เจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค) (พ.ศ. 2281 - พ.ศ. 2348) ที่สมุหพระกลาโหมในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช บิดาของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัด บุนนาค) เป็นต้นสกุลบุนนาค และเป็นแม่ทัพผู้มีบทบาทในสงครามตีเมืองทวาย
เจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค) | |
---|---|
สมุหพระกลาโหม | |
ดำรงตำแหน่ง พ.ศ. 2336 - พ.ศ. 2348 | |
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก |
ก่อนหน้า | เจ้าพระยามหาเสนา (ปลี) |
ถัดไป | เจ้าพระยามหาเสนา (ปิ่น) |
เสนาบดีกรมพระนครบาล | |
ดำรงตำแหน่ง พ.ศ. 2329 – พ.ศ. 2336 | |
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก |
ก่อนหน้า | พระยายมราช (อิน) |
ถัดไป | พระยายมราช (บุญมา) |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | บุนนาค พ.ศ. 2281 กรุงศรีอยุธยา |
เสียชีวิต | พ.ศ. 2348 (68 ปี) พระนคร ประเทศสยาม ไทย |
บุตร | สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ (ทัต บุนนาค) เจ้าจอมมารดาตานี ในรัชกาลที่ 1 |
บุพการี |
|
ประวัติ
เจ้าพระยาอรรคมหาเสนา มีนามเดิมว่า นายบุนนาค เกิดเมื่อ พ.ศ. 2281 เป็นบุตรของพระยาจ่าแสนยากร (เสน) (บุตรชายของพระยาเพ็ชร์พิไชย (ใจ) กับท่านแฉ่ง) ที่จักรีวังหน้าในกรมพระราชวังบวรฯเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต มารดาชื่อว่าบุญศรี เป็นภรรยาของพระยาจ่าแสนยากร (เสน) ซึ่งได้ประทานมาจากเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ เจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค) สืบเชื้อสายมาจากเจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) สมุหนายกในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค) มีพี่ชายต่างมารดาซึ่งเกิดกับภรรยาอีกคนหนึ่งของพระยาจ่าแสนยากร (เสน) คือนายบุญมา (ต่อมาคือเจ้าพระยามหาเสนา (บุญมา)) พระยาจ่าแสนยากร (เสน) นำบุตรชายทั้งสองคือนายบุญมาและนายบุนนาคเข้าถวายตัวรับราชการเป็นมหาดเล็กในกรมพระราชวังบวรฯเจ้าฟ้าอุทุมพรกรมขุนพรพินิต โดยนายบุญมาได้รับตำแหน่งเป็นหลวงมหาใจภักดิ์ และนายบุนนาคเป็นนายฉลองไนยนาถ เมื่อพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศสวรรคตในพ.ศ. 2301 กรมพระราชวังบวรฯเจ้าฟ้าอุทุมพรจึงขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร พระยาจ่าแสนยากร (เสน) บิดาของนายบุนนาคได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าพระยามหาเสนาสมุหกลาโหม เป็นที่รู้จักในนามว่า”เจ้าคุณกลาโหมวัดสามวิหาร” จากนิวาสสถานซึ่งอยู่บริเวณวัดสามวิหารในกรุงศรีอยุธยา นายฉลองไนยนาถ (บุนนาค) สมรสกับท่านผู้หญิงลิ้ม ซึ่งเป็นธิดาของพระยาธิเบศร์บดี มีบุตรด้วยกันชื่อว่าตานี (ต่อมาคือเจ้าจอมมารดาตานี ในรัชกาลที่ 1)
หลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองในพ.ศ. 2310 หลวงมหาใจภักดิ์ (บุญมา) ลี้ภัยไปยังเมืองเพชรบูรณ์ ในขณะที่นายฉลองไนยนาถ (บุนนาค) และท่านผู้หญิงลิ้มภรรยาเดินทางไปยังเมืองราชบุรีไปอยู่กับหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี (ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) ต่อมานายบุนนาคและท่านลิ้มภรรยาเดินทางกลับไปยังกรุงศรีอยุธยาเพื่อขุดค้นสมบัติของบิดาที่ได้ฝังไว้ ขนสมบัติล่องเรือลงมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อถึงปากคลองบางใหญ่ (คลองบางกอกน้อยในปัจจุบัน) ถูกโจรผู้ร้ายเข้าปล้นสะดม นายบุนนาคกระโดดลงน้ำเอาชีวิตรอดมาได้ แต่ท่านลิ้มภรรยาเสียชีวิตและทรัพย์ที่ขุดมาได้ถูกโจรนำไปหมด
นายบุนนาคสูญเสียทั้งภรรยาและทรัพย์สิน ท่านผู้หญิงนาค (ต่อมาคือสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี) ภรรยาของเจ้าพระยาจักรี จึงให้การอุปถัมภ์แก่นายบุนนาค โดยท่านผู้หญิงนาคประกอบพิธีสมรสให้แก่นายบุนนาคกับท่านนวล (ต่อมาคือเจ้าคุณพระราชพันธุ์นวล) ซึ่งเป็นน้องสาวของท่านผู้หญิงนาค ในสมัยกรุงธนบุรี นายบุนนาคไม่ได้เข้ารับราชการ เป็นทนายหน้าหอของเจ้าพระยาจักรีเพียงเท่านั้น
สงครามเก้าทัพ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขึ้นครองราชสมบัติเมื่อพ.ศ. 2325 ทรงแต่งตั้งนายบุนนาคขึ้นเป็นพระยาอุไทยธรรม เจ้ากรมภูษามาลา ในคำปรึกษาตั้งข้าราชการระบุว่านายบุนนาคนั้น“ทำราชการมาช้านาน ได้โดยเสด็จพระราชดำเนินการพระราชสงครามไปปราบอริราชข้าศึกนานานุประเทศมีชัยชำนะหลายครั้ง มีความชอบมาก ขอพระราชทานตั้งให้นายบุนนาค เป็นพระยาอุไทยธรรม” ส่วนนายบุญมาผู้เป็นพี่ชายต่างมารดานั้นได้เป็นที่พระยาตะเกิง ในพ.ศ. 2328 สงครามเก้าทัพ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯมีพระราชโองการให้พระยาอุไทยธรรม (บุนนาค) ร่วมกับพระยาพระคลัง (หน) ไปตั้งรับทัพพม่าซึ่งรุกรานมาจากทางทิศเหนือ อยู่ที่เมืองชัยนาท เพื่อคอยระวังทัพพม่าที่จะยกมาทางด่านระแหง (อำเภอเมืองตากในปัจจุบัน) และต่อมาในปีพ.ศ. 2329 จึงมีพระราชโองการให้พระยาอุไทยธรรม (บุนนาค) และพระยาพระคลัง (หน) ยกทัพติดตามเสด็จกรมหลวงเทพหริรักษ์ยกทัพไปตีทัพพม่าที่เมืองระแหง เมื่อยกทัพไปถึงกำแพงเพชรกรมหลวงเทพหริรักษ์มีพระบัญชาให้พระยาอุไทยธรรม (บุนนาค) และพระยาพระคลัง (หน) ยกทัพนำไปก่อน ปรากฏว่าเมื่อทัพหลักของพม่าที่ปากน้ำโพนครสวรรค์ถูกตีแตกไปแล้วนั้น ทัพพม่าที่ระแหงจึงถอยกลับไปก่อนโดยมิได้สู้รบ หลังจากศึกสงครามเก้าทัพ พระยาอุไทยธรรม (บุนนาค) ได้เลื่อนขึ้นเป็นพระยายมราช เสนาบดีกรมนครบาล
สงครามตีเมืองทวาย
ในพ.ศ. 2330 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงจัดทัพเข้าตีเมืองทวาย โดยให้เจ้าพระยารัตนาพิพิธ (สน สนธิรัตน์) สมุหนายก เจ้าพระยามหาเสนา (ปลี) สมุหกลาโหม และพระยายมราช (บุนนาค) เป็นทัพหน้า ยกทัพข้ามผ่านด่านวังปอ (ผ่านทางตำบลปิล็อก อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรีในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นภูเขาสูงหนทางยากลำบาก เมื่อทัพหน้าสามารถเข้ายึดเมืองกะเลอ่าวง์ (Kaleinaung) หรือเมืองกลิอ่องได้แล้ว ทัพหลวงจึงเสด็จเข้ามาล้อมเมืองทวาย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯทรงล้อมเมืองทวายอยู่เป็นเวลาครึ่งเดือนยังไม่ประสบชัยชนะทรงเลิกทัพจากเมืองทวาย
ต่อมาในปีพ.ศ. 2334 แมงจันจาเจ้าเมืองทวายกบฏขึ้นต่อพระเจ้าปดุงแห่งพม่าและหันมาสวามิภักดิ์ต่อฝ่ายสยาม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงมีพระราชโองการให้พระยายมราช (บุนนาค) ยกทัพจำนวน 5000 คน ไปตีเมืองทวาย เมื่อพระยายมราช (บุนนาค) ยกทัพถึงเมืองทวายแล้วแมงจันจาเจ้าเมืองทวายออกมาอ่อนน้อม พระยายมราช (บุนนาค) ส่งพระองค์เจ้าชีและแมงจันจาเจ้าเมืองทวายมายังกรุงเทพฯ และตั้งค่ายรักษาเมืองทวายอยู่นอกเมือง ฝ่ายสยามจึงเข้าครอบครองเมืองทวายได้ในช่วงเวลาหนึ่ง ในพ.ศ. 2336 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯมีพระราชดำริที่จะกรีฑาทัพไปตีพม่าต่อไปจากเมืองทวาย จึงมีพระราชโองการให้เจ้าพระยารัตนาพิพิธ (สน) และเจ้าพระยามหาเสนา (ปลี) ยกทัพไปสมบทกับพระยายมราชที่ทวาย จากนั้นจึงทรงยกทัพหลวงเสด็จมายังเมืองทวาย
เจ้าพระยารัตนาพิพิธ (สน) เจ้าพระยามหาเสนา (ปลี) และพระยายมราช (บุนนาค) ตั้งค่ายรักษาเมืองทวายอยู่นอกเมือง ในเวลานั้นเองพระเจ้าปดุงส่งทัพพม่าเข้ารุกรานเมืองทวาย เมื่อทัพพม่าเข้าประชิดเมืองทวายชาวเมืองทวายก่อการกบฏขึ้นต่อสยามและหันกลับไปเข้ากับฝ่ายพม่า ทัพพม่า-ทวายยกทัพเข้าโจมตีค่ายของพระยายมราช (บุนนาค) อย่างไม่ทันตั้งตัว เสนาบดีทั้งสามไม่อาจต้านทานทัพพม่าได้จึงถอยร่นไปทางทัพหลวง เสนาบดีทั้งสามร้องขอเข้าไปตั้งหลักในค่ายทัพหน้าของทัพหลวง แต่พระอภัยรณฤทธิ์ผู้บัญชาการทัพหน้าของทัพหลวงปฏิเสธไม่ให้เสนาบดีทั้งสามและกองกำลังเข้ามาในค่าย เนื่องจากเกรงว่าหากทัพพม่ายกติดตามเสนาบดีทั้งสามเข้ามาในค่าย ทัพหน้าจะถูกตีแตกและทัพพม่าลงไปถึงทัพหลวง เสนาบดีทั้งสามจึงต่อสู้กับทัพพม่าอยู่นอกค่ายของพระอภัยรณฤทธิ์ เจ้าพระยารัตนาพิพิธ (สน) และพระยายมราช (บุนนาค) สามารถรอดมาได้ แต่เจ้าพระยามหาเสนา (ปลี) สูญหายในที่รบ (พงศาวดารพม่าระบุว่าถูกสังหารในที่รบ) จากนั้นทัพพม่าจึงเข้าตีค่ายของพระอภัยรณฤทธิ์แตกพ่ายไป เป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯทรงเลิกทัพถอยไปอยู่ที่ไทรโยค
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯพิโรธพระอภัยรณฤทธิ์ว่าเป็นเหตุให้ต้องสูญเสียเจ้าพระยามหาเสนา (ปลี) เสนาบดีคนสำคัญ จึงทรงลงพระราชอาญาให้ประหารชีวิตพระอภัยรณฤทธิ์เสีย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯมีพระราชประสงค์จะให้ เจ้าเมืองถลางขึ้นเป็นสมุหกลาโหมคนใหม่ แต่เจ้าพระยาสุรินทรราชาไม่รับ จึงทรงแต่งตั้งให้พระยายมราช (บุนนาค) ขึ้นเป็นเจ้าพระยามหาเสนาสมุหกลาโหมแทนที่เจ้าพระยามหาเสนา (ปลี) แล้วเลื่อนพระยาตะเกิง (บุญมา) พี่ชายต่างมารดาของเจ้าพระยามหาเสนา (บุนนาค) ขึ้นเป็นที่พระยายมราชแทน
เจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค) ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อปีพ.ศ. 2348 ในรัชกาลที่ 1 อายุ 68 ปี ซึ่งในปีพ.ศ. 2348 นั้น มีเจ้าพระยากรุงรัตนโกสินทร์ถึงแก่อสัญกรรมถึงสามคนได้แก่ เจ้าพระยารัตนาพิพิธ (สน) เจ้าพระยาพระคลัง (หน) และเจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค)
บุตรธิดา
เจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค) มีบุตรธิดารวมทั้งสิ้น 34 คน เกิดจากภรรยา 9 คน ดังนี้
1. ท่านลิ้ม มีธิดา 2 คน ได้แก่
- คุณ (ญ.) เสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก
- คุณตานี (เจ้าคุณวัง) เจ้าพระยาอรรคมหาเสนาได้ถวายตัวคุณตานีเป็นเจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ภายหลังได้ให้ประสูติพระราชธิดาและพระราชโอรส คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจงกลนี และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นสุรินทรรักษ์ และได้เลื่อนเป็น "เจ้าจอมมารดาตานี"
2. เจ้าคุณพระราชพันธุ์นวล พระน้องนางของสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี มีบุตร 10 คน เป็นชาย 6 คน และหญิง 4 คน ซึ่งทั้งสิบคนนับว่าเป็นราชินิกุล ได้แก่
- เจ้าคุณชาย ถึงอสัญกรรมแต่ยังเยาว์
- เจ้าคุณหญิงนุ่น เกิดสมัยกรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้สำเร็จราชการในพระบรมมหาราชวัง ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เรียกกันว่า "เจ้าคุณวังหลวง"
- เจ้าคุณชายก้อน ถึงอสัญกรรมแต่ยังเยาว์
- เจ้าคุณชายทิน ถึงอสัญกรรมแต่ยังเยาว์
- เจ้าคุณหญิงคุ้ม เกิดในพ.ศ. 2325 เป็นผู้สำเร็จราชการในพระราชวังบวรสถานมงคล ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เรียกกันว่า "เจ้าคุณวังหน้า"
- เจ้าคุณหญิงต่าย เกิดในพ.ศ. 2326 รับราชการอยู่กับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพยวดี (ทูลกระหม่อมปราสาท) ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย คนทั้งหลายเรียกว่า "เจ้าคุณปราสาท"
- เจ้าคุณหญิงพั้ง ถึงอสัญกรรมแต่ยังเยาว์
- เจ้าคุณชายดิศ ต่อมาเป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ คนทั้งหลายเรียกกันว่า "สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่"
- เจ้าคุณชายแขก ถึงอสัญกรรมแต่ยังเยาว์
- เจ้าคุณชายทัต ต่อมาเป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ คนทั้งหลายเรียกกันว่า "สมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อย"
3. ท่านกอง มีบุตร 5 คน เป็นชาย 3 คน หญิง 2 คน ได้แก่
- คุณบู่ สมรสกับหลวงสรวิชิต (ช้าง) มีบุตรชื่อหลวงสุนทรโกษา (ขาว) ต้นสกุล "เศวตเศรณี"
- คุณจิตร ต่อมาเป็นเจ้าจอมจิตรในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
- คุณเพื่อน ต่อมาเป็นพระยาอภัยพิพิธ
- คุณจาด ต่อมาเป็นหลวงแก้วอายัติ (จาด) ต้นสกุล "จาติกรัตน์" และ "ศุภมิตร"
- คุณฉลอง ต่อมานายฉลองไนยนาถมหาดเล็กหุ้มแพร ในกรมพระราชวังบวรสถานมงคล
4. ท่านมิ่ง มีธิดา 4 คน ได้แก่
- คุณใหญ่ หรือ คุณใหม่
- คุณกลัด
- คุณนก ต่อมาเป็นเจ้าจอมนกในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
- คุณเงียบ
5. ท่านฉิม มีบุตร 5 คน เป็นชาย 2 คน และหญิง 3 คน ได้แก่
- คุณแพ
- เสงี่ยม
- คุณส้ม ต่อมาเป็นเจ้าจอมส้มในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
- คุณ (ญ.) ถึงแก่กรรมแต่ยังเยาว์
- คุณ (ญ.) ถึงแก่กรรมแต่ยังเยาว์
6. ท่านตุ๊ มีบุตร 2 คน เป็นชาย 1 คน หญิง 1 คน ได้แก่
- คุณชู ต่อมาเป็นเจ้าจอมชูในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
- คุณแสงจันทร์ ต่อมาเป็นมหาดเล็กแสงจันทร์ ทำหน้าที่ถวายรายงานวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
7. ท่านอ่วม มีบุตร 3 คน เป็นชาย 2 คน หญิง 1 คน ได้แก่
- คุณจันทร์
- คุณน้อย ต่อมาเป็นทหารมหาดเล็ก
- คุณพร้อม ต่อมาเป็นพระยาสาครสงคราม พระยาจางวางเมืองบางละมุง
8. ท่านจันทร์ มีบุตร 1 คน ได้แก่
- คุณเมือง ต่อมาเป็นพระยาศรีอรรคราช ต้นสกุล "บุรานนท์"
9. ท่านทิม หรือ ท่านพิม มีบุตร 2 คน เป็นชาย 1 คน หญิง 1 คน ได้แก่
- คุณแสง
- คุณสุก
อ้างอิง
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-10-25. สืบค้นเมื่อ 2008-11-08.
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-06-24. สืบค้นเมื่อ 2020-08-09.
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-11-21. สืบค้นเมื่อ 2020-08-09.
- สมมตอมรพันธุ์, กรมพระ. เรื่องตั้งเจ้าพระยาในกรุงรัตนโกสินทร์. กรมศิลปากร.
- ทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑. พิมพ์ครั้งที่ ๖. กรุงเทพฯ, กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ๒๕๓๑.
- ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยา. พงษาวดารเรื่องเรารบพม่า ครั้งกรุงธน ฯ แลกรุงเทพ ฯ.
- (สกุลบุนนาค)
- เจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค) 2008-10-25 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, ชมรมสายสกุลบุนนาค
แหล่งข้อมูลอื่น
- สายสกุลเจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค) 2012-11-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
ecaphrayaxrrkhmhaesna bunnakh ph s 2281 ph s 2348 thismuhphraklaohminrchkalphrabathsmedcphraphuththyxdfaculaolkmharach bidakhxngsmedcecaphrayabrmmhaprayurwngs dis bunnakh aelasmedcecaphrayabrmmhaphichyyati thd bunnakh epntnskulbunnakh aelaepnaemthphphumibthbathinsngkhramtiemuxngthwayecaphrayaxrrkhmhaesna bunnakh smuhphraklaohmdarngtaaehnng ph s 2336 ph s 2348kstriyphrabathsmedcphraphuththyxdfaculaolk kxnhnaecaphrayamhaesna pli thdipecaphrayamhaesna pin esnabdikrmphrankhrbaldarngtaaehnng ph s 2329 ph s 2336kstriyphrabathsmedcphraphuththyxdfaculaolkkxnhnaphrayaymrach xin thdipphrayaymrach buyma khxmulswnbukhkhlekidbunnakh ph s 2281 krungsrixyuthya esiychiwitph s 2348 68 pi phrankhr praethssyam ithybutrsmedcecaphrayabrmmhaprayurwngs dis bunnakh smedcecaphrayabrmmhaphiichyyati tht bunnakh ecacxmmardatani inrchkalthi 1buphkariecaphrayamhaesna esn bida hmxmbuysri marda prawtiecaphrayaxrrkhmhaesna minamedimwa naybunnakh ekidemux ph s 2281 epnbutrkhxngphrayacaaesnyakr esn butrchaykhxngphrayaephchrphiichy ic kbthanaechng thickriwnghnainkrmphrarachwngbwrecafakrmkhunphrphinit mardachuxwabuysri epnphrryakhxngphrayacaaesnyakr esn sungidprathanmacakecafathrrmathiebsr ecaphrayaxrrkhmhaesna bunnakh subechuxsaymacakecaphrayabwrrachnayk echkxahmd smuhnaykinrchsmysmedcphraecaprasaththxng ecaphrayaxrrkhmhaesna bunnakh miphichaytangmardasungekidkbphrryaxikkhnhnungkhxngphrayacaaesnyakr esn khuxnaybuyma txmakhuxecaphrayamhaesna buyma phrayacaaesnyakr esn nabutrchaythngsxngkhuxnaybuymaaelanaybunnakhekhathwaytwrbrachkarepnmhadelkinkrmphrarachwngbwrecafaxuthumphrkrmkhunphrphinit odynaybuymaidrbtaaehnngepnhlwngmhaicphkdi aelanaybunnakhepnnaychlxnginynath emuxphraecaxyuhwbrmoksswrrkhtinph s 2301 krmphrarachwngbwrecafaxuthumphrcungkhunkhrxngrachysmbtiepnsmedcphraecaxuthumphr phrayacaaesnyakr esn bidakhxngnaybunnakhidrbkaraetngtngepnecaphrayamhaesnasmuhklaohm epnthiruckinnamwa ecakhunklaohmwdsamwihar cakniwassthansungxyubriewnwdsamwiharinkrungsrixyuthya naychlxnginynath bunnakh smrskbthanphuhyinglim sungepnthidakhxngphrayathiebsrbdi mibutrdwyknchuxwatani txmakhuxecacxmmardatani inrchkalthi 1 hlngcakkaresiykrungsrixyuthyakhrngthisxnginph s 2310 hlwngmhaicphkdi buyma liphyipyngemuxngephchrburn inkhnathinaychlxnginynath bunnakh aelathanphuhyinglimphrryaedinthangipyngemuxngrachburiipxyukbhlwngykkrabtremuxngrachburi txmakhuxphrabathsmedcphraphuththyxdfaculaolk txmanaybunnakhaelathanlimphrryaedinthangklbipyngkrungsrixyuthyaephuxkhudkhnsmbtikhxngbidathiidfngiw khnsmbtilxngeruxlngmatamaemnaecaphraya emuxthungpakkhlxngbangihy khlxngbangkxknxyinpccubn thukocrphurayekhaplnsadm naybunnakhkraoddlngnaexachiwitrxdmaid aetthanlimphrryaesiychiwitaelathrphythikhudmaidthukocrnaiphmd naybunnakhsuyesiythngphrryaaelathrphysin thanphuhyingnakh txmakhuxsmedcphraxmrinthrabrmrachini phrryakhxngecaphrayackri cungihkarxupthmphaeknaybunnakh odythanphuhyingnakhprakxbphithismrsihaeknaybunnakhkbthannwl txmakhuxecakhunphrarachphnthunwl sungepnnxngsawkhxngthanphuhyingnakh insmykrungthnburi naybunnakhimidekharbrachkar epnthnayhnahxkhxngecaphrayackriephiyngethann sngkhramekathph emuxphrabathsmedcphraphuththyxdfaculaolkmharachkhunkhrxngrachsmbtiemuxph s 2325 thrngaetngtngnaybunnakhkhunepnphrayaxuithythrrm ecakrmphusamala inkhapruksatngkharachkarrabuwanaybunnakhnn tharachkarmachanan idodyesdcphrarachdaeninkarphrarachsngkhramipprabxrirachkhasuknananupraethsmichychanahlaykhrng mikhwamchxbmak khxphrarachthantngihnaybunnakh epnphrayaxuithythrrm swnnaybuymaphuepnphichaytangmardannidepnthiphrayataeking inph s 2328 sngkhramekathph phrabathsmedcphraphuththyxdfamiphrarachoxngkarihphrayaxuithythrrm bunnakh rwmkbphrayaphrakhlng hn iptngrbthphphmasungrukranmacakthangthisehnux xyuthiemuxngchynath ephuxkhxyrawngthphphmathicaykmathangdanraaehng xaephxemuxngtakinpccubn aelatxmainpiph s 2329 cungmiphrarachoxngkarihphrayaxuithythrrm bunnakh aelaphrayaphrakhlng hn ykthphtidtamesdckrmhlwngethphhrirksykthphiptithphphmathiemuxngraaehng emuxykthphipthungkaaephngephchrkrmhlwngethphhrirksmiphrabychaihphrayaxuithythrrm bunnakh aelaphrayaphrakhlng hn ykthphnaipkxn praktwaemuxthphhlkkhxngphmathipaknaophnkhrswrrkhthuktiaetkipaelwnn thphphmathiraaehngcungthxyklbipkxnodymiidsurb hlngcaksuksngkhramekathph phrayaxuithythrrm bunnakh ideluxnkhunepnphrayaymrach esnabdikrmnkhrbal sngkhramtiemuxngthway inph s 2330 phrabathsmedcphraphuththyxdfaculaolkthrngcdthphekhatiemuxngthway odyihecaphrayartnaphiphith sn snthirtn smuhnayk ecaphrayamhaesna pli smuhklaohm aelaphrayaymrach bunnakh epnthphhna ykthphkhamphandanwngpx phanthangtablpilxk xaephxthxngphaphumi cnghwdkaycnburiinpccubn sungepnphuekhasunghnthangyaklabak emuxthphhnasamarthekhayudemuxngkaelxawng Kaleinaung hruxemuxngklixxngidaelw thphhlwngcungesdcekhamalxmemuxngthway phrabathsmedcphraphuththyxdfathrnglxmemuxngthwayxyuepnewlakhrungeduxnyngimprasbchychnathrngelikthphcakemuxngthway txmainpiph s 2334 aemngcncaecaemuxngthwaykbtkhuntxphraecapdungaehngphmaaelahnmaswamiphkditxfaysyam phrabathsmedcphraphuththyxdfaculaolkcungmiphrarachoxngkarihphrayaymrach bunnakh ykthphcanwn 5000 khn iptiemuxngthway emuxphrayaymrach bunnakh ykthphthungemuxngthwayaelwaemngcncaecaemuxngthwayxxkmaxxnnxm phrayaymrach bunnakh sngphraxngkhecachiaelaaemngcncaecaemuxngthwaymayngkrungethph aelatngkhayrksaemuxngthwayxyunxkemuxng faysyamcungekhakhrxbkhrxngemuxngthwayidinchwngewlahnung inph s 2336 phrabathsmedcphraphuththyxdfamiphrarachdarithicakrithathphiptiphmatxipcakemuxngthway cungmiphrarachoxngkarihecaphrayartnaphiphith sn aelaecaphrayamhaesna pli ykthphipsmbthkbphrayaymrachthithway caknncungthrngykthphhlwngesdcmayngemuxngthway ecaphrayartnaphiphith sn ecaphrayamhaesna pli aelaphrayaymrach bunnakh tngkhayrksaemuxngthwayxyunxkemuxng inewlannexngphraecapdungsngthphphmaekharukranemuxngthway emuxthphphmaekhaprachidemuxngthwaychawemuxngthwaykxkarkbtkhuntxsyamaelahnklbipekhakbfayphma thphphma thwayykthphekhaocmtikhaykhxngphrayaymrach bunnakh xyangimthntngtw esnabdithngsamimxactanthanthphphmaidcungthxyrnipthangthphhlwng esnabdithngsamrxngkhxekhaiptnghlkinkhaythphhnakhxngthphhlwng aetphraxphyrnvththiphubychakarthphhnakhxngthphhlwngptiesthimihesnabdithngsamaelakxngkalngekhamainkhay enuxngcakekrngwahakthphphmayktidtamesnabdithngsamekhamainkhay thphhnacathuktiaetkaelathphphmalngipthungthphhlwng esnabdithngsamcungtxsukbthphphmaxyunxkkhaykhxngphraxphyrnvththi ecaphrayartnaphiphith sn aelaphrayaymrach bunnakh samarthrxdmaid aetecaphrayamhaesna pli suyhayinthirb phngsawdarphmarabuwathuksngharinthirb caknnthphphmacungekhatikhaykhxngphraxphyrnvththiaetkphayip epnehtuihphrabathsmedcphraphuththyxdfathrngelikthphthxyipxyuthiithroykh phrabathsmedcphraphuththyxdfaphiorthphraxphyrnvththiwaepnehtuihtxngsuyesiyecaphrayamhaesna pli esnabdikhnsakhy cungthrnglngphrarachxayaihpraharchiwitphraxphyrnvththiesiy phrabathsmedcphraphuththyxdfamiphrarachprasngkhcaih ecaemuxngthlangkhunepnsmuhklaohmkhnihm aetecaphrayasurinthrrachaimrb cungthrngaetngtngihphrayaymrach bunnakh khunepnecaphrayamhaesnasmuhklaohmaethnthiecaphrayamhaesna pli aelweluxnphrayataeking buyma phichaytangmardakhxngecaphrayamhaesna bunnakh khunepnthiphrayaymrachaethn ecaphrayaxrrkhmhaesna bunnakh thungaekxsykrrmemuxpiph s 2348 inrchkalthi 1 xayu 68 pi sunginpiph s 2348 nn miecaphrayakrungrtnoksinthrthungaekxsykrrmthungsamkhnidaek ecaphrayartnaphiphith sn ecaphrayaphrakhlng hn aelaecaphrayaxrrkhmhaesna bunnakh butrthidaecaphrayaxrrkhmhaesna bunnakh mibutrthidarwmthngsin 34 khn ekidcakphrrya 9 khn dngni 1 thanlim mithida 2 khn idaek khun y esiychiwittngaetyngedk khuntani ecakhunwng ecaphrayaxrrkhmhaesnaidthwaytwkhuntaniepnecacxminphrabathsmedcphraphuththyxdfaculaolkmharach phayhlngidihprasutiphrarachthidaaelaphrarachoxrs khux phraecabrmwngsethx phraxngkhecacngklni aelaphraecabrmwngsethx krmhmunsurinthrrks aelaideluxnepn ecacxmmardatani 2 ecakhunphrarachphnthunwl phranxngnangkhxngsmedcphraxmrinthrabrmrachini mibutr 10 khn epnchay 6 khn aelahying 4 khn sungthngsibkhnnbwaepnrachinikul idaek ecakhunchay thungxsykrrmaetyngeyaw ecakhunhyingnun ekidsmykrungthnburi phrabathsmedcphraphuththyxdfaculaolkmharachoprdekla ihepnphusaercrachkarinphrabrmmharachwng inaephndinphrabathsmedcphraphuththelishlanphaly eriykknwa ecakhunwnghlwng ecakhunchaykxn thungxsykrrmaetyngeyaw ecakhunchaythin thungxsykrrmaetyngeyaw ecakhunhyingkhum ekidinph s 2325 epnphusaercrachkarinphrarachwngbwrsthanmngkhl inaephndinphrabathsmedcphraphuththelishlanphaly eriykknwa ecakhunwnghna ecakhunhyingtay ekidinph s 2326 rbrachkarxyukbsmedcphraecabrmwngsethx ecafakrmhlwngethphywdi thulkrahmxmprasath inaephndinphrabathsmedcphraphuththelishlanphaly khnthnghlayeriykwa ecakhunprasath ecakhunhyingphng thungxsykrrmaetyngeyaw ecakhunchaydis txmaepnsmedcecaphrayabrmmhaprayurwngs khnthnghlayeriykknwa smedcecaphrayaxngkhihy ecakhunchayaekhk thungxsykrrmaetyngeyaw ecakhunchaytht txmaepnsmedcecaphrayabrmmhaphiichyyati khnthnghlayeriykknwa smedcecaphrayaxngkhnxy 3 thankxng mibutr 5 khn epnchay 3 khn hying 2 khn idaek khunbu smrskbhlwngsrwichit chang mibutrchuxhlwngsunthroksa khaw tnskul eswtesrni khuncitr txmaepnecacxmcitrinphrabathsmedcphraphuththyxdfaculaolkmharach khunephuxn txmaepnphrayaxphyphiphith khuncad txmaepnhlwngaekwxayti cad tnskul catikrtn aela suphmitr khunchlxng txmanaychlxnginynathmhadelkhumaephr inkrmphrarachwngbwrsthanmngkhl 4 thanming mithida 4 khn idaek khunihy hrux khunihm khunkld khunnk txmaepnecacxmnkinphrabathsmedcphraphuththyxdfaculaolkmharach khunengiyb 5 thanchim mibutr 5 khn epnchay 2 khn aelahying 3 khn idaek khunaeph esngiym khunsm txmaepnecacxmsminphrabathsmedcphraphuththyxdfaculaolkmharach khun y thungaekkrrmaetyngeyaw khun y thungaekkrrmaetyngeyaw 6 thantu mibutr 2 khn epnchay 1 khn hying 1 khn idaek khunchu txmaepnecacxmchuinphrabathsmedcphraphuththyxdfaculaolkmharach khunaesngcnthr txmaepnmhadelkaesngcnthr thahnathithwayraynganwdphraechtuphnwimlmngkhlaram 7 thanxwm mibutr 3 khn epnchay 2 khn hying 1 khn idaek khuncnthr khunnxy txmaepnthharmhadelk khunphrxm txmaepnphrayasakhrsngkhram phrayacangwangemuxngbanglamung 8 thancnthr mibutr 1 khn idaek khunemuxng txmaepnphrayasrixrrkhrach tnskul burannth 9 thanthim hrux thanphim mibutr 2 khn epnchay 1 khn hying 1 khn idaek khunaesng khunsukxangxing khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2008 10 25 subkhnemux 2008 11 08 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2021 06 24 subkhnemux 2020 08 09 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2020 11 21 subkhnemux 2020 08 09 smmtxmrphnthu krmphra eruxngtngecaphrayainkrungrtnoksinthr krmsilpakr thiphakrwngs kha bunnakh ecaphraya phrarachphngsawdarkrungrtnoksinthr rchkalthi 1 phimphkhrngthi 6 krungethph kxngwrrnkhdiaelaprawtisastr krmsilpakr 2531 darngrachanuphaph smedckrmphraya phngsawdareruxngerarbphma khrngkrungthn aelkrungethph skulbunnakh ecaphrayaxrrkhmhaesna bunnakh 2008 10 25 thi ewyaebkaemchchin chmrmsayskulbunnakhaehlngkhxmulxunsayskulecaphrayaxrrkhmhaesna bunnakh 2012 11 15 thi ewyaebkaemchchin bthkhwamchiwprawtiniyngepnokhrng khunsamarthchwywikiphiediyidodykarephimetimkhxmuldkhk