มหาเทวี (พม่า: မဟာဒေဝီ, ออกเสียง: [məhà dèwì]; อักษรโรมัน: Maha Dewi; ราว ค.ศ. 1322 – ราว ค.ศ. 1392) เป็นแห่งอาณาจักรหงสาวดีในช่วงราวสิบสัปดาห์สุดท้ายของรัชกาลพระยาอู่ (Binnya U) ผู้เป็นพระอนุชา พระนางยังทรงเป็นเจ้าเมือง (Dagon) ตั้งแต่ ค.ศ. 1364 ถึงราว ค.ศ. 1392
พระมหาเทวีแห่งหงสาวดี မဟာဒေဝီ | |
---|---|
ผู้สำเร็จราชการแห่งหงสาวดี | |
ครองราชย์ | ในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1383 – 4 มกราคม ค.ศ. 1384 |
ก่อนหน้า | พระยาอู่ (ในฐานะกษัตริย์) |
ต่อไป | พระเจ้าราชาธิราช (ในฐานะกษัตริย์) |
กษัตริย์ | พระยาอู่ |
เจ้าเมืองตะเกิง | |
ครองราชย์ | ค.ศ. 1364 – ป. ค.ศ. 1392 |
ก่อนหน้า | พระตะเบิด |
ต่อไป | ? |
ประสูติ | ในหรือก่อน ค.ศ. 1322 เมาะตะมะ, อาณาจักรเมาะตะมะ |
สวรรคต | ป. ค.ศ. 1392 ป. 754 ME ตะเกิง, อาณาจักรหงสาวดี |
คู่อภิเษก | พระตะเบิด (สมรส 1348; 1363) ไชยสุระ (สมรส 1363; 1364) |
พระราชบุตร | ไม่มีบุตร พระเจ้าราชาธิราช (บุตรบุญธรรม) |
ราชวงศ์ | ฟ้ารั่ว |
พระราชบิดา | พระเจ้ารามมะไตย |
พระราชมารดา | นางจันทะมังคะละ |
ศาสนา | พุทธเถรวาท |
ก่อนดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินนั้น พระนางทรงเป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดของพระอนุชามาตั้งแต่ ค.ศ. 1369 และทรงปกครองแผ่นดินโดยพฤตินัยมาตั้งแต่ต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1380 แต่ราชสำนักไม่สนับสนุนพระนาง กลุ่มอำนาจในราชสำนักมักยกเอาข้อกล่าวหาที่ว่า พระนางมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวมายาวนานกับสมิงมะราหู (Smim Maru) หลานเขยผู้อ่อนวัยกว่าพระนางเป็นอันมาก มาบ่อนทำลายอิทธิพลของพระนาง ครั้นเมื่อพระยาน้อย (Binnya Nwe) พระนัดดาและพระโอรสบุญธรรมของพระนาง ก่อกบฏใน ค.ศ. 1383 สมิงชีพราย (Zeik-Bye) อัครมหาเสนาบดี ก็ลักลอบเข้าด้วยพระยาน้อย
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1383 พระยาอู่ประชวรและมอบราชการให้แก่พระนางอย่างเป็นทางการ แต่พระนางมิอาจปราบกบฏพระยาน้อยลงได้ สองเดือนให้หลัง พระยาอู่สวรรคต ราชสำนักเลือกพระยาน้อยขึ้นสืบสันตติวงศ์ ทรงพระนาม พระเจ้าราชาธิราช (Razadarit) พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ทรงตั้งพระนางซึ่งเป็นพระมารดาบุญธรรมกลับไปดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองตะเกิงดังเดิม แต่สถานะของพระนางในครั้งนี้เป็นไปในทางพิธีการเท่านั้น
ต้นพระชนม์
พระนางมีพระนามเมื่อแรกประสูติว่า "เม้ยนะ" (Mwei Na) เป็นพระธิดาของเจ้าหญิงจันทะมังคะละ (Sanda Min Hla) กับเจ้าชายสอเซน (Saw Zein) พระมารดาและพระบิดาทรงเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เมื่อประสูติแล้ว ทรงได้รับพระนามว่า "วิหารเทวี" (Wihara Dewi) เพราะมีพระประสูติการในขณะที่พระบิดาทรงสร้างพระวิหารถวายสงฆ์ พระนางมีพระญาติร่วมพระบิดามารดา คือ เม้ยเน (Mwei Ne) พระเชษฐภคินี และพระยาอู่ (Binnya U) พระอนุชา เนื่องจากพระยาอู่ประสูติใน ค.ศ. 1323/24 พระนางจึงน่าจะประสูติในหรือก่อน ค.ศ. 1322
หลังประสูติได้ไม่นาน พระบิดาก็ได้เถลิงถวัลยราชย์เป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรหงสาวดี มีพระนามว่า พระยารามมะไตย (Binnya Ran De) มีเมืองหลวงอยู่ที่เมาะตะมะ ส่วนพระเชษฐภคินีก็สิ้นพระชนม์ พระนางจึงเป็นพระราชบุตรพระองค์โตที่สุดที่ยังดำรงพระชนม์อยู่ของพระยารามมะไตย พระองค์จึงประทานพระนาม "มหาเทวี" ให้แก่พระนาง อันเป็นพระนามซึ่งทรงเป็นที่รู้จักมาจนบัดนี้
พระยารามมะไตยสวรรคตใน ค.ศ. 1330 พระนางและพระอนุชาจึงทรงกำพร้าพระบิดานับแต่นั้น แต่พระมารดาของทั้งสองพระองค์ทรงคุมอำนาจในราชสำนักไว้ได้ โดยทรงตั้งพระมหากษัตริย์สืบราชบัลลังก์ต่อมาจน ค.ศ. 1348 ถึงสองพระองค์ และตั้งพระองค์เองเป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ทั้งสองนั้น
เจ้าหญิงแห่งตะเกิง
พระมหาเทวีมิได้เสกสมรสจนกระทั่งพระชันษาเกือบปลายยี่สิบ โดยใน ค.ศ. 1348 พระยาอู่ พระอนุชา ทรงสืบบัลลังก์แห่งเมาะตะมะ และโปรดให้พระนางเสกสมรสกับ (Bon La) บุตรชายของ (Than-Daw) เสนาบดีผู้ทรงอิทธิพล เพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางเครือญาติ แล้วพระยาอู่ก็ทรงตั้งบุญลาภเป็นเจ้าเมืองตะเกิง บรรดาศักดิ์ว่า "พระตะเบิด" (Bya Hta-Baik) หลายปีให้หลังบุญลาภ ผู้เป็นพระสวามี ก็ได้เป็นพันธมิตรที่สำคัญของพระอนุชา
ครั้น ค.ศ. 1362 พระยาอู่ทรงขยายเจดีย์ชเวดากองให้สูงขึ้นถึง 20 เมตรเพื่อเป็นพระราชกุศล แต่กลับเป็นช่วงสุดท้ายที่อาณาจักรจะอยู่สงบร่มเย็น เพราะในปีถัดมา คือ ค.ศ. 1363 พระยาอู่และราชบริพารเสด็จออกจากเมาะตะมะ กลุ่มการเมืองคู่แข่ง นำโดยเจ้าชายพระตะบะ (Byattaba) ฉวยโอกาสเข้ายึดพระนครไว้ได้ และสมิงเลิกพร้า (Laukpya) พระเชษฐาหรืออนุชาของพระตะบะ ก็ก่อกบฏในลุ่ม พระยาอู่จึงทรงตั้งบุญลาภ พระสวามีของพระมหาเทวี เป็นแม่ทัพนำกำลังไปกู้พระนคร แต่พระชายาของพระตะบะ กับ (Tala Mi Ma-Hsan) พระขนิษฐาร่วมพระมารดาหรือบิดาของพระมหาเทวี ทรงร่วมมือกันวางยาพิษฆ่าบุญลาภเป็นผลสำเร็จในช่วงเจรจาหย่าศึก
พระมหาเทวีไม่ทรงมีเวลาอาลัยพระสวามีมากนัก ด้วยพระยาอู่โปรดให้เสกสมรสกับ (Zeya Thura) เจ้าเมือง (Hmawbi) ทันที แล้วโปรดให้ไชยสุระเป็นผู้บัญชาการทหารคนใหม่ยกกำลังไปยึดเมาะตะมะอีกครั้ง แต่ไชยสุระถูกสังหารกลางสมรภูมิ พระยาอู่จึงทรงตั้งพระมหาเทวีขึ้นเป็นเจ้าเมืองตะเกิง
เจ้าเมืองตะเกิง
เมื่อดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองตะเกิง ปรากฏว่า พระมหาเทวีทรงเป็นผู้ปกครองที่สามารถอาจหาญ พระนางกลายเป็นพันธมิตรที่พระยาอู่ พระอนุชา ทรงขาดมิได้ เวลานั้น พระยาอู่ทรงไปตั้งราชสำนักอยู่ที่นอกเมืองวาน (Donwun) ห่างจากเมืองเมาะตะมะไปทางเหนือราว 100 กิโลมตร การที่พระมหาเทวีทรงบัญชาการเมืองตะเกิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กองทัพกบฏของสมิงเลิกพร้าไม่อาจรุกคืบไปถึงเมืองพะโค (Pegu) ในภาคกลาง ส่วน (Smim Than-Byat - คนละคนกับพระตะเบิด ซึ่งมีชื่อเดิมว่า บุญลาภ) ซึ่งเป็นพระเชษฐาหรืออนุชาของพระตะบะ แต่ภักดีต่อพระยาอู่ ก็ป้องกันเมืองพะโคมิให้ถูกสมิงเลิกพร้าโจมตีจากทางตะวันตกเป็นผลสำเร็จ
แต่ใน ค.ศ. 1369/70 สถานการณ์กลับเลวร้ายลง ด้วยกองทัพของพระตะบะขับพระยาอู่ออกจากเมืองวานได้ ขอบเขตอำนาจของพระยาอู่บัดนี้จึงเหลือแต่เมืองพะโคที่เดียว ฉะนั้น พระยาอู่จึงทรงตั้งพะโคเป็นพระนครแห่งใหม่ ซึ่งอยู่ห่างเมืองตะเกิงของพระมหาเทวีไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 62 กิโลเมตร
การแย่งชิงอำนาจที่พะโค
ยิ่งพระอำนาจของพระยาอู่สั่นคลอน พระอำนาจของพระมหาเทวีก็ทวีขึ้น ครั้นอำมาตย์แพรจอ (Pun-So) อัครมหาเสนาบดีที่พระยาอู่ไว้พระทัย ถึงแก่กรรมใน ค.ศ. 1369 พระยาอู่ก็ทรงหันมาพึ่งพาคำแนะนำของพระมหาเทวีผู้เป็นพระเชษฐภคินี เหตุการณ์สำคัญ คือ เมื่อสมิงสามปราบ (Than-Byat) เจ้าเมืองกริบ (เมืองสิเรียม - Syriam) แปรพักตร์ พระมหาเทวีก็ทรงแนะให้ตีโต้ พระมหาเทวีทรงตั้งสมิงทะโยกคะราช (Yawga Rat) กับสมิงมะราหู ให้นำทัพข้ามแม่น้ำจากเมืองตะเกิงของพระนางเข้าไปยึดสิเรียมคืน การทัพครั้งนี้สำเร็จลุล่วงดังพระประสงค์ แต่พระยาอู่ก็ยังทรงตั้งมั่นอยู่ในพะโคต่อไป โดยทรงรอมชอมกับพระตะบะและสมิงเลิกพร้า (Pak Lat Chronicles) ระบุว่า พระยาอู่ทรงยอมมอบทองคำหนัก 16.33 กิโลกรัม พร้อมด้วยช้างสิบเชือก ให้แก่ทั้งสอง คนทั้งสองจึงยอมสวามิภักดิ์และกลับคืนเป็นข้าฝ่าละอองธุลีพระบาทของพระยาอู่แต่ในนาม
อย่างไรก็ดี การเถลิงอำนาจของพระมหาเทวีนี้ไม่เป็นที่ยอมรับนับถือของคนทั้งปวง กลุ่มการเมืองในราชสำนักที่มีสมิงชีพราย อัครมหาเสนาบดี เป็นผู้นำ ต่อต้านพระนางอย่างลับ ๆ และสามปีให้หลัง พระนาง ในพระชนม์กว่า 50 ชันษา ก็ทรงถูกต่อต้านหนักขึ้น เมื่อทรงถูกกล่าวหาว่า เป็นชู้กับสมิงมะราหู ผู้เป็นหลานเขยที่อ่อนวัยกว่าพระนางยิ่งนัก สมิงมะราหูผู้นี้เป็นสวามีของตละแม่ศรี (Tala Mi Thiri) พระธิดาของพระยาอู่ และพระนัดดาของพระนางเอง เมื่อข้อกล่าวหานี้แพร่สะพัด ผู้คนทั้งพระนครก็เย้ยหยันพระนาง พงศาวดารมอญ ราชาธิราช ยังบันทึกเพลงกลอนที่ชาวเมืองขับร้องเสียดสีพระนางเอาไว้ ว่า "นกสตือไซร้ขึ้นไข่ไว้ในต้นไม้อันคาอันซุ่ง อันสตรีแก่จะใคร่ได้สามีหนุ่ม ถันยุคลนั้นไซร้ยานลงถึงรั้งผ้า" เหตุการณ์ครั้งนี้เชื่อว่า เป็นที่มาของภาษิตมอญที่ว่า "นางนกยูงแก่ปีนขึ้นเค้าไม้ไปวางไข่ นางหญิงเฒ่าไร้ยางอายไปแย่งผัวชาวบ้าน" (The old peahen climbs up a tree to lay a clutch of eggs; the old woman brazenly steals another woman's husband.)
อย่างไรก็ดี พระยาอู่ก็ทรงยังไว้พระทัยในพระนางมิเสื่อมคลาย ทั้งทรงมอบอำนาจให้พระนางมากขึ้น ๆ ทุกปี ด้วยพระพลานามัยทรุดโทรมลงตามลำดับ แต่การงัดข้อกันเพื่อชิงอำนาจก็เป็นไปในทางรุนแรงขึ้นทุกขณะเช่นกัน หลายกลุ่มพากันหนุนพระนางและสมิงมะราหูมากขึ้น ๆ เป็นเหตุให้ที่สุดแล้วกลุ่มของพระนางก็มีอำนาจมั่นคงสถาพรขึ้นในต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1380 อันเป็นช่วงเวลาที่พระสุขภาพของพระยาอู่ถดถอยลงอย่างถึงที่สุด ฉะนั้น ใน ค.ศ. 1382 จึงปรากฏว่า พระมหาเทวีทรงได้ปกครองอาณาจักรหงสาวดีโดยพฤตินัยอยู่แล้ว ครั้น ค.ศ. 1383 พระยาน้อย ผู้เป็นพระโอรสของพระยาอู่ ทั้งเป็นพระนัดดาและโอรสบุญธรรมของพระนางเอง ก่อหวอดต่อต้านพระนาง
กบฏพระยาน้อย
พระยาน้อยนั้นอยู่ในความดูแลของพระมหาเทวีผู้เป็นป้ามาแต่ประสูติ เพราะเจ้าหญิงมุเตียว (Mwei Daw) พระมารดา ทรงคลอดพระองค์แล้วก็เสด็จสวรรคาลัย พระมหาเทวีทรงอุ้มชูพระยาน้อยมาเสมือนพระราชบุตรในพระอุทร แต่พระยาอู่ พระบิดาของพระยาน้อย ไม่พอพระทัยในพระยาน้อยมาเสมอ เพราะทรงเห็นว่า พระยาน้อยมีน้ำพระทัยโหดเหี้ยม ครั้งหนึ่งถึงกับรับสั่งต่อพระมหาเทวีว่า อย่าให้พระยาน้อยสืบราชสมบัติเด็ดขาด ด้วยเหตุนั้น พระยาอู่จึงทรงเลือกพ่อขวัญเมือง (Baw Ngan-Mohn) พระโอรสองค์น้อย เป็นรัชทายาท พระยาน้อยทรงทราบแล้วก็ทรงนิ่งเฉย
ครั้น ค.ศ. 1382 พระยาน้อยทรงลักลอบได้เสียกับตละแม่ท้าว (Talamidaw) พระเชษฐหรือขนิษฐภคินีต่างพระมารดาของพระองค์เอง ยิ่งทำให้พระยาอู่พิโรธหนัก รับสั่งให้จับพระยาน้อยไปจำคุกไว้ แต่พระมหาเทวีก็ทรงวอนขอให้งดโทษเสีย จนพระยาอู่ทรงยอมปล่อยพระยาน้อย และยอมให้พระยาน้อยเสกสมรสกับตละแม่ท้าว โดยมีพระมหาเทวีเป็นองค์ประธานในการวิวาหมงคล
แต่เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้พระยาน้อยทรงตระหนักว่า พระมหาเทวีทรงมีอำนาจเหนือแผ่นดินหงสาวดีมากเพียงไร และพระยาน้อยทรงเชื่อว่า พระนางจะเอาชายชู้มานั่งราชบัลลังก์ พระยาน้อยจึงทรงถือพระนางเป็นศัตรูสำคัญ สมิงชีพรายเห็นสบโอกาส จึงยุแยงพระยาน้อยว่า พระมหาเทวี กับสมิงมะราหู ชายชู้ วางแผนจับพระยาน้อยประหารชิงบัลลังก์อยู่แล้ว ครั้นวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 1383 พระยาน้อยจึงตัดสินพระทัยก่อกบฏ เช้ามืดวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1383 พระยาน้อยนำกำลัง 30 นายหนีออกจากเมืองพะโคไปยึดเมืองตะเกิงตั้งกองบัญชาการ
เดิมที พระมหาเทวีมิได้สนพระทัยการไปของพระยาน้อยมากนัก แต่พระยาอู่ พระมหากษัตริย์ผู้ประชวรหนักอยู่นั้น รับสั่งให้พระนางเสด็จไประงับเหตุ พระนางจึงหมายพระทัยจะส่งกองพันกองหนึ่งไปรับมือ แต่สมิงชีพรายทูลว่า ไม่สมควร เพราะเป็นการกระทำของเจ้าชายหนุ่มผู้วู่วามเท่านั้น พระนางเห็นด้วย จึงโปรดให้คณะทูตไปตะเกิงเพื่อเจรจาให้พระยาน้อยกลับคืนมาพระนคร พระยาน้อยมีราชสาสน์มากราบทูลว่า ยังทรงถือพระนางเสมือนพระมารดาอยู่ และจะเสด็จนิวัตภายในเดือนสิงหาคม
แท้จริงแล้ว พระยาน้อยมิได้ตั้งพระทัยจะกลับพะโค พระองค์รวบรวมผู้นำท้องถิ่นรอบเมืองตะเกิงมาเข้าฝ่ายพระองค์ วันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 1383 พระมหาเทวีจึงโปรดให้คณะทูตอีกชุดไปเจรจากับพระยาน้อย พระยาน้อยก็ทรงรับปากดังเดิมว่า จะกลับเมืองหลวงในเร็ววัน แต่ไม่ช้าพระมหาเทวีก็ทรงได้รับรายงานว่า พระยาน้อยส่งทูตไปขอความช่วยเหลือจากเมาะตะมะและ (Myaungmya) ซึ่งเวลานั้นเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรหงสาวดีแต่ในนาม พระนางจึงทรงส่งคณะทูตไปเมืองทั้งสองตัดหน้าพระยาน้อย แต่ที่สุดแล้ว ในวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 1383 พระนางก็ตกลงพระทัยว่า จะใช้กำลังขั้นเด็ดขาดกับพระยาน้อยทันทีที่สิ้นฤดูฝน
การสำเร็จราชการแผ่นดิน
ขณะนั้น พระพลานามัยของพระยาอู่ทรุดหนักอย่างเห็นได้ชัด จนไม่ทรงสามารถออกว่าราชการได้อีก ฉะนั้น ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1383 จึงมีพระราชโองการมอบหมายราชการแผ่นดินทั้งสิ้นทั้งปวงให้แก่พระมหาเทวีผู้เป็นพระเชษฐภคินี ให้พระนางมีราชศักดิ์และสิทธิ์ที่จะใช้มหาเศวตฉัตรได้ดังพระเจ้าแผ่นดิน เหตุนั้น จึงมีการขานพระนามว่า "มังมหาเทวี" (Min Maha Dewi) แต่พระนางก็ยังทรงว่าราชการในพระนามาภิไธยของพระอนุชาต่อไป มิได้ทรงออกหน้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินเสียเอง
พระบัญชาประการแรกที่พระนางมีเมื่อทรงเข้าเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอย่างเป็นทางการ คือ ให้ยึดเมืองตะเกิงคืนจากพระยาน้อย พระนางทรงตั้งสมิงมะราหูเป็นกองหน้า ตั้งสมิงชีพรายเป็นกองหลัง นำทัพสามทัพ หนึ่งจากเมืองพะโค หนึ่งจากเมืองเมาะตะมะ และอีกหนึ่งจากเมืองมองมะละ ออกจากพะโคไปในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1383 แต่ทัพเมืองเมาะตะมะและมองมะละนั้นมิได้ประสงค์จะเข้าร่วมศึกอย่างแท้จริง มาแต่เฝ้าสังเกตเหตุการณ์เท่านั้น ส่วนสมิงชีพรายซึ่งเป็นฝ่ายพระยาน้อยมาแต่ต้นแล้ว ก็ลอบรายงานการทัพต่อพระยาน้อยสม่ำเสมอ ครั้นทัพทั้งสามไปถึงเมืองตะเกิง ก็ตั้งยั้งอยู่นอกเมือง แต่ไม่อาจตกลงกันเรื่องแผนประสานงานได้ พระยาน้อยจึงส่งทูตไปยังค่ายฝ่ายเมาะตะมะและมองมะละเจรจาให้ถอนตัว คณะทูตทำงานสำเร็จ ทัพมองมะละเป็นกลุ่มแรกที่ลาจาก ตามมาด้วยทัพเมาะตะมะในอีกไม่กี่วัน จึงเหลือแต่ทัพจากพะโคให้พระยาน้อยจัดการ ครั้นวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1383 พระยาน้อยเปิดศึกกับกองหน้าที่นำโดยสมิงมะราหู ส่วนกองหลังของสมิงชีพรายก็ไปตั้งเสียไกลสมรภูมิ ทำให้กองหน้าแตกพ่ายกลับไป
ข่าวการพ่ายศึกทำให้พระมหาเทวีทรงฉงนพระทัยว่า เหตุใดกองกำลังอันน้อยนิดของพระยาน้อยจึงมีชัยเหนือกองทัพของพระนางได้ จนที่สุดก็ทรงเล็งเห็นถึงการหักหลังจากสมิงชีพราย และทรงตระหนักว่า มิทรงอยู่ในฐานะที่จะตีโต้อีกต่อไป พระนางรับสั่งให้ตกแต่งค่ายคูประตูหอรบเป็นการด่วน ส่วนสมิงชีพรายก็ถวายรายงานการปรับปรุงพระนครนี้ให้พระยาน้อยทรงทราบอย่างต่อเนื่อง เวลานั้น อำนาจของพระมหาเทวีเสื่อมคลายลงมาก ไม่มีผู้ใดเชื่อถือพระเสาวนีย์อีกต่อไป พอพระยาน้อยนำทัพมาถึงกำแพงเมืองพะโคในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1383 พระมหาเทวีก็มิอาจทรงทำประการใดได้อีก นอกจากประทับหลบภัยอยู่ภายในกำแพงพระนคร
ทหารทั้งสองฝ่ายสู้ยันกันมิรู้แพ้ชนะมาจนวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 1384 เมื่อพระยาอู่เสด็จสวรรคต และสมิงมะราหูพยายามแสวงหาผู้สนับสนุนให้ตนขึ้นเสวยราชย์แทน แต่ไร้คนเข้าด้วย สมิงมะราหูจึงพาพระมหาเทวีเสด็จหนีจากพระนคร แต่ก็ไปไม่รอด ถูกจับกุมกลางทาง ฉะนั้น วันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1384 ราชสำนัก ซึ่งสมิงชีพรายควบคุมไว้ได้นั้น จึงถวายราชบัลลังก์แก่พระยาน้อย วันรุ่งขึ้น พระยาน้อยเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงรับพระนาม "ราชาธิราช" แต่พระยาน้อยตัดสินพระทัยจะไม่ลงโทษทัณฑ์ใด ๆ แก่พระมารดาบุญธรรม พระองค์ทรงตั้งพระมหาเทวีกลับเป็นเจ้าเมืองตะเกิง แต่บทบาทของพระนางหลังจากนี้เป็นไปในทางพิธีการเท่านั้น มิได้มีอำนาจปกครองอย่างแท้จริงเช่นแต่ก่อน
ปลายพระชนม์
ในบั้นปลายพระชนมชีพ พระมหาเทวีทรงพำนักอยู่ ณ เมืองตะเกิง และไม่ทรงมีส่วนในการปกครองของพระเจ้าราชาธิราช แต่ก็ทรงมีโอกาสได้ร่วมเหตุการณ์ในห้วงเจ็ดปีหลังพระเจ้าราชาธิราชเสด็จขึ้นเสวยราชย์ อันได้แก่ การที่พระเจ้าราชาธิราชผนวกแว่นแคว้นแดนมอญทั้งสามเข้าเป็นหนึ่งและต่อต้านการรุกรานของอาณาจักรอังวะจากทางเหนือไว้เป็นผลสำเร็จ
พระนางสิ้นพระชนม์ในราว ค.ศ. 1392 อันเป็นปีเดียวกับที่พระนางปิยราชเทวี (Piya Yaza Dewi) มเหสีพระเจ้าราชาธิราช สิ้นพระชนม์ และพระยารามที่ 1 (Binnya Ran I) โอรสพระเจ้าราชาธิราช ประสูติ ครั้น ค.ศ. 1394 พระเจ้าราชาธิราชทรงตั้งพระนามพระธิดาพระองค์ใหม่ว่า "วิหารเทวี" ตามพระนามของพระมหาเทวี สมเด็จป้าผู้มีพระประสูติการเมื่อกว่าเจ็ดสิบปีผ่านมาแล้ว
หมายเหตุ
- (Pan Hla 2005: 92): พระยาน้อยตัดสินพระทัยกบฏก่อนวันแรม 6 ค่ำ เดือน Kason จ.ศ. 745 ตรงกับวันพุธที่ 22 เมษายน ค.ศ. 1383
- (Pan Hla 2005: 94): วันอังคาร ขึ้น 3 ค่ำ เดือน Nayon จ.ศ. 745 ตรงกับวันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1383 แต่เมื่อเกิดเหตุ เป็นเวลาของวันรุ่งขึ้น คือ วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม แล้ว
- (Pan Hla 2005: 112): วันแรม 6 ค่ำ เดือน Tawthalin จ.ศ. 745 ตรงกับวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 1383
- เป็นวันสิ้นเดือน Tawthalin จ.ศ. 745 ตรงกับวันที่ 27สิงหาคม ค.ศ. 1383
- ตาม Pan Hla (2005: 129) พระยาอู่ทรงมอบราชการให้แก่พระพี่นาง ณ วันขึ้น 3 ค่ำ เดือน Nadaw จ.ศ. 745 หรือไม่กี่วันก่อนหน้านี้ วันขึ้น 3 ค่ำ เดือน Nadaw จ.ศ. 745 เป็นวันที่พระมหาเทวีทรงบัญชีให้กองทัพยกจากพระนครไปปราบพระยาน้อย ตรงกับวันพุธที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1383
- (Pan Hla 2005: 129): ตาม ราชาธิราช กองทัพทั้งสามมาจากพะโค เมาะตะมะ และมองมะละ ส่วน ว่า กองทัพจากตองอูก็มาด้วย แต่ตามความเห็นของ Sein Lwin Lay (2006: 24–25) ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเวลานั้น เมืองตองอูไปขึ้นกับอาณาจักรอังวะแล้ว หลังจากที่ ขุนศึกฝ่ายอังวะ เข้ายึดใน ค.ศ. 1383 นั้นเอง
- (Pan Hla 2005: 154): วันแรม 10 ค่ำ เดือน Nadaw จ.ศ. 745 ตรงกับวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1383
- (Pan Hla 2005: 156): พงศาวดารว่า เป็นวันพฤหัสบดี แรม 12 ค่ำ เดือน Pyatho จ.ศ. 745 ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1383 แต่น่าจะเป็นวันพฤหัสบดี แรม 2 ค่ำ เดือน Pyatho จ.ศ. 745 ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1383 มากกว่า
- (Pan Hla 2005: 356, footnote 1): วันจันทร์ ขึ้น 12 ค่ำ เดือน Tabodwe จ.ศ. 745 ตรงกับวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1384
อ้างอิง
- Pan Hla 2005: 39
- Pan Hla 2005: 65
- Pan Hla 2005: 40
- Pan Hla 2005: 161
- Pan Hla 2005: 41
- Pan Hla 2005: 42–44
- Pan Hla 2005: 45
- Harvey 1925: 112
- Pan Hla 2005: 53
- Pan Hla 2005: 54
- Pan Hla 2005: 55
- Pan Hla 2005: 57
- Pan Hla 2005: 58–59
- Pan Hla 2005: 62–63, 66
- Pan Hla 2005: 67–68
- พระราชพงศาวดารรามัญ เรื่อง ราชาธิราช จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์บริการ พ.ศ. ๒๔๘๙ บทที่ ๓
- Fernquest Spring 2006: 5
- Pan Hla 2005: 68–69
- Pan Hla 2005: 72
- Pan Hla 2005: 81
- Pan Hla 2005: 82–83
- Pan Hla 2005: 61
- Pan Hla 2005: 64
- Pan Hla 2005: 105
- Pan Hla 2005: 106, 108
- Pan Hla 2005: 122–123
- Pan Hla 2005: 125
- Pan Hla 2005: 150
- Pan Hla 2005: 129
- Pan Hla 2005: 145, 147–148
- Pan Hla 2005: 154
- Pan Hla 2005: 155
- Pan Hla 2005: 156
- Pan Hla 2005: 157–158
- Pan Hla 2005: 164
- Harvey 1925: 113–114
- Htin Aung 1967: 88
- Pan Hla 2005: 368 footnote 1
บรรณานุกรม
- Fernquest, Jon (Spring 2006). (PDF). SBBR. 4 (1). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2019-08-01. สืบค้นเมื่อ 2017-12-23.
- Harvey, G. E. (1925). History of Burma: From the Earliest Times to 10 March 1824. London: Frank Cass & Co. Ltd.
- Htin Aung, Maung (1967). A History of Burma. New York and London: Cambridge University Press.
- Pan Hla, Nai (1968). Razadarit Ayedawbon (ภาษาพม่า) (8th printing, 2005 ed.). Yangon: Armanthit Sarpay.
- (1832). (ภาษาพม่า). Vol. 1–3 (2003 ed.). Yangon: .
- Sein Lwin Lay, Kahtika U (1968). Min Taya Shwe Hti and Bayinnaung: Ketumadi Taungoo Yazawin (ภาษาพม่า) (2006, 2nd printing ed.). Yangon: Yan Aung Sarpay.
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
mhaethwi phma မဟ ဒ ဝ xxkesiyng meha dewi xksrormn Maha Dewi raw kh s 1322 raw kh s 1392 epnaehngxanackrhngsawdiinchwngrawsibspdahsudthaykhxngrchkalphrayaxu Binnya U phuepnphraxnucha phranangyngthrngepnecaemuxng Dagon tngaet kh s 1364 thungraw kh s 1392phramhaethwiaehnghngsawdi မဟ ဒ ဝ phusaercrachkaraehnghngsawdikhrxngrachyinwnthi 28 tulakhm kh s 1383 4 mkrakhm kh s 1384kxnhnaphrayaxu inthanakstriy txipphraecarachathirach inthanakstriy kstriyphrayaxuecaemuxngtaekingkhrxngrachykh s 1364 p kh s 1392kxnhnaphrataebidtxip prasutiinhruxkxn kh s 1322 emaatama xanackremaatamaswrrkhtp kh s 1392 p 754 ME taeking xanackrhngsawdikhuxphieskphrataebid smrs 1348 1363 ichysura smrs 1363 1364 phrarachbutrimmibutr phraecarachathirach butrbuythrrm rachwngsfarwphrarachbidaphraecarammaityphrarachmardanangcnthamngkhalasasnaphuththethrwathbthkhwamnimixksrphma hakxupkrnkhxngkhunimsamarthernedxrxksrniid khunxacehnekhruxnghmaykhatham xksrphiess klxng hruxsylksnxun aethnthixksrphma kxndarngtaaehnngphusaercrachkaraephndinnn phranangthrngepnthipruksaiklchidkhxngphraxnuchamatngaet kh s 1369 aelathrngpkkhrxngaephndinodyphvtinymatngaettnkhristthswrrsthi 1380 aetrachsankimsnbsnunphranang klumxanacinrachsankmkykexakhxklawhathiwa phranangmikhwamsmphnthchnchusawmayawnankbsmingmarahu Smim Maru hlanekhyphuxxnwykwaphranangepnxnmak mabxnthalayxiththiphlkhxngphranang khrnemuxphrayanxy Binnya Nwe phranddaaelaphraoxrsbuythrrmkhxngphranang kxkbtin kh s 1383 smingchiphray Zeik Bye xkhrmhaesnabdi klklxbekhadwyphrayanxy ineduxntulakhm kh s 1383 phrayaxuprachwraelamxbrachkarihaekphranangxyangepnthangkar aetphranangmixacprabkbtphrayanxylngid sxngeduxnihhlng phrayaxuswrrkht rachsankeluxkphrayanxykhunsubsnttiwngs thrngphranam phraecarachathirach Razadarit phramhakstriyphraxngkhihmthrngtngphranangsungepnphramardabuythrrmklbipdarngtaaehnngecaemuxngtaekingdngedim aetsthanakhxngphrananginkhrngniepnipinthangphithikarethanntnphrachnmphranangmiphranamemuxaerkprasutiwa emyna Mwei Na epnphrathidakhxngecahyingcnthamngkhala Sanda Min Hla kbecachaysxesn Saw Zein phramardaaelaphrabidathrngepnlukphiluknxngkn emuxprasutiaelw thrngidrbphranamwa wiharethwi Wihara Dewi ephraamiphraprasutikarinkhnathiphrabidathrngsrangphrawiharthwaysngkh phranangmiphrayatirwmphrabidamarda khux emyen Mwei Ne phraechsthphkhini aelaphrayaxu Binnya U phraxnucha enuxngcakphrayaxuprasutiin kh s 1323 24 phranangcungnacaprasutiinhruxkxn kh s 1322 hlngprasutiidimnan phrabidakidethlingthwlyrachyepnphramhakstriyaehngxanackrhngsawdi miphranamwa phrayarammaity Binnya Ran De miemuxnghlwngxyuthiemaatama swnphraechsthphkhiniksinphrachnm phranangcungepnphrarachbutrphraxngkhotthisudthiyngdarngphrachnmxyukhxngphrayarammaity phraxngkhcungprathanphranam mhaethwi ihaekphranang xnepnphranamsungthrngepnthiruckmacnbdni phrayarammaityswrrkhtin kh s 1330 phranangaelaphraxnuchacungthrngkaphraphrabidanbaetnn aetphramardakhxngthngsxngphraxngkhthrngkhumxanacinrachsankiwid odythrngtngphramhakstriysubrachbllngktxmacn kh s 1348 thungsxngphraxngkh aelatngphraxngkhexngepnphraxkhrmehsikhxngphraecaaephndinphraxngkhihmthngsxngnnecahyingaehngtaekingphramhaethwimiidesksmrscnkrathngphrachnsaekuxbplayyisib odyin kh s 1348 phrayaxu phraxnucha thrngsubbllngkaehngemaatama aelaoprdihphranangesksmrskb Bon La butrchaykhxng Than Daw esnabdiphuthrngxiththiphl ephuxsrangkhwamsmphnththangekhruxyati aelwphrayaxukthrngtngbuylaphepnecaemuxngtaeking brrdaskdiwa phrataebid Bya Hta Baik hlaypiihhlngbuylaph phuepnphraswami kidepnphnthmitrthisakhykhxngphraxnucha khrn kh s 1362 phrayaxuthrngkhyayecdiychewdakxngihsungkhunthung 20 emtrephuxepnphrarachkusl aetklbepnchwngsudthaythixanackrcaxyusngbrmeyn ephraainpithdma khux kh s 1363 phrayaxuaelarachbripharesdcxxkcakemaatama klumkaremuxngkhuaekhng naodyecachayphrataba Byattaba chwyoxkasekhayudphrankhriwid aelasmingelikphra Laukpya phraechsthahruxxnuchakhxngphrataba kkxkbtinlum phrayaxucungthrngtngbuylaph phraswamikhxngphramhaethwi epnaemthphnakalngipkuphrankhr aetphrachayakhxngphrataba kb Tala Mi Ma Hsan phrakhnistharwmphramardahruxbidakhxngphramhaethwi thrngrwmmuxknwangyaphiskhabuylaphepnphlsaercinchwngecrcahyasuk phramhaethwiimthrngmiewlaxalyphraswamimaknk dwyphrayaxuoprdihesksmrskb Zeya Thura ecaemuxng Hmawbi thnthi aelwoprdihichysuraepnphubychakarthharkhnihmykkalngipyudemaatamaxikkhrng aetichysurathuksngharklangsmrphumi phrayaxucungthrngtngphramhaethwikhunepnecaemuxngtaekingecaemuxngtaekingemuxdarngtaaehnngecaemuxngtaeking praktwa phramhaethwithrngepnphupkkhrxngthisamarthxachay phranangklayepnphnthmitrthiphrayaxu phraxnucha thrngkhadmiid ewlann phrayaxuthrngiptngrachsankxyuthinxkemuxngwan Donwun hangcakemuxngemaatamaipthangehnuxraw 100 kiolmtr karthiphramhaethwithrngbychakaremuxngtaekingidxyangmiprasiththiphaph thaihkxngthphkbtkhxngsmingelikphraimxacrukkhubipthungemuxngphaokh Pegu inphakhklang swn Smim Than Byat khnlakhnkbphrataebid sungmichuxedimwa buylaph sungepnphraechsthahruxxnuchakhxngphrataba aetphkditxphrayaxu kpxngknemuxngphaokhmiihthuksmingelikphraocmticakthangtawntkepnphlsaerc aetin kh s 1369 70 sthankarnklbelwraylng dwykxngthphkhxngphratabakhbphrayaxuxxkcakemuxngwanid khxbekhtxanackhxngphrayaxubdnicungehluxaetemuxngphaokhthiediyw chann phrayaxucungthrngtngphaokhepnphrankhraehngihm sungxyuhangemuxngtaekingkhxngphramhaethwiipthangtawnxxkechiyngehnuxpraman 62 kiolemtrkaraeyngchingxanacthiphaokhyingphraxanackhxngphrayaxusnkhlxn phraxanackhxngphramhaethwikthwikhun khrnxamatyaephrcx Pun So xkhrmhaesnabdithiphrayaxuiwphrathy thungaekkrrmin kh s 1369 phrayaxukthrnghnmaphungphakhaaenanakhxngphramhaethwiphuepnphraechsthphkhini ehtukarnsakhy khux emuxsmingsamprab Than Byat ecaemuxngkrib emuxngsieriym Syriam aeprphktr phramhaethwikthrngaenaihtiot phramhaethwithrngtngsmingthaoykkharach Yawga Rat kbsmingmarahu ihnathphkhamaemnacakemuxngtaekingkhxngphranangekhaipyudsieriymkhun karthphkhrngnisaerclulwngdngphraprasngkh aetphrayaxukyngthrngtngmnxyuinphaokhtxip odythrngrxmchxmkbphratabaaelasmingelikphra Pak Lat Chronicles rabuwa phrayaxuthrngyxmmxbthxngkhahnk 16 33 kiolkrm phrxmdwychangsibechuxk ihaekthngsxng khnthngsxngcungyxmswamiphkdiaelaklbkhunepnkhafalaxxngthuliphrabathkhxngphrayaxuaetinnam xyangirkdi karethlingxanackhxngphramhaethwiniimepnthiyxmrbnbthuxkhxngkhnthngpwng klumkaremuxnginrachsankthimismingchiphray xkhrmhaesnabdi epnphuna txtanphranangxyanglb aelasampiihhlng phranang inphrachnmkwa 50 chnsa kthrngthuktxtanhnkkhun emuxthrngthukklawhawa epnchukbsmingmarahu phuepnhlanekhythixxnwykwaphranangyingnk smingmarahuphuniepnswamikhxngtlaaemsri Tala Mi Thiri phrathidakhxngphrayaxu aelaphranddakhxngphranangexng emuxkhxklawhaniaephrsaphd phukhnthngphrankhrkeyyhynphranang phngsawdarmxy rachathirach yngbnthukephlngklxnthichawemuxngkhbrxngesiydsiphranangexaiw wa nkstuxisrkhunikhiwintnimxnkhaxnsung xnstriaekcaikhridsamihnum thnyukhlnnisryanlngthungrngpha ehtukarnkhrngniechuxwa epnthimakhxngphasitmxythiwa nangnkyungaekpinkhunekhaimipwangikh nanghyingethairyangxayipaeyngphwchawban The old peahen climbs up a tree to lay a clutch of eggs the old woman brazenly steals another woman s husband xyangirkdi phrayaxukthrngyngiwphrathyinphranangmiesuxmkhlay thngthrngmxbxanacihphranangmakkhun thukpi dwyphraphlanamythrudothrmlngtamladb aetkarngdkhxknephuxchingxanackepnipinthangrunaerngkhunthukkhnaechnkn hlayklumphaknhnunphranangaelasmingmarahumakkhun epnehtuihthisudaelwklumkhxngphranangkmixanacmnkhngsthaphrkhunintnkhristthswrrsthi 1380 xnepnchwngewlathiphrasukhphaphkhxngphrayaxuthdthxylngxyangthungthisud chann in kh s 1382 cungpraktwa phramhaethwithrngidpkkhrxngxanackrhngsawdiodyphvtinyxyuaelw khrn kh s 1383 phrayanxy phuepnphraoxrskhxngphrayaxu thngepnphranddaaelaoxrsbuythrrmkhxngphranangexng kxhwxdtxtanphranangkbtphrayanxyphrayanxynnxyuinkhwamduaelkhxngphramhaethwiphuepnpamaaetprasuti ephraaecahyingmuetiyw Mwei Daw phramarda thrngkhlxdphraxngkhaelwkesdcswrrkhaly phramhaethwithrngxumchuphrayanxymaesmuxnphrarachbutrinphraxuthr aetphrayaxu phrabidakhxngphrayanxy imphxphrathyinphrayanxymaesmx ephraathrngehnwa phrayanxyminaphrathyohdehiym khrnghnungthungkbrbsngtxphramhaethwiwa xyaihphrayanxysubrachsmbtieddkhad dwyehtunn phrayaxucungthrngeluxkphxkhwyemuxng Baw Ngan Mohn phraoxrsxngkhnxy epnrchthayath phrayanxythrngthrabaelwkthrngningechy khrn kh s 1382 phrayanxythrnglklxbidesiykbtlaaemthaw Talamidaw phraechsthhruxkhnisthphkhinitangphramardakhxngphraxngkhexng yingthaihphrayaxuphiorthhnk rbsngihcbphrayanxyipcakhukiw aetphramhaethwikthrngwxnkhxihngdothsesiy cnphrayaxuthrngyxmplxyphrayanxy aelayxmihphrayanxyesksmrskbtlaaemthaw odymiphramhaethwiepnxngkhprathaninkarwiwahmngkhl aetehtukarnehlanithaihphrayanxythrngtrahnkwa phramhaethwithrngmixanacehnuxaephndinhngsawdimakephiyngir aelaphrayanxythrngechuxwa phranangcaexachaychumanngrachbllngk phrayanxycungthrngthuxphranangepnstrusakhy smingchiphrayehnsboxkas cungyuaeyngphrayanxywa phramhaethwi kbsmingmarahu chaychu wangaephncbphrayanxypraharchingbllngkxyuaelw khrnwnthi 22 emsayn kh s 1383 phrayanxycungtdsinphrathykxkbt echamudwnthi 5 phvsphakhm kh s 1383 phrayanxynakalng 30 nayhnixxkcakemuxngphaokhipyudemuxngtaekingtngkxngbychakar edimthi phramhaethwimiidsnphrathykaripkhxngphrayanxymaknk aetphrayaxu phramhakstriyphuprachwrhnkxyunn rbsngihphranangesdciprangbehtu phranangcunghmayphrathycasngkxngphnkxnghnungiprbmux aetsmingchiphraythulwa imsmkhwr ephraaepnkarkrathakhxngecachayhnumphuwuwamethann phranangehndwy cungoprdihkhnathutiptaekingephuxecrcaihphrayanxyklbkhunmaphrankhr phrayanxymirachsasnmakrabthulwa yngthrngthuxphranangesmuxnphramardaxyu aelacaesdcniwtphayineduxnsinghakhm aethcringaelw phrayanxymiidtngphrathycaklbphaokh phraxngkhrwbrwmphunathxngthinrxbemuxngtaekingmaekhafayphraxngkh wnthi 18 singhakhm kh s 1383 phramhaethwicungoprdihkhnathutxikchudipecrcakbphrayanxy phrayanxykthrngrbpakdngedimwa caklbemuxnghlwnginerwwn aetimchaphramhaethwikthrngidrbraynganwa phrayanxysngthutipkhxkhwamchwyehluxcakemaatamaaela Myaungmya sungewlannepnemuxngkhunkhxngxanackrhngsawdiaetinnam phranangcungthrngsngkhnathutipemuxngthngsxngtdhnaphrayanxy aetthisudaelw inwnthi 27 singhakhm kh s 1383 phranangktklngphrathywa caichkalngkhneddkhadkbphrayanxythnthithisinvdufnkarsaercrachkaraephndinkhnann phraphlanamykhxngphrayaxuthrudhnkxyangehnidchd cnimthrngsamarthxxkwarachkaridxik chann ineduxntulakhm kh s 1383 cungmiphrarachoxngkarmxbhmayrachkaraephndinthngsinthngpwngihaekphramhaethwiphuepnphraechsthphkhini ihphranangmirachskdiaelasiththithicaichmhaeswtchtriddngphraecaaephndin ehtunn cungmikarkhanphranamwa mngmhaethwi Min Maha Dewi aetphranangkyngthrngwarachkarinphranamaphiithykhxngphraxnuchatxip miidthrngxxkhnaepnphraecaaephndinesiyexng phrabychaprakaraerkthiphranangmiemuxthrngekhaepnphusaercrachkaraephndinxyangepnthangkar khux ihyudemuxngtaekingkhuncakphrayanxy phranangthrngtngsmingmarahuepnkxnghna tngsmingchiphrayepnkxnghlng nathphsamthph hnungcakemuxngphaokh hnungcakemuxngemaatama aelaxikhnungcakemuxngmxngmala xxkcakphaokhipinwnthi 28 tulakhm kh s 1383 aetthphemuxngemaatamaaelamxngmalannmiidprasngkhcaekharwmsukxyangaethcring maaetefasngektehtukarnethann swnsmingchiphraysungepnfayphrayanxymaaettnaelw klxbrayngankarthphtxphrayanxysmaesmx khrnthphthngsamipthungemuxngtaeking ktngyngxyunxkemuxng aetimxactklngkneruxngaephnprasannganid phrayanxycungsngthutipyngkhayfayemaatamaaelamxngmalaecrcaihthxntw khnathutthangansaerc thphmxngmalaepnklumaerkthilacak tammadwythphemaatamainxikimkiwn cungehluxaetthphcakphaokhihphrayanxycdkar khrnwnthi 19 phvscikayn kh s 1383 phrayanxyepidsukkbkxnghnathinaodysmingmarahu swnkxnghlngkhxngsmingchiphraykiptngesiyiklsmrphumi thaihkxnghnaaetkphayklbip khawkarphaysukthaihphramhaethwithrngchngnphrathywa ehtuidkxngkalngxnnxynidkhxngphrayanxycungmichyehnuxkxngthphkhxngphranangid cnthisudkthrngelngehnthungkarhkhlngcaksmingchiphray aelathrngtrahnkwa mithrngxyuinthanathicatiotxiktxip phranangrbsngihtkaetngkhaykhupratuhxrbepnkardwn swnsmingchiphraykthwayrayngankarprbprungphrankhrniihphrayanxythrngthrabxyangtxenuxng ewlann xanackhxngphramhaethwiesuxmkhlaylngmak immiphuidechuxthuxphraesawniyxiktxip phxphrayanxynathphmathungkaaephngemuxngphaokhinwnthi 10 thnwakhm kh s 1383 phramhaethwikmixacthrngthaprakarididxik nxkcakprathbhlbphyxyuphayinkaaephngphrankhr thharthngsxngfaysuynknmiruaephchnamacnwnthi 2 mkrakhm kh s 1384 emuxphrayaxuesdcswrrkht aelasmingmarahuphyayamaeswnghaphusnbsnunihtnkhuneswyrachyaethn aetirkhnekhadwy smingmarahucungphaphramhaethwiesdchnicakphrankhr aetkipimrxd thukcbkumklangthang chann wnthi 4 mkrakhm kh s 1384 rachsank sungsmingchiphraykhwbkhumiwidnn cungthwayrachbllngkaekphrayanxy wnrungkhun phrayanxyesdckhunkhrxngrachy thrngrbphranam rachathirach aetphrayanxytdsinphrathycaimlngothsthnthid aekphramardabuythrrm phraxngkhthrngtngphramhaethwiklbepnecaemuxngtaeking aetbthbathkhxngphrananghlngcakniepnipinthangphithikarethann miidmixanacpkkhrxngxyangaethcringechnaetkxnplayphrachnminbnplayphrachnmchiph phramhaethwithrngphankxyu n emuxngtaeking aelaimthrngmiswninkarpkkhrxngkhxngphraecarachathirach aetkthrngmioxkasidrwmehtukarninhwngecdpihlngphraecarachathirachesdckhuneswyrachy xnidaek karthiphraecarachathirachphnwkaewnaekhwnaednmxythngsamekhaepnhnungaelatxtankarrukrankhxngxanackrxngwacakthangehnuxiwepnphlsaerc phranangsinphrachnminraw kh s 1392 xnepnpiediywkbthiphranangpiyrachethwi Piya Yaza Dewi mehsiphraecarachathirach sinphrachnm aelaphrayaramthi 1 Binnya Ran I oxrsphraecarachathirach prasuti khrn kh s 1394 phraecarachathirachthrngtngphranamphrathidaphraxngkhihmwa wiharethwi tamphranamkhxngphramhaethwi smedcpaphumiphraprasutikaremuxkwaecdsibpiphanmaaelwhmayehtu Pan Hla 2005 92 phrayanxytdsinphrathykbtkxnwnaerm 6 kha eduxn Kason c s 745 trngkbwnphuththi 22 emsayn kh s 1383 Pan Hla 2005 94 wnxngkhar khun 3 kha eduxn Nayon c s 745 trngkbwncnthrthi 4 phvsphakhm kh s 1383 aetemuxekidehtu epnewlakhxngwnrungkhun khux wnxngkharthi 5 phvsphakhm aelw Pan Hla 2005 112 wnaerm 6 kha eduxn Tawthalin c s 745 trngkbwnthi 18 singhakhm kh s 1383 epnwnsineduxn Tawthalin c s 745 trngkbwnthi 27singhakhm kh s 1383 tam Pan Hla 2005 129 phrayaxuthrngmxbrachkarihaekphraphinang n wnkhun 3 kha eduxn Nadaw c s 745 hruximkiwnkxnhnani wnkhun 3 kha eduxn Nadaw c s 745 epnwnthiphramhaethwithrngbychiihkxngthphykcakphrankhripprabphrayanxy trngkbwnphuththi 28 tulakhm kh s 1383 Pan Hla 2005 129 tam rachathirach kxngthphthngsammacakphaokh emaatama aelamxngmala swn wa kxngthphcaktxngxukmadwy aettamkhwamehnkhxng Sein Lwin Lay 2006 24 25 imnacaepnipid ephraaewlann emuxngtxngxuipkhunkbxanackrxngwaaelw hlngcakthi khunsukfayxngwa ekhayudin kh s 1383 nnexng Pan Hla 2005 154 wnaerm 10 kha eduxn Nadaw c s 745 trngkbwnthi 19 phvscikayn kh s 1383 Pan Hla 2005 156 phngsawdarwa epnwnphvhsbdi aerm 12 kha eduxn Pyatho c s 745 sungtrngkbwnxathitythi 20 thnwakhm kh s 1383 aetnacaepnwnphvhsbdi aerm 2 kha eduxn Pyatho c s 745 sungtrngkbwnphvhsbdithi 10 thnwakhm kh s 1383 makkwa Pan Hla 2005 356 footnote 1 wncnthr khun 12 kha eduxn Tabodwe c s 745 trngkbwnthi 4 mkrakhm kh s 1384xangxingPan Hla 2005 39 Pan Hla 2005 65 Pan Hla 2005 40 Pan Hla 2005 161 Pan Hla 2005 41 Pan Hla 2005 42 44 Pan Hla 2005 45 Harvey 1925 112 Pan Hla 2005 53 Pan Hla 2005 54 Pan Hla 2005 55 Pan Hla 2005 57 Pan Hla 2005 58 59 Pan Hla 2005 62 63 66 Pan Hla 2005 67 68 phrarachphngsawdarramy eruxng rachathirach cdphimphody sankphimphbrikar ph s 2489 bththi 3 Fernquest Spring 2006 5 Pan Hla 2005 68 69 Pan Hla 2005 72 Pan Hla 2005 81 Pan Hla 2005 82 83 Pan Hla 2005 61 Pan Hla 2005 64 Pan Hla 2005 105 Pan Hla 2005 106 108 Pan Hla 2005 122 123 Pan Hla 2005 125 Pan Hla 2005 150 Pan Hla 2005 129 Pan Hla 2005 145 147 148 Pan Hla 2005 154 Pan Hla 2005 155 Pan Hla 2005 156 Pan Hla 2005 157 158 Pan Hla 2005 164 Harvey 1925 113 114 Htin Aung 1967 88 Pan Hla 2005 368 footnote 1brrnanukrmFernquest Jon Spring 2006 PDF SBBR 4 1 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedim PDF emux 2019 08 01 subkhnemux 2017 12 23 Harvey G E 1925 History of Burma From the Earliest Times to 10 March 1824 London Frank Cass amp Co Ltd Htin Aung Maung 1967 A History of Burma New York and London Cambridge University Press Pan Hla Nai 1968 Razadarit Ayedawbon phasaphma 8th printing 2005 ed Yangon Armanthit Sarpay 1832 phasaphma Vol 1 3 2003 ed Yangon Sein Lwin Lay Kahtika U 1968 Min Taya Shwe Hti and Bayinnaung Ketumadi Taungoo Yazawin phasaphma 2006 2nd printing ed Yangon Yan Aung Sarpay