สถาปัตยกรรมโหยสฬะ (กันนาดา: ಹೊಯ್ಸಳ ವಾಸ್ತುಶಿಲ್ಪ; โหยสลฬ วาสตุศิลป) เป็นรูปแบบหนึ่งของสถาปัตยกรรมโบสถ์พราหมณ์ ที่เกิดขึ้นในยุคของ ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 11-14 ซึ่งปกครองบริเวณที่ในปัจจุบันอยู่ในรัฐกรณาฏกะ อิทธิพลของโหยสฬะมาถึงจุดสูงสุดในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 สมัยที่ปกครองบริเวณที่ราบสูงเดกกัน ตัวอย่างเทวาลัยยุคโหยสละที่สำคัญ เช่น เจนนเกศวเทวาลัยที่เบลูร์, โหยสเลศวรเทวาลัยที่หเลพีฑู และเจนนเกศวเทวาลัยที่ การศึกษาสถาปัตยกรรมโหยสละพบว่าได้รับอิทธิพลบ้างจาก และอิทธิพลของงานศิลป์แบบ ทำให้สถาปัตยกรรมโหยสละมีความโดดเด่นเฉพาะตัว
เทวาลัยที่สร้างก่อนสมัยจักรวรรดิโหยสละในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 12 แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลจาก ส่วนเทวาลัยในยุคถัด ๆ มาจึงเริ่มมีงานศิลป์แบบโหยสฬะเสริมเข้าไป ปัจจุบันมีเทวาลัยจำนวนกว่าสามร้อยแห่งที่หลงเหลืออยู่ภายในพื้นที่ของรัฐกรณาฏกะ และอีกหลายแห่งที่ปรากฏในงานเขียนและเอกสารโบราณ เทวาลัยจำนวนมากกระจุกตัวอยู่ในอำเภอ ซึ่งเคยเป็นเขตพระราชฐานของกษัตริย์โหยสฬะ
สถาปัตยกรรมโหยสฬะได้รับการขัดแบ่งโดย นักวิชาการที่ทรงอิทธิพล ว่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมเนียม กรณาฏกทราวิฑ ซึ่งเป็นกระแสหนึ่งในสถาปัตยกรรมทราวิฑในที่ราบสูงเดกกันที่ต่างจากรูปแบบทมิฬที่อยู่ลึกลงไปทางใต้ ชื่ออื่น ๆ สำหรับธรรมเนียมนี้ รวมถึง และสถาปัตยกรรมจาลุกยะ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น และ ซึ่งมีมาก่อนโหยสฬะไม่นาน ธรรมเนียมนี้โดยรยมครอบคลุมยุคสมัยราวเจ็ดศตวรรษที่เริ่มต้นในศตวรรษที่ 7 ภายใต้การอุปถัมภ์ของจักรวรรดิจาลุกยะแห่ง ต่อมามีการพัฒนารูปแบบต่อในสมัยในศตวรรษที่ 9-10 และ แห่งในศตวรรษที่ 11-12 ระยะการพัฒนาสุดท้ายก่อนจะแปรสภาพมาเป็นรูปแบบเฉพาะตัวมีขึ้นในสมัยปกครองของโหยสฬะในศตวรรษที่ 12-13 จารึกจากสมัยยุคกลางที่ปรากฏเป็นหลักตามเทวาลัยต่าง ๆ ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยใกีบการบริจาคเพื่อทำนุบำรุงศาสนสถาน รายละเอียดเกี่ยวกับการประกอบพิธีอุทิศ และในบางครั้งแม้แต่รายละเอียดเกี่ยวกับสถาปัตยกรรม
เทพเจ้าประจำเทวาลัย
เทวาลัยในศาสนาฮินดูเริ่มแรกเป็นศาลเจ้าอย่างง่ายที่ภายในประดิษฐานเทพเจ้า ในยุคสมัยของชาวโหยสฬะ เทวาลัยได้พัฒนามาเป็นสิ่งปลูกสร้างใหญ่โตที่มีการประกอบสร้างขึ้นอย่างบรรจง ที่ซึ่งศาสนิกชนเสาะหาความยิ่งใหญ่เหนือธรรมชาติในโลกมนุษย์ เทวาลัยแบบโหยสฬะไม่เพีนงแต่จำกัดอยู่เฉพาะในธรรมเนียมอันเป็นระบบของศาสนาฮินดู แต่ยังรวมถึงผู้มีศรัทธาจากธรรมเนียมฮินดูอื่น ๆ ชายโหยสฬะมักจะอุทิศเทวาลัยของตนแก่พระศิวะหรือพระวิษณุ สองเทพเจ้าที้มีกาาเคารพบูชาอย่างแพร่หลายในศาสนาฮินดู กระนั้นก็มีบางโอกาสที่สร้างเทวถานบูชาศาสนบุคคลในลัทธิไชนะเช่นกัน ผู้บูชาพระศิวะเรียกว่า “ไศวะ” และผู้บูชาพระวิษณุเรียกว่า “ไวษณวะ” ในขณะที่กษัตริย์และผู้สืบทอดเป็นผู้นับถือลัทธิไวษณวะ กลับปรากฏหลักฐานบันทึกว่าชาวโหยสฬะยังคงไว้ซึ่งความกลมเกลียวทางศาสนา ผ่านทางการสร้างเทวาลัยบูชาพระศิวะ เช่นเดียวกับที่ได้สร้างเทวาลัยบูชาพระวิษณุ
เทวาลัยส่วนใหญ่มีองค์ประกอบทางโลกวิสัย และเรื่องราวที่กว้างดังที่ปรากฏในงานประติมากรรมต่าง ๆ ดังที่สามารถพบได้ในเจนนเกศวเทวาลัยในเพลูรุซึ่งบูชาพระวิษณุ และที่หเลพิฑูซึ่งบูชาพระศิวะ เกศวเทวาลัยที่แตกต่างไปด้วยลักษณะการประดับที่เป็นไวษณวะอย่างเคร่งครัด โดยทั่วไปแล้ว เทวาลัยไวษณวะจะบูชาพระ (หรือในบริบทของเจนนเกศวะ หมายถึง “พระวิษณุรูปงาม”) ในขณะที่จำนวนน้อยปรากฏบูชาพระลักษมีนารายณ์ และ ลักษมีนรสิงห์ (พระนารายณ์ และ พระนรสิงห์ ล้วนเป็นอวตารของพระวิษณุ) ประกอบกับพระลักษมี พระชายาของพระวิษณุ ประทับที่เบื้องบาทของพระวิษณุ เทวาลัยพระวิษณุจะตั้งชื่อตามเทพเจ้าเสมอ
เทวาลัยของไศวะจะปรากฏศิวลึงค์ สัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองและสัญลักษณ์สากลของพระศิวะ ในห้องบูชาของเทวาลัย ชื่อของเทวาลัยพระศิวะสามารถลงท้ายด้วยคำต่อท้านว่า -เอศวร ซึ่งแปลว่า ”เจ้าแห่ง“ เช่น ”โหยสเฬศวร“ แปลว่า เจ้าแห่งโหยสฬะ เป็นต้น นอกจากนี้ยังอาจตั้งชื่อตามผู้ศรัทธาที่ก่อสร้างเทวาลัยขึ้น เช่น พุเจศวรเทวาลัย (Bucesvara temple) ที่ โกรวังคัล (Koravangala) ตั้งชื่อตามศรัทธาชนนามว่า พุจิ (Buci) การประดับด้วยประติมากรรมที่โดดเด่นอยู่บนแถวแนวนอนของมุมอาคาร ที่ซึ่งภาพสลักนูนต่ำ ตลอดจนประติมากรรมรูปเทพเจ้าที่แกะสลักอย่างวิจิตรปราฏตามผนังของเทวาลัยส่วนนอก
เทวาลัยลักษมีเทวี ("เทวีแห่งความมั่งคั่ง") เป็นข้อยกเว้นพิเศษ เนื่องจากไม่ได้อุทิศแด่ทั้งพระวิษณุหรือพระศิวะ หลังการพ่ายแพ่ของไชนะใน (ปัจจุบันคือกรณาฏกะใต้) ให้แก่ชาวโจฬะในต้นศตวรรษที่ 11 ประกอบกับจำนวนศาสนิกชนของลัทธิไวษณวะและในศตวรรษที่ 12 เกิดขึ้นควบคู่กับความสนใจในศาสนาไชนะที่ลดถอยลง อย่างไรก็ตาม ปรากฏเทวาลัยของไชนะที่สำคัญสองแห่งในอาณาเขตของโหยสฬะ ซึ่งคือ ศรวัณเพลโคละ และ ชาวโหยสฬะได้สร้างศาสนสถานไชนะขึ้นเพื่อให้ประชากรชาวไชนะพึงพอใจ มีอยู่ไม่มากที่ยังหลงเหลืออยู่ในหเลพิฑู ที่ซึ่งภายในประดิษฐานเทวรูปของตีรถังกรในศาสนาไชนะ ชาวโหยสฬะยังก่อสร้างอ่างเก็บน้ำซึ่งมีขั้นบันไดลงไป เรียกว่า ปุษกรณี (Pushkarni) หรือ กัลยาณี (Kalyani) ดังที่ปรากฏพบที่เทวาลัยในหุเลเกเร (Hulikere) อ่างเก็บน้ำที่หุลิเกเรยังประกอบด้วยศาล 12 ศาลบูชาเทพเจ้าตั้งอยู่โดยรอบ
เทพเจ้าหลักสององค์ที่ปรากฏในประติมากรรมเทวาลัยโหยสฬะ ได้แก่พระศิวะและพระวิษณุในรูปปางและอวตารต่าง ๆ พระศิวะมักปรากฏแสดงในปางสี่กร ทรงตรีศูล กองเล็ก และสัญลักษณ์อื่น ๆ ซึ่งมีการบูชาแยกเป็นของตัวเองในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้อง เทวรูปบุรุษใด ๆ ที่แสดงในลักษณะนี้จะถือว่าเป็นพระศิวะ กระนั้นก็พบรูปเคารพสตรีที่บางครั้งอาจปรากฏในรูปลักษณ์ดังกล่าวในฐานะพระชายาของพระศิวะ ซึ่งคือพระปารวตี สำหรับเทวรูปพระศิวะมีปรากฏอยู่หลายลักษณะ เช่น ในรูปเปลือยพระองค์ทั้งพระองค์หรือบางส่วน, ในรูปปางขณะสังหารอสูร () หรือร่ายรำบนหัวของช้างที่ถูกสังหาร () และดึงหนังขึ้นมาหลังคอ มักปรากฏพระองค์เคียงกับพระปารวตีซึ่งเป็นพระชายา หรือกับโคนนทิ นอกจากนี้ยังสามารถพบในรูปพระไภรวะซึ่งเป็นอวตารหนึ่งของพระองค์
เทวรูปบุรุษที่ในมือถือวัตถุบางประการ เช่น หอยสังข์ (สัญลักษณ์ของความเป็นนิรันดร์, พื้นที่อันเป็นสวรรค์) และจักร (เวลาอันเป็นนิรันดร์และพลังแห่งการทำลายล้าง) ถือเป็นพระวิษณุ หากปรากฏในรูปสตรีทรงวัตถุเหล่านี้ จะถือว่าเป็นพระชายาของพระวิษณุ ซึ่งคือพระลักษมี ในทุกรูปปางจะปรากฏพระวิษณุทรงของสี่อย่าง ได้แก่ หอยสังข์ จักร บัว และคฑา ซึ่งสามารถทรงในหัตถ์ใดก็ได้ ทำให้มีรูปปางที่เป็นไปได้อยู่ 24 รูปที่ต่างกัน อันล้วนมีชื่อเรียกของตนเองเป็นเฉพาะ นอกจากนี้ ยังปรากฏพระวิษณุในรูปปางใด ๆ ในสิบอวตาร ซค่งรวมถึงพระวิษณุประทับบนนาคอานันทะ หรือที่รู้จักในชื่อ ), พระวิษณุประทับเคียงพระลักษมี โดยพระลักษมีประทับบนตัก (ลักษมีนารายณ์), ในรูปที่มีเศียรเป็นสิงโตกระชากเครื่องในออกจากตัวของอสูรอยู่บนตัก (), ในรูปที่เศียรเป็นหมูป่าเดินเหยียบอสูร (), ในปางพระกฤษณะ [ในรูปหรือคนเลี้ยงวัวเป่า (ขลุ่ย)), ร่ายรำบนหัวงู, ยกเขาเช่น, มีเท้าอยู่เหาือศีรษะของตัวบุคคลขนาดเล็กกว่า (), ในรูปเคียงข้างพระอินทร์ทรงช้าง, กับพระลักษมีประทับบนครุฑ และเหยียว (เพื่อขโมย
หมู่สิ่งปลูกสร้างในเทวาลัย
จุดสำคัญของเทวาลัยอยู่ที่ครรภคฤห์หรือโถงบูชากลาง ที่ประดิษฐานเทวรูป การออกแบบสถาปัตยกรรมของเทวาลัยจึงเป็นการขยับผู้สักการะจากด้านนอกสู่ครรภคฤห์ผ่านทางทางเดินซึ่งมีไว้ และห้องโถง (มณฑป) ซึ่งยิ่งมีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเมื่อยิ่งเข้าใกล้องค์เทพเจ้า เทวาลัยแบบโหยสฬะมีองค์ประกอบที่โดดเด่นเป็นพิเศษที่ถูกรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งส่วน ตรงข้ามกันกับเทวาลัยแบบแคว้นทมิฬซึ่งองค์ประกอบต่าง ๆ ของเทวาลัยอยู่แยกเป็นเอกเทศจากกัน แม้ว่าจะมีลกษณะภายนอกที่แตกต่างเป็นพิเศษ เทวาลัยแบบโหยสฬะมีลักษณะคล้ายกันในเชิงโครงสร้าง ซึ่งประกอบด้วยประติมากรรมจำนวนมหาศาลประดับทุกส่วนของเทวาลัย ประติมากรรมเหล่านี้แกะสลักมาจากหินปูนอ่อน (chloritic schist) อันเป็นวัสดุชั้นเยี่ยมสำหรับที่มีความวิจิตร ทำขึ้นโดยช่างฝีมือท้องถิ่น และแสดงถึงลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นจากสถาปัตยกรรมเทวาลัยอื่น ๆ ในอินเดียใต้
เทวาลัยโหยสฬะส่วนใหญ่มีระเบียงทางเดินทางเข้าที่มีหลังคาปกคลุม รับน้ำหนักด้วยเสาทรงบิด ซึ่งบางครั้งก็มีแกะสลักหรือประกอบแม่ลายประดับเข้าไป ตัวเทวาลัยอาจสร้างขึ้นบนฐานที่ยกสูงจากพื้นขึ้นมาราวหนึ่งเมตร เรียแว่า "" ซึ่งนอกจากจะให้รูปลักษณ์เหมือนอาคารยกสูงแล้ว ยังเป็น ปาถ หรือเส้นทางเดินสำหรับเดินวนรอบเทวาลัย ในขณะที่ครรภคฤห์จะไม่มีลักษณะดังกล่าว เทวาลัยในลักษณะดังกล่าวจะมีขั้นบันไดเพิ่มเติมเข้ามา ซึ่งเปิดออกภายในมณฑป (โถงเปิด) ซึ่งเปิดโล่ง และมีกำแพง ตัวอย่างชิ้นเยี่ยมของเทวาลัยแบบนี้คือที่ ที่ซึ่ง ชคตี มีลักษณะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสิ่งปลูกสร้างที่เหลือของเทวาลัย ซึ่งมีการออกแบบแปลนเป็นรูปดาว และมีผนังเป็นแบบลายซิกแซ็ก ลักษณะเช่นนี้ถือเป็นประดิษฐกรรมของโหยสฬะ
ผู้เดินทางมาสักการะสามารถเริ่มต้นด้วยการทำการทำพิธีเดินวนรอบส่วนฐาน ชคตี โดยเริ่มจากทางเข้าหลักและเดินไปในทิศตามเข็มนาฬิกา (หรือเดินไปทางซ้ายมือ) ก่อนจะเดินเข้าส่วนมณฑป งานประติมากรรมแกะสล้กบนผนังของกำแพงส่วนนอกก็จัดเรียงลำดับการเล่าเรื่องมหากาพย์ฮินดูในทิศตามเข็มนาฬิกาเช่นกัน เทวลายัที่ไม่ได้สร้างบนฐานชคตีสามารถมีบันไดที่ขนาบข้างด้วยฐานซี่รั้ว (balustrades) ที่แกะสลักเป็นรูปช้าง อันนำพาเข้าไปสู่ในมณฑปจากชั้นระดับพื้นดิน ตัวอย่างเทวาลัยที่ไม่ปรากฏฐานยก คือเทวาลัยพุเจศวรใน เทวาลัยที่มีสองศาลภายใน (ทวิกูฏ) จะมี วิมาน ตั้งอยู่ข้างกันหรือตรงกันข้ามกันกับแต่ละศาลได้เช่นกัน ลักษมีเทวีเทวาลัยที่ เป็นตัวอย่างสถาปัตยกรรมโหยสฬะที่โดดเด่นเฉพาะตัว ด้วยศาลสี่ศาล และศาลร่วมตรงกลางเป็นศาลที่ห้า (ซึ่งบูชาพระไภรวะ) ภายในหมู่สิ่งปลูกสร้างเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีศาลย่อยอีกสี่ศาลตั้งอยู่ที่มุมขอบทั้งสี่ของลานกลาง ()
องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม
มณฑป
มณฑป หมายถึงโถงซึ่งผู้คนมารวมตัวกันเพื่อสวดภาวนา ทางเข้าสู่มณฑปโดยทั่วไปมีชิ้นประติมากรรมประดับอย่างวิจิตรเหนือขื่อประตู เรียกว่า มกรโตรณะ (มกร เป็นสัตว์ในตำนาน และ โตรณะ หมายถึงเครื่องประดับที่อยู่เหนือศีรษะ) มณฑปมีลักษณะเปิด จึงมีบทบาทในฐานะห้องโถงชั้นนอก ลักษณะเช่นนี้ปรากฏในเทวาลัยโหยสฬะขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีทางเดินไปสู่กับมณฑปปิดขนาดเล็ก และบรรดาศาลภายใน มณฑปเปิดซึ่งมักจะมีพื้นที่ขนาดใหญ่นี้มักมีพื้นที่นั่ง (อาสนะ) ทำมาจากหิน ส่วนผนังลายลูกกรงเป็นพนักพิงหลัง ที่นั่งอาจจัดวางไปตามรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่สับเื่อมกันตามลายผนังลูกกรง เพดานของมณฑปมักมีเสาจำนวนมากค้ำยัน ทำให้เกิดช่วงเสา (bays) ขึ้นมากมาย รูปทรงของมณฑปเปิดเช่นนี้สามารถบรรยายว่าเป็รลักษณะสี่เหลี่ยมจัตุรัสสลับเหลื่อม (staggered-square) และถือเป็นรูปแบบที่ปรากฏในเทวาลัยโหยสฬะส่วนใหญ่ แม้มณฑปเปิดที่มีขนาดเล็กที่สุดยังพบว่ามีช่วงเสารวม 13 ส่วน ผนังราวลูกกรงซึ่งมีเสาครึ่งหนึ่งช่วยรับน้ำหนักขอบปลายส่วนนอกของหลังคา และยังช่วยให้มีแสงสว่างเข้าถึงภาพในเพียงพอ อันช่วยให้สามารถมองเห็นรายละเอียดของงานประติมากรรมได้ทั้งหมด เพดานของมณฑปมักประดับอย่างวิจิตรด้วยงานประติมากรรม ทั้งจากปรัมปราและรูปพันธุ์ไม้ดอกต่าง ๆ เพดานยังอาจประกอบด้วยพื้นผิวลึกและพื้นผิวทรงโดมซึ่งภายในมีงานประติมากรรมรูปหน่อกล้วยไปจนถึงงานประดับอื่น ๆ
ในกรณีที่เทวาลัยมีชนาดเล็กจะประกอบด้วยเพียง มณฑป แบบปิด กล่าวคือมีผนังปิดตั้งแต่พื้นจรดเพดาน อยู่หลังเดียว และตัวศาล สำหรับมณฑปทรงปิดซึ่งมีการตกแต่งอย่างดีทั้งด้านในและภายนอก มีขนาดใหญ่กว่าเพียงห้องทางเข้า (vestibule) ที่เชื่อมต่อเข้ากับศาล นอกจากนี้ ตัว มณฑป ยังประกอบด้วยเสากลึงเป็นรูปกลม (lathe-turned pillars) สี่เสา ซึ่งรับน้ำหนักของเพดาน ส่วนเพดานอาจมีลักษณะเป็นทรงโดมอย่างลึก (deeply domed) เสาสี่เสานี้แบ่งพื้นที่ห้องของมณฑปออกเป็นเก้าส่วน (bays) ที่ซึ่งมีเพดานอันประดับตกแต่งเก้าเพดาน ผนังหินฉลุลาย (ฌาฬิ หรือ ) ซึ่งใช้งานเป็นหน้าต่างใน นวรงค์ (navaranga; โถง) และ สภามณฑป (Sabhamantapa; โถงรวมตัว, โถงพบปะ) เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบเชิงรูปแบบที่เฉพาะต่อสถาปัตยกรรมโหยสฬะ
อ้างอิง
- Hardy (1995), pp243–245
- Foekema (1996), p47, p59, p87
- Hardy (1995), p320, p321, p324, p325, p329, p332, p334, p339, p340, p346
- Foekema (1996), p53, p37, p71, p81, p41, p43, p83
- in Kamath (2001), p134
- Hardy (1995), p244
- Hardy (1995), pp. 6–7, section Introduction-Dynasties and Periods
- Foekema (2003), p. 18
- Foekema (1996), pp. 19–20, chapter-The dedications and names of temples
- Hardy (1995), p. 245
- Foekema (1996), p. 19
- อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อramayana1
- Foekema (1996), p. 19–20
- Kamath (2001), p. 134
- Kamath (2001), pp 112, 132
- Foekema (1996), plate 27
- Foekema (1996), p. 31, chapter:Recognizing the most important deities
- Foekema (1996), p. 32, chapter:Recognizing the most important deities
- Foekema (1996), p. 21
- Kamath (2001), p. 136
- Kamath (2001), p. 135
- Foekema (1996), p. 25
- Arthikaje. . 1998–2000 OurKarnataka.Com, Inc. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 November 2006. สืบค้นเมื่อ 13 November 2006.
{{}}
: CS1 maint: unfit URL () - The Hoysaleswara shrine and the Shantaleswara shrine in the Hoysaleswara Temple in Halebidu are examples. (Foekema 1996, p. 59)
- Foekema (1996), p. 25, p. 57, section:Dodda Gadduvalli
- Hardy (1995), p. 246
- Foekema (1996), pp. 22–23
- อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อquad
- A bay is a square or rectangular compartment in the hall (Foekema 1996, p. 93)
- This is also called "cross-in-square" style and is not a square (Foekema, 1996, p. 22)
- Githa U.B. (11 May 2004). . . Chitralakshana. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-12-04. สืบค้นเมื่อ 13 November 2006.
- The four pillars and nine bays of a closed mantapa is a norm in Hoysala temples (Foekema 1996, p. 22)
บรรณานุกรม
- Cousens, Henry (1996) [1926]. The Chalukyan Architecture of Kanarese Districts. New Delhi: Archaeological Survey of India. OCLC 37526233.
- Foekema, Gerard (1996). Complete Guide to Hoysala Temples. New Delhi: Abhinav. ISBN .
- Foekema, Gerard (2003) [2003]. Architecture decorated with architecture: Later medieval temples of Karnataka, 1000–1300 AD. New Delhi: Munshiram Manoharlal Publishers Pvt. Ltd. ISBN .
- Hardy, Adam (1995) [1995]. Indian Temple Architecture: Form and Transformation : the Karṇāṭa Drāviḍa Tradition, 7th to 13th Centuries. New Delhi: Abhinav. ISBN .
- Kamath, Suryanath U. (2001) [1980]. A concise history of Karnataka: from pre-historic times to the present. Bangalore: Jupiter books. LCCN 80905179. OCLC 7796041.
- Sastry, K.A. Nilakanta (2002) [1955]. A history of South India from prehistoric times to the fall of Vijayanagar. New Delhi: Indian Branch, Oxford University Press. ISBN .
- Settar S. "Hoysala heritage". history and craftsmanship of Belur and Halebid temples. Frontline. สืบค้นเมื่อ 13 November 2006.
- . Archaeological Survey of India, Bengaluru Circle. ASI Bengaluru Circle. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 มิถุนายน 2012. สืบค้นเมื่อ 15 สิงหาคม 2015.
- Arthikaje. . History of karnataka. OurKarnataka.Com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 November 2006. สืบค้นเมื่อ 13 November 2006.
- Kamiya Takeo. "Architecture of Indian Subcontinent". Indian Architecture. Architecture Autonomous. สืบค้นเมื่อ 13 November 2006.
- Ragavendra, Srinidhi. . Spectrum. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 ตุลาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 13 พฤศจิกายน 2006.
- Githa U.B. . History of Indian art. chitralakshana. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 มิถุนายน 2006. สืบค้นเมื่อ 13 พฤศจิกายน 2006.
- Review by: Ajay J. Sinha of Hardy, Adam. "Indian Temple Architecture: Form and Transformation—The Karnata Dravida Tradition 7th to 13th Centuries". Art History. 58: 358–362. JSTOR 3250027.
- Premakumar, B.P. . Deccan Herald. Spectrum. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 มิถุนายน 2012. สืบค้นเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2006.
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
sthaptykrrmohysla knnada ಹ ಯ ಸಳ ವ ಸ ತ ಶ ಲ ಪ ohysll wastusilp epnrupaebbhnungkhxngsthaptykrrmobsthphrahmn thiekidkhuninyukhkhxng rahwangkhriststwrrsthi 11 14 sungpkkhrxngbriewnthiinpccubnxyuinrthkrnatka xiththiphlkhxngohyslamathungcudsungsudinchwngkhriststwrrsthi 13 smythipkkhrxngbriewnthirabsungedkkn twxyangethwalyyukhohyslathisakhy echn ecnnekswethwalythieblur ohyselswrethwalythihelphithu aelaecnnekswethwalythi karsuksasthaptykrrmohyslaphbwaidrbxiththiphlbangcak aelaxiththiphlkhxngngansilpaebb thaihsthaptykrrmohyslamikhwamoddednechphaatwethwalyyukhohyslathi ethwalythisrangkxnsmyckrwrrdiohyslainchwngklangkhriststwrrsthi 12 aesdngihehnthungxiththiphlcak swnethwalyinyukhthd macungerimmingansilpaebbohyslaesrimekhaip pccubnmiethwalycanwnkwasamrxyaehngthihlngehluxxyuphayinphunthikhxngrthkrnatka aelaxikhlayaehngthipraktinnganekhiynaelaexksarobran ethwalycanwnmakkracuktwxyuinxaephx sungekhyepnekhtphrarachthankhxngkstriyohysla sthaptykrrmohyslaidrbkarkhdaebngody nkwichakarthithrngxiththiphl waepnswnhnungkhxngthrrmeniym krnatkthrawith sungepnkraaeshnunginsthaptykrrmthrawithinthirabsungedkknthitangcakrupaebbthmilthixyuluklngipthangit chuxxun sahrbthrrmeniymni rwmthung aelasthaptykrrmcalukya sungsamarthaebngxxkepn aela sungmimakxnohyslaimnan thrrmeniymniodyrymkhrxbkhlumyukhsmyrawecdstwrrsthierimtninstwrrsthi 7 phayitkarxupthmphkhxngckrwrrdicalukyaaehng txmamikarphthnarupaebbtxinsmyinstwrrsthi 9 10 aela aehnginstwrrsthi 11 12 rayakarphthnasudthaykxncaaeprsphaphmaepnrupaebbechphaatwmikhuninsmypkkhrxngkhxngohyslainstwrrsthi 12 13 carukcaksmyyukhklangthipraktepnhlktamethwalytang chwyihkhxmulekiyikibkarbricakhephuxthanubarungsasnsthan raylaexiydekiywkbkarprakxbphithixuthis aelainbangkhrngaemaetraylaexiydekiywkbsthaptykrrmethphecapracaethwalyphrawisnuaelaphralksmi lksminarayn thihelphithu ethwalyinsasnahinduerimaerkepnsalecaxyangngaythiphayinpradisthanethpheca inyukhsmykhxngchawohysla ethwalyidphthnamaepnsingpluksrangihyotthimikarprakxbsrangkhunxyangbrrcng thisungsasnikchnesaahakhwamyingihyehnuxthrrmchatiinolkmnusy ethwalyaebbohyslaimephinngaetcakdxyuechphaainthrrmeniymxnepnrabbkhxngsasnahindu aetyngrwmthungphumisrththacakthrrmeniymhinduxun chayohyslamkcaxuthisethwalykhxngtnaekphrasiwahruxphrawisnu sxngethphecathimikaaekharphbuchaxyangaephrhlayinsasnahindu krannkmibangoxkasthisrangethwthanbuchasasnbukhkhlinlththiichnaechnkn phubuchaphrasiwaeriykwa iswa aelaphubuchaphrawisnueriykwa iwsnwa inkhnathikstriyaelaphusubthxdepnphunbthuxlththiiwsnwa klbprakthlkthanbnthukwachawohyslayngkhngiwsungkhwamklmekliywthangsasna phanthangkarsrangethwalybuchaphrasiwa echnediywkbthiidsrangethwalybuchaphrawisnu ethwalyswnihymixngkhprakxbthangolkwisy aelaeruxngrawthikwangdngthipraktinnganpratimakrrmtang dngthisamarthphbidinecnnekswethwalyinephlurusungbuchaphrawisnu aelathihelphithusungbuchaphrasiwa ekswethwalythiaetktangipdwylksnakarpradbthiepniwsnwaxyangekhrngkhrd odythwipaelw ethwalyiwsnwacabuchaphra hruxinbribthkhxngecnnekswa hmaythung phrawisnurupngam inkhnathicanwnnxypraktbuchaphralksminarayn aela lksminrsingh phranarayn aela phranrsingh lwnepnxwtarkhxngphrawisnu prakxbkbphralksmi phrachayakhxngphrawisnu prathbthiebuxngbathkhxngphrawisnu ethwalyphrawisnucatngchuxtamethphecaesmx ethwalykhxngiswacapraktsiwlungkh sylksnkhxngkhwamecriyrungeruxngaelasylksnsaklkhxngphrasiwa inhxngbuchakhxngethwaly chuxkhxngethwalyphrasiwasamarthlngthaydwykhatxthanwa exswr sungaeplwa ecaaehng echn ohyselswr aeplwa ecaaehngohysla epntn nxkcakniyngxactngchuxtamphusrththathikxsrangethwalykhun echn phuecswrethwaly Bucesvara temple thi okrwngkhl Koravangala tngchuxtamsrththachnnamwa phuci Buci karpradbdwypratimakrrmthioddednxyubnaethwaenwnxnkhxngmumxakhar thisungphaphslknunta tlxdcnpratimakrrmrupethphecathiaekaslkxyangwicitrprattamphnngkhxngethwalyswnnxk ethwalylksmiethwi ethwiaehngkhwammngkhng epnkhxykewnphiess enuxngcakimidxuthisaedthngphrawisnuhruxphrasiwa hlngkarphayaephkhxngichnain pccubnkhuxkrnatkait ihaekchawoclaintnstwrrsthi 11 prakxbkbcanwnsasnikchnkhxnglththiiwsnwaaelainstwrrsthi 12 ekidkhunkhwbkhukbkhwamsnicinsasnaichnathildthxylng xyangirktam praktethwalykhxngichnathisakhysxngaehnginxanaekhtkhxngohysla sungkhux srwnephlokhla aela chawohyslaidsrangsasnsthanichnakhunephuxihprachakrchawichnaphungphxic mixyuimmakthiynghlngehluxxyuinhelphithu thisungphayinpradisthanethwrupkhxngtirthngkrinsasnaichna chawohyslayngkxsrangxangekbnasungmikhnbnidlngip eriykwa puskrni Pushkarni hrux klyani Kalyani dngthipraktphbthiethwalyinhueleker Hulikere xangekbnathihuliekeryngprakxbdwysal 12 salbuchaethphecatngxyuodyrxb ethphecahlksxngxngkhthipraktinpratimakrrmethwalyohysla idaekphrasiwaaelaphrawisnuinruppangaelaxwtartang phrasiwamkpraktaesdnginpangsikr thrngtrisul kxngelk aelasylksnxun sungmikarbuchaaeykepnkhxngtwexnginthanasingskdisiththithiekiywkhxng ethwrupburusid thiaesdnginlksnanicathuxwaepnphrasiwa krannkphbrupekharphstrithibangkhrngxacpraktinruplksndngklawinthanaphrachayakhxngphrasiwa sungkhuxphraparwti sahrbethwrupphrasiwamipraktxyuhlaylksna echn inrupepluxyphraxngkhthngphraxngkhhruxbangswn inruppangkhnasngharxsur hruxrayrabnhwkhxngchangthithuksnghar aeladunghnngkhunmahlngkhx mkpraktphraxngkhekhiyngkbphraparwtisungepnphrachaya hruxkbokhnnthi nxkcakniyngsamarthphbinrupphraiphrwasungepnxwtarhnungkhxngphraxngkh ethwrupburusthiinmuxthuxwtthubangprakar echn hxysngkh sylksnkhxngkhwamepnnirndr phunthixnepnswrrkh aelackr ewlaxnepnnirndraelaphlngaehngkarthalaylang thuxepnphrawisnu hakpraktinrupstrithrngwtthuehlani cathuxwaepnphrachayakhxngphrawisnu sungkhuxphralksmi inthukruppangcapraktphrawisnuthrngkhxngsixyang idaek hxysngkh ckr bw aelakhtha sungsamarththrnginhtthidkid thaihmiruppangthiepnipidxyu 24 rupthitangkn xnlwnmichuxeriykkhxngtnexngepnechphaa nxkcakni yngpraktphrawisnuinruppangid insibxwtar skhngrwmthungphrawisnuprathbbnnakhxanntha hruxthiruckinchux phrawisnuprathbekhiyngphralksmi odyphralksmiprathbbntk lksminarayn inrupthimiesiyrepnsingotkrachakekhruxnginxxkcaktwkhxngxsurxyubntk inrupthiesiyrepnhmupaedinehyiybxsur inpangphrakvsna inruphruxkhneliyngwwepa khluy rayrabnhwngu ykekhaechn miethaxyuehauxsirsakhxngtwbukhkhlkhnadelkkwa inrupekhiyngkhangphraxinthrthrngchang kbphralksmiprathbbnkhruth aelaehyiyw ephuxkhomyhmusingpluksranginethwalycudsakhykhxngethwalyxyuthikhrrphkhvhhruxothngbuchaklang thipradisthanethwrup karxxkaebbsthaptykrrmkhxngethwalycungepnkarkhybphuskkaracakdannxksukhrrphkhvhphanthangthangedinsungmiiw aelahxngothng mnthp sungyingmikhwamskdisiththikhunemuxyingekhaiklxngkhethpheca ethwalyaebbohyslamixngkhprakxbthioddednepnphiessthithukrwmekhadwyknepnhnungswn trngkhamknkbethwalyaebbaekhwnthmilsungxngkhprakxbtang khxngethwalyxyuaeykepnexkethscakkn aemwacamilksnaphaynxkthiaetktangepnphiess ethwalyaebbohyslamilksnakhlaykninechingokhrngsrang sungprakxbdwypratimakrrmcanwnmhasalpradbthukswnkhxngethwaly pratimakrrmehlaniaekaslkmacakhinpunxxn chloritic schist xnepnwsduchneyiymsahrbthimikhwamwicitr thakhunodychangfimuxthxngthin aelaaesdngthunglksnathangsthaptykrrmthioddedncaksthaptykrrmethwalyxun inxinediyit ethwalyohyslaswnihymiraebiyngthangedinthangekhathimihlngkhapkkhlum rbnahnkdwyesathrngbid sungbangkhrngkmiaekaslkhruxprakxbaemlaypradbekhaip twethwalyxacsrangkhunbnthanthiyksungcakphunkhunmarawhnungemtr eriyaewa sungnxkcakcaihruplksnehmuxnxakharyksungaelw yngepn path hruxesnthangedinsahrbedinwnrxbethwaly inkhnathikhrrphkhvhcaimmilksnadngklaw ethwalyinlksnadngklawcamikhnbnidephimetimekhama sungepidxxkphayinmnthp othngepid sungepidolng aelamikaaephng twxyangchineyiymkhxngethwalyaebbnikhuxthi thisung chkhti milksnaepnxnhnungxnediywkbsingpluksrangthiehluxkhxngethwaly sungmikarxxkaebbaeplnepnrupdaw aelamiphnngepnaebblaysikaesk lksnaechnnithuxepnpradisthkrrmkhxngohysla phuedinthangmaskkarasamartherimtndwykarthakarthaphithiedinwnrxbswnthan chkhti odyerimcakthangekhahlkaelaedinipinthistamekhmnalika hruxedinipthangsaymux kxncaedinekhaswnmnthp nganpratimakrrmaekaslkbnphnngkhxngkaaephngswnnxkkcderiyngladbkarelaeruxngmhakaphyhinduinthistamekhmnalikaechnkn ethwlaythiimidsrangbnthanchkhtisamarthmibnidthikhnabkhangdwythansirw balustrades thiaekaslkepnrupchang xnnaphaekhaipsuinmnthpcakchnradbphundin twxyangethwalythiimpraktthanyk khuxethwalyphuecswrin ethwalythimisxngsalphayin thwikut cami wiman tngxyukhangknhruxtrngknkhamknkbaetlasalidechnkn lksmiethwiethwalythi epntwxyangsthaptykrrmohyslathioddednechphaatw dwysalsisal aelasalrwmtrngklangepnsalthiha sungbuchaphraiphrwa phayinhmusingpluksrangediywkn nxkcakniyngmisalyxyxiksisaltngxyuthimumkhxbthngsikhxnglanklang xngkhprakxbthangsthaptykrrmmnthp mnthp hmaythungothngsungphukhnmarwmtwknephuxswdphawna thangekhasumnthpodythwipmichinpratimakrrmpradbxyangwicitrehnuxkhuxpratu eriykwa mkrotrna mkr epnstwintanan aela otrna hmaythungekhruxngpradbthixyuehnuxsirsa mnthpmilksnaepid cungmibthbathinthanahxngothngchnnxk lksnaechnnipraktinethwalyohyslakhnadihy sungcamithangedinipsukbmnthppidkhnadelk aelabrrdasalphayin mnthpepidsungmkcamiphunthikhnadihynimkmiphunthinng xasna thamacakhin swnphnnglaylukkrngepnphnkphinghlng thinngxaccdwangiptamrupsiehliymctursthisbeuxmkntamlayphnnglukkrng ephdankhxngmnthpmkmiesacanwnmakkhayn thaihekidchwngesa bays khunmakmay rupthrngkhxngmnthpepidechnnisamarthbrryaywaeprlksnasiehliymctursslbehluxm staggered square aelathuxepnrupaebbthipraktinethwalyohyslaswnihy aemmnthpepidthimikhnadelkthisudyngphbwamichwngesarwm 13 swn phnngrawlukkrngsungmiesakhrunghnungchwyrbnahnkkhxbplayswnnxkkhxnghlngkha aelayngchwyihmiaesngswangekhathungphaphinephiyngphx xnchwyihsamarthmxngehnraylaexiydkhxngnganpratimakrrmidthnghmd ephdankhxngmnthpmkpradbxyangwicitrdwynganpratimakrrm thngcakprmpraaelarupphnthuimdxktang ephdanyngxacprakxbdwyphunphiwlukaelaphunphiwthrngodmsungphayinminganpratimakrrmruphnxklwyipcnthungnganpradbxun inkrnithiethwalymichnadelkcaprakxbdwyephiyng mnthp aebbpid klawkhuxmiphnngpidtngaetphuncrdephdan xyuhlngediyw aelatwsal sahrbmnthpthrngpidsungmikartkaetngxyangdithngdaninaelaphaynxk mikhnadihykwaephiynghxngthangekha vestibule thiechuxmtxekhakbsal nxkcakni tw mnthp yngprakxbdwyesaklungepnrupklm lathe turned pillars siesa sungrbnahnkkhxngephdan swnephdanxacmilksnaepnthrngodmxyangluk deeply domed esasiesaniaebngphunthihxngkhxngmnthpxxkepnekaswn bays thisungmiephdanxnpradbtkaetngekaephdan phnnghinchlulay chali hrux sungichnganepnhnatangin nwrngkh navaranga othng aela sphamnthp Sabhamantapa othngrwmtw othngphbpa epnxikhnungxngkhprakxbechingrupaebbthiechphaatxsthaptykrrmohyslaxangxingHardy 1995 pp243 245 Foekema 1996 p47 p59 p87 Hardy 1995 p320 p321 p324 p325 p329 p332 p334 p339 p340 p346 Foekema 1996 p53 p37 p71 p81 p41 p43 p83 in Kamath 2001 p134 Hardy 1995 p244 Hardy 1995 pp 6 7 section Introduction Dynasties and Periods Foekema 2003 p 18 Foekema 1996 pp 19 20 chapter The dedications and names of temples Hardy 1995 p 245 Kamath 2001 p 132 Foekema 1996 p 19 xangxingphidphlad payrabu lt ref gt imthuktxng immikarkahndkhxkhwamsahrbxangxingchux ramayana1 Foekema 1996 p 19 20 Kamath 2001 p 134 Kamath 2001 pp 112 132 Foekema 1996 plate 27 Foekema 1996 p 31 chapter Recognizing the most important deities Foekema 1996 p 32 chapter Recognizing the most important deities Foekema 1996 p 21 Kamath 2001 p 136 Kamath 2001 p 135 Foekema 1996 p 25 Arthikaje 1998 2000 OurKarnataka Com Inc khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 4 November 2006 subkhnemux 13 November 2006 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite web title aemaebb Cite web cite web a CS1 maint unfit URL The Hoysaleswara shrine and the Shantaleswara shrine in the Hoysaleswara Temple in Halebidu are examples Foekema 1996 p 59 Foekema 1996 p 25 p 57 section Dodda Gadduvalli Hardy 1995 p 246 Foekema 1996 pp 22 23 xangxingphidphlad payrabu lt ref gt imthuktxng immikarkahndkhxkhwamsahrbxangxingchux quad A bay is a square or rectangular compartment in the hall Foekema 1996 p 93 This is also called cross in square style and is not a square Foekema 1996 p 22 Githa U B 11 May 2004 Chitralakshana khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2007 12 04 subkhnemux 13 November 2006 The four pillars and nine bays of a closed mantapa is a norm in Hoysala temples Foekema 1996 p 22 brrnanukrm Cousens Henry 1996 1926 The Chalukyan Architecture of Kanarese Districts New Delhi Archaeological Survey of India OCLC 37526233 Foekema Gerard 1996 Complete Guide to Hoysala Temples New Delhi Abhinav ISBN 81 7017 345 0 Foekema Gerard 2003 2003 Architecture decorated with architecture Later medieval temples of Karnataka 1000 1300 AD New Delhi Munshiram Manoharlal Publishers Pvt Ltd ISBN 81 215 1089 9 Hardy Adam 1995 1995 Indian Temple Architecture Form and Transformation the Karṇaṭa Draviḍa Tradition 7th to 13th Centuries New Delhi Abhinav ISBN 81 7017 312 4 Kamath Suryanath U 2001 1980 A concise history of Karnataka from pre historic times to the present Bangalore Jupiter books LCCN 80905179 OCLC 7796041 Sastry K A Nilakanta 2002 1955 A history of South India from prehistoric times to the fall of Vijayanagar New Delhi Indian Branch Oxford University Press ISBN 0 19 560686 8 Settar S Hoysala heritage history and craftsmanship of Belur and Halebid temples Frontline subkhnemux 13 November 2006 Archaeological Survey of India Bengaluru Circle ASI Bengaluru Circle khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 25 mithunayn 2012 subkhnemux 15 singhakhm 2015 Arthikaje History of karnataka OurKarnataka Com khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 4 November 2006 subkhnemux 13 November 2006 Kamiya Takeo Architecture of Indian Subcontinent Indian Architecture Architecture Autonomous subkhnemux 13 November 2006 Ragavendra Srinidhi Spectrum khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 7 tulakhm 2011 subkhnemux 13 phvscikayn 2006 Githa U B History of Indian art chitralakshana khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 14 mithunayn 2006 subkhnemux 13 phvscikayn 2006 Review by Ajay J Sinha of Hardy Adam Indian Temple Architecture Form and Transformation The Karnata Dravida Tradition 7th to 13th Centuries Art History 58 358 362 JSTOR 3250027 Premakumar B P Deccan Herald Spectrum khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 11 mithunayn 2012 subkhnemux 12 phvscikayn 2006