เหยี่ยวออสเปร (อังกฤษ: osprey, sea hawk, fish eagle) เป็นนกล่าเหยื่อที่กินปลาเป็นอาหาร มีขนาดใหญ่ ยาว 60 เซนติเมตร ช่วงปีกกว้าง 2 เมตร ขนส่วนบนเป็นสีน้ำตาล ศีรษะและส่วนล่างมีสีค่อนข้างเทา มีสีดำบริเวณตาและปีก
เหยี่ยวออสเปร | |
---|---|
เหยี่ยวออสเปรยืนบนรัง | |
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
โดเมน: | ยูแคริโอต |
อาณาจักร: | สัตว์ |
ไฟลัม: | สัตว์มีแกนสันหลัง |
ชั้น: | สัตว์ปีก |
อันดับ: | เหยี่ยว |
วงศ์: | |
สกุล: | (Linnaeus, ) |
สปีชีส์: | Pandion haliaetus |
ชื่อทวินาม | |
Pandion haliaetus (Linnaeus, ) | |
ขอบเขตของ Pandion haliaetus | |
ชื่อพ้อง | |
Falco haliaetus Linnaeus, 1758 |
เหยี่ยวออสเปรมีการกระจายพันธุ์เป็นวงกว้าง ชอบทำรังใกล้กับแหล่งน้ำ แม้ว่าในทวีปอเมริกาใต้จะเป็นเพียงแค่นกอพยพนอกฤดูผสมพันธุ์ แต่ก็ถือว่าสามารถพบได้ทุกทวีปยกเว้นทวีปแอนตาร์กติกา
เหยี่ยวออสเปรกินปลาเป็นอาหาร จึงพัฒนาลักษณะทางกายภาพเฉพาะและแสดงพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์เพื่อช่วยในการล่าและการจับเหยื่อ จึงส่งผลให้มีสกุลและวงศ์เป็นของตนเองคือ สกุล Pandion และ วงศ์ Pandionidae มี 4 ชนิดย่อยที่ได้รับการยอมรับ แม้จะมีนิสัยชอบในการทำรังใกล้แหล่งน้ำ แต่เหยี่ยวออสเปรก็ไม่ใช่อินทรีทะเล
อนุกรมวิธาน
เหยี่ยวออสเปรเป็นหนึ่งในหลายชนิดที่ได้รับการบรรยายและจัดจำแนกโดยคาโรลัส ลินเนียสในงานสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 18 ของเขาที่ชื่อ (Systema Naturae) ลินเนียสได้ตั้งชื่อเหยี่ยวชนิดนี้ว่า Falco haliaeetus ส่วนสกุล Pandion ได้รับการบรรยายและจัดจำแนกโดย มารี ชูเลย์ เซซาร์ ซาวีญย์ (Marie Jules César Savigny) นักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1809
เหยี่ยวออสเปรมีความแตกต่างจากนกล่าเหยื่อในเวลากลางวันชนิดอื่นหลายประการ คือ นิ้วเท้าของมันยาวเท่ากัน กระดูกข้อเท้าเป็นร่างแห และกรงเล็บหมุนรอบได้แทนที่จะเป็นร่อง เหยี่ยวออสเปรและนกเค้าเท่านั้นที่นิ้วเท้าด้านนอกสามารถพลิกกลับได้ ช่วยให้มันจับเหยื่อด้วยสองนิ้วเท้าด้านหน้าและสองนิ้วเท้าด้านหลัง โดยเฉพาะช่วยให้มันจับปลาตัวลื่นๆได้ เหยี่ยวออสเปรยังคงสร้างปัญหาให้กับนักอนุกรมวิธาน มันเป็นสมาชิกเพียงชนิดเดียวของวงศ์ Pandionidae และอยู่ในอันดับ Falconiformes ส่วนผังอื่นวางมันไว้ข้างเหยี่ยวและนกอินทรีในวงศ์ Accipitridae ซึ่งด้วยตัวมันเองสามารถพิจารณาเป็นกลุ่มของอันดับ Accipitriformes หรือมิฉะนั้นก็รวมกับ Falconidae ในอันดับ Falconiformes อนุกรมวิธานซิบลีย์-อัลควิสต์ (Sibley-Ahlquist taxonomy) ได้วางมันไว้ร่วมกับนักล่าที่หากินกลางวันชนิดอื่นในอันดับ Ciconiiformes ซึ่งเป็นอันดับที่มีขนาดใหญ่มาก แต่วิธีนี้ขัดกับการจำแนกกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีบรรพบุรุษร่วมกันแต่ไม่ได้รวมทายาททั้งหมดไว้ในกลุ่ม
การจัดจำแนก
เหยี่ยวออสเปรที่พบทั่วโลกเป็นชนิดเดียวกันทั้งหมด แม้ว่าจะมีชนิดย่อยอยู่สองสามชนิดแต่ไม่มีการแบ่งแยกที่ชัดเจน มี 4 ชนิดย่อยที่เป็นที่ยอมรับแม้ว่าจะมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย และ มีรายชื่อเพียงสองชนิดแรกเท่านั้น
- P. h. haliaetus (Linnaeus, 1758) – พบในทวีปยูเรเชีย
- P. h. carolinensis (, 1788) – พบในทวีปอเมริกาเหนือ มีขนาดใหญ่ที่สุด สีของลำตัวเข้มที่สุด และสีที่อกจางกว่าชนิด haliaetus
- P. h. ridgwayi (, 1887) – พบในหมู่เกาะแคริบเบียน สีบริเวณหัวและอกจางกว่าชนิด haliaetus และเป็นเพียงชนิดเดียวที่สีแต้มบริเวณตาจาง เป็นนกประจำถิ่น ชื่อวิทยาศาสตร์ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่ โรเบิร์ต ริดก์เวย์ (Robert Ridgway) นักวิหควิทยาชาวอเมริกัน
- P. h. cristatus (, 1816) – พบตามชายฝั่งทะเลและแม่น้ำขนาดใหญ่ของประเทศออสเตรเลียและรัฐแทสเมเนีย มีขนาดเล็กที่สุด เป็นนกประจำถิ่น
ซากดึกดำบรรพ์
ในปัจจุบัน พบนก 2 ชนิดในสกุล Pandion จากซากดึกดำบรรพ์ หนึ่งคือ ได้รับการตั้งชื่อโดย สทูอาร์ต แอล. วอร์เทอร์ (Stuart L. Warter) ในปี ค.ศ. 1976 จากซากดึกดำบรรพ์กลางสมัยไมโอซีน ช่วงอายุบาร์สโตเวียน (Barstovian) พบในสิ่งทับถมภาคพื้นสมุทรในตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ชนิดที่สองคือ ได้รับการจำแนกในปี ค.ศ. 1985 โดย โจนาทาน เจ. เบกเคอร์ (Jonathan J. Becker) จากซากดึกดำบรรพ์ช่วงอายุตอนปลายคลาเรนโดเนียน (Clarendonian) ที่พบในรัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นไปได้ที่จะเป็นตัวแทนของสายสกุลที่แยกออกมาจาก P. homalopteron และ P. haliaetus มีการค้นพบซากกรงเล็บดึกดำบรรพ์จากตะกอนชั้นหินสมัยไพลโอซีนและสมัยไพลสโตซีนในรัฐฟลอริดาและรัฐเซาท์แคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ซากดึกดำบรรพ์ของนกวงศ์ Pandionidae ที่เก่าแก่ที่สุดเป็นซากดึกดำบรรพ์ในสมัยโอลิโกซีน หมวดหินเจเบลเกทรานิ (Jebel Qatrani Formation) เมืองฟายุม (Faiyum) ประเทศอียิปต์ แต่ซากดึกดำบรรพ์ก็ไม่สมบูรณ์พอที่จะระบุสกุลได้ ซากกรงเล็บดึกดำบรรพ์อื่นๆ ได้รับการค้นพบในสิ่งทับถมสมัยโอลิโกซีนตอนต้น ลุ่มน้ำไมนทซ์ ประเทศเยอรมนี และได้รับการจำแนกในปี ค.ศ. 2006 โดยเกอร์รัลด์ ไมร์ (Gerald Mayr)
ศัพทมูลวิทยา
ชื่อสกุล Pandion ตั้งตามชื่อกษัตริย์ในเทพปกรณัมกรีก แพนดีออน (Pandion) แห่งเอเธนส์และเป็นปู่ของธีสซูส (Theseus) ผู้ซึ่งกลายร่างเป็นนกอินทรี ชื่อลักษณะ haliaetus มาจากภาษากรีกโบราณ ἁλιάετος"อินทรีทะเล/ออสเปร"
ที่มาของคำว่า Osprey (ออสเปร) นั้นไม่แน่ชัด คำนี้มีบันทึกครั้งแรกราวปี ค.ศ. 1460 กลายมาจากภาษาแอนโกล-ฝรั่งเศส ospriet และภาษาละตินยุคกลาง คำว่า avis prede ซึ่งแปลว่า "นกล่าเหยื่อ" โดยมาจากภาษาละตินคำว่า avis praedæ แม้ว่าพจนานุกรมภาษาอังกฤษ ฉบับออกซฟอร์ดบันทึกว่ามีความเชื่อมโยงกับภาษาละตินคำว่า ossifraga หรือ "นักหักกระดูก" ของพลินิผู้อาวุโส ซึ่งคำนี้หมายถึงแร้งเครายาว (Lammergeier)
ลักษณะ
เหยี่ยวออสเปรหนัก 0.9–2.1 กิโลกรัม ยาว 50–66 เซนติเมตร ช่วงปีกกว้าง 127–180 เซนติเมตร ส่วนบนมีสีน้ำตาลเข้มเป็นมัน อกมีสีขาวบางครั้งมีลายสีน้ำตาล และส่วนล่างเป็นสีขาวล้วน หัวมีสีขาว มีหน้ากากสีน้ำตาลเข้มพาดจากตาไปถึงคอด้านข้าง ม่านตาเป็นสีทองถึงน้ำตาล และเยื่อหุ้มเป็นสีฟ้าอ่อน ปากสีดำ หนังโคนปากสีฟ้า ขามีสีขาว อุ้งเล็บสีดำ หางสั้น ปีกเรียวยาวขนยาวปลายปีก 4 เส้น ขนสั้น 15 เส้นซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของนกชนิดนี้
ความแตกต่างทางเพศไม่ชัดเจน แต่ในตัวผู้ที่โตเต็มวัยมีลักษณะต่างจากตัวเมียคือลำตัวเพรียวกว่า ปีกแคบกว่า แถบคาดอกของตัวผู้จะแคบจางกว่าตัวเมียหรือไม่มีเลย และขนปีกด้านในของตัวผู้จะจางเสมอกัน มันเป็นการง่ายที่จะแยกเพศในคู่นกแต่ยากที่จะแยกเพศเมื่อนกอยู่ตามลำพัง
นกวัยอ่อนระบุบได้จากไรขนสีเนื้อบนชุดขนส่วนบน ชุดขนส่วนล่างมีสีเนื้อ และขนเป็นริ้วลานบนส่วนหัว ระหว่างฤดูใบไม้ผลิ แถบขีดใต้ปีกและแถบขีดบนขนปีกเป็นเครื่องบ่งชี้ที่ดีว่าเป็นนกวัยอ่อนเพราะเหมือนมันสวมเสื้ออยู่
ขณะบิน ปีกของเหยี่ยวออสเปรจะโค้ง ปลายปีกห้อยลงมาเหมือนนกนางนวล เสียงร้องดัง "ชีป ชีป" หรือ "ปิ๊ว ปิ๊ว" ถ้าถูกรบกวนใกล้กับรังจะร้องอย่างบ้าคลั่งดัง "ชีรีก!"
การกระจายพันธุ์และถิ่นอาศัย
เหยี่ยวออสเปรมีการกระจายพันธุ์เป็นวงกว้างเกือบจะทั่วโลก พบในพื้นที่เขตอบอุ่นและเขตร้อนของทุกทวีปยกเว้นทวีปแอนตาร์กติกา ในทวีปอเมริกาเหนือเหยี่ยวแพร่พันธุ์จากรัฐอะแลสกาและรัฐนิวฟันด์แลนด์ลงใต้ไปจนถึงและรัฐฟลอริดา เมื่อฤดูหนาวจะย้ายลงใต้จากทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกาไปจนถึงประเทศอาร์เจนตินา ในฤดูร้อนจะพบทั่วทั้งยุโรปเหนือในสแกนดิเนเวียและสกอตแลนด์แต่ไม่พบในไอซ์แลนด์ และในฤดูหนาวจะพบในแอฟริกาเหนือ ในประเทศออสเตรเลีย โดยมากเหยี่ยวออสเปรจะเป็นนกประจำถิ่นพบทั่วไปตามแนวชายฝั่งทะเล แม้ว่ามันจะเป็นนกอพยพนอกฤดูผสมพันธุ์ในทางตะวันออกของรัฐวิกตอเรียและรัฐแทสเมเนียด้วยก็ตาม การกระจายพันธุ์ของมันมีช่องว่างถึง 1,000 กิโลเมตรระหว่างชายฝั่งของ (Nullarbor Plain) ระหว่างเขตขยายพันทางตะวันตกที่ไกลที่สุดในรัฐเซาท์ออสเตรเลียและเขตขยายพันธุ์ที่ใกล้ที่สุดไปทางตะวันตกในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ในเกาะของมหาสมุทรแปซิฟิก มันสามารถพบได้ในเกาะบิสมาร์ก (Bismarck) หมู่เกาะโซโลมอน และนิวแคลิโดเนีย และยังมีการพบซากดึกดำบรรพ์ของนกโตเต็มวัยและนกวัยอ่อนในประเทศตองงาซึ่งอาจสูญพันธุ์ไปโดยฝีมือของมนุษย์ มันอาจมีพิสัยข้ามไปถึงประเทศวานูอาตูและประเทศฟิจิเช่นกัน เหยี่ยวออสเปรเป็นนกอพยพในฤดูหนาวและนกพลัดหลงในทุกพื้นที่ของเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากประเทศพม่าไปถึงอินโดจีน และ ตอนใต้ของประเทศจีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และประเทศฟิลิปปินส์
พฤติกรรม
อาหาร
อาหารของเหยี่ยวออสเปรเป็นปลาถึง 99% โดยปกติแล้วมันสามารถจับปลาหนักได้ถึง 150–300 กรัม ยาว 25–35 เซนติเมตร แต่น้ำหนักปลาที่สามารถจับได้อยู่ในช่วง 50 ถึง 2,000 กรัม
เหยี่ยวออสเปรจะมองเห็นเหยื่อเหนือน้ำ 10-40 เมตร หลังจากนั้นนกจะโฉบลงไปและแหย่ขาจุ่มลงไปในน้ำเพื่อจับเหยื่อ เหยี่ยวออสเปรมีการปรับตัวเป็นพิเศษโดยเฉพาะสำหรับจับปลา ด้วยนิ้วเท้าด้านนอกที่พลิกกลับได้ ใต้นิ้วเท้ามีรูปร่างคล้ายเข็ม รูจมูกปิดได้เพื่อกันน้ำเข้าระหว่างการพุ่งโฉบ และเกล็ดย้อนกลับบนกรงเล็บทำหน้าที่คล้ายหนามเพื่อช่วยยึดสิ่งที่มันจับได้
บางคราว เหยื่อของเหยี่ยวออสเปรอาจเป็นสัตว์ฟันแทะ กระต่าย สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ นกชนิดอื่นๆ และสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก
การสืบพันธุ์
แหล่งผสมพันธุ์วางไข่ของเหยี่ยวออสเปรเป็นทะเลสาบน้ำจืด หรือชายฝั่งน้ำกร่อย บนก้อนหินที่โผล่พ้นน้ำทะเลใกล้ชายฝั่งของเกาะร็อตท์เนสท์ (Rottnest Island) บริเวณชายฝั่งของรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย มีประมาณ 14 แห่งถูกใช้เป็นสถานที่ทำรังซึ่งในปีหนึ่งๆจะมีการใช้ 5-7 แห่ง และหลายแห่งมีการซ่อมแซมเพื่อใช้งานทุกฤดู และบางแห่งใช้มานานถึง 70 ปี รังมีขนาดใหญ่ สร้างจากกิ่งไม้ เศษไม้ และสาหร่ายทะเล โดยสร้างบนง่ามต้นไม้ แท่งหิน เสาสาธารณูปโภค รังเทียม หรือ เกาะแก่งใกล้ชายฝั่ง โดยทั่วไปเหยี่ยวออสเปรจะโตเต็มที่และเริ่มผสมพันธุ์เมื่ออายุ 3-4 ปี แต่ในบางพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของประชากรของเหยี่ยวออสเปรสูง เช่น อ่าวเชซาพีค (Chesapeake Bay) ในสหรัฐอเมริกา และขาดแคลนสิ่งก่อสร้างที่สูงพอเหมาะสำหรับการทำรัง นกจะเริ่มผสมพันธุ์เมื่อมีอายุ 5-7 ปี ถ้าไม่มีสถานที่สำหรับทำรังวางไข่ เหยี่ยวออสเปรที่เป็นวัยรุ่นจะถูกบังคับให้ยืดการผสมพันธุ์วางไข่ออกไปอีก เพื่อลดปัญหานี้ บางครั้งจึงมีการสร้างสถานที่ที่เหมาะสมให้กับนกเพื่อสร้างรัง
รังเทียมที่ได้รับการออกแบบจากองค์กร Citizens United to Protect the Maurice River and Its Tributaries, Inc. กลายเป็นรังเทียมมาตรฐานของรัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา ด้วยแบบของรังเทียมและวัสดุหาได้ง่ายจึงมีการนำไปใช้เป็นจำนวนมากในหลายๆพื้นที่ที่มีภูมิประเทศต่างกันไป
โดยปกติเหยี่ยวออสเปรมีคู่เพียงตัวเดียวตลอดชีวิต แต่ก็มีกรณีที่มีคู่มากกว่าหนึ่งตัวบันทึกไว้ซึ่งพบเห็นได้ยาก ฤดูผสมพันธุ์ขึ้นกับสถานที่โดยกำหนดได้จากเส้นรุ้ง ในตอนใต้ของประเทศออสเตรเลียจะเป็นฤดูใบไม้ผลิ (กันยายน-ตุลาคม) ในตอนเหนือของประเทศออสเตรเลียเป็นเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม และในตอนใต้ของรัฐควีนส์แลนด์เป็นฤดูหนาว (มิถุนายน-สิงหาคม) ในฤดูใบไม้ผลิคู่นกจะเริ่มใช้เวลาร่วมกันถึง 5 เดือนในการเลี้ยงดูลูก เหยี่ยวเพศเมียจะวางไข่ 2-4 ฟองในเดือนแรก และทำการกกไข่เพื่อให้ความร้อนแก่ไข่ ไข่มีสีขาว มีจุดหนาสีน้ำตาลแดง มีขนาดประมาณ 6.2 x 4.5 เซนติเมตร และหนักประมาณ 65 กรัม ไข่ให้เวลาประมาณ 5 สัปดาห์ในการฟักเป็นตัว
ลูกนกเกิดใหม่มีน้ำหนัก 50-60 กรัม ใช้เวลาเลี้ยงดูประมาณ 8-10 สัปดาห์ จากการศึกษาบนเกาะจิงโจ้ (Kangaroo Island) ตอนใต้ของประเทศออสเตรเลียเวลาเฉลี่ยที่ใช้เลี้ยงดูลูกนกอยู่ที่ 69 วัน จากการศึกษาเดียวกันพบว่าเฉลี่ยแล้วมีลูกนกที่โตเต็มที่ 0.66 ตัวต่อปีต่ออาณาเขตครอบครอง และ 0.92 ตัวต่อปีต่อรัง มีนกวัยอ่อน 22 % ที่สามารถรอดตายอาศัยอยู่บนเกาะหรือกลับมาเมื่อโตเต็มที่เพื่อผสมพันธุ์ เมื่ออาหารขาดแคลน ลูกนกที่ฟักตัวแรกมีหวังจะรอดตายมากที่สุด ปกติเหยี่ยวออสเปรช่วงชีวิต 7-10 ปี แต่ก็มีนกบางตัวที่มีอายุยืน 20-25 ปี เหยี่ยวออสเปรที่อายุมากที่สุดในยุโรปมีอายุมากกว่า 30 ปี ในอเมริกาเหนือ และนกอินทรีหัวล้าน (และนกอินทรีชนิดอื่นที่มีขนาดใกล้เคียง) เป็นศัตรูหลักของลูกนกและนกวัยอ่อน พบปรสิตพยาธิตัวแบน (Scaphanocephalus expansus และ Neodiplostomum spp.) ในเหยี่ยวออสเปรตามธรรมชาติ
การอพยพ
เหยี่ยวออสเปรในทวีปยุโรปจะอพยพไปทวีปแอฟริกาในฤดูหนาว นกเหยี่ยวในสหรัฐอเมริกาและประเทศแคนาดาจะอพยพไปทวีปอเมริกาใต้ แต่ก็มีบางตัวที่รั้งอยู่ในรัฐทางตอนใต้สุดของสหรัฐอเมริกา เช่น รัฐฟลอริดา และ รัฐแคลิฟอร์เนีย และก็มีเหยี่ยวออสเปรบางตัวในรัฐฟลอริดาอพยพไปทวีปอเมริกาใต้ เหยี่ยวออสเปรในออสตราเลเซียมักจะเป็นนกประจำถิ่น
จากการศึกษาเหยี่ยวออสเปรในประเทศสวีเดนแสดงว่าเหยี่ยวเพศเมียจะอพยพไปทวีปแอฟริกาก่อนเพศผู้ พบนกอพยพผ่านจำนวนมากระหว่างการย้ายถิ่นในฤดูใบไม้ร่วง ความผันแปรของเวลาและช่วงเวลาในฤดูใบไม้ร่วงมีความไม่แน่นอนมากกว่าในฤดูใบไม้ผลิ แม้ว่าการอพยพปกติจะกระทำในเวลากลางวัน แต่ก็มีการบินอพยพในเวลากลางคืนโดยเฉพาะในการบินข้ามน้ำ ครอบคลุมโดยเฉลี่ย 260-280 กม./วัน มากที่สุด 431 กม./วัน นกเหยี่ยวในยุโรปอาจมีการอพยพย้ายถิ่นฐานไปเอเชียใต้ในฤดูหนาว เคยมีการพบเหยี่ยวออสเปรที่สวมแหวนที่ข้อเท้าของประเทศนอร์เวย์ในทางตะวันตกของประเทศอินเดีย
สถานะการอนุรักษ์
เหยี่ยวออสเปรมีการกระจายพันธุ์กว้างกินพื้นที่ถึง 9,670,000 กม.2 แค่ในแอฟริกาและอเมริกา คาดกันว่าทั่วโลกมีประชากรเหยี่ยวออสเปรถึง 460,000 ตัว ถึงแม้ว่าจำนวนประชากรทั่วโลกจะไม่มีการระบุบแน่ชัด แต่ก็เชื่อว่ายังไม่เข้าเกณฑ์การลดลงของจำนวนประชากรของบัญชีแดงของสหภาพเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (การลดลงของจำนวนประชากรต้องมากกว่า 30% ใน 10 ปีหรือ 3 รุ่น) และด้วยเหตุนี้เหยี่ยวออสเปรจึงถูกจัดสถานะเป็นความเสี่ยงต่ำ มีหลักฐานการลดจำนวนลงในระดับภูมิภาคในรัฐเซาท์ออสเตรเลียซึ่งเป็นถิ่นอาศัยดั้งเดิมในอ่าวสเพนเซอร์ (Spencer Gulf) และตามแม่น้ำมูร์เรย์ (Murray River) ช่วงล่างซึ่งไม่พบเหยี่ยวมาหลายทศวรรษแล้ว
ในตอนปลายของคริสต์ศตวรรษที่ 19 และตอนต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 20 การคุกคามต่อประชากรเหยี่ยวออสเปรหลักๆคือการเก็บกินไข่และการล่านกที่โตเต็มวัยโดยนกนักล่าชนิดอื่น แต่การลดลงอย่างรุนแรงของจำนวนประชากรในหลายพื้นที่ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1950 และ 1960 บางส่วนนั้นเกิดจากผลกระทบที่เกิดขึ้นในระบบสืบพันธุ์จากยาฆ่าแมลง เช่น DDT ยาฆ่าแมลงส่งผลต่อกระบวนการเผาผลาญแคลเซียมของนกเป็นผลให้เปลือกไข่บาง แตกง่าย หรือ ไข่ฝ่อไม่เป็นตัว เพราะการห้ามใช้ DDT ในหลายประเทศในตอนต้นของคริสต์ทศวรรษที่ 1970 และการรบกวนที่ลดลง ทำให้เหยี่ยวออสเปรและนกล่าเหยื่อชนิดอื่นที่ได้รับผลกระทบเพิ่มจำนวนขึ้น ในรัฐเซาท์ออสเตรเลีย สถานที่ทำรังบนคาบสมุทรไอร์ (Eyre Peninsula) และเกาะจิงโจ้กำลังเสี่ยงต่อการคุกคามจากสันทนาการชายหาดที่ไม่มีการจัดการและการพัฒนาเมืองที่รุกล้ำเข้ามา
ในเชิงวัฒนธรรม
นีซอส (Nisos) กษัตริย์แห่งเมการา (Megara) ในตำนานเทพเจ้ากรีกได้กลายร่างเป็นอินทรีทะเลหรือเหยี่ยวออสเปรและเข้าจิกตีพระธิดาของตนหลังจากทราบว่าพระธิดาได้ตกหลุมรักไมนอส (Minos) กษัตริย์แห่งครีต
พลินิผู้อาวุโส นักเขียนชาวโรมันได้บันทึกว่าพ่อแม่ของเหยี่ยวออสเปรจะให้ลูกบินถึงอาทิตย์เพื่อทำการทดสอบ ซึ่งไม่เป็นความจริง
อีกตำนานหนึ่งที่กล่าวถึงเหยี่ยวออสเปร มาจากงานเขียนของอัลเบอร์ตัส แม็กนัสและบันทึกใน Chronicles ซึ่งเขียนว่านกมีเท้าข้างหนึ่งเป็นพังผืดและอีกข้างเป็นกรงเล็บ
มีความเชื่อในสมัยยุคกลางกันว่าปลานั้นถูกสะกดโดยเหยี่ยวออสเปร ทำให้ปลาหงายท้องยอมให้จับแต่โดยดี ซึ่งความเชื่อนี้ได้รับการอ้างอิงโดยเชกสเปียร์ในองก์ที่ 4 ฉากที่ 5 ของ :
I think he'll be to Rome
As is the osprey to the fish, who takes it
By sovereignty of nature.
กวีชาวไอริช วิลเลียม บัสเลอร์ เยตส์ (William Butler Yeats) ได้ใช้เหยี่ยวออสเปรพเนจรสีเทาเป็นตัวแทนของความเสียใจใน The Wanderings of Oisin and Other Poems (1889)
ในมุทราศาสตร์ เหยี่ยวออสเปรวาดแสดงในรูปนกอินทรีสีขาว และเมื่อไม่นานมานี้ นกได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการตอบสนองในเชิงบวกต่อธรรมชาติ และเป็นรูปที่ปรากฏบนแสตมป์มากกว่า 50 ดวง ถูกใช้เป็นชื่อตราสินค้าหลายชนิด ชื่อทีมกีฬา (เช่น ทีมออสเปร (Ospreys) กีฬารักบี้ ทีมมิสซูลา ออสเปร (Missoula Osprey) กีฬาเบสบอล ทีมซีแอตเทิล ซีฮอว์ก (Seattle Seahawks) กีฬาอเมริกันฟุตบอล และ นอร์ท ฟลอริดา ออสเปร (North Florida Ospreys) ทีมกีฬามหาวิทยาลัย) หรือเป็นตัวนำโชค (เช่น ทีมสกีเมืองเจอราลด์ตัน (Geraldton) ในประเทศออสเตรเลีย มหาวิทยาลัยนอร์ท ฟลอริดา (University of North Florida) มหาวิทยาลัย ซาลี เรกกินา (Salve Regina University) วิทยาลัยวากเนอร์ (Wagner College) มหาวิทยาลัยนอร์ท แคโรไลนา (University of North Carolina) ที่วิลมิงตัน และวิทยาลัยริชาร์ด สตอกตัน (Richard Stockton College)
อ้างอิง
- BirdLife International (2021). "Pandion haliaetus". IUCN Red List of Threatened Species. 2021: e.T22694938A206628879. doi:10.2305/IUCN.UK.2021-3.RLTS.T22694938A206628879.en. สืบค้นเมื่อ 9 March 2022.
- Linnaeus, C (1758). Systema naturae per regna tria naturae, secundum classes, ordines, genera, species, cum characteribus, differentiis, synonymis, locis. Tomus I. Editio decima, reformata. Holmiae. (Laurentii Salvii). p. 91.
F. cera pedibusque caeruleis, corpore supra fusco subtus albo, capite albido
(ละติน) - "Pandion haliaetus ". . สืบค้นเมื่อ 2007-09-05.
- (1980). The Audubon Society Encyclopedia of North American Birds. New York, NY: Knopf. pp. 644–646. ISBN .
- Salzman, Eric (December 1993). . Birding. The Johns Hopkins University Press. 58 (2): 91. doi:10.2307/2911426. JSTOR 10.2307/2911426. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-08-13. สืบค้นเมื่อ 2007-09-05.
- Tesky, Julie L. (1993). "Pandion haliaetus ". U.S. Department of Agriculture, Forest Service. สืบค้นเมื่อ 2007-09-06.
- Barrow, M. V. (1998). A passion for Birds: American ornithology after Audubon. Princeton, NJ: Princeton University Press. ISBN .
- Avibase Pandion entry Accessed on 2 December 2010
- Olson, S. L. (1985). Avian Biology Vol. III (Chapter 2. The fossil record of birds). Academic Press.
- Mayr, G. (2006). "An osprey (Aves: Accipitridae: Pandioninae) from the early Oligocene of Germany". Palaeobiodiversity and Palaeoenvironments. 86 (1): 93–96. doi:10.1007/BF03043637.
- (1955). "The Sons of Pandion". Greek Myths. London: Penguin. pp. 320–323. ISBN .
- , s.v. ἁλιάετος 2021-12-08 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Livingston, C.H. (1943). "Osprey and Ostril". Modern Language Notes. 58 (2): 91–98. doi:10.2307/2911426. JSTOR 2911426.
- Morris, W (1969). The American Heritage Dictionary of the English Language. Boston: American Heritage Publishing Co., Inc. and Houghton Mifflin Company.
- "Osprey". Online Etymology Dictionary. สืบค้นเมื่อ 2007-06-29.
- J. Simpson; E. Weiner, บ.ก. (1989). "Osprey". Oxford English Dictionary (2nd ed.). Oxford: Clarendon Press. .
- Ferguson-Lees & Christie, Raptors of the World. Houghton Mifflin Company (2001),
- "Osprey". Connecticut Department of Environmental Protection. 1999. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-12-09. สืบค้นเมื่อ 2007-09-30.
{{}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown () - Forsman, Dick (2008). The Raptors of Europe & the Middle East A Handbook of Field Identification. Princeton University Press. pp. 21–25. ISBN .
- (1999). A Field Guide to the Birds. Houghton Mifflin Company. p. 136. ISBN .
- Bull J, Farrand, J Jr (1987). Audubon Society Field Guide to North American Birds:Eastern Region. New York: Alfred A. Knopf. p. 469. ISBN .
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - Hume R (2002). RSPB Birds of Britain and Europe. London: Dorling Kindersley. p. 89. ISBN .
- Simpson K, Day N, Trusler P (1993). Field Guide to the Birds of Australia. Ringwood, Victoria: Viking O'Neil. p. 66. ISBN .
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - Dennis, TE (2007). "Distribution and status of the Osprey (Pandion haliaetus) in South Australia". Emu. 107 (4): 294–299. doi:10.1071/MU07009. ISSN 0158-4197.
- Steadman D, (2006). Extinction and Biogeography in Tropical Pacific Birds, University of Chicago Press.
- & J. C. Anderton (2005). Birds of South Asia. The Ripley Guide. Vols 1 & 2. Smithsonian Institution and Lynx Edicions.
- Strange M (2000). A Photographic Guide to the Birds of Southeast Asia including the Philippines and Borneo. Singapore: Periplus. p. 70. ISBN .
- Evans DL (1982). "Status Reports on Twelve Raptors:Special Scientific Report Wildl. No. 238". U.S. Dept. Interior, Fish and Wildl. Serv.
{{}}
: Cite journal ต้องการ|journal=
((help)) - Poole, A. F., R. O. Bierregaard, and M. S. Martell. (2002). Osprey (Pandion haliaetus). In The Birds of North America, No. 683 (A. Poole and F. Gill, eds.). The Birds of North America, Inc., Philadelphia, PA.
- Clark, W. S. & B. K. Wheeler 1987. A field guide to Hawks of North America. Houghton Mifflin, Boston.
- Goenka, DN (1985). "The Osprey (Pandion haliaetus haliaetus) preying on a Gull". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 82 (1): 193–194.
- Kirschbaum, K.; Watkins P. "Pandion haliaetus". University of Michigan Museum of Zoology. สืบค้นเมื่อ 2008-01-03.
- Beruldsen, G (2003). Australian Birds: Their Nests and Eggs. Kenmore Hills, Qld: self. p. 196. ISBN .
- . Chesapeake Bay Program. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2001-03-08. สืบค้นเมื่อ 2008-12-02.
- Osprey platform plans
- Dennis, TE (2007). "Reproductive activity in the Osprey (Pandion haliaetus) on Kangaroo Island, South Australia". Emu. 107 (4): 300–307. doi:10.1071/MU07010.
- Hoffman, Glenn L. (1953). "Scaphanocephalus expansus (Crepl.), a Trematode of the Osprey, in North America". The Journal of Parasitology. 39 (5): 568.
- Mullarney, Killian; Svensson, Lars, Zetterstrom, Dan; Grant, Peter. (2001). Birds of Europe. Princeton University Press. 74–5
- (PDF). Newsletter Winter 2000. Microwave Telemetry Inc. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2009-01-22. สืบค้นเมื่อ 2008-12-02.
- Martell, M.S.; Mcmillian, M.A.; Solensky, M.J.; Mealey, B.K. (2004). "Partial migration and wintering use of florida by ospreys". Journal of Raptor Research. 38 (1): 55–61.
- Alerstam, T., Hake, M. & Kjellén, N. 2006. "Temporal and spatial patterns of repeated migratory journeys by ospreys เก็บถาวร 2009-12-19 ที่ " Animal Behaviour 71:555–566. (PDF)
- Mundkur,Taej (1988). "Recovery of a Norwegian ringed Osprey in Gujarat, India". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 85 (1): 190.
- อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อIUCN
- Cocker, Mark; Mabey, Richard (2005). Birds Britannica. London: Chatto & Windus. pp. 136–141. ISBN .
- Ames, P (1966). "DDT Residues in the eggs of the Osprey in the North-eastern United States and their relation to nesting success". J. Appl. Ecol. British Ecological Society. 3 ((Suppl.)): 87–97. doi:10.2307/2401447.
- Ovid, Metamorphoses 8.90
- de Vries, Ad (1976). Dictionary of Symbols and Imagery. Amsterdam: North-Holland Publishing Company. p. 352. ISBN .
- Cooper, JC (1992). Symbolic and Mythological Animals. London: Aquarian Press. p. 170. ISBN .
- . Birds of the World on Postage Stamps. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-01-08. สืบค้นเมื่อ 2008-01-01.
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-11-19. สืบค้นเมื่อ 2010-09-09.
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-05-06. สืบค้นเมื่อ 2009-04-16.
แหล่งข้อมูลอื่น
- ข้อความเต็มของ The Fish Hawk, or Osprey by John James Audubon ที่วิกิซอร์ซ
- เหยี่ยวออสเปร photo gallery at VIREO (Drexel University)
- UK Osprey Information Royal Society for the Protection of Birds
- Osprey species text in The Atlas of Southern African Birds
- – USGS Patuxent Bird Identification InfoCenter
- Osprey Info Animal Diversity Web
- USDA Forest Service osprey data
- Osprey Nest Monitoring Program at OspreyWatch
- Ospreys Rebound, Rely On Help From Humans 5 กุมภาพันธ์ 2015 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Documentary produced by
- Hellgate Ospreys Bird Cam Montana Osprey Project, hosted by the Cornell Lab
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
ehyiywxxsepr xngkvs osprey sea hawk fish eagle epnnklaehyuxthikinplaepnxahar mikhnadihy yaw 60 esntiemtr chwngpikkwang 2 emtr khnswnbnepnsinatal sirsaaelaswnlangmisikhxnkhangetha misidabriewntaaelapikehyiywxxseprehyiywxxsepryunbnrngsthanakarxnurkskhwamesiyngta IUCN 3 1 karcaaenkchnthangwithyasastrodemn yuaekhrioxtxanackr stwiflm stwmiaeknsnhlngchn stwpikxndb ehyiywwngs skul Linnaeus spichis Pandion haliaetuschuxthwinamPandion haliaetus Linnaeus khxbekhtkhxng Pandion haliaetuschuxphxngFalco haliaetus Linnaeus 1758 ehyiywxxseprmikarkracayphnthuepnwngkwang chxbtharngiklkbaehlngna aemwainthwipxemrikaitcaepnephiyngaekhnkxphyphnxkvduphsmphnthu aetkthuxwasamarthphbidthukthwipykewnthwipaexntarktika ehyiywxxseprkinplaepnxahar cungphthnalksnathangkayphaphechphaaaelaaesdngphvtikrrmthiepnexklksnephuxchwyinkarlaaelakarcbehyux cungsngphlihmiskulaelawngsepnkhxngtnexngkhux skul Pandion aela wngs Pandionidae mi 4 chnidyxythiidrbkaryxmrb aemcaminisychxbinkartharngiklaehlngna aetehyiywxxseprkimichxinthrithaelxnukrmwithanehyiywxxseprepnhnunginhlaychnidthiidrbkarbrryayaelacdcaaenkodykhaorls lineniysinngansmykhriststwrrsthi 18 khxngekhathichux Systema Naturae lineniysidtngchuxehyiywchnidniwa Falco haliaeetus swnskul Pandion idrbkarbrryayaelacdcaaenkody mari chuely essar sawiyy Marie Jules Cesar Savigny nkstwwithyachawfrngessinpi kh s 1809 ehyiywxxseprmikhwamaetktangcaknklaehyuxinewlaklangwnchnidxunhlayprakar khux niwethakhxngmnyawethakn kradukkhxethaepnrangaeh aelakrngelbhmunrxbidaethnthicaepnrxng ehyiywxxsepraelankekhaethannthiniwethadannxksamarthphlikklbid chwyihmncbehyuxdwysxngniwethadanhnaaelasxngniwethadanhlng odyechphaachwyihmncbplatwlunid ehyiywxxsepryngkhngsrangpyhaihkbnkxnukrmwithan mnepnsmachikephiyngchnidediywkhxngwngs Pandionidae aelaxyuinxndb Falconiformes swnphngxunwangmniwkhangehyiywaelankxinthriinwngs Accipitridae sungdwytwmnexngsamarthphicarnaepnklumkhxngxndb Accipitriformes hruxmichannkrwmkb Falconidae inxndb Falconiformes xnukrmwithansibliy xlkhwist Sibley Ahlquist taxonomy idwangmniwrwmkbnklathihakinklangwnchnidxuninxndb Ciconiiformes sungepnxndbthimikhnadihymak aetwithinikhdkbkarcaaenkklumsingmichiwitthimibrrphburusrwmknaetimidrwmthayaththnghmdiwinklum karcdcaaenk chnidyxyxemriknchnidyxyxxsetreliyepnchnidyxythimikhwamaetktangmakthisud ehyiywxxseprthiphbthwolkepnchnidediywknthnghmd aemwacamichnidyxyxyusxngsamchnidaetimmikaraebngaeykthichdecn mi 4 chnidyxythiepnthiyxmrbaemwacamikhwamaetktangknephiyngelknxy aela miraychuxephiyngsxngchnidaerkethann P h haliaetus Linnaeus 1758 phbinthwipyuerechiy P h carolinensis 1788 phbinthwipxemrikaehnux mikhnadihythisud sikhxnglatwekhmthisud aelasithixkcangkwachnid haliaetus P h ridgwayi 1887 phbinhmuekaaaekhribebiyn sibriewnhwaelaxkcangkwachnid haliaetus aelaepnephiyngchnidediywthisiaetmbriewntacang epnnkpracathin chuxwithyasastrtngephuxepnekiyrtiaek orebirt ridkewy Robert Ridgway nkwihkhwithyachawxemrikn P h cristatus 1816 phbtamchayfngthaelaelaaemnakhnadihykhxngpraethsxxsetreliyaelarthaethsemeniy mikhnadelkthisud epnnkpracathinsakdukdabrrph inpccubn phbnk 2 chnidinskul Pandion caksakdukdabrrph hnungkhux idrbkartngchuxody sthuxart aexl wxrethxr Stuart L Warter inpi kh s 1976 caksakdukdabrrphklangsmyimoxsin chwngxayubarsotewiyn Barstovian phbinsingthbthmphakhphunsmuthrintxnitkhxngrthaekhlifxreniy praethsshrthxemrika chnidthisxngkhux idrbkarcaaenkinpi kh s 1985 ody ocnathan ec ebkekhxr Jonathan J Becker caksakdukdabrrphchwngxayutxnplaykhlaernodeniyn Clarendonian thiphbinrthflxrida praethsshrthxemrika sungepnipidthicaepntwaethnkhxngsayskulthiaeykxxkmacak P homalopteron aela P haliaetus mikarkhnphbsakkrngelbdukdabrrphcaktakxnchnhinsmyiphloxsinaelasmyiphlsotsininrthflxridaaelarthesathaekhorilna praethsshrthxemrika sakdukdabrrphkhxngnkwngs Pandionidae thiekaaekthisudepnsakdukdabrrphinsmyoxlioksin hmwdhineceblekthrani Jebel Qatrani Formation emuxngfayum Faiyum praethsxiyipt aetsakdukdabrrphkimsmburnphxthicarabuskulid sakkrngelbdukdabrrphxun idrbkarkhnphbinsingthbthmsmyoxlioksintxntn lumnaimnths praethseyxrmni aelaidrbkarcaaenkinpi kh s 2006 odyekxrrld imr Gerald Mayr sphthmulwithya chuxskul Pandion tngtamchuxkstriyinethphpkrnmkrik aephndixxn Pandion aehngexethnsaelaepnpukhxngthissus Theseus phusungklayrangepnnkxinthri chuxlksna haliaetus macakphasakrikobran ἁliaetos xinthrithael xxsepr thimakhxngkhawa Osprey xxsepr nnimaenchd khanimibnthukkhrngaerkrawpi kh s 1460 klaymacakphasaaexnokl frngess ospriet aelaphasalatinyukhklang khawa avis prede sungaeplwa nklaehyux odymacakphasalatinkhawa avis praedae aemwaphcnanukrmphasaxngkvs chbbxxksfxrdbnthukwamikhwamechuxmoyngkbphasalatinkhawa ossifraga hrux nkhkkraduk khxngphliniphuxawuos sungkhanihmaythungaerngekhrayaw Lammergeier lksnaesiyngrxng source source hakmipyhainkarelniflni duthiwithiichsux khnabinphrxmplathicbidinrthethkss shrthxemrikakhunkthirngethiyminrthxxrikxn shrthxemrika ehyiywxxseprhnk 0 9 2 1 kiolkrm yaw 50 66 esntiemtr chwngpikkwang 127 180 esntiemtr swnbnmisinatalekhmepnmn xkmisikhawbangkhrngmilaysinatal aelaswnlangepnsikhawlwn hwmisikhaw mihnakaksinatalekhmphadcaktaipthungkhxdankhang mantaepnsithxngthungnatal aelaeyuxhumepnsifaxxn paksida hnngokhnpaksifa khamisikhaw xungelbsida hangsn pikeriywyawkhnyawplaypik 4 esn khnsn 15 esnsungepnlksnaechphaakhxngnkchnidni khwamaetktangthangephsimchdecn aetintwphuthiotetmwymilksnatangcaktwemiykhuxlatwephriywkwa pikaekhbkwa aethbkhadxkkhxngtwphucaaekhbcangkwatwemiyhruximmiely aelakhnpikdaninkhxngtwphucacangesmxkn mnepnkarngaythicaaeykephsinkhunkaetyakthicaaeykephsemuxnkxyutamlaphng nkwyxxnrabubidcakirkhnsienuxbnchudkhnswnbn chudkhnswnlangmisienux aelakhnepnriwlanbnswnhw rahwangvduibimphli aethbkhiditpikaelaaethbkhidbnkhnpikepnekhruxngbngchithidiwaepnnkwyxxnephraaehmuxnmnswmesuxxyu khnabin pikkhxngehyiywxxseprcaokhng playpikhxylngmaehmuxnnknangnwl esiyngrxngdng chip chip hrux piw piw thathukrbkwniklkbrngcarxngxyangbakhlngdng chirik karkracayphnthuaelathinxasyPandion haliaetuskhnabin ehyiywxxseprmikarkracayphnthuepnwngkwangekuxbcathwolk phbinphunthiekhtxbxunaelaekhtrxnkhxngthukthwipykewnthwipaexntarktika inthwipxemrikaehnuxehyiywaephrphnthucakrthxaaelskaaelarthniwfndaelndlngitipcnthungaelarthflxrida emuxvduhnawcayaylngitcakthangtxnitkhxngshrthxemrikaipcnthungpraethsxarecntina invdurxncaphbthwthngyuorpehnuxinsaekndienewiyaelaskxtaelndaetimphbinixsaelnd aelainvduhnawcaphbinaexfrikaehnux inpraethsxxsetreliy odymakehyiywxxseprcaepnnkpracathinphbthwiptamaenwchayfngthael aemwamncaepnnkxphyphnxkvduphsmphnthuinthangtawnxxkkhxngrthwiktxeriyaelarthaethsemeniydwyktam karkracayphnthukhxngmnmichxngwangthung 1 000 kiolemtrrahwangchayfngkhxng Nullarbor Plain rahwangekhtkhyayphnthangtawntkthiiklthisudinrthesathxxsetreliyaelaekhtkhyayphnthuthiiklthisudipthangtawntkinrthewsethirnxxsetreliy inekaakhxngmhasmuthraepsifik mnsamarthphbidinekaabismark Bismarck hmuekaaosolmxn aelaniwaekhliodeniy aelayngmikarphbsakdukdabrrphkhxngnkotetmwyaelankwyxxninpraethstxngngasungxacsuyphnthuipodyfimuxkhxngmnusy mnxacmiphisykhamipthungpraethswanuxatuaelapraethsficiechnkn ehyiywxxseprepnnkxphyphinvduhnawaelankphldhlnginthukphunthikhxngexechiyit aelaexechiytawnxxkechiyngitcakpraethsphmaipthungxinodcin aela txnitkhxngpraethscin xinodniesiy maelesiy aelapraethsfilippinsphvtikrrmxahar lksnakarphungochb cbehyux aelaophbinkhunipphrxmehyuxkhxngehyiywxxseprinpraethsxinediy xaharkhxngehyiywxxseprepnplathung 99 odypktiaelwmnsamarthcbplahnkidthung 150 300 krm yaw 25 35 esntiemtr aetnahnkplathisamarthcbidxyuinchwng 50 thung 2 000 krm ehyiywxxseprcamxngehnehyuxehnuxna 10 40 emtr hlngcaknnnkcaochblngipaelaaehykhacumlngipinnaephuxcbehyux ehyiywxxseprmikarprbtwepnphiessodyechphaasahrbcbpla dwyniwethadannxkthiphlikklbid itniwethamiruprangkhlayekhm rucmukpididephuxknnaekharahwangkarphungochb aelaekldyxnklbbnkrngelbthahnathikhlayhnamephuxchwyyudsingthimncbid bangkhraw ehyuxkhxngehyiywxxseprxacepnstwfnaetha kratay stwkhrungbkkhrungna nkchnidxun aelastweluxykhlankhnadelk karsubphnthu aehlngphsmphnthuwangikhkhxngehyiywxxseprepnthaelsabnacud hruxchayfngnakrxy bnkxnhinthiophlphnnathaeliklchayfngkhxngekaarxtthensth Rottnest Island briewnchayfngkhxngrthewsethirnxxsetreliy mipraman 14 aehngthukichepnsthanthitharngsunginpihnungcamikarich 5 7 aehng aelahlayaehngmikarsxmaesmephuxichnganthukvdu aelabangaehngichmananthung 70 pi rngmikhnadihy srangcakkingim essim aelasahraythael odysrangbnngamtnim aethnghin esasatharnupophkh rngethiym hrux ekaaaekngiklchayfng odythwipehyiywxxseprcaotetmthiaelaerimphsmphnthuemuxxayu 3 4 pi aetinbangphunthithimikhwamhnaaennkhxngprachakrkhxngehyiywxxseprsung echn xawechsaphikh Chesapeake Bay inshrthxemrika aelakhadaekhlnsingkxsrangthisungphxehmaasahrbkartharng nkcaerimphsmphnthuemuxmixayu 5 7 pi thaimmisthanthisahrbtharngwangikh ehyiywxxseprthiepnwyruncathukbngkhbihyudkarphsmphnthuwangikhxxkipxik ephuxldpyhani bangkhrngcungmikarsrangsthanthithiehmaasmihkbnkephuxsrangrng rngethiymthiidrbkarxxkaebbcakxngkhkr Citizens United to Protect the Maurice River and Its Tributaries Inc klayepnrngethiymmatrthankhxngrthniwecxrsiy shrthxemrika dwyaebbkhxngrngethiymaelawsduhaidngaycungmikarnaipichepncanwnmakinhlayphunthithimiphumipraethstangknip odypktiehyiywxxseprmikhuephiyngtwediywtlxdchiwit aetkmikrnithimikhumakkwahnungtwbnthukiwsungphbehnidyak vduphsmphnthukhunkbsthanthiodykahndidcakesnrung intxnitkhxngpraethsxxsetreliycaepnvduibimphli knyayn tulakhm intxnehnuxkhxngpraethsxxsetreliyepneduxnemsaynthungkrkdakhm aelaintxnitkhxngrthkhwinsaelndepnvduhnaw mithunayn singhakhm invduibimphlikhunkcaerimichewlarwmknthung 5 eduxninkareliyngduluk ehyiywephsemiycawangikh 2 4 fxngineduxnaerk aelathakarkkikhephuxihkhwamrxnaekikh ikhmisikhaw micudhnasinatalaedng mikhnadpraman 6 2 x 4 5 esntiemtr aelahnkpraman 65 krm ikhihewlapraman 5 spdahinkarfkepntw luknkekidihmminahnk 50 60 krm ichewlaeliyngdupraman 8 10 spdah cakkarsuksabnekaacingoc Kangaroo Island txnitkhxngpraethsxxsetreliyewlaechliythiicheliyngduluknkxyuthi 69 wn cakkarsuksaediywknphbwaechliyaelwmiluknkthiotetmthi 0 66 twtxpitxxanaekhtkhrxbkhrxng aela 0 92 twtxpitxrng minkwyxxn 22 thisamarthrxdtayxasyxyubnekaahruxklbmaemuxotetmthiephuxphsmphnthu emuxxaharkhadaekhln luknkthifktwaerkmihwngcarxdtaymakthisud pktiehyiywxxseprchwngchiwit 7 10 pi aetkminkbangtwthimixayuyun 20 25 pi ehyiywxxseprthixayumakthisudinyuorpmixayumakkwa 30 pi inxemrikaehnux aelankxinthrihwlan aelankxinthrichnidxunthimikhnadiklekhiyng epnstruhlkkhxngluknkaelankwyxxn phbprsitphyathitwaebn Scaphanocephalus expansus aela Neodiplostomum spp inehyiywxxseprtamthrrmchati karxphyph ehyiywxxseprinthwipyuorpcaxphyphipthwipaexfrikainvduhnaw nkehyiywinshrthxemrikaaelapraethsaekhnadacaxphyphipthwipxemrikait aetkmibangtwthirngxyuinrththangtxnitsudkhxngshrthxemrika echn rthflxrida aela rthaekhlifxreniy aelakmiehyiywxxseprbangtwinrthflxridaxphyphipthwipxemrikait ehyiywxxseprinxxstraelesiymkcaepnnkpracathin cakkarsuksaehyiywxxseprinpraethsswiednaesdngwaehyiywephsemiycaxphyphipthwipaexfrikakxnephsphu phbnkxphyphphancanwnmakrahwangkaryaythininvduibimrwng khwamphnaeprkhxngewlaaelachwngewlainvduibimrwngmikhwamimaennxnmakkwainvduibimphli aemwakarxphyphpkticakrathainewlaklangwn aetkmikarbinxphyphinewlaklangkhunodyechphaainkarbinkhamna khrxbkhlumodyechliy 260 280 km wn makthisud 431 km wn nkehyiywinyuorpxacmikarxphyphyaythinthanipexechiyitinvduhnaw ekhymikarphbehyiywxxseprthiswmaehwnthikhxethakhxngpraethsnxrewyinthangtawntkkhxngpraethsxinediysthanakarxnurksehyiywxxseprmikarkracayphnthukwangkinphunthithung 9 670 000 km 2 aekhinaexfrikaaelaxemrika khadknwathwolkmiprachakrehyiywxxseprthung 460 000 tw thungaemwacanwnprachakrthwolkcaimmikarrabubaenchd aetkechuxwayngimekhaeknthkarldlngkhxngcanwnprachakrkhxngbychiaedngkhxngshphaphephuxkarxnurksthrrmchati karldlngkhxngcanwnprachakrtxngmakkwa 30 in 10 pihrux 3 run aeladwyehtuniehyiywxxseprcungthukcdsthanaepnkhwamesiyngta mihlkthankarldcanwnlnginradbphumiphakhinrthesathxxsetreliysungepnthinxasydngediminxawsephnesxr Spencer Gulf aelatamaemnamurery Murray River chwnglangsungimphbehyiywmahlaythswrrsaelw intxnplaykhxngkhriststwrrsthi 19 aelatxntnkhxngkhriststwrrsthi 20 karkhukkhamtxprachakrehyiywxxseprhlkkhuxkarekbkinikhaelakarlankthiotetmwyodynknklachnidxun aetkarldlngxyangrunaerngkhxngcanwnprachakrinhlayphunthiinchwngkhristthswrrsthi 1950 aela 1960 bangswnnnekidcakphlkrathbthiekidkhuninrabbsubphnthucakyakhaaemlng echn DDT yakhaaemlngsngphltxkrabwnkarephaphlayaekhlesiymkhxngnkepnphlihepluxkikhbang aetkngay hrux ikhfximepntw ephraakarhamich DDT inhlaypraethsintxntnkhxngkhristthswrrsthi 1970 aelakarrbkwnthildlng thaihehyiywxxsepraelanklaehyuxchnidxunthiidrbphlkrathbephimcanwnkhun inrthesathxxsetreliy sthanthitharngbnkhabsmuthrixr Eyre Peninsula aelaekaacingockalngesiyngtxkarkhukkhamcaksnthnakarchayhadthiimmikarcdkaraelakarphthnaemuxngthiruklaekhamainechingwthnthrrmnkwyxxnbnrngethiym nisxs Nisos kstriyaehngemkara Megara intananethphecakrikidklayrangepnxinthrithaelhruxehyiywxxsepraelaekhaciktiphrathidakhxngtnhlngcakthrabwaphrathidaidtkhlumrkimnxs Minos kstriyaehngkhrit phliniphuxawuos nkekhiynchawormnidbnthukwaphxaemkhxngehyiywxxseprcaihlukbinthungxathityephuxthakarthdsxb sungimepnkhwamcring xiktananhnungthiklawthungehyiywxxsepr macaknganekhiynkhxngxlebxrts aemknsaelabnthukin Chronicles sungekhiynwankmiethakhanghnungepnphngphudaelaxikkhangepnkrngelb mikhwamechuxinsmyyukhklangknwaplannthuksakdodyehyiywxxsepr thaihplahngaythxngyxmihcbaetodydi sungkhwamechuxniidrbkarxangxingodyechksepiyrinxngkthi 4 chakthi 5 khxng I think he ll be to Rome As is the osprey to the fish who takes it By sovereignty of nature kwichawixrich wileliym bselxr eyts William Butler Yeats idichehyiywxxseprphencrsiethaepntwaethnkhxngkhwamesiyicin The Wanderings of Oisin and Other Poems 1889 inmuthrasastr ehyiywxxseprwadaesdnginrupnkxinthrisikhaw aelaemuximnanmani nkidklayepnsylksnkhxngkartxbsnxnginechingbwktxthrrmchati aelaepnrupthipraktbnaestmpmakkwa 50 dwng thukichepnchuxtrasinkhahlaychnid chuxthimkila echn thimxxsepr Ospreys kilarkbi thimmissula xxsepr Missoula Osprey kilaebsbxl thimsiaextethil sihxwk Seattle Seahawks kilaxemriknfutbxl aela nxrth flxrida xxsepr North Florida Ospreys thimkilamhawithyaly hruxepntwnaochkh echn thimskiemuxngecxraldtn Geraldton inpraethsxxsetreliy mhawithyalynxrth flxrida University of North Florida mhawithyaly sali erkkina Salve Regina University withyalywakenxr Wagner College mhawithyalynxrth aekhorilna University of North Carolina thiwilmingtn aelawithyalyrichard stxktn Richard Stockton College xangxingBirdLife International 2021 Pandion haliaetus IUCN Red List of Threatened Species 2021 e T22694938A206628879 doi 10 2305 IUCN UK 2021 3 RLTS T22694938A206628879 en subkhnemux 9 March 2022 Linnaeus C 1758 Systema naturae per regna tria naturae secundum classes ordines genera species cum characteribus differentiis synonymis locis Tomus I Editio decima reformata Holmiae Laurentii Salvii p 91 F cera pedibusque caeruleis corpore supra fusco subtus albo capite albido latin Pandion haliaetus subkhnemux 2007 09 05 1980 The Audubon Society Encyclopedia of North American Birds New York NY Knopf pp 644 646 ISBN 0394466519 Salzman Eric December 1993 Birding The Johns Hopkins University Press 58 2 91 doi 10 2307 2911426 JSTOR 10 2307 2911426 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2018 08 13 subkhnemux 2007 09 05 Tesky Julie L 1993 Pandion haliaetus U S Department of Agriculture Forest Service subkhnemux 2007 09 06 Barrow M V 1998 A passion for Birds American ornithology after Audubon Princeton NJ Princeton University Press ISBN 0691044023 Avibase Pandion entry Accessed on 2 December 2010 Olson S L 1985 Avian Biology Vol III Chapter 2 The fossil record of birds Academic Press Mayr G 2006 An osprey Aves Accipitridae Pandioninae from the early Oligocene of Germany Palaeobiodiversity and Palaeoenvironments 86 1 93 96 doi 10 1007 BF03043637 1955 The Sons of Pandion Greek Myths London Penguin pp 320 323 ISBN 0 14 001026 2 s v ἁliaetos 2021 12 08 thi ewyaebkaemchchin Livingston C H 1943 Osprey and Ostril Modern Language Notes 58 2 91 98 doi 10 2307 2911426 JSTOR 2911426 Morris W 1969 The American Heritage Dictionary of the English Language Boston American Heritage Publishing Co Inc and Houghton Mifflin Company Osprey Online Etymology Dictionary subkhnemux 2007 06 29 J Simpson E Weiner b k 1989 Osprey Oxford English Dictionary 2nd ed Oxford Clarendon Press ISBN 0 19 861186 2 Ferguson Lees amp Christie Raptors of the World Houghton Mifflin Company 2001 ISBN 978 0 618 12762 7 Osprey Connecticut Department of Environmental Protection 1999 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2012 12 09 subkhnemux 2007 09 30 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite web title aemaebb Cite web cite web a CS1 maint bot original URL status unknown lingk Forsman Dick 2008 The Raptors of Europe amp the Middle East A Handbook of Field Identification Princeton University Press pp 21 25 ISBN 0856610984 1999 A Field Guide to the Birds Houghton Mifflin Company p 136 ISBN 978 0395911761 Bull J Farrand J Jr 1987 Audubon Society Field Guide to North American Birds Eastern Region New York Alfred A Knopf p 469 ISBN 0 394 41405 5 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite book title aemaebb Cite book cite book a CS1 maint multiple names authors list lingk Hume R 2002 RSPB Birds of Britain and Europe London Dorling Kindersley p 89 ISBN 0 7513 1234 7 Simpson K Day N Trusler P 1993 Field Guide to the Birds of Australia Ringwood Victoria Viking O Neil p 66 ISBN 0 670 90478 3 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite book title aemaebb Cite book cite book a CS1 maint multiple names authors list lingk Dennis TE 2007 Distribution and status of the Osprey Pandion haliaetus in South Australia Emu 107 4 294 299 doi 10 1071 MU07009 ISSN 0158 4197 Steadman D 2006 Extinction and Biogeography in Tropical Pacific Birds University of Chicago Press ISBN 978 0 226 77142 7 amp J C Anderton 2005 Birds of South Asia The Ripley Guide Vols 1 amp 2 Smithsonian Institution and Lynx Edicions Strange M 2000 A Photographic Guide to the Birds of Southeast Asia including the Philippines and Borneo Singapore Periplus p 70 ISBN 962 593 403 0 Evans DL 1982 Status Reports on Twelve Raptors Special Scientific Report Wildl No 238 U S Dept Interior Fish and Wildl Serv a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a Cite journal txngkar journal help Poole A F R O Bierregaard and M S Martell 2002 Osprey Pandion haliaetus In The Birds of North America No 683 A Poole and F Gill eds The Birds of North America Inc Philadelphia PA Clark W S amp B K Wheeler 1987 A field guide to Hawks of North America Houghton Mifflin Boston ISBN 0 395 36001 3 Goenka DN 1985 The Osprey Pandion haliaetus haliaetus preying on a Gull J Bombay Nat Hist Soc 82 1 193 194 Kirschbaum K Watkins P Pandion haliaetus University of Michigan Museum of Zoology subkhnemux 2008 01 03 Beruldsen G 2003 Australian Birds Their Nests and Eggs Kenmore Hills Qld self p 196 ISBN 0 646 42798 9 Chesapeake Bay Program khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2001 03 08 subkhnemux 2008 12 02 Osprey platform plans Dennis TE 2007 Reproductive activity in the Osprey Pandion haliaetus on Kangaroo Island South Australia Emu 107 4 300 307 doi 10 1071 MU07010 Hoffman Glenn L 1953 Scaphanocephalus expansus Crepl a Trematode of the Osprey in North America The Journal of Parasitology 39 5 568 Mullarney Killian Svensson Lars Zetterstrom Dan Grant Peter 2001 Birds of Europe Princeton University Press 74 5 ISBN 0 691 05054 6 PDF Newsletter Winter 2000 Microwave Telemetry Inc khlngkhxmulekaekbcakaehlngedim PDF emux 2009 01 22 subkhnemux 2008 12 02 Martell M S Mcmillian M A Solensky M J Mealey B K 2004 Partial migration and wintering use of florida by ospreys Journal of Raptor Research 38 1 55 61 Alerstam T Hake M amp Kjellen N 2006 Temporal and spatial patterns of repeated migratory journeys by ospreys ekbthawr 2009 12 19 thi Animal Behaviour 71 555 566 PDF Mundkur Taej 1988 Recovery of a Norwegian ringed Osprey in Gujarat India J Bombay Nat Hist Soc 85 1 190 xangxingphidphlad payrabu lt ref gt imthuktxng immikarkahndkhxkhwamsahrbxangxingchux IUCN Cocker Mark Mabey Richard 2005 Birds Britannica London Chatto amp Windus pp 136 141 ISBN 0 7011 6907 9 Ames P 1966 DDT Residues in the eggs of the Osprey in the North eastern United States and their relation to nesting success J Appl Ecol British Ecological Society 3 Suppl 87 97 doi 10 2307 2401447 Ovid Metamorphoses 8 90 de Vries Ad 1976 Dictionary of Symbols and Imagery Amsterdam North Holland Publishing Company p 352 ISBN 0 7204 8021 3 Cooper JC 1992 Symbolic and Mythological Animals London Aquarian Press p 170 ISBN 1 85538 118 4 Birds of the World on Postage Stamps khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2009 01 08 subkhnemux 2008 01 01 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2007 11 19 subkhnemux 2010 09 09 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2009 05 06 subkhnemux 2009 04 16 aehlngkhxmulxunkhxkhwametmkhxng The Fish Hawk or Osprey by John James Audubon thiwikisxrs ehyiywxxsepr photo gallery at VIREO Drexel University UK Osprey Information Royal Society for the Protection of Birds Osprey species text in The Atlas of Southern African Birds USGS Patuxent Bird Identification InfoCenter Osprey Info Animal Diversity Web USDA Forest Service osprey data Osprey Nest Monitoring Program at OspreyWatch Ospreys Rebound Rely On Help From Humans 5 kumphaphnth 2015 thi ewyaebkaemchchin Documentary produced by Hellgate Ospreys Bird Cam Montana Osprey Project hosted by the Cornell Lab