พันเซอร์คัมพฟ์วาเกิน 4 (เยอรมัน: Panzerkampfwagen (อักษรย่อ Pz.Kpfw. IV)) หรือที่เรียกในอีกชื่อหนึ่งคือ พันเซอร์ 4 เป็นรถถังขนาดกลางซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยเยอรมันในช่วงยุคปี ค.ศ. 1930 - ค.ศ. 1940 และได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พันเซอร์ 4 นั้น ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการสนันสนุนทหารราบ ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อเข้าต่อตีกับรถถังโดยตรง ซึ่ง ณ ขณะนั้น รถถังที่ใช้ในการต่อสู้รถถังด้วยกันของเยอรมันนั้นเป็นรุ่น พันท์เซอร์ 3 แต่เมื่อเยอรมัน ต้องเจอกับสมรรถนะรถถัง ที-34 ของโซเวียตที่ดีกว่า ทำให้ต้องพัฒนา พันเซอร์ 4 เป็นรถถังที่ใช้ในการต่อสู้รถถังในที่สุด พันเซอร์ 4 ถูกผลิตขึ้นเป็นจำนวนมาก ตัวถังของ พันเซอร์ 4 นั้น ได้ถูกนำไปพัฒนาต่อเป็นรถถังในอีกหลายๆรุ่น เช่น รถถังจู่โจม Sturmgeschütz 4, รถถังพิฆาตยานเกราะ Jagdpanzer 4, รถถังต่อสู้อากาศยาน Wirbelwind, ปืนใหญ่อัตราจร Brummbär เป็นต้น
พันเซอร์คัมพฟ์วาเกิน 4 | |
---|---|
พันเซอร์ 4 ในลวดลายพรางทะเลทราย ประจำการอยู่ใน ของกองกำลัง แอฟริกา คอร์. | |
ชนิด | รถถังขนาดกลาง |
แหล่งกำเนิด | ไรช์เยอรมัน |
บทบาท | |
ประจำการ | 1939–1967 |
ผู้ใช้งาน | นาซีเยอรมัน ราชอาณาจักรโรมาเนีย ตุรกี ราชอาณาจักรฮังการี ราชอาณาจักรบัลแกเรีย ฟินแลนด์ รัฐสเปน โครเอเชีย ซีเรีย |
สงคราม | สงครามโลกครั้งที่สอง, สงครามอาหรับ–อิสราเอล ค.ศ. 1948, สงครามหกวัน |
ประวัติการผลิต | |
ผู้ออกแบบ | |
ช่วงการออกแบบ | 1936 |
บริษัทผู้ผลิต | , |
มูลค่า | ~ 103,462 Reichsmarks |
ช่วงการผลิต | 1936–45 |
จำนวนที่ผลิต | 8,800 (estimate) |
ข้อมูลจำเพาะ (Pz IV Ausf H, 1943) | |
มวล | 25 ตัน |
ความยาว | 5.92 เมตร (19.4 ฟุต) รวมความยาวปืน 7.02 เมตร (23.0 ฟุต) |
ความกว้าง | 2.88 เมตร (9 ฟุต 5 นิ้ว) |
ความสูง | 2.68 เมตร (8 ฟุต 10 นิ้ว) |
ลูกเรือ | 5 (ผบ. รถถัง, พลปืน, พลบรรจุกระสุน, พลขับ, พลวิทยุ) |
เกราะ | 10–80 มิลลิเมตร (0.39–3.15 นิ้ว) |
อาวุธหลัก | L/48 ปืนหลัก (87 นัด.) |
อาวุธรอง | 2–3 × |
เครื่องยนต์ | 12-cylinder Maybach HL 120 TRM V12 300 PS (296 hp, 220 kW) |
กำลัง/น้ำหนัก | 12 PS/t |
เครื่องถ่ายกำลัง | (Synchromesh ZF SSG 77) เดินหน้า 6 ถอยหลัง 1 |
กันสะเทือน | |
ความจุเชื้อเพลิง | 470 ลิตร |
พิสัยปฏิบัติการ | 200 กิโลเมตร (120 ไมล์) |
ความเร็ว | 42 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (26 ไมล์ต่อชั่วโมง) บนถนน, 16 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (9.9 ไมล์ต่อชั่วโมง) บนภูมิประเทศ |
จากความทนทานและความน่าเชื่อถือของ พันเซอร์ 4 เยอรมันได้ใช้รถถังนี้ในทุกๆสมรภูมิที่เยอรมันทำการร่วมรบ และเป็นรถถังที่เยอรมันทำการผลิตตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1936 ถึง ปี ค.ศ. 1943 เป็นจำนวนถึง 8000 คันด้วยกัน การปรับปรุงพันเซอร์ 4 นั้น จะมีการดำเนินการเมื่อเจอกับรถถังของสัมพันธมิตรที่มีสมรรถนะดีกว่า โดยส่วนใหญ่จะเป็นการเพิ่มความหนาของเกราะ หรือติดตั้งอาวุธปืนต่อสู้รถถังแบบใหม่
ในช่วงท้ายๆของสงครามนั้น เยอรมันต้องการชดเชยรถถังที่สูญเสียไปในการรบให้ได้ไวที่สุด เยอรมันใช้วิธีในการลดสเปคในการผลิต เพื่อลดความซับซ้อนและเพิ่มความเร็วในการผลิต
พันเซอร์ 4 เป็นรถถังที่ถูกส่งออกจากเยอรมนี โดยมีผู้ใช้งานอย่างแพร่หลาย เยอรมันขาย พันเซอร์ 4 เป็นจำนวน 300 คัน ให้แก่ฟินแลนด์ โรมาเนีย สเปน และบัลแกเรีย หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 สเปนและฝรั่งเศสขายพันเซอร์ 4 จำนวนหนึ่งให้แก่ซีเรีย ซึ่งถูกนำไปใช้ใน สงครามหกวัน ในปี ค.ศ. 1967
ประวัติการพัฒนารถถัง
ต้นกำเนิด
พันท์เซอร์ 4 นั้นเป็นรถถังที่ถูกคิดค้นขึ้นโดย จอมพล ไฮนซ์ กูเดอร์เรียน โดยการจัดกำลังนั้น ในหนึ่งกองพันทหารม้ายานเกราะ จะประกอบด้วย กองร้อยพันท์เซอร์ 3 จำนวน 3 กองร้อย และ พันท์เซอร์ 4 จำนวน 1 กองร้อย
ในปี ค.ศ. 1934 เยอรมันได้เขียนสเปค "รถถังขนาดกลาง" ไว้ และจะจัดกำลังเข้าสู่กองร้อยรถถังที่มี พันท์เซอร์ 3อยู่แล้ว โดยรถถังที่จะมาสนันสนุน พันท์เซอร์ 3 นี้ จะต้องมีลำกล้องปืนขนาด 7.5เซนติเมตร เป็นปืนต่อสู้รถถังหลัก และต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 24 ตัน รหัสที่ใช้ในการสร้างรถถังนี้คือ รถแทรกเตอร์เพื่อการเกษตร (เยอรมัน : Begleitwagen) เพื่อเป็นการหลบเลี่ยง สนธิสัญญาแวร์ซาย ที่ผูกพันกับเยอรมันอยู่ มีผู้ผลิตเพียง 3 รายที่ถูกคัดเลือกมาให้ผลิตรถถังต้นแบบคือ MAN, Krupp, and Rheinmetall-Borsig โดยในที่สุด เยอรมันได้ตัดสินใจให้บริษัท Krupp เป็นผู้ผลิต
ในช่วงแรก พันท์เซอร์ 4 ได้ถูกออกแบบให้ใช้ช่วงล่างแบบ ล้อกดสายพานซ้อน (อังกฤษ : six-wheeled interleaved suspension) แต่ทางกองทัพเยอรมันต้องการระบบช่วงล่างแบบ ทอร์ชัน บาร์(อังกฤษ : Torsion bar) ซึ่งสามารถไต่ที่สูงชันได้ดีกว่า และยังให้ความนุ่มนวลแก่พลประจำรถถังด้วย แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจากกองทัพเยอรมันต้องการใช้งานอย่างเร่งด่วน บริษัท Krupp จึงทำการเลือกช่วงล่างแบบ leaf spring double-bogie ซึ่งผลิตได้ง่ายกว่ามาแทน
ต้นแบบรถถังที่ได้มานั้น ใช้พลประจำรถ 5 นาย โดยมีห้องเครื่องอยู่ทางท้ายรถถัง ด้านหน้าซ้ายเป็นที่นั่งของ พลขับ ส่วนด้านหน้าขวานั้น เป็นที่นั่งของพลวิทยุ ซึ่งจะต้องควบคุมปืนกลไปด้วย ผู้บัญชาการรถถังจะนั่งอยู่ในป้อมปืน บริเวณด้านล่างของทางเข้าออก ส่วนพลปืน และพลบรรจุกระสุนนั้น จะนั่งอยู่ทางซ้าย และทางขวาของปืนตามลำดับ ทางด้านขวาของตัวถังนั้นจะเป็นที่เก็บกระสุน พันท์เซอร์ 4 เริ่มผลิตในปี ค.ศ. 1936 ณ เมือง Magdeburg
รุ่น A - F1
รุ่น A
การผลิตครั้งแรกนั้นเริ่มต้นเมื่อปี ค.ศ. 1936 โดยเป็นการผลิตในรุ่น A ใช้เครื่องยนต์ Maybach's HL 108TR ให้กำลัง 250 แรงม้า (183.73 kW) ใช้ระบบส่งกำลังแบบ SGR 75 ซึ่งมีเกียร์เดินหน้า 5 เกียร์ และเกียร์ถอยหลัง 1 เกียร์ โดยสามารถทำความเร็วได้สูงสุด 31 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยปืนต่อสู้รถถังหลักนั้นเป็น ปืนใหญ่ต่อสู้รถถังแบบ 37 L/24 (KwK 37 L/24) ซึ่งใช้ยิงกระสุนระเบิดแรงสูง(HE) เพื่อประโยชน์ในการต่อสู้กับทหารราบ การต่อสู้กับรถถังนั้น จะใช้กระสุนแบบเจาะเกราะ ความเร็วกระสุน 430 เมตรต่อวินาที โดยจะสามารถเจาะเกราะได้ลึก 43 มิลลิเมตร ที่มุมตกกระทบไม่เกิน 30 องศา ในระยะ 700 เมตร และมีปืนกลแบบ MG34 2 กระบอก โดยกระบอกแรกจะใช้แกนร่วมกับปืนหลัก และอีกกระบอกจะติดอยู่กับตัวถังบริเวณพลวิทยุ รุ่น A นั้น มีเกราะด้านหน้าหนา 14.5 มิลลิเมตร และมีเกราะที่ป้อมปืนหนา 20 มิลลิเมตร ด้วยความบางของเกราะระดับนี้ จะป้องกันได้เพียงแค่กระสุนปืนจากปืนเล็กยาว จรวดต่อสู้รถถังขนาดเบา และสะเก็ดระเบิดจากปืนใหญ่ได้เท่านั้น หลังจากรุ่น A ผลิตได้เพียง 35 คัน เยอรมันจึงเริ่มทำการผลิตรุ่น B ในปี ค.ศ. 1937
รุ่น B
รุ่น B มีการปรับปรุงโดยมีการเปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นรุ่น Maybach HL 120TR ซึ่งให้กำลัง 300 แรงม้า และระบบส่งกำลังได้รับการปรับปรุงโดยเพิ่มเกียร์เดินหน้าอีก 1 เกียร์ เป็น 6 เกียร์ ทำความเร็วได้สูงสุด 39 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เกราะรถถังด้านหน้านั้นได้ถูกเพิ่มความหนาเป็น 30 มิลลิเมตร และช่องปืนกลที่ติดอยู่บนตัวถังนั้นได้ถูกเปลี่ยนเป็นช่องว่าง ที่สามารถนำปืนสั้นยิงลอดออกไปได้ พันท์เซอร์ 4 รุ่น B ได้ถูกผลิตออกไปเป็นจำนวน 42 คัน
รุ่น C
มีการเพิ่มความหนาของเกราะป้อมปืนเป็น 30 มิลลิเมตร ซึ่งทำให้รถถังมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 18.14 ตัน หลังจากผลิตรุ่น C ได้เพียง 40 คัน ก็ได้มีการปรับปรุงเครื่องยนต์ใหม่ โดยเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์รุ่น Maybach HL 120TRM. และทำการผลิตออกมาอีก 100 คัน ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นรุ่น D ในเดือนสิงหาคมปี ค.ศ. 1939
รุ่น D
พันท์เซอร์ 4 ที่ถูกผลิตออกมาในรุ่น D นั้นมีจำนวน 248 คัน โดยในรุ่น D นี้ได้มีการนำปืนกลที่ติดอยู่กับตัวถังกลับมาใช้งานเหมือนรุ่น B และมีการย้ายปืนกลแกนร่วมกับปืนหลักออกไปอยู่บนป้อมปืนแทน มีการเพิ่มความหนาของเกราะด้านข้างเป็น 20 มิลลิเมตร หลังจากเยอรมันได้รับชัยชนะจากการบุกโปแลนด์ในปี ค.ศ. 1939 เยอรมันจึงคิดจะขยายการผลิตรถถังรุ่นนี้ โดยนำเข้าประจำการในชื่อ Sonderkraftfahrzeug 161 (Sd.Kfz. 161).
เนื่องจากปืนต่อสู้รถถังแบบ KwK 37 L/24 นั้น เป็นแบบลำกล้องสั้น และใช้ยิงกระสุนความเร็วต่ำ จึงมักจะไม่สามารถเจาะเกราะรถถังของอังกฤษในสมรภูมิการบุกยึดฝรั่งเศสได้ เยอรมันจึงได้ทำการทดลองติดตั้งปืนแบบ Pak 38 L/60 ขนาด 5 เซนติเมตร ซึ่งสามารถเจาะเกราะหนา 50 มิลลิเมตรได้ แต่การสั่งรถถังรุ่นนี้ต้องถูกยกเลิกไป เนื่องจากชัยชนะอันรวดเร็วของเยอรมนีที่มีต่อฝรั่งเศส
รุ่น E
เริ่มทำการสร้างเมื่อเดือนเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1940 โดยทำการเพิ่มความหนาของเกราะด้านหน้าเป็น 50 มิลลิเมตร โดยใส่แผ่นเหล็กเป็นเกราะเพิ่มด้านหน้าอีก 30 มิลลิเมตร และทำการย้ายช่องสังเกตการณ์ของผู้บังคับบัญชารถถังมาอยู่ด้านหน้าของป้อมปืน ในส่วนของรถถังรุ่นก่อนหน้านี้ จะถูกอัพเกรดให้เป็นแบบเดียวกับรุ่น E เมื่อรถถังได้นำกลับเข้ามาบำรุงรักษา
พันท์เซอร์ 4 รุ่น E นี้ถูกผลิตออกมา 280 คัน ตลอดช่วงปี ค.ศ. 1939 ถึงปี ค.ศ. 1941
รุ่น F/F1
ในปี ค.ศ. 1941 พันท์เซอร์ 4 รุ่น F ได้เริ่มสายการผลิต โดยความหนาของเกราะและป้อมปืนมีขนาด 50 มิลลิเมตร และเพิ่มขนาดของเกราะด้านข้างเป็น 30 มิลลิเมตร จากการเพิ่มความหนาของเกราะทำให้น้ำหนักของรถถังเพิ่มขึ้นเป็น 22.3 ตัน ซึ่งจำเป็นต้องออกแบบระบบสายพานใหม่ให้มีความกว้างเพิ่มขึ้นเป็น 400 มิลลิเมตร จาก 380 มิลลิเมตร เพื่อกระจายแรงกดที่กระทำต่อพื้นดิน โดยหน้าสัมผัสของสายพานที่เพิ่มขึ้นนั้น จะช่วยรถถังในการวิ่งบนพื้นผิวที่เป็นน้ำแข็งด้วย รถถังยังได้รับการปรับปรุงในเรื่องของล้อกดสายพานด้วย
โดยเมื่อพันท์เซอร์ 4 รุ่น F2 ได้เริ่มทำการผลิตไปแล้วนั้น รุ่น F ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น F1 โดยมีรถถังรุ่น F1 จำนวน 464 คันถูกผลิตออกมา โดยอีก 25 คันถูกเปลี่ยนให้เป็นรุ่น F2 ในสายการผลิต
รุ่น F2 - J
รุ่น F2
วันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 1941 เพียงสัปดาเดียวก่อนยุทธการ บาร์บารอสซา จะเริ่มขึ้น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ต้องการจะปรับปรุงปืนต่อสู้รถถังของ พันท์เซอร์ 4 โดยได้ทำการติดต่อบริษัท Krupp อีกครั้ง เพื่อจะให้ติดตั้งปืน Pak 38 L/60 ขนาด 5 เซนติเมตรเข้าไปอีกครั้งหนึ่ง และได้รถถังหลังจากการปรับปรุงในวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1941 จากการเข้าต่อสู้กับรถถัง T-34 และรถถัง KV-1 ของโซเวียต ซึ่งใหม่กว่า และทรงพลังกว่านั้น ปรากฏว่ารถถังของเยอรมันไม่สามารถต่อกรกับรถถังของโซเวียตได้เลย เนื่องจากเกราะของ T-34 และ KV-1 มีความหนามาก ทำให้ปืนแบบ Pak 38 L/60 ไม่สามารถเจาะเกราะเข้าไปทำความเสียหายได้ เยอรมันจึงยกเลิกการผลิตรถถังที่ได้ติดตั้งปืนรุ่น Pak38 L/60 ทั้งหมด และได้ว่าจ้างบริษัท Rheinmetall ให้ทำการออกแบบปืนต่อสู้รถถังแบบใหม่ด้วยขนาด 7.5 เซนติเมตรแทน ซึ่งภายหลังจากการออกแบบเสร็จสิ้น ปืนนี้ได้ชื่อว่า 7.5 cm Pak 40 L/46 เนื่องจากปืนขนาดลำกล้องที่ยาวขึ้น ทำให้เกิดแรงสะท้อนถอยหลังที่มากขึ้น ซึ่งทำให้ระยะถอยของปืนนั้นเกินความยาวของป้อมปืนที่มีอยู่ จึงต้องทำการออกแบบระบบรับแรงสะท้อนถอยหลังใหม่ เพื่อให้ระยะถอยของปืนนั้นสั้นลง โดยปืนที่ติดตั้งบนพันท์เซอร์ 4 นั้น มีชื่อว่า KwK 40 L/43 โดยกระสุนเจาะเกราะ จะทำความเร็วได้ 990 เมตร ต่อวินาที ซึ่งต่างจากปืนกระบอกเดิมที่ทำได้เพียง 430 เมตรต่อวินาที โดยปืนกระบอกใหม่ที่ถูกติดตั้งนี้ เมื่อยิงกระสุนแบบ Panzergranate 39 จะเจาะเกราะได้ 77 มิลลิเมตร ที่ระยะทาง 1830 เมตร โดยรถถังที่ติดตั้งปืนรุ่น KwK40 L/43 จะมีชื่อรุ่นคือ F2 โดยมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 23.6 ตัน รถถังในรุ่นนี้ถูกผลิตออกมา 175 คันตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึงเดือนกรกฎาคมปี ค.ศ. 1942 สามเดือนให้หลัง รถถังรุ่นนี้ก็ถูกเปลี่ยนชื่ออีกครั้งหนึ่งเป็นรุ่น G
รุ่น G
สำหรับการผลิตพันท์เซอร์ 4 ในช่วงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1942 ถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1943 นั้น พันท์เซอร์ 4 รุ่น G ได้ถูกปรับแต่งหลายอย่าง เป็นต้นว่าการปรับปรุงในเรื่องเกราะ ซึ่งการปรับปรุงในเรื่องเกราะนั้นเป็นการเพิ่มน้ำหนักจนถึงขีดสุดที่รถถังจะรับไหว เพื่อไม่ให้น้ำหนักเกินไปมากกว่านี้ ได้มีการนำเกราะเสริมด้านข้างที่มีความหนา 20 มิลลิเมตรออกไป และไปเพิ่มความหนาของตัวถังด้านข้างเป็น 30 มิลลิเมตรแทน และน้ำหนักในส่วนที่หายไปนั้น ได้ถูกนำมาใช้ในการเสริมเกราะด้านหน้าให้มีความหนาเป็น 80 มิลลิเมตร ซึ่งกำลังพลที่ใช้รถถังนี้ก็ต่างต้องการเกราะที่หนาขึ้นนี้ถึงแม้ต้องแลกมาด้วยปัญหาต่อระบบขับเคลื่อนของรถถังก็ตาม โดยรถถังที่ผลิตในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1942 ถึงเดือนมกราคม ค.ศ. 1943 นั้น จะใช้เกราะแบบใหม่นี้ผลิตรถถังเป็นครึ่งหนึ่ง ของเกราะแบบเดิมที่ผลิตออกมา และหลังจากเดือนมกราคม ค.ศ. 1943 ก็จะเปลี่ยนไปผลิตเกราะแบบหนา 80 มิลลิเมตรทั้งหมด
ช่องมองทั้งสองข้างของป้อมปืนนั้นถูกนำออกเพื่อให้การผลิตสามารถทำได้ง่ายขึ้น มีการนำล้อกดสายพานสำรองมาติดตั้งบนด้านซ้ายของตัวถัง และเพิ่มสายพานสำรองโดยนำมาวางไว้บนเกราะด้านหน้า มีการเปิดช่องว่างด้านบนของห้องเครื่องเพื่อเพิ่มสมรรถนะในการระบายอากาศ ในสมรภูมิที่ร้อนอบอ้าว ส่วนในสมรภูมิที่มีความหนาวเย็นนั้น ได้มีการนำอุปกรณ์เพิ่มความร้อนไปติดตั้งเพื่อให้น้ำหล่อเย็นนั้นไม่เย็นจนเกินไป มีการเปลี่ยนไฟส่องสว่างใหม่ และนำเอาไฟสัญญาณบนป้อมปืนออก ช่องสังเกตการณ์ของผู้บังคับบัญชารถถังนั้นได้ถูกเพิ่มความหนาของเกราะ และลดลงเหลือเพียงหนึ่งช่องซึ่งแต่เดิมมีสองช่อง
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1943 พันท์เซอร์ 4 ที่ถูกติดตั้งเกราะด้านข้างสายพาน และด้านข้างป้อมปืนได้ถูกนำมาใช้งาน
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1943 ปืนแบบ KwK 40 L/48 ได้ถูกนำมาติดตั้งแทนปืน KwK 40 L/43 ซึ่งปืนแบบใหม่นี้มีความยาวของลำกล้องมากกว่า และได้รับการปรับปรุงซึ่งจะลดแรงสะท้อนถอยหลังให้ลดลงกว่าเดิม และได้มีการเพิ่มเกราะแบบ Zimmerit ซึ่งนำไปติดตั้งด้านล่างของตัวถัง เนื่องจากเยอรมันกลัวว่าทุ่นระเบิดรถถังแบบเหนี่ยวนำแม่เหล็กของสัมพันธมิตรนั้นจะถูกนำมาใช้จัดการกับรถถังของเยอรมัน
รถถังในรุ่นนี้ได้ถูกเพิ่มเกราะด้านข้างสายพานขนาดหนา 5 มิลลิเมตร และขนาดหนา 8 มิลลิเมตรที่ป้อมปืน นอกจากนี้ยังมีการนำระบบส่งกำลังของพันท์เซอร์ 3 มาใช้ในรุ่นนี้ด้วย
รุ่น J
จากการสูญเสียอย่างหนักของรถถังเยอรมัน พันท์เซอร์ 4 ในรุ่น J นั้นได้ถูกลดสเปคลงเพื่อให้สามารถผลิตรถถังทดแทนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยระบบหมุนป้อมปืนด้วยไฟฟ้านั้นได้ถูกยกเลิกไป ทำให้พลปืนต้องทำการหมุมป้อมปืนเองด้วยมือ ที่ว่างของระบบไฟฟ้าที่หายไปนั้นถูกแทนที่ด้วยถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร ซึ่งเพิ่มระยะปฏิบัติการณ์ของ พันท์เซอร์ 4 เป็น 320 กิโลเมตร รถถังพันท์เซอร์ถูกนำเกราะแบบ Zimmerit ออกไป ส่วนเกราะด้านข้างของสายพานนั้นถูกแทนที่ด้วยตะแกรงเหล็กแทน
ในช่วงท้ายๆของสายการผลิตนั้นได้มีการทดลองนำปืนของ รถถัง มาใส่ ซึ่งมีความยาวกว่า แต่ก็ทำไม่สำเร็จ เนื่องจากรถถังไม่สามารถแบกรับน้ำหนักได้มากกว่านี้แล้ว
การผลิต
ระยะเวลา | จำนวน | รุ่น(Ausführung or Ausf.) |
---|---|---|
1937–1939 | 262 | A – D |
1940 | 278-386 | E[] |
1941 | 467-769 | E, F1, F2, G |
1942 | est. 880 | G |
1943 | 3,013 | G, H |
1944 | 3,125 | J |
1945 | est. 435 | J |
Total | 9,870 | A - J |
ประวัติการรบ
พันท์เซอร์ 4 เป็นรถถังที่เยอรมันทำการผลิตตั้งแต่ก่อนเริ่มสงครามไปจนถึงสิ้นสุดสงคราม ซึ่งจำนวนทั้งหมดนั้นเป็นถึง 30% ของรถถังที่เยอรมันผลิตออกมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
แนวรบฝั่งตะวันตก และสมรภูมิแอฟริกาเหนือ (1939–1942)
เมื่อกองทัพเยอรมันเริ่มบุกโปแลนด์นั้น เยอรมันมีรถถังแบบ พันท์เซอร์ I จำนวน 1445 คัน แบบ พันท์เซอร์ 2 จำนวน 1223 คัน แบบ พันท์เซอร์ 3 จำนวน 98 คัน และแบบ พันท์เซอร์ 4 จำนวน 211 คัน ซึ่งรถถังแบบพันท์เซอร์ 4 นั้นมีจำนวนน้อยกว่า 10% ของกำลังรถถังทั้งหมดที่เยอรมันมีอยู่ จำนวนกำลังรถถังที่จัดเข้าในกองพลทหารยานเกราะที่ 1 เป็นดังนี้ พันท์เซอร์ 1 จำนวน 17 คัน พันท์เซอร์ 2 จำนวน 18 คัน พันท์เซอร์ 3 จำนวน 28 คัน และพันท์เซอร์ 4 จำนวน 14 คัน
ส่วนกองพลของทหารยานเกราะอื่นๆนั้นจะเน้นใช้รถถังรุ่นเก่าที่มีอยู่ ซึ่งมีการจัดกำลังดังนี้ พันท์เซอร์ 1 จำนวน 34 คัน พันท์เซอร์ 2 จำนวน 33 คัน พันท์เซอร์ 3 จำนวน 5 คัน และพันท์เซอร์ 4 จำนวน 6 คัน
ถึงแม้ว่าโปแลนด์จะมีรถถังที่มีความสามารถในการเจาะเกราะรถถังเยอรมันได้กว่า 200 คัน และมีปืนต่อสู้รถถังที่มีประสิทธิภาพ แต่เยอรมันก็เชื่อมั่นว่าพันท์เซอร์ 4 จะสามารถทำหน้าที่ในการเป็นหัวหอกในการต่อสู้กับยานเกราะเหล่านั้นได้
ถึงแม้เยอรมันจะทำการเพิ่มกำลังการผลิตรถถังแบบ พันท์เซอร์ 3 และพันท์เซอร์ 4 เป็นจำนวนมากในช่วงที่เยอรมันทำการบุกฝรั่งเศส แต่รถถังเยอรมันที่เข้าประจำการส่วนหญ่ยังคงเป็นรถถังเบาอยู่ โดยรถถังที่ทำการบุกฝรั่งเศสนั้นมี พันท์เซอร์ I 523 คัน พันท์เซอร์ 2 955 คัน พันท์เซอร์ 3 349 คัน พันท์เซอร์ 4 106 คัน พันท์เซอร์ 35(t) 106 คัน และ Panzer 38(t) 228 คัน เยอรมันได้ใช้กลยุทธ์ที่ดีกว่าในการเข้าปะทะ ทำให้กองทัพรถถังเยอรมันชนะในการศึกถึงแม้ว่าจะมีรถถังเบาเป็นจำนวนมากก็ตาม
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับรถถังแบบพันท์เซอร์ 4 นั้นคืออัตราการเจาะเกราะที่ต่ำ เนื่องจากมันได้ทำการติดตั้งปืน KwK 37 L/24 ซึ่งยิงกระสุนออกไปได้ด้วยความเร็วต่ำ จึงไม่สามารถเจาะเกราะรถถังของฝรั่งเศสและอังกฤษได้ รถถัง Somua S35 ของฝรั่งเศสนั้นมีเกราะหนา 55 มิลลิเมตร ซึ่งปืน ของพันท์เซอร์ 4 สามารถเจาะเกราะได้แค่ 43 มิลลิเมตร ที่ระยะ 700 เมตรเท่านั้น ส่วนการต่อสู้กับรถถัง Matilda Mk 2 ของอังกฤษนั้น เนื่องจากเกราะด้านหน้าของ Matilda Mk 2 มีความหนาถึง 70 มิลลิเมตรจึงไม่มีทางเลยที่พันท์เซอร์ 4 จะเจาะเกราะเข้าไปได้ ซึ่งถึงแม้จะทำการยิงเข้าจากด้านข้าง ก็ยังต้องเจอเกราะหนาขนาด 60 มิลลิเมตร ซึ่งปืน KwK 37 L/24 ไม่สามารถเจาะเข้าไปทำความเสียหายได้
พันท์เซอร์ 4 ที่กองกำลังเยอรมันได้รับในสมรภูมิแอฟริกานั้น ยังไม่สามารถนำมาใช้แทน พันท์เซอร์ 3 ได้ เนื่องจาก พันท์เซอร์ 3 นั้นมีอัตราการเจาะเกราะที่สูงกว่า แต่อย่างไรก็ดี ทั้งพันท์เซอร์ 3 และพันท์เซอร์ 4 ก็ต่างไม่สามารถเจาะเกราะที่หนาของรถถัง Matilda Mk 2 ได้ ส่วนปืนของ Matilda Mk 2 นั้น สามารถเจาะทะลุเกราะทั้ง พันท์เซอร์ 2 และพันท์เซอร์ 4 ได้ทั้งหมด ซึ่งรถถังพันท์เซอร์ 3 และพันท์เซอร์ 4 มีข้อได้เปรียบอย่างเดียวคือสามารถทำความเร็วได้ดีกว่า
เดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 1942 เอียร์วิน รอมเมล ได้รับพันท์เซอร์ 4 รุ่น F2 เป็นจำนวน 27 คัน ซึ่งรถถังในรุ่นนี้ติดปืน KwK 40 L/43 ซึ่งมีขนาดความยาวลำกล้องมากกว่า ซึ่งรอมเมลตั้งใจจะใช้รถถังรุ่นใหม่นี้เป็นหัวหอกในการบุก เพราะปืนขนาดความยาวลำกล้องที่มากกว่านั้น จะให้ความเร็วกระสุนที่สูงกว่า จึงทำให้มีอัตราการเจาะเกราะที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งรถถังรุ่นใหม่นี้สามารถทำลายรถถังอังกฤษได้ที่ระยะถึง 1500 เมตร
ถึงแม้ว่าเยอรมันจะได้รับรถถังรุ่นใหม่เป็นจำนวนมาก แต่ก็เทียบไม่ได้กับยุทธภัณฑ์ที่ถูกส่งไปยังอังกฤษ ซึ่งจะถูกนำมาสร้างเป็นรถถังและส่งมารบกับเยอรมันในภายหลัง นอกจากนี้พันท์เซอร์ 4 นั้นยังได้นำไปใช้ในการบุกยูโกสลาเวียและกรีซในปี ค.ศ. 1941 อีกด้วย
สมรภูมิด้านตะวันออก (1941–1945)
เมื่อเยอรมันได้เริ่ม ยุทธการบาร์บารอสซา เยอรมันต้องต่อกรกับรถถังที่มีเกราะหนาอย่าง KV-1 และ T-34 ซึ่งเป็นสาเหตุให้เยอรมันต้องทำการปรับปรุงรถถังของตนให้มีอาวุธที่มีอานุภาพในการเจาะเกราะที่ดียิ่งขึ้น
เมื่อพันท์เซอร์ 4 ที่ติดอาวุธปืน KwK 40 L/43 ใหม่นี้ได้เข้าสู่สมรภูมิ มันสามารถทำลายรถถัง T-34 ของโซเวียตได้ที่ระยะ 1200 เมตร โดยปืน KwK 40 L/43 ที่ติดตั้งใหม่นี้สามารถเจาะเกราะรถถัง T-34 ได้ทุกด้าน โดยมีระยะยิงตั้งแต่ 1000 เมตร ถึง 1600 เมตร
โดยรถถังรุ่นใหม่ที่ถูกส่งมานี้เป็นรุ่น F2 ซึ่งมีจำนวนประมาณ 135 คัน ซึ่ง ณ ขนะนั้น มีเพียงพันท์เซอร์ 4 รุ่นใหม่นี้เท่านั้นที่จะสามารถทำลายรถถัง T-34 และ KV-1 ได้ พันท์เซอร์ 4 จึงกลายเป็นกำลังสำคัญมากในช่วงนี้ เนื่องจากรถถังแบบทีเกอร์ 1 ที่ยังมีปัญหา และรถถังพันเทอร์ ที่ยังไม่ได้ส่งมอบให้แก่กองทัพเยอรมัน
ในช่วงปี ค.ศ. 1942 พันท์เซอร์ 4 จำนวน 502 คันถูกทำลายในสมรภูมิรบตะวันออก
พันท์เซอร์ 4 ยังคงเป็นกำลังหลักต่อไปในสมรภูมิจนถึงปี ค.ศ. 1943 และได้เข้าร่วม สมรภูมิที่ เคริซ์ ส่วนรถถัง ที่เป็นรุ่นใหม่กว่านั้นก็ยังประสบปัญหาบางประการ จึงไม่สามารถทำการรบได้อย่างเต็มที่ มีพันท์เซอร์ 4 จำนวน 841 คันเข้าร่วมการรบในสมรภูมิเคริซ์
ตลอดปี ค.ศ. 1943 เยอรมันสูญเสียพันท์เซอร์ 4 จำนวน 2,352 คันในสมรภูมิตะวันออก จากการสูญเสียรถถังเป็นจำนวนมาก กองพลยานเกราะ 1 กองพล ถูกปรับลดให้มีรถถังเพียง 12 - 18 คันเท่านั้น
ค.ศ. 1944 เยอรมันสูญเสีย พันท์เซอร์ 4 เป็นจำนวนมากถึง 2643 คัน ซึ่งเยอรมันไม่สามารถผลิตรถถังเข้ามาแทนที่รถถังที่เสียไปเหล่านี้ได้ทัน
ในปีสุดท้ายของการรบ รถถังเยอรมัน ไม่สามารถต่อกรกับ T-34 ที่ถูกปรับปรุงมาใหม่ได้อีกแล้ว แต่เนื่องจาก รถถัง ยังไม่สามารถจัดหามาประจำการแทน พันท์เซอร์ 4 ได้ทัน พันท์เซอร์ 4 จึงยังต้องทำหน้าที่เป็นกำลังหลักไปก่อน
ในปี ค.ศ. 1945 เยอรมันสูญเสียพันท์เซอร์ 4 จำนวน 287 คัน ซึ่งจากจำนวนที่ทหารของฝ่ายโซเวียดได้ทำการบันทึกไว้นั้น มีพันท์เซอร์ 4 จำนวน 6,153 คัน หรือ 75% ของพันท์เซอร์ 4 ถูกทำลายในสมรภูมิตะวันออก
สมรภูมิด้านตะวันตก (1944 - 1945)
เมื่อกองกำลังสัมพันธมิตรเริ่ม ยุทธการโอเวอร์ลอร์ด พันท์เซอร์ 4 นั้นมีจำนวนเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของกำลังรถถังทั้งหมดที่อยู่ในแนวรบตะวันตก กองพลยานเกราะทั้ง 11 กองพลที่ปฏิบัติการณ์ในนอร์ม็องดีนั้น ส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยรถถังแบบ พันท์เซอร์ 4 และรถถัง โดยมีจำนวนรวมแล้วราวๆ 160 คัน
การปรับปรุงพันท์เซอร์ 4 นั้น สร้างชื่อเสียงให้รถถังจนเป็นที่น่าเกรงขามแก่สัมพันธมิตร ทั้งๆที่กองกำลังทางอากาศของสหรัฐสามารถครอบครองทางอากาศได้หมดแล้ว แต่การซุ่มโจมตีของรถถัง และปืนต่อสู้รถถังของเยอรมันนั้นสามารถทำลายรถถังของสัมพันธมิตรได้เป็นจำนวนมาก
ในช่วงยุทธการโอเวอร์ลอร์ดนั้น ทั้งรถถังแบบ พันท์เซอร์ 4 และรถถัง มักจะถูกทำลายได้ง่ายจากการถูกซุ่มโจมตีข้างทาง เมื่อเจอกับทหารราบที่ติดอาวุธต่อสู้รถถังมาด้วย หรือไม่ก็เป็นรถถังพิฆาตรถถัง เช่นเดียวกับเครื่องบินโจมตีภาคพื้นดินที่บินเข้ามาสนันสนุนระยะใกล้
ภูมิประเทศในแถบนั้นมีพุ่มไม้เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งไม่เหมาะสมอย่างยิ่งกับการใช้รถถัง ดังจะเห็นได้จากจำนวนรถถังที่ได้รับความเสียหายที่กระโปรงเกราะด้านข้าง เนื่องจากถูกซุ่มโจมตี ซึ่งยานเกราะของเยอรมันล้วนหวาดหวั่นจากการถูกซุ่มโจมตีเมื่อต้องผ่านบริเวณพุ่มไม้
ทางฝั่งสัมพันธมิตรนั้นได้ทำการค้นคว้าและวิจัยรถถังของตนเอง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือรถถังแบบ เอ็ม 4 เชอร์แมน (อังกฤษ : M4 Sherman) ซึ่งระบบเครื่องยนต์นั้นนับว่ามีความเสถียร เชื่อถือได้ แต่หากมีข้อเสียซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เสียเปรียบมากคือเกราะที่บาง และปืนต่อสู้รถถังที่ไม่สามารถเจาะเกราะรถถังเยอรมันได้
เมื่อ เอ็ม 4 เชอร์แมน ต้องทำการต่อสู้กับ พันท์เซอร์ 4 ในรุ่นแรกๆ เอ็ม 4 เชอร์แมน ยังพอทำลายพันท์เซอร์ 4 ได้บ้าง แต่เมื่อเจอกับ พันท์เซอร์ 4 ในรุ่นหลังๆแล้วนั้น รถถัง เอ็ม 4 เชอร์แมน ไม่สามารถทำอะไรได้เลย (นอกจากนี้ เอ็ม 4 เชอร์แมน ยังไม่สามารถเจาะเกราะรถถัง และรถถัง ไทเกอร์ ของเยอรมันได้ ไม่ว่าจะเข้าไปยิงในระยะใกล้เพียงใดก็ตาม) พันท์เซอร์ 4 ในรุ่นหลังๆ ที่ทำการปรับปรุงเกราะด้านหน้าแล้วนั้น สามารถยังยั้งปืนของ เอ็ม 4 เชอร์แมนได้เป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้ กองกำลังสหราชอาณาจักร จึงได้ทำการติดตั้งปืนแบบ คิวเอฟ 17 ปอนด์ (อังกฤษ : QF 17 pounder) บนรถถัง เอ็ม 4 เชอร์แมน เดิม ซึ่งรถถังที่ติดตั้งปืนใหม่เข้าไปนี้ได้ชื่อว่า เชอร์แมน ไฟร์ฟลาย (อังกฤษ : Sherman Firefly) ซึ่งรถถัง เชอร์แมน ไฟร์ฟลาย นี้ เป็นรถถังเพียงแบบเดียวที่สามารถสู้รบกับรถถังเยอรมันทุกชนิดได้อย่างสูสี มีรถถังเชอร์แมน ไฟร์ฟลายจำนวน 300 คันที่เข้าร่วมรบในยุทธการโอเวอร์ลอร์ด ที่นอร์ม็องดี
อเมริกาเริ่มทำการติดตั้งปืนแบบ เอ็ม 1 (อังกฤษ : M1) ให้กับ รถถัง เอ็ม 4 เชอร์แมนของตน ปืนเอ็ม 1 นี้มีขนาดลำกล้องที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งนั่นก็เพียงพอต่อการเข้าสู้รบกับพันท์เซอร์ 4 แล้ว
ถึงแม้ว่าเยอรมันจะเป็นเจ้าแห่งสมรภูมิรถถัง ในวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1944 กองทัพที่ 5 และ 7 ของเยอรมันก็ต้องทำการถอยร่นเข้าสู่ประเทศเยอรมนี มีรถถังเยอรมันประมาณ 2,300 คันเข้าร่วมรบในนอร์ม็องดี (ในจำนวนนี้มีรถถังแบบพันท์เซอร์ 4 จำนวน 750 คัน) เยอรมันเสียรถถังไปทั้งหมด 2,200 คัน เนื่องจากการสูญเสียอย่างหนักนี้ ทำให้ในแต่ละกองพลๆ หนึ่งของเยอรมัน เหลือรถถังเข้าประจำการเพียง 5 ถึง 6 คันเท่านั้น
ในช่วงฤดูหนาวของปี ค.ศ. 1944 พันท์เซอร์ 4 ก็ได้ถูกใช้เป็นกำลังหลักอีกครั้งใน การยุทธที่ป่าอาร์เดนน์ ซึ่งพันท์เซอร์ 4 ก็ถูกทำลายไปเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้เยอรมันยังไม่สามารถใช้รถถังได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควรด้วยเนื่องจากการขาดแคลนน้ำมัน พันท์เซอร์ 4 ที่เข้าร่วมรบใน การยุทธที่ป่าอาร์เดนน์นี้เป็นรถถังที่เหลือรอดมาจากการรบกับฝรั่งเศส ซึ่งมีจำนวนประมาณ 260 คัน
เชิงอรรถ
- Zetterling, Niklas (2000). Kursk 1943: A Statistical Analysis. London: Frank Cass. p. 61. ISBN .
- Conners, Chris (4 December 2002). . The AFV Database. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-09-06. สืบค้นเมื่อ 15 December 2010.
- Spielberger (1972), p. 69
- Perrett (1999), p. 4
- พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ. . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-12-16. สืบค้นเมื่อ 20 June 2013.
- Jentz (1997), p. 1
- Spielberger (1972), p. 70
- Perrett (1999), p. 5
- Simpkin (1979), p. 106
- de Mazarrasa (1994), p. 46
- Perrett (1999), p. 5; Caballero & Molina (2006), p. 6
- Caballero & Molina (2006), p. 6
- Caballero & Molina (2006), p. 7
- Doyle & Jentz (2001), p. 4
- Perrett (1999), p. 6; Caballero & Molina (2006), p. 7
- Perrett (1999), p. 6; Caballero & Molina (2006), p. 6
- Doyle & Jentz (2001), p. 5
- Caballero & Molina (2006), p. 31
- Spielberger (1993) []
- Perrett (1999), p.7
- Doyle & Jentz (2001), pp. 6–7
- Spielberger (1972), p. 73
- Caballero & Molina (2006), p. 38
- Spielberger (1993), p. 59
- Doyle & Jentz (2001), pp. 11–12
- Walter J. Spielberger (1993), P63
- Doyle & Jentz (2001), p. 12
- Caballero & Molina (2006), p. 44
- Perrett (1999), p. 8
- Perrett (1999), p. 9
- Caballero & Molina (2006), p. 36; Doyle & Jentz (2001), p. 16; Spielberger (1972), p. 72
- Cabellero & Moline (2006), p. 4, suggest only 278 manufactured in 1940
- Entered service December 1939; Perrett (1999), p. 6
- 769 per Spielberger (1972), p. 72; Cabellero & Moline (2006), p. 4, suggest 467 Panzer IVs were manufactured in 1941
- Ausf. F entered production during the spring of 1941 and Ausf. G entered service sometime later the same year; Perrett (1999), p. 8
- McCarthy & Syron (2002) suggest that 8,600 were manufactured total (p. 36)
- McCarthy & Syron (2002), p. 36
- Caballero & Molina (2006), p. 4
- Perrett (1999), p. 24
- Perrett (1998), p. 37
- Guderian (1996), p. 472
- McCarthy & Syron (2002), p. 72
- McCarthy & Syron (2002), p. 73
- Doyle & Jentz (2001), pp. 4–5
- Perrett (1999), p. 34
- Ormeño (2007), p. 48
- Doyle & Jentz (2001), p. 21
- Doyle & Jentz (2001), p. 23
- Perrett (1999), pp. 34–35
- Jentz (1996), p. 243
- Bird & Livingston (2001), p. 25
- Doyle & Jentz (2001), p. 33
- Spielberger (1972), p. 87
- Caballero & Molina (2006), p. 39
- Perrett (1999), p. 39
- Caballero & Molina (2006), p. 47
- Caballero & Molina (2006), p. 48
- Caballero & Molina (2006), p. 51
- Caballero & Molina (2006), pp. 59–62
- Hastings (1999), p. 133
- Perrett (1999), p. 43
- Hastings (1999), p. 225
- Hastings (1999), pp. 225–227
- Jentz & Doyle (2001), p. 176
- Fletcher (2008), pp. 5–8
- Fletcher (2008), p. 43
- Hastings (1999), p. 221
- Perrett (1999), p. 44
- Forty (2000), p. 92
อ้างอิง
- Bird, Lorrin R.; Livingston, Robert (2001). World War II Ballistics: Armor and Gunnery. Albany, NY: Overmatch Press.
- Caballero, Carlos; Molina, Lucas (October 2006). Panzer IV: El puño de la Wehrmacht (ภาษาสเปน). Valladolid, Spain: AFEditores. ISBN .
- Crawford, Steve (11 November 2000). Tanks of World War II. Zenith Press. ISBN .
- de Mazarrasa, Javier (1994). Blindados en España 2ª Parte: La Dificil Postguerra 1939-1960 (ภาษาสเปน). Valladolid, Spain: Quiron Ediciones. ISBN .
- ; Jentz, Tom (2001). Panzerkampfwagen IV Ausf. G, H and J 1942-45. New Vanguard 39. Oxford, United Kingdom: Osprey. ISBN .
- Doyle, Hilary; Lukas Friedli (2016). Panzer Tracts 4-3: Panzerkampfwagen IV Ausf. H - Ausf. J, 1943 to 1945. Boyds, Maryland: Panzer Tracts.
- (2008). Sherman Firefly. New Vanguard. Oxford, United Kingdom: Osprey. ISBN .
- (2000). The Reich's Last Gamble: The Ardennes Offensive, December 1944. London, United Kingdom: Cassell & Co. ISBN .
- Panzer Leader New York Da Capo Press Reissue edition, 2001.
- (1999). Overlord: D-Day and the Battle for Normandy 1944. London, United Kingdom: Pan Books. ISBN .
- Jentz, Thomas (1996). Panzertruppen: The Complete Guide to the Creation & Combat Employment of Germany's Tank Force 1933-1942. Atglen, PA: . ISBN .
- Jentz, Thomas; Doyle, Hilary (1997). Panzer Tracts 4: Panzerkampfwagen IV - Grosstraktor to Panzerbefehlswagen IV. Darlington, MD: Darlington Productions.
- Jentz, Thomas; Doyle, Hilary (2001). Germany's Panzers in World War II: From Pz.Kpfw.I to Tiger II. Atglen, PA: Schiffer Military History. ISBN .
- The German Generals Talk. New York, NY: Morrow, 1948.
- McCarthy, Peter; Mike Syryon (2002). Panzerkieg: The Rise and Fall of Hitler's Tank Divisions. New York City, NY: Carroll & Graf. ISBN .
- Ormeño, Javier (1 January 2007). "Panzerkampfwagen III: El pequeño veterano de la Wehrmacht". SERGA (45).
- Perrett, Bryan (1998). German Light Panzers 1932-42. New Vanguard. Oxford, United Kingdom: Osprey. ISBN .
- Perrett, Bryan (1999). Panzerkampfwagen IV Medium Tank : 1936 - 1945. New Vanguard. Oxford, United Kingdom: Osprey. ISBN .
- Reynolds, Michael (2002). The Sons of the Reich: II SS Panzer Corps. Havertown, PA: Casemate. ISBN .
- Scheibert, Horst (1991). The Panzer IV Family. West Chester, PA: Schiffer Military History. ISBN .
- Simpkin, Richard E. (1979). Tank Warfare: An analysis of Soviet and NATO tank philosophy. London, United Kingdom: Brassey's. ISBN .
- Spielberger, Walter (April 1972). PanzerKampfwagen IV. Berkshire, United Kingdom: Profile Publications Ltd.
- Spielberger, Walter (1993). Panzer IV and its variants. Atglen, PA, USA: Schiffer Military History. ISBN .
- Spielberger, Walter (2011). Panzerkampfwagen IV and its variants 1935 - 1945 Book 2. Atglen, PA, USA: Schiffer Military History. ISBN .
- (1997). The Struggle for Europe. Ware, Herts.: Wordsworth Editions Ltd. ISBN .
- Scafes, Cornel I; Scafes, Ioan I; Serbanescu, Horia Vl (2005). Trupele Blindate din Armata Romana 1919-1947. Bucuresti: Editura Oscar Print.
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
phnesxrkhmphfwaekin 4 eyxrmn Panzerkampfwagen xksryx Pz Kpfw IV hruxthieriykinxikchuxhnungkhux phnesxr 4 epnrththngkhnadklangsungthuksrangkhunodyeyxrmninchwngyukhpi kh s 1930 kh s 1940 aelaidthukichxyangaephrhlayinchwngsngkhramolkkhrngthisxng phnesxr 4 nn thukxxkaebbmaephuxichinkarsnnsnunthharrab imidxxkaebbmaephuxekhatxtikbrththngodytrng sung n khnann rththngthiichinkartxsurththngdwyknkhxngeyxrmnnnepnrun phnthesxr 3 aetemuxeyxrmn txngecxkbsmrrthnarththng thi 34 khxngosewiytthidikwa thaihtxngphthna phnesxr 4 epnrththngthiichinkartxsurththnginthisud phnesxr 4 thukphlitkhunepncanwnmak twthngkhxng phnesxr 4 nn idthuknaipphthnatxepnrththnginxikhlayrun echn rththngcuocm Sturmgeschutz 4 rththngphikhatyanekraa Jagdpanzer 4 rththngtxsuxakasyan Wirbelwind punihyxtracr Brummbar epntnphnesxrkhmphfwaekin 4phnesxr 4 inlwdlayphrangthaelthray pracakarxyuin khxngkxngkalng aexfrika khxr chnidrththngkhnadklangaehlngkaenid ircheyxrmnbthbathpracakar1939 1967phuichngannasieyxrmn rachxanackrormaeniy turki rachxanackrhngkari rachxanackrblaekeriy finaelnd rthsepn okhrexechiy sieriysngkhramsngkhramolkkhrngthisxng sngkhramxahrb xisraexl kh s 1948 sngkhramhkwnprawtikarphlitphuxxkaebbchwngkarxxkaebb1936bristhphuphlit mulkha 103 462 Reichsmarkschwngkarphlit1936 45canwnthiphlit8 800 estimate khxmulcaephaa Pz IV Ausf H 1943 mwl25 tnkhwamyaw5 92 emtr 19 4 fut rwmkhwamyawpun 7 02 emtr 23 0 fut khwamkwang2 88 emtr 9 fut 5 niw khwamsung2 68 emtr 8 fut 10 niw lukerux5 phb rththng phlpun phlbrrcukrasun phlkhb phlwithyu ekraa10 80 milliemtr 0 39 3 15 niw xawuthhlkL 48 punhlk 87 nd xawuthrxng2 3 ekhruxngynt12 cylinder Maybach HL 120 TRM V12 300 PS 296 hp 220 kW kalng nahnk12 PS tekhruxngthaykalng Synchromesh ZF SSG 77 edinhna 6 thxyhlng 1knsaethuxnkhwamcuechuxephling470 litrphisyptibtikar200 kiolemtr 120 iml khwamerw42 kiolemtrtxchwomng 26 imltxchwomng bnthnn 16 kiolemtrtxchwomng 9 9 imltxchwomng bnphumipraeths cakkhwamthnthanaelakhwamnaechuxthuxkhxng phnesxr 4 eyxrmnidichrththngniinthuksmrphumithieyxrmnthakarrwmrb aelaepnrththngthieyxrmnthakarphlittlxdchwngsngkhramolkkhrngthisxng tngaetpi kh s 1936 thung pi kh s 1943 epncanwnthung 8000 khndwykn karprbprungphnesxr 4 nn camikardaeninkaremuxecxkbrththngkhxngsmphnthmitrthimismrrthnadikwa odyswnihycaepnkarephimkhwamhnakhxngekraa hruxtidtngxawuthpuntxsurththngaebbihm inchwngthaykhxngsngkhramnn eyxrmntxngkarchdechyrththngthisuyesiyipinkarrbihidiwthisud eyxrmnichwithiinkarldsepkhinkarphlit ephuxldkhwamsbsxnaelaephimkhwamerwinkarphlit phnesxr 4 epnrththngthithuksngxxkcakeyxrmni odymiphuichnganxyangaephrhlay eyxrmnkhay phnesxr 4 epncanwn 300 khn ihaekfinaelnd ormaeniy sepn aelablaekeriy hlngcbsngkhramolkkhrngthi 2 sepnaelafrngesskhayphnesxr 4 canwnhnungihaeksieriy sungthuknaipichin sngkhramhkwn inpi kh s 1967prawtikarphthnarththngtnkaenid phnthesxr 4 nnepnrththngthithukkhidkhnkhunody cxmphl ihns kuedxreriyn odykarcdkalngnn inhnungkxngphnthharmayanekraa caprakxbdwy kxngrxyphnthesxr 3 canwn 3 kxngrxy aela phnthesxr 4 canwn 1 kxngrxy inpi kh s 1934 eyxrmnidekhiynsepkh rththngkhnadklang iw aelacacdkalngekhasukxngrxyrththngthimi phnthesxr 3xyuaelw odyrththngthicamasnnsnun phnthesxr 3 ni catxngmilaklxngpunkhnad 7 5esntiemtr epnpuntxsurththnghlk aelatxngminahnkimekin 24 tn rhsthiichinkarsrangrththngnikhux rthaethrketxrephuxkarekstr eyxrmn Begleitwagen ephuxepnkarhlbeliyng snthisyyaaewrsay thiphukphnkbeyxrmnxyu miphuphlitephiyng 3 raythithukkhdeluxkmaihphlitrththngtnaebbkhux MAN Krupp and Rheinmetall Borsig odyinthisud eyxrmnidtdsinicihbristh Krupp epnphuphlit inchwngaerk phnthesxr 4 idthukxxkaebbihichchwnglangaebb lxkdsayphansxn xngkvs six wheeled interleaved suspension aetthangkxngthpheyxrmntxngkarrabbchwnglangaebb thxrchn bar xngkvs Torsion bar sungsamarthitthisungchniddikwa aelayngihkhwamnumnwlaekphlpracarththngdwy aetxyangirkdi enuxngcakkxngthpheyxrmntxngkarichnganxyangerngdwn bristh Krupp cungthakareluxkchwnglangaebb leaf spring double bogie sungphlitidngaykwamaaethn tnaebbrththngthiidmann ichphlpracarth 5 nay odymihxngekhruxngxyuthangthayrththng danhnasayepnthinngkhxng phlkhb swndanhnakhwann epnthinngkhxngphlwithyu sungcatxngkhwbkhumpunklipdwy phubychakarrththngcanngxyuinpxmpun briewndanlangkhxngthangekhaxxk swnphlpun aelaphlbrrcukrasunnn canngxyuthangsay aelathangkhwakhxngpuntamladb thangdankhwakhxngtwthngnncaepnthiekbkrasun phnthesxr 4 erimphlitinpi kh s 1936 n emuxng Magdeburg run A F1 phnthesxr 4 run Crun A karphlitkhrngaerknnerimtnemuxpi kh s 1936 odyepnkarphlitinrun A ichekhruxngynt Maybach s HL 108TR ihkalng 250 aerngma 183 73 kW ichrabbsngkalngaebb SGR 75 sungmiekiyredinhna 5 ekiyr aelaekiyrthxyhlng 1 ekiyr odysamarththakhwamerwidsungsud 31 kiolemtrtxchwomng odypuntxsurththnghlknnepn punihytxsurththngaebb 37 L 24 KwK 37 L 24 sungichyingkrasunraebidaerngsung HE ephuxpraoychninkartxsukbthharrab kartxsukbrththngnn caichkrasunaebbecaaekraa khwamerwkrasun 430 emtrtxwinathi odycasamarthecaaekraaidluk 43 milliemtr thimumtkkrathbimekin 30 xngsa inraya 700 emtr aelamipunklaebb MG34 2 krabxk odykrabxkaerkcaichaeknrwmkbpunhlk aelaxikkrabxkcatidxyukbtwthngbriewnphlwithyu run A nn miekraadanhnahna 14 5 milliemtr aelamiekraathipxmpunhna 20 milliemtr dwykhwambangkhxngekraaradbni capxngknidephiyngaekhkrasunpuncakpunelkyaw crwdtxsurththngkhnadeba aelasaekdraebidcakpunihyidethann hlngcakrun A phlitidephiyng 35 khn eyxrmncungerimthakarphlitrun B inpi kh s 1937 run B run B mikarprbprungodymikarepliynekhruxngyntepnrun Maybach HL 120TR sungihkalng 300 aerngma aelarabbsngkalngidrbkarprbprungodyephimekiyredinhnaxik 1 ekiyr epn 6 ekiyr thakhwamerwidsungsud 39 kiolemtrtxchwomng ekraarththngdanhnannidthukephimkhwamhnaepn 30 milliemtr aelachxngpunklthitidxyubntwthngnnidthukepliynepnchxngwang thisamarthnapunsnyinglxdxxkipid phnthesxr 4 run B idthukphlitxxkipepncanwn 42 khn run C mikarephimkhwamhnakhxngekraapxmpunepn 30 milliemtr sungthaihrththngminahnkephimkhunepn 18 14 tn hlngcakphlitrun C idephiyng 40 khn kidmikarprbprungekhruxngyntihm odyepliynepnekhruxngyntrun Maybach HL 120TRM aelathakarphlitxxkmaxik 100 khn kxnthicaepliynepnrun D ineduxnsinghakhmpi kh s 1939 ekhruxngynt maybkh 120TRM thiphnthesxr 4 swnihyich run D phnthesxr 4 run D phnthesxr 4 thithukphlitxxkmainrun D nnmicanwn 248 khn odyinrun D niidmikarnapunklthitidxyukbtwthngklbmaichnganehmuxnrun B aelamikaryaypunklaeknrwmkbpunhlkxxkipxyubnpxmpunaethn mikarephimkhwamhnakhxngekraadankhangepn 20 milliemtr hlngcakeyxrmnidrbchychnacakkarbukopaelndinpi kh s 1939 eyxrmncungkhidcakhyaykarphlitrththngrunni odynaekhapracakarinchux Sonderkraftfahrzeug 161 Sd Kfz 161 enuxngcakpuntxsurththngaebb KwK 37 L 24 nn epnaebblaklxngsn aelaichyingkrasunkhwamerwta cungmkcaimsamarthecaaekraarththngkhxngxngkvsinsmrphumikarbukyudfrngessid eyxrmncungidthakarthdlxngtidtngpunaebb Pak 38 L 60 khnad 5 esntiemtr sungsamarthecaaekraahna 50 milliemtrid aetkarsngrththngrunnitxngthukykelikip enuxngcakchychnaxnrwderwkhxngeyxrmnithimitxfrngess run E erimthakarsrangemuxeduxneduxnknyayn pi kh s 1940 odythakarephimkhwamhnakhxngekraadanhnaepn 50 milliemtr odyisaephnehlkepnekraaephimdanhnaxik 30 milliemtr aelathakaryaychxngsngektkarnkhxngphubngkhbbycharththngmaxyudanhnakhxngpxmpun inswnkhxngrththngrunkxnhnani cathukxphekrdihepnaebbediywkbrun E emuxrththngidnaklbekhamabarungrksa phnthesxr 4 run E nithukphlitxxkma 280 khn tlxdchwngpi kh s 1939 thungpi kh s 1941 run F F1 phnthesxr 4 run F1 sungtidpunlaklxngsn ichtxsukbthharrab inpi kh s 1941 phnthesxr 4 run F iderimsaykarphlit odykhwamhnakhxngekraaaelapxmpunmikhnad 50 milliemtr aelaephimkhnadkhxngekraadankhangepn 30 milliemtr cakkarephimkhwamhnakhxngekraathaihnahnkkhxngrththngephimkhunepn 22 3 tn sungcaepntxngxxkaebbrabbsayphanihmihmikhwamkwangephimkhunepn 400 milliemtr cak 380 milliemtr ephuxkracayaerngkdthikrathatxphundin odyhnasmphskhxngsayphanthiephimkhunnn cachwyrththnginkarwingbnphunphiwthiepnnaaekhngdwy rththngyngidrbkarprbprungineruxngkhxnglxkdsayphandwy odyemuxphnthesxr 4 run F2 iderimthakarphlitipaelwnn run F idthukepliynchuxepn F1 odymirththngrun F1 canwn 464 khnthukphlitxxkma odyxik 25 khnthukepliynihepnrun F2 insaykarphlit run F2 J run F2 wnthi 26 phvsphakhm kh s 1941 ephiyngspdaediywkxnyuththkar barbarxssa caerimkhun xdxlf hitelxr txngkarcaprbprungpuntxsurththngkhxng phnthesxr 4 odyidthakartidtxbristh Krupp xikkhrng ephuxcaihtidtngpun Pak 38 L 60 khnad 5 esntiemtrekhaipxikkhrnghnung aelaidrththnghlngcakkarprbprunginwnthi 15 phvscikayn kh s 1941 cakkarekhatxsukbrththng T 34 aelarththng KV 1 khxngosewiyt sungihmkwa aelathrngphlngkwann praktwarththngkhxngeyxrmnimsamarthtxkrkbrththngkhxngosewiytidely enuxngcakekraakhxng T 34 aela KV 1 mikhwamhnamak thaihpunaebb Pak 38 L 60 imsamarthecaaekraaekhaipthakhwamesiyhayid eyxrmncungykelikkarphlitrththngthiidtidtngpunrun Pak38 L 60 thnghmd aelaidwacangbristh Rheinmetall ihthakarxxkaebbpuntxsurththngaebbihmdwykhnad 7 5 esntiemtraethn sungphayhlngcakkarxxkaebbesrcsin punniidchuxwa 7 5 cm Pak 40 L 46 enuxngcakpunkhnadlaklxngthiyawkhun thaihekidaerngsathxnthxyhlngthimakkhun sungthaihrayathxykhxngpunnnekinkhwamyawkhxngpxmpunthimixyu cungtxngthakarxxkaebbrabbrbaerngsathxnthxyhlngihm ephuxihrayathxykhxngpunnnsnlng odypunthitidtngbnphnthesxr 4 nn michuxwa KwK 40 L 43 odykrasunecaaekraa cathakhwamerwid 990 emtr txwinathi sungtangcakpunkrabxkedimthithaidephiyng 430 emtrtxwinathi odypunkrabxkihmthithuktidtngni emuxyingkrasunaebb Panzergranate 39 caecaaekraaid 77 milliemtr thirayathang 1830 emtr odyrththngthitidtngpunrun KwK40 L 43 camichuxrunkhux F2 odyminahnkephimkhunepn 23 6 tn rththnginrunnithukphlitxxkma 175 khntngaeteduxnminakhm thungeduxnkrkdakhmpi kh s 1942 sameduxnihhlng rththngrunnikthukepliynchuxxikkhrnghnungepnrun G phnthesxr 4 run F2 tidtngpun KwK 40 L 43 ephuxichtxsukbrththng T 34 aela KV 1 khxngosewiytodyechphaarun G sahrbkarphlitphnthesxr 4 inchwngeduxnphvsphakhm kh s 1942 thungeduxnmithunayn kh s 1943 nn phnthesxr 4 run G idthukprbaetnghlayxyang epntnwakarprbprungineruxngekraa sungkarprbprungineruxngekraannepnkarephimnahnkcnthungkhidsudthirththngcarbihw ephuximihnahnkekinipmakkwani idmikarnaekraaesrimdankhangthimikhwamhna 20 milliemtrxxkip aelaipephimkhwamhnakhxngtwthngdankhangepn 30 milliemtraethn aelanahnkinswnthihayipnn idthuknamaichinkaresrimekraadanhnaihmikhwamhnaepn 80 milliemtr sungkalngphlthiichrththngniktangtxngkarekraathihnakhunnithungaemtxngaelkmadwypyhatxrabbkhbekhluxnkhxngrththngktam odyrththngthiphlitineduxnphvsphakhm kh s 1942 thungeduxnmkrakhm kh s 1943 nn caichekraaaebbihmniphlitrththngepnkhrunghnung khxngekraaaebbedimthiphlitxxkma aelahlngcakeduxnmkrakhm kh s 1943 kcaepliynipphlitekraaaebbhna 80 milliemtrthnghmd chxngmxngthngsxngkhangkhxngpxmpunnnthuknaxxkephuxihkarphlitsamarththaidngaykhun mikarnalxkdsayphansarxngmatidtngbndansaykhxngtwthng aelaephimsayphansarxngodynamawangiwbnekraadanhna mikarepidchxngwangdanbnkhxnghxngekhruxngephuxephimsmrrthnainkarrabayxakas insmrphumithirxnxbxaw swninsmrphumithimikhwamhnaweynnn idmikarnaxupkrnephimkhwamrxniptidtngephuxihnahlxeynnnimeyncnekinip mikarepliynifsxngswangihm aelanaexaifsyyanbnpxmpunxxk chxngsngektkarnkhxngphubngkhbbycharththngnnidthukephimkhwamhnakhxngekraa aelaldlngehluxephiynghnungchxngsungaetedimmisxngchxng ineduxnminakhm kh s 1943 phnthesxr 4 thithuktidtngekraadankhangsayphan aeladankhangpxmpunidthuknamaichngan ineduxnemsayn kh s 1943 punaebb KwK 40 L 48 idthuknamatidtngaethnpun KwK 40 L 43 sungpunaebbihmnimikhwamyawkhxnglaklxngmakkwa aelaidrbkarprbprungsungcaldaerngsathxnthxyhlngihldlngkwaedim aelaidmikarephimekraaaebb Zimmerit sungnaiptidtngdanlangkhxngtwthng enuxngcakeyxrmnklwwathunraebidrththngaebbehniywnaaemehlkkhxngsmphnthmitrnncathuknamaichcdkarkbrththngkhxngeyxrmn rththnginrunniidthukephimekraadankhangsayphankhnadhna 5 milliemtr aelakhnadhna 8 milliemtrthipxmpun nxkcakniyngmikarnarabbsngkalngkhxngphnthesxr 3 maichinrunnidwy phnthesxr 4 run H phaphthaycakphiphithphnth cakpraeths frngess aethbkhrukhratamrththngkhuxekraaaebb kraoprngekraadankhangthukepliynepntaaekrngehlkaethnaelw run J cakkarsuyesiyxyanghnkkhxngrththngeyxrmn phnthesxr 4 inrun J nnidthukldsepkhlngephuxihsamarthphlitrththngthdaethnidrwderwyingkhun odyrabbhmunpxmpundwyiffannidthukykelikip thaihphlpuntxngthakarhmumpxmpunexngdwymux thiwangkhxngrabbiffathihayipnnthukaethnthidwythngnamnkhnad 200 litr sungephimrayaptibtikarnkhxng phnthesxr 4 epn 320 kiolemtr rththngphnthesxrthuknaekraaaebb Zimmerit xxkip swnekraadankhangkhxngsayphannnthukaethnthidwytaaekrngehlkaethn inchwngthaykhxngsaykarphlitnnidmikarthdlxngnapunkhxng rththng mais sungmikhwamyawkwa aetkthaimsaerc enuxngcakrththngimsamarthaebkrbnahnkidmakkwaniaelw phnthesxr 4 run J sungepnrunsudthayinkarphlit idthukldsepkhlngipephuxephimkhwamerwinkarphlit runnithuksngxxkipyng finaelndkarphlitphnthesxr 4 thithukphlitxxkmainaetlapi rayaewla canwn run Ausfuhrung or Ausf 1937 1939 262 A D1940 278 386 E 1941 467 769 E F1 F2 G1942 est 880 G1943 3 013 G H1944 3 125 J1945 est 435 JTotal 9 870 A Jprawtikarrbphnthesxr 4 thukyingekhahlaycud sngektbriewnpxmpun aelalaklxngpun phnthesxr 4 epnrththngthieyxrmnthakarphlittngaetkxnerimsngkhramipcnthungsinsudsngkhram sungcanwnthnghmdnnepnthung 30 khxngrththngthieyxrmnphlitxxkmainchwngsngkhramolkkhrngthisxng aenwrbfngtawntk aelasmrphumiaexfrikaehnux 1939 1942 emuxkxngthpheyxrmnerimbukopaelndnn eyxrmnmirththngaebb phnthesxr I canwn 1445 khn aebb phnthesxr 2 canwn 1223 khn aebb phnthesxr 3 canwn 98 khn aelaaebb phnthesxr 4 canwn 211 khn sungrththngaebbphnthesxr 4 nnmicanwnnxykwa 10 khxngkalngrththngthnghmdthieyxrmnmixyu canwnkalngrththngthicdekhainkxngphlthharyanekraathi 1 epndngni phnthesxr 1 canwn 17 khn phnthesxr 2 canwn 18 khn phnthesxr 3 canwn 28 khn aelaphnthesxr 4 canwn 14 khn swnkxngphlkhxngthharyanekraaxunnncaennichrththngrunekathimixyu sungmikarcdkalngdngni phnthesxr 1 canwn 34 khn phnthesxr 2 canwn 33 khn phnthesxr 3 canwn 5 khn aelaphnthesxr 4 canwn 6 khn thungaemwaopaelndcamirththngthimikhwamsamarthinkarecaaekraarththngeyxrmnidkwa 200 khn aelamipuntxsurththngthimiprasiththiphaph aeteyxrmnkechuxmnwaphnthesxr 4 casamarththahnathiinkarepnhwhxkinkartxsukbyanekraaehlannid thungaemeyxrmncathakarephimkalngkarphlitrththngaebb phnthesxr 3 aelaphnthesxr 4 epncanwnmakinchwngthieyxrmnthakarbukfrngess aetrththngeyxrmnthiekhapracakarswnhyyngkhngepnrththngebaxyu odyrththngthithakarbukfrngessnnmi phnthesxr I 523 khn phnthesxr 2 955 khn phnthesxr 3 349 khn phnthesxr 4 106 khn phnthesxr 35 t 106 khn aela Panzer 38 t 228 khn eyxrmnidichklyuthththidikwainkarekhapatha thaihkxngthphrththngeyxrmnchnainkarsukthungaemwacamirththngebaepncanwnmakktam pyhathiekidkhunkbrththngaebbphnthesxr 4 nnkhuxxtrakarecaaekraathita enuxngcakmnidthakartidtngpun KwK 37 L 24 sungyingkrasunxxkipiddwykhwamerwta cungimsamarthecaaekraarththngkhxngfrngessaelaxngkvsid rththng Somua S35 khxngfrngessnnmiekraahna 55 milliemtr sungpun khxngphnthesxr 4 samarthecaaekraaidaekh 43 milliemtr thiraya 700 emtrethann swnkartxsukbrththng Matilda Mk 2 khxngxngkvsnn enuxngcakekraadanhnakhxng Matilda Mk 2 mikhwamhnathung 70 milliemtrcungimmithangelythiphnthesxr 4 caecaaekraaekhaipid sungthungaemcathakaryingekhacakdankhang kyngtxngecxekraahnakhnad 60 milliemtr sungpun KwK 37 L 24 imsamarthecaaekhaipthakhwamesiyhayid rththng khxngshrachxanackr aelnphanphnthesxr 4 thiesiyhay rupcakyuththkar playpi kh s 1941 phnthesxr 4 thikxngkalngeyxrmnidrbinsmrphumiaexfrikann yngimsamarthnamaichaethn phnthesxr 3 id enuxngcak phnthesxr 3 nnmixtrakarecaaekraathisungkwa aetxyangirkdi thngphnthesxr 3 aelaphnthesxr 4 ktangimsamarthecaaekraathihnakhxngrththng Matilda Mk 2 id swnpunkhxng Matilda Mk 2 nn samarthecaathaluekraathng phnthesxr 2 aelaphnthesxr 4 idthnghmd sungrththngphnthesxr 3 aelaphnthesxr 4 mikhxidepriybxyangediywkhuxsamarththakhwamerwiddikwa eduxnsinghakhm pi kh s 1942 exiyrwin rxmeml idrbphnthesxr 4 run F2 epncanwn 27 khn sungrththnginrunnitidpun KwK 40 L 43 sungmikhnadkhwamyawlaklxngmakkwa sungrxmemltngiccaichrththngrunihmniepnhwhxkinkarbuk ephraapunkhnadkhwamyawlaklxngthimakkwann caihkhwamerwkrasunthisungkwa cungthaihmixtrakarecaaekraathidikhunkwaedimmak sungrththngrunihmnisamarththalayrththngxngkvsidthirayathung 1500 emtr thungaemwaeyxrmncaidrbrththngrunihmepncanwnmak aetkethiybimidkbyuththphnththithuksngipyngxngkvs sungcathuknamasrangepnrththngaelasngmarbkbeyxrmninphayhlng nxkcakniphnthesxr 4 nnyngidnaipichinkarbukyuokslaewiyaelakrisinpi kh s 1941 xikdwy smrphumidantawnxxk 1941 1945 emuxeyxrmniderim yuththkarbarbarxssa eyxrmntxngtxkrkbrththngthimiekraahnaxyang KV 1 aela T 34 sungepnsaehtuiheyxrmntxngthakarprbprungrththngkhxngtnihmixawuththimixanuphaphinkarecaaekraathidiyingkhun emuxphnthesxr 4 thitidxawuthpun KwK 40 L 43 ihmniidekhasusmrphumi mnsamarththalayrththng T 34 khxngosewiytidthiraya 1200 emtr odypun KwK 40 L 43 thitidtngihmnisamarthecaaekraarththng T 34 idthukdan odymirayayingtngaet 1000 emtr thung 1600 emtr odyrththngrunihmthithuksngmaniepnrun F2 sungmicanwnpraman 135 khn sung n khnann miephiyngphnthesxr 4 runihmniethannthicasamarththalayrththng T 34 aela KV 1 id phnthesxr 4 cungklayepnkalngsakhymakinchwngni enuxngcakrththngaebbthiekxr 1 thiyngmipyha aelarththngphnethxr thiyngimidsngmxbihaekkxngthpheyxrmn inchwngpi kh s 1942 phnthesxr 4 canwn 502 khnthukthalayinsmrphumirbtawnxxk phnthesxr 4 yngkhngepnkalnghlktxipinsmrphumicnthungpi kh s 1943 aelaidekharwm smrphumithi ekhris swnrththng thiepnrunihmkwannkyngprasbpyhabangprakar cungimsamarththakarrbidxyangetmthi miphnthesxr 4 canwn 841 khnekharwmkarrbinsmrphumiekhris tlxdpi kh s 1943 eyxrmnsuyesiyphnthesxr 4 canwn 2 352 khninsmrphumitawnxxk cakkarsuyesiyrththngepncanwnmak kxngphlyanekraa 1 kxngphl thukprbldihmirththngephiyng 12 18 khnethann kh s 1944 eyxrmnsuyesiy phnthesxr 4 epncanwnmakthung 2643 khn sungeyxrmnimsamarthphlitrththngekhamaaethnthirththngthiesiyipehlaniidthn inpisudthaykhxngkarrb rththngeyxrmn imsamarthtxkrkb T 34 thithukprbprungmaihmidxikaelw aetenuxngcak rththng yngimsamarthcdhamapracakaraethn phnthesxr 4 idthn phnthesxr 4 cungyngtxngthahnathiepnkalnghlkipkxn inpi kh s 1945 eyxrmnsuyesiyphnthesxr 4 canwn 287 khn sungcakcanwnthithharkhxngfayosewiydidthakarbnthukiwnn miphnthesxr 4 canwn 6 153 khn hrux 75 khxngphnthesxr 4 thukthalayinsmrphumitawnxxk phnthesxr 4 run H cak 12th Panzer Division Wehrmacht kalngptibtikarninsmrphumitawnxxk pi 1944smrphumidantawntk 1944 1945 emuxkxngkalngsmphnthmitrerim yuththkaroxewxrlxrd phnthesxr 4 nnmicanwnepnpramankhrunghnungkhxngkalngrththngthnghmdthixyuinaenwrbtawntk kxngphlyanekraathng 11 kxngphlthiptibtikarninnxrmxngdinn swnihycaprakxbipdwyrththngaebb phnthesxr 4 aelarththng odymicanwnrwmaelwraw 160 khn karprbprungphnthesxr 4 nn srangchuxesiyngihrththngcnepnthinaekrngkhamaeksmphnthmitr thngthikxngkalngthangxakaskhxngshrthsamarthkhrxbkhrxngthangxakasidhmdaelw aetkarsumocmtikhxngrththng aelapuntxsurththngkhxngeyxrmnnnsamarththalayrththngkhxngsmphnthmitridepncanwnmak kxngkalngkhxngshrachxanackr thalayphnthesxr 4 inkhnakarrbthinxrmxngdi inchwngyuththkaroxewxrlxrdnn thngrththngaebb phnthesxr 4 aelarththng mkcathukthalayidngaycakkarthuksumocmtikhangthang emuxecxkbthharrabthitidxawuthtxsurththngmadwy hruximkepnrththngphikhatrththng echnediywkbekhruxngbinocmtiphakhphundinthibinekhamasnnsnunrayaikl phumipraethsinaethbnnmiphumimepnswnihy sungimehmaasmxyangyingkbkarichrththng dngcaehnidcakcanwnrththngthiidrbkhwamesiyhaythikraoprngekraadankhang enuxngcakthuksumocmti sungyanekraakhxngeyxrmnlwnhwadhwncakkarthuksumocmtiemuxtxngphanbriewnphumim thangfngsmphnthmitrnnidthakarkhnkhwaaelawicyrththngkhxngtnexng sunghnunginnnkhuxrththngaebb exm 4 echxraemn xngkvs M4 Sherman sungrabbekhruxngyntnnnbwamikhwamesthiyr echuxthuxid aethakmikhxesiysungepnsingthithaihesiyepriybmakkhuxekraathibang aelapuntxsurththngthiimsamarthecaaekraarththngeyxrmnid emux exm 4 echxraemn txngthakartxsukb phnthesxr 4 inrunaerk exm 4 echxraemn yngphxthalayphnthesxr 4 idbang aetemuxecxkb phnthesxr 4 inrunhlngaelwnn rththng exm 4 echxraemn imsamarththaxairidely nxkcakni exm 4 echxraemn yngimsamarthecaaekraarththng aelarththng ithekxr khxngeyxrmnid imwacaekhaipyinginrayaiklephiyngidktam phnthesxr 4 inrunhlng thithakarprbprungekraadanhnaaelwnn samarthyngyngpunkhxng exm 4 echxraemnidepnxyangdi dwyehtuni kxngkalngshrachxanackr cungidthakartidtngpunaebb khiwexf 17 pxnd xngkvs QF 17 pounder bnrththng exm 4 echxraemn edim sungrththngthitidtngpunihmekhaipniidchuxwa echxraemn ifrflay xngkvs Sherman Firefly sungrththng echxraemn ifrflay ni epnrththngephiyngaebbediywthisamarthsurbkbrththngeyxrmnthukchnididxyangsusi mirththngechxraemn ifrflaycanwn 300 khnthiekharwmrbinyuththkaroxewxrlxrd thinxrmxngdi xemrikaerimthakartidtngpunaebb exm 1 xngkvs M1 ihkb rththng exm 4 echxraemnkhxngtn punexm 1 nimikhnadlaklxngthiihykhun sungnnkephiyngphxtxkarekhasurbkbphnthesxr 4 aelw thungaemwaeyxrmncaepnecaaehngsmrphumirththng inwnthi 29 singhakhm kh s 1944 kxngthphthi 5 aela 7 khxngeyxrmnktxngthakarthxyrnekhasupraethseyxrmni mirththngeyxrmnpraman 2 300 khnekharwmrbinnxrmxngdi incanwnnimirththngaebbphnthesxr 4 canwn 750 khn eyxrmnesiyrththngipthnghmd 2 200 khn enuxngcakkarsuyesiyxyanghnkni thaihinaetlakxngphl hnungkhxngeyxrmn ehluxrththngekhapracakarephiyng 5 thung 6 khnethann inchwngvduhnawkhxngpi kh s 1944 phnthesxr 4 kidthukichepnkalnghlkxikkhrngin karyuthththipaxarednn sungphnthesxr 4 kthukthalayipepncanwnmak nxkcaknieyxrmnyngimsamarthichrththngidxyangmiprasiththiphaphethathikhwrdwyenuxngcakkarkhadaekhlnnamn phnthesxr 4 thiekharwmrbin karyuthththipaxarednnniepnrththngthiehluxrxdmacakkarrbkbfrngess sungmicanwnpraman 260 khnechingxrrthZetterling Niklas 2000 Kursk 1943 A Statistical Analysis London Frank Cass p 61 ISBN 978 0 7146 5052 4 Conners Chris 4 December 2002 The AFV Database khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2011 09 06 subkhnemux 15 December 2010 Spielberger 1972 p 69 Perrett 1999 p 4 phnexk sniorcn thrrmys khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2011 12 16 subkhnemux 20 June 2013 Jentz 1997 p 1 Spielberger 1972 p 70 Perrett 1999 p 5 Simpkin 1979 p 106 de Mazarrasa 1994 p 46 Perrett 1999 p 5 Caballero amp Molina 2006 p 6 Caballero amp Molina 2006 p 6 Caballero amp Molina 2006 p 7 Doyle amp Jentz 2001 p 4 Perrett 1999 p 6 Caballero amp Molina 2006 p 7 Perrett 1999 p 6 Caballero amp Molina 2006 p 6 Doyle amp Jentz 2001 p 5 Caballero amp Molina 2006 p 31 Spielberger 1993 txngkarelkhhna Perrett 1999 p 7 Doyle amp Jentz 2001 pp 6 7 Spielberger 1972 p 73 Caballero amp Molina 2006 p 38 Spielberger 1993 p 59 Doyle amp Jentz 2001 pp 11 12 Walter J Spielberger 1993 P63 Doyle amp Jentz 2001 p 12 Caballero amp Molina 2006 p 44 Perrett 1999 p 8 Perrett 1999 p 9 Caballero amp Molina 2006 p 36 Doyle amp Jentz 2001 p 16 Spielberger 1972 p 72 Cabellero amp Moline 2006 p 4 suggest only 278 manufactured in 1940 Entered service December 1939 Perrett 1999 p 6 769 per Spielberger 1972 p 72 Cabellero amp Moline 2006 p 4 suggest 467 Panzer IVs were manufactured in 1941 Ausf F entered production during the spring of 1941 and Ausf G entered service sometime later the same year Perrett 1999 p 8 McCarthy amp Syron 2002 suggest that 8 600 were manufactured total p 36 McCarthy amp Syron 2002 p 36 Caballero amp Molina 2006 p 4 Perrett 1999 p 24 Perrett 1998 p 37 Guderian 1996 p 472 McCarthy amp Syron 2002 p 72 McCarthy amp Syron 2002 p 73 Doyle amp Jentz 2001 pp 4 5 Perrett 1999 p 34 Ormeno 2007 p 48 Doyle amp Jentz 2001 p 21 Doyle amp Jentz 2001 p 23 Perrett 1999 pp 34 35 Jentz 1996 p 243 Bird amp Livingston 2001 p 25 Doyle amp Jentz 2001 p 33 Spielberger 1972 p 87 Caballero amp Molina 2006 p 39 Perrett 1999 p 39 Caballero amp Molina 2006 p 47 Caballero amp Molina 2006 p 48 Caballero amp Molina 2006 p 51 Caballero amp Molina 2006 pp 59 62 Hastings 1999 p 133 Perrett 1999 p 43 Hastings 1999 p 225 Hastings 1999 pp 225 227 Jentz amp Doyle 2001 p 176 Fletcher 2008 pp 5 8 Fletcher 2008 p 43 Hastings 1999 p 221 Perrett 1999 p 44 Forty 2000 p 92xangxingBird Lorrin R Livingston Robert 2001 World War II Ballistics Armor and Gunnery Albany NY Overmatch Press Caballero Carlos Molina Lucas October 2006 Panzer IV El puno de la Wehrmacht phasasepn Valladolid Spain AFEditores ISBN 978 84 96016 81 1 Crawford Steve 11 November 2000 Tanks of World War II Zenith Press ISBN 978 0 7603 0936 0 de Mazarrasa Javier 1994 Blindados en Espana 2ª Parte La Dificil Postguerra 1939 1960 phasasepn Valladolid Spain Quiron Ediciones ISBN 978 84 87314 10 0 Jentz Tom 2001 Panzerkampfwagen IV Ausf G H and J 1942 45 New Vanguard 39 Oxford United Kingdom Osprey ISBN 978 1 84176 183 1 Doyle Hilary Lukas Friedli 2016 Panzer Tracts 4 3 Panzerkampfwagen IV Ausf H Ausf J 1943 to 1945 Boyds Maryland Panzer Tracts 2008 Sherman Firefly New Vanguard Oxford United Kingdom Osprey ISBN 978 1 84603 277 6 2000 The Reich s Last Gamble The Ardennes Offensive December 1944 London United Kingdom Cassell amp Co ISBN 978 0 304 35802 1 Panzer Leader New York Da Capo Press Reissue edition 2001 1999 Overlord D Day and the Battle for Normandy 1944 London United Kingdom Pan Books ISBN 978 0 330 39012 5 Jentz Thomas 1996 Panzertruppen The Complete Guide to the Creation amp Combat Employment of Germany s Tank Force 1933 1942 Atglen PA ISBN 978 0 88740 915 8 Jentz Thomas Doyle Hilary 1997 Panzer Tracts 4 Panzerkampfwagen IV Grosstraktor to Panzerbefehlswagen IV Darlington MD Darlington Productions Jentz Thomas Doyle Hilary 2001 Germany s Panzers in World War II From Pz Kpfw I to Tiger II Atglen PA Schiffer Military History ISBN 978 0 7643 1425 4 The German Generals Talk New York NY Morrow 1948 McCarthy Peter Mike Syryon 2002 Panzerkieg The Rise and Fall of Hitler s Tank Divisions New York City NY Carroll amp Graf ISBN 978 0 7867 1009 6 Ormeno Javier 1 January 2007 Panzerkampfwagen III El pequeno veterano de la Wehrmacht SERGA 45 Perrett Bryan 1998 German Light Panzers 1932 42 New Vanguard Oxford United Kingdom Osprey ISBN 978 1 85532 844 0 Perrett Bryan 1999 Panzerkampfwagen IV Medium Tank 1936 1945 New Vanguard Oxford United Kingdom Osprey ISBN 978 1 85532 843 3 Reynolds Michael 2002 The Sons of the Reich II SS Panzer Corps Havertown PA Casemate ISBN 978 0 9711709 3 3 Scheibert Horst 1991 The Panzer IV Family West Chester PA Schiffer Military History ISBN 978 0 88740 359 0 Simpkin Richard E 1979 Tank Warfare An analysis of Soviet and NATO tank philosophy London United Kingdom Brassey s ISBN 978 0 904609 25 7 Spielberger Walter April 1972 PanzerKampfwagen IV Berkshire United Kingdom Profile Publications Ltd Spielberger Walter 1993 Panzer IV and its variants Atglen PA USA Schiffer Military History ISBN 978 0 88740 515 0 Spielberger Walter 2011 Panzerkampfwagen IV and its variants 1935 1945 Book 2 Atglen PA USA Schiffer Military History ISBN 978 0 7643 3756 7 1997 The Struggle for Europe Ware Herts Wordsworth Editions Ltd ISBN 978 1 85326 677 5 Scafes Cornel I Scafes Ioan I Serbanescu Horia Vl 2005 Trupele Blindate din Armata Romana 1919 1947 Bucuresti Editura Oscar Print