อริยบุคคล แปลว่า บุคคลผู้ประเสริฐ, ผู้ไกลจากข้าศึก, ผู้หักกำล้อสังสารวัฏได้แล้วแบ่งได้หลายประเภทคือแบ่งอย่างใหญ่ได้เป็น พระเสขะและพระอเสขะ แบ่งตามประเภทบุคคลมี 4 ประเภทคือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ และยังแบ่งย่อยเป็น 8 ประเภท จัดเป็น 4 คู่ได้อีก
อริยบุคคลแบ่งตามประเภทใหญ่
เสขะ
เสขะ แปลว่า ผู้ยังต้องศึกษาอยู่ คือยังต้องศึกษาไตรสิกขาคือศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อบรรลุมรรคผลที่สูงขึ้นไปอีก เรียกเต็มว่า พระเสขะ หรือ เสขบุคคล เสขะ คือพระอริยบุคคลที่ยังไม่ได้บรรลุ อรหันตผล หรือยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี เสขะ หากได้บรรลุอรหันตผลเป็นพระอรหันต์แล้วก็เป็นอันพ้นจากความเป็นเสขะ และได้ชื่อว่าใหม่ว่า อเสขะ
อเสขะ
อเสขะ แปลว่า ผู้ไม่ต้องศึกษาอีก คือไม่ต้องศึกษาไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญาอีกต่อไป เพราะได้ศึกษาจบโดยได้บรรลุแล้ว เรียกเต็มว่า พระอเสขะ หรือ อเสขบุคคล อเสขะ ได้แก่พระอริยบุคคลระดับสูงสุดคือพระอรหันต์ ผู้เสร็จกิจการศึกษาไตรสิกขาแล้ว ผู้ไม่มีกิจที่จะต้องเพื่อละกิเลสอีก
อริยบุคคลแบ่งตามประเภทบุคคล
โสดาบัน
โสดาบัน แปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสธรรม ผู้แรกถึงกระแสธรรม (คืออริยมรรค) เป็นชื่อเรียกพระอริยบุคคลประเภทแรกใน ๔ ประเภท คือ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ ผู้ได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วด้วยการละ สังโยชน์ เบื้องต่ำ ๓ ประการได้คือ
- สักกายทิฏฐิ คือ ความเห็นเป็นเหตุถือตัวตน เช่นเห็นว่ากายนี้ใจนี้เป็นตัวตนของเรา
- วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัย เช่นสงสัยในข้อปฏิบัติของตนว่าถูกต้องหรือไม่ สงสัยในพระรัตนตรัยหรือในอริยสัจ ๔ ว่ามีจริงหรือไม่
- สีลัพพตปรามาส คือ ความเชื่อถือยึดมั่นว่าความศักดิ์สิทธิ์มีได้ด้วยศีลและพรตอย่างนั้นอย่างนี้ ข้อนี้ขยายความได้ว่ารักษาศีลแต่เพียงทางกาย ทางวาจา แต่ใจยังไม่เป็นศีล หรืออย่างน้อยก็ยังไม่เป็นศีลตลอดเวลา
ความเป็นพระโสดาบันนี้ก็เช่นเดียวกับความเป็นพระอริยบุคคลประเภทอื่นๆ ที่มิได้จำกัดอยู่เฉพาะเพศบรรพชิต(นักบวช) เท่านั้น แม้ คือชายหรือหญิงผู้ครองเรือน ก็สามารถเป็นพระโสดาบันได้ เช่น ในสมัยพุทธกาลคฤหัสถ์ที่เป็นพระโสดาบันที่มีชื่อเสียงก็มีจำนวนมากได้แก่ นางวิสาขามหาอุบาสิกา อนาถบิณฑิกเศรษฐี พระเจ้าพิมพิสาร หมอชีวก เป็นต้น
การเข้าถึงกระแสธรรมของพระโสดาบันนั้น เป็นการยกระดับจิตใจของท่านอย่างถาวร ทำให้ท่านไม่สามารถกลับมาเป็นปุถุชนได้อีก เป็นผู้ที่จะไม่ไปเกิดในอบายภูมิ (เช่น นรก หรือ เดียรฉาน) ทั้งยังเป็นผู้ที่จะบรรลุพระนิพพานในเบื้องหน้าอย่างแน่นอน
โสดาบันอาจจำแนกได้เป็น
- จูฬโสดาบัน คือ กัลยาณปุถุชนผู้แทงตลอดลำดับแห่งนามรูปปริเฉทญาณ ที่ ๑ ถึง ลำดับโคตรภูญาณที่ ๑๓ ตามสมควร
- มหาโสดาบัน คือ อริยบุคคลผู้แทงตลอดในลำดับแห่งญาณ ๑๖ โดยสมบูรณ์
สกทาคามี
สกทาคามี หรือ สกิทาคามี แปลว่า ผู้กลับมาเพียงครั้งเดียว เป็นชื่อเรียกพระอริยบุคคลลำดับที่ ๒ ใน ๔ ประเภท ที่เรียกว่า "ผู้กลับมาเพียงครั้งเดียว" หมายถึง พระสกิทาคามีจะเกิดในกามาวจรภพอีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้นก็จะถึงพระนิพพาน ผู้ได้บรรลุสกทาคามิผลคือผู้ที่ละสังโยชน์เบื้องต่ำ ๓ ประการแรกได้เช่นเดียวกับพระโสดาบัน อีกทั้งทำสังโยชน์เบื้องต่ำอีกสองประการที่เหลือให้เบาบางลงด้วยคือ
- กามราคะ หมายถึง ความพอใจในกาม คือ การความเพลินในการได้เสพ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ที่น่าพอใจ
- ปฏิฆะ หมายถึง ความกระทบกระทั่งในใจ คล้ายความพยาบาทอย่างละเอียด
หากสังโยชน์เบื้องต่ำทั้งสองประการนี้หมดไปก็จะเป็นพระอนาคามี
อนาคามี
อนาคามี แปลว่า ผู้ไม่มาเกิดอีก หมายความว่าจะไม่กลับมาเกิดในกามาวจรภพอีก แต่จะเกิดใน พรหมโลก อีกเพียงครั้งเดียว แล้วจะนิพพานจากพรหมโลกนั้นเลย เป็นชื่อเรียกพระอริยบุคคลประเภทที่ ๓ ใน ๔ ประเภท คือ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นผู้ละสังโยชน์เบื้องต่ำ (โอรัมภาคิยสังโยชน์) ทั้ง ๕ ประการได้แล้ว ยังเหลือสังโยชน์เบื้องสูง (อุทธัมภาคิยสังโยชน์) อีก ๕ ประการ คือ
- รูปราคะ หมายถึง ความพอใจในรูปฌาน หรือ รูปธรรมอันประณีต หรือ ความพอใจในรูปภพ
- อรูปราคะ หมายถึง ความพอใจในอรูปฌาน หรือ พอใจในอรูปธรรม เช่น ความรู้ เป็นต้น หรือ ความพอใจในอรูปภพ
- มานะ หมายถึง ความสำคัญตนว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เช่น เป็นพระอนาคามี (แม้ว่าจะเป็นจริงๆ) เป็นต้น
- อุทธัจจะ คือ ความฟุ้งของจิต
- อวิชชา คือ ความไม่รู้แจ้ง
อนึ่งพึงเข้าใจว่า แม้สังโยชน์เบื้องสูงบางข้อจะมีชื่อเหมือนกิเลสอย่างหยาบที่ยังมีในปถุชน (ผู้ยังไม่เป็นบรรลุเป็นพระอริยบุคคล) เช่น มานะ อุทธัจจะ หรือ อวิชชา แต่สังโยชน์เบื้องสูงอันเป็นกิเลสที่ยังหลงเหลืออยู่ในจิตใจของพระอนาคามีนั้น เป็นกิเลสที่ละเอียดกว่าของปถุชนอย่างมาก
อรหันต์
พระอรหันต์ คือ ผู้สำเร็จธรรมวิเศษสูงสุดในพระพุทธศาสนา พระอริยบุคคลชั้นสูงสุด สามารถละสังโยชน์ได้ครบ 10 ประการ
อริยบุคคล แบ่งตามประเภทย่อย
- คู่ที่ 1 พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค.... โสดาปัตติผล
- คู่ที่ 2 พระผู้ตั้งในสกิทาคามิมรรค.... สกิทาคามิผล
- คู่ที่ 3 พระผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิมรรค.... อนาคามิผล
- คู่ที่ 4 พระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตมรรค.... อรหัตผล
อ้างอิง
- พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ ราชบัณฑิต พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด, วัดราชโอรสาราม กรุงเทพฯ พ.ศ. 2548
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
xriybukhkhl aeplwa bukhkhlphupraesrith phuiklcakkhasuk phuhkkalxsngsarwtidaelwaebngidhlaypraephthkhuxaebngxyangihyidepn phraeskhaaelaphraxeskha aebngtampraephthbukhkhlmi 4 praephthkhux phraosdabn phraskithakhami phraxnakhami aelaphraxrhnt aelayngaebngyxyepn 8 praephth cdepn 4 khuidxikxriybukhkhlaebngtampraephthihyeskha eskha aeplwa phuyngtxngsuksaxyu khuxyngtxngsuksaitrsikkhakhuxsil smathi pyya ephuxbrrlumrrkhphlthisungkhunipxik eriyketmwa phraeskha hrux eskhbukhkhl eskha khuxphraxriybukhkhlthiyngimidbrrlu xrhntphl hruxyngimidepnphraxrhnt idaek phraosdabn phraskthakhami aelaphraxnakhami eskha hakidbrrluxrhntphlepnphraxrhntaelwkepnxnphncakkhwamepneskha aelaidchuxwaihmwa xeskha xeskha xeskha aeplwa phuimtxngsuksaxik khuximtxngsuksaitrsikkha khuxsil smathi pyyaxiktxip ephraaidsuksacbodyidbrrluaelw eriyketmwa phraxeskha hrux xeskhbukhkhl xeskha idaekphraxriybukhkhlradbsungsudkhuxphraxrhnt phuesrckickarsuksaitrsikkhaaelw phuimmikicthicatxngephuxlakielsxikxriybukhkhlaebngtampraephthbukhkhlosdabn osdabn aeplwa phuekhathungkraaesthrrm phuaerkthungkraaesthrrm khuxxriymrrkh epnchuxeriykphraxriybukhkhlpraephthaerkin 4 praephth khux osdabn skthakhami xnakhami xrhnt phuidbrrluosdapttiphlaelwdwykarla sngoychn ebuxngta 3 prakaridkhux skkaythitthi khux khwamehnepnehtuthuxtwtn echnehnwakayniicniepntwtnkhxngera wicikiccha khux khwamlngelsngsy echnsngsyinkhxptibtikhxngtnwathuktxnghruxim sngsyinphrartntryhruxinxriysc 4 wamicringhruxim silphphtpramas khux khwamechuxthuxyudmnwakhwamskdisiththimiiddwysilaelaphrtxyangnnxyangni khxnikhyaykhwamidwarksasilaetephiyngthangkay thangwaca aeticyngimepnsil hruxxyangnxykyngimepnsiltlxdewla khwamepnphraosdabnnikechnediywkbkhwamepnphraxriybukhkhlpraephthxun thimiidcakdxyuechphaaephsbrrphchit nkbwch ethann aem khuxchayhruxhyingphukhrxngeruxn ksamarthepnphraosdabnid echn insmyphuththkalkhvhsththiepnphraosdabnthimichuxesiyngkmicanwnmakidaek nangwisakhamhaxubasika xnathbinthikesrsthi phraecaphimphisar hmxchiwk epntn karekhathungkraaesthrrmkhxngphraosdabnnn epnkarykradbcitickhxngthanxyangthawr thaihthanimsamarthklbmaepnputhuchnidxik epnphuthicaimipekidinxbayphumi echn nrk hrux ediyrchan thngyngepnphuthicabrrluphraniphphaninebuxnghnaxyangaennxn osdabnxaccaaenkidepn culosdabn khux klyanputhuchn phu aethngtlxdla dbaehngnamruppri echthyan thi 1 thung la dbokhtrphuyanthi 13 tamsmkhwr mha osdabn khux xriybukhkhl phu aethngtlxd in la dbaehngyan 16 ody smburn skthakhami skthakhami hrux skithakhami aeplwa phuklbmaephiyngkhrngediyw epnchuxeriykphraxriybukhkhlladbthi 2 in 4 praephth thieriykwa phuklbmaephiyngkhrngediyw hmaythung phraskithakhamicaekidinkamawcrphphxikephiyngkhrngediywethannkcathungphraniphphan phuidbrrluskthakhamiphlkhuxphuthilasngoychnebuxngta 3 prakaraerkidechnediywkbphraosdabn xikthngthasngoychnebuxngtaxiksxngprakarthiehluxihebabanglngdwykhux kamrakha hmaythung khwamphxicinkam khux karkhwamephlininkaridesph rup rs klin esiyng smphs thrrmarmn thinaphxic ptikha hmaythung khwamkrathbkrathnginic khlaykhwamphyabathxyanglaexiyd haksngoychnebuxngtathngsxngprakarnihmdipkcaepnphraxnakhami xnakhami xnakhami aeplwa phuimmaekidxik hmaykhwamwacaimklbmaekidinkamawcrphphxik aetcaekidin phrhmolk xikephiyngkhrngediyw aelwcaniphphancakphrhmolknnely epnchuxeriykphraxriybukhkhlpraephththi 3 in 4 praephth khux osdabn skthakhami xnakhami xrhnt epnphulasngoychnebuxngta oxrmphakhiysngoychn thng 5 prakaridaelw yngehluxsngoychnebuxngsung xuththmphakhiysngoychn xik 5 prakar khux ruprakha hmaythung khwamphxicinrupchan hrux rupthrrmxnpranit hrux khwamphxicinrupphph xruprakha hmaythung khwamphxicinxrupchan hrux phxicinxrupthrrm echn khwamru epntn hrux khwamphxicinxrupphph mana hmaythung khwamsakhytnwaepnnnepnni echn epnphraxnakhami aemwacaepncring epntn xuththcca khux khwamfungkhxngcit xwichcha khux khwamimruaecng xnungphungekhaicwa aemsngoychnebuxngsungbangkhxcamichuxehmuxnkielsxyanghyabthiyngmiinpthuchn phuyngimepnbrrluepnphraxriybukhkhl echn mana xuththcca hrux xwichcha aetsngoychnebuxngsungxnepnkielsthiynghlngehluxxyuincitickhxngphraxnakhaminn epnkielsthilaexiydkwakhxngpthuchnxyangmak xrhnt phraxrhnt khux phusaercthrrmwiesssungsudinphraphuththsasna phraxriybukhkhlchnsungsud samarthlasngoychnidkhrb 10 prakarxriybukhkhl aebngtampraephthyxykhuthi 1 phraphutngxyuinosdapttimrrkh osdapttiphl khuthi 2 phraphutnginskithakhamimrrkh skithakhamiphl khuthi 3 phraphutngxyuinxnakhamimrrkh xnakhamiphl khuthi 4 phraphutngxyuinxrhtmrrkh xrhtphlxangxingphrathrrmkittiwngs thxngdi suretoch p th 9 rachbnthit phcnanukrmephuxkarsuksaphuththsasn chud khawd wdrachoxrsaram krungethph ph s 2548