ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
สมเด็จพระราชินีนาถแอนน์แห่งบริเตนใหญ่ (อังกฤษ: Anne of Great Britain; 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1665 – 1 สิงหาคม ค.ศ. 1714) เป็นพระมหากษัตริย์แห่งบริเตนใหญ่ พระนางเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์สจวตพระองค์สุดท้ายของราชอาณาจักรอังกฤษ สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์ สืบต่อจากสมเด็จพระเจ้าวิลเลียมที่ 3 แห่งอังกฤษ ก่อนที่ทั้งอังกฤษ และสกอตแลนด์จะรวมตัวกันเป็น ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ ภายใต้พระราชบัญญัติสหภาพในปี ค.ศ. 1707
สมเด็จพระราชินีนาถเเอนน์ | |
---|---|
สมเด็จพระราชินีนาถเเห่งอังกฤษ สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์ | |
ครองราชย์ | 8 มีนาคม 1702 – 1 พฤษภาคม 1707 (5 ปี 54 วัน) |
ราชาภิเษก | 23 เมษายน 1702 |
ก่อนหน้า | พระเจ้าวิลเลียมที่ 3 |
สมเด็จพระราชินีนาถบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ | |
ครองราชย์ | 1 พฤษภาคม 1707 – 1 สิงหาคม 1714 |
ถัดไป | พระเจ้าจอร์จที่ 1 |
พระราชสมภพ | 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1665 พระราชวังเซนต์เจมส์ เวสต์มินสเตอร์ ราชอาณาจักรอังกฤษ |
สวรรคต | 1 สิงหาคม ค.ศ. 1714 พระราชวังเค็นซิงตัน มิลเดิลเซ็กซ์ บริเตนใหญ่ | (49 ปี)
ฝังพระบรมศพ | 24 สิงหาคม 1714 เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ |
พระราชสวามี | เจ้าชายจอร์จแห่งเดนมาร์ก |
พระราชบุตร | เจ้าชายวิลเลียม ดยุกแห่งกลอสเตอร์ |
ราชวงศ์ | ราชวงศ์สจวต |
พระราชบิดา | พระเจ้าเจมส์ที่ 2 และที่ 7 |
พระราชมารดา | แอนน์ ไฮด์ |
ศาสนา | คริสตจักรแห่งอังกฤษ |
ลายพระอภิไธย |
สมเด็จพระราชินีนาถแอนน์เป็นพระราชธิดาองค์ที่สองของสมเด็จพระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ และเลดี้แอนน์ ไฮด์ พระชายาองค์แรก เมื่อพระราชบิดาของพระราชินีนาถแอนน์ถูกโค่นราชบัลลังก์ในปี 1688 พระเชษภคินีได้ขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 2 แห่งอังกฤษร่วมกับพระสวามีพระเจ้าวิลเลียมที่ 3 หลังจากพระราชินีนาถแมรีที่ 2 สวรรคตเมื่อปี 1694 พระเจ้าวิลเลียมที่ 3 ได้ครองราชบัลลังก์ต่อกระทั่งสวรรคต
ในปี 1702 ราชอาณาจักรสกอตแลนด์และราชอาณาจักรอังกฤษรวมกันเป็นราชอาณาจักรเดียวกันตามพระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1707 เป็นราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ โดยมีสมเด็จพระราชินีนาถแอนน์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของราชอาณาจักรใหม่และในขณะเดียวกันก็ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีนาถของราชอาณาจักรไอร์แลนด์ ทรงครองราชย์ได้ 12 ปี ก่อนที่จะสวรรคตเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1714 ที่พระราชวังเค็นซิงตันในกรุงลอนดอน
ชีวิตของสมเด็จพระราชินีนาถแอนน์เต็มไปด้วยเหตุการณ์วิกฤติหลายครั้ง ทั้งทางส่วนพระองค์ ทางปัญหาการสืบราชบัลลังก์ และทางการแบ่งแยกทางศาสนา เมื่อเสด็จสวรรคตโดยไม่มีรัชทายาท กษัตริย์พระองค์ต่อไปจึงเป็นพระเจ้าจอร์จที่ 1 จากราชวงศ์ฮาโนเวอร์แห่งราชอาณาจักรฮาโนเวอร์ ผู้เป็นพระญาติทางราชวงศ์สจวตจากพระอัยกี เจ้าหญิงอลิซาเบธ สจวต ผู้เป็นพระธิดาของพระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ
เบื้องต้น
วัยเยาว์
สมเด็จพระราชินีนาถแอนน์เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1665 ที่พระราชวังเซนต์เจมส์ในกรุงลอนดอน เป็นพระราชธิดาพระองค์ที่สองของพระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ และเลดี้แอนน์ ไฮด์ พระมเหสีพระองค์แรก ทรงเป็นพระราชนัดดาของพระเจ้าชาลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ และเป็นพระขนิษฐาของสมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 2 อีกด้วย พระราชินีนาถแอนน์และพระราชินีนาถแมรีเป็นพระราชธิดาเพียงสองพระองค์ของพระเจ้าเจมส์เท่านั้นที่ทรงมีพระชนม์ชีพมาจนโต
ขณะยังทรงพระเยาว์ เจ้าหญิงแอนน์ทรงถูกส่งไปฝรั่งเศสเมื่อเพื่อรักษาโรคพระเนตรอักเสบ ขณะประทับอยู่ที่ฝรั่งเศสนั้น ทรงประทับอยู่กับพระอัยกี สมเด็จพระราชินีอ็องเรียต มารีในพระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ เมื่อพระราชินีเฮนเรียตตาสิ้นพระชนม์จึงทรงย้ายไปประทับอยู่กับพระปิตุจฉา[1] จนเสด็จกลับสู่อังกฤษเมื่อปี 1670
ราวปี 1673 เจ้าหญิงแอนน์ทรงได้รู้จักกับซาราห์ เจ็นนิงส์ ผู้กลายมาเป็นพระสหายคนสนิทและเป็นที่ปรึกษาผู้มีอิทธิพลมากที่สุดเกือบตลอดพระชนม์ชีพคนหนึ่งของพระองค์ ไม่ทรงถือพระองค์ว่าเป็นเจ้านายกับซาราห์เห็นได้จากการที่สตรีสองคนนี้มีชื่อเล่นให้แก่กันว่า มิสซิสมอร์ลีย์ และ มิสซิสฟรีแมนภายหลังซาราห์ได้สมรสกับจอห์น เชอร์ชิล ผู้ที่ต่อมาจะได้เป็นดยุกแห่งมาร์ลบะระ แม่ทัพผู้มีความสามารถคนสำคัญของอังกฤษคนหนึ่ง
ในปี 1673 พระราชบิดาของเจ้าหญิงแอนน์ได้ทรงเปลี่ยนไปนับถือนิกายโรมันคาทอลิก แต่ยังทรงมีพระราชโองการให้พระราชธิดาทั้งสองให้ได้รับการเลี้ยงอย่างเคร่งครัดในนิกายโปรเตสแทนต์
เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1683 เจ้าหญิงแอนน์อภิเษกสมรสกับ เจ้าชายจอร์จแห่งเดนมาร์ก ผู้เป็นโปรเตสแทนต์และพระอนุชาของพระเจ้าแผ่นดินเดนมาร์ก (พระเจ้าคริสเตียนที่ 5)
การขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าเจมส์ที่ 2
เมื่อพระเจ้าชาลส์ที่ 2 สวรรคตเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1685 หลังจากที่ทรงเปลี่ยนไปนับถือนิกายโรมันคาทอลิกก่อนสวรรคต พระราชบิดาของเจ้าหญิงแอนน์ขึ้นเสวยราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ แต่พระเจ้าเจมส์ไม่ทรงเป็นที่นิยมของประชาชนชาวอังกฤษด้วยเหตุที่ทรงเป็นคริสศานิกชนโรมันคาทอลิก ยิ่งไปกว่านั้น ประชาชนมีความหวาดระแวงเพิ่มขึ้นเมื่อพระชายาพระองค์ที่สอง แมรีแห่งโมดีนา ผู้เป็นโรมันคาทอลิก ทรงให้ประสูติกาลพระราชโอรส เจมส์ ฟรานซิส เอ็ดเวิร์ด สจวต เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 1688 จึงทำให้ประชาชนมีความรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูงที่อังกฤษจะกลับไปเป็นราชอาณาจักรโรมันคาทอลิก
ขณะนั้นเจ้าหญิงแอนน์ ไม่ได้ทรงประทับอยู่ที่กรุงลอนดอนแต่อยู่ที่เมืองบาธ และมีข่าวลือกันว่าพระราชโอรสไม่ใช่พระราชโอรสที่แท้จริง แต่เป็นเด็กที่ถูกลักลอบนำเข้ามาแทนที่พระราชโอรสที่สิ้นพระชนม์หลังคลอด แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรที่สนับสนุนข่าวลือนี้ และสาเหตุที่แท้จริงที่แมรีไม่อยู่ในกรุงลอนดอนอาจจะเป็นได้ว่าพระเจ้าเจมส์ที่ 2 ไม่ทรงต้องการให้โปรเตสแทนต์เข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ของรัฐ แมรีทรงประท้วงความมีสิทธิของพระอนุชาอย่างเป็นทางการ แอนน์เองก็ทรงเขียนถึงพระเชษภคินีแมรีว่า
- "หม่อมฉันจะไม่มีทางทราบอย่างแน่นอนว่าเด็กคนนี้จะเป็นพระราชโอรสจริงหรือไม่ เด็กคนนี้อาจจะเป็นพระอนุชาของเรา แต่พระเจ้าเท่านั้นที่จะทราบ .... ใครก็ช่วยไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกกลัวกันไปร้อยแปดพันประการ แต่ไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นไปในทางใด ก็ขอให้เชื่อได้ว่าหม่อมฉันก็ยังคงเชื่อมั่นในความเชื่อทางศาสนาเช่นที่เป็นอยู่และจะมีความจงรักภักดีต่อไป"
ในที่สุดเจ้าหญิงแมรีพระเชษภคินีและพระสวามีได้เสด็จกลับจากประเทศเนเธอร์แลนด์เพื่อมาโค่นราชบัลลังก์ของพระราชบิดาระหว่างการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ตามคำอัญเชิญลับของ “” (Immortal Seven) ซึ่งเป็นกลุ่มขุนนางโปรเตสแทนต์
การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์
เจ้าหญิงแอนน์ทรงถูกพระเจ้าเจมส์ที่ 2 สั่งห้ามไม่ให้เสด็จไปเยี่ยมเจ้าหญิงแมรีที่เนเธอร์แลนด์ในฤดูใบไม้ผลิของปี 1688 แต่ทั้งสองยังคงทรงเขียนจดหมายติดต่อกันและเจ้าหญิงแอนน์เองคงจะทรงทราบถึงแผนการการรุกรานของพระเจ้าวิลเลียมที่ 3 เป็นที่เชื่อกันว่าพระกรณียกิจของแอนน์ระหว่างช่วงเวลานี้มีอิทธิพลมาจากคำแนะนำที่ถวายโดยซาราห์และจอห์น เชอร์ชิล—แอนน์ไม่ทรงแสดงความสนับสนุนพระเจ้าเจมส์ที่ 2 เมื่อเจ้าชายวิลเลียมเสด็จขึ้นฝั่งอังกฤษในเดือนพฤศจิกายน 1688 แต่กลับทรงเขียนถึงเจ้าชายวิลเลียมประกาศสนับสนุนการรุกรานของพระองค์ เชอร์ชิลลาออกจากการเป็นข้าราชสำนักของพระเจ้าเจมส์เมื่อวันที่ 24 ในเดือนเดียวกัน, เจ้าชายจอร์จแห่งเดนมาร์กพระสวามีของแอนน์ทรงลาออกวันรุ่งขึ้น เมื่อพระเจ้าเจมส์เสด็จกลับลอนดอนในวันที่ 26 ก็ทรงพบแอนน์และนางสนองพระโอษฐ์ทรงทำเช่นเดียวกันในคืนวันที่ 25 พระเจ้าเจมส์จึงทรงสั่งให้กักแอนน์และนางสนองพระโอษฐ์ไว้ในพระราชวังไวท์ฮอล แต่แอนน์และนางสนองพระโอษฐ์ก็หนีออกทางบันไดหลังไปพักที่บ้านบาทหลวงแห่งลอนดอนอยู่คืนหนี่งก่อนที่จะไปถึงนอตติงแฮมเมื่อวันที่ 1 ธันวาคมก่อนที่จะทรงประกาศอย่างเป็นทางการว่าไปถึงที่นั่นแล้ว และทรงแต่งตั้งคณะมนตรี จากนั้นก็เสด็จไปเฝ้าเจ้าชายวิลเลียมและกองกำลังติดตามมาที่ออกซฟอร์ด แอนน์ก็เช่นเดียวกับแมรีทรงถูกตำหนิว่าไม่ทรงแสดงความกังวลต่อการหลบหนีของพระเจ้าเจมส์แต่ก็ให้เหตุผลในการกระทำของพระองค์ว่าไม่ทรงชอบการแสดงว่ามีปัญหา แอนน์เสด็จกลับลอนดอนเมื่อวันที่ 19 ธันวาคมเพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าวิลเลียมที่ 3
ในปี 1689 รัฐสภาประกาศว่าการหลบหนีของพระเจ้าเจมส์เป็นการสละราชสมบัติโดยปริยายฉะนั้นบัลลังก์จึงว่างลง รัฐสภาจึงถวายราชบัลลังก์แก่เจ้าหญิงแมรี แต่ทรงยอมรับร่วมกับพระสวามีซึ่งทำให้เป็นสมัยสองกษัตริย์สมัยเดียวในประวัติการปกครองแบบราชาธิปไตยของอังกฤษ และทรงออกพระราชบัญญัติสิทธิ ค.ศ. 1689 ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติการสืบราชบัลลังก์ที่กำหนดให้เจ้าหญิงแอนน์และผู้สืบราชบัลลังก์ต่อจากพระองค์และพระเจ้าวิลเลียม ตามด้วยผู้สืบเชื้อสายของพระเจ้าวิลเลียมที่อาจจะมีในอนาคต
วิลเลียมและแมรี
ไม่นานหลังจากที่ทรงขึ้นครองราชย์ พระเจ้าวิลเลียมและพระราชินีนาถแมรีได้พระราชทานรางวัลให้แก่จอห์น เชอร์ชิลโดยการแต่งตั้งให้เป็น “เอิร์ลแห่งมาร์ลบะระ” แต่การปฏิบัติของวิลเลียมและแมรีต่อซาราห์และจอห์น เชอร์ชิลในภายหลังไม่ดีนัก ในปี 1692 ทรงมีความสงสัยว่าลอร์ดมาร์ลบะระเป็นมีส่วนในการสนับสนุนการฟื้นฟูราชวงศ์สจวต (Jacobitism) พระราชินีนาถแมรีที่ 2 จึงโปรดเกล้าฯ ให้ปลดลอร์ดมาร์ลบะระออกจากทุกตำแหน่ง เลดีซาราห์ มาร์ลบะระก็ถูกถอดจากตำแหน่งในพระราชวังตามสามีซึ่งทำให้เจ้าหญิงแอนน์กริ้วและประท้วงโดยการย้ายออกจากพระราชฐานไปประทับอยู่ที่ “บ้านไซออน”[2] ซึ่งเป็นบ้านของดยุกแห่งนอร์ทธัมเบอร์แลนด์ ทหารรักษาพระองค์ของเจ้าหญิงแอนน์ซึ่งถูกปลดออกจากตำแหน่งเช่นกัน นอกจากนั้นทหารก็ยังถูกสั่งไม่ให้ถวายความเคารพต่อเจ้าชายจอร์จพระสวามีอีกด้วย
เมื่อพระราชินีนาถแมรีที่ 2 สวรรคตด้วยโรคฝีดาษเมื่อปี 1694 พระเจ้าวิลเลียมที่ 3 จึงทรงปกครองราชบัลลังก์ด้วยพระองค์เองต่อมา ส่วนเจ้าหญิงแอนน์นั้นได้ทรงกลายเป็นรัชทายาทอันดับหนึ่งไปโดยปริยายตามพระราชบัญญัติสิทธิ ค.ศ. 1689 เพราะผู้สืบเชื้อสายของพระเจ้าวิลเลียมและพระนางแมรี่ไม่ทรงมีรัชทายาท พระเจ้าวิลเลียมที่ 3 ทรงพยายามปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับเจ้าหญิงแอนน์เพื่อเพิ่มความนิยมต่อประชาชนซึ่งไม่ทรงเคยได้รับเท่าเทียมกับพระมเหสี ทรงคืนบรรดาศักดิ์ต่างๆ ที่เจ้าหญิงแอนน์เคยทรงเป็น พร้อมกับทรงอนุญาตให้เจ้าหญิงแอนน์กลับมาประทับอยู่ที่พระราชวังเซนต์เจมส์ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ทรงให้เจ้าหญิงแอนน์ออกนอกหน้า และไม่ทรงยอมแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในยามที่ไม่ทรงสามารถปกครองด้วยพระองค์เองได้
ในปี 1695 ทรงเอาใจเจ้าหญิงแอนน์โดยพระราชทานตำแหน่งต่างๆ คืนให้กับลอร์ดมาร์ลบะระ เป็นการตอบแทนต่อการสนับสนุนของเจ้าหญิงแอนน์ต่อรัฐบาลของพระองค์ แต่ในระยะเดียวกันนี้ ในปี ค.ศ. 1696 ตามคำกล่าวอ้างของพระเจ้าเจมส์ที่ 2 เมื่อเจ้าหญิงแอนน์ทรงใกล้ที่จะได้รับราชบัลลังก์ เจ้าหญิงแอนน์ทรงเขียนจดหมายถึงพระบิดาให้ทรงมาสวมมงกุฏเมื่อพระเจ้าวิลเลียมที่ 3 สวรรคต และทรงสัญญาว่าจะทรงฟื้นฟูราชบัลลังก์เมื่อมีโอกาส อีกข่าวลือหนึ่งที่ไม่มีหลักฐานก็ว่าพระเจ้าวิลเลียมทรงตั้งพระทัยที่จะยกราชบัลลังก์หลังจากเสด็จสวรรคตให้แก่พระโอรสของพระเจ้าเจมส์โดยมีข้อแม้ว่าให้การศึกษาแบบโปรเตสแตนต์ซึ่งเป็นข่าวลือที่อาจจะมีส่วนทำให้เจ้าหญิงแอนน์ทรงเป็นกังวลอยู่บ้าง
พระราชบัญญัติการสืบสันตติวงศ์
ในช่วงเวลานี้เจ้าชายจอร์จและเจ้าหญิงแอนน์ทรงประสบปัญหาส่วนพระองค์เรื่องการมีพระโอรสธิดา จนกระทั่งปี 1700 เจ้าหญิงแอนน์ทรงพระครรภ์อย่างน้อย 18 ครั้งแต่ทรงตกถึง 13 ครั้ง และในบรรดาพระโอรสธิดา 5 พระองค์ที่รอดชีวิตมาได้ 4 พระองค์อยู่ได้เพียงไม่เกินสองปีก็สิ้นพระชนม์ พระโอรสองค์เดียวที่มีอายุยืนที่สุดก็คือ เจ้าชายวิลเลียม ดยุกแห่งกลอสเตอร์ที่สิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุได้ 11 พรรษาเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 1700 สถานะการณ์นี้ทำให้เกิดวิกฤตการการสืบราชบัลลังก์ในอังกฤษ พระเจ้าวิลเลียมและพระนางแมรีเองก็ไม่มีพระราชโอรสธิดา ฉะนั้นเจ้าหญิงแอนน์จึงทรงเป็นรัชทายาทแต่ผู้เดียวของราชบัลลังก์ที่ระบุในพระราชบัญญัติสิทธิ ค.ศ. 1689 ถ้าไม่มีการระบุรัชทายาทต่อจากเจ้าหญิงแอนน์ราชบัลลังก์ก็อาจจะตกไปเป็นของเจมส์ ฟรานซิส เอ็ดเวิร์ด สจวต พระโอรสของพระเจ้าเจมส์ที่ 2 “ผู้อ้างสิทธิเฒ่า” (Old Pretender) ผู้ที่อาจจะอ้างสิทธิในการครองราชบัลลังก์
เพื่อเป็นการป้องกันมิให้ผู้นับถือโรมันคาทอลิกขึ้นครองราชบัลลังก์รัฐสภาอังกฤษจึงออก พระราชบัญญัติการสืบสันตติวงศ์ ค.ศ. 1701 (Act of Settlement 1701) ซึ่งระบุว่าเมื่อสิ้นสุดเจ้าหญิงแอนน์ และพระราชโอรสธิดาในอนาคตของพระเจ้าวิลเลียมที่ 3 แล้ว ราชบัลลังก์จะต้องตกไปเป็นของเจ้าหญิงโซเฟียแห่งฮาโนเวอร์และผู้สืบเชื้อสายจากพระองค์ เจ้าหญิงโซเฟียเป็นผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ ทางพระราชธิดาเจ้าหญิงอลิซาเบ็ธ สจวต ทางรัฐสภามิได้พิจารณาพระประยูรญาติอีกหลายพระองค์เพราะทรงเป็นโรมันคาทอลิก เจ้าหญิงแอนน์ทรงยอมรับพระราชบัญญัติ
พระเจ้าวิลเลียมที่ 3 สวรรคตเมื่อวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1702 และเจ้าหญิงแอนน์ทรงได้รับการสวมมงกุฏเมื่อวันที่ 23 เมษายน
รัชสมัยพระราชินีนาถแอนน์
สงครามสืบราชบัลลังก์สเปน
ทันทีที่เจ้าหญิงแอนน์เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีนาถแอนน์ พระองค์ก็ทรงต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับสงครามสืบราชบัลลังก์สเปน ซึ่งเป็นสงครามที่อังกฤษสนับสนุนสิทธิในการครองราชบัลลังก์สเปนของอาร์ชดยุกคาร์ลและเป็นสงครามที่ต่อเนื่องเรื่อยมาจนสิ้นสมัยของพระองค์และเป็นสงครามที่มีอิทธิพลต่อทั้งนโยบายการต่างประเทศและนโยบายภายในประเทศ
หลังจากนั้นก็ทรงแต่งตั้งพระสวามีขึ้นเป็น “ผู้บัญชาการทหารเรือ” (Lord High Admiral) ผู้มีอำนาจสูงสุดในราชนาวี และทรงมอบอำนาจการปกครองทหารบกให้แก่ลอร์ดมาร์ลบะระในตำแหน่ง “ร้อยเอก” (Captain-General) นอกจากนั้นลอร์ดมาร์ลบะระยังได้รับเกียรติยศอีกหลายอย่างจากพระราชินีนาถแอนน์รวมทั้งได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์การ์เตอร์ [3] (Knight of the Garter) และได้รับเลื่อนจากเอิร์ลเป็นดยุก ดัชเชสแห่งมาร์ลบะระก็ได้รับตำแหน่งในราชสำนักสูงขึ้นเป็น “เจ้ากรมพระภูษามาลา” (Mistress of the Robes) ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของสตรีประจำราชสำนัก ผู้มีหน้าที่ดูแลพระภูษามาลาและเครื่องเพชรพลอยของพระราชินีนาถแอนน์
พระราชบัญญัติสหภาพ
เมื่อผ่านพระราชบัญญัติการสืบสันตติวงศ์ ค.ศ. 1701 รัฐสภาอังกฤษมิได้ปรึกษารัฐสภาสกอตแลนด์ที่ส่วนหนึ่งมีความประสงค์ที่จะรักษาราชบัลลังก์ไว้กับราชวงศ์สจวตและรักษาสิทธิในการเลือกผู้สืบราชบัลลังก์ ทางราชอาณาจักรสกอตแลนด์จึงตอบโต้กลับด้วยการออกพระราชบัญญัติเพื่อความปลอดภัย ค.ศ. 1704 ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติที่ระบุว่าเมื่อสิ้นสุดจากพระราชินีนาถแอนน์แล้ว สกอตแลนด์มีอำนาจที่จะเลือกประมุขพระองค์ต่อไปสำหรับราชบัลลังก์สกอตแลนด์จากผู้สืบเชื้อสายของราชวงศ์ของสกอตแลนด์ (ผู้ที่ได้รับเลือกโดยสกอตแลนด์จะไม่เป็นผู้เดียวกับผู้เดียวกับผู้ปกครองราชอาณาจักรอังกฤษ นอกจากว่าถ้าสถานะการณ์ทางศาสนา เศรษฐกิจ และทางการเมืองจะเป็นที่ตกลงกันได้) แต่พระราชบัญญัติฉบับนี้มิได้รับการยอมรับจนเมื่อสกอตแลนด์ขู่ว่าจะถอนตัวจากกองทัพของดยุกแห่งมาร์ลบะระในยุโรปและไม่ยอมเก็บภาษีต่าง ๆ ตามที่อังกฤษต้องการ
แต่ความที่รัฐสภาอังกฤษเกรงว่าสกอตแลนด์จะหันกลับไปเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสถ้าสกอตแลนด์ได้รับเอกราช ทางการอังกฤษจึงได้ออก (Alien Act 1705) เป็นการตอบโต้ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติที่ระบุว่าอังกฤษจะต่อต้านสกอตแลนด์ทางเศรษฐกิจและจะประกาศให้ชาวสกอตแลนด์เป็นคนต่างด้าวทั้งหมด (ซึ่งเป็นการทำให้มีผลกระทบกระเทือนต่อสิทธิในการเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ของชาวสกอตแลนด์ในอังกฤษ) นอกจากว่าสกอตแลนด์จะยกเลิก “พระราชบัญญัติเพื่อความปลอดภัย” และเข้ารวมตัวกับอังกฤษ สกอตแลนด์เลือกประการหลัง ด้วยเหตุนี้สกอตแลนด์จึงส่งผู้แทนมาเจรจาต่อรองในการรวมตัวกับอังกฤษเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 1706 ข้อตกลงได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาสกอตแลนด์เมื่อวันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 1707 ภายใต้พระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1707 อังกฤษและสกอตแลนด์จึงกลายเป็นอาณาจักรเดียวกันในชื่อ “บริเตนใหญ่” เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1707
การปกครองระบบสองพรรค
ในรัชกาลของสมเด็จพระราชินีนาถแอนน์การปกครองของรัฐสภาวิวัฒนาการแยกเป็นสองพรรค: พรรคทอรีและ พระองค์เองโปรดพรรคทอรีมากกว่าแต่ก็ทรง อดทนกับนโยบายของพรรควิก
องค์มนตรีชุดแรกของพระราชินีนาถแอนน์มาจากพรรคทอรีโดยมี (Sidney Godolphin, 1st Earl of Godolphin) เป็นหัวหน้าแต่พรรควิกซึ่งไม่เห็นด้วยกับพรรคทอรีในการสนับสนุนสงครามสืบราชบัลลังก์ออสเตรีย พรรควิกยิ่งมีอิทธิพลมากขึ้นเมื่อดยุกแห่งมาร์ลบะระได้รับชัยชนะในในปี ค.ศ. 1704 พรรควิกจึงเข้ามาเป็นองค์มนตรีแทนพรรคทอรีจนเกือบหมด ลอร์ดโกโดลฟินถึงแม้ว่าจะเป็นพรรคทอรีแต่ก็สนับสนุนดยุกแห่งมาร์ลบะระ ฉะนั้นถึงแม้ว่าลอร์ดโกโดลฟินจะเป็นหัวหน้าคณะมุขมนตรีแต่อำนาจที่แท้จริงมาจากดยุกแห่งมาร์ลบะระและเสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ ชาร์ลส์ สเป็นเซอร์ เอิร์ลแห่งซันเดอร์แลนด์ที่ 3 และโรเบิร์ต ฮาร์ลีย์ เอิร์ลแห่งอ็อกฟอร์ดและมอร์ติเมอร์
การสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายจอร์จ
เจ้าชายจอร์จแห่งเดนมาร์กพระราชสวามีของสมเด็จพระราชินีนาถแอนน์สิ้นพระชนม์เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1708 การเป็นผู้นำทางราชนาวีของพระองค์ไม่เป็นที่นิยมต่อพรรควิก ขณะที่ทรงนอนประชวรพรรควิกก็วางแผนที่จะปลดพระองค์จากตำแหน่ง “ผู้บัญชาการทหารสูงสุด” พระราชินีนาถแอนน์จึงทรงขอให้ดยุกแห่งมาร์ลบะระหยุดยั้งมิให้ยื่นคำรัองที่ว่า
สมเด็จพระราชินีนาถแอนน์ทรงโทมนัสจากการสูญเสียพระราชสวามีเป็นอันมากและสิ่งนี้เองเป็นจุดที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์และดัชเชสแห่งมาร์ลบะระพระสหายเก่าเปลี่ยนแปลงไปด้วย ดัชเชสแห่งมาร์ลบะระมาถึงพระราชวังวินด์เซอร์ไม่นานหลังจากเจ้าชายจอร์จสิ้นพระชนม์และบังคับให้พระราชินีนาถแอนน์ออกจากพระราชวังวินด์เซอร์ไปประทับที่พระราชวังเซนต์เจมส์ทั้งๆ ที่ไม่ตรงกับพระราชประสงค์ พระราชินีนาถแอนน์ทรงขอร้องว่าให้ทิ้งพระองค์ไว้ให้โศรกเศร้าเพียงลำพัง แต่ดัชเชสแห่งมาร์ลบะระกลับจัดให้มีคนมาเฝ้าดูแลพระองค์ตลอดเวลา จึงทรงกริ้วดัชเชสแห่งมาร์ลบะระที่เจ้ากี้เจ้าการในสิ่งที่ไม่เป็นที่ต้องพระราชประสงค์
พรรควิกฉวยโอกาสในการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายจอร์จในขณะที่พระราชินีนาถแอนน์ยังทรงโศรกเศร้าโดยไม่ยอมรับพระราชประสงค์และก่อตั้งรัฐบาลที่นำโดยพรรควิกที่นำโดย ซิดนีย์ โกโดลฟิน เอิร์ลแห่งโกโดลฟินที่ 1 แต่อำนาจของพรรควิกยังถูกจำกัดอยู่เนื่องจากพระราชินีนาถแอนน์ทรงยืนยันที่จะทำหน้าที่ “ผู้บัญชาการทหารสูงสุด” ด้วยพระองค์เองโดยไม่ยอมแต่งตั้งผู้ใดจากพรรควิกมาแทนพระราชสวามี แต่พรรควิกไม่สนใจและเรียกร้องให้ทรงตั้งเอ็ดเวิร์ด รัสเซลล์ เอิร์ลแห่งอ็อกฟอร์ดที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ต่อต้านคนสำคัญของเจ้าชายจอร์จดำรงตำแหน่งนั้น พระราชินีนาถแอนน์ทรงปฏิเสธอย่างเด็ดขาดและทรงเลือกคนของพระองค์เอง โธมัส เฮอร์เบิร์ต,เอิร์ลแห่งเพ็มโบรคที่ 8 ขึ้นเป็น “ผู้บัญชาการทหารสูงสุด” คนใหม่เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1709 แต่พรรควิกก็สร้างความกดดันจนเอิร์ลแห่งเพ็มโบรคต้องลาออกเพียงเดือนเดียวหลังจากที่ได้รับแต่งตั้ง ในที่สุดพระราชินีนาถแอนน์จึงทรงยอมแต่งตั้งเอ็ดเวิร์ด รัสเซลล์ เอิร์ลแห่งอ็อกฟอร์ดตามที่พรรควิกต้องการ
บั้นปลายพระชนม์ชีพ
สงครามสืบราชบัลลังก์สเปนเป็นสงครามที่สิ้นเปลืองมากจนทำให้ความนิยมในการปกครองของพรรควิกเสื่อมลง โดยเฉพาะในการที่โรเบิร์ต ฮาร์ลีย์ เอิร์ลแห่งอ็อกฟอร์ดและมอร์ติเมอร์ที่ใช้ปัญหาทางเศรษฐกิจจากสงครามในการเร้าใจผู้เลือกตั้ง ในการเลือกตั้งทั่วไปในปี ค.ศ. 1710 พรรคทอรีจึงได้รับเลือกกลับมาเป็นพรรคเสียงข้างมาก คณะมนตรีใหม่นำโดยโรเบิร์ต ฮาร์ลีย์พยายามหาทางยุติสงครามสืบราชบัลลังก์สเปน โดยพรรคทอรีเสนอให้ยกสเปนให้พระนัดดาของกษัตริย์ฝรั่งเศสแต่พรรควิกทนความคิดที่จะให้ราชวงศ์บูร์บง ขึ้นครองราชบัลลังก์สเปนไม่ได้
ข้อโต้เถียงมายุติลงเมื่อพระพระเชษฐาของอาร์คดยุกชาร์ลส์ผู้ที่พรรควิกสนับสนุนเสด็จสวรรคตเมื่อปี ค.ศ. 1711 ชาร์ลส์จึงได้ออสเตรีย ฮังการี และราชบัลลังก์ของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ อังกฤษจึงไม่ได้ประโยชน์อะไรกับการยกราชบัลลังก์สเปนให้ชาร์ลส์ แต่ (Treaty of Utrecht 1713) ที่เสนอต่อรัฐสภาก็มิได้รวมการลดอำนาจราชวงศ์บูร์บงตามที่พรรควิกต้องการ
พรรคทอรีของสภาสามัญชนได้รับความนิยมจนมีอำนาจที่ไม่มีผู้ใดหยุดยั้งได้ แต่พรรคทอรีของสภาขุนนางไม่มีอำนาจเช่นเดียวกัน พระราชินีนาถแอนน์จึงทรงตั้งตำแหน่ง (Peerage) ใหม่ขึ้นอีกสิบสองตำแหน่งเพื่อจะลดเสียงข้างมากของพรรควิกในสภาขุนนาง การแต่งตั้งขุนนางสืบตระกูลครั้งใหญ่เช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์อังกฤษ จำนวนตำแหน่งที่แต่งตั้งโดยในระยะเวลาเกือบห้าสิบปีที่ครองราชย์ยังน้อยกว่าจำนวนที่พระนางเจ้าแอนน์ทรงแต่งตั้งขึ้นภายในวันเดียว การกระทำครั้งนี้ทำให้การอนุมัติสนธิสัญญาและยุติการเกี่ยวข้องของอังกฤษในสงครามสืบราชบัลลังก์สเปนสำเร็จ
สวรรคต
สมเด็จพระราชินีนาถแอนน์สวรรคตด้วยเมื่อเวลาประมาณ 7 นาฬิกา ของวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1714 ด้วยพระบรมศพของพระองค์บวมมากจนต้องใส่ในหีบพระบรมศพที่เกือบจะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมที่แอบบีเวสต์มินสเตอร์ และด้วยเหตุที่เจ้าหญิงโซเฟียแห่งฮาโนเวอร์ผู้เป็นรัชทายาทตามพระราชบัญญัติการสืบสันตติวงศ์ ค.ศ. 1701 มาสิ้นพระชนม์ไปเสียก่อน (8 มิถุนายน ปีเดียวกัน) เจ้าชายจอร์จแห่งฮาโนเวอร์ผู้เป็นพระโอรสของเจ้าหญิงโซเฟียจึงเสด็จขึ้นครองราชย์ต่อมาเป็นพระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งบริเตนใหญ่แทน โดยการละเว้นในราชบัลลังก์คนอื่น ๆ เช่นเจมส์ ฟรานซิส เอ็ดเวิร์ด สจวตพระโอรสของพระเจ้าเจมส์ที่ 2 การขึ้นครองราชย์เป็นไปโดยไม่มีอุปสรรคสำคัญนอกจากการแข็งข้อที่ล้มเหลวของจาโคไบต์ (Jacobitism) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนราชวงศ์สจวตสองครั้งในปี ค.ศ. 1715 และ 1719
มรดก
รัชกาลของสมเด็จพระราชินีนาถแอนน์เป็นรัชสมัยที่องคมนตรีเริ่มมีอิทธิพลและอำนาจในการปกครองเพิ่มขึ้นและอำนาจของพระมหากษัตริย์ลดลง ในปี ค.ศ. 1708 พระนางเจ้าแอนน์เป็นพระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายของอังกฤษที่ทรงใช้อำนาจในการไม่ทรงอนุมัติพระราชบัญญัติ การเปลี่ยนอำนาจจากพระมหากษัตริย์ไปสู่องคมนตรีมาเห็นชัดขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าจอร์จที่ 1 จนที่ปรึกษาประจำพระองค์เซอร์ (Robert Walpole, 1st Earl of Orford) มักจะถูกบรรยายว่าเป็น “นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร” คนแรก
สมเด็จพระราชินีนาถแอนน์มักจะทรงกังวลกับพระสุขภาพเพราะทรงเป็นโรคพอร์ฟิเรีย (porphyria) และเพราะความที่ไม่ทรงมีสุขภาพดีนักจึงเป็นการเปิดโอกาสให้เสนาบดีโดยเฉพาะโรเบิร์ต ฮาร์ลีย์ เอิร์ลแห่งอ็อกฟอร์ดและมอร์ติเมอร์ ดยุกและดัชเชสแห่งมาร์ลบะระ และ บารอนเนสอะบิเกล มาแชมเข้ามามีอิทธิพลทางการตัดสินพระทัยทางเมืองของพระราชินีนาถแอนน์
สมัยของสมเด็จพระราชินีนาถแอนน์เป็นสมัยของศิลปะ วรรณกรรม และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ทางสถาปัตยกรรม จอห์น แวนบรูห์สร้างสิ่งก่อสร้างที่เด่น ๆ เช่น[4]ให้แก่ดยุกและดัชเชสแห่งมาร์ลบะระ และ[5]ให้แก่ชาร์ลส์ เฮาวาร์ด เอิร์ลแห่งคาร์ไลสล์ที่ 3 ถึงแม้ว่าสมัยของพระราชินีนาถแอนน์จะไม่มีลักษณะอะไรทางสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ที่เด่น แต่ลักษณะสถาปัตยกรรมสมัยของพระองค์ก็มาเป็นที่นิยมกันในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในลักษณะที่ถือกันว่าหรูหราโออ่าและใช้รายละเอียดในการตกแต่งมาก ทางด้านวรรณกรรมสมัยนี้มีนักเขียนสำคัญ ๆ เช่นแดเนียล เดอโฟ, และ
ทางกฎหมาย, พระนามของสมเด็จพระราชินีนาถแอนน์มีส่วนเกี่ยวข้องกับกฎหมายลิขสิทธิ์สำคัญฉบับแรกของอังกฤษที่เรียกว่า “” (Statute of Anne) ค.ศ. 1709 ซึ่งให้ลิขสิทธิ์งานเขียนต่อผู้ประพันธ์ทั้งหมดแทนที่จะเป็นของสำนักพิมพ์ตามที่เคยเป็นมา
ทางภูมิศาสตร์, พระนามของแอนน์ใช้เป็นชื่อเมืองหรือเขตการปกครองหลายแห่งเช่น เมืองแอนนาโพลิส รัฐแมริแลนด์ สหรัฐ ซึ่งเดิมมีชื่อต่าง ๆ เปลี่ยนมาใช้ชื่อปัจจุบันในปี ค.ศ. 1694 โดยเซอร์ฟรานซิส นิโคลสันเพื่อเฉลิมพระเกียรติ เมืองอื่นที่ใช้พระนามก็ได้แก่ พรินเซสแอนน์ (รัฐแมริแลนด์) ควีนแอนน์เคานตี (รัฐแมริแลนด์) และ พริ้นเซสแอนน์เคานตี รัฐเวอร์จิเนีย
ตำแหน่ง
(ค.ศ. 1702 ถึง 1707) | (ค.ศ. 1707 ถึง 1714) |
- 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1665 – 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1683: เฮอร์ไฮเนส เลดีแอนน์ (Her Highness The Lady Anne)
- 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1683 – 8 มีนาคม ค.ศ. 1702: เฮอร์รอยัลไฮเนส เจ้าฟ้าหญิงแอนน์แห่งเดนมาร์ก (Her Royal Highness The Princess Anne of Denmark)
- 8 มีนาคม ค.ศ. 1702 – 1 สิงหาคม ค.ศ. 1714: เฮอร์มาเจสตี สมเด็จพระราชินีนาถ (Her Majesty The Queen)
พระราชินีนาถแอนน์ในสมัยนิยม
- “เชอร์ชิลคนแรก” (The First Churchills) เป็นละครโทรทัศน์ของบีบีซีที่แสดงชีวิตของพระราชินีนาถแอนน์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์จนสวรรคตโดนเน้นความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับซาราห์ เชอร์ชิล
- “Das Grinsende Gesicht” ค.ศ. 1921 ภาพยนตร์เงียบออสเตรียสร้างจากนวนิยายเรื่อง “คนที่หัวเราะ” (The Man Who Laughs) โดย วิคเตอร์ ฮูโก
- “คนที่หัวเราะ” ค.ศ. 1928 ภาพยนตร์เงียบสร้างจากนวนิยายเรื่อง “คนที่หัวเราะ” โดย วิคเตอร์ ฮูโก
- “Ett Glas vatten” ละครโทรทัศน์ของสวีเดนสร้างจากบทละครเรื่อง “Le Verre d'eau” โดย ยูจีน สไครบ์
- “Sakk-matt” ค.ศ. 1977 ละครโทรทัศน์ของฮังการีสร้างจากบทละครเรื่อง “Le Verre d'eau” โดย ยูจีน สไครบ์
- “Das Glas Wasser” ค.ศ. 1960 ละครโทรทัศน์ของเยอรมนีสร้างจากบทละครเรื่อง “Le Verre d'eau” โดย ยูจีน สไครบ์
- “เร็น: ผู้สร้างบริเตน” (Wren: The Man Who Built Britain) ค.ศ. 2004เป็นสารคดีของบีบีซี
พระราชวงศ์
อ้างอิง
- Lodge (1832) , pp. 7–8
- "Sarah Jennings, Duchess of Marlborough". Encyclopædia Britannica. Britannica Concise Encyclopedia. สืบค้นเมื่อ 2007-01-07.
- Field, Ophelia (2003). Sarah Churchill Duchess of Marlborough, The Queen's Favourite. St. Martin's Press.
- Field, Ophelia (2003). Sarah Churchill Duchess of Marlborough, The Queen's Favourite. St. Martin's Press.
- Innes (1913) p. 440
- Gregg (2001) , pp. 32–35
- Ward, pp. 230–231
- Ward, pp. 236–240
- "James II and VII". The Jacobite Heritage. 1997. สืบค้นเมื่อ 18 September 2006.
- Ward, pp. 241–242
- Nenner, Howard (1998). The Right to be King: the Succession to the Crown of England, 1603–1714. Palgrave Macmillan. p. 243. .
- Dalrymple, John (1778). Memoirs volume ii. p. 175.
- "Mary II". Encyclopædia Britannica (11th ed.). London: Cambridge University Press. 1911.
- Innes (1913) , pp. 482–483
- Ward, pp. 250–251
- Gregg (2001) , p. 108
- Trevelyan, G.M. (1934). England Under Queen Anne.
- Ward, p. 275
- Gregg (2001) , p. 151
- Ward, p. 460
- Lodge, p.240
- Gregg (2001) , pp. 130-131
- Benians, pp.90–91
- Gregg (2001) , p. 281
- Ward, pp. 468–469
- Ward, pp. 470–471
- Ward, pp. 429–434
- Ward, p. 471
- Ward, pp. 433–459
- Ward, p. 476
- Benians (1909) , pp. 97–106
- Eccleshall, Robert (1998). Biographical Dictionary of British Prime Ministers. Routledge.
- Morrissey, Lee (1999). From the Temple to the Castle: An Architectural History of British Literature, 1660–1760. University of Virginia Press.
ดูเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
- Benians, Ernest Alfred et al. (1909). The Cambridge Modern History (เคมบริดจ์ประวัติศาสตร์สมัยใหม่). MacMillan & Co. (เคมบริดจ์ประวัติศาสตร์สมัยใหม่)
- Ward, Adolphus W. (ed.). The Cambridge Modern History (เคมบริดจ์ประวัติศาสตร์สมัยใหม่). Cambridge, England: Cambridge University Press.
- Gregg, Edward (2001). Queen Anne (พระราชินีนาถแอนน์). Yale University Press.
- Innes, Arthur Donald (1913). A History of England and the British Empire (ประวัติศาสตร์อังกฤษและจักรวรรดิอังกฤษ). The MacMillan Company.
- Lednum, John (1859). A History of the Rise of Methodism in America (ประวัติความรุ่งเรืองของ Methodism ในสหรัฐอเมริกา). Philadelphia: John Lednum.
- Lodge, Edmund (1832). The Genealogy of the Existing British Peerage. Saunders and Otley.
- Waller, Maureen, "Sovereign Ladies: Sex, Sacrifice, and Power. The Six Reigning Queens of England." (กษัตรีย์: เพศ, ความเสียสละ, และอำนาจ. พระราชินีหกพระองค์ของอังกฤษ) St. Martin's Press, New York, 2006.
ก่อนหน้า | สมเด็จพระราชินีนาถแอนน์แห่งบริเตนใหญ่ | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
พระเจ้าวิลเลียมที่ 3 แห่งอังกฤษ | พระมหากษัตริย์แห่งอังกฤษและสกอตแลนด์ (ราชวงศ์สจวต) (8 มีนาคม ค.ศ. 1702 – 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1707) | ไม่มี พระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1707 ได้รวมราชอาณาจักรอังกฤษและสกอตแลนด์เป็นราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ | ||
พระเจ้าวิลเลียมที่ 2 แห่งสกอตแลนด์ | พระมหากษัตริย์สกอตแลนด์ (ราชวงศ์สจวต) (8 มีนาคม ค.ศ. 1702 – 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1707) | ไม่มี พระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1707 ได้รวมราชอาณาจักรอังกฤษและสกอตแลนด์เป็นราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ | ||
พระเจ้าวิลเลียมที่ 3 แห่งไอร์แลนด์ | พระมหากษัตริย์ไอร์แลนด์ (ราชวงศ์สจวต) (8 มีนาคม ค.ศ. 1702 – 1 สิงหาคม ค.ศ. 1714) | พระเจ้าจอร์จที่ 1 | ||
พระราชอิสริยยศสถาปนาใหม่ พระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1707 ได้รวมราชอาณาจักรอังกฤษและสกอตแลนด์เป็นราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ | พระมหากษัตริย์บริเตนใหญ่ (ราชวงศ์สจวต) (1 พฤษภาคม ค.ศ. 1707 – 1 สิงหาคม ค.ศ. 1714) | พระเจ้าจอร์จที่ 1 |
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
lingkkhamphasa inbthkhwamni miiwihphuxanaelaphurwmaekikhbthkhwamsuksaephimetimodysadwk enuxngcakwikiphiediyphasaithyyngimmibthkhwamdngklaw krann khwrribsrangepnbthkhwamodyerwthisud smedcphrarachininathaexnnaehngbrietnihy xngkvs Anne of Great Britain 6 kumphaphnth kh s 1665 1 singhakhm kh s 1714 epnphramhakstriyaehngbrietnihy phranangepnphramhakstriyaehngrachwngsscwtphraxngkhsudthaykhxngrachxanackrxngkvs skxtaelnd aelaixraelnd subtxcaksmedcphraecawileliymthi 3 aehngxngkvs kxnthithngxngkvs aelaskxtaelndcarwmtwknepn rachxanackrbrietnihy phayitphrarachbyytishphaphinpi kh s 1707smedcphrarachininatheexnnsmedcphrarachininatheehngxngkvs skxtaelnd aelaixraelndkhrxngrachy8 minakhm 1702 1 phvsphakhm 1707 5 pi 54 wn rachaphiesk23 emsayn 1702kxnhnaphraecawileliymthi 3smedcphrarachininathbrietnihyaelaixraelndkhrxngrachy1 phvsphakhm 1707 1 singhakhm 1714thdipphraecacxrcthi 1phrarachsmphph6 kumphaphnth kh s 1665 1665 02 06 phrarachwngesntecms ewstminsetxr rachxanackrxngkvsswrrkht1 singhakhm kh s 1714 1714 08 01 49 pi phrarachwngekhnsingtn miledilesks brietnihyfngphrabrmsph24 singhakhm 1714 ewstminsetxraexbbiyphrarachswamiecachaycxrcaehngednmarkphrarachbutrecachaywileliym dyukaehngklxsetxrrachwngsrachwngsscwtphrarachbidaphraecaecmsthi 2 aelathi 7phrarachmardaaexnn ihdsasnakhristckraehngxngkvslayphraxphiithy smedcphrarachininathaexnnepnphrarachthidaxngkhthisxngkhxngsmedcphraecaecmsthi 2 aehngxngkvs aelaeldiaexnn ihd phrachayaxngkhaerk emuxphrarachbidakhxngphrarachininathaexnnthukokhnrachbllngkinpi 1688 phraechsphkhiniidkhunkhrxngrachyepnsmedcphrarachininathaemrithi 2 aehngxngkvsrwmkbphraswamiphraecawileliymthi 3 hlngcakphrarachininathaemrithi 2 swrrkhtemuxpi 1694 phraecawileliymthi 3 idkhrxngrachbllngktxkrathngswrrkht inpi 1702 rachxanackrskxtaelndaelarachxanackrxngkvsrwmknepnrachxanackrediywkntamphrarachbyytishphaph kh s 1707 epnrachxanackrbrietnihy odymismedcphrarachininathaexnnepnphramhakstriyphraxngkhaerkkhxngrachxanackrihmaelainkhnaediywknkthrngepnsmedcphrarachininathkhxngrachxanackrixraelnd thrngkhrxngrachyid 12 pi kxnthicaswrrkhtemuxwnthi 1 singhakhm kh s 1714 thiphrarachwngekhnsingtninkrunglxndxn chiwitkhxngsmedcphrarachininathaexnnetmipdwyehtukarnwikvtihlaykhrng thngthangswnphraxngkh thangpyhakarsubrachbllngk aelathangkaraebngaeykthangsasna emuxesdcswrrkhtodyimmirchthayath kstriyphraxngkhtxipcungepnphraecacxrcthi 1 cakrachwngshaonewxraehngrachxanackrhaonewxr phuepnphrayatithangrachwngsscwtcakphraxyki ecahyingxlisaebth scwt phuepnphrathidakhxngphraecaecmsthi 1 aehngxngkvsebuxngtnwyeyaw sarah echxrchil dchechsaehngmarlbara phrashaysnithkhxngphrarachininathaexnnphraecaecmsthi 2 phrarachbidakhxngphrarachininathaexnncxhn echxrchil dyukaehngmarlbara naythphaelankkaremuxngkhnsakhyinrchsmykhxngphrarachininathaexnn smedcphrarachininathaexnnesdcphrarachsmphphemuxwnthi 6 kumphaphnth kh s 1665 thiphrarachwngesntecmsinkrunglxndxn epnphrarachthidaphraxngkhthisxngkhxngphraecaecmsthi 2 aehngxngkvs aelaeldiaexnn ihd phramehsiphraxngkhaerk thrngepnphrarachnddakhxngphraecachalsthi 2 aehngxngkvs aelaepnphrakhnisthakhxngsmedcphrarachininathaemrithi 2 xikdwy phrarachininathaexnnaelaphrarachininathaemriepnphrarachthidaephiyngsxngphraxngkhkhxngphraecaecmsethannthithrngmiphrachnmchiphmacnot khnayngthrngphraeyaw ecahyingaexnnthrngthuksngipfrngessemuxephuxrksaorkhphraentrxkesb khnaprathbxyuthifrngessnn thrngprathbxyukbphraxyki smedcphrarachinixxngeriyt mariinphraecachalsthi 1 aehngxngkvs emuxphrarachiniehneriyttasinphrachnmcungthrngyayipprathbxyukbphrapituccha 1 cnesdcklbsuxngkvsemuxpi 1670 phranangecaaexnnin kh s 1687 rawpi 1673 ecahyingaexnnthrngidruckkbsarah ecnnings phuklaymaepnphrashaykhnsnithaelaepnthipruksaphumixiththiphlmakthisudekuxbtlxdphrachnmchiphkhnhnungkhxngphraxngkh imthrngthuxphraxngkhwaepnecanaykbsarahehnidcakkarthistrisxngkhnnimichuxelnihaekknwa missismxrliy aela missisfriaemnphayhlngsarahidsmrskbcxhn echxrchil phuthitxmacaidepndyukaehngmarlbara aemthphphumikhwamsamarthkhnsakhykhxngxngkvskhnhnung inpi 1673 phrarachbidakhxngecahyingaexnnidthrngepliynipnbthuxnikayormnkhathxlik aetyngthrngmiphrarachoxngkarihphrarachthidathngsxngihidrbkareliyngxyangekhrngkhrdinnikayopretsaethnt emuxwnthi 28 krkdakhm kh s 1683 ecahyingaexnnxphiesksmrskb ecachaycxrcaehngednmark phuepnopretsaethntaelaphraxnuchakhxngphraecaaephndinednmark phraecakhrisetiynthi 5 karkhunkhrxngrachykhxngphraecaecmsthi 2 emuxphraecachalsthi 2 swrrkhtemuxwnthi 6 kumphaphnth kh s 1685 hlngcakthithrngepliynipnbthuxnikayormnkhathxlikkxnswrrkht phrarachbidakhxngecahyingaexnnkhuneswyrachyepnsmedcphraecaecmsthi 2 aehngxngkvs aetphraecaecmsimthrngepnthiniymkhxngprachachnchawxngkvsdwyehtuthithrngepnkhrissanikchnormnkhathxlik yingipkwann prachachnmikhwamhwadraaewngephimkhunemuxphrachayaphraxngkhthisxng aemriaehngomdina phuepnormnkhathxlik thrngihprasutikalphrarachoxrs ecms fransis exdewird scwt emuxwnthi 10 mithunayn 1688 cungthaihprachachnmikhwamrusukwamikhwamepnipidsungthixngkvscaklbipepnrachxanackrormnkhathxlik khnannecahyingaexnn imidthrngprathbxyuthikrunglxndxnaetxyuthiemuxngbath aelamikhawluxknwaphrarachoxrsimichphrarachoxrsthiaethcring aetepnedkthithuklklxbnaekhamaaethnthiphrarachoxrsthisinphrachnmhlngkhlxd aetkimmihlkthanxairthisnbsnunkhawluxni aelasaehtuthiaethcringthiaemriimxyuinkrunglxndxnxaccaepnidwaphraecaecmsthi 2 imthrngtxngkarihopretsaethntekhamaekiywkhxngkbehtukarnkhxngrth aemrithrngprathwngkhwammisiththikhxngphraxnuchaxyangepnthangkar aexnnexngkthrngekhiynthungphraechsphkhiniaemriwa hmxmchncaimmithangthrabxyangaennxnwaedkkhnnicaepnphrarachoxrscringhruxim edkkhnnixaccaepnphraxnuchakhxngera aetphraecaethannthicathrab ikhrkchwyimidthicamikhwamrusukklwkniprxyaepdphnprakar aetimwaehtukarncaepnipinthangid kkhxihechuxidwahmxmchnkyngkhngechuxmninkhwamechuxthangsasnaechnthiepnxyuaelacamikhwamcngrkphkditxip inthisudecahyingaemriphraechsphkhiniaelaphraswamiidesdcklbcakpraethsenethxraelndephuxmaokhnrachbllngkkhxngphrarachbidarahwangkarptiwtixnrungorcntamkhaxyechiylbkhxng Immortal Seven sungepnklumkhunnangopretsaethnt karptiwtixnrungorcn ecahyingaexnnthrngthukphraecaecmsthi 2 snghamimihesdcipeyiymecahyingaemrithienethxraelndinvduibimphlikhxngpi 1688 aetthngsxngyngkhngthrngekhiyncdhmaytidtxknaelaecahyingaexnnexngkhngcathrngthrabthungaephnkarkarrukrankhxngphraecawileliymthi 3 epnthiechuxknwaphrakrniykickhxngaexnnrahwangchwngewlanimixiththiphlmacakkhaaenanathithwayodysarahaelacxhn echxrchil aexnnimthrngaesdngkhwamsnbsnunphraecaecmsthi 2 emuxecachaywileliymesdckhunfngxngkvsineduxnphvscikayn 1688 aetklbthrngekhiynthungecachaywileliymprakassnbsnunkarrukrankhxngphraxngkh echxrchillaxxkcakkarepnkharachsankkhxngphraecaecmsemuxwnthi 24 ineduxnediywkn ecachaycxrcaehngednmarkphraswamikhxngaexnnthrnglaxxkwnrungkhun emuxphraecaecmsesdcklblxndxninwnthi 26 kthrngphbaexnnaelanangsnxngphraoxsththrngthaechnediywkninkhunwnthi 25 phraecaecmscungthrngsngihkkaexnnaelanangsnxngphraoxsthiwinphrarachwngiwthhxl aetaexnnaelanangsnxngphraoxsthkhnixxkthangbnidhlngipphkthibanbathhlwngaehnglxndxnxyukhunhningkxnthicaipthungnxttingaehmemuxwnthi 1 thnwakhmkxnthicathrngprakasxyangepnthangkarwaipthungthinnaelw aelathrngaetngtngkhnamntri caknnkesdcipefaecachaywileliymaelakxngkalngtidtammathixxksfxrd aexnnkechnediywkbaemrithrngthuktahniwaimthrngaesdngkhwamkngwltxkarhlbhnikhxngphraecaecmsaetkihehtuphlinkarkrathakhxngphraxngkhwaimthrngchxbkaraesdngwamipyha aexnnesdcklblxndxnemuxwnthi 19 thnwakhmephuxekhaefaphraecawileliymthi 3 inpi 1689 rthsphaprakaswakarhlbhnikhxngphraecaecmsepnkarslarachsmbtiodypriyaychannbllngkcungwanglng rthsphacungthwayrachbllngkaekecahyingaemri aetthrngyxmrbrwmkbphraswamisungthaihepnsmysxngkstriysmyediywinprawtikarpkkhrxngaebbrachathipitykhxngxngkvs aelathrngxxkphrarachbyytisiththi kh s 1689 sungepnphrarachbyytikarsubrachbllngkthikahndihecahyingaexnnaelaphusubrachbllngktxcakphraxngkhaelaphraecawileliym tamdwyphusubechuxsaykhxngphraecawileliymthixaccamiinxnakht wileliymaelaaemri imnanhlngcakthithrngkhunkhrxngrachy phraecawileliymaelaphrarachininathaemriidphrarachthanrangwlihaekcxhn echxrchilodykaraetngtngihepn exirlaehngmarlbara aetkarptibtikhxngwileliymaelaaemritxsarahaelacxhn echxrchilinphayhlngimdink inpi 1692 thrngmikhwamsngsywalxrdmarlbaraepnmiswninkarsnbsnunkarfunfurachwngsscwt Jacobitism phrarachininathaemrithi 2 cungoprdekla ihpldlxrdmarlbaraxxkcakthuktaaehnng eldisarah marlbarakthukthxdcaktaaehnnginphrarachwngtamsamisungthaihecahyingaexnnkriwaelaprathwngodykaryayxxkcakphrarachthanipprathbxyuthi banisxxn 2 sungepnbankhxngdyukaehngnxrththmebxraelnd thharrksaphraxngkhkhxngecahyingaexnnsungthukpldxxkcaktaaehnngechnkn nxkcaknnthharkyngthuksngimihthwaykhwamekharphtxecachaycxrcphraswamixikdwy emuxphrarachininathaemrithi 2 swrrkhtdwyorkhfidasemuxpi 1694 phraecawileliymthi 3 cungthrngpkkhrxngrachbllngkdwyphraxngkhexngtxma swnecahyingaexnnnnidthrngklayepnrchthayathxndbhnungipodypriyaytamphrarachbyytisiththi kh s 1689 ephraaphusubechuxsaykhxngphraecawileliymaelaphranangaemriimthrngmirchthayath phraecawileliymthi 3 thrngphyayamprbprungkhwamsmphnthrahwangphraxngkhkbecahyingaexnnephuxephimkhwamniymtxprachachnsungimthrngekhyidrbethaethiymkbphramehsi thrngkhunbrrdaskditang thiecahyingaexnnekhythrngepn phrxmkbthrngxnuyatihecahyingaexnnklbmaprathbxyuthiphrarachwngesntecms aetinkhnaediywknkimthrngihecahyingaexnnxxknxkhna aelaimthrngyxmaetngtngihepnphusaercrachkaraethnphraxngkhinyamthiimthrngsamarthpkkhrxngdwyphraxngkhexngid inpi 1695 thrngexaicecahyingaexnnodyphrarachthantaaehnngtang khunihkblxrdmarlbara epnkartxbaethntxkarsnbsnunkhxngecahyingaexnntxrthbalkhxngphraxngkh aetinrayaediywknni inpi kh s 1696 tamkhaklawxangkhxngphraecaecmsthi 2 emuxecahyingaexnnthrngiklthicaidrbrachbllngk ecahyingaexnnthrngekhiyncdhmaythungphrabidaihthrngmaswmmngkutemuxphraecawileliymthi 3 swrrkht aelathrngsyyawacathrngfunfurachbllngkemuxmioxkas xikkhawluxhnungthiimmihlkthankwaphraecawileliymthrngtngphrathythicaykrachbllngkhlngcakesdcswrrkhtihaekphraoxrskhxngphraecaecmsodymikhxaemwaihkarsuksaaebbopretsaetntsungepnkhawluxthixaccamiswnthaihecahyingaexnnthrngepnkngwlxyubang phrarachbyytikarsubsnttiwngs inchwngewlaniecachaycxrcaelaecahyingaexnnthrngprasbpyhaswnphraxngkheruxngkarmiphraoxrsthida cnkrathngpi 1700 ecahyingaexnnthrngphrakhrrphxyangnxy 18 khrngaetthrngtkthung 13 khrng aelainbrrdaphraoxrsthida 5 phraxngkhthirxdchiwitmaid 4 phraxngkhxyuidephiyngimekinsxngpiksinphrachnm phraoxrsxngkhediywthimixayuyunthisudkkhux ecachaywileliym dyukaehngklxsetxrthisinphrachnmemuxphrachnmayuid 11 phrrsaemuxwnthi 29 krkdakhm 1700 sthanakarnnithaihekidwikvtkarkarsubrachbllngkinxngkvs phraecawileliymaelaphranangaemriexngkimmiphrarachoxrsthida channecahyingaexnncungthrngepnrchthayathaetphuediywkhxngrachbllngkthirabuinphrarachbyytisiththi kh s 1689 thaimmikarraburchthayathtxcakecahyingaexnnrachbllngkkxaccatkipepnkhxngecms fransis exdewird scwt phraoxrskhxngphraecaecmsthi 2 phuxangsiththietha Old Pretender phuthixaccaxangsiththiinkarkhrxngrachbllngk ephuxepnkarpxngknmiihphunbthuxormnkhathxlikkhunkhrxngrachbllngkrthsphaxngkvscungxxk phrarachbyytikarsubsnttiwngs kh s 1701 Act of Settlement 1701 sungrabuwaemuxsinsudecahyingaexnn aelaphrarachoxrsthidainxnakhtkhxngphraecawileliymthi 3 aelw rachbllngkcatxngtkipepnkhxngecahyingosefiyaehnghaonewxraelaphusubechuxsaycakphraxngkh ecahyingosefiyepnphuthisubechuxsaymacakphraecaecmsthi 1 aehngxngkvs thangphrarachthidaecahyingxlisaebth scwt thangrthsphamiidphicarnaphraprayuryatixikhlayphraxngkhephraathrngepnormnkhathxlik ecahyingaexnnthrngyxmrbphrarachbyyti phraecawileliymthi 3 swrrkhtemuxwnthi 8 minakhm kh s 1702 aelaecahyingaexnnthrngidrbkarswmmngkutemuxwnthi 23 emsaynrchsmyphrarachininathaexnnphranangecaaexnn raw kh s 1690sngkhramsubrachbllngksepn thnthithiecahyingaexnnesdckhunkhrxngrachyepnsmedcphrarachininathaexnn phraxngkhkthrngtxngekhamaekiywkhxngkbsngkhramsubrachbllngksepn sungepnsngkhramthixngkvssnbsnunsiththiinkarkhrxngrachbllngksepnkhxngxarchdyukkharlaelaepnsngkhramthitxenuxngeruxymacnsinsmykhxngphraxngkhaelaepnsngkhramthimixiththiphltxthngnoybaykartangpraethsaelanoybayphayinpraeths hlngcaknnkthrngaetngtngphraswamikhunepn phubychakarthharerux Lord High Admiral phumixanacsungsudinrachnawi aelathrngmxbxanackarpkkhrxngthharbkihaeklxrdmarlbaraintaaehnng rxyexk Captain General nxkcaknnlxrdmarlbarayngidrbekiyrtiysxikhlayxyangcakphrarachininathaexnnrwmthngidrbekhruxngrachxisriyaphrnkaretxr 3 Knight of the Garter aelaidrbeluxncakexirlepndyuk dchechsaehngmarlbarakidrbtaaehnnginrachsanksungkhunepn ecakrmphraphusamala Mistress of the Robes sungepntaaehnngsungsudkhxngstripracarachsank phumihnathiduaelphraphusamalaaelaekhruxngephchrphlxykhxngphrarachininathaexnn phrarachbyytishphaph emuxphanphrarachbyytikarsubsnttiwngs kh s 1701 rthsphaxngkvsmiidpruksarthsphaskxtaelndthiswnhnungmikhwamprasngkhthicarksarachbllngkiwkbrachwngsscwtaelarksasiththiinkareluxkphusubrachbllngk thangrachxanackrskxtaelndcungtxbotklbdwykarxxkphrarachbyytiephuxkhwamplxdphy kh s 1704 sungepnphrarachbyytithirabuwaemuxsinsudcakphrarachininathaexnnaelw skxtaelndmixanacthicaeluxkpramukhphraxngkhtxipsahrbrachbllngkskxtaelndcakphusubechuxsaykhxngrachwngskhxngskxtaelnd phuthiidrbeluxkodyskxtaelndcaimepnphuediywkbphuediywkbphupkkhrxngrachxanackrxngkvs nxkcakwathasthanakarnthangsasna esrsthkic aelathangkaremuxngcaepnthitklngknid aetphrarachbyytichbbnimiidrbkaryxmrbcnemuxskxtaelndkhuwacathxntwcakkxngthphkhxngdyukaehngmarlbarainyuorpaelaimyxmekbphasitang tamthixngkvstxngkar aetkhwamthirthsphaxngkvsekrngwaskxtaelndcahnklbipepnphnthmitrkbfrngessthaskxtaelndidrbexkrach thangkarxngkvscungidxxk Alien Act 1705 epnkartxbotsungepnphrarachbyytithirabuwaxngkvscatxtanskxtaelndthangesrsthkicaelacaprakasihchawskxtaelndepnkhntangdawthnghmd sungepnkarthaihmiphlkrathbkraethuxntxsiththiinkarepnecakhxngxsngharimthrphykhxngchawskxtaelndinxngkvs nxkcakwaskxtaelndcaykelik phrarachbyytiephuxkhwamplxdphy aelaekharwmtwkbxngkvs skxtaelndeluxkprakarhlng dwyehtuniskxtaelndcungsngphuaethnmaecrcatxrxnginkarrwmtwkbxngkvsemuxwnthi 22 krkdakhm kh s 1706 khxtklngidrbkarxnumticakrthsphaskxtaelndemuxwnthi 16 mkrakhm kh s 1707 phayitphrarachbyytishphaph kh s 1707 xngkvsaelaskxtaelndcungklayepnxanackrediywkninchux brietnihy emuxwnthi 1 phvsphakhm kh s 1707 karpkkhrxngrabbsxngphrrkh inrchkalkhxngsmedcphrarachininathaexnnkarpkkhrxngkhxngrthsphawiwthnakaraeykepnsxngphrrkh phrrkhthxriaela phraxngkhexngoprdphrrkhthxrimakkwaaetkthrng xdthnkbnoybaykhxngphrrkhwik xngkhmntrichudaerkkhxngphrarachininathaexnnmacakphrrkhthxriodymi Sidney Godolphin 1st Earl of Godolphin epnhwhnaaetphrrkhwiksungimehndwykbphrrkhthxriinkarsnbsnunsngkhramsubrachbllngkxxsetriy phrrkhwikyingmixiththiphlmakkhunemuxdyukaehngmarlbaraidrbchychnaininpi kh s 1704 phrrkhwikcungekhamaepnxngkhmntriaethnphrrkhthxricnekuxbhmd lxrdokodlfinthungaemwacaepnphrrkhthxriaetksnbsnundyukaehngmarlbara channthungaemwalxrdokodlfincaepnhwhnakhnamukhmntriaetxanacthiaethcringmacakdyukaehngmarlbaraaelaesnabdikrathrwngtangpraeths charls sepnesxr exirlaehngsnedxraelndthi 3 aelaorebirt harliy exirlaehngxxkfxrdaelamxrtiemxr karsinphrachnmkhxngecachaycxrc ecachaycxrcaehngednmarkphrarachswamikhxngsmedcphrarachininathaexnnsinphrachnmemuxeduxntulakhm kh s 1708 karepnphunathangrachnawikhxngphraxngkhimepnthiniymtxphrrkhwik khnathithrngnxnprachwrphrrkhwikkwangaephnthicapldphraxngkhcaktaaehnng phubychakarthharsungsud phrarachininathaexnncungthrngkhxihdyukaehngmarlbarahyudyngmiihyunkharxngthiwa smedcphrarachininathaexnnthrngothmnscakkarsuyesiyphrarachswamiepnxnmakaelasingniexngepncudthithaihkhwamsmphnthrahwangphraxngkhaeladchechsaehngmarlbaraphrashayekaepliynaeplngipdwy dchechsaehngmarlbaramathungphrarachwngwindesxrimnanhlngcakecachaycxrcsinphrachnmaelabngkhbihphrarachininathaexnnxxkcakphrarachwngwindesxripprathbthiphrarachwngesntecmsthng thiimtrngkbphrarachprasngkh phrarachininathaexnnthrngkhxrxngwaihthingphraxngkhiwihosrkesraephiynglaphng aetdchechsaehngmarlbaraklbcdihmikhnmaefaduaelphraxngkhtlxdewla cungthrngkriwdchechsaehngmarlbarathiecakiecakarinsingthiimepnthitxngphrarachprasngkh phrrkhwikchwyoxkasinkarsinphrachnmkhxngecachaycxrcinkhnathiphrarachininathaexnnyngthrngosrkesraodyimyxmrbphrarachprasngkhaelakxtngrthbalthinaodyphrrkhwikthinaody sidniy okodlfin exirlaehngokodlfinthi 1 aetxanackhxngphrrkhwikyngthukcakdxyuenuxngcakphrarachininathaexnnthrngyunynthicathahnathi phubychakarthharsungsud dwyphraxngkhexngodyimyxmaetngtngphuidcakphrrkhwikmaaethnphrarachswami aetphrrkhwikimsnicaelaeriykrxngihthrngtngexdewird rsesll exirlaehngxxkfxrdthi 1 sungepnphutxtankhnsakhykhxngecachaycxrcdarngtaaehnngnn phrarachininathaexnnthrngptiesthxyangeddkhadaelathrngeluxkkhnkhxngphraxngkhexng othms ehxrebirt exirlaehngephmobrkhthi 8 khunepn phubychakarthharsungsud khnihmemuxwnthi 29 phvscikayn kh s 1709 aetphrrkhwikksrangkhwamkddncnexirlaehngephmobrkhtxnglaxxkephiyngeduxnediywhlngcakthiidrbaetngtng inthisudphrarachininathaexnncungthrngyxmaetngtngexdewird rsesll exirlaehngxxkfxrdtamthiphrrkhwiktxngkar bnplayphrachnmchiph phranangecaaexnn kh s 1702 sngkhramsubrachbllngksepnepnsngkhramthisinepluxngmakcnthaihkhwamniyminkarpkkhrxngkhxngphrrkhwikesuxmlng odyechphaainkarthiorebirt harliy exirlaehngxxkfxrdaelamxrtiemxrthiichpyhathangesrsthkiccaksngkhraminkareraicphueluxktng inkareluxktngthwipinpi kh s 1710 phrrkhthxricungidrbeluxkklbmaepnphrrkhesiyngkhangmak khnamntriihmnaodyorebirt harliyphyayamhathangyutisngkhramsubrachbllngksepn odyphrrkhthxriesnxihyksepnihphranddakhxngkstriyfrngessaetphrrkhwikthnkhwamkhidthicaihrachwngsburbng khunkhrxngrachbllngksepnimid khxotethiyngmayutilngemuxphraphraechsthakhxngxarkhdyukcharlsphuthiphrrkhwiksnbsnunesdcswrrkhtemuxpi kh s 1711 charlscungidxxsetriy hngkari aelarachbllngkkhxngckrwrrdiormnxnskdisiththi xngkvscungimidpraoychnxairkbkarykrachbllngksepnihcharls aet Treaty of Utrecht 1713 thiesnxtxrthsphakmiidrwmkarldxanacrachwngsburbngtamthiphrrkhwiktxngkar phrrkhthxrikhxngsphasamychnidrbkhwamniymcnmixanacthiimmiphuidhyudyngid aetphrrkhthxrikhxngsphakhunnangimmixanacechnediywkn phrarachininathaexnncungthrngtngtaaehnng Peerage ihmkhunxiksibsxngtaaehnngephuxcaldesiyngkhangmakkhxngphrrkhwikinsphakhunnang karaetngtngkhunnangsubtrakulkhrngihyechnniimekhymimakxninprawtisastrxngkvs canwntaaehnngthiaetngtngodyinrayaewlaekuxbhasibpithikhrxngrachyyngnxykwacanwnthiphranangecaaexnnthrngaetngtngkhunphayinwnediyw karkrathakhrngnithaihkarxnumtisnthisyyaaelayutikarekiywkhxngkhxngxngkvsinsngkhramsubrachbllngksepnsaerc swrrkht smedcphrarachininathaexnnswrrkhtdwyemuxewlapraman 7 nalika khxngwnthi 1 singhakhm kh s 1714 dwyphrabrmsphkhxngphraxngkhbwmmakcntxngisinhibphrabrmsphthiekuxbcaepnrupthrngsiehliymthiaexbbiewstminsetxr aeladwyehtuthiecahyingosefiyaehnghaonewxrphuepnrchthayathtamphrarachbyytikarsubsnttiwngs kh s 1701 masinphrachnmipesiykxn 8 mithunayn piediywkn ecachaycxrcaehnghaonewxrphuepnphraoxrskhxngecahyingosefiycungesdckhunkhrxngrachytxmaepnphraecacxrcthi 1 aehngbrietnihyaethn odykarlaewninrachbllngkkhnxun echnecms fransis exdewird scwtphraoxrskhxngphraecaecmsthi 2 karkhunkhrxngrachyepnipodyimmixupsrrkhsakhynxkcakkaraekhngkhxthilmehlwkhxngcaokhibt Jacobitism sungepnklumphusnbsnunrachwngsscwtsxngkhrnginpi kh s 1715 aela 1719mrdkrchkalkhxngsmedcphrarachininathaexnnepnrchsmythixngkhmntrierimmixiththiphlaelaxanacinkarpkkhrxngephimkhunaelaxanackhxngphramhakstriyldlng inpi kh s 1708 phranangecaaexnnepnphramhakstriyxngkhsudthaykhxngxngkvsthithrngichxanacinkarimthrngxnumtiphrarachbyyti karepliynxanaccakphramhakstriyipsuxngkhmntrimaehnchdkhuninrchsmykhxngphraecacxrcthi 1 cnthipruksapracaphraxngkhesxr Robert Walpole 1st Earl of Orford mkcathukbrryaywaepn naykrthmntriaehngshrachxanackr khnaerk smedcphrarachininathaexnnmkcathrngkngwlkbphrasukhphaphephraathrngepnorkhphxrfieriy porphyria aelaephraakhwamthiimthrngmisukhphaphdinkcungepnkarepidoxkasihesnabdiodyechphaaorebirt harliy exirlaehngxxkfxrdaelamxrtiemxr dyukaeladchechsaehngmarlbara aela barxnensxabiekl maaechmekhamamixiththiphlthangkartdsinphrathythangemuxngkhxngphrarachininathaexnn smykhxngsmedcphrarachininathaexnnepnsmykhxngsilpa wrrnkrrm aelakhwamkawhnathangwithyasastr thangsthaptykrrm cxhn aewnbruhsrangsingkxsrangthiedn echn 4 ihaekdyukaeladchechsaehngmarlbara aela 5 ihaekcharls ehaward exirlaehngkharilslthi 3 thungaemwasmykhxngphrarachininathaexnncaimmilksnaxairthangsthaptykrrmthiepnexklksnthiedn aetlksnasthaptykrrmsmykhxngphraxngkhkmaepnthiniymkninplaykhriststwrrsthi 19 inlksnathithuxknwahruhraoxxaaelaichraylaexiydinkartkaetngmak thangdanwrrnkrrmsmyniminkekhiynsakhy echnaedeniyl edxof aela thangkdhmay phranamkhxngsmedcphrarachininathaexnnmiswnekiywkhxngkbkdhmaylikhsiththisakhychbbaerkkhxngxngkvsthieriykwa Statute of Anne kh s 1709 sungihlikhsiththinganekhiyntxphupraphnththnghmdaethnthicaepnkhxngsankphimphtamthiekhyepnma thangphumisastr phranamkhxngaexnnichepnchuxemuxnghruxekhtkarpkkhrxnghlayaehngechn emuxngaexnnaophlis rthaemriaelnd shrth sungedimmichuxtang epliynmaichchuxpccubninpi kh s 1694 odyesxrfransis niokhlsnephuxechlimphraekiyrti emuxngxunthiichphranamkidaek phrinessaexnn rthaemriaelnd khwinaexnnekhanti rthaemriaelnd aela phrinessaexnnekhanti rthewxrcieniy taaehnng trapracaecahyingaexnnaehngednmark trapracaphranangecaaexnnaehngxngkvs kh s 1702 thung 1707 trapracaphranangecaaexnnaehngbrietnihy kh s 1707 thung 1714 6 kumphaphnth kh s 1665 28 krkdakhm kh s 1683 ehxrihens eldiaexnn Her Highness The Lady Anne 28 krkdakhm kh s 1683 8 minakhm kh s 1702 ehxrrxylihens ecafahyingaexnnaehngednmark Her Royal Highness The Princess Anne of Denmark 8 minakhm kh s 1702 1 singhakhm kh s 1714 ehxrmaecsti smedcphrarachininath Her Majesty The Queen phrarachininathaexnninsmyniym echxrchilkhnaerk The First Churchills epnlakhrothrthsnkhxngbibisithiaesdngchiwitkhxngphrarachininathaexnntngaetyngthrngphraeyawcnswrrkhtodnennkhwamsmphnthrahwangphraxngkhkbsarah echxrchil Das Grinsende Gesicht kh s 1921 phaphyntrengiybxxsetriysrangcaknwniyayeruxng khnthihweraa The Man Who Laughs ody wikhetxr huok khnthihweraa kh s 1928 phaphyntrengiybsrangcaknwniyayeruxng khnthihweraa ody wikhetxr huok Ett Glas vatten lakhrothrthsnkhxngswiednsrangcakbthlakhreruxng Le Verre d eau ody yucin sikhrb Sakk matt kh s 1977 lakhrothrthsnkhxnghngkarisrangcakbthlakhreruxng Le Verre d eau ody yucin sikhrb Das Glas Wasser kh s 1960 lakhrothrthsnkhxngeyxrmnisrangcakbthlakhreruxng Le Verre d eau ody yucin sikhrb ern phusrangbrietn Wren The Man Who Built Britain kh s 2004epnsarkhdikhxngbibisiphrarachwngs phrarachwngskhxngphrarachininathaexnn 16 8 phraecaecmsthi 1 aehngxngkvs 17 aemrithi 1 aehngskxtaelnd 4 phraecacharlsthi 1 aehngxngkvs 18 9 19 2 phraecaecmsthi 2 aehngxngkvs 20 10 xxngrithi 4 aehngfrngess 21 5 ehneriytta maeriy aehngfrngess 22 franechsokhthi 1 edx emdichi 11 23 1 phrarachininathaexnn aehngbrietnihy 24 lxerns ihd 12 ehnri ihd 25 aexnn siebll 6 exdewird ihd exirlaehngaekhlerndxnthi 1 26 exdewird aelngfxrd 13 aemri aelngfxrd 27 aemri ihd 3 eldiaexnn ihd 28 wileliym xalysbri 14 thxms xalysbri 29 aexnn phul 7 30 fransis ednaemn 15 aexnn ednaemn 31 aexnn eblanth xangxingLodge 1832 pp 7 8 Sarah Jennings Duchess of Marlborough Encyclopaedia Britannica Britannica Concise Encyclopedia subkhnemux 2007 01 07 Field Ophelia 2003 Sarah Churchill Duchess of Marlborough The Queen s Favourite St Martin s Press Field Ophelia 2003 Sarah Churchill Duchess of Marlborough The Queen s Favourite St Martin s Press Innes 1913 p 440 Gregg 2001 pp 32 35 Ward pp 230 231 Ward pp 236 240 James II and VII The Jacobite Heritage 1997 subkhnemux 18 September 2006 Ward pp 241 242 Nenner Howard 1998 The Right to be King the Succession to the Crown of England 1603 1714 Palgrave Macmillan p 243 ISBN 0 333 57724 8 Dalrymple John 1778 Memoirs volume ii p 175 Mary II Encyclopaedia Britannica 11th ed London Cambridge University Press 1911 Innes 1913 pp 482 483 Ward pp 250 251 Gregg 2001 p 108 Trevelyan G M 1934 England Under Queen Anne Ward p 275 Gregg 2001 p 151 Ward p 460 Lodge p 240 Gregg 2001 pp 130 131 Benians pp 90 91 Gregg 2001 p 281 Ward pp 468 469 Ward pp 470 471 Ward pp 429 434 Ward p 471 Ward pp 433 459 Ward p 476 Benians 1909 pp 97 106 Eccleshall Robert 1998 Biographical Dictionary of British Prime Ministers Routledge Morrissey Lee 1999 From the Temple to the Castle An Architectural History of British Literature 1660 1760 University of Virginia Press duephimsphasamychn sphakhunnang rachwngsscwt sngkhramsubrachbllngkxxsetriy sngkhramsubrachbllngksepn phrarachbyytishphaph kh s 1707 phrarachbyytiephuxkhwamplxdphy kh s 1704 karptiwtixnrungorcn cxhn echxrchil dyukaehngmarlbara sarah echxrchil dchechsaehngmarlbaraaehlngkhxmulxunBenians Ernest Alfred et al 1909 The Cambridge Modern History ekhmbridcprawtisastrsmyihm MacMillan amp Co ekhmbridcprawtisastrsmyihm Ward Adolphus W ed The Cambridge Modern History ekhmbridcprawtisastrsmyihm Cambridge England Cambridge University Press Gregg Edward 2001 Queen Anne phrarachininathaexnn Yale University Press Innes Arthur Donald 1913 A History of England and the British Empire prawtisastrxngkvsaelackrwrrdixngkvs The MacMillan Company Lednum John 1859 A History of the Rise of Methodism in America prawtikhwamrungeruxngkhxng Methodism inshrthxemrika Philadelphia John Lednum Lodge Edmund 1832 The Genealogy of the Existing British Peerage Saunders and Otley Waller Maureen Sovereign Ladies Sex Sacrifice and Power The Six Reigning Queens of England kstriy ephs khwamesiysla aelaxanac phrarachinihkphraxngkhkhxngxngkvs St Martin s Press New York 2006 ISBN 0 312 33801 5kxnhna smedcphrarachininathaexnnaehngbrietnihy thdipphraecawileliymthi 3 aehngxngkvs phramhakstriyaehngxngkvsaelaskxtaelnd rachwngsscwt 8 minakhm kh s 1702 1 phvsphakhm kh s 1707 immi phrarachbyytishphaph kh s 1707 idrwmrachxanackrxngkvsaelaskxtaelndepnrachxanackrbrietnihyphraecawileliymthi 2 aehngskxtaelnd phramhakstriyskxtaelnd rachwngsscwt 8 minakhm kh s 1702 1 phvsphakhm kh s 1707 immi phrarachbyytishphaph kh s 1707 idrwmrachxanackrxngkvsaelaskxtaelndepnrachxanackrbrietnihyphraecawileliymthi 3 aehngixraelnd phramhakstriyixraelnd rachwngsscwt 8 minakhm kh s 1702 1 singhakhm kh s 1714 phraecacxrcthi 1phrarachxisriyyssthapnaihm phrarachbyytishphaph kh s 1707 idrwmrachxanackrxngkvsaelaskxtaelndepnrachxanackrbrietnihy phramhakstriybrietnihy rachwngsscwt 1 phvsphakhm kh s 1707 1 singhakhm kh s 1714 phraecacxrcthi 1