นกกะรางหัวขวาน | |
---|---|
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Animalia |
ไฟลัม: | Chordata |
ชั้น: | Aves |
อันดับ: | Coraciiformes |
วงศ์: | Upupidae Leach, 1820 |
สกุล: | Upupa ลินเนียส, 1758 |
สปีชีส์: | U. epops |
ชื่อทวินาม | |
Upupa epops ลินเนียส, 1758 | |
แผนที่แสดงการกระจายพันธุ์ ทำรัง ทั้งปี ฤดูหนาว |
นกกะรางหัวขวาน (ชื่อวิทยาศาสตร์: Upupa epops) เป็นนกขนาดกลาง มีสีสวย มีลักษณะเด่นที่จำง่ายคือมีหงอน (หัวขวาน) คล้ายหมวกของพวกอินเดียแดง พบทั่วทั้งทวีปแอฟริกาและยูเรเชียพร้อมทั้งทั่วประเทศไทย เป็นชนิดเดียวของวงศ์ Upupidae ที่ยังหลงเหลืออยู่ มีชนิดย่อยเฉพาะเกาะเซนต์เฮเลนา (ในมหาสมุทรแอตแลนติกใต้) ที่สูญพันธ์ไปแล้ว และเฉพาะเกาะมาดากัสการ์ที่บางครั้งจัดเป็นชนิดของตนเอง ชื่อสกุลภาษาละตินว่า Upupa คล้ายกับชื่อภาษาอังกฤษว่า "hoopoe" (อ่านว่า ฮูโพ) โดยเป็นชื่อเลียนเสียงร้องของนก นกกะรางหัวขวานเป็นนกประจำชาติของประเทศอิสราเอล เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในประเทศไทย ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535
อนุกรมวิธาน
นกกะรางหัวขวานจัดอยู่ใน clade ของอันดับนกตะขาบ ซึ่งรวมทั้งวงศ์นกกระเต็น วงศ์นกจาบคา และวงศ์นกตะขาบ ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างนกพันธุ์นี้กับนกวงศ์ Phoeniculidae (อังกฤษ: woodhoopoe) เห็นได้ที่กระดูกรูปโกลน (คือ stapes ในหูชั้นกลาง) ที่ไม่เหมือนใครในวงศ์นกทั้งสอง ในอนุกรมวิธานนกของ Sibley-Ahlquist (ซึ่งจัดอันดับตามผลงานศึกษาดีเอ็นเอ) นกพันธุ์นี้มีอันดับต่างหากเป็น Upupiformes (ไม่ใช่ Coraciiformes) และนักวิชาการบางท่านก็รวมนกวงศ์ Phoeniculidae เข้าไปในอันดับต่างหากนี้ด้วย
หลักฐานซากดึกดำบรรพ์ของนกพันธุ์นี้มีน้อยมาก โดยมีซากเก่าที่สุดมาจากยุคควอเทอร์นารี ซึ่งมีอายุน้อยกว่าหลักฐานซากดึกดำบรรพ์ของนกชนิดที่เป็นญาติใกล้ชิดอื่น ๆ เช่น พบซากของ woodhoopoe จากสมัยไมโอซีน (5.322 ถึง 23.03 ล้านปีก่อน) และซากของวงศ์ญาติ Messelirrisoridae ที่สูญพันธ์ไปแล้ว จากสมัยอีโอซีน (33.9 ถึง 56 ล้านปีก่อน)
เป็นนกชนิดเดียวที่เหลือในวงศ์ แม้ว่านักวิชาการพิจารณาชนิดย่อยของเกาะมาดากัสการ์ (U. e. marginata) และของแอฟริกา (U. e. africana) ให้เป็นชนิดต่างหาก ความแตกต่างทางสัณฐานระหว่างชนิดย่อยที่นิยมแยกที่สุดคือ U. e. marginata กับชนิดย่อยอื่น ๆ เล็กน้อยมากเพียงเสียงร้องเท่านั้นไม่เหมือนชนิดย่อยอื่น ๆ ชนิดที่แยกออกมาจากความแตกต่างที่มากพอเป็นมติยอมรับคือ นกกะรางหัวขวานเกาะเซนต์เฮเลนา (ชื่อวิทยาศาสตร์: Upupa antaios, อังกฤษ: Saint Helena hoopoe) แต่สูญพันธุ์ไปในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยสันนิษฐานจากสาเหตุการนำชนิดต่างถิ่นใหม่ ๆ เข้าไปบนเกาะ
คาโรลัส ลินเนียสบัญญัติสกุล Upupa ในหนังสือ Systema naturae ในปี ค.ศ. 1758 ซึ่งในตอนนั้นรวมนกชนิดสามอย่างอื่นที่มีปากยาวโค้ง คือ
- U. eremita (ปัจจุบันจัดเป็น Geronticus eremita, อังกฤษ: northern bald ibis)
- U. pyrrhocorax (ปัจจุบันจัดเป็น Pyrrhocorax pyrrhocorax) คือ นกกาภูเขาปากแดง
- U. paradisea
ชนิดย่อย
ในหนังสือภาษาอังกฤษชุด คู่มือนกของโลก (Handbook of the Birds of the World) ที่แสดงนกทุกชนิดในโลกที่รู้จัก มีชนิดย่อยของนกกะรางหัวขวาน 9 ชนิด แตกต่างกันส่วนมากโดยขนาด และโดยความเข้มสีขน หลังการพิมพ์หนังสือจากนั้น ก็มีชนิดย่อยอีก 2 อย่างที่ได้รับการเสนอคือ U. e. minor ในประเทศแอฟริกาใต้ และ U. e. orientalis ในประเทศอินเดียตะวันตกเฉียงเหนือ
ชนิดย่อย | แหล่งที่อยู่ | ลักษณะเฉพาะ |
---|---|---|
U. e. epops Linnaeus, 1758 | แอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือ กานาเรียส จากยุโรปไปถึงประเทศรัสเซียกลางตอนใต้ ประเทศจีนตะวันตกเฉียงเหนือ ประเทศอินเดียตะวันตกเฉียงเหนือจนถึงภาคใต้ | พันธุ์ต้นแบบ (Nominate) |
U. e. major C.L. Brehm, 1855 | แอฟริกาตะวันออกเฉียงเหนือ | ขนาดใหญ่กว่าพันธุ์ต้นแบบ ปากยาวกว่า หางเรียวกว่า ด้านบนมีสีเทากว่า |
U. e. senegalensis William John Swainson, 1913 | ประเทศเซเนกัล ไปจนถึง ประเทศเอธิโอเปีย | ขนาดเล็กกว่าพันธุ์ต้นแบบ ปีกสั้นกว่า |
U. e. waibeli Reichenow, 1913 | ประเทศแคเมอรูนจนถึงประเทศเคนยาตอนเหนือ | เหมือนกับ U. e. senegalensis แต่มีขนเข้มกว่าและมีสีขาวมากกว่าบนปีก |
U. e. africana Johann Matthäus Bechstein, 1811 | แอฟริกากลางจนถึงแอฟริกาใต้ | มีสีแดง/น้ำตาลยิ่งกว่าพันธุ์ต้นแบบ |
U. e. marginata (Madagascan Hoopoe) Cabanis & Heine, 1860 | เกาะมาดากัสการ์ | ใหญ่กว่า แต่สีจางกว่า U. e. africana |
U. e. saturata Lönnberg, 1909 | ประเทศญี่ปุ่น ไซบีเรีย จนถึง ทิเบตและประเทศจีนตอนใต้ | เหมือนกับพันธุ์ต้นแบบ แต่มีขนคลุมตัวที่เทากว่า มีสีชมพูน้อยกว่าด้านล่าง |
U. e. ceylonensis Reichenbach, 1853 | ประเทศอินเดีย | ขนาดเล็กกว่าพันธุ์ต้นแบบ มีสีแดง/น้ำตาลยิ่งกว่า ไม่มีสีขาวที่หงอน |
U. e. longirostris Thomas C. Jerdon, 1862 | เอเชียอาคเนย์ | ขนาดใหญ่กว่าพันธุ์ต้นแบบ สีจางกว่า |
ลักษณะ
นกกะรางหัวขวานเป็นนกขนาดกลาง ลำตัวเพรียวยาวประมาณ 25-32 ซ.ม. ปีกกว้างประมาณ 44-48 ซ.ม. หนักประมาณ 46-89 กรัม เป็นนกที่เด่นมาก มีลักษณะที่จำง่ายคือ มีหงอนคล้ายหมวกของชนพื้นเมืองในอเมริกาสมัยก่อน มีปากยาวที่ค่อย ๆ เรียวโค้งลงเป็นสีดำ ที่โคนปากมีสีน้ำตาลอ่อน ลำตัวมีลายขวางสีน้ำตาลอ่อน หรือขาวสลับดำ มีลักษณะเหมือนกันทั้งตัวผู้และตัวเมีย แต่ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่า และสีจางกว่าตัวผู้เล็กน้อย
กล้ามเนื้อที่แข็งแรงของหัวทำให้สามารถอ้าปากได้เมื่อสอดเข้าไปในดินเพื่อสำรวจหาเหยื่อ มีปีกที่กว้างและกลมรีที่ช่วยให้บินได้ดี ชนิดย่อยทางเหนือที่เป็นนกย้ายถิ่นมีปีกขนาดใหญ่เป็นพิเศษ มีลักษณะการบินเฉพาะตัวที่ขึ้นลง ๆ ดูคล้ายคลื่น ซึ่งเหมือนกับผีเสื้อยักษ์ เกิดขึ้นจากปีกที่หุบลงครึ่งหนึ่งเมื่อกระพือปีกแต่ละครั้ง หรือเมื่อกระพือปีกช่วงสั้น ๆ (ดูภาพยนตร์) และสามารถบินได้เร็วถึง 40 กม./ชม.
เสียงร้องปกติมีสามพยางค์คือ "ฮูป ฮูป ฮูป" หรือ "ฮูป ปู ปู" ซึ่งอาจเป็นต้นกำเนิดของทั้งชื่อภาษาอังกฤษและชื่อทางวิทยาศาสตร์ แต่การร้องเป็นสองพยางค์ หรือสี่พยางค์ ก็สามัญเหมือนกัน ส่วนต้นกำเนิดที่เป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งของชื่อภาษาอังกฤษและชื่อวิทยาศาสตร์ก็คือ มาจากชื่อภาษาฝรั่งเศสของนกคือ "Huppée" ซึ่งแปลว่ามีหงอน ในแถบเทือกเขาหิมาลัย เสียงนกอาจจะฟังคล้ายกับนกคัคคูพันธุ์หิมาลัย (Cuculus saturatus) แม้ว่านกคัคคูปกติมีเสียงร้องเป็นสี่พยางค์ เสียงร้องอื่น ๆ มีทั้งเสียงห้าวคล้ายกบหรือกาเมื่อตกใจ และเสียงฟู่ ตัวเมียจะส่งเสียงคล้ายกับสูดหายใจอย่างเหนื่อย ๆ ในระหว่างรับอาหารจากตัวผู้ในช่วงที่จีบกัน ทั้งตัวเมียตัวผู้ เมื่อถูกกวน จะส่งเสียงหยาบ "การรรร" คล้ายกับเสียงเตือนของนกปีกลายสก็อต ส่วนเสียงขออาหารของลูกนกคล้ายกับเสียงของลูกนกนางแอ่นชนิด Apus apus
การกระจายพันธุ์และถิ่นที่อยู่
นกกะรางหัวขวานกระจายไปทั่วในยุโรป เอเชีย แอฟริกาเหนือ แอฟริกาใต้สะฮารา และมาดากัสการ์ นกส่วนมากที่อยู่ในยุโรปและเอเชียเหนืออพยพไปสู่เขตร้อนในฤดูหนาว เมื่อเทียบกับนกในแอฟริกาซึ่งเป็นนกประจำถิ่น ที่อยู่ที่เดียวกันตลอดทั้งปี มีการพบนกชนิดนี้โดยเป็นนกจรจัดในรัฐอะแลสกา คือพบชนิดย่อย U. e. saturata ที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำยูคอน ในปี ค.ศ. 1975 มีการพบนกที่อยู่เหนือเขตปกติในยุโรป และในสหราชอาณาจักรตอนใต้ ในช่วงฤดูร้อนที่อุ่นและไม่มีฝน ที่มีตั๊กแตนและแมลงคล้ายกันอื่น ๆ มากเป็นอาหาร แม้ว่า เริ่มตั้งแต่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 นกในยุโรปตอนเหนือเริ่มมีจำนวนลดลง ซึ่งอาจเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ในประเทศไทย นกกะรางหัวขวานเป็นนกประจำถิ่นที่พบทั่วทั้งประเทศไทย
ที่อยู่ของนกต้องมีองค์ประกอบสองอย่าง คือ มีพื้นโล่งหรือมีใบและหญ้าน้อยเพื่อหาอาหาร และเวิ้งที่อยู่ที่พื้นผิวแนวตั้งต่าง ๆ เช่นต้นไม้ หน้าผา กำแพง กล่องที่ทำให้นกอยู่ กองฟาง หรือแม้แต่รังสัตว์ขุดในดินที่สัตว์เจ้าของทิ้งไปแล้ว เนื่องจากว่า องค์เหล่านี้หาได้ในระบบนิเวศน์มากมาย ดังนั้น นกจึงสามารถเข้าไปอยู่ในที่ต่าง ๆ เช่น ทุ่งโล่ง ทุ่งหญ้าสเตปป์มีต้นไม้ ทุ่งหญ้าสะวันนา ป่าละเมาะ ที่โล่งในป่า และป่าเบญจพรรณ ชนิดย่อยในเกาะมาดากัสการ์ยังสามารถเข้าไปอยู่ในป่าใหญ่ที่ทึบกว่าอีกด้วย การปรับนิเวศน์ธรรมชาติเพื่อการเพาะปลูกเกษตรกรรม มีผลให้นกกะรางหัวขวานมีเพิ่มขึ้นในสวน ไร่ และนา ซึ่งการทำเกษตรกรรมอย่างกว้างขวางในพื้นที่มีผลต่อจำนวนประชากรนกที่ลดลง การล่านกเป็นปัญหาในยุโรปตอนใต้และในเอเชีย
นกกะรางหัวขวานบางพื้นที่อพยพเนื่องจากฝน เช่นในประเทศศรีลังกาและในเทือกเขาฆาฏตะวันตก ในประเทศอินเดียฝั่งตะวันตก มีการพบเห็นนกบินย้ายถิ่นฐานข้ามเทือกเขาสูง เช่น ผู้ที่ปีนขึ้นยอดเขาเอเวอเรสต์เป็นคณะแรกเห็นนกที่ความสูง 6,400 เมตร เพื่อข้ามเทือกเขาหิมาลัย และมีการติดตามนกอพยพข้ามเทือกเขาแอลป์ด้วยจีพีเอสอีกด้วย
พฤติกรรม
เชื่อกันมานานแล้วว่าเป็นท่าทางป้องกันตัว นกกะรางหัวขวานอาบแดดโดยกางปีกและหางให้ต่ำใกล้กับพื้น แล้วเงยหัวขึ้น แต่บางครั้งก็พับปีกลงครึ่งหนึ่งแล้วเสยขนด้วยปากไปด้วย บางครั้งก็ชอบอาบฝุ่นและทรายด้วย
อาหาร
อาหารโดยมากของนกเป็นพวกแมลง บางครั้งกินสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก กบ และพืชเช่นเมล็ดและผลเบอรรี่ เป็นนกหากินตัวเดียวบนพื้น น้อยครั้งที่จะโฉบกินแมลงที่ออกมาเป็นฝูงในอากาศ มีปีกที่แข็งแรงและกลมรีที่ช่วยให้บินได้เร็วและคล่องแคล่ว วิธีหาอาหารทั่วไปคือ เดินก้าวยาว ๆ ไปตามพื้นที่ค่อนข้างโล่ง เดินส่ายหัวไปมา แล้วหยุดเป็นที่ ๆ เพื่อที่สำรวจหาอาหารในพื้น นกสามารถควานหาหนอนแมลง ดักแด้ และแมลงกระชอน ด้วยปากที่ยาว หรืออาจขุดออกด้วยเท้าที่แข็งแรง นอกจากนี้ยังกินแมลงที่เดินตามพื้น ในกองใบไม้ หรือแม้แต่จะใช้ปากงัดหินและใต้เปลือกไม้ แมลงที่กินโดยทั่วไป คือจิ้งหรีด, จักจั่น, ด้วง, แมลงหางหนีบ, ตั๊กแตน, แมลงวงศ์ Myrmeleontidae, แมลงอื่น ๆ ในอันดับ Hemiptera, และมด ซึ่งมักมีขนาดยาวประมาณ 10-150 มม ที่ชอบที่สุดยาวประมาณ 20-30 มม นกตีเหยื่อขนาดใหญ่ที่พื้นหรือที่หินเพื่อฆ่าเสียก่อนและเพื่อเอาส่วนที่ย่อยไม่ได้เช่นปีกและขาออกด้วย
การสืบพันธุ์
นกกะรางหัวขวานเป็นนกผัวเดียวเมียเดียว แม้ว่าเป็นเพียงแค่ฤดูเดียว และเป็นสัตว์ปกป้องอาณาเขต ตัวผู้ร้องบ่อย ๆ เพื่อประกาศอาณาเขตของตน การไล่และการต่อสู้ระหว่างคู่แข่งตัวผู้ และบางครั้งก็ตัวเมียด้วย เกิดบ่อย ๆ และอาจรุนแรง นกแทงคู่ต่อสู้ด้วยปาก บางครั้งทำให้ตาบอด รังเป็นโพรงในต้นไม้หรือกำแพง และมีทางเข้าเล็ก ๆ อาจไม่ปูด้วยอะไร หรืออาปูด้วยวัสดุ เช่นฟางและเศษขน รังนกกะรางหัวขวานเป็นรังที่สกปรกมาก มีทั้งเศษอาหารและมูลนก และตัวเมียเท่านั้นที่ฟักไข่ จำนวนไข่ที่วางขึ้นอยู่กับภูมิภาค นกในซีกโลกเหนือจะวางไข่มากกว่านกในซีกโลกใต้ และนกที่อยู่ในละติจูดที่สูงกว่าวางไข่มากกว่านกที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร วางไข่ประมาณ 12 ฟอง ในยุโรปเหนือ ยุโรปกลาง เอเชียเหนือ และเอเชียกลาง, 4 ฟองในเขตร้อน, และ 7 ฟองในกึ่งเขตร้อน ไข่มีรูปกลมและมีสีขุ่นออกฟ้า ๆ เมื่อวางใหม่ ๆ แต่สีหม่นมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามความสกปรกของรังที่เพิ่มขึ้น ไข่หนักประมาณ 4.5 กรัม นกอาจวางไข่ชุดใหม่ถ้าชุดแรกเสียไป
นกกะรางหัวขวานมีกลยุทธ์ป้องกันรังที่วิวัฒนาการมาอย่างดีเพื่อป้องกันสัตว์ล่าเหยื่อ ต่อมน้ำมัน (uropygial gland) ของแม่นกที่กำลังฟักไข่หรือกำลังเลี้ยงลูกจะผลิตน้ำมันที่มีกลิ่นหม็น และของลูกนกก็เช่นกัน โดยให้เข้าไปในขน น้ำมันมีกลิ่นคล้ายกับเนื้อเน่า เชื่อว่าเพื่อป้องกันสัตว์ล่าเหยื่อ เพื่อช่วยสกัดพวกปรสิต และอาจเป็นสารปฏิชีวนะ ต่อมจะหยุดผลิตน้ำมันก่อนที่ลูกนกออกจากรัง นอกจากนั้นแล้ว ตั้งแต่อายุ 6 วันเป็นต้นไป ลูกนกยังสามารถยิงมูลไล่สัตว์ที่มาบุกรุก ส่งเสียงขู่ฟ่อ ๆ คล้ายงู และอาจโจมตีสัตว์บุกรุกด้วยปากและปีกข้างหนึ่ง
ช่วงเวลาวางและฟักไข่อยู่ที่ 15-18 วัน เป็นช่วงที่ตัวผู้เลี้ยงตัวเมีย การฟักตัว (incubation) เริ่มทันทีที่วางไข่ใบแรก ดังนั้นลูกนกจะออกจากไข่ไม่พร้อมกัน ลูกนกออกจากไข่โดยมีขนอ่อน ช่วงอายุ 3-5 วัน ก้านขนนกจะเริ่มงอกขึ้น กลายเป็นขนนกสมบูรณ์แบบ แม่นกกกไข่ (brood) ประมาณ 9-14 วัน และในเวลาต่อ ๆ มา แม่นกจะเริ่มนำอาหารมาเหมือนกับพ่อนก ลูกนกเริ่มหัดบินที่ประมาณ 26-29 วัน และอยู่กับพ่อแม่ต่อมาอีกประมาณ 1 อาทิตย์หลังจากนั้น
ความสัมพันธ์กับมนุษย์
นกกะรางหัวขวานเป็นนกที่เด่นและมีอิทธิพลทางวัฒนธรรมในเขตที่มันอยู่ ถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในอียิปต์โบราณ โดย "มีภาพบนผนังของสุสานและวิหาร" และได้รับการยกย่องเช่นเดียวกันในอารยธรรมไมนวน
ในคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิมในหมวดเบญจบรรณเล่มที่ 3 (Leviticus 11:13-19) นกกะรางหัวขวานเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่น่ารังเกียจ ไม่ควรรับประทาน และในเล่มที่ 5 (Deuteronomy 14:18) กำหนดว่า เป็นของที่ไม่สามารถกินได้ (not kosher)
นอกจากนั้นแล้ว ยังปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอาน (ในซูเราะฮ์ Al-Naml 27:20-22) เป็นผู้นำข่าวจากพระราชินีแห่งชีบามาถวายให้พระเจ้าโซโลมอน นอกจากนั้นแล้ววรรณกรรมอื่นของอิสลามก็แสดงว่า นกได้ป้องกันโมเสสและลูกหลานของอิสราเอลจากยักษ์อ็อก หลังจากที่ได้ข้ามทะเลแดงแล้ว
นกเป็นสัญลักษณ์ของคุณธรรมในเปอร์เชีย และปรากฏในหนังสือกลอนของ Attar of Nishapur ว่าเป็นนกผู้นำ
แต่ว่า นกกะรางหัวขวานเชื่อว่าเป็นขโมยเกือบทั่วทั้งยุโรป และเป็นลางสงครามในประเทศสแกนดิเนเวีย ส่วนในประเพณีของชนประเทศเอสโตเนีย นกเกี่ยวข้องกับความตายและปรโลก เสียงร้องของมันเชื่อว่าเป็นลางมรณะของทั้งคนและปศุสัตว์
นกกะรางหัวขวานเป็นพระราชาของพวกนกในละครตลกกรีกโบราณ "นก" ของอริสโตฟานเนส ส่วนในมหากาพเมทามอร์โฟซีสโดยนักเขียนโอวิด กษัตริย์ Tereus ถูกสาปให้กลายเป็นนกกะรางหัวขวาน หลังจากทรงข่มขืนพระภคินีของพระชายา และทรงพยายามสำเร็จโทษทั้งพระชายาและพระภคินี หงอนของนกเป็นสัญลักษณ์แสดงเชื้อกษัตริย์ และปากแหลมยาวของนกแสดงความรุนแรง
นกกะรางหัวขวานได้รับเลือกเป็นนกประจำชาติของประเทศอิสราเอลในปี ค.ศ. 2008 ที่เป็นปีฉลองอายุ 60 ปีของประเทศ หลังจากได้สำรวจประชากร 155,000 คน ชนะนกปรอดหัวโขนก้นเหลือง นกปรากฏในตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยโจฮันเนสเบิร์ก และเป็นสัตว์สัญลักษณ์ของทีมกีฬาของมหาวิทยาลัย ส่วนเมือง Armstedt ในประเทศเยอรมนี มีนกในตราสัญลักษณ์ของเมือง
การอนุรักษ์
เนื่องจากว่า อาหารหลายชนิดของนกเป็นสัตว์ทำลายพืช ดังนั้น ชนิดนี้จึงได้รับการป้องกันจากฎหมายในหลายประเทศ ในประเทศไทย เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 จึงห้ามล่า พยายามล่า ห้ามค้า ห้ามนำเข้าหรือส่งออก ห้ามครอบครอง ห้ามเพาะพันธุ์ ห้ามเก็บหรือทำอันตรายรัง การห้ามการครอบครองและการค้ามีผลไปถึงไข่และซาก
แหล่งข้อมูลอื่น
- ภาพยนตร์บีบีซีภาษาอังกฤษ (การกลับมาของพวกฮูพู) แสดงนกในไร่องุ่นประเทศออสเตรีย นกร้องหาคู่ นกผสมพันธุ์ นกในกล่องที่อยู่สร้างโดยมนุษย์ คนให้ที่อยู่นกเพื่อกำจัดแมลงทำลายพืช นกสู้กันแย่งที่อยู่ นกกกไข่ ตัวผู้เลี้ยงตัวเมีย งูกินไข่ที่แม่ทิ้ง นกหากินขุดทราย ลูกหมาจิ้งจอกเล่น ลูกนกออกจากไข่ คนเลี้ยงลูกนก ลูกนกร้องขออาหาร ลูกนกยิงอุจจาระใส่ลูกหมาจิ้งจอก ลูกนก(ขนฟูสวยมาก)ยืดปีกหัดบิน นกบินในอากาศเป็นรูปคลื่น เหยี่ยวเคสเตรลล่าหนู คนปล่อยลูกนก นกอพยพจากแอฟริกาไปทางยุโรปหลังหน้าหนาว
- Hoopoe- Species text in The Atlas of Southern African Birds.
- Ageing and sexing (PDF; 5.3 MB) by Javier Blasco-Zumeta & Gerd-Michael Heinze 2016-11-08 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Hoopoe videos, photos & sounds on the Internet Bird Collection
- . . 1921.
- . . 1920.
เชิงอรรถและอ้างอิง
- BirdLife International (2020). "Upupa epops". IUCN Red List of Threatened Species. 2020: e.T22682655A181836360. doi:10.2305/IUCN.UK.2020-3.RLTS.T22682655A181836360.en. สืบค้นเมื่อ 19 November 2021.
- "สัตว์ป่าคุ้มครอง". โลกสีเขียว. จากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-03-26. สืบค้นเมื่อ 2015-04-23.
- Hackett, Shannon J.; และคณะ (2008). "A Phylogenomic Study of Birds Reveals Their Evolutionary History". Science. 320 (1763): 1763–1768. doi:10.1126/science.1157704. PMID 18583609.
- Feduccia, Alan (1975). "The Bony Stapes in the Upupidae and Phoeniculidae: Evidence for Common Ancestry" (PDF). The Wilson Bulletin. 87 (3): 416–417.
- Mayr, Gerald (2000). "Tiny Hoopoe-Like Birds from the Middle Eocene of Messel (Germany)". Auk. 117 (4): 964–970. doi:10.1642/0004-8038(2000)117[0964:THLBFT]2.0.CO;2.
- Olson, Storrs (1975). (PDF). Smithsonian Contributions to Paleobiology. Vol. 23. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2016-03-03. สืบค้นเมื่อ 2015-04-22.
- Krištin, A. (2001). "Family Upupidae (Hoopoes)". ใน del Hoyo, J.; Elliott, A.; Sargatal, J. (บ.ก.). . Vol. 6: Mousebirds to Hornbills. Barcelona, Spain: Lynx Edicions. pp. 396–411. ISBN .
- Linnaeus, C (1758). Systema naturae per regna tria naturae, secundum classes, ordines, genera, species, cum characteribus, differentiis, synonymis, locis. Tomus I. Editio decima, reformata. Holmiae. (Laurentii Salvii). pp. 117–118. (ละติน)
- del Hoyo, Josep; Elliott, Andrew; Sargatal, Jordi, บ.ก. (1992–2013). Handbook of the Birds of the World. Spain: Lynx Edicions.
{{}}
: CS1 maint: date format () CS1 maint: multiple names: editors list () - Return of the Hoopoe [การกลับมาของพวกฮูพู (ภาษาอังกฤษ)]. YouTube (ภาพยนตร์). ฺBBC. สืบค้นเมื่อ 2015-04-21.
- ; (1970). Handbook of the Birds of India and Pakistan, together with those of Nepal, Sikkim, Bhutan and Ceylon. Vol. 4: Frogmouths to Pittas. Bombay, India: Oxford University Press. pp. 124–129.
- Reichlin, T.S.; Schaub, M.; Menz, M.H.M.; Mermod, M.; Portner, P.; Arlettaz, R.; Jenni, L. (2009). "Migration patterns of Hoopoe Upupa epops and Wryneck Jynx torquilla: an analysis of European ring recoveries". Journal of Ornithology. 150 (2): 393–400. doi:10.1007/s10336-008-0361-3.
- Dau, Christian; Paniyak, Jack (1977). "Hoopoe, A First Record for North America" (PDF). Auk. 94 (3): 601.
- Heindel, Matthew T. (2006). Jonathan Alderfer (บ.ก.). Complete Birds of North America. National Geographic Society. p. 360. ISBN .
- Pforr, Manfred; Alfred Limbrunner (1982). The Breeding Birds of Europe 2: A Photographic Handbook. London: Croom and Helm. p. 82. ISBN .
- Soper, Tony (1982). Birdwatch. Exeter, England: Webb & Bower. p. 141. ISBN .
- Champion-Jones, RN (1937). "The Ceylon Hoopoe (Upupa epops ceylonensis Reichb.)". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 39 (2): 418.
- Fry, Hilary C. (2003). Christopher Perrins (บ.ก.). Firefly Encyclopedia of Birds. Firefly Books. p. 382. ISBN .
- Harrison, C.J.O.; Christopher Perrins (1979). Birds: Their Ways, Their World. The Reader's Digest Association. pp. 303–304. ISBN .
- Martín-Vivaldi, Manuel; Palomino, José J.; Soler, Manuel (2004). "Strophe length in spontaneous songs predicts male response to playback in the Hoopoe Upupa epops". Ethology. 110 (5): 351–362. doi:10.1111/j.1439-0310.2004.00971.x.
- Martín-Platero, Antonio M.; และคณะ (2006). "Characterization of antimicrobial substances produced by Enterococcus faecalis MRR 10-3, isolated from the uropygial gland of the Hoopoe (Upupa epops)". Applied and Environmental Microbiology. 72 (6): 4245–4249. doi:10.1128/AEM.02940-05. PMC 1489579. PMID 16751538.
- . mechon-mamre.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-01-22. สืบค้นเมื่อ 2015-04-22.
- Houtsma, M. Th (1987). E.J. Brill's First Encyclopaedia of Islam, 1913-1936. Brill Academic Publishers. p. 990. .
- Houtsma, M. Th (1987). E.J. Brill's First Encyclopaedia of Islam, 1913-1936. Brill Academic Publishers. p. 990. ISBN .
- Phillott, D.C. (1908). The Baz-Nama-Yi Nasiri: A Persian Treatise on Falconry. London: Bernard Quaritch. p. 151.
- Smith, Margaret (1932). The Persian Mystics 'Attar'. New York: E.P.Dutton and Company. p. 27.
- Dupree, N (1974). "An Interpretation of the Role of the Hoopoe in Afghan Folklore and Magic". Folklore. 85 (3): 173–93. doi:10.1080/0015587X.1974.9716553. JSTOR 1260073.
- Hiiemäe, Mall. "Forty birds in Estonian folklore IV". translate.google.com.
- Kline, A.S. (2000). "The Metamorphoses: They are transformed into birds". จากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-07-11. สืบค้นเมื่อ 2009-02-17.
- Lotan, Ofir (ช่างถ่ายภาพของรอยเตอร์ส) (2008-05-29). . San Francisco Chronicle. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-01-28. สืบค้นเมื่อ 2022-05-26.
- "Hoopoe Israel's new national bird". ynet.
- Battisti, A; Bernardi, M.; Ghiraldo, C. (2000). "Predation by the hoopoe (Upupa epops) on pupae of Thaumetopoea pityocampa and the likely influence on other natural enemies". Biocontrol. 45 (3): 311–323. doi:10.1023/A:1009992321465. S2CID 11447864.
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
nkkaranghwkhwansthanakarxnurkskhwamesiyngta IUCN 3 1 karcaaenkchnthangwithyasastrxanackr Animaliaiflm Chordatachn Avesxndb Coraciiformeswngs Upupidae Leach 1820skul Upupa lineniys 1758spichis U epopschuxthwinamUpupa epops lineniys 1758aephnthiaesdngkarkracayphnthu tharng thngpi vduhnaw nkkaranghwkhwan chuxwithyasastr Upupa epops epnnkkhnadklang misiswy milksnaednthicangaykhuxmihngxn hwkhwan khlayhmwkkhxngphwkxinediyaedng phbthwthngthwipaexfrikaaelayuerechiyphrxmthngthwpraethsithy epnchnidediywkhxngwngs Upupidae thiynghlngehluxxyu michnidyxyechphaaekaaesntehelna inmhasmuthraextaelntikit thisuyphnthipaelw aelaechphaaekaamadakskarthibangkhrngcdepnchnidkhxngtnexng chuxskulphasalatinwa Upupa khlaykbchuxphasaxngkvswa hoopoe xanwa huoph odyepnchuxeliynesiyngrxngkhxngnk nkkaranghwkhwanepnnkpracachatikhxngpraethsxisraexl epnstwpakhumkhrxnginpraethsithy tamphrarachbyytisngwnaelakhumkhrxngstwpa phuththskrach 2535xnukrmwithannkkaranghwkhwancdxyuin clade khxngxndbnktakhab sungrwmthngwngsnkkraetn wngsnkcabkha aelawngsnktakhab khwamsmphnththiiklchidrahwangnkphnthunikbnkwngs Phoeniculidae xngkvs woodhoopoe ehnidthikradukrupokln khux stapes inhuchnklang thiimehmuxnikhrinwngsnkthngsxng inxnukrmwithannkkhxng Sibley Ahlquist sungcdxndbtamphlngansuksadiexnex nkphnthunimixndbtanghakepn Upupiformes imich Coraciiformes aelankwichakarbangthankrwmnkwngs Phoeniculidae ekhaipinxndbtanghaknidwy hlkthansakdukdabrrphkhxngnkphnthuniminxymak odymisakekathisudmacakyukhkhwxethxrnari sungmixayunxykwahlkthansakdukdabrrphkhxngnkchnidthiepnyatiiklchidxun echn phbsakkhxng woodhoopoe caksmyimoxsin 5 322 thung 23 03 lanpikxn aelasakkhxngwngsyati Messelirrisoridae thisuyphnthipaelw caksmyxioxsin 33 9 thung 56 lanpikxn epnnkchnidediywthiehluxinwngs aemwankwichakarphicarnachnidyxykhxngekaamadakskar U e marginata aelakhxngaexfrika U e africana ihepnchnidtanghak khwamaetktangthangsnthanrahwangchnidyxythiniymaeykthisudkhux U e marginata kbchnidyxyxun elknxymakephiyngesiyngrxngethannimehmuxnchnidyxyxun chnidthiaeykxxkmacakkhwamaetktangthimakphxepnmtiyxmrbkhux nkkaranghwkhwanekaaesntehelna chuxwithyasastr Upupa antaios xngkvs Saint Helena hoopoe aetsuyphnthuipinchwngkhriststwrrsthi 16 odysnnisthancaksaehtukarnachnidtangthinihm ekhaipbnekaa khaorls lineniysbyytiskul Upupa inhnngsux Systema naturae inpi kh s 1758 sungintxnnnrwmnkchnidsamxyangxunthimipakyawokhng khux U eremita pccubncdepn Geronticus eremita xngkvs northern bald ibis U pyrrhocorax pccubncdepn Pyrrhocorax pyrrhocorax khux nkkaphuekhapakaedng U paradiseachnidyxy U e epops inaekhwnkaliesiy praethssepn inhnngsuxphasaxngkvschud khumuxnkkhxngolk Handbook of the Birds of the World thiaesdngnkthukchnidinolkthiruck michnidyxykhxngnkkaranghwkhwan 9 chnid aetktangknswnmakodykhnad aelaodykhwamekhmsikhn hlngkarphimphhnngsuxcaknn kmichnidyxyxik 2 xyangthiidrbkaresnxkhux U e minor inpraethsaexfrikait aela U e orientalis inpraethsxinediytawntkechiyngehnux chnidyxy aehlngthixyu lksnaechphaaU e epops Linnaeus 1758 aexfrikatawntkechiyngehnux kanaeriys cakyuorpipthungpraethsrsesiyklangtxnit praethscintawntkechiyngehnux praethsxinediytawntkechiyngehnuxcnthungphakhit phnthutnaebb Nominate U e major C L Brehm 1855 aexfrikatawnxxkechiyngehnux khnadihykwaphnthutnaebb pakyawkwa hangeriywkwa danbnmisiethakwaU e senegalensis William John Swainson 1913 praethsesenkl ipcnthung praethsexthioxepiy khnadelkkwaphnthutnaebb piksnkwaU e waibeli Reichenow 1913 praethsaekhemxruncnthungpraethsekhnyatxnehnux ehmuxnkb U e senegalensis aetmikhnekhmkwaaelamisikhawmakkwabnpikU e africana Johann Matthaus Bechstein 1811 aexfrikaklangcnthungaexfrikait misiaedng natalyingkwaphnthutnaebbU e marginata Madagascan Hoopoe Cabanis amp Heine 1860 ekaamadakskar ihykwa aetsicangkwa U e africanaU e saturata Lonnberg 1909 praethsyipun isbieriy cnthung thiebtaelapraethscintxnit ehmuxnkbphnthutnaebb aetmikhnkhlumtwthiethakwa misichmphunxykwadanlangU e ceylonensis Reichenbach 1853 praethsxinediy khnadelkkwaphnthutnaebb misiaedng natalyingkwa immisikhawthihngxnU e longirostris Thomas C Jerdon 1862 exechiyxakheny khnadihykwaphnthutnaebb sicangkwalksnaklamenuxthihwthaihsamarthepidpakidemuxsxdekhaipinphun nkkaranghwkhwanepnnkkhnadklang latwephriywyawpraman 25 32 s m pikkwangpraman 44 48 s m hnkpraman 46 89 krm epnnkthiednmak milksnathicangaykhux mihngxnkhlayhmwkkhxngchnphunemuxnginxemrikasmykxn mipakyawthikhxy eriywokhnglngepnsida thiokhnpakmisinatalxxn latwmilaykhwangsinatalxxn hruxkhawslbda milksnaehmuxnknthngtwphuaelatwemiy aettwemiymikhnadelkkwa aelasicangkwatwphuelknxy klamenuxthiaekhngaerngkhxnghwthaihsamarthxapakidemuxsxdekhaipindinephuxsarwchaehyux mipikthikwangaelaklmrithichwyihbiniddi chnidyxythangehnuxthiepnnkyaythinmipikkhnadihyepnphiess milksnakarbinechphaatwthikhunlng dukhlaykhlun sungehmuxnkbphiesuxyks ekidkhuncakpikthihublngkhrunghnungemuxkraphuxpikaetlakhrng hruxemuxkraphuxpikchwngsn duphaphyntr aelasamarthbiniderwthung 40 km chm esiyngrxngpktimisamphyangkhkhux hup hup hup hrux hup pu pu sungxacepntnkaenidkhxngthngchuxphasaxngkvsaelachuxthangwithyasastr aetkarrxngepnsxngphyangkh hruxsiphyangkh ksamyehmuxnkn swntnkaenidthiepnipidxikxyanghnungkhxngchuxphasaxngkvsaelachuxwithyasastrkkhux macakchuxphasafrngesskhxngnkkhux Huppee sungaeplwamihngxn inaethbethuxkekhahimaly esiyngnkxaccafngkhlaykbnkkhkhkhuphnthuhimaly Cuculus saturatus aemwankkhkhkhupktimiesiyngrxngepnsiphyangkh esiyngrxngxun mithngesiynghawkhlaykbhruxkaemuxtkic aelaesiyngfu twemiycasngesiyngkhlaykbsudhayicxyangehnuxy inrahwangrbxaharcaktwphuinchwngthicibkn thngtwemiytwphu emuxthukkwn casngesiynghyab karrrr khlaykbesiyngetuxnkhxngnkpiklayskxt swnesiyngkhxxaharkhxngluknkkhlaykbesiyngkhxngluknknangaexnchnid Apus apuskarkracayphnthuaelathinthixyunkkaranghwkhwankracayipthwinyuorp exechiy aexfrikaehnux aexfrikaitsahara aelamadakskar nkswnmakthixyuinyuorpaelaexechiyehnuxxphyphipsuekhtrxninvduhnaw emuxethiybkbnkinaexfrikasungepnnkpracathin thixyuthiediywkntlxdthngpi mikarphbnkchnidniodyepnnkcrcdinrthxaaelska khuxphbchnidyxy U e saturata thisamehliympakaemnayukhxn inpi kh s 1975 mikarphbnkthixyuehnuxekhtpktiinyuorp aelainshrachxanackrtxnit inchwngvdurxnthixunaelaimmifn thimitkaetnaelaaemlngkhlayknxun makepnxahar aemwa erimtngaettnkhristthswrrs 1980 nkinyuorptxnehnuxerimmicanwnldlng sungxacepnephraakarepliynaeplngphumixakas inpraethsithy nkkaranghwkhwanepnnkpracathinthiphbthwthngpraethsithy thixyukhxngnktxngmixngkhprakxbsxngxyang khux miphunolnghruxmiibaelahyanxyephuxhaxahar aelaewingthixyuthiphunphiwaenwtngtang echntnim hnapha kaaephng klxngthithaihnkxyu kxngfang hruxaemaetrngstwkhudindinthistwecakhxngthingipaelw enuxngcakwa xngkhehlanihaidinrabbniewsnmakmay dngnn nkcungsamarthekhaipxyuinthitang echn thungolng thunghyasetppmitnim thunghyasawnna palaemaa thiolnginpa aelapaebycphrrn chnidyxyinekaamadakskaryngsamarthekhaipxyuinpaihythithubkwaxikdwy karprbniewsnthrrmchatiephuxkarephaaplukekstrkrrm miphlihnkkaranghwkhwanmiephimkhuninswn ir aelana sungkarthaekstrkrrmxyangkwangkhwanginphunthimiphltxcanwnprachakrnkthildlng karlankepnpyhainyuorptxnitaelainexechiy nkkaranghwkhwanbangphunthixphyphenuxngcakfn echninpraethssrilngkaaelainethuxkekhakhattawntk inpraethsxinediyfngtawntk mikarphbehnnkbinyaythinthankhamethuxkekhasung echn phuthipinkhunyxdekhaexewxerstepnkhnaaerkehnnkthikhwamsung 6 400 emtr ephuxkhamethuxkekhahimaly aelamikartidtamnkxphyphkhamethuxkekhaaexlpdwyciphiexsxikdwyphvtikrrmechuxknmananaelwwaepnthathangpxngkntw nkkaranghwkhwanxabaeddodykangpikaelahangihtaiklkbphun aelwengyhwkhun aetbangkhrngkphbpiklngkhrunghnungaelwesykhndwypakipdwy bangkhrngkchxbxabfunaelathraydwy xahar xaharodymakkhxngnkepnphwkaemlng bangkhrngkinstweluxykhlankhnadelk kb aelaphuchechnemldaelaphlebxrri epnnkhakintwediywbnphun nxykhrngthicaochbkinaemlngthixxkmaepnfunginxakas mipikthiaekhngaerngaelaklmrithichwyihbiniderwaelakhlxngaekhlw withihaxaharthwipkhux edinkawyaw iptamphunthikhxnkhangolng edinsayhwipma aelwhyudepnthi ephuxthisarwchaxaharinphun nksamarthkhwanhahnxnaemlng dkaed aelaaemlngkrachxn dwypakthiyaw hruxxackhudxxkdwyethathiaekhngaerng nxkcakniyngkinaemlngthiedintamphun inkxngibim hruxaemaetcaichpakngdhinaelaitepluxkim aemlngthikinodythwip khuxcinghrid ckcn dwng aemlnghanghnib tkaetn aemlngwngs Myrmeleontidae aemlngxun inxndb Hemiptera aelamd sungmkmikhnadyawpraman 10 150 mm thichxbthisudyawpraman 20 30 mm nktiehyuxkhnadihythiphunhruxthihinephuxkhaesiykxnaelaephuxexaswnthiyxyimidechnpikaelakhaxxkdwy karsubphnthu luknkkaranghwkhwankbnkthiotetmthiaelwinswn rthduibikhnkkaranghwkhwan emuxngtulus praethsfrngessnkkaranghwkhwanthixuthyanaehngchati rthxuttrakhnth praethsxinediy nkkaranghwkhwanepnnkphwediywemiyediyw aemwaepnephiyngaekhvduediyw aelaepnstwpkpxngxanaekht twphurxngbxy ephuxprakasxanaekhtkhxngtn karilaelakartxsurahwangkhuaekhngtwphu aelabangkhrngktwemiydwy ekidbxy aelaxacrunaerng nkaethngkhutxsudwypak bangkhrngthaihtabxd rngepnophrngintnimhruxkaaephng aelamithangekhaelk xacimpudwyxair hruxxapudwywsdu echnfangaelaesskhn rngnkkaranghwkhwanepnrngthiskprkmak mithngessxaharaelamulnk aelatwemiyethannthifkikh canwnikhthiwangkhunxyukbphumiphakh nkinsikolkehnuxcawangikhmakkwankinsikolkit aelankthixyuinlaticudthisungkwawangikhmakkwankthixyuiklesnsunysutr wangikhpraman 12 fxng inyuorpehnux yuorpklang exechiyehnux aelaexechiyklang 4 fxnginekhtrxn aela 7 fxnginkungekhtrxn ikhmirupklmaelamisikhunxxkfa emuxwangihm aetsihmnmakkhuneruxy tamkhwamskprkkhxngrngthiephimkhun ikhhnkpraman 4 5 krm nkxacwangikhchudihmthachudaerkesiyip nkkaranghwkhwanmiklyuththpxngknrngthiwiwthnakarmaxyangdiephuxpxngknstwlaehyux txmnamn uropygial gland khxngaemnkthikalngfkikhhruxkalngeliynglukcaphlitnamnthimiklinhmn aelakhxngluknkkechnkn odyihekhaipinkhn namnmiklinkhlaykbenuxena echuxwaephuxpxngknstwlaehyux ephuxchwyskdphwkprsit aelaxacepnsarptichiwna txmcahyudphlitnamnkxnthiluknkxxkcakrng nxkcaknnaelw tngaetxayu 6 wnepntnip luknkyngsamarthyingmulilstwthimabukruk sngesiyngkhufx khlayngu aelaxacocmtistwbukrukdwypakaelapikkhanghnung chwngewlawangaelafkikhxyuthi 15 18 wn epnchwngthitwphueliyngtwemiy karfktw incubation erimthnthithiwangikhibaerk dngnnluknkcaxxkcakikhimphrxmkn luknkxxkcakikhodymikhnxxn chwngxayu 3 5 wn kankhnnkcaerimngxkkhun klayepnkhnnksmburnaebb aemnkkkikh brood praman 9 14 wn aelainewlatx ma aemnkcaerimnaxaharmaehmuxnkbphxnk luknkerimhdbinthipraman 26 29 wn aelaxyukbphxaemtxmaxikpraman 1 xathityhlngcaknnkhwamsmphnthkbmnusynkkaranghwkhwanbntniph ody Zhao Mengfu kh s 1254 1322 thiphiphithphnthesiyngihnkkaranghwkhwan hibru דוכיפת inpraethsxisraexl epnnkpracachatikhxngpraeths nkkaranghwkhwanepnnkthiednaelamixiththiphlthangwthnthrrminekhtthimnxyu thuxepnstwskdisiththiinxiyiptobran ody miphaphbnphnngkhxngsusanaelawihar aelaidrbkarykyxngechnediywkninxarythrrmimnwn inkhmphiribebilphakhphnthsyyaediminhmwdebycbrrnelmthi 3 Leviticus 11 13 19 nkkaranghwkhwanepnstwchnidhnungthinarngekiyc imkhwrrbprathan aelainelmthi 5 Deuteronomy 14 18 kahndwa epnkhxngthiimsamarthkinid not kosher nxkcaknnaelw yngpraktinkhmphirxlkurxan insueraah Al Naml 27 20 22 epnphunakhawcakphrarachiniaehngchibamathwayihphraecaosolmxn nxkcaknnaelwwrrnkrrmxunkhxngxislamkaesdngwa nkidpxngknomessaelalukhlankhxngxisraexlcakyksxxk hlngcakthiidkhamthaelaedngaelw nkepnsylksnkhxngkhunthrrminepxrechiy aelapraktinhnngsuxklxnkhxng Attar of Nishapur waepnnkphuna aetwa nkkaranghwkhwanechuxwaepnkhomyekuxbthwthngyuorp aelaepnlangsngkhraminpraethssaekndienewiy swninpraephnikhxngchnpraethsexsoteniy nkekiywkhxngkbkhwamtayaelaprolk esiyngrxngkhxngmnechuxwaepnlangmrnakhxngthngkhnaelapsustw nkkaranghwkhwanepnphrarachakhxngphwknkinlakhrtlkkrikobran nk khxngxrisotfanens swninmhakaphemthamxrofsisodynkekhiynoxwid kstriy Tereus thuksapihklayepnnkkaranghwkhwan hlngcakthrngkhmkhunphraphkhinikhxngphrachaya aelathrngphyayamsaercothsthngphrachayaaelaphraphkhini hngxnkhxngnkepnsylksnaesdngechuxkstriy aelapakaehlmyawkhxngnkaesdngkhwamrunaerng nkkaranghwkhwanidrbeluxkepnnkpracachatikhxngpraethsxisraexlinpi kh s 2008 thiepnpichlxngxayu 60 pikhxngpraeths hlngcakidsarwcprachakr 155 000 khn chnankprxdhwokhnknehluxng nkpraktintrasylksnkhxngmhawithyalyochnensebirk aelaepnstwsylksnkhxngthimkilakhxngmhawithyaly swnemuxng Armstedt inpraethseyxrmni minkintrasylksnkhxngemuxng karxnurks enuxngcakwa xaharhlaychnidkhxngnkepnstwthalayphuch dngnn chnidnicungidrbkarpxngkncakdhmayinhlaypraeths inpraethsithy epnstwpakhumkhrxng tamphrarachbyytisngwnaelakhumkhrxngstwpa phuththskrach 2535 cunghamla phyayamla hamkha hamnaekhahruxsngxxk hamkhrxbkhrxng hamephaaphnthu hamekbhruxthaxntrayrng karhamkarkhrxbkhrxngaelakarkhamiphlipthungikhaelasakaehlngkhxmulxunwikimiediykhxmmxnsmisuxthiekiywkhxngkb nkkaranghwkhwan phaphyntrbibisiphasaxngkvs karklbmakhxngphwkhuphu aesdngnkinirxngunpraethsxxsetriy nkrxnghakhu nkphsmphnthu nkinklxngthixyusrangodymnusy khnihthixyunkephuxkacdaemlngthalayphuch nksuknaeyngthixyu nkkkikh twphueliyngtwemiy ngukinikhthiaemthing nkhakinkhudthray lukhmacingcxkeln luknkxxkcakikh khneliyngluknk luknkrxngkhxxahar luknkyingxuccaraislukhmacingcxk luknk khnfuswymak yudpikhdbin nkbininxakasepnrupkhlun ehyiywekhsetrllahnu khnplxyluknk nkxphyphcakaexfrikaipthangyuorphlnghnahnaw Hoopoe Species text in The Atlas of Southern African Birds Ageing and sexing PDF 5 3 MB by Javier Blasco Zumeta amp Gerd Michael Heinze 2016 11 08 thi ewyaebkaemchchin Hoopoe videos photos amp sounds on the Internet Bird Collection Hoopœ 1921 Hoopoe 1920 echingxrrthaelaxangxingBirdLife International 2020 Upupa epops IUCN Red List of Threatened Species 2020 e T22682655A181836360 doi 10 2305 IUCN UK 2020 3 RLTS T22682655A181836360 en subkhnemux 19 November 2021 stwpakhumkhrxng olksiekhiyw cakaehlngedimemux 2015 03 26 subkhnemux 2015 04 23 Hackett Shannon J aelakhna 2008 A Phylogenomic Study of Birds Reveals Their Evolutionary History Science 320 1763 1763 1768 doi 10 1126 science 1157704 PMID 18583609 Feduccia Alan 1975 The Bony Stapes in the Upupidae and Phoeniculidae Evidence for Common Ancestry PDF The Wilson Bulletin 87 3 416 417 Mayr Gerald 2000 Tiny Hoopoe Like Birds from the Middle Eocene of Messel Germany Auk 117 4 964 970 doi 10 1642 0004 8038 2000 117 0964 THLBFT 2 0 CO 2 Olson Storrs 1975 PDF Smithsonian Contributions to Paleobiology Vol 23 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedim PDF emux 2016 03 03 subkhnemux 2015 04 22 Kristin A 2001 Family Upupidae Hoopoes in del Hoyo J Elliott A Sargatal J b k Vol 6 Mousebirds to Hornbills Barcelona Spain Lynx Edicions pp 396 411 ISBN 978 84 87334 30 6 Linnaeus C 1758 Systema naturae per regna tria naturae secundum classes ordines genera species cum characteribus differentiis synonymis locis Tomus I Editio decima reformata Holmiae Laurentii Salvii pp 117 118 latin del Hoyo Josep Elliott Andrew Sargatal Jordi b k 1992 2013 Handbook of the Birds of the World Spain Lynx Edicions a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite book title aemaebb Cite book cite book a CS1 maint date format lingk CS1 maint multiple names editors list Return of the Hoopoe karklbmakhxngphwkhuphu phasaxngkvs YouTube phaphyntr BBC subkhnemux 2015 04 21 1970 Handbook of the Birds of India and Pakistan together with those of Nepal Sikkim Bhutan and Ceylon Vol 4 Frogmouths to Pittas Bombay India Oxford University Press pp 124 129 Reichlin T S Schaub M Menz M H M Mermod M Portner P Arlettaz R Jenni L 2009 Migration patterns of Hoopoe Upupa epops and Wryneck Jynx torquilla an analysis of European ring recoveries Journal of Ornithology 150 2 393 400 doi 10 1007 s10336 008 0361 3 Dau Christian Paniyak Jack 1977 Hoopoe A First Record for North America PDF Auk 94 3 601 Heindel Matthew T 2006 Jonathan Alderfer b k Complete Birds of North America National Geographic Society p 360 ISBN 978 0 7922 4175 1 Pforr Manfred Alfred Limbrunner 1982 The Breeding Birds of Europe 2 A Photographic Handbook London Croom and Helm p 82 ISBN 978 0 7099 2020 5 Soper Tony 1982 Birdwatch Exeter England Webb amp Bower p 141 ISBN 978 0 906671 55 9 Champion Jones RN 1937 The Ceylon Hoopoe Upupa epops ceylonensis Reichb J Bombay Nat Hist Soc 39 2 418 Fry Hilary C 2003 Christopher Perrins b k Firefly Encyclopedia of Birds Firefly Books p 382 ISBN 978 1 55297 777 4 Harrison C J O Christopher Perrins 1979 Birds Their Ways Their World The Reader s Digest Association pp 303 304 ISBN 978 0 89577 065 3 Martin Vivaldi Manuel Palomino Jose J Soler Manuel 2004 Strophe length in spontaneous songs predicts male response to playback in the Hoopoe Upupa epops Ethology 110 5 351 362 doi 10 1111 j 1439 0310 2004 00971 x Martin Platero Antonio M aelakhna 2006 Characterization of antimicrobial substances produced by Enterococcus faecalis MRR 10 3 isolated from the uropygial gland of the Hoopoe Upupa epops Applied and Environmental Microbiology 72 6 4245 4249 doi 10 1128 AEM 02940 05 PMC 1489579 PMID 16751538 mechon mamre org khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2019 01 22 subkhnemux 2015 04 22 Houtsma M Th 1987 E J Brill s First Encyclopaedia of Islam 1913 1936 Brill Academic Publishers p 990 ISBN 9789004082656 Houtsma M Th 1987 E J Brill s First Encyclopaedia of Islam 1913 1936 Brill Academic Publishers p 990 ISBN 9789004082656 Phillott D C 1908 The Baz Nama Yi Nasiri A Persian Treatise on Falconry London Bernard Quaritch p 151 Smith Margaret 1932 The Persian Mystics Attar New York E P Dutton and Company p 27 Dupree N 1974 An Interpretation of the Role of the Hoopoe in Afghan Folklore and Magic Folklore 85 3 173 93 doi 10 1080 0015587X 1974 9716553 JSTOR 1260073 Hiiemae Mall Forty birds in Estonian folklore IV translate google com Kline A S 2000 The Metamorphoses They are transformed into birds cakaehlngedimemux 2007 07 11 subkhnemux 2009 02 17 Lotan Ofir changthayphaphkhxngrxyetxrs 2008 05 29 San Francisco Chronicle khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2012 01 28 subkhnemux 2022 05 26 Hoopoe Israel s new national bird ynet Battisti A Bernardi M Ghiraldo C 2000 Predation by the hoopoe Upupa epops on pupae of Thaumetopoea pityocampa and the likely influence on other natural enemies Biocontrol 45 3 311 323 doi 10 1023 A 1009992321465 S2CID 11447864