ฟริทซ์ เอริช เกออร์ค เอดูอาร์ท ฟ็อน เลวินสกี (เยอรมัน: Fritz Erich Georg Eduard von Lewinski) หรือเป็นที่รู้จักกันคือ เอริช ฟ็อน มันชไตน์ (เยอรมัน: Erich von Manstein) เป็นนายทหารบกและจอมพลเยอรมัน เป็นผู้บัญชาการทหารแวร์มัคท์ของนาซีเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นนายพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของไรช์ที่สาม หลังสงครามยุติ เขาเป็นที่ปรึกษาทางทหารของเนโท
เอริช ฟ็อน มันชไตน์ | |
---|---|
จอมพล เอริช ฟ็อน มันสไตน์ในปีค.ศ. 1938 | |
ชื่อเกิด | ฟริทซ์ เอริช เกออร์ค เอดูอาร์ท ฟ็อน เลวินสกี |
เกิด | 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 1887 เบอร์ลิน ราชอาณาจักรปรัสเซีย, จักรวรรดิเยอรมัน |
เสียชีวิต | 9 มิถุนายน ค.ศ. 1973 รัฐบาวาเรีย, เยอรมนีตะวันตก | (85 ปี)
รับใช้ |
|
ประจำการ | ค.ศ. 1906–1944 ค.ศ. 1949–56 |
ชั้นยศ | จอมพล |
การยุทธ์ | |
บำเหน็จ | กางเขนอัศวินติดใบโอ็คคาดดาบ |
งานอื่น | ที่ปรึกษาทางทหารของเยอรมนีตะวันตก |
ลายมือชื่อ |
ภูมิหลัง
มันชไตน์เกิดในตระกูลขุนนางปรัสเซีย ตระกูลเลวินสกีมีประวัติการรับราชการทหารมาอย่างยาวนาน มันชไตน์เข้ารับราชการทหารในช่วงวัยเยาว์และเคยปฏิบัติหน้าที่ในแนวรบด้านตะวันตกและด้านตะวันออกในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และมียศร้อยเอกในตอนที่สงครามยุติ ต่อมาในช่วงเว้นว่างสงคราม มันชไตน์ยังคงประจำการอยู่ในกองทัพ โดยมีส่วนในการฟื้นแสนยานุภาพของเยอรมนี
สงครามโลกครั้งที่สอง
กันยายน 1939 การบุกครองโปแลนด์จุดชนวนสงครามโลกครั้งที่สอง ขณะนั้นมันชไตน์มียศพันเอก และมีตำแหน่งเป็นเสนาธิการของพลเอกอาวุโสแกร์ท ฟ็อน รุนท์ชเต็ท แผนยุทธศาสตร์ของมันชไตน์ถูกเลือกโดยอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เพื่อใช้ในการบุกครองฝรั่งเศสในเดือนพฤษภาคม 1940 ซึ่งต่อมา แผนนี้ถูกขัดเกลาโดยพลเอกอาวุโสฟรันทซ์ ฮัลเดอร์ และนายทหารคนอื่นในกองบัญชาการใหญ่กองทัพบกเยอรมัน
กองทัพเยอรมันความคาดหมายว่า พวกเขาจะเผชิญการต่อต้านอย่างรุนแรงเมื่อเข้ารุกรานประเทศเนเธอร์แลนด์ ด้วยเหตุนี้ มันชไตน์จึงคิดแผนยุทธขึ้นใหม่ซึ่งต่อมาเรียกว่า "เคียวตัด" (Sichelschnitt) ซึ่งจะเข้าตีทางและรีบเจาะไปยังช่องแคบอังกฤษ เพื่อปิดล้อมกองทัพฝรั่งเศสและสัมพันธมิตรที่อยู่ในเบลเยียมและแฟลนเดอส์ ต่อมามันชไตน์เข้าร่วมในการรุกรานสหภาพโซเวียตในเดือนมิถุนายน 1941 และการล้อมเซวัสโตปอล (ค.ศ. 1941–1942) และได้รับยศจอมพลในปี 1942 เขายังได้มีส่วนร่วมในการล้อมเลนินกราด
โชคชะตาของเยอรมนีในช่วงสงครามพลิกกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบในปี 1942 โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยความพินาศย่อยยับจากยุทธการที่สตาลินกราด ที่มันชไตน์ได้ล้มเหลวในการบังคัญชาเพื่อการบรรเทาวงล้อม (ปฏิบัติการพายุฤดูหนาว) ในเดือนธันวาคม ต่อมาได้เป็นที่รู้จักกันคือ "การตีหลังมือ" (backhand blow) มันชไตน์ได้ทำโจมตีตอบโต้กลับในยุทธการที่คาร์คอฟครั้งที่ 3 (กุมภาพันธ์–มีนาคม ค.ศ. 1943) ได้เข้ายึดชิงดินแดนที่สำคัญกลับคืนและส่งผลทำให้เกิดการล้างผลาญของกองทัพโซเวียตไปสามกองทัพและการล่าถอยไปอีกสามกองทัพ เขาได้เป็นหนึ่งในผู้บัญชาการหลักที่ยุทธการที่คูสค์ (กรกฎาคม–สิงหาคม ค.ศ. 1943) หนึ่งในการรบของรถถังที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยความไม่ลงรอยกันอย่างต่อเนืองของเขากับฮิตเลอร์ในการดำเนินสงครามต่อไปจนทำให้เขาต้องถูกปลดออกในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1944 เขาไม่ได้รับคำสั่งอีกเลยและถูกจับกุมเป็นเชลยโดยอังกฤษในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1945 หลายเดือนหลังความพ่ายแพ้ของเยอรมนี
หลังสงคราม
มันชไตน์เข้าให้ปากคำในการพิจารณาคดีเนือร์นแบร์คหลักที่เกี่ยวกับข้อหาอาชญากรสงครามในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1946 และได้เตรียมเอกสาร, ที่พร้อมกับความทรงจำของเขาในภายหลัง, ได้ช่วยทำให้เกิดการปลูกฝังตำนานของ "แวร์มัคท์บริสุทธิ์"—เป็นตำนานที่เชื่อว่ากองทัพเยอรมันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความโหดร้ายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของนาซี
ในปี 1949 เขาถูกนำตัวขึ้นในฮัมบวร์ค ในข้อหาก่ออาชญากรรมสงครามและถูกมีความผิดจากเก้าในสิบเจ็ดข้อหา รวมทั้งการรักษาชีวิตเชลยศึกที่ไม่ดีและความล้มเหลวในการปกป้องชีวิตพลเรือนในพื้นที่ใต้ความควบคุมของเขา เขาถูกพิพากษาโทษจำคุกเป็นเวลา 18 ปี ต่อมาได้รับอภัยลดโทษเหลือ 12 ปี แต่ติดคุกจริงเพียงสี่ปีแล้วจึงได้รับการปล่อยตัวในปี 1953
หลังถูกปล่อยตัว เขาได้เป็นที่ปรึกษาทางทหารให้แก่รัฐบาลเยอรมนีตะวันตกในช่วงปลายทศวรรษที่ 1950 เขาได้ช่วยสร้างกองทัพขึ้นมาใหม่อีกครั้ง บันทึกของเขา Verlorene Siege (ค.ศ. 1955) ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Lost Victories ("ชัยชนะที่หายไป") มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์ภาวะผู้นำของฮิตเลอร์ และการบริหารกับเพียงด้านการทหารในช่วงยามสงคราม โดยไม่คำนึงถึงด้านการเมืองและศีลธรรม มันชไตน์ได้ถึงแก่กรรมใกล้กับมิวนิกในปี 1973
เกียรติยศ
อิสริยาภรณ์เยอรมัน
- กางเขนเหล็ก ชั้นสอง และชั้นหนึ่ง
- คาดดาบ ชั้นอัศวิน
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์ฟรีดริชคาดดาบ ชั้นอัศวิน และชั้นหนึ่ง
- (แบบฮัมบวร์ค)
- กางเขนเกียรติยศสงครามโลก 1914/1918
- (1939) ชั้นสอง และชั้นหนึ่ง
- กางเขนอัศวินแห่งกางเขนเหล็ก
- กางเขนอัศวิน เมื่อ 19 กรกฎาคม 1940
- ติดใบโอ็ค เมื่อ 14 มีนาคม 1943
- คาดดาบ เมื่อ 30 มีนาคม 1944
ยศทหาร
- มีนาคม 1906: นักเรียนทำการนายร้อย (Fähnrich)
- มกราคม 1907: ร้อยตรี (Leutnant)
- มิถุนายน 1914: ร้อยโท (Oberleutnant)
- กรกฎาคม 1915: ร้อยเอก (Hauptman)
- กุมภาพันธ์ 1927: พันตรี (Major)
- เมษายน 1932: พันโท (Oberstleutnant)
- ธันวาคม 1933: พันเอก (Oberst)
- ตุลาคม 1936: พลตรี (Generalmajor)
- เมษายน 1939: พลโท (Generalleutnant)
- มิถุนายน 1940: พลเอกทหารราบ (General der Infanterie)
- มีนาคม 1942: พลเอกอาวุโส (Generaloberst)
- กรกฎาคม 1942: จอมพล (Generalfeldmarschall)
อ้างอิง
- Knopp 2003, p. 139.
ก่อนหน้า | เอริช ฟ็อน มันชไตน์ | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
ไม่มี | ผู้บัญชาการกลุ่มทัพดอน (21 พฤศจิกายน 1942 – 12 กุมภาพันธ์ 1943) | ไม่มี | ||
จอมพล มัคซีมีลีอาน ฟ็อน ไวชส์ | ผู้บัญชาการกลุ่มทัพใต้ (12 กุมภาพันธ์ 1943 – 30 มีนาคม 1944) |
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
friths exrich ekxxrkh exduxarth fxn elwinski eyxrmn Fritz Erich Georg Eduard von Lewinski hruxepnthiruckknkhux exrich fxn mnchitn eyxrmn Erich von Manstein epnnaythharbkaelacxmphleyxrmn epnphubychakarthharaewrmkhthkhxngnasieyxrmniinchwngsngkhramolkkhrngthisxng ekhaidrbkarykyxngwaepnnayphlthiyingihythisudkhxngirchthisam hlngsngkhramyuti ekhaepnthipruksathangthharkhxngenothexrich fxn mnchitncxmphl exrich fxn mnsitninpikh s 1938chuxekidfriths exrich ekxxrkh exduxarth fxn elwinskiekid24 phvscikayn kh s 1887 1887 11 24 ebxrlin rachxanackrprsesiy ckrwrrdieyxrmnesiychiwit9 mithunayn kh s 1973 1973 06 09 85 pi rthbawaeriy eyxrmnitawntkrbich eyxrmni thung 1918 eyxrmni thung 1933 ircheyxrmn thung 1945 eyxrmnitawntk thung 1956 inthanathipruksa NATO pracakarkh s 1906 1944 kh s 1949 56chnyscxmphlkaryuththsngkhramolkkhrngthihnungsngkhramolkkhrngthisxng karbukkhrxngopaelnd yuththkarthifrngess ptibtikarbarbarxssa karlxmeswsotpxl karlxmelninkrad yuththkarthistalinkrad yuththkarthikharkhxfkhrngthi 3 yuththkarekhisk yuththkarthiniepxrbaehnckangekhnxswintidiboxkhkhaddabnganxunthipruksathangthharkhxngeyxrmnitawntklaymuxchuxphumihlngmnchitnekidintrakulkhunnangprsesiy trakulelwinskimiprawtikarrbrachkarthharmaxyangyawnan mnchitnekharbrachkarthharinchwngwyeyawaelaekhyptibtihnathiinaenwrbdantawntkaeladantawnxxkinchwngsngkhramolkkhrngthihnung aelamiysrxyexkintxnthisngkhramyuti txmainchwngewnwangsngkhram mnchitnyngkhngpracakarxyuinkxngthph odymiswninkarfunaesnyanuphaphkhxngeyxrmnisngkhramolkkhrngthisxngknyayn 1939 karbukkhrxngopaelndcudchnwnsngkhramolkkhrngthisxng khnannmnchitnmiysphnexk aelamitaaehnngepnesnathikarkhxngphlexkxawuosaekrth fxn runthchetth aephnyuththsastrkhxngmnchitnthukeluxkodyxdxlf hitelxr ephuxichinkarbukkhrxngfrngessineduxnphvsphakhm 1940 sungtxma aephnnithukkhdeklaodyphlexkxawuosfrnths hledxr aelanaythharkhnxuninkxngbychakarihykxngthphbkeyxrmn kxngthpheyxrmnkhwamkhadhmaywa phwkekhacaephchiykartxtanxyangrunaerngemuxekharukranpraethsenethxraelnd dwyehtuni mnchitncungkhidaephnyuththkhunihmsungtxmaeriykwa ekhiywtd Sichelschnitt sungcaekhatithangaelaribecaaipyngchxngaekhbxngkvs ephuxpidlxmkxngthphfrngessaelasmphnthmitrthixyuinebleyiymaelaaeflnedxs txmamnchitnekharwminkarrukranshphaphosewiytineduxnmithunayn 1941 aelakarlxmeswsotpxl kh s 1941 1942 aelaidrbyscxmphlinpi 1942 ekhayngidmiswnrwminkarlxmelninkrad ochkhchatakhxngeyxrmniinchwngsngkhramphlikklayepnfayesiyepriybinpi 1942 odyechphaaxyangyingdwykhwamphinasyxyybcakyuththkarthistalinkrad thimnchitnidlmehlwinkarbngkhychaephuxkarbrrethawnglxm ptibtikarphayuvduhnaw ineduxnthnwakhm txmaidepnthiruckknkhux kartihlngmux backhand blow mnchitnidthaocmtitxbotklbinyuththkarthikharkhxfkhrngthi 3 kumphaphnth minakhm kh s 1943 idekhayudchingdinaednthisakhyklbkhunaelasngphlthaihekidkarlangphlaykhxngkxngthphosewiytipsamkxngthphaelakarlathxyipxiksamkxngthph ekhaidepnhnunginphubychakarhlkthiyuththkarthikhuskh krkdakhm singhakhm kh s 1943 hnunginkarrbkhxngrththngthiihythisudinprawtisastr dwykhwamimlngrxyknxyangtxenuxngkhxngekhakbhitelxrinkardaeninsngkhramtxipcnthaihekhatxngthukpldxxkineduxnminakhm kh s 1944 ekhaimidrbkhasngxikelyaelathukcbkumepnechlyodyxngkvsineduxnsinghakhm kh s 1945 hlayeduxnhlngkhwamphayaephkhxngeyxrmnihlngsngkhrammnchitnekhaihpakkhainkarphicarnakhdienuxrnaebrkhhlkthiekiywkbkhxhaxachyakrsngkhramineduxnsinghakhm kh s 1946 aelaidetriymexksar thiphrxmkbkhwamthrngcakhxngekhainphayhlng idchwythaihekidkarplukfngtanankhxng aewrmkhthbrisuththi epntananthiechuxwakxngthpheyxrmnimidmiswnekiywkhxngkbkhwamohdraykhxngkarkhalangephaphnthukhxngnasi inpi 1949 ekhathuknatwkhuninhmbwrkh inkhxhakxxachyakrrmsngkhramaelathukmikhwamphidcakekainsibecdkhxha rwmthngkarrksachiwitechlysukthiimdiaelakhwamlmehlwinkarpkpxngchiwitphleruxninphunthiitkhwamkhwbkhumkhxngekha ekhathukphiphaksaothscakhukepnewla 18 pi txmaidrbxphyldothsehlux 12 pi aettidkhukcringephiyngsipiaelwcungidrbkarplxytwinpi 1953 hlngthukplxytw ekhaidepnthipruksathangthharihaekrthbaleyxrmnitawntkinchwngplaythswrrsthi 1950 ekhaidchwysrangkxngthphkhunmaihmxikkhrng bnthukkhxngekha Verlorene Siege kh s 1955 idrbkaraeplepnphasaxngkvswa Lost Victories chychnathihayip mienuxhawiphakswicarnphawaphunakhxnghitelxr aelakarbriharkbephiyngdankarthharinchwngyamsngkhram odyimkhanungthungdankaremuxngaelasilthrrm mnchitnidthungaekkrrmiklkbmiwnikinpi 1973ekiyrtiysxisriyaphrneyxrmn kangekhnehlk chnsxng aelachnhnung khaddab chnxswin ekhruxngrachxisriyaphrnfridrichkhaddab chnxswin aelachnhnung aebbhmbwrkh kangekhnekiyrtiyssngkhramolk 1914 1918 1939 chnsxng aelachnhnung kangekhnxswinaehngkangekhnehlk kangekhnxswin emux 19 krkdakhm 1940 tidiboxkh emux 14 minakhm 1943 khaddab emux 30 minakhm 1944ysthhar minakhm 1906 nkeriynthakarnayrxy Fahnrich mkrakhm 1907 rxytri Leutnant mithunayn 1914 rxyoth Oberleutnant krkdakhm 1915 rxyexk Hauptman kumphaphnth 1927 phntri Major emsayn 1932 phnoth Oberstleutnant thnwakhm 1933 phnexk Oberst tulakhm 1936 phltri Generalmajor emsayn 1939 phloth Generalleutnant mithunayn 1940 phlexkthharrab General der Infanterie minakhm 1942 phlexkxawuos Generaloberst krkdakhm 1942 cxmphl Generalfeldmarschall xangxingKnopp 2003 p 139 sfn error no target CITEREFKnopp2003 kxnhna exrich fxn mnchitn thdipimmi phubychakarklumthphdxn 21 phvscikayn 1942 12 kumphaphnth 1943 immicxmphl mkhsimilixan fxn iwchs phubychakarklumthphit 12 kumphaphnth 1943 30 minakhm 1944