บทความนี้อาจต้องการตรวจสอบต้นฉบับ ในด้านไวยากรณ์ รูปแบบการเขียน การเรียบเรียง คุณภาพ หรือการสะกด คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ |
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
พรีออน (prion) คือ โปรตีนขนาดเล็ก ไม่ละลายน้ำ ทนความร้อน ทนการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิทั้งร้อนและเย็น ทนต่อความแห้ง ทนต่อแสงยูวี ทนต่อการย่อยสลายโดยเอนไซม์ทั้ง protease และ nuclease สามารถติดต่อระหว่างสิ่งมีชีวิตและก่อโรคได้ ภาษาอังกฤษ เรียกว่า proteinaceous infectious particle คำว่า พรีออน เป็นคำเรียกที่แบบคำผวนของคำนี้เพราะว่า โพรอีน ฟังสับสนกับสารหลายชนิด
ผู้ตั้งคำว่า พรีออน คือนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลปี พ.ศ. 2540 Stanley B. Prusiner แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ณ ซานฟรานซิสโก ในปี พ.ศ. 2525 (1982)
เราสามารถพบพรีออนได้ทั่วไปทั้งพืช สัตว์ และยีสต์ แต่ที่พรีออนโด่งดังเพราะมันสามารถก่อโรคและทำให้ถึงแก่ชีวิตในเวลาอันรวดเร็วได้ โรคที่มีสาเหตุจากพรีออนคือ (Transmissible spongiform encephalopathies: TSEs) โรคชนิดนี้เป็นโรคที่ทำอันตรายถึงชีวิตได้ พบในทั้งคนและสัตว์ ที่ร้ายแรงคือ สามารถถ่ายทอดได้จากการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ติดโรค ตัวอย่างโรคชนิดนี้ได้แก่ Creutzfeldt-Jakob disease (CJD) ในคน, โรควัวบ้า bovine spongiform encephalopathy "mad cow disease", โรค ในแกะ, โรค chronic wasting disease ในกวาง ที่ทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับโรคทางสมองอย่าง โรค Alzheimer ที่ในสมองผู้ป่วยจะพบอะไมลอยด์ (โปรตีนร่างแหที่ไม่ละลายน้ำ)
โปรตีน พรีออน (PrP) เป็นโปรตีนของร่างกาย เกิดจากการถอดรหัสของยีน พรีออน (Prnp Gene) PrP มีสองรูปแบบคือ
- รูปแบบปกติ (cellular: PrPC, PrPsen) พบในเซลล์ทั่วไป ละลายน้ำ มีโครงสร้างเป็น อัลฟ่าเฮลิกซ์ และไม่ทนต่อเอนไซม์โปรตีเอส (sensitive) โปรตีนนี้ปกติจะเกาะ (anchor) กับเยื่อหุ้มเซลล์โดย glycosylphosphatidylinositol (GPI) ที่ปลาย C-Terminus
- รูปแบบก่อโรค (scrapie form: PrPSc, PrPres) ก่อโรค ไม่ละลายน้ำ มีโครงสร้างเป็น เบต้าชีทแบบ anti-parallel ทนต่อเอนไซม์โปรตีเอส พบได้ในในเซลล์หลายชนิด แต่ที่พบมากคือที่ระบบประสาทและสมอง
พรีออนทั้งสองชนิดถูกสร้างเป็นปกติอยู่แล้วในเซลล์ แต่รูปแบบผิดปกติจะมีในปริมาณที่น้อยมาก
ประวัติ
ราวทศวรรษที่ 1950 (ประมาณ พ.ศ. 2490) นายแพทย์ Daniel Carleton Gajdusek ได้พบโรค Kuru ซึ่งถ่ายทอดจากรุ่นพ่อแม่สู่รุ่นลูก ในชาวเผ่าดั้งเดิมบนเกาะปาปัวนิวกินีที่มีประเพณีกินสมองของศพของบรรพบุรุษ แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดจากสาเหตุใด โดยสันนิษฐานครั้งแรกว่าเกิดจากเชื้อไวรัสที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก ต่อมาประมาณปี ค.ศ. 1959 William Hadlow ได้นำงานของ Gajdusek มาศึกษาและพบว่าอาการของโรคและเนื้อเยื่อสมองของผู้ป่วยมีความคล้ายคลึงกันมากกับโรค Scrapie ในแกะ จากข้อมูลนี้ทำให้ Gajdusek ทำการศึกษาต่อไปและพบว่าโรคทั้งสองเกิดจากต้นเหตุเดียวกันที่ยังก่อให้เกิดโรคอื่นๆอีก เช่น classic Creutzfeldt-Jakob disease (CJD) อีกทั้งการเลิกกินสมองของศพจะช่วยไม่ให้โรคเกิดการติดต่อ จากงานวิจัยนี้ทำให้ Gajdusek ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาและการแพทย์ในปี ค.ศ. 1976
ประมาณปี ค.ศ. 1966 ได้ค้นพบสารต้นเหตุของโรค Scrapie ที่เป็นโรคติดต่อในแกะ ว่าเป็นสารที่เสถียรมาก แม้จะโดน ความร้อน แสงยูวี รังสีแกมม่า ความเป็นกรดเบส และ เอนไซม์ แต่ก็ยังสามารถก่อโรคต่อไปได้ อีกทั้งไม่พบกรดนิวคลีอิก หรือ สารพันธุกรรมใดๆเลย ในปี ค.ศ. 1967 J.S. Griffith จึงได้ตั้งสมมติฐานว่าโรคนี้เกิดจากโปรตีนเท่านั้น (Protein-only hypothesis) ซึ่งสันนิษฐานว่าโปรตีนสามารถเพิ่มจำนวนตัวเองได้ ข้อสมมติฐานนี้ขัดแย้งรุนแรงกับความเชื่อหลักทางชีววิทยา (central dogma of modern biology) อย่างไรก็ตาม ยังมีนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่าโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่ยังไม่ถูกค้นพบ (Virino hypothesis)
ต่อมาในปี ค.ศ. 1981 Stanley B. Prusiner ทำการทดลองแยกสารที่ก่อโรคนั้นออกมาได้ซึ่งเป็นโปรตีนที่สามารถเพิ่มจำนวนตัวเองได้ (PrPSC SC ย่อมาจาก โรค scrapie) จึงเรียกสารนั้นว่า proteinaceous infectious particle หรือ prion โดยพบว่ามันเป็นโปรตีนที่ผิดรูปไป ทำให้ไม่ละลายน้ำ และทนต่อสารเคมีต่างๆ และ หลังจากงานวิจัยของ Prusiner ประมาณสิบปี ในช่วงทศวรรษที่ 1990 ได้มีการค้นพบยีนที่ถอดรหัสโปรตีน PrP ที่อยู่ในเซลล์ปกติของสิ่งมีชีวิต
อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีนี้ถูกคัดค้านโดย นักวิทยาศาสตร์ Laura Manuelidis แห่ง มหาวิทยาลัยเยล ว่ามันไม่ได้เป็นโปรตีนแต่เป็นไวรัสที่ยังไม่ถูกค้นพบ เหตุผลหลักคือ โปรตีน PrPSc เพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้สัตว์ทดลองที่มีสุขภาพแข็งแรงป่วยได้ ถ้าจะทำให้สัตว์นั้นป่วยต้องใช้สารสกัดจากสมองซึ่งไม่อาจจะมีไวรัสปะปนมาได้ และต่อมาในปี ค.ศ. 2007 เธอก็ได้ตีพิมพ์การทดลองที่แสดงได้ว่าไวรัสอาจมีส่วนในการก่อโรคนี้
การเพิ่มจำนวนของ พรีออน (PrPSC) ในเซลล์ และการก่อโรค
โดยปกติ PrPC จะถูกสร้างออกมาจากเซลล์ตลอดเวลาอยู่แล้ว โดย PrPC จะเป็น integral membrane protein ที่เกาะกับ เซลล์ ด้วย GPI anchor ซึ่งจะทำหน้าที่ส่งสัญญาณเข้าเซลล์ปกติและไม่ก่อโรค แต่เมื่อร่างกายได้รับ PrPSC ที่จะกระตุ้น PrPC ให้กลายเป็น PrPSC อันเป็นฟอร์มที่ก่อให้เกิดโรค โดยโครงสร้างโปรตีนทุติยภูมิจากอัลฟ่าเฮลิกซ์ เปลี่ยนไปเป็น เบต้าชีท ทำให้โปรตีนไม่ละลายน้ำ และไม่สามารถถูกย่อยสลายได้โดยเอนไซม์ protease ดังนั้นจึงเกิดการสะสมของโปรตีนที่ภายนอกเซลล์เป็นขั้นแรก และ เนื่องจากPrPC นี้ ปกติ ทำหน้าที่ส่งสัญญาณเข้าไปในเซลล์ เมื่อโปรตีนนี้เปลี่ยนรูปไป ทำให้สัญญาณที่ส่งเข้าไปในเซลล์ผิดแปลกไปด้วย สัญญาณที่ผิดนี้มีผลอย่างหนึ่งในเซลล์คือทำให้เกิดการสะสมของโปรตีนนี้ในเซลล์ด้วยเช่นกัน โดยเริ่มที่ ไลโซไซม์ (Lysosyme) แล้วจับกับ โปรตีโอไกลแคน ชื่อ เฮพารินซัลเฟต กลายเป็น ร่างแหโปรตีน และ กลายเป็น plaque และ เมื่อรวมกับ สัญญาณอื่นๆ ที่ผิดปกติไป ก็จะทำให้เซลล์ดำเนินการฆ่าตัวตาย (Apoptosis) อันทำให้เซลล์ประสาทนี้สลายไป ซึ่งถ้ามีจำนวนมาก จะทำให้หน้าที่ของสมองผิดปกติไป และ สามารถเห็นได้จากเนื้อเยื่อสมองว่า เนื้อสมองเป็นรูอย่างฟองน้ำ
เป็นที่น่าสังเกตว่า เพียง PrPSC ไม่สามารถก่อโรค (ทำลายเซลล์) ได้ มันต้องการ PrPC ของสิ่งมีชีวิตเสมอ ซึ่งเป็นการให้สัญญาณต่อเซลล์ที่ผิดไป (Chesebro et. al., 2005) ดังนั้นการศึกษาเพื่อรู้หน้าที่ของ PrPC ในเซลล์จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ ซึ่งหน้าที่ของมันที่พอจะคาดเดาได้ในขณะนี้ (พ.ศ. 2550) คือ เป็นสารช่วยการเติบโต (growth factor)ของ เซลล์ประสาท และ เซลล์เม็ดเลือด (haemopoietic stem cells) (Couzin J.,2006)
ส่วนกลไกการเปลี่ยน จาก PrPC เป็น PrPSC มีหลายโมเดล แต่ที่เชื่อกันคือการก่อแบบกระตุ้นทีละเยอะๆ (Seeding model) คือการสะสมทีละนิดๆของ PrPSC ในเซลล์ (seed) แล้วกลุ่ม PrPSC เมื่อมีจำนวนพอก็ไปเหนี่ยวนำให้PrPC ที่ปกติเปลี่ยนเป็นPrPSC ที่ไม่ปกติ ได้เป็นจำนวนทีละมากๆในเวลาอันรวดเร็ว อย่างไรก็ตามยังต้องทำการวิจัยต่อไปว่าพรีออนเพิ่มจำนวนในเซลล์ด้วยวิธีการใด
การติดต่อ
พรีออนมีการติดต่อสองแบบคือ หนึ่งแบบการถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่เกิดจากการกลายพันธุ์ (mutation) ของยีน prnp ซึ่งสามารถเกิดขึ้นเอง (sporadic) หรือได้รับถ่ายทอดจากพ่อแม่ก็ได้ (familial) ส่วนสาเหตุที่สองที่เป็นวิธีแพร่ของโรคร้ายแรงอย่างโรควัวบ้าคือการถ่ายทอดแบบ horizontal transmissable ผ่านการบริโภคอาหารที่มี PrPSC เข้าไป หรือ แบบ iatrogenic ที่เกิดจากการนำอุปกรณ์การแพทย์ที่เคยใช้กับผู้ป่วยพรีออนไปใช้กับผู้ป่วยปกติ แม้จะทำความสะอาดแล้วแต่เพราะพรีออนทนทานต่อสารเคมีและความร้อน ทำให้ยังคงเหลือพรีออนอยู่กับอุปกรณ์การแพทย์นั้น และสามารถทำให้เกิดการติดต่อได้ แต่อย่างไรก็ตาม ยังขึ้นอยู่กับปริมาณที่ได้รับและสภาพของตัวผู้ป่วยด้วย เพราะ มีการค้นพบว่าชาวเอเชียจะมีภูมิต้านทานต่อพรีออนมากกว่า และจะติดพรีออนได้น้อยกว่าฝรั่งผิวขาว หรือ แม้มีพรีออนในนมของวัวที่เป็นโรควัวบ้า แต่อยู่ในปริมาณที่ต่ำมากทำให้ผู้บริโภคไม่ติดโรคพรีออน สำหรับกรณีของการติดต่อจากการบริโภคที่เป็นสิ่งที่มีความเสี่ยงสูงสำหรับระบบอุตสาหกรรมอาหารในโลกสมัยใหม่ การเดินทางของพรีออนจากระบบทางเดินอาหารไปยังสมอง ยังไม่สามารถให้ความกระจ่างได้ แต่ปัจจุบันได้มีการค้นพบแล้วว่า ระบบภูมิคุ้มกันมีบทบาทอย่างมากในการพาพรีออนไปยังสมอง โดยเริ่มจากการผ่านการย่อยในทางเดินอาหารพรีออนแม้จะไม่ถูกทำลายโดยเอนไซม์ต่างๆแต่ก็ยังสามารถถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้บริเวณ distal ileum (ลำไส้เล็กส่วนปลาย) โดยสันนิษฐานว่าน่าจะผ่านทาง Membranous epithelial cell (M cell) ซึ่งเป็นเซลล์บุเยื่อต่อมน้ำเหลืองชนิดหนึ่ง แล้วจึงถูกนำไปยังต่อมน้ำเหลืองทุติยภูมิ (secondary lymphoid organ: Peyer's patches) โดยเซลล์เคลื่อนที่ได้ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าเป็นเซลล์ใด จากนั้นก็ไปเกิดการเพิ่มจำนวนที่ต่อมน้ำเหลืองนี้ที่เซลล์ Follicular dendritic cells (FDCs) โดยความช่วยเหลือของบีเซลล์ (B lymphocyte) ที่ปล่อยสาร Lymphotoxin (LT) มากระตุ้น FDCs นี้ จากนั้นก็จะมีปฏิกิริยาต่อกันทั้งการหลั่งสารไซโตคีนและ cell contact ระหว่างบีเซลล์ คอมพลีเมนต์ สโตรมาเซลล์ และ FDCs ซึ่งช่วยในการเพิ่มจำนวนพรีออนบน FDCs ส่วนการเดินทางของพรีออนไปยังระบบประสาทนั้น ที่ต่อมน้ำเหลืองทุติยภูมินี้จะมีเส้นประสาท autonomic nervous system ประเภท sympathetic มาเชื่อมกันอยู่แล้ว เซลล์ FDCs ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ ก็จะพาเอาพรีออนไปยังเซลล์ประสาทนี้เอง (ยังมีการโต้เถึยงกันในเรื่องนี้ โดยเฉพาะระยะห่างระหว่างเซลล์ FDCs และเซลล์ประสาท) แล้วจากเซลล์ประสาทระบบซิมพาเทติกนี้ พรีออนก็จะถูกส่งไปยังระบบประสาทส่วนกลาง (central nervous system: CNS) ผ่านทาง ganglion cell ซึ่งจะไปเพิ่มจำนวนที่เซลล์สมองและทำลายสมองต่อไป ส่วนของสมองส่วนแรกที่จะติดพรีออนได้เร็วที่สุดคือ corpus callosum และ ไฮโปทาลามัส อนึ่งในผู้ป่วยหรือสัตว์ที่ป่วยจะไม่พบพรีออนเพียงแต่ในเซลล์ประสาทหรือสมองเท่านั้นแต่ยังพบได้ในกล้ามเนื้อ เลือด ม้าม ลูกตา ทางเดินอาหาร และต่อมต่างๆ เช่นต่อมน้ำนม
อาการของโรค
เนื้อสมองของผู้ป่วยจะถูกทำลาย รูปร่างสมองจะผิดรูปทั้งสมอง (atrophic) ขณะที่โรคอื่นจะไม่เป็นทั้งสมองแบบนี้ เพราะพรีออนไปเพิ่มจำนวนมากแพร่กระจายทั่วทั้งสมองทำให้เซลล์สมองโป่งเต็มไปด้วยของเหลว เมื่อดูลักษณะเซลล์แล้วเป็นรูพรุนคล้ายฟองน้ำ (spongioform encephalitis) เมื่อทิ้งไว้ก็จะพบว่าโปรตีนเหล่านั้นจับกันเป็นร่างแหอะไมลอยด์ เป็นก้อนในสมอง ซึ่งจะทำให้เนื้อสมองโดนทำลาย ผู้ป่วยก็จะมีอาการหลังเซลล์สมองโดนทำลายต่างๆกันไป เช่น ปวดหัว ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ หรือ กระทั่งความจำเสื่อม และถึงแก่ชีวิตในที่สุด โดยอาการแม้จะคล้ายกับโรคทางสมองอื่นๆและเกิดค่อนข้างช้าเพราะใช้เวลาฟักตัวนาน แต่เมื่อมีอาการแล้วอาการจะพัฒนาอย่างรวดเร็ว
การวินิจฉัยโรค
เพราะอาการของโรคจะคล้ายกับโรคทางสมองชนิดอื่นทำให้ไม่สามารถวินิจฉัยว่าเป็นหรือไม่ แต่พรีออนสามารถตรวจได้จากการผ่าสมอง ตรวจหาพรีออนในเลือด น้ำไขสันหลัง หรือ สารสกัดจากสมอง (brain extract) ที่แย่ที่สุดคือตรวจชันสูตรหลังการเสียชีวิต ในห้องทดลองได้ค้นพบวิธีตรวจพรีออนได้แบบใหม่ด้วยวิธีการ Protein misfolding cyclic amplification (PMCA)
สำหรับกรณี ผู้ป่วยที่เกิดจากการผิดปกติทางพันธุกรรมสามารถตรวจสอบได้จากการตรวจหายีนก่อโรคได้ แต่โดยมากไม่เป็นที่นิยมกันเพราะเมื่อครอบครัวไหนมีผู้ป่วยโรคนี้แล้ว ก็จะถูกเฝ้าดูโดยแพทย์ โดยไม่ต้องทำการตรวจยีนเป็นกรณีพิเศษ
การรักษา
ยังไม่มีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ที่มีอยู่มีเพียงการให้ยาลดอาการแต่ยังไม่มียาหรือวัคซีนใดที่กำจัดพรีออนได้โดยตรงอย่างมีประสิทธิภาพและไม่มีผลข้างเคียง สำหรับในพรีออนในสัตว์ทำได้เพียงแต่กันสัตว์ทีติดโรคออกไปเท่านั้นหรือทำลายสัตว์นั้นทิ้ง (Quarantine)
อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2542 (1999)คณะวิจัยของ Dale Schenk ได้จุดประกายความหวังของวัคซีนในการรักษาขึ้นมา โดย เขาและคณะของเขาค้นพบวัคซีนที่ใช้รักษาโรคอัลไซเมอร์ได้ ซึ่งทำการทดลองแล้วในคนขั้นต้น พบว่า สามารถลดปริมาณโปรตีนที่ผิดรูปได้จริง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่คาดหวังว่า หลักการจากการสร้างวัคซีนนี้จะสามารถนำมาประยุกต์กับพรีออนที่มีกลไกการเกิดใกล้เคียงกันได้ในอนาคต
อ้างอิง
- a virologist who had studied several infectious diseases among remote peoples 2007-03-08 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- We can’t seem to find the page you were looking for. Please try our search or A-Z index.
- Prion Diseases 2006-04-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Abid, K. et. al. Cell Mol Life Sci vol. 63: 2342-2351, Aug 2006
- Aguzzi, A. et. al. Nat rev Immun vol. 4: 725-736, Sep 2004
- Aguzzi, A. et. al. Immunity vol. 22: 145-154, Feb 2005
- Aguzzi, A. et. al. Science vol. 308: 1420-1421, Jun 2005
- Aguzzi, A. et. al. Nat rev Immun vol. 4: 765-775, Oct 2006
- Chesebro, B. et. al. Science vol. 308: 1435-1439, Jun 2005
- Couzin, J. Science vol. 311:1091, Feb 2006
- Enzerink, M. Science vol. 310: 1756-1758, Dec 2005
- Kraehenbuhl, J. et. al. Annual Review of Cell and Developmental Biology vol. 16: 301-332, Nov 2000
- Prusiner, S.B. PNAS vol. 95: 13363-13383, Nov 1998
- Telling, G. N Eng J Med vol. 353;11 : 1177-1179, Sep 2005
- Karp, G. Zellbiologie 5.Auflage 2005, Springer Verlag, Seite 85
- Riede, U. et. al. Allgemeine und Spezielle Pathologie 5.Auflage 2004, Georg Thieme Verlag
- Modrow, S. et. al. Molekulare Virologie 2.Auflage 2003, Spektrum Verlag
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
bthkhwamnixactxngkartrwcsxbtnchbb indaniwyakrn rupaebbkarekhiyn kareriyberiyng khunphaph hruxkarsakd khunsamarthchwyphthnabthkhwamidlingkkhamphasa inbthkhwamni miiwihphuxanaelaphurwmaekikhbthkhwamsuksaephimetimodysadwk enuxngcakwikiphiediyphasaithyyngimmibthkhwamdngklaw krann khwrribsrangepnbthkhwamodyerwthisud phrixxn prion khux oprtinkhnadelk imlalayna thnkhwamrxn thnkarepliynaeplngxunhphumithngrxnaelaeyn thntxkhwamaehng thntxaesngyuwi thntxkaryxyslayodyexnismthng protease aela nuclease samarthtidtxrahwangsingmichiwitaelakxorkhid phasaxngkvs eriykwa proteinaceous infectious particle khawa phrixxn epnkhaeriykthiaebbkhaphwnkhxngkhaniephraawa ophrxin fngsbsnkbsarhlaychnid phutngkhawa phrixxn khuxnkwithyasastrrangwloneblpi ph s 2540 Stanley B Prusiner aehngmhawithyalyaekhlifxreniy n sanfransisok inpi ph s 2525 1982 erasamarthphbphrixxnidthwipthngphuch stw aelayist aetthiphrixxnodngdngephraamnsamarthkxorkhaelathaihthungaekchiwitinewlaxnrwderwid orkhthimisaehtucakphrixxnkhux Transmissible spongiform encephalopathies TSEs orkhchnidniepnorkhthithaxntraythungchiwitid phbinthngkhnaelastw thirayaerngkhux samarththaythxdidcakkarbriophkhenuxstwthitidorkh twxyangorkhchnidniidaek Creutzfeldt Jakob disease CJD inkhn orkhwwba bovine spongiform encephalopathy mad cow disease orkh inaeka orkh chronic wasting disease inkwang thithwipxemrikaehnux sungmikhwamkhlaykhlungkborkhthangsmxngxyang orkh Alzheimer thiinsmxngphupwycaphbxaimlxyd oprtinrangaehthiimlalayna oprtin phrixxn PrP epnoprtinkhxngrangkay ekidcakkarthxdrhskhxngyin phrixxn Prnp Gene PrP misxngrupaebbkhux rupaebbpkti cellular PrPC PrPsen phbinesllthwip lalayna miokhrngsrangepn xlfaehliks aelaimthntxexnismoprtiexs sensitive oprtinnipkticaekaa anchor kbeyuxhumesllody glycosylphosphatidylinositol GPI thiplay C Terminus rupaebbkxorkh scrapie form PrPSc PrPres kxorkh imlalayna miokhrngsrangepn ebtachithaebb anti parallel thntxexnismoprtiexs phbidininesllhlaychnid aetthiphbmakkhuxthirabbprasathaelasmxng phrixxnthngsxngchnidthuksrangepnpktixyuaelwinesll aetrupaebbphidpkticamiinprimanthinxymak ifl Prionstructure gifphaphepriybethiybrahwangokhrngsrangkhxngphrixxnpktiPrPC say aelaphidpktiPrPSC khwa prawtirawthswrrsthi 1950 praman ph s 2490 nayaephthy Daniel Carleton Gajdusek idphborkh Kuru sungthaythxdcakrunphxaemsurunluk inchawephadngedimbnekaapapwniwkinithimipraephnikinsmxngkhxngsphkhxngbrrphburus aetyngimthrabaenchdwaekidcaksaehtuid odysnnisthankhrngaerkwaekidcakechuxiwrsthiyngimepnthiruck txmapramanpi kh s 1959 William Hadlow idnangankhxng Gajdusek masuksaaelaphbwaxakarkhxngorkhaelaenuxeyuxsmxngkhxngphupwymikhwamkhlaykhlungknmakkborkh Scrapie inaeka cakkhxmulnithaih Gajdusek thakarsuksatxipaelaphbwaorkhthngsxngekidcaktnehtuediywknthiyngkxihekidorkhxunxik echn classic Creutzfeldt Jakob disease CJD xikthngkarelikkinsmxngkhxngsphcachwyimihorkhekidkartidtx caknganwicynithaih Gajdusek idrbrangwloneblsakhasrirwithyaaelakaraephthyinpi kh s 1976 pramanpi kh s 1966 idkhnphbsartnehtukhxngorkh Scrapie thiepnorkhtidtxinaeka waepnsarthiesthiyrmak aemcaodn khwamrxn aesngyuwi rngsiaekmma khwamepnkrdebs aela exnism aetkyngsamarthkxorkhtxipid xikthngimphbkrdniwkhlixik hrux sarphnthukrrmidely inpi kh s 1967 J S Griffith cungidtngsmmtithanwaorkhniekidcakoprtinethann Protein only hypothesis sungsnnisthanwaoprtinsamarthephimcanwntwexngid khxsmmtithannikhdaeyngrunaerngkbkhwamechuxhlkthangchiwwithya central dogma of modern biology xyangirktam yngminkwithyasastrthiechuxwaorkhniekidcakechuxiwrsthiyngimthukkhnphb Virino hypothesis txmainpi kh s 1981 Stanley B Prusiner thakarthdlxngaeyksarthikxorkhnnxxkmaidsungepnoprtinthisamarthephimcanwntwexngid PrPSC SC yxmacak orkh scrapie cungeriyksarnnwa proteinaceous infectious particle hrux prion odyphbwamnepnoprtinthiphidrupip thaihimlalayna aelathntxsarekhmitang aela hlngcaknganwicykhxng Prusiner pramansibpi inchwngthswrrsthi 1990 idmikarkhnphbyinthithxdrhsoprtin PrP thixyuinesllpktikhxngsingmichiwit xyangirktam thvsdinithukkhdkhanody nkwithyasastr Laura Manuelidis aehng mhawithyalyeyl wamnimidepnoprtinaetepniwrsthiyngimthukkhnphb ehtuphlhlkkhux oprtin PrPSc ephiyngxyangediywimsamarththaihstwthdlxngthimisukhphaphaekhngaerngpwyid thacathaihstwnnpwytxngichsarskdcaksmxngsungimxaccamiiwrspapnmaid aelatxmainpi kh s 2007 ethxkidtiphimphkarthdlxngthiaesdngidwaiwrsxacmiswninkarkxorkhnikarephimcanwnkhxng phrixxn PrPSC inesll aelakarkxorkhodypkti PrPC cathuksrangxxkmacakeslltlxdewlaxyuaelw ody PrPC caepn integral membrane protein thiekaakb esll dwy GPI anchor sungcathahnathisngsyyanekhaesllpktiaelaimkxorkh aetemuxrangkayidrb PrPSC thicakratun PrPC ihklayepn PrPSC xnepnfxrmthikxihekidorkh odyokhrngsrangoprtinthutiyphumicakxlfaehliks epliynipepn ebtachith thaihoprtinimlalayna aelaimsamarththukyxyslayidodyexnism protease dngnncungekidkarsasmkhxngoprtinthiphaynxkesllepnkhnaerk aela enuxngcakPrPC ni pkti thahnathisngsyyanekhaipinesll emuxoprtinniepliynrupip thaihsyyanthisngekhaipinesllphidaeplkipdwy syyanthiphidnimiphlxyanghnunginesllkhuxthaihekidkarsasmkhxngoprtinniineslldwyechnkn odyerimthi ilosism Lysosyme aelwcbkb oprtioxiklaekhn chux ehpharinsleft klayepn rangaehoprtin aela klayepn plaque aela emuxrwmkb syyanxun thiphidpktiip kcathaiheslldaeninkarkhatwtay Apoptosis xnthaihesllprasathnislayip sungthamicanwnmak cathaihhnathikhxngsmxngphidpktiip aela samarthehnidcakenuxeyuxsmxngwa enuxsmxngepnruxyangfxngna epnthinasngektwa ephiyng PrPSC imsamarthkxorkh thalayesll id mntxngkar PrPC khxngsingmichiwitesmx sungepnkarihsyyantxesllthiphidip Chesebro et al 2005 dngnnkarsuksaephuxruhnathikhxng PrPC inesllcungepnsingthinasnic sunghnathikhxngmnthiphxcakhadedaidinkhnani ph s 2550 khux epnsarchwykaretibot growth factor khxng esllprasath aela esllemdeluxd haemopoietic stem cells Couzin J 2006 swnklikkarepliyn cak PrPC epn PrPSC mihlayomedl aetthiechuxknkhuxkarkxaebbkratunthilaeyxa Seeding model khuxkarsasmthilanidkhxng PrPSC inesll seed aelwklum PrPSC emuxmicanwnphxkipehniywnaihPrPC thipktiepliynepnPrPSC thiimpkti idepncanwnthilamakinewlaxnrwderw xyangirktamyngtxngthakarwicytxipwaphrixxnephimcanwnineslldwywithikaridkartidtxphrixxnmikartidtxsxngaebbkhux hnungaebbkarthaythxdthangphnthukrrmthiekidcakkarklayphnthu mutation khxngyin prnp sungsamarthekidkhunexng sporadic hruxidrbthaythxdcakphxaemkid familial swnsaehtuthisxngthiepnwithiaephrkhxngorkhrayaerngxyangorkhwwbakhuxkarthaythxdaebb horizontal transmissable phankarbriophkhxaharthimi PrPSC ekhaip hrux aebb iatrogenic thiekidcakkarnaxupkrnkaraephthythiekhyichkbphupwyphrixxnipichkbphupwypkti aemcathakhwamsaxadaelwaetephraaphrixxnthnthantxsarekhmiaelakhwamrxn thaihyngkhngehluxphrixxnxyukbxupkrnkaraephthynn aelasamarththaihekidkartidtxid aetxyangirktam yngkhunxyukbprimanthiidrbaelasphaphkhxngtwphupwydwy ephraa mikarkhnphbwachawexechiycamiphumitanthantxphrixxnmakkwa aelacatidphrixxnidnxykwafrngphiwkhaw hrux aemmiphrixxninnmkhxngwwthiepnorkhwwba aetxyuinprimanthitamakthaihphubriophkhimtidorkhphrixxn sahrbkrnikhxngkartidtxcakkarbriophkhthiepnsingthimikhwamesiyngsungsahrbrabbxutsahkrrmxaharinolksmyihm karedinthangkhxngphrixxncakrabbthangedinxaharipyngsmxng yngimsamarthihkhwamkracangid aetpccubnidmikarkhnphbaelwwa rabbphumikhumknmibthbathxyangmakinkarphaphrixxnipyngsmxng odyerimcakkarphankaryxyinthangedinxaharphrixxnaemcaimthukthalayodyexnismtangaetkyngsamarththukdudsumekhasurangkayidbriewn distal ileum laiselkswnplay odysnnisthanwanacaphanthang Membranous epithelial cell M cell sungepnesllbueyuxtxmnaehluxngchnidhnung aelwcungthuknaipyngtxmnaehluxngthutiyphumi secondary lymphoid organ Peyer s patches odyesllekhluxnthiid sungyngimaenchdwaepnesllid caknnkipekidkarephimcanwnthitxmnaehluxngnithiesll Follicular dendritic cells FDCs odykhwamchwyehluxkhxngbiesll B lymphocyte thiplxysar Lymphotoxin LT makratun FDCs ni caknnkcamiptikiriyatxknthngkarhlngsarisotkhinaela cell contact rahwangbiesll khxmphliemnt sotrmaesll aela FDCs sungchwyinkarephimcanwnphrixxnbn FDCs swnkaredinthangkhxngphrixxnipyngrabbprasathnn thitxmnaehluxngthutiyphuminicamiesnprasath autonomic nervous system praephth sympathetic maechuxmknxyuaelw esll FDCs thisamarthekhluxnthiid kcaphaexaphrixxnipyngesllprasathniexng yngmikarotethuyngknineruxngni odyechphaarayahangrahwangesll FDCs aelaesllprasath aelwcakesllprasathrabbsimphaethtikni phrixxnkcathuksngipyngrabbprasathswnklang central nervous system CNS phanthang ganglion cell sungcaipephimcanwnthiesllsmxngaelathalaysmxngtxip swnkhxngsmxngswnaerkthicatidphrixxniderwthisudkhux corpus callosum aela ihopthalams xnunginphupwyhruxstwthipwycaimphbphrixxnephiyngaetinesllprasathhruxsmxngethannaetyngphbidinklamenux eluxd mam lukta thangedinxahar aelatxmtang echntxmnanmxakarkhxngorkhphaphcakklxngculthrrsnaesdngenuxeyuxsmxngthiekidruphrunxyangfxngnacakphrixxn enuxsmxngkhxngphupwycathukthalay ruprangsmxngcaphidrupthngsmxng atrophic khnathiorkhxuncaimepnthngsmxngaebbni ephraaphrixxnipephimcanwnmakaephrkracaythwthngsmxngthaihesllsmxngopngetmipdwykhxngehlw emuxdulksnaesllaelwepnruphrunkhlayfxngna spongioform encephalitis emuxthingiwkcaphbwaoprtinehlanncbknepnrangaehxaimlxyd epnkxninsmxng sungcathaihenuxsmxngodnthalay phupwykcamixakarhlngesllsmxngodnthalaytangknip echn pwdhw imsamarthkhwbkhumrangkayid hrux krathngkhwamcaesuxm aelathungaekchiwitinthisud odyxakaraemcakhlaykborkhthangsmxngxunaelaekidkhxnkhangchaephraaichewlafktwnan aetemuxmixakaraelwxakarcaphthnaxyangrwderwkarwinicchyorkhephraaxakarkhxngorkhcakhlaykborkhthangsmxngchnidxunthaihimsamarthwinicchywaepnhruxim aetphrixxnsamarthtrwcidcakkarphasmxng trwchaphrixxnineluxd naikhsnhlng hrux sarskdcaksmxng brain extract thiaeythisudkhuxtrwcchnsutrhlngkaresiychiwit inhxngthdlxngidkhnphbwithitrwcphrixxnidaebbihmdwywithikar Protein misfolding cyclic amplification PMCA sahrbkrni phupwythiekidcakkarphidpktithangphnthukrrmsamarthtrwcsxbidcakkartrwchayinkxorkhid aetodymakimepnthiniymknephraaemuxkhrxbkhrwihnmiphupwyorkhniaelw kcathukefaduodyaephthy odyimtxngthakartrwcyinepnkrniphiesskarrksayngimmikarrksathimiprasiththiphaph thimixyumiephiyngkarihyaldxakaraetyngimmiyahruxwkhsinidthikacdphrixxnidodytrngxyangmiprasiththiphaphaelaimmiphlkhangekhiyng sahrbinphrixxninstwthaidephiyngaetknstwthitidorkhxxkipethannhruxthalaystwnnthing Quarantine xyangirktam inpi ph s 2542 1999 khnawicykhxng Dale Schenk idcudprakaykhwamhwngkhxngwkhsininkarrksakhunma ody ekhaaelakhnakhxngekhakhnphbwkhsinthiichrksaorkhxlisemxrid sungthakarthdlxngaelwinkhnkhntn phbwa samarthldprimanoprtinthiphidrupidcring dwyehtunicungepnthikhadhwngwa hlkkarcakkarsrangwkhsinnicasamarthnamaprayuktkbphrixxnthimiklikkarekidiklekhiyngknidinxnakhtxangxinga virologist who had studied several infectious diseases among remote peoples 2007 03 08 thi ewyaebkaemchchin We can t seem to find the page you were looking for Please try our search or A Z index Prion Diseases 2006 04 28 thi ewyaebkaemchchin Abid K et al Cell Mol Life Sci vol 63 2342 2351 Aug 2006 Aguzzi A et al Nat rev Immun vol 4 725 736 Sep 2004 Aguzzi A et al Immunity vol 22 145 154 Feb 2005 Aguzzi A et al Science vol 308 1420 1421 Jun 2005 Aguzzi A et al Nat rev Immun vol 4 765 775 Oct 2006 Chesebro B et al Science vol 308 1435 1439 Jun 2005 Couzin J Science vol 311 1091 Feb 2006 Enzerink M Science vol 310 1756 1758 Dec 2005 Kraehenbuhl J et al Annual Review of Cell and Developmental Biology vol 16 301 332 Nov 2000 Prusiner S B PNAS vol 95 13363 13383 Nov 1998 Telling G N Eng J Med vol 353 11 1177 1179 Sep 2005 Karp G Zellbiologie 5 Auflage 2005 Springer Verlag Seite 85 Riede U et al Allgemeine und Spezielle Pathologie 5 Auflage 2004 Georg Thieme Verlag Modrow S et al Molekulare Virologie 2 Auflage 2003 Spektrum Verlag