กฎของชเต็ฟฟัน–บ็อลทซ์มัน (อังกฤษ: Stefan–Boltzmann law) ใช้อุณหภูมิเพื่ออธิบายถึงพลังงานที่วัตถุดำแผ่รังสีออกมา โดยกล่าวว่าพลังงานทั้งหมดซึ่งวัตถุดำแผ่ออกมาต่อหน่วยพื้นที่ผิวที่(ความยาวคลื่นทุกค่า)ต่อหน่วยเวลา (หรือเรียกว่าความเปล่งรังสีของวัตถุดำ) ซึ่งแปรผันตรงกับ ของวัตถุดำ T กำลังสี่:
ในที่นี้ σ เป็นค่าคงตัว เรียกว่า ค่าคงตัวของชเต็ฟฟัน–บ็อลทซ์มัน (Stefan–Boltzmann constant) ซึ่งหามาได้จากค่าคงตัวทางฟิสิกส์ค่าอื่นที่รู้อยู่แล้ว ค่าคงตัวนี้มีค่าเท่ากับ
เมื่อ k เป็นค่าคงตัวบ็อลทซ์มัน h เป็นค่าคงตัวของพลังค์ และ c เป็นอัตราเร็วของแสงในสุญญากาศ ความแรงรังสี (radiance) จากองศาการมองที่กำหนด (วัตต์ต่อตารางเมตรต่อสเตอเรเดียน) ถูกกำหนดไว้เป็น
วัตถุที่ไม่ดูดกลืนรังสีตกกระทบทั้งหมด (บางครั้งถูกเรียกว่าวัตถุเทา) ปล่อยพลังงานรวมทั้งหมดน้อยกว่าวัตถุดำและมีคุณลักษณะสภาพเปล่งรังสี (Emissivity) :
การเปล่งรังสี มี (dimensional analysis) เป็น (energy flux) (พลังงานต่อหน่วยเวลาต่อหน่วยพื้นที่) และหน่วย SI ของมันคือจูลต่อวินาทีต่อตารางเมตรหรือวัตต์ต่อตารางเมตร หน่วย SI ของอุณหภูมิสัมบูรณ์ T คือเคลวิน สภาพเปล่งรังสีของวัตถุเทาคือ และหากเป็นวัตถุดำที่สมบูรณ์ ส่วนในกรณีทั่วไป (และสมจริงกว่า) นั้นสภาพเปล่งรังสีขึ้นอยู่กับความยาวคลื่น
เราสามารถหาทั้งหมดที่ถูกแผ่รังสีออกมาจากวัตถุได้ด้วยการคูณด้วยพื้นที่ผิว :
อนุภาคระดับความยาวคลื่นและเล็กกว่าความยาวคลื่น (metamaterial) และโครงสร้างนาโนอื่น ๆ ไม่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดของทัศนศาสตร์เชิงเรขาคณิตหรือรังสี และอาจถูกออกแบบมาให้เกินกว่ากฎของชเต็ฟฟัน-บ็อลทซ์มัน
ประวัติ
ในปี ค.ศ. 1864 (John Tyndall) นำแสนอการวัดค่าการเปล่งรังสีอินฟราเรดของเส้นใยทองคำขาวและสีของเส้นใยที่สอดคล้องกัน
สัดส่วนกำลังสี่ของอุณหภูมิสัมบูรณ์นั้นถูกนิรนัยโดยโยเซ็ฟ ชเต็ฟฟัน (ค.ศ. 1835–1893) ในปี ค.ศ. 1879 บนพื้นฐานของการวัดผลการทดลองของทินดัลล์ในบทความ Über die Beziehung zwischen der Wärmestrahlung und der Temperatur (เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการแผ่รังสีความร้อนกับอุณหภูมิ) ใน Bulletins from the sessions ของ Vienna Academy of Sciences.
ลูทวิช บ็อลทซ์มัน (ค.ศ. 1844–1906) ได้นำเสนอการอนุพัทธ์กฎนี้ผ่านการพิจารณาเชิงทฤษฎีในปี ค.ศ. 1884 โดยนำงานของ (Adolfo Bartoli) มาใช้ ในปี ค.ศ. 1876 บาร์โทลิได้อนุพัทธ์การมีอยู่ของแรงดันรังสี (radiation pressure) จากหลักอุณหพลศาสตร์ และต่อมาบ็อลทซ์มันได้พิจารณาถึงเครื่องจักรความร้อนที่ใช้รังสีแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นสิ่งที่ทำงานแทนแก็สอุดมคติ
กฎนี้ถูกยืนยันผ่านการทดลองแทบจะทันที ได้ชี้ให้เห็นการเบี่ยงเบนในอุณหภูมิที่สูงกว่าแต่ได้มีการยืนยันถึงความแม่นยำเกือบสมบูรณ์ภายในความไม่แน่นอนของการวัดในอุณหภูมิสูงถึง 1535 เคลวินในปี ค.ศ. 1897 กฎนี้รวมไปถึงการคาดการณ์เชิงทฤษฎีของค่าคงตัวของชเต็ฟฟัน–บ็อลทซ์มันว่าเป็นฟังก์ชันของอัตราเร็วของแสง ค่าคงตัวบ็อลทซ์มัน และค่าคงตัวของพลังค์เป็นผลพวงโดยตรงของกฎของพลังค์อย่างที่ถูกกำหนดไว้ในปี ค.ศ. 1900
ตามการนิยามหน่วยฐานเอสไอใหม่ พ.ศ. 2562 ซึ่งแก้ไขค่าของค่าคงตัวบ็อลทซ์มัน k ค่าคงตัวของพลังค์ h และอัตราเร็วของแสง c ค่าคงตัวของชเต็ฟฟัน–บ็อลทซ์มันมีค่าอย่างแม่นยำเท่ากับ
ตัวอย่าง
อุณหภูมิของดวงอาทิตย์
ชเต็ฟฟันยังได้คำนวณอุณหภูมิบนพื้นผิวของดวงอาทิตย์ด้วยกฎของเขา: 426–427 . เขาอนุมานจากข้อมูลของ (Jacques-Louis Soret; 1827–1890) ได้ว่าความหนาแน่นของฟลักซ์พลังงานจากดวงอาทิตย์มีค่ามากกว่าความหนาแน่นของฟลักซ์พลังงานจากแผ่นโลหะบาง ๆ ชนิดหนึ่งที่ร้อนถึง 29 เท่า แผ่นบาง (lamella) รูปร่างกลมถูกวางไว้ห่างไประยะหนึ่งซึ่งทำให้มองเห็นอยู่ในมุมเดียวกับดวงอาทิตย์ โซเรต์ประมาณไว้ว่าอุณหภูมิของแผ่นบางคือประมาณ 1900 ถึง 2000°C ชเต็ฟฟันสันนิษฐานว่า ⅓ ของฟลักซ์พลังงานจากดวงอาทิตย์ถูกดูดกลืนโดยบรรยากาศของโลก เขาจึงถือว่าฟลักซ์พลังงานของดวงอาทิตย์ที่ถูกต้องมีค่ามากกว่าค่าของโซเรต์ 3/2 เท่า คือ 29 × 3/2 = 43.5 เท่า
ค่าของของบรรยากาศไม่เคยมีการวัดค่าอย่างแม่นยำจนกระทั่งปี ค.ศ. 1888 และ 1904 ค่าของอุณหภูมิที่ชเต็ฟฟันได้มาคือค่ามัธยฐานของค่าก่อน ๆ คือ 1950 °C และค่าสัมบูรณ์เท่ากับ 2200 K ในเมื่อ 2.574 = 43.5 จึงอนุมานตามกฎได้ว่าอุณหภูมิของดวงอาทิตย์มีค่ามากกว่าอุณหภูมิของแผ่นบางแผ่นนั้น 2.57 เท่า เขาจึงได้ค่าออกมาเท่ากับ 5430 °C หรือ 5700 K (ค่าที่วัดได้ปัจจุบันคือ 5778 K) นี่เป็นการวัดค่าอุณหภูมิของดวงอาทิตย์ที่สมเหตุสมผลเป็นครั้งแรก แต่ก่อนนี้ค่าที่วัดได้มีค่าต่ำสุดตั้งแต่ 1800 °C จนถึงค่าสูงสุด 13,000,000 °C (Claude Pouillet) (ค.ศ. 1790–1868) คำนวณได้ค่าต่ำสุด 1800 °C ในปี ค.ศ. 1838 โดยใช้ (Dulong–Petit law)
อุณหภูมิของดาวฤกษ์
อุณหภูมิของดาวฤกษ์ดวงอื่นนอกเหนือจากดวงอาทิตย์สามารถประมาณได้ด้วยวิธีที่คล้ายกันโดยการถือพลังงานที่เปล่งออกมาเสมือนการแผ่รังสีของวัตถุดำ So:
โดย L เป็นกำลังส่องสว่าง σ เป็นค่าคงตัวของชเต็ฟฟัน–บ็อลทซ์มัน R เป็นรัศมีของดาว (stellar radius) และ T เป็นอุณหภูมิยังผล เราสามารถใช้สูตรเดียวกันเพื่อคำนวณรัศมีโดยประมาณของดาวฤกษ์แถบลำดับหลัก (main sequence stars) เทียบกับของดวงอาทิตย์:
โดย เป็นรัศมีดวงอาทิตย์ เป็นความสว่างดวงอาทิตย์เป็นต้น
นักดาราศาสตร์สามารถอนุมานหารัศมีของดาวฤกษ์ได้ด้วยกฎของชเต็ฟฟัน–บ็อลทซ์มัน
กฎนี้ปรากฏใน (Black hole thermodynamics) ของหลุมดำในสิ่งที่เรียกว่าการแผ่รังสีฮอว์กิง
อุณหภูมิยังผลของโลก
ในทางคล้ายกันเราสามารถคำนวณอุณหภูมิยังผลของโลก T⊕ ด้วยการจับพลังงานที่ได้รับจากดวงอาทิตย์มาเท่ากับพลังงานที่แผ่รังสีจากโลกภายใต้การประมาณของวัตถุดำ (การผลิตพลังงานของโลกเองนั้นน้อยพอที่ไม่จำเป็นต้องสนใจ) กำลังส่องสว่างของดวงอาทิตย์ L⊙ ถูกกำหนดไว้เป็น:
พลังงานเคลื่อนมาที่โลกผ่านทรงกลมรัศมี a0 หรือระยะทางจากดวงอาทิตย์มาที่โลก ความรับอาบรังสี (irradiance) (พลังที่ได้รับต่อหน่วยพื้นที่) ถูกกำหนดไว้เป็น
รัศมีของโลกเท่ากับ R⊕ ดังนั้นจึงมีพื้นที่ตัดขวางเท่ากับ ฟลักซ์การแผ่รังสี (radiant flux) (นั่นคือ พลังแสงอาทิตย์) ที่โลกดูดกลืนถูกกำหนดเป็น:
เพราะกฎของชเต็ฟฟัน–บ็อลทซ์มันใช้เลขชี้กำลังที่สี่ จึงมีผลให้การแลกเปลี่ยนเสถียร ฟลักซ์ที่ถูกปล่อยจากโลกจึงมีแนวโน้มเท่ากับฟลักซ์ที่ดูดกลืน และมีสภาพใกล้เคียงกับสภาวะคงที่:
T⊕ จึงหาได้จาก:
โดย T⊙ เป็นอุณหภูมิของดวงอาทิตย์ R⊙ เป็นรัศมีของดวงอาทิตย์ และ a0 เป็นระยะทางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ทั้งหมดนี้ให้ค่าอุณหภูมิยังผลของโลกเท่ากับ 6 °C บนพื้นผิวของโลก เมื่อเราถือว่าโลกไม่มีชั้นบรรยากาศและสามารถดูดกลืนการเปล่งรังสีที่ตกกระทบได้ทั้งหมด
โลกมีอัตราส่วนสะท้อนเท่ากับ 0.3 นั่นหมายความว่า 30% ของรังสีจากดวงอาทิตย์ที่ชนโลกนั้นจะสะท้อนกลับไปในอวกาศ ผลของอัตราส่วนสะท้อนที่มีต่ออุณหภูมิสามารถถูกประมาณได้ว่าพลังงานที่ถูกดูดกลืนลดลงเหลือ 70% แต่โลกก็จะยังแผ่รังสีออกแบบวัตถุดำ (ตามนิยามของอุณหภูมิยังผลซึ่งเป็นสิ่งที่เรากำลังคำนวณ) การประมาณอันนี้ลดอุณหภูมิที่คำนวณลงได้ 0.71/4 เท่าเหลือ 255 K (−18 °C)
อุณหภูมิที่คำนวณได้ด้านบนเป็นอุณหภูมิของโลกอย่างที่มองเห็นจากอวกาศ ไม่ใช่อุณหภูมิบนพื้นผิวแต่เป็นค่าเฉลี่ยของวัตถุที่เปล่งรังสีทั้งหมดตั้งแต่บนพื้นผิวจนถึงพื้นที่ระดับสูง อุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยจริงของโลกคือประมาณ 288 K (15 °C) ซึ่งสูงกว่าอุณหภูมิยังผล 255 K และอุณหภูมิของวัตถุดำ 279 K เนื่องมาจากปรากฏการณ์เรือนกระจก
ด้านบนเราสมมติว่าพื้นผิวทั้งหมดของโลกมีอุณหภูมิเดียวกัน เราจึงถามได้อีกว่าอุณหภูมิของพื้นผิววัตถุดำบนโลกจะมีอุณหภูมิเท่าใดหากเราสมมติว่าผิวนั้นอยู่ในสภาวะสมดุลกับแสงอาทิตย์ที่ตกกระทบ แต่นี่ขึ้นอยู่กับองศาของแสงอาทิตย์และปริมาณบรรยากาศที่แสงส่องผ่าน เมื่อดวงอาทิตย์อยู่เหนือศีรษะและพื้นผิวนอนราบ ความรับอาบรังสีสามารถสูงถึง 1120 W/m2 และเราได้อุณหภูมิจากกฎของชเต็ฟฟัน–บ็อลทซ์มันเท่ากับ
หรือ 102 °C (ด้านบนชั้นบรรยากาศอุณหภูมิจะสูงขึ้นเป็น: 394 K.) เราสามารถมองพื้นผิวของโลกได้ว่า "พยายาม" กลับเข้าสู่สภาวะสมดุลในช่วงเวลากลางวันแต่ถูกทำให้เย็นลงโดยบรรยากาศ และ "พยายาม" กลับเข้าสู่สภาวะสมดุลกับแสงดาวและแสงจันทร์ในช่วงเวลากลางคืนแต่ถูกทำให้อุ่นโดยบรรยากาศ
ต้นกำเนิด
การอนุพัทธ์ความหนาแน่นของพลังงานโดยทางอุณหพลศาสตร์
ข้อเท็จจริงว่า (energy density) ภายในกล่องที่บรรจุรังสีแปรผันกับ นั้นสามารถหามาได้ด้วยอุณหพลศาสตร์ การอนุพัทธ์นี้ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างแรงดันรังสี p กับความหนาแน่นของ (internal energy) ซึ่งสามารถแสดงได้ด้วยรูปแบบของ (electromagnetic stress–energy tensor) ความสัมพันธ์นี้คือ:
จาก (fundamental thermodynamic relation)
หลังจากหารด้วย และตรึงค่า ไว้ เราจึงได้นิพจน์ดังต่อไปนี้:
สมการสุดท้ายได้มาจากความสัมพันธ์ของแมกซ์เวลล์:
จากนิยามของความหนาแน่นของพลังงาน เราจึงได้
โดยความหนาแน่นของพลังงานของการแผ่รังสีขึ้นอยู่กับอุณหภูมิเท่านั้น ดังนั้น
แล้วสมการนี้
เมื่อแทน และ ด้วยนิพจน์ซึ่งสมมูลของแต่ละอันลงไปในสมการ ก็จะเขียนใหม่ได้เป็น
ในเมื่ออนุพันธ์ย่อย สามารถแสดงออกเป็นความสัมพันธ์ระหว่าง และ เพียงสองอย่างเท่านั้น (ถ้าย้ายข้างไปอยู่อีกฝั่งของสมการ) เราสามารถเปลี่ยนอนุพันธ์ย่อยนี้เป็นอนุพันธ์แบบธรรมดา และหลังจากแยกผลต่างเชิงอนุพันธ์ออกจากกันแล้วสมการจะกลายเป็น
ซึ่งนำไปสู่ โดย เป็นค่าคงตัวของปริพันธ์ค่าหนึ่ง
การอนุพัทธ์จากกฎของพลังค์
เราสามารถอนุพัทธ์กฎนี้ได้ด้วยการพิจารณาพื้นผิวของวัตถุดำแบนราบราบขนาดเล็กซึ่งแผ่รังสีออกมาเป็นครึ่งทรงกลม และจะใช้ระบบพิกัดทรงกลมในการอนุพัทธ์ โดย θ เป็นมุมเชิงขั้ว (zenith angle) และ φ เป็นมุมทิศ (azimuth angle) พื้นผิวของวัตถุดำแบนราบอยู่บนระนาบ xy ที่ θ = π/2
ความเข้มของแสงที่เปล่งออกมาจากพื้นผิววัตถุดำถูกกำหนดโดยกฎของพลังค์เป็น:
- โดย
- คือปริมาณของต่อหน่วยต่อหน่วย (solid angle) ต่อหน่วยความถี่ ที่เปล่งออกมา ณ ความถี่ จากวัตถุดำที่อุณหภูมิ T.
- คือค่าคงตัวของพลังค์
- คืออัตราเร็วของแสง และ
- คือค่าคงตัวบ็อลทซ์มัน
คือปริมาณของกำลังที่แผ่ออกมาโดยพื้นที่ผิว A ผ่านมุมตัน dΩ ในช่วงความถี่ระหว่าง ν และ ν + dν.
กฎของชเต็ฟฟัน–บ็อลทซ์มันกำหนดกำลังที่เปล่งออกมาต่อหน่วยพื้นที่ของวัตถุเป็น
โคไซน์มีอยู่ในสมการเพราะวัตถุดำเป็นแหล่งกำเนิดรังสีแบบลัมแบร์ท (นั่นคือ ปฏิบัติตามกฎโคไซน์ของลัมแบร์ท) หมายความว่าความเข้มที่ตรวจวัดได้ตลอดทรงกลมนั้นจะเท่ากับความเข้มจริงคูณด้วยโคไซน์ของมุมเชิงขั้ว เราจำเป็นเป็นต้องปริพันธ์ ตลอดครึ่งทรงกลม และปริพันธ์ จาก 0 ถึง ∞ เพื่ออนุพัทธ์หากฎของชเต็ฟฟันบ็อลทซ์มัน
แล้วใส่ค่า I ลงไป:
เราต้องใช้การแทนที่เพื่อแก้ปริพันธ์นี้
และได้:
ปริพันธ์ฝั่งขวาเป็นแบบมาตรฐานซึ่งมีชื่อเรียกหลายชื่อ มันเป็นกรณีเฉพาะของปริพันธ์โพส-ไอน์สไตน์ (Bose-Einstein integral), (Polylogarithm) หรือฟังก์ชันซีตาของรีมัน ค่าของปริพันธ์เท่ากับ ทำให้ได้ผลลัพธ์สำหรับพื้นผิววัตถุดำเป็น:
สุดท้าย แม้การพิสูจน์นี้เริ่มจากการพิจารณาพื้นผิวแบนราบขนาดเล็กเท่านั้น แต่เราสามารถประมาณพื้นผิวที่ (Differentiable manifold) ทุกผิวด้วยพื้นผิวแบนราบขนาดเล็กได้ พลังงานทั้งหมดที่แผ่ออกมาคือผลรวมของพลังงานที่แผ่ออกมาจากพื้นผิวทั้งหมดตราบใดที่ลักษณะทางเรขาคณิตของพื้นผิวนั้นไม่ทำให้วัตถุดำต้องดูดกลืนรังสีที่ตัวเองเปล่งออกมากลับเข้าไป และพื้นที่ผิวทั้งหมดคือผลรวมของพื้นที่ของพื้นผิวแต่ละผิว ดังนั้นกฎนี้จึงเป็นจริงสำหรับวัตถุดำ (convex set) ทุกวัตถุตราบใดที่พื้นผิวมีอุณหภูมิเท่ากันตลอดทั้งผิว กฎนี้สามารถขยายไปใช้กับวัตถุที่ไม่นูนได้เพียงใช้ข้อเท็จจริงที่ว่า (convex hull) ของวัตถุดำนั้นแผ่รังสีเสมือนตัวมันเองเป็นวัตถุดำ
ความหนาแน่นของพลังงาน
เราสามารถคำนวณความหนาแน่นของพลังงานรวม U ได้ในลักษณะคล้ายกัน ต่างกันเพียงคราวนี้เราจะปริพันธ์ตลอดทั้งทรงกลม และไม่มีโคไซน์ และเราจะหารฟลักซ์พลังงาน (U c) ด้วยอัตราเร็ว c เพื่อให้ค่าความหนาแน่นของพลังงาน U:
ดังนั้น ถูกแทนที่ด้วย , ซึ่งให้ตัวประกอบเพิ่มค่าเท่ากับ 4
ดังนั้น จากทั้งหมดได้:
ดูเพิ่ม
- (Wien's displacement law)
- (Rayleigh–Jeans law)
- ความแผ่รังสี
- วัตถุดำ
- (Sakuma–Hattori equation)
อ้างอิง
- Bohren, Craig F.; Huffman, Donald R. (1998). Absorption and scattering of light by small particles. Wiley. pp. 123–126. ISBN .
- Narimanov, Evgenii E.; Smolyaninov, Igor I. (2012). "Beyond Stefan–Boltzmann Law: Thermal Hyper-Conductivity". Conference on Lasers and Electro-Optics 2012. OSA Technical Digest. Optical Society of America. pp. QM2E.1. 10.1.1.764.846. doi:10.1364/QELS.2012.QM2E.1. ISBN . S2CID 36550833.
-
- Tyndall, John (1864). "On luminous [i.e., visible] and obscure [i.e., infrared] radiation". Philosophical Magazine. 4th series. 28: 329–341. ; ดูหน้า 333.
- Wüllner, Adolph (1875). Lehrbuch der Experimentalphysik [Textbook of experimental physics] (ภาษาเยอรมัน). Vol. 3. Leipzig, Germany: B.G. Teubner. p. 215.
- Wisniak 2002, p. 551–552.
- Stefan, J. (1879). "Über die Beziehung zwischen der Wärmestrahlung und der Temperatur" [On the relation between heat radiation and temperature]. Sitzungsberichte der Kaiserlichen Akademie der Wissenschaften: Mathematisch-Naturwissenschaftliche Classe (Proceedings of the Imperial Philosophical Academy [of Vienna]: Mathematical and Scientific Class) (ภาษาเยอรมัน). 79: 391–428.
- ชเต็ฟฟันกล่าวว่า (Stefan, 1879), หน้า 421: "Zuerst will ich hier die Bemerkung anführen, … die Wärmestrahlung der vierten Potenz der absoluten Temperatur proportional anzunehmen." (ก่อนอื่น ผมอยากชี้แจงถึงสังเกตการณ์ซึ่งวึลเนอร์เพิ่มลงไปในรายงานของการทดลองของทินดัลล์เกี่ยวกับการแผ่รังสีของเส้นใยทองคำขาวซึ่งถูกทำให้เรืองแสงด้วยกระแสไฟฟ้าในตำราของเขา เพราะสังเกตการณ์นี้ทำให้ผมอนุมานได้ว่าการแผ่รังสีความร้อนนั้นมีสัดส่วนกับกำลังสี่ของอุณหภูมิสัมบูรณ์)
- Boltzmann, Ludwig (1884). "Ableitung des Stefan'schen Gesetzes, betreffend die Abhängigkeit der Wärmestrahlung von der Temperatur aus der electromagnetischen Lichttheorie" [Derivation of Stefan's law, concerning the dependency of heat radiation on temperature, from the electromagnetic theory of light]. Annalen der Physik und Chemie (ภาษาเยอรมัน). 258 (6): 291–294. Bibcode:1884AnP...258..291B. doi:10.1002/andp.18842580616.
- Massimiliano Badino, The Bumpy Road: Max Planck from Radiation Theory to the Quantum (1896–1906) (2015), p. 31.
- Soret, J.L. (1872) "Comparaison des intensités calorifiques du rayonnement solaire et du rayonnement d'un corps chauffé à la lampe oxyhydrique" [การเปรียบเทียบความเข้มความร้อนของรังสีอาทิตย์กับรังสีจากวัตถุซึ่งถูกทำให้ร้อนด้วยเครื่องพ่นไฟออกซิไฮโดรเจน], Archives des sciences physiques et naturelles (Geneva, Switzerland), 2nd series, 44: 220–229 ; 45: 252–256.
- "Sun Fact Sheet".
- Waterston, John James (1862). "An account of observations on solar radiation". Philosophical Magazine. 4th series. 23 (2): 497–511. Bibcode:1861MNRAS..22...60W. doi:10.1093/mnras/22.2.60. ในหน้า 505, นักฟิสิกส์ชาวสก็อต (John James Waterston) ประมาณอุณหภูมิบนพื้นผิวดวงอาทิตย์ไว้ว่าอาจเทากับ 12,880,000°.
- ดูที่:
- Pouillet (1838). "Mémoire sur la chaleur solaire, sur les pouvoirs rayonnants et absorbants de l'air atmosphérique, et sur la température de l'espace" [Memoir on solar heat, on the radiating and absorbing powers of the atmospheric air, and on the temperature of space]. Comptes Rendus (ภาษาฝรั่งเศส). 7 (2): 24–65. หน้า 36, ปูยเยประมาณอุณหภูมิของดวงอาทิตย์ไว้: " … cette température pourrait être de 1761° … " ( … อุณหภูมินี้ [นั่นคือ ของดวงอาทิตย์] อาจเท่ากับ 1761° … )
- คำแปลภาษาอังกฤษ: Pouillet (1838) "Memoir on the solar heat, on the radiating and absorbing powers of atmospheric air, and on the temperature of space" in: Taylor, Richard, ed. (1846) Scientific Memoirs, Selected from the Transactions of Foreign Academies of Science and Learned Societies, and from Foreign Journals. vol. 4. London, England: Richard and John E. Taylor. pp. 44–90 ; see pp. 55–56.
- . Australian Telescope Outreach and Education. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 สิงหาคม 2014. สืบค้นเมื่อ 13 สิงหาคม 2006.
- (PDF). Chapter 1: Historical overview of climate change science (Report). p. 97. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 26 พฤศจิกายน 2018.
- Yochanan Kushnir (Spring 2007) [2000]. "Solar Radiation and the Earth's Energy Balance". Columbia University. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 กรกฎาคม 2012. สืบค้นเมื่อ 4 มีนาคม 2021.
- "Introduction to Solar Radiation". Newport Corporation. จากแหล่งเดิมเมื่อ 29 ตุลาคม 2013.
- Knizhnik, Kalman. (PDF). Johns Hopkins University – Department of Physics & Astronomy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 4 มีนาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 3 กันยายน 2018.
- Wisniak 2002, p. 554.
บรรณานุกรม
- Wisniak, Jaime (2002), "Heat radiation law – from Newton to Stefan", Indian Journal of Chemical Technology, 9: 545–555 ; Available at: National Institute of Science Communication and Information Resources (New Dehli, India)
- Boltzmann, L. (1884), "Ableitung des Stefan'schen Gesetzes, betreffend die Abhängigkeit der Wärmestrahlung von der Temperatur aus der electromagnetischen Lichttheorie" [Derivation of Stefan's little law concerning the dependence of thermal radiation on the temperature of the electro-magnetic theory of light], Annalen der Physik und Chemie (ภาษาเยอรมัน), 258 (6): 291–294, Bibcode:1884AnP...258..291B, doi:10.1002/andp.18842580616
แหล่งข้อมูลอื่น
- วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ กฎของชเต็ฟฟัน–บ็อลทซ์มัน
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
kdkhxngchetffn bxlthsmn xngkvs Stefan Boltzmann law ichxunhphumiephuxxthibaythungphlngnganthiwtthudaaephrngsixxkma odyklawwaphlngnganthnghmdsungwtthudaaephxxkmatxhnwyphunthiphiwthikhwamyawkhlunthukkhatxhnwyewla j displaystyle j star hruxeriykwakhwameplngrngsikhxngwtthuda sungaeprphntrngkb khxngwtthuda T kalngsi krafkhxngfngkchnsungaesdngsdswnrahwangphlngnganthnghmdthithuksngxxkmacakwtthuda j displaystyle j star kbxunhphumithangxunhphlsastr T displaystyle T aelaesnsifaaesdngthungphlngnganthnghmdtam Wien approximation jW j z 4 0 924sT4 displaystyle j W star j star zeta 4 approx 0 924 sigma T 4 j sT4 displaystyle j star sigma T 4 inthini s epnkhakhngtw eriykwa khakhngtwkhxngchetffn bxlthsmn Stefan Boltzmann constant sunghamaidcakkhakhngtwthangfisikskhaxunthiruxyuaelw khakhngtwnimikhaethakb s 2p5k415c2h3 5 670373 10 8Wm 2K 4 displaystyle sigma frac 2 pi 5 k 4 15c 2 h 3 5 670373 times 10 8 mathrm W m 2 K 4 emux k epnkhakhngtwbxlthsmn h epnkhakhngtwkhxngphlngkh aela c epnxtraerwkhxngaesnginsuyyakas khwamaerngrngsi radiance cakxngsakarmxngthikahnd wtttxtarangemtrtxsetxerediyn thukkahndiwepn L j p spT4 displaystyle L frac j star pi frac sigma pi T 4 wtthuthiimdudklunrngsitkkrathbthnghmd bangkhrngthukeriykwawtthuetha plxyphlngnganrwmthnghmdnxykwawtthudaaelamikhunlksnasphapheplngrngsi Emissivity e lt 1 displaystyle varepsilon lt 1 j esT4 displaystyle j star varepsilon sigma T 4 kareplngrngsi j displaystyle j star mi dimensional analysis epn energy flux phlngngantxhnwyewlatxhnwyphunthi aelahnwy SI khxngmnkhuxcultxwinathitxtarangemtrhruxwtttxtarangemtr hnwy SI khxngxunhphumismburn T khuxekhlwin sphapheplngrngsikhxngwtthuethakhux e displaystyle varepsilon aelahakepnwtthudathismburn e 1 displaystyle varepsilon 1 swninkrnithwip aelasmcringkwa nnsphapheplngrngsikhunxyukbkhwamyawkhlun e e l displaystyle varepsilon varepsilon lambda erasamarthhathnghmdthithukaephrngsixxkmacakwtthuiddwykarkhundwyphunthiphiw A displaystyle A P Aj AesT4 displaystyle P Aj star A varepsilon sigma T 4 xnuphakhradbkhwamyawkhlunaelaelkkwakhwamyawkhlun metamaterial aelaokhrngsrangnaonxun imxyuphayitkhxcakdkhxngthsnsastrechingerkhakhnithruxrngsi aelaxacthukxxkaebbmaihekinkwakdkhxngchetffn bxlthsmnprawtiinpi kh s 1864 John Tyndall naaesnxkarwdkhakareplngrngsixinfraerdkhxngesniythxngkhakhawaelasikhxngesniythisxdkhlxngkn sdswnkalngsikhxngxunhphumismburnnnthuknirnyodyoyesf chetffn kh s 1835 1893 inpi kh s 1879 bnphunthankhxngkarwdphlkarthdlxngkhxngthindllinbthkhwam Uber die Beziehung zwischen der Warmestrahlung und der Temperatur ekiywkbkhwamsmphnthrahwangkaraephrngsikhwamrxnkbxunhphumi in Bulletins from the sessions khxng Vienna Academy of Sciences luthwich bxlthsmn kh s 1844 1906 idnaesnxkarxnuphththkdniphankarphicarnaechingthvsdiinpi kh s 1884 odynangankhxng Adolfo Bartoli maich inpi kh s 1876 barothliidxnuphththkarmixyukhxngaerngdnrngsi radiation pressure cakhlkxunhphlsastr aelatxmabxlthsmnidphicarnathungekhruxngckrkhwamrxnthiichrngsiaemehlkiffaepnsingthithanganaethnaeksxudmkhti kdnithukyunynphankarthdlxngaethbcathnthi idchiihehnkarebiyngebninxunhphumithisungkwaaetidmikaryunynthungkhwamaemnyaekuxbsmburnphayinkhwamimaennxnkhxngkarwdinxunhphumisungthung 1535 ekhlwininpi kh s 1897 kdnirwmipthungkarkhadkarnechingthvsdikhxngkhakhngtwkhxngchetffn bxlthsmnwaepnfngkchnkhxngxtraerwkhxngaesng khakhngtwbxlthsmn aelakhakhngtwkhxngphlngkhepnphlphwngodytrngkhxngkdkhxngphlngkhxyangthithukkahndiwinpi kh s 1900 tamkarniyamhnwythanexsixihm ph s 2562 sungaekikhkhakhxngkhakhngtwbxlthsmn k khakhngtwkhxngphlngkh h aelaxtraerwkhxngaesng c khakhngtwkhxngchetffn bxlthsmnmikhaxyangaemnyaethakb s 5454781984210512994952000000p529438455734650141042413712126365436049Wm 2K 4 displaystyle sigma frac 5454781984210512994952000000 pi 5 29438455734650141042413712126365436049 mathrm Wm 2 K 4 twxyangxunhphumikhxngdwngxathity chetffnyngidkhanwnxunhphumibnphunphiwkhxngdwngxathitydwykdkhxngekha 426 427 ekhaxnumancakkhxmulkhxng Jacques Louis Soret 1827 1890 idwakhwamhnaaennkhxngflksphlngngancakdwngxathitymikhamakkwakhwamhnaaennkhxngflksphlngngancakaephnolhabang chnidhnungthirxnthung 29 etha aephnbang lamella ruprangklmthukwangiwhangiprayahnungsungthaihmxngehnxyuinmumediywkbdwngxathity osertpramaniwwaxunhphumikhxngaephnbangkhuxpraman 1900 thung 2000 C chetffnsnnisthanwa khxngflksphlngngancakdwngxathitythukdudklunodybrryakaskhxngolk ekhacungthuxwaflksphlngngankhxngdwngxathitythithuktxngmikhamakkwakhakhxngosert 3 2 etha khux 29 3 2 43 5 etha khakhxngkhxngbrryakasimekhymikarwdkhaxyangaemnyacnkrathngpi kh s 1888 aela 1904 khakhxngxunhphumithichetffnidmakhuxkhamthythankhxngkhakxn khux 1950 C aelakhasmburnethakb 2200 K inemux 2 574 43 5 cungxnumantamkdidwaxunhphumikhxngdwngxathitymikhamakkwaxunhphumikhxngaephnbangaephnnn 2 57 etha ekhacungidkhaxxkmaethakb 5430 C hrux 5700 K khathiwdidpccubnkhux 5778 K niepnkarwdkhaxunhphumikhxngdwngxathitythismehtusmphlepnkhrngaerk aetkxnnikhathiwdidmikhatasudtngaet 1800 C cnthungkhasungsud 13 000 000 C Claude Pouillet kh s 1790 1868 khanwnidkhatasud 1800 C inpi kh s 1838 odyich Dulong Petit law xunhphumikhxngdawvks xunhphumikhxngdawvksdwngxunnxkehnuxcakdwngxathitysamarthpramaniddwywithithikhlayknodykarthuxphlngnganthieplngxxkmaesmuxnkaraephrngsikhxngwtthuda So L 4pR2sTe4 displaystyle L 4 pi R 2 sigma T e 4 ody L epnkalngsxngswang s epnkhakhngtwkhxngchetffn bxlthsmn R epnrsmikhxngdaw stellar radius aela T epnxunhphumiyngphl erasamarthichsutrediywknephuxkhanwnrsmiodypramankhxngdawvksaethbladbhlk main sequence stars ethiybkbkhxngdwngxathity RR T T 2 LL displaystyle frac R R odot approx left frac T odot T right 2 cdot sqrt frac L L odot ody R displaystyle R odot epnrsmidwngxathity L displaystyle L odot epnkhwamswangdwngxathityepntn nkdarasastrsamarthxnumanharsmikhxngdawvksiddwykdkhxngchetffn bxlthsmn kdnipraktin Black hole thermodynamics khxnghlumdainsingthieriykwakaraephrngsihxwking xunhphumiyngphlkhxngolk inthangkhlayknerasamarthkhanwnxunhphumiyngphlkhxngolk T dwykarcbphlngnganthiidrbcakdwngxathitymaethakbphlngnganthiaephrngsicakolkphayitkarpramankhxngwtthuda karphlitphlngngankhxngolkexngnnnxyphxthiimcaepntxngsnic kalngsxngswangkhxngdwngxathity L thukkahndiwepn L 4pR 2sT 4 displaystyle L odot 4 pi R odot 2 sigma T odot 4 phlngnganekhluxnmathiolkphanthrngklmrsmi a0 hruxrayathangcakdwngxathitymathiolk khwamrbxabrngsi irradiance phlngthiidrbtxhnwyphunthi thukkahndiwepn E L 4pa02 displaystyle E oplus frac L odot 4 pi a 0 2 rsmikhxngolkethakb R dngnncungmiphunthitdkhwangethakb pR 2 displaystyle pi R oplus 2 flkskaraephrngsi radiant flux nnkhux phlngaesngxathity thiolkdudklunthukkahndepn Fabs pR 2 E displaystyle Phi text abs pi R oplus 2 times E oplus ephraakdkhxngchetffn bxlthsmnichelkhchikalngthisi cungmiphlihkaraelkepliynesthiyr flksthithukplxycakolkcungmiaenwonmethakbflksthidudklun aelamisphaphiklekhiyngkbsphawakhngthi 4pR 2sT 4 pR 2 E pR 2 4pR 2sT 44pa02 displaystyle begin aligned 4 pi R oplus 2 sigma T oplus 4 amp pi R oplus 2 times E oplus amp pi R oplus 2 times frac 4 pi R odot 2 sigma T odot 4 4 pi a 0 2 end aligned T cunghaidcak T 4 R 2T 44a02T T R 2a0 5780K 696 106m2 149 598 109m 279K displaystyle begin aligned T oplus 4 amp frac R odot 2 T odot 4 4a 0 2 T oplus amp T odot times sqrt frac R odot 2a 0 amp 5780 rm K times sqrt 696 times 10 6 rm m over 2 times 149 598 times 10 9 rm m amp approx 279 rm K end aligned ody T epnxunhphumikhxngdwngxathity R epnrsmikhxngdwngxathity aela a0 epnrayathangrahwangolkkbdwngxathity thnghmdniihkhaxunhphumiyngphlkhxngolkethakb 6 C bnphunphiwkhxngolk emuxerathuxwaolkimmichnbrryakasaelasamarthdudklunkareplngrngsithitkkrathbidthnghmd olkmixtraswnsathxnethakb 0 3 nnhmaykhwamwa 30 khxngrngsicakdwngxathitythichnolknncasathxnklbipinxwkas phlkhxngxtraswnsathxnthimitxxunhphumisamarththukpramanidwaphlngnganthithukdudklunldlngehlux 70 aetolkkcayngaephrngsixxkaebbwtthuda tamniyamkhxngxunhphumiyngphlsungepnsingthierakalngkhanwn karpramanxnnildxunhphumithikhanwnlngid 0 71 4 ethaehlux 255 K 18 C xunhphumithikhanwniddanbnepnxunhphumikhxngolkxyangthimxngehncakxwkas imichxunhphumibnphunphiwaetepnkhaechliykhxngwtthuthieplngrngsithnghmdtngaetbnphunphiwcnthungphunthiradbsung xunhphumiphunphiwechliycringkhxngolkkhuxpraman 288 K 15 C sungsungkwaxunhphumiyngphl 255 K aelaxunhphumikhxngwtthuda 279 K enuxngmacakpraktkarneruxnkrack danbnerasmmtiwaphunphiwthnghmdkhxngolkmixunhphumiediywkn eracungthamidxikwaxunhphumikhxngphunphiwwtthudabnolkcamixunhphumiethaidhakerasmmtiwaphiwnnxyuinsphawasmdulkbaesngxathitythitkkrathb aetnikhunxyukbxngsakhxngaesngxathityaelaprimanbrryakasthiaesngsxngphan emuxdwngxathityxyuehnuxsirsaaelaphunphiwnxnrab khwamrbxabrngsisamarthsungthung 1120 W m2 aelaeraidxunhphumicakkdkhxngchetffn bxlthsmnethakb T 1120 W m2s 1 4 375 K displaystyle T left frac 1120 text W m 2 sigma right 1 4 approx 375 text K hrux 102 C danbnchnbrryakasxunhphumicasungkhunepn 394 K erasamarthmxngphunphiwkhxngolkidwa phyayam klbekhasusphawasmdulinchwngewlaklangwnaetthukthaiheynlngodybrryakas aela phyayam klbekhasusphawasmdulkbaesngdawaelaaesngcnthrinchwngewlaklangkhunaetthukthaihxunodybrryakastnkaenidkarxnuphththkhwamhnaaennkhxngphlngnganodythangxunhphlsastr khxethccringwa energy density phayinklxngthibrrcurngsiaeprphnkb T4 displaystyle T 4 nnsamarthhamaiddwyxunhphlsastr karxnuphththniichkhwamsmphnthrahwangaerngdnrngsi p kbkhwamhnaaennkhxng internal energy u displaystyle u sungsamarthaesdngiddwyrupaebbkhxng electromagnetic stress energy tensor khwamsmphnthnikhux p u3 displaystyle p frac u 3 cak fundamental thermodynamic relation dU TdS pdV displaystyle dU T dS p dV hlngcakhardwy dV displaystyle dV aelatrungkha T displaystyle T iw eracungidniphcndngtxipni U V T T S V T p T p T V p displaystyle left frac partial U partial V right T T left frac partial S partial V right T p T left frac partial p partial T right V p smkarsudthayidmacakkhwamsmphnthkhxngaemksewll S V T p T V displaystyle left frac partial S partial V right T left frac partial p partial T right V cakniyamkhxngkhwamhnaaennkhxngphlngngan eracungid U uV displaystyle U uV odykhwamhnaaennkhxngphlngngankhxngkaraephrngsikhunxyukbxunhphumiethann dngnn U V T u V V T u displaystyle left frac partial U partial V right T u left frac partial V partial V right T u aelwsmkarni U V T T p T V p displaystyle left frac partial U partial V right T T left frac partial p partial T right V p emuxaethn U V T displaystyle left frac partial U partial V right T aela p displaystyle p dwyniphcnsungsmmulkhxngaetlaxnlngipinsmkar kcaekhiynihmidepn u T3 u T V u3 displaystyle u frac T 3 left frac partial u partial T right V frac u 3 inemuxxnuphnthyxy u T V displaystyle left frac partial u partial T right V samarthaesdngxxkepnkhwamsmphnthrahwang u displaystyle u aela T displaystyle T ephiyngsxngxyangethann thayaykhangipxyuxikfngkhxngsmkar erasamarthepliynxnuphnthyxyniepnxnuphnthaebbthrrmda aelahlngcakaeykphltangechingxnuphnthxxkcakknaelwsmkarcaklayepn du4u dTT displaystyle frac du 4u frac dT T sungnaipsu u AT4 displaystyle u AT 4 ody A displaystyle A epnkhakhngtwkhxngpriphnthkhahnung karxnuphththcakkdkhxngphlngkh karxnuphththkdkhxngchetffn bxlthsmndwykdkhxngphlngkh erasamarthxnuphththkdniiddwykarphicarnaphunphiwkhxngwtthudaaebnrabrabkhnadelksungaephrngsixxkmaepnkhrungthrngklm aelacaichrabbphikdthrngklminkarxnuphthth ody 8 epnmumechingkhw zenith angle aela f epnmumthis azimuth angle phunphiwkhxngwtthudaaebnrabxyubnranab xy thi 8 p 2 khwamekhmkhxngaesngthieplngxxkmacakphunphiwwtthudathukkahndodykdkhxngphlngkhepn I n T 2hn3c21ehn kT 1 displaystyle I nu T frac 2h nu 3 c 2 frac 1 e h nu kT 1 dd ody I n T displaystyle I nu T khuxprimankhxngtxhnwytxhnwy solid angle txhnwykhwamthi thieplngxxkma n khwamthi n displaystyle nu cakwtthudathixunhphumi T h displaystyle h khuxkhakhngtwkhxngphlngkh c displaystyle c khuxxtraerwkhxngaesng aela k displaystyle k khuxkhakhngtwbxlthsmn I n T A dn dW displaystyle I nu T A d nu d Omega khuxprimankhxngkalngthiaephxxkmaodyphunthiphiw A phanmumtn dW inchwngkhwamthirahwang n aela n dn kdkhxngchetffn bxlthsmnkahndkalngthieplngxxkmatxhnwyphunthikhxngwtthuepn PA 0 I n T dn cos 8dW displaystyle frac P A int 0 infty I nu T d nu int cos theta d Omega dd okhisnmixyuinsmkarephraawtthudaepnaehlngkaenidrngsiaebblmaebrth nnkhux ptibtitamkdokhisnkhxnglmaebrth hmaykhwamwakhwamekhmthitrwcwdidtlxdthrngklmnncaethakbkhwamekhmcringkhundwyokhisnkhxngmumechingkhw eracaepnepntxngpriphnth dW sin 8 d8df textstyle d Omega sin theta d theta d varphi tlxdkhrungthrngklm aelapriphnth n displaystyle nu cak 0 thung ephuxxnuphththhakdkhxngchetffnbxlthsmn PA 0 I n T dn 02pdf 0p 2cos 8sin 8d8 p 0 I n T dn displaystyle begin aligned frac P A amp int 0 infty I nu T d nu int 0 2 pi d varphi int 0 pi 2 cos theta sin theta d theta amp pi int 0 infty I nu T d nu end aligned dd aelwiskha I lngip PA 2phc2 0 n3ehnkT 1dn displaystyle frac P A frac 2 pi h c 2 int 0 infty frac nu 3 e frac h nu kT 1 d nu dd eratxngichkaraethnthiephuxaekpriphnthni u hnkTdu hkTdn displaystyle begin aligned u amp frac h nu kT 6pt du amp frac h kT d nu end aligned dd aelaid PA 2phc2 kTh 4 0 u3eu 1du displaystyle frac P A frac 2 pi h c 2 left frac kT h right 4 int 0 infty frac u 3 e u 1 du priphnthfngkhwaepnaebbmatrthansungmichuxeriykhlaychux mnepnkrniechphaakhxngpriphnthophs ixnsitn Bose Einstein integral Polylogarithm hruxfngkchnsitakhxngrimn z s displaystyle zeta s khakhxngpriphnthethakb 6z 4 p415 displaystyle 6 zeta 4 frac pi 4 15 thaihidphllphthsahrbphunphiwwtthudaepn j sT4 s 2p5k415c2h3 p2k460ℏ3c2 displaystyle j star sigma T 4 sigma frac 2 pi 5 k 4 15c 2 h 3 frac pi 2 k 4 60 hbar 3 c 2 sudthay aemkarphisucnnierimcakkarphicarnaphunphiwaebnrabkhnadelkethann aeterasamarthpramanphunphiwthi Differentiable manifold thukphiwdwyphunphiwaebnrabkhnadelkid phlngnganthnghmdthiaephxxkmakhuxphlrwmkhxngphlngnganthiaephxxkmacakphunphiwthnghmdtrabidthilksnathangerkhakhnitkhxngphunphiwnnimthaihwtthudatxngdudklunrngsithitwexngeplngxxkmaklbekhaip aelaphunthiphiwthnghmdkhuxphlrwmkhxngphunthikhxngphunphiwaetlaphiw dngnnkdnicungepncringsahrbwtthuda convex set thukwtthutrabidthiphunphiwmixunhphumiethakntlxdthngphiw kdnisamarthkhyayipichkbwtthuthiimnunidephiyngichkhxethccringthiwa convex hull khxngwtthudannaephrngsiesmuxntwmnexngepnwtthuda khwamhnaaennkhxngphlngngan erasamarthkhanwnkhwamhnaaennkhxngphlngnganrwm U idinlksnakhlaykn tangknephiyngkhrawnieracapriphnthtlxdthngthrngklm aelaimmiokhisn aelaeracaharflksphlngngan U c dwyxtraerw c ephuxihkhakhwamhnaaennkhxngphlngngan U U 1c 0 I n T dn dW displaystyle U frac 1 c int 0 infty I nu T d nu int d Omega dd dngnn 0p 2cos 8sin 8d8 displaystyle int 0 pi 2 cos theta sin theta d theta thukaethnthidwy 0psin 8d8 displaystyle int 0 pi sin theta d theta sungihtwprakxbephimkhaethakb 4 dngnn cakthnghmdid U 4csT4 displaystyle U frac 4 c sigma T 4 dd duephim Wien s displacement law Rayleigh Jeans law khwamaephrngsi wtthuda Sakuma Hattori equation xangxingBohren Craig F Huffman Donald R 1998 Absorption and scattering of light by small particles Wiley pp 123 126 ISBN 978 0 471 29340 8 Narimanov Evgenii E Smolyaninov Igor I 2012 Beyond Stefan Boltzmann Law Thermal Hyper Conductivity Conference on Lasers and Electro Optics 2012 OSA Technical Digest Optical Society of America pp QM2E 1 10 1 1 764 846 doi 10 1364 QELS 2012 QM2E 1 ISBN 978 1 55752 943 5 S2CID 36550833 Tyndall John 1864 On luminous i e visible and obscure i e infrared radiation Philosophical Magazine 4th series 28 329 341 duhna 333 intarafisikspi kh s 1875 khxng Adolf Wullner idmikarxangxingphlkarthdlxngkhxngthindllaelaephimpramankarxunhphumithisxdkhlxngkbsitang khxngesniythxngkhakhawekhaip Wullner Adolph 1875 Lehrbuch der Experimentalphysik Textbook of experimental physics phasaeyxrmn Vol 3 Leipzig Germany B G Teubner p 215 cak Wullner 1875 hna 215 Wie aus gleich zu besprechenden Versuchen von Draper hervorgeht also fast um das 12fache zu tamkarthdlxngkhxngedrepxrsungcaxphiprayinxiksknid kareruxngaesngsiaedngxxnsxdkhlxngkbxunhphumipraman 525 C kareruxngaesngsikhawetmsxdkhlxngkb xunhphumi praman 1200 C dngnnaemxunhphumicasungkhunmakkwasxngethaephiyngelknxy khwamekhmkhxngrngsiklbephimkhuncak 10 4 epn 122 hruxekuxb 12 etha Wisniak 2002 p 551 552 Stefan J 1879 Uber die Beziehung zwischen der Warmestrahlung und der Temperatur On the relation between heat radiation and temperature Sitzungsberichte der Kaiserlichen Akademie der Wissenschaften Mathematisch Naturwissenschaftliche Classe Proceedings of the Imperial Philosophical Academy of Vienna Mathematical and Scientific Class phasaeyxrmn 79 391 428 chetffnklawwa Stefan 1879 hna 421 Zuerst will ich hier die Bemerkung anfuhren die Warmestrahlung der vierten Potenz der absoluten Temperatur proportional anzunehmen kxnxun phmxyakchiaecngthungsngektkarnsungwulenxrephimlngipinrayngankhxngkarthdlxngkhxngthindllekiywkbkaraephrngsikhxngesniythxngkhakhawsungthukthaiheruxngaesngdwykraaesiffaintarakhxngekha ephraasngektkarnnithaihphmxnumanidwakaraephrngsikhwamrxnnnmisdswnkbkalngsikhxngxunhphumismburn Boltzmann Ludwig 1884 Ableitung des Stefan schen Gesetzes betreffend die Abhangigkeit der Warmestrahlung von der Temperatur aus der electromagnetischen Lichttheorie Derivation of Stefan s law concerning the dependency of heat radiation on temperature from the electromagnetic theory of light Annalen der Physik und Chemie phasaeyxrmn 258 6 291 294 Bibcode 1884AnP 258 291B doi 10 1002 andp 18842580616 Massimiliano Badino The Bumpy Road Max Planck from Radiation Theory to the Quantum 1896 1906 2015 p 31 Soret J L 1872 Comparaison des intensites calorifiques du rayonnement solaire et du rayonnement d un corps chauffe a la lampe oxyhydrique karepriybethiybkhwamekhmkhwamrxnkhxngrngsixathitykbrngsicakwtthusungthukthaihrxndwyekhruxngphnifxxksiihodrecn Archives des sciences physiques et naturelles Geneva Switzerland 2nd series 44 220 229 45 252 256 Sun Fact Sheet Waterston John James 1862 An account of observations on solar radiation Philosophical Magazine 4th series 23 2 497 511 Bibcode 1861MNRAS 22 60W doi 10 1093 mnras 22 2 60 inhna 505 nkfisikschawskxt John James Waterston pramanxunhphumibnphunphiwdwngxathityiwwaxacethakb 12 880 000 duthi Pouillet 1838 Memoire sur la chaleur solaire sur les pouvoirs rayonnants et absorbants de l air atmospherique et sur la temperature de l espace Memoir on solar heat on the radiating and absorbing powers of the atmospheric air and on the temperature of space Comptes Rendus phasafrngess 7 2 24 65 hna 36 puyeypramanxunhphumikhxngdwngxathityiw cette temperature pourrait etre de 1761 xunhphumini nnkhux khxngdwngxathity xacethakb 1761 khaaeplphasaxngkvs Pouillet 1838 Memoir on the solar heat on the radiating and absorbing powers of atmospheric air and on the temperature of space in Taylor Richard ed 1846 Scientific Memoirs Selected from the Transactions of Foreign Academies of Science and Learned Societies and from Foreign Journals vol 4 London England Richard and John E Taylor pp 44 90 see pp 55 56 Australian Telescope Outreach and Education khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 9 singhakhm 2014 subkhnemux 13 singhakhm 2006 PDF Chapter 1 Historical overview of climate change science Report p 97 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedim PDF emux 26 phvscikayn 2018 Yochanan Kushnir Spring 2007 2000 Solar Radiation and the Earth s Energy Balance Columbia University khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 17 krkdakhm 2012 subkhnemux 4 minakhm 2021 Introduction to Solar Radiation Newport Corporation cakaehlngedimemux 29 tulakhm 2013 Knizhnik Kalman PDF Johns Hopkins University Department of Physics amp Astronomy khlngkhxmulekaekbcakaehlngedim PDF emux 4 minakhm 2016 subkhnemux 3 knyayn 2018 Wisniak 2002 p 554 brrnanukrmWisniak Jaime 2002 Heat radiation law from Newton to Stefan Indian Journal of Chemical Technology 9 545 555 Available at National Institute of Science Communication and Information Resources New Dehli India Boltzmann L 1884 Ableitung des Stefan schen Gesetzes betreffend die Abhangigkeit der Warmestrahlung von der Temperatur aus der electromagnetischen Lichttheorie Derivation of Stefan s little law concerning the dependence of thermal radiation on the temperature of the electro magnetic theory of light Annalen der Physik und Chemie phasaeyxrmn 258 6 291 294 Bibcode 1884AnP 258 291B doi 10 1002 andp 18842580616aehlngkhxmulxunwikitaraphasaeyxrmn mikhumuxekiywkb Formelsammlung Physik plancksches Strahlungsgesetz wikimiediykhxmmxnsmisuxekiywkb kdkhxngchetffn bxlthsmn