ในตรรกศาสตร์, คณิตศาสตร์, ภาษาศาสตร์ และวิทยาการคอมพิวเตอร์ ภาษารูปนัย (อังกฤษ: Formal language) บ้างก็ว่า ภาษาแบบแผน ประกอบด้วยคำซึ่งสะกดด้วย (symbol (formal)) จากชุดตัวอักษรชุดหนึ่ง และ (well-formedness) ตามกฎชุดหนึ่ง
ชุดตัวอักษรของภาษารูปนัยภาษาหนึ่งประกอบด้วยสัญลักษณ์, ตัวอักษร หรือโทเค็น ซึ่งต่อกัน (concatenate) เป็นสายอักขระในภาษานั้น สายอักขระแต่ละสายซึ่งต่อกันขึ้นจากสัญลักษณ์ในชุดตัวอักษรนั้นเรียกว่าคำ และบางครั้งคำในภาษารูปนัยภาษาหนึ่งก็เรียกว่าคำที่จัดดีแล้ว หรือ (well-formed formula) ภาษารูปนัยถูกกำหนดโดย (formal grammar) เช่น (regular grammar) หรือ (context-free grammar) ซึ่งประกอบด้วย (formation rule) ของตัวเอง
สาขาทฤษฎีภาษารูปนัย (อังกฤษ: Formal language theory) ศึกษาด้านวากยสัมพันธ์ หรือรูปแบบโครงสร้างภายในของภาษารูปนัยเป็นหลัก ทฤษฎีภาษารูปนัยแยกออกมาจากภาษาศาสตร์ เพื่อทำความเข้าใจถึงระเบียบทางวากยสัมพันธ์ของภาษาธรรมชาติ ภาษารูปนัยถูกใช้ในวิทยาการคอมพิวเตอร์เป็นรากฐานของนิยามของไวยากรณ์ของภาษาโปรแกรม และของภาษาธรรมชาติรูปแบบรูปนัยซึ่งคำในภาษานั้นแทนแนวคิดที่สัมพันธ์กับความหมายอันหนึ่ง ตามปกติในทฤษฎีความซับซ้อนในการคำนวณ ปัญหาการตัดสินใจถูกนิยามเป็นภาษารูปนัย และกลุ่มความซับซ้อนถูกนิยามเป็นเซตของภาษารูปนัยที่เครื่องซึ่งมีพลังในการคำนวณจำกัดสามารถ (parsing) ได้ ในตรรกศาสตร์และรากฐานของคณิตศาสตร์ ภาษารูปนัยถูกนำมาใช้เพื่อแทนวากยสัมพันธ์ของ (axiomatic system) และ (formalism (philosophy of mathematics) เป็นปรัชญาที่กล่าวว่าคณิตศาสตร์ทั้งหมดล้วนสามารถถูกลดรูปให้กลายเป็นเพียงกระบวนการดัดแปลงทางวากยสัมพันธ์ของภาษารูปนัยได้
ประวัติ
คำว่าภาษารูปนัย (formal language) อาจถูกใช้เป็นครั้งแรกใน (แปลว่า การเขียนแนวคิด, concept writing) โดย ก็อทโลพ เฟรเกอ (Gottlob Frege) ในปี ค.ศ. 1879 ซึ่งอธิบายถึง "ภาษารูปนัยของภาษาบริสุทธิ์"
คำจากชุดตัวอักษร
ในบริบทของภาษารูปนัย ชุดตัวอักษรเป็นเซตของสิ่งใดก็ได้ อย่างไรก็ตามการใช้คำว่าชุดตัวอักษรในความหมายทั่วไปทำให้เข้าใจได้ง่ายกว่า เช่นชุดอักขระอาทิ ASCII หรือยูนิโคด สมาชิกในชุดตัวอักษรเรียกว่าตัวอักษร ชุดตัวอักษรชุดหนึ่งสามารถมีตัวอักษรได้เยอะนับไม่ถ้วน อย่างไรก็ตาม นิยามในทฤษฎีภาษารูปนัยส่วนใหญ่ระบุให้ชุดตัวอักษรมีสมาชิกจำนวนจำกัด และผลลัพธ์ส่วนใหญ่จะใช้ได้กับชุดตัวอักษรแบบนี้เท่านั้น
คำ คือลำดับของตัวอักษรจากชุดตัวอักษรหนึ่งซึ่งมีขนาดจำกัด (เช่น สายอักขระ) เซตของคำทุกคำที่ประกอบขึ้นจากตัวอักษรในชุดตัวอักษร Σ มักถูกเขียนเป็น Σ* (ใช้สัญลักษณ์ (Kleene star)) ความยาวของคำคือจำนวนของตัวอักษรในคำนั้น ชุดตัวอักษรทุกชุดมีคำ ๆ เดียวที่มีความยาวเท่ากับ 0 นั่นคือ คำว่าง ซึ่งมักถูกแทนด้วยอักษร e, ε, λ หรือ Λ คำสองคำสามารถจับมา (Concatenation) เพื่อสร้างคำใหม่ขึ้นมาได้ โดยจะมีความยาวเท่ากับความยาวของคำที่นำมาต่อกันรวมกัน และการต่อคำ ๆ หนึ่งกับคำว่างจะได้ผลลัพธ์เป็นคำเดิมคำนั้น
ในการประยุกต์ใช้ในสาขาอื่น โดยเฉพาะตรรกศาสตร์ ชุดตัวอักษรมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า วงศัพท์ และคำมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า สูตร (formula) หรือ ประโยค (sentence) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนการเปรียบเทียบ จากการเทียบกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวอักษรกับคำ เป็นการเทียบกับความสัมพันธ์ระหว่างคำและประโยค
บทนิยาม
ภาษารูปนัย L ที่ใช้ชุดตัวอักษร Σ เป็นเซตย่อยของเซตของคำทุกคำ Σ* ในชุดตัวอักษรนั้น บางครั้งคำแต่ละคำก็จะถูกจัดกลุ่มเป็นนิพจน์ และกฎเกณฑ์บางอย่างจะถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อสร้าง 'นิพจน์ที่จัดดีแล้ว'
ในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์และคณิตศาสตร์ คำว่า "เชิงรูปนัย" หรือ "รูปนัย" มักถูกละเว้นไว้เพื่อลดการใช้คำแบบฟุ่มเฟือย เนื่องจากในสาขาวิชาเหล่านี้ภาษาธรรมชาติมักไม่ถูกพูดถึงบ่อยอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องระบุว่ากำลังใช้คำในความหมายเชิงรูปนัย
ในขณะที่ทฤษฎีภาษารูปนัยโดยทั่วไปให้ความสนใจกับภาษารูปนัยที่มีกฎเกณฑ์ด้านวากยสัมพันธ์ แต่บทนิยามจริง ๆ ของแนวคิด "ภาษารูปนัย" นั้นก็เป็นดังที่ระบุไว้ด้านบนเพียงเท่านั้นคือ: เซตของสายอักขระที่มีความยาวจำกัด (ซึ่งอาจมีจำนวนนับไม่ถ้วนก็ได้) ซึ่งประกอบขึ้นจากชุดตัวอักษรชุดหนึ่ง ไม่มีนิยามที่มากไปหรือน้อยไปกว่านี้ ในทางปฏิบัติ มีภาษาหลายแบบที่สามารถอธิบายด้วยกฎเกณฑ์ได้ เช่น (Regular language) หรือ (context-free language) ความหมายของใกล้เคียงกับแนวคิดเรื่อง "ภาษา" ตามสหัชญาณมากกว่า ซึ่งก็คือภาษาที่ถูกกฎหนดโดยกฎเกณฑ์ด้านวากยสัมพันธ์ และหากใช้นิยามของมันอย่างผิด ๆ อาจถือได้ว่าภาษารูปนัยภาษาหนึ่งจะมาพร้อมกับไวยากรณ์รูปนัยรูปแบบหนึ่งที่เป็นตัวบรรยายภาษานั้น ๆ
ตัวอย่าง
ข้อความดังต่อไปนี้เป็นกฎที่บรรยายถึงภาษารูปนัย L ภาษาหนึ่งซึ่งประกอบขึ้นจากชุดตัวอักษร Σ = {0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, +, =}:
- สายอักขระที่ไม่ว่างทุกสาย ที่ไม่มีตัว "+" หรือ "=" และไม่ได้เริ่มต้นด้วยตัว "0" เป็นสายอักขระที่มีอยู่ในภาษา L
- สายอักขระ "0" มีอยู่ในภาษา L
- สายอักขระที่มีตัว "=" นั้นจะมีอยู่ในภาษา L ก็ต่อเมื่อมีตัว "=" เพียงตัวเดียวเท่านั้น และจะต้องอยู่ระหว่างสายอักขระสองสายที่ถูกต้องตามกฎของภาษา L
- สายอักขระที่มีตัว "+" แต่ไม่มีตัว "=" นั้นจะมีอยู่ในภาษา L ก็ต่อเมื่อตัว "+" ทุกตัวในสายอักขระนั้นอยู่ระหว่างสายอักขระสองสายที่ถูกต้องตามกฎของภาษา L
- ไม่มีสายอักขระอื่นใดอยู่ในภาษา L นอกเหนือจากที่กฎที่ระบุไว้ก่อนหน้านี้สื่อถึง
ภายใต้กฎเหล่านี้ สายอักขระ "23+4=555" มีอยู่ในภาษา L แต่ไม่มีสายอักขระ "=234=+" อยู่ในภาษา L ภาษารูปนัยภาษานี้แสดงถึงจำนวนธรรมชาติ, การบวกที่จัดดีแล้ว และสมการของการบวกที่จัดดีแล้ว แต่แสดงเพียงลักษณะว่าเป็นอย่างไร (วากยสัมพันธ์) แต่ไม่ได้แสดงว่ามีความหมายอย่างไร ตัวอย่างเช่น กฎเหล่านี้ไม่ได้ระบุว่า "0" หมายถึงเลขศูนย์, "+" หมายถึงการบวก, "23+4=555" เป็นเท็จ, ฯลฯ
การสร้าง
เราสามารถแจกแจงคำที่จัดดีแล้วทุกคำในภาษาจำกัดภาษาหนึ่งได้ เช่น เราสามารถบรรยายภาษา L ได้ว่า L = {a, b, ab, cba} กรณีลดรูปของการสร้างแบบนี้คือภาษาว่างซึ่งไม่มีคำอยู่เลย (L = )
ทว่าแม้แต่ชุดตัวอักษรที่จำกัด (ไม่ว่าง) เช่น Σ = {a, b} ก็มีคำที่มีความยาวจำกัดที่ประกอบขึ้นจากชุดตัวอักษรนั้นอยู่มากเป็นจำนวนไม่จำกัด (อนันต์): "a", "abb", "ababba", "aaababbbbaab", .... ดังนั้นภาษารูปนัยโดยปกติเป็นภาษาอนันต์ และการบรรยายภาษารูปนัยอนันต์นั้นไม่สามารถทำได้ด้วยเพียงการเขียนว่า L = {a, b, ab, cba} ข้อความต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของภาษารูปนัย:
- L = Σ* เซตของคำทุกคำในชุดตัวอักษร Σ
- L = {a}* = {an} โดย n คือจำนวนธรรมชาติ และ "an" หมายถึง "a" ซ้ำกัน n ครั้ง (เซตของคำทุกคำที่ประกอบขึ้นจากสัญลักษณ์ "a" เท่านั้น)
- เซตของโปรแกรมที่ถูกต้องทางวากยสัมพันธ์ทุกโปรแกรมในภาษาโปรแกรมภาษาหนึ่ง (ซึ่งปกติวากยสัมพันธ์ของภาษานั้นถูกให้นิยามด้วย (context-free grammar))
- เซตของอินพุตที่ทำให้เครื่องทัวริงเครื่องหนึ่งหยุด
- เซตของสายอักขระใหญ่ (maximal string) สุดของอักขระแอสกีอักษรเลขในบรรทัดต่อไป
the set of maximal strings of ASCII characters on this line, i.e.,
คือเซต {the, set, of, maximal, strings, alphanumeric, ASCII, characters, on, this, line, i, e}
รูปแบบการกำหนดคุณสมบัติของภาษา
ภาษารูปนัยถูกใช้เป็นเครื่องมือในหลายสาขาวิชา แต่ทฤษฎีภาษารูปนัยไม่สนใจในภาษาใดภาษาหนึ่งโดยเฉพาะ (ยกเว้นในการยกตัวอย่าง) และสนใจศึกษารูปแบบในการกำหนดภาษาต่าง ๆ สำหรับการบรรยายภาษาดังเช่น
- เซตของสายอักขระที่ถูกผลิตโดย
- เซตของสายอักขระที่ถูกกำหนดโดย หรือจับคู่กับนิพจน์ปรกติ
- เซตของสายอักขระที่ออโตมาตอนเครื่องหนึ่งรับ เช่นเครื่องทัวริงหรือออโตมาตอนสถานะจำกัด
- เซตของสายอักขระที่กระบวนการตัดสินใจหนึ่ง (ขั้นตอนวิธีที่จะถามคำถามใช่-ไม่ใช่ที่เกี่ยวข้องเป็นลำดับ) ให้คำตอบว่า ใช่
คำถามทั่วไปเกี่ยวกับการกำหนดภาษาแต่ละรูปแบบมีดังเช่น
- มีความสามารถในการแสดงออกเท่าไหร่? (expressive power) (การกำหนดรูปแบบX สามารถบรรยายภาษาทุกภาษาที่รูปแบบ Y สามารถบรรยายได้หรือไม่? มันสามารถบรรยายภาษาอื่น ๆ ได้หรือไม่?)
- มีความสามารถในการรู้จำเท่าไหร่? (recognizability) (มันยากแค่ไหน ที่จะรู้จำว่าคำ ๆ หนึ่งนั้นอยู่ในภาษาหนึ่งที่ถูกบรรยายโดยรูปแบบ X หรือไม่?)
- มีความสามารถในการเปรียบเทียบเท่าไหร่? (comparability) (มันยากแค่ไหน ที่จะตัดสินว่าภาษาสองภาษา ซึ่งถูกบรรยายโดยรูปแบบ X และ Y หรือถูกบรรยายโดยรูปแบบ X เหมือนกันทั้งสองนั้น ความจริงแล้วเป็นภาษาเดียวกัน?)
คำตอบของปัญหาการตัดสินใจเหล่านี้มักลงเอยด้วย "ไม่สามารถทำได้เลย" หรือ "สิ้นเปลืองมาก" (ซึ่งจะมีคำอธิบายว่าสิ้นเปลืองในแง่ไหน) ทฤษฎีภาษารูปนัยจึงเป็นสาขาวิชาหลักที่ประยุกต์ใช้ทฤษฎีการคำนวณได้และทฤษฎีความซับซ้อน ภาษารูปนัยถูกจัดหมวดหมู่ใน (Chomsky hierarchy) ตามพลังหรือความสามารถในการแสดงออกของไวยากรณ์เพิ่มพูนของภาษาเหล่านั้น รวมไปถึงตามความซับซ้อนของออโตมาตอนที่รู้จำมัน และเป็นตัวเลือกที่ประนีประนอมระหว่างความสามารถในการแสดงออกและความง่ายใน (parsing) และถูกใช้อย่างแพร่หลายในเชิงปฏิบัติ
การดำเนินการบนภาษา
การดำเนินการบนภาษาประกอบด้วยการดำเนินการของเซตชุดมาตรฐาน เช่นยูเนียน อินเตอร์เซกชัน และส่วนเติมเต็ม กับการดำเนินการอีกชุดหนึ่งซึ่งเป็นการดำเนินการบนสายอักขระที่ประยุกต์ใช้แบบสมาชิกต่อสมาชิก (element-wise)
ตัวอย่าง: สมมุติให้ และ เป็นภาษาที่มีชุดตัวอักษร ร่วมกัน
- ของทั้งสอง ประกอบด้วยสายอักขระทั้งหมดในรูป โดย เป็นสายอักขระจาก และ เป็นสายอักขระจาก
- อินเตอร์เซกชันหรือส่วนร่วมของทั้งสอง ประกอบด้วยสายอักขระทั้งหมดที่มีอยู่ในทั้งสองภาษา
- ส่วนเติมเต็มของ : เทียบกับ ประกอบด้วยสายอักขระทั้งหมดจาก ที่ไม่มีอยู่ใน
- : ภาษาที่ประกอบด้วยคำทุกคำที่เกิดจากการต่อกันของคำจากภาษาต้นฉบับจำนวนศูนย์คำขึ้นไป
- การย้อนกลับ:
- ให้ ε เป็นคำว่าง แล้ว และ
- สำหรับคำไม่ว่างแต่ละคำ (โดย เป็นสมาชิกของชุดตัวอักษรชุดหนึ่ง) ให้
- ฉะนั้นแล้วสำหรับภาษา ,
- (String homomorphism)
(string operations) เหล่านี้ถูกใช้เพื่อสำรวจหาสมบัติการปิดของภาษาหมวดหมู่หนึ่ง ภาษาหมวดหมู่หนึ่งมีสมบัติการปิดหรือ "ปิด" ภายใต้การดำเนินการอย่างหนึ่ง เมื่อกระทำกับภาษาในหมวดหมู่นั้นแล้วได้ผลลัพธ์เป็นภาษาในหมวดหมู่เดิม ตัวอย่างเช่น ซึ่งปิดภายใต้การดำเนินการยูเนียน ต่อกัน และส่วนร่วมกับ แต่ไม่ปิดภายใต้การดำเนินการส่วนร่วมหรือส่วนเติมเต็ม ทฤษฎีของ (cone (formal languages)) และ (abstract family of languages) ศึกษาเกี่ยวกับสมบัติการปิดของภาษา
สมบัติการปิดของตระกูลภาษาต่าง ๆ ตามฮอปครอฟท์และอูลมันน์
( ดำเนินการ ซึ่งทั้ง และ อยู่ในตระกูลภาษาเดียวกันตามแต่ละสดมภ์)การดำเนินการ ยูเนียน ใช่ ไม่ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ อินเตอร์เซกชัน ใช่ ไม่ ไม่ ไม่ ใช่ ใช่ ใช่ ส่วนเติมเต็ม ใช่ ใช่ ไม่ ไม่ ใช่ ใช่ ไม่ ใช่ ไม่ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ คลีนสตาร์ ใช่ ไม่ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ สาทิสสัญฐาน (ของสายอักขระ), ใช่ ไม่ ใช่ ใช่ ไม่ ไม่ ใช่ สาทิสสัญฐาน (ของสายอักขระ) ไร้ ε, ใช่ ไม่ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ การแทนที่, ใช่ ไม่ ใช่ ใช่ ใช่ ไม่ ใช่ สาทิสสัญฐานผกผัน, ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ การย้อนกลับ ใช่ ไม่ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ อินเตอร์เซกชันกับ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่
การประยุกต์ใช้
ภาษาโปรแกรม
คอมไพเลอร์ หรือโปรแกรมแปลโปรแกรมมีส่วนประกอบที่ชัดเจนอยู่สองส่วน คือ (Lexical analysis) ที่จะระบุโทเค็นของไวยากรณ์ของภาษาโปรแกรมเช่น (identifier) หรือคำสงวน (Literal) ตัวเลขและสายอักขระ เครื่องหมายวรรคตอนและสัญลักษณ์ตัวดำเนินการ ซึ่งก็ถูกกำหนดอีกทีโดยภาษารูปนัยที่เรียบง่ายกว่าซึ่งโดยทั่วไปก็ทำขึ้นด้วยนิพจน์ปรกติ ส่วนนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยเครื่องมือแบบ (Lex (software)) และส่วนที่สองคือที่จะทดลองตัดสินว่าโปรแกรมต้นฉบับนั้นสมเหตุสมผลทางวากยสัมพันธ์หรือไม่ หมายความว่าโปรแกรมต้นฉบับนั้นจัดดีแล้วตามไวยากรณ์ของภาษาโปรแกรมที่คอมไพเลอร์ถูกสร้างขึ้นมาหรือไม่ ส่วนนี้ถูกสร้างขึ้นด้วย (compiler-compiler) เช่น
คอมไพเลอร์ทำหน้าที่มากกว่าการแจงส่วนรหัสต้นฉบับ แต่ยังแปลรหัสให้อยู่ในรูปแบบสั่งทำการรูปแบบหนึ่งด้วย ดังนั้นตัวแจงส่วนจึงให้คำตอบเป็นใช่-ไม่ใช่มากกว่าหนึ่งคำตอบ ซึ่งปกติเป็น (abstract syntax tree) ที่คอมไพเลอร์นำมาใช้ในขั้นต่อ ๆ มาเพื่อสุดท้ายผลิตไฟล์สั่งทำการขึ้นจากรหัสเครื่องที่จะทำการบนฮาร์ดแวร์โดยตรง หรือจากรหัสไบต์ที่ต้องใช้ (virtual machine) เพื่อทำการ
ทฤษฎี ระบบ และการพิสูจน์เชิงรูปนัย
ในคณิตตรรกศาสตร์ ทฤษฎีรูปนัย (formal theory) คือชุดของในภาษารูปนัยภาษาหนึ่ง
ระบบรูปนัย (เรียกอีกอย่างว่า แคลคูลัสเชิงตรรกะ หรือ ระบบเชิงตรรกะ) ประกอบด้วยภาษารูปนัยพร้อมกับ (deductive system) ซึ่งอาจประกอบด้วย (rewriting) ชุดหนึ่งซึ่งสามารถถูกตีความเป็นกฎการอนุมานที่สมเหตุสมผลได้ หรือสัจพจน์ชุดหนึ่ง หรือทั้งสองอย่าง ระบบรูปนัยถูกใช้เพื่อ (proof theory) นิพจน์หนึ่งมาจากนิพจน์อื่น ๆ เราสามารถระบุภาษารูปนัยภาษาหนึ่งได้ผ่านสูตรของมัน แต่เราไม่สามารถทำได้อย่างเดียวกันกับระบบรูปนัยผ่านทฤษฎีบทของมัน ระบบรูปนัยสองระบบ และ สามารถมีทฤษฎีบทที่เหมือนกันทั้งหมดได้ ถึงอย่างนั้นแล้วก็ยังต่างกันในแง่ทฤษฎีการพิสูจน์แง่ใดแง่หนึ่งอย่างมีนัยสำคัญ (เช่นสูตร A อาจเป็นผลพวงทางวากยสัมพันธ์ของสูตร B ในระบบหนึ่ง แต่ไม่ได้เป็นในอีกระบบหนึ่ง)
การพิสูจน์เชิงรูปนัย (อังกฤษ: Formal proof) หรือ การสืบสมุฏฐาน (อังกฤษ: Derivation) เป็นลำดับจำกัดของสูตรที่จัดดีแล้ว (ซึ่งก็อาจตีความได้เป็นประโยค หรือประพจน์) ซึ่งแต่ละสูตรเป็นสัจพจน์ข้อหนึ่ง หรือตามจากสูตรที่มาก่อนในลำดับนั้นตาม (rule of inference) ประโยคสุดท้ายในลำดับนั้นเป็นทฤษฎีบทของระบบรูปนัยระบบหนึ่ง การพิสูจน์เชิงรูปนัยนั้นมีประโยชน์เพราะทฤษฎีบทที่ได้มาสามารถตีความได้เป็นประพจน์จริง
การตีความและตัวแบบ
ภาษารูปนัยมีลักษณะเป็นวากยสัมพันธ์โดยสิ้นเชิง แต่ก็สามารถมีอรรถศาสตร์ที่ให้ความหมายกับส่วนประกอบต่าง ๆ ของภาษาได้ อาทิ ในคณิตตรรกศาสตร์ เซตของสูตรที่เป็นไปได้ของตรรกะชนิดหนึ่งคือภาษารูปนัย และรูปแบบหนึ่งจะให้ความหมายแก่สูตรแต่ละสูตร โดยทั่วไปเป็นค่าความจริง
(semantics of logic) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการตีความภาษารูปนัย ซึ่งมักถูกทำในแง่ของทฤษฎีตัวแบบในคณิตตรรกศาสตร์ พจน์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในสูตร ๆ หนึ่งนั้นถูกตีความเป็นวัตถุที่อยู่ภายใน (Structure (mathematical logic)) และกฎการตีความเชิงประกอบแบบถาวร (fixed compositional interpretation rule) จะตัดสินวิธีการที่จะสืบมาซึ่งค่าความจริงของสูตรหนึ่งจากการตีความพจน์ต่าง ๆ ของมัน ตัวแบบ ของสูตร ๆ หนึ่งหมายถึงรูปแบบของการตีความพจน์ต่าง ๆ ในสูตรที่จะทำให้สูตรนั้นเป็นจริง
ดูเพิ่ม
- (Combinatorics on words)
- (Free monoid)
- (Formal method)
- กรอบความคิดเชิงทฤษฏีด้านไวยากรณ์ (Grammar framework)
- สัญกรณ์คณิตศาสตร์
- แถวลำดับแบบจับคู่
- สายอักขระ
หมายเหตุ
- แปลจาก "formal language of pure language."
- ตัวอย่างเช่น ชุดตัวอักษรที่ใช้แสดง (first-order logic) นั้นนอกจากสัญลักษณ์อย่าง ∧, ¬, ∀ และวงเล็บแล้ว ก็ยังมีสมาชิกตัวอักษรอื่น ๆ อีกมากมาย x0, x1, x2, … จำนวนนับไม่ถ้วนที่ทำหน้าที่เป็นตัวแปร
อ้างอิง
อ้างอิง
- ดูที่ อาทิ Reghizzi, Stefano Crespi (2009), Formal Languages and Compilation, Texts in Computer Science, Springer, p. 8, ISBN ,
An alphabet is a finite set
. - Martin Davis (1995). "Influences of Mathematical Logic on Computer Science". ใน Rolf Herken (บ.ก.). The universal Turing machine: a half-century survey. Springer. p. 290. ISBN .
- Hopcroft & Ullman (1979) , Chapter 11: Closure properties of families of languages.
แหล่งข้อมูล
- งานที่อ้างอิง
- และ , , Addison-Wesley Publishing, Reading Massachusetts, 1979. ISBN .
- อ้างอิงทั่วไป
- A. G. Hamilton, Logic for Mathematicians, , 1978, ISBN .
- , Algebraic and automata theoretic properties of formal languages, North-Holland, 1975, ISBN .
- , Introduction to Formal Language Theory, Addison-Wesley, 1978.
- (2010). A Concise Introduction to Mathematical Logic (3rd ed.). New York, NY: . doi:10.1007/978-1-4419-1221-3. ISBN ..
- , , Handbook of Formal Languages: Volume I-III, Springer, 1997, ISBN .
- Patrick Suppes, Introduction to Logic, D. Van Nostrand, 1957, ISBN .
แหล่งข้อมูลอื่น
- Hazewinkel, Michiel, บ.ก. (2001), "Formal language", , , ISBN
- , นิยามภาษารูปนัย
- James Power, "Notes on Formal Language Theory and Parsing" 2007-11-21 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 2002.
- ฉบับร่างของบทบางบทใน "Handbook of Formal Language Theory", Vol. 1–3, G. Rozenberg and A. Salomaa (eds.), , (ค.ศ. 1997):
- Alexandru Mateescu และ Arto Salomaa, "Preface" in Vol.1, pp. v–viii, and "Formal Languages: An Introduction and a Synopsis", Chapter 1 in Vol. 1, pp.1–39
- Sheng Yu, "Regular Languages", Chapter 2 in Vol. 1 2006-05-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Jean-Michel Autebert, Jean Berstel, Luc Boasson, "Context-Free Languages and Push-Down Automata", Chapter 3 in Vol. 1
- Christian Choffrut และ Juhani Karhumäki, "Combinatorics of Words", Chapter 6 in Vol. 1
- Tero Harju และ Juhani Karhumäki, "Morphisms", Chapter 7 in Vol. 1, pp. 439–510
- Jean-Eric Pin, "Syntactic semigroups", Chapter 10 in Vol. 1, pp. 679–746
- M. Crochemore และ C. Hancart, "Automata for matching patterns", Chapter 9 in Vol. 2
- Dora Giammarresi, Antonio Restivo,
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
intrrksastr khnitsastr phasasastr aelawithyakarkhxmphiwetxr phasarupny xngkvs Formal language bangkwa phasaaebbaephn prakxbdwykhasungsakddwy symbol formal cakchudtwxksrchudhnung aela well formedness tamkdchudhnungokhrngsrangkhxngpraoykhinphasaxngkvsthiaemimmikhwamhmayaetcddiaelwthangwakysmphnth Colorless green ideas sleep furiously cakonm chxmski kh s 1957 chudtwxksrkhxngphasarupnyphasahnungprakxbdwysylksn twxksr hruxothekhn sungtxkn concatenate epnsayxkkhrainphasann sayxkkhraaetlasaysungtxknkhuncaksylksninchudtwxksrnneriykwakha aelabangkhrngkhainphasarupnyphasahnungkeriykwakhathicddiaelw hrux well formed formula phasarupnythukkahndody formal grammar echn regular grammar hrux context free grammar sungprakxbdwy formation rule khxngtwexng sakhathvsdiphasarupny xngkvs Formal language theory suksadanwakysmphnth hruxrupaebbokhrngsrangphayinkhxngphasarupnyepnhlk thvsdiphasarupnyaeykxxkmacakphasasastr ephuxthakhwamekhaicthungraebiybthangwakysmphnthkhxngphasathrrmchati phasarupnythukichinwithyakarkhxmphiwetxrepnrakthankhxngniyamkhxngiwyakrnkhxngphasaopraekrm aelakhxngphasathrrmchatirupaebbrupnysungkhainphasannaethnaenwkhidthismphnthkbkhwamhmayxnhnung tampktiinthvsdikhwamsbsxninkarkhanwn pyhakartdsinicthukniyamepnphasarupny aelaklumkhwamsbsxnthukniyamepnestkhxngphasarupnythiekhruxngsungmiphlnginkarkhanwncakdsamarth parsing id intrrksastraelarakthankhxngkhnitsastr phasarupnythuknamaichephuxaethnwakysmphnthkhxng axiomatic system aela formalism philosophy of mathematics epnprchyathiklawwakhnitsastrthnghmdlwnsamarththukldrupihklayepnephiyngkrabwnkarddaeplngthangwakysmphnthkhxngphasarupnyidprawtikhawaphasarupny formal language xacthukichepnkhrngaerkin aeplwa karekhiynaenwkhid concept writing ody kxtholph efrekx Gottlob Frege inpi kh s 1879 sungxthibaythung phasarupnykhxngphasabrisuththi khacakchudtwxksrinbribthkhxngphasarupny chudtwxksrepnestkhxngsingidkid xyangirktamkarichkhawachudtwxksrinkhwamhmaythwipthaihekhaicidngaykwa echnchudxkkhraxathi ASCII hruxyuniokhd smachikinchudtwxksreriykwatwxksr chudtwxksrchudhnungsamarthmitwxksrideyxanbimthwn xyangirktam niyaminthvsdiphasarupnyswnihyrabuihchudtwxksrmismachikcanwncakd aelaphllphthswnihycaichidkbchudtwxksraebbniethann kha khuxladbkhxngtwxksrcakchudtwxksrhnungsungmikhnadcakd echn sayxkkhra estkhxngkhathukkhathiprakxbkhuncaktwxksrinchudtwxksr S mkthukekhiynepn S ichsylksn Kleene star khwamyawkhxngkhakhuxcanwnkhxngtwxksrinkhann chudtwxksrthukchudmikha ediywthimikhwamyawethakb 0 nnkhux khawang sungmkthukaethndwyxksr e e l hrux L khasxngkhasamarthcbma Concatenation ephuxsrangkhaihmkhunmaid odycamikhwamyawethakbkhwamyawkhxngkhathinamatxknrwmkn aelakartxkha hnungkbkhawangcaidphllphthepnkhaedimkhann inkarprayuktichinsakhaxun odyechphaatrrksastr chudtwxksrmichuxeriykxikchuxwa wngsphth aelakhamichuxeriykxikchuxwa sutr formula hrux praoykh sentence sungepnkarepliynkarepriybethiyb cakkarethiybkbkhwamsmphnthrahwangtwxksrkbkha epnkarethiybkbkhwamsmphnthrahwangkhaaelapraoykhbthniyamphasarupny L thiichchudtwxksr S epnestyxykhxngestkhxngkhathukkha S inchudtwxksrnn bangkhrngkhaaetlakhakcathukcdklumepnniphcn aelakdeknthbangxyangcathukkahndkhunmaephuxsrang niphcnthicddiaelw insakhawithyakarkhxmphiwetxraelakhnitsastr khawa echingrupny hrux rupny mkthuklaewniwephuxldkarichkhaaebbfumefuxy enuxngcakinsakhawichaehlaniphasathrrmchatimkimthukphudthungbxyxyuaelwcungimcaepntxngrabuwakalngichkhainkhwamhmayechingrupny inkhnathithvsdiphasarupnyodythwipihkhwamsnickbphasarupnythimikdeknthdanwakysmphnth aetbthniyamcring khxngaenwkhid phasarupny nnkepndngthirabuiwdanbnephiyngethannkhux estkhxngsayxkkhrathimikhwamyawcakd sungxacmicanwnnbimthwnkid sungprakxbkhuncakchudtwxksrchudhnung imminiyamthimakiphruxnxyipkwani inthangptibti miphasahlayaebbthisamarthxthibaydwykdeknthid echn Regular language hrux context free language khwamhmaykhxngiklekhiyngkbaenwkhideruxng phasa tamshchyanmakkwa sungkkhuxphasathithukkdhndodykdeknthdanwakysmphnth aelahakichniyamkhxngmnxyangphid xacthuxidwaphasarupnyphasahnungcamaphrxmkbiwyakrnrupnyrupaebbhnungthiepntwbrryayphasann twxyangkhxkhwamdngtxipniepnkdthibrryaythungphasarupny L phasahnungsungprakxbkhuncakchudtwxksr S 0 1 2 3 4 5 6 7 8 9 sayxkkhrathiimwangthuksay thiimmitw hrux aelaimiderimtndwytw 0 epnsayxkkhrathimixyuinphasa L sayxkkhra 0 mixyuinphasa L sayxkkhrathimitw nncamixyuinphasa L ktxemuxmitw ephiyngtwediywethann aelacatxngxyurahwangsayxkkhrasxngsaythithuktxngtamkdkhxngphasa L sayxkkhrathimitw aetimmitw nncamixyuinphasa L ktxemuxtw thuktwinsayxkkhrannxyurahwangsayxkkhrasxngsaythithuktxngtamkdkhxngphasa L immisayxkkhraxunidxyuinphasa L nxkehnuxcakthikdthirabuiwkxnhnanisuxthung phayitkdehlani sayxkkhra 23 4 555 mixyuinphasa L aetimmisayxkkhra 234 xyuinphasa L phasarupnyphasaniaesdngthungcanwnthrrmchati karbwkthicddiaelw aelasmkarkhxngkarbwkthicddiaelw aetaesdngephiynglksnawaepnxyangir wakysmphnth aetimidaesdngwamikhwamhmayxyangir twxyangechn kdehlaniimidrabuwa 0 hmaythungelkhsuny hmaythungkarbwk 23 4 555 epnethc l karsrang erasamarthaeckaecngkhathicddiaelwthukkhainphasacakdphasahnungid echn erasamarthbrryayphasa L idwa L a b ab cba krnildrupkhxngkarsrangaebbnikhuxphasawangsungimmikhaxyuely L thwaaemaetchudtwxksrthicakd imwang echn S a b kmikhathimikhwamyawcakdthiprakxbkhuncakchudtwxksrnnxyumakepncanwnimcakd xnnt a abb ababba aaababbbbaab dngnnphasarupnyodypktiepnphasaxnnt aelakarbrryayphasarupnyxnntnnimsamarththaiddwyephiyngkarekhiynwa L a b ab cba khxkhwamtxipniepntwxyangkhxngphasarupny L S estkhxngkhathukkhainchudtwxksr S L a an ody n khuxcanwnthrrmchati aela an hmaythung a sakn n khrng estkhxngkhathukkhathiprakxbkhuncaksylksn a ethann estkhxngopraekrmthithuktxngthangwakysmphnththukopraekrminphasaopraekrmphasahnung sungpktiwakysmphnthkhxngphasannthukihniyamdwy context free grammar estkhxngxinphutthithaihekhruxngthwringekhruxnghnunghyud estkhxngsayxkkhraihy maximal string sudkhxngxkkhraaexskixksrelkhinbrrthdtxip the set of maximal strings of ASCII characters on this line i e khuxest the set of maximal strings alphanumeric ASCII characters on this line i e rupaebbkarkahndkhunsmbtikhxngphasaphasarupnythukichepnekhruxngmuxinhlaysakhawicha aetthvsdiphasarupnyimsnicinphasaidphasahnungodyechphaa ykewninkaryktwxyang aelasnicsuksarupaebbinkarkahndphasatang sahrbkarbrryayphasadngechn estkhxngsayxkkhrathithukphlitody estkhxngsayxkkhrathithukkahndody hruxcbkhukbniphcnprkti estkhxngsayxkkhrathixxotmatxnekhruxnghnungrb echnekhruxngthwringhruxxxotmatxnsthanacakd estkhxngsayxkkhrathikrabwnkartdsinichnung khntxnwithithicathamkhathamich imichthiekiywkhxngepnladb ihkhatxbwa ich khathamthwipekiywkbkarkahndphasaaetlarupaebbmidngechn mikhwamsamarthinkaraesdngxxkethaihr expressive power karkahndrupaebbX samarthbrryayphasathukphasathirupaebb Y samarthbrryayidhruxim mnsamarthbrryayphasaxun idhruxim mikhwamsamarthinkarrucaethaihr recognizability mnyakaekhihn thicarucawakha hnungnnxyuinphasahnungthithukbrryayodyrupaebb X hruxim mikhwamsamarthinkarepriybethiybethaihr comparability mnyakaekhihn thicatdsinwaphasasxngphasa sungthukbrryayodyrupaebb X aela Y hruxthukbrryayodyrupaebb X ehmuxnknthngsxngnn khwamcringaelwepnphasaediywkn khatxbkhxngpyhakartdsinicehlanimklngexydwy imsamarththaidely hrux sinepluxngmak sungcamikhaxthibaywasinepluxnginaengihn thvsdiphasarupnycungepnsakhawichahlkthiprayuktichthvsdikarkhanwnidaelathvsdikhwamsbsxn phasarupnythukcdhmwdhmuin Chomsky hierarchy tamphlnghruxkhwamsamarthinkaraesdngxxkkhxngiwyakrnephimphunkhxngphasaehlann rwmipthungtamkhwamsbsxnkhxngxxotmatxnthirucamn aelaepntweluxkthipranipranxmrahwangkhwamsamarthinkaraesdngxxkaelakhwamngayin parsing aelathukichxyangaephrhlayinechingptibtikardaeninkarbnphasakardaeninkarbnphasaprakxbdwykardaeninkarkhxngestchudmatrthan echnyueniyn xinetxreskchn aelaswnetimetm kbkardaeninkarxikchudhnungsungepnkardaeninkarbnsayxkkhrathiprayuktichaebbsmachiktxsmachik element wise twxyang smmutiih L1 displaystyle L 1 aela L2 displaystyle L 2 epnphasathimichudtwxksr S displaystyle Sigma rwmkn khxngthngsxng L1 L2 displaystyle L 1 cdot L 2 prakxbdwysayxkkhrathnghmdinrup vw displaystyle vw ody v displaystyle v epnsayxkkhracak L1 displaystyle L 1 aela w displaystyle w epnsayxkkhracak L2 displaystyle L 2 xinetxreskchnhruxswnrwmkhxngthngsxng L1 L2 displaystyle L 1 cap L 2 prakxbdwysayxkkhrathnghmdthimixyuinthngsxngphasa swnetimetmkhxng L1 displaystyle L 1 L1 displaystyle neg L 1 ethiybkb S displaystyle Sigma prakxbdwysayxkkhrathnghmdcak S displaystyle Sigma thiimmixyuin L1 displaystyle L 1 phasathiprakxbdwykhathukkhathiekidcakkartxknkhxngkhacakphasatnchbbcanwnsunykhakhunip karyxnklb ih e epnkhawang aelw eR e displaystyle varepsilon R varepsilon aela sahrbkhaimwangaetlakha w s1 sn displaystyle w sigma 1 cdots sigma n ody s1 sn displaystyle sigma 1 ldots sigma n epnsmachikkhxngchudtwxksrchudhnung ih wR sn s1 displaystyle w R sigma n cdots sigma 1 channaelwsahrbphasa L displaystyle L LR wR w L displaystyle L R w R mid w in L String homomorphism string operations ehlanithukichephuxsarwchasmbtikarpidkhxngphasahmwdhmuhnung phasahmwdhmuhnungmismbtikarpidhrux pid phayitkardaeninkarxyanghnung emuxkrathakbphasainhmwdhmunnaelwidphllphthepnphasainhmwdhmuedim twxyangechn sungpidphayitkardaeninkaryueniyn txkn aelaswnrwmkb aetimpidphayitkardaeninkarswnrwmhruxswnetimetm thvsdikhxng cone formal languages aela abstract family of languages suksaekiywkbsmbtikarpidkhxngphasa smbtikarpidkhxngtrakulphasatang tamhxpkhrxfthaelaxulmnn L1 displaystyle L 1 daeninkar L2 displaystyle L 2 sungthng L1 displaystyle L 1 aela L2 displaystyle L 2 xyuintrakulphasaediywkntamaetlasdmph kardaeninkaryueniyn L1 L2 w w L1 w L2 displaystyle L 1 cup L 2 w mid w in L 1 lor w in L 2 ich im ich ich ich ich ichxinetxreskchn L1 L2 w w L1 w L2 displaystyle L 1 cap L 2 w mid w in L 1 land w in L 2 ich im im im ich ich ichswnetimetm L1 w w L1 displaystyle neg L 1 w mid w not in L 1 ich ich im im ich ich imL1 L2 wz w L1 z L2 displaystyle L 1 cdot L 2 wz mid w in L 1 land z in L 2 ich im ich ich ich ich ichkhlinstar L1 e wz w L1 z L1 displaystyle L 1 varepsilon cup wz mid w in L 1 land z in L 1 ich im ich ich ich ich ichsathissythan khxngsayxkkhra h L displaystyle h L h L1 h w w L1 displaystyle h L 1 h w mid w in L 1 ich im ich ich im im ichsathissythan khxngsayxkkhra ir e h L displaystyle h L h L1 h w w L1 displaystyle h L 1 h w mid w in L 1 ich im ich ich ich ich ichkaraethnthi f L displaystyle varphi L f L1 s1 sn L1f s1 f sn displaystyle varphi L 1 bigcup sigma 1 cdots sigma n in L 1 varphi sigma 1 cdot ldots cdot varphi sigma n ich im ich ich ich im ichsathissythanphkphn h 1 L displaystyle h 1 L h 1 L1 w L1h 1 w displaystyle h 1 L 1 bigcup w in L 1 h 1 w ich ich ich ich ich ich ichkaryxnklb LR wR w L displaystyle L R w R mid w in L ich im ich ich ich ich ichxinetxreskchnkb R displaystyle R L R w w L w R displaystyle L cap R w mid w in L land w in R ich ich ich ich ich ich ichkarprayuktichphasaopraekrm khxmiphelxr hruxopraekrmaeplopraekrmmiswnprakxbthichdecnxyusxngswn khux Lexical analysis thicarabuothekhnkhxngiwyakrnkhxngphasaopraekrmechn identifier hruxkhasngwn Literal twelkhaelasayxkkhra ekhruxnghmaywrrkhtxnaelasylksntwdaeninkar sungkthukkahndxikthiodyphasarupnythieriybngaykwasungodythwipkthakhundwyniphcnprkti swnnithuksrangkhundwyekhruxngmuxaebb Lex software aelaswnthisxngkhuxthicathdlxngtdsinwaopraekrmtnchbbnnsmehtusmphlthangwakysmphnthhruxim hmaykhwamwaopraekrmtnchbbnncddiaelwtamiwyakrnkhxngphasaopraekrmthikhxmiphelxrthuksrangkhunmahruxim swnnithuksrangkhundwy compiler compiler echn khxmiphelxrthahnathimakkwakaraecngswnrhstnchbb aetyngaeplrhsihxyuinrupaebbsngthakarrupaebbhnungdwy dngnntwaecngswncungihkhatxbepnich imichmakkwahnungkhatxb sungpktiepn abstract syntax tree thikhxmiphelxrnamaichinkhntx maephuxsudthayphlitiflsngthakarkhuncakrhsekhruxngthicathakarbnhardaewrodytrng hruxcakrhsibtthitxngich virtual machine ephuxthakar thvsdi rabb aelakarphisucnechingrupny aephnphaphniaesdngthungkaraebnghmwdhmuechingphayin sayxkkhra Strings of symbols samarththukaebngxxkidxyangkwang epnsayxkkhrathiimidkhwamkb well formed formula aelaestkhxngsutrthicddiaelwsamarththukaebngxxkepnxnthiepnthvsdibth theorem kbthiimepnthvsdibth inkhnittrrksastr thvsdirupny formal theory khuxchudkhxnginphasarupnyphasahnung rabbrupny eriykxikxyangwa aekhlkhulsechingtrrka hrux rabbechingtrrka prakxbdwyphasarupnyphrxmkb deductive system sungxacprakxbdwy rewriting chudhnungsungsamarththuktikhwamepnkdkarxnumanthismehtusmphlid hruxscphcnchudhnung hruxthngsxngxyang rabbrupnythukichephux proof theory niphcnhnungmacakniphcnxun erasamarthrabuphasarupnyphasahnungidphansutrkhxngmn aeteraimsamarththaidxyangediywknkbrabbrupnyphanthvsdibthkhxngmn rabbrupnysxngrabb FS displaystyle mathcal FS aela FS displaystyle mathcal FS samarthmithvsdibththiehmuxnknthnghmdid thungxyangnnaelwkyngtangkninaengthvsdikarphisucnaengidaenghnungxyangminysakhy echnsutr A xacepnphlphwngthangwakysmphnthkhxngsutr B inrabbhnung aetimidepninxikrabbhnung karphisucnechingrupny xngkvs Formal proof hrux karsubsmutthan xngkvs Derivation epnladbcakdkhxngsutrthicddiaelw sungkxactikhwamidepnpraoykh hruxpraphcn sungaetlasutrepnscphcnkhxhnung hruxtamcaksutrthimakxninladbnntam rule of inference praoykhsudthayinladbnnepnthvsdibthkhxngrabbrupnyrabbhnung karphisucnechingrupnynnmipraoychnephraathvsdibththiidmasamarthtikhwamidepnpraphcncring kartikhwamaelatwaebb phasarupnymilksnaepnwakysmphnthodysineching aetksamarthmixrrthsastrthiihkhwamhmaykbswnprakxbtang khxngphasaid xathi inkhnittrrksastr estkhxngsutrthiepnipidkhxngtrrkachnidhnungkhuxphasarupny aelarupaebbhnungcaihkhwamhmayaeksutraetlasutr odythwipepnkhakhwamcring semantics of logic epnkarsuksaekiywkbkartikhwamphasarupny sungmkthukthainaengkhxngthvsditwaebbinkhnittrrksastr phcntang thimixyuinsutr hnungnnthuktikhwamepnwtthuthixyuphayin Structure mathematical logic aelakdkartikhwamechingprakxbaebbthawr fixed compositional interpretation rule catdsinwithikarthicasubmasungkhakhwamcringkhxngsutrhnungcakkartikhwamphcntang khxngmn twaebb khxngsutr hnunghmaythungrupaebbkhxngkartikhwamphcntang insutrthicathaihsutrnnepncringduephim Combinatorics on words Free monoid Formal method krxbkhwamkhidechingthvstidaniwyakrn Grammar framework sykrnkhnitsastr aethwladbaebbcbkhu sayxkkhrahmayehtuaeplcak formal language of pure language twxyangechn chudtwxksrthiichaesdng first order logic nnnxkcaksylksnxyang aelawngelbaelw kyngmismachiktwxksrxun xikmakmay x0 x1 x2 canwnnbimthwnthithahnathiepntwaeprxangxingxangxing duthi xathi Reghizzi Stefano Crespi 2009 Formal Languages and Compilation Texts in Computer Science Springer p 8 ISBN 9781848820500 An alphabet is a finite set Martin Davis 1995 Influences of Mathematical Logic on Computer Science in Rolf Herken b k The universal Turing machine a half century survey Springer p 290 ISBN 978 3 211 82637 9 Hopcroft amp Ullman 1979 harvtxt error no target CITEREFHopcroftUllman1979 Chapter 11 Closure properties of families of languages aehlngkhxmul nganthixangxingaela Addison Wesley Publishing Reading Massachusetts 1979 ISBN 81 7808 347 7 xangxingthwipA G Hamilton Logic for Mathematicians 1978 ISBN 0 521 21838 1 Algebraic and automata theoretic properties of formal languages North Holland 1975 ISBN 0 7204 2506 9 Introduction to Formal Language Theory Addison Wesley 1978 2010 A Concise Introduction to Mathematical Logic 3rd ed New York NY doi 10 1007 978 1 4419 1221 3 ISBN 978 1 4419 1220 6 Handbook of Formal Languages Volume I III Springer 1997 ISBN 3 540 61486 9 Patrick Suppes Introduction to Logic D Van Nostrand 1957 ISBN 0 442 08072 7 aehlngkhxmulxunwikimiediykhxmmxnsmisuxthiekiywkhxngkb phasarupny Hazewinkel Michiel b k 2001 Formal language ISBN 978 1 55608 010 4 niyamphasarupny James Power Notes on Formal Language Theory and Parsing 2007 11 21 thi ewyaebkaemchchin 29 phvscikayn kh s 2002 chbbrangkhxngbthbangbthin Handbook of Formal Language Theory Vol 1 3 G Rozenberg and A Salomaa eds kh s 1997 Alexandru Mateescu aela Arto Salomaa Preface in Vol 1 pp v viii and Formal Languages An Introduction and a Synopsis Chapter 1 in Vol 1 pp 1 39 Sheng Yu Regular Languages Chapter 2 in Vol 1 2006 05 19 thi ewyaebkaemchchin Jean Michel Autebert Jean Berstel Luc Boasson Context Free Languages and Push Down Automata Chapter 3 in Vol 1 Christian Choffrut aela Juhani Karhumaki Combinatorics of Words Chapter 6 in Vol 1 Tero Harju aela Juhani Karhumaki Morphisms Chapter 7 in Vol 1 pp 439 510 Jean Eric Pin Syntactic semigroups Chapter 10 in Vol 1 pp 679 746 M Crochemore aela C Hancart Automata for matching patterns Chapter 9 in Vol 2 Dora Giammarresi Antonio Restivo