathxnipthangkhangkhxngprisum swnrngsiwisamycathaluphanidtampkti prisumchnidniniymichmakinthangkarsuksadwyklxngculthrrsn inpccubnidmiprisumklan thxmpsn Glan Thompson prism prisumklan fuok Glan Foucault prism aelaprisumklan ethyelxr Glan Taylor prism xnung prisumehlaniimichtwaeyklaaesngophlairsxyangaethcring ephraamiaekhlaaesngsxngphanethannthiidrbkarophlairsodysmburn prisumwxllstn prisumwxllstn Wollaston prism epnophlairesxraebbhkehsxngaenwthiruckkndiechnkn thacakprusumaekhlistrupthrngsamehliymsxngkxnechuxmtidkn odyihaeknphlukkhxngaetlakxntngchakkn emuxchayaesngophlairsaebbphsmekhaip caidaesngsxnglaaeykknthiaenwechuxmrahwangphlukxxkcakkn laaesngthngsxngthamum 15 45 nxkcakprisumwxllstnaelw yngmi Rochon prism aelaprisumesnarmng Senarmont prism thithangankhlaykn aetktangktrngthimikarcdwangaeknphlukimehmuxnkn nxkcakni prisumesnarmngyngmixakasaethrkrahwangrxytxphlukdwy sungimehmuxnkbprisumwxllstnaelaprisumorkhng Nomarski prism epnprusumthiddaeplngcakprisumwxllstn sahrbichsuksawtthuoprngismak dwyklxngculthrrsn ophlairesxrchnidfilmbang ophlairesxrchnidthadwywsduphun sbsetrt ekhluxbdwyfilmbangsungmismbtiechphaa thaihophlairesxrchnidnisamarththanganxyangophlairesxrchnidaeykaesng xnungwsduphunniymichaephnaekwbang hruxplukiwbnphiwexiyngkhxnglimaekw sungcamilimaekwxikxnmaprakbtxkn xnung ophlairesxrchnidfilmbangmirakhathuk thanganidimdiethaophlairesxraebbprisum nxkcakni ophlairesxraebbfilmbangaethrkrahwanglimaekwcamiprasiththiphaphdikwaaebbaephnaekwbangthrrmda kdkhxngmalusaelasmbti cakphaph 81 80 8i kdkhxngmalus sungtngchuxtamexetiyn luy malus klawwa emuxwangophlairesxraebbsmburniwinlaaesngthiophlairsaelw khwamekhmaesngthithaluphanophlairesxrxxkma I cakahndtamsmkar I I0cos2 8i displaystyle I I 0 cos 2 theta i odythi I0 aethnkhwamekhmerimtn aela 8i aethnmumwdrahwangaeknophlairskbaenwkarophlairskhxnglaaesngerimtn inlaaesngthrrmchatisungmiophlairsinthukthisthangphsmpnkn eracaepncatxngechliykhaokhisnkhxngmumthiepnipidthnghmd aelacakkarthikha cos2 8 displaystyle cos 2 theta ethakb 1 2 thaihidwa II0 12 displaystyle frac I I 0 frac 1 2 inthangptibti aesngbangswnthukdudklunipphayintwophlairesxr thaihkhwamekhmaesngthithaluphanxxkmaldlngipbang inophlairesxraebbophlarxyd khwamekhmaesngcaldlngraw 38 swnprisumhkehsxngaenw khwamekhmaesngcaldlngmakkwakhrunghnung hakmiophlairesxrsxngxnwangeriynginaenwediywkn odykahndihophlairesxrtwthisxngeriykwa xanailesxr twwiekhraah caidwa mum 8 inkdkhxngmaluskhuxmumwdrahwangaeknophlairesxrthngsxngdngklaw emuxaeknophlairesxrthngsxngthukprbihtngchakkn inthangthvsdicaidwaimmiaesngphanxxkipid aemwaophlairesxrcringxacyxmihaesngphanxxkipidelknxycnehnepnsirang xtraswnrahwangaesngthieldlxdxxkmaidkbaesngkxnkarphan eriykwa xtraswnkarsuyesiy extinction ratio miidtngaet 1 500 sahrbophlarxyd aela 1 106 sahrbprisumklan ethyelxr nxkcakni thawangwtthuoprngaesngiwrahwangophlairesxrthngsxng xacehnkhwamekhmkhxngaesngmakkhun sungepnphlmacaksmbtiophlaireschnkhxngwtthudngklaw karwdsmbtikhxngwsdudwywithinieriykwa polarimetry sahrbinrngsiexks kdkhxngmalusyngcatxngkhanungthungphlkhxngthvsdismphththphaphdwy odyniyamtamsmkar I I0ff0 1 l f0 f 2c cos2 8i displaystyle I I 0 frac f f 0 left 1 frac lambda f 0 f 2c right cos 2 theta i odythif0 displaystyle f 0 aethnkhwamthikhxngrngsiexkskxnphanekhasuophlairesxr f displaystyle f aethnkhwamthikhxngrngsiexkshlngphanophlairesxr l displaystyle lambda aethnkhwamyawkhlunkhxmptnkhxngxielktrxn c displaystyle c aethnxtraerwaesnginsuyyakas ophlairesxraebbwngklmophlairesxraebbwngklm circular polarizer epnophlairesxrchnidthisamarthsrangaesngthiophlairskwadepnekliywklm odyyxmihxngkhprakxbsnamiffainaenwtngaelaaenwnxnphanekhamadwystswnrwmthungkhwamtangefsthiehmaasm hruxxaccaaeykaesngthiophlairsepnwngklmxyuaelwxxkihehluxchnidediyw niymichinkarthayphaph ldaesngsathxnxxk aelakarphlitaewnsammitichnid karsrangaesngophlairsepnwngklm ophlairesxraebbwngklmchnidthisrangaesngophlairshmunkhwa tamthiskhxngniwmuxsaykhnakaekha xnung thishmunkhwakhuxthisthimxngcakphusngektthimiaesngphungekhahatw thaepliynepnmummxngcakaehlngkaenidcaidwaepnthishmunsay karsrangaesngophlairsepnwngklmhruxwngri thaidodykarprbxngkhprakxbsnamiffainaekntngaelaaeknnxnihmikhwamtangefsthiehmaasm emuxkhlunekhluxnthiip xngkhprakxbaetlaxngkhprakxbcaslbknkhyayaelahd sungemuxnamarwmknaebbewketxrcaidrupwngrihruxwngklm inthangptibti niymichaephnhnwngkhlunchnidhnunginsikhxngkhlun quarter wave plate sungthacakwsduhkehsxngaenw wangtxcakophlairesxraebbesntrng caknncungihaesngimophlairs hruxaesngophlairsaebbphsm phanekhasuophlairesxraebbesntrngcnidaesngophlairs emuxaesngophlairsphanekhaaephnhnwngkhlun caekidkaraeykxxkepnxngkhprakxbtamaeknsxngaekn idaek aekncha slow axis aelaaeknerw fast axis sungtngchakkn snamiffathiaeykekhaaetlaaeknaelwcaekhluxnthiinlksnathimikhwamtangefsimepnsunyxiktxip emuxaeknhnungdb xikaeknkcaswang slbknechnniiperuxy thaihsnamiffathiekidcakkarthbsxnerimekhluxnthikwadepnwithiekliywklm cakrupsngektwa aeknophlairskhxngophlairesxrtwaerkcdiwthi 45 ephuxihsamarthaeykxngkhprakxbkhxngsnamiffaekhaaeknchaaelaaeknerwidethakn epnphlihaesngthithaluphanaephnhnwngkhlunmiophlaireschnepnwngklmtamthitxngkar nxkcakkarsrangaesngophlairsaebbwngklmaelw aephnhnwngkhlunyngsamarthyxmihaesngthiophlairsaebbediywkbtwmnexngphanekhaipid aelaimyxmihaesngthiophlairsinthistrngkhamphan hlkkarnithuknaipichpradisthaewnsammitichnid RealD Cinema ophlairesxraebbwngklmenuxediyw ophlairesxraebbwngklmenuxediywaebbthiyxmihaesngophlairshmunsayphanid ophlairesxraebbwngklmenuxediyw homogenous circular polarizer epnophlairesxrthisamarthyxmihaesngophlairsaebbhnungphanid aetimyxmihxikaebbphan thaidodynaaephnhnwngkhlunsxngaephnmaprakbtidkn khnklangdwyophlairesxraebbesntrng emuxchayaesngophlairsaebbhmunsayekhaip aephnhnwngkhlunaephnaerkcamihnathiprbkhwamtangefskhxngsnamiffaaetlaaeknihepnsuny kxnphanekhasuophlairesxraebbesntrng hlngcaknncungphanaesngophlairsaebbesntrngekhasuaephnhnwngkhlun ephuxaeplngklbepnaesngophlairshmunsayechnedim ophlairesxraebbaebbesntrng niymichinkarthayphaphyukhaerk rwmthungklxngeka aetimniymichinklxngrunihm sungmikarwdaesngaelakarofksxtonmtiphanelns hakaesngthiphanekhamaepnaesngophlairsaebbesntrngxyuaelw kcathaihrabbofksxtonmtiimmiprasiththiphaphethathikhwr dngnncungniymichtwkrxngaebbophlairswngklmaethnhmayehtuthngsxngaebbichidinshrachxanackr xngkvsaebbxngkvs odyniymich Polariser inthangrachkar swnshrthxemrika xngkvsaebbxemrika ich Polarizer xngkvseriyk plane of incidence hmaythungranabkradasthithakarwiekhraahkarsathxnhruxhkeh thaophlairsinranabkradas keriyk p thaophlairstngchakkbkradas keriyk s tamchux xelksi mari edx orchng Alexis Marie de Rochon hruxxbeb orchng Abbe Rochon tamchux xxngri esnarmng Henri Senarmont ph s 2351 2405 nkwithyaaerthatuchawfrngessxangxingWolf Mark J P 2008 The Video Game Explosion A History from PONG to Playstation and Beyond ABC CLIO p 315 ISBN 031333868X lingkesiy Johnsen Sonke 2012 The Optics of Life A Biologist s Guide to Light in Nature Princeton Univ Press pp 207 208 ISBN 0691139911 Basu Dipak 2000 Dictionary of Pure and Applied Physics CRC Press pp 142 143 ISBN 1420050222 Gasvik Kjell J 2003 Optical Metrology 3 ed John Wiley and Sons pp 219 221 ISBN 0470846704 Hecht Eugene Optics 2nd ed Addison Wesley 1990 ISBN 0 201 11609 X Chapter 8 PDF Corning com December 2006 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedim pdf emux 2012 02 14 subkhnemux 2008 08 08 Collett Edward Field Guide to Polarization SPIE Field Guides vol FG05 SPIE 2005 ISBN 0 8194 5868 6 US2 403 731 PDF version 1946 June 4 Stephen M MacNeille Beam splitter A N Volobuev 2013 Interaction of the Electromagnetic Field with Substance Nova Science Publishers Inc New York ISBN 978 1 62618 348 3 Bass M 1995 Handbook of Optics Second edition Vol 2 Ch 22 19 McGraw Hill ISBN 0 07 047974 7 Ang Tom 2008 Fundamentals of Modern Photography Octopus Publishing Group Limited p168 ISBN 978 1 84533 2310 Kliger David S Polarized Light in Optics and Spectroscopy Academic Press 1990 ISBN 0 12 414975 8 Mann James Austine Wood Comarow Paintings in Polarized Light Wasabi Publishing 2005 ISBN 978 0976819806