มีดุม, มายดุม หรือ ไมดุม (อาหรับ: ميدوم, อียิปต์โบราณ: Mr(y)-Jtmw, แปลว่า 'เป็นที่รักแห่งอาตุม', กรีกโบราณ: Μοι(ε)θυμις) เป็นแหล่งโบราณคดีในบริเวณอียิปต์ล่าง ประกอบด้วยพีระมิดขนาดใหญ่และมาสตาบาที่สร้างด้วยอิฐโคลนหลายหลัง และมีพีระมิดเป็นพีระมิดทรงตรงแห่งแรกของอียิปต์ แต่ได้พังทลายลงบางส่วนในสมัยโบราณ พื้นที่นี้ตั้งอยู่ประมาณ 72 กิโลเมตร (45 ไมล์) ทางตอนใต้ของกรุงไคโรในปัจจุบัน
พีระมิดไมดุม | |
---|---|
ทัศนียภาพของพีระมิดไมดุม | |
พิกัดทางภูมิศาสตร์ | 29°23′17″N 31°09′25″E / 29.38806°N 31.15694°E |
ประเภท | พีระมิดขั้นบันได |
ความสูง | 65 เมตร (213 ฟุต) (พังทลาย) ซึ่งน่าจะเคยสูง 91.65 เมตร (301 ฟุต) หรือ 175 ศอก |
ฐาน | 144 เมตร (472 ฟุต) หรือ 275 ศอก |
ความชัน | 51°50'35" |
ที่ตั้งในประเทศอียิปต์ |
พีระมิด
พีระมิดที่ไมดุมเชื่อว่าเป็นเพียงพีระมิดแห่งที่สองที่สร้างขึ้นหลังจากพีระมิดแห่งดโจเซอร์ และเดิมทีอาจถูกสร้างขึ้นสำหรับฟาโรห์ฮูนิ ซึ่งเป็นฟาโรห์พระองค์สุดท้ายของราชวงศ์ที่สาม และดำเนินการสร้างต่อในรัชสมัยของฟาโรห์สเนเฟอร์อู เนื่องจากลักษณะที่ผิดปกติ พีระมิดจึงถูกเรียกว่า อัล-ฮะรัม อัล-กัดตะอับ ใน หรือพีระมิดเทียม
ในส่วนการขยายพีระมิดครั้งที่สองได้เปลี่ยนจากการออกแบบพีระมิดขั้นบันไดดั้งเดิมให้เป็นพีระมิดแท้ (ลักษณะพีระมิดอียิปต์ที่คุ้นกันในปัจจุบัน) โดยเติมชั้นด้วยหินปูน ถึงแม้ว่าวิธีการดังกล่าวจะสอดคล้องกับการออกแบบพีระมิดแท้อื่นๆ แต่พีระมิดที่ไมดุมกลับก็ได้รับผลกระทบจากข้อผิดพลาดในการก่อสร้าง ประการแรก ชั้นนอกวางอยู่บนทราย ไม่ใช่หินเหมือนชั้นใน ประการที่สอง พีระมิดขั้นบันไดด้านในได้รับการออกแบบเป็นขั้นตอนสุดท้าย ดังนั้นพื้นผิวด้านนอกจึงถูกขัดเงาและพื้นของขั้นบันไดไม่ได้อยู่ในแนวนอน แต่หลุดออกไปด้านนอก ซึ่งได้ทำลายความมั่นคงอย่างรุนแรงและมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดการพังทลายของพีระมิดไมดุมในขณะที่มีฝนห่าใหญ่ขณะที่อาคารยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง
ฟรังค์ มงนิเยร์ และคนอื่นๆ เชื่อว่าพีระมิดยังไม่พังทลายจนกระทั่งสมัยราชอาณาจักรใหม่ แต่ปรากฏข้อเท็จจริงหลายประการที่ขัดแย้งกับข้อสันนิษฐานดังกล่าว คือ พีระมิดแห่งไมดุมดูเหมือนจะสร้างไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ นับตั้งแต่รัชสมัยของฟาโรห์สเนเฟอร์อูจนถึงราชวงศ์ที่สิบสอง พีระมิดที่สร้างทั้งหมดจะวิหารรับพระบรมศพ ซึ่งไม่ได้ถูกสร้างในพีระมิดที่ไมดุม วิหารบูชาพระบรมศพ ซึ่งถูกพบอยู่ใต้ซากปรักหักพังที่ฐานของพีระมิด ดูเหมือนจะสร้างไม่เสร็จเช่นกัน ผนังยังถูกขัดเงาเพียงบางส่วนเท่านั้น จารึกศิลาสองชิ้นข้างในซึ่งปกติจะปรากฏพระนามของฟาโรห์แต่กลับไม่ปรากฏเลย ห้องฝังพระบรมศพภายในพีระมิดนั้นยังไม่เสร็จสมบูรณ์ โดยมีผนังดิบและฐานไม้ที่ยังคงอยู่ ซึ่งมักจะถูกถอดออกหลังจากการก่อสร้างแล้ว มาสตาบาบริวารไม่เคยถูกใช้งานหรือสร้างเสร็จเลย และไม่พบการฝังศพตามปกติ ในที่สุด การตรวจสอบครั้งแรกของพีระมิดแห่งไมดุมก็พบทุกสิ่งใต้พื้นผิวของกองเศษหินหรืออิฐที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ หินจากที่กำบังชั้นนอกถูกขโมยไปหลังจากที่ขุดพบเท่านั้น ซึ่งทำให้เป็นไปได้ว่าพีระมิดจะเสียหายอย่างหนักมากกว่าแบบค่อยเป็นค่อยไป การพังทลายของพีระมิดดังกล่าวในรัชสมัยของฟาโรห์สเนเฟอร์อูเป็นสาเหตุที่เป็นไปได้สำหรับการเปลี่ยนแปลงจากมุมเอียง 54 มาเป็นมุมเอียง 43 องศาของพีระมิดแห่งที่สองของพระองค์ที่ดาห์ชูร์ หรือพีระมิดโค้งงอ
เมื่อการสำรวจของนโปเลียนในปี ค.ศ. 1799 พีระมิดไมดุมเหลือเพียงสามชั้นในปัจจุบัน โดยทั่วไปสันนิษฐานว่าพีระมิดยังคงมีห้าขั้นอยู่ในคริสต์ศตวรรษที่สิบห้า และค่อยๆ พังทลายลงไปอีก เพราะอธิบายว่า มันดูเหมือนภูเขาห้าขั้น แต่เม็นเดิลส์โซนได้อ้างว่าอาจจะเป็นผลมาจากการแปลแบบละเอียดๆ และคำพูดของอัล-มักรีซีจะแปลเป็น "ภูเขาห้าชั้น" จะถูกต้องกว่า ซึ่งเป็นคำอธิบายที่ตรงกับสถานะปัจจุบันของพีระมิดที่มีผนังก่ออิฐแตกต่างกันสี่แถบที่ฐานและขั้นบันไดด้านบน
- พีระมิดขั้นบันไดแห่งไมดุมในช่วงราชวงศ์ที่สี่จากหอจดหมายเหตุพิพิธภัณฑ์บรู๊คลิน
- ทางเดินในพีระมิดไมดุม
- พีระมิดขั้นบันไดแห่งไมดุมในช่วงราชวงศ์ที่สี่จากหอจดหมายเหตุพิพิธภัณฑ์บรู๊คลิน
การสำรวจพีระมิด
พีระมิดไมดุมถูกขุดโดยในปี ค.ศ.1837, ในปี ค.ศ. 1843 และจากนั้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งพบว่ามีการตั้งวิหารบูชาพระบรมศพโดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ในปี ค.ศ. 1920 ได้ศึกษาพื้นที่ดังกล่าวเพิ่มเติม ตามด้วยในปี ค.ศ. 1928 และตามด้วยอะลี อัลคอลีในปี ค.ศ. 1970
พีระมิดอยู่ในสภาพเป็นซากปรักหักพัง โดยมีโครงสร้างสูง 213 ฟุต (65 เมตร) และทางเข้าอยู่ในแนวเหนือ-ใต้ โดยทางเข้าอยู่ทางเหนือสูง 66 ฟุต (20 เมตร) เหนือระดับพื้นดินในปัจจุบัน ทางเดินลงที่สูงชันยาว 57 ฟุต (17 เมตร) นำไปสู่ทางเดินในแนวนอน ซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับพื้นดินเดิมเล็กน้อย ที่นำไปสู่ห้องฝังศพ ซึ่งห้องดังกล่าวไม่น่าจะถูกใช้สำหรับการฝังศพใดๆ
ฟลินเดอรส์ พีทรีเป็นนักไอยคุปต์วิทยาคนแรกที่สร้างข้อเท็จจริงเกี่ยวกับขนาดและสัดส่วนการออกแบบดั้งเดิมของพีระมิด ในรูปแบบพีระมิดเมื่อยุติการสร้างแล้ว พีระมิดมีขนาด 1,100 ศอก 0.523 ม. โดยรอบสูง 175 ศอก ดังนั้นจึงแสดงสัดส่วนเดียวกับมหาพีระมิดที่กิซา และดังนั้นจึงมีสัญลักษณ์รูปวงกลมเหมือนกัน พีทรีได้เขียนในรายงานการขุดค้นปี ค.ศ. 1892 ว่า "เราจะเห็นว่ามีทฤษฎีที่คล้ายคลึงกันทุกประการสำหรับมิติของพีระมิดไมดุมและมหาพีระมิด ซึ่งในแต่ละอัตราส่วนโดยประมาณ 7:44 ถูกนำมาใช้ ดังที่ อ้างถึงรัศมีและวงกลม ... "สัดส่วนเหล่าดังกล่าวเท่ากับหน้าด้านนอกทั้งสี่ที่ลาดเอียงเข้าในอย่างแม่นยำที่มุม 51.842 องศาหรือ 51°50'35" ซึ่งชาวอียิปต์โบราณเข้าใจและแสดงออกว่าเป็นความชันที่ 51⁄ 2 ฝ่ามือ
- ชิ้นส่วนของจารึดหินปูน ซึ่งเป็นจารึกบัญชีปศุสัตว์ของพาเฮมิ และอินิอูเซต ภรรยาของเขาจากช่วงราชวงศ์ที่สิบแปด จากหลุมฝังศพ หมายเลข 34 ในเมืองไมดุม ประเทศอียิปต์ พิพิธภัณฑ์โบราณคดีอียิปต์พีทรี กรุงลอนดอน
- วิหารบูชาพระบรมศพของพีระมิดไมดุม
- เศษหินปูน บันทึกด้วยหมึกสีดำโดยคนงานเกี่ยวกับจำนวนบล็อกหินที่ส่งมอบให้กับพีระมิดไมดุม จากสมัยราชวงศ์ที่สี่ จากเศษซากพีระมิด บริเวณมาสตาบา หมายเลข 17 ที่ไมดุม ประเทศอียิปต์ พิพิธภัณฑ์โบราณคดีอียิปต์พีทรี กรุงลอนดอน
- ภาพของพีระมิดไมดุมจากมาสตาบาของเนเฟอร์มาอัต
อ้างอิง
- Peust, Carsten. "Die Toponyme vorarabischen Ursprungs im modernen Ägypten" (PDF). p. 64.
- "BBC - History - Ancient History in depth: Development of Pyramids Gallery". www.bbc.co.uk (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2019-05-29.
- Atalay, Bulent Math and the Mona Lisa (Smithsonian Books/HarperCollins, 2006), p. 64
- Mendelssohn, Kurt (1974), The Riddle of the Pyramids, London: Thames & Hudson
- Monnier, Franck L'ère des géants; (Éditions de Boccard, Paris 2017) pp. 73–74
- Lightbody 2008: 22
- Edwards 1979: 269
- Petrie 1892: 6
- Verner. The Pyramids. Their Archaeology and History. 2003 pp. 462
บรรณานุกรม
- Lightbody, David I (2008). Egyptian Tomb Architecture: The Archaeological Facts of Pharaonic Circular Symbolism. British Archaeological Reports International Series S1852. ISBN .
- Petrie, Flinders (1892). Medum. David Nutt: London.
- Edwards, I.E.S. (1979). The Pyramids of Egypt. Penguin.
- Monnier, Franck (2017). L'ère des géants. Éditions de Boccard.
- Verner, Miroslav (2001). The Pyramids. Their Archaeology and History. Atlantic Books.
- Mendelssohn, Kurt (1976). The Riddle of the Pyramids. Sphere Books Ltd: London. ISBN .
- Meidum: Site of the Broken Pyramid & Remnants of the First True Pyramid- Virtual-Egypt 2018-07-02 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- John Legon article on the Architectural Proportions of the Pyramid of Meidum 2019-05-26 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
แหล่งข้อมูลอื่น
- Arnold, Dieter (1991). Building in Egypt: Pharaonic Stone Masonry. Oxford: Oxford University Press. ISBN
- Jackson, K. & Stamp, J. (2002). Pyramid: Beyond Imagination. Inside the Great Pyramid of Giza. London: BBC Worldwide. ISBN
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
midum maydum hrux imdum xahrb ميدوم xiyiptobran Mr y Jtmw aeplwa epnthirkaehngxatum krikobran Moi e 8ymis epnaehlngobrankhdiinbriewnxiyiptlang prakxbdwyphiramidkhnadihyaelamastabathisrangdwyxithokhlnhlayhlng aelamiphiramidepnphiramidthrngtrngaehngaerkkhxngxiyipt aetidphngthlaylngbangswninsmyobran phunthinitngxyupraman 72 kiolemtr 45 iml thangtxnitkhxngkrungikhorinpccubnphiramidimdumthsniyphaphkhxngphiramidimdumphikdthangphumisastr29 23 17 N 31 09 25 E 29 38806 N 31 15694 E 29 38806 31 15694praephthphiramidkhnbnidkhwamsung65 emtr 213 fut phngthlay sungnacaekhysung 91 65 emtr 301 fut hrux 175 sxkthan144 emtr 472 fut hrux 275 sxkkhwamchn51 50 35 thitnginpraethsxiyiptphiramidokhrngsrangkhxngphiramid phiramidthiimdumechuxwaepnephiyngphiramidaehngthisxngthisrangkhunhlngcakphiramidaehngdocesxr aelaedimthixacthuksrangkhunsahrbfaorhhuni sungepnfaorhphraxngkhsudthaykhxngrachwngsthisam aeladaeninkarsrangtxinrchsmykhxngfaorhsenefxrxu enuxngcaklksnathiphidpkti phiramidcungthukeriykwa xl harm xl kdtaxb in hruxphiramidethiym inswnkarkhyayphiramidkhrngthisxngidepliyncakkarxxkaebbphiramidkhnbniddngedimihepnphiramidaeth lksnaphiramidxiyiptthikhunkninpccubn odyetimchndwyhinpun thungaemwawithikardngklawcasxdkhlxngkbkarxxkaebbphiramidaethxun aetphiramidthiimdumklbkidrbphlkrathbcakkhxphidphladinkarkxsrang prakaraerk chnnxkwangxyubnthray imichhinehmuxnchnin prakarthisxng phiramidkhnbniddaninidrbkarxxkaebbepnkhntxnsudthay dngnnphunphiwdannxkcungthukkhdengaaelaphunkhxngkhnbnidimidxyuinaenwnxn aethludxxkipdannxk sungidthalaykhwammnkhngxyangrunaerngaelamiaenwonmthicathaihekidkarphngthlaykhxngphiramidimduminkhnathimifnhaihykhnathixakharyngxyurahwangkarkxsrang frngkh mngnieyr aelakhnxun echuxwaphiramidyngimphngthlaycnkrathngsmyrachxanackrihm aetpraktkhxethccringhlayprakarthikhdaeyngkbkhxsnnisthandngklaw khux phiramidaehngimdumduehmuxncasrangimaelwesrcsmburn nbtngaetrchsmykhxngfaorhsenefxrxucnthungrachwngsthisibsxng phiramidthisrangthnghmdcawiharrbphrabrmsph sungimidthuksranginphiramidthiimdum wiharbuchaphrabrmsph sungthukphbxyuitsakprkhkphngthithankhxngphiramid duehmuxncasrangimesrcechnkn phnngyngthukkhdengaephiyngbangswnethann caruksilasxngchinkhanginsungpkticapraktphranamkhxngfaorhaetklbimpraktely hxngfngphrabrmsphphayinphiramidnnyngimesrcsmburn odymiphnngdibaelathanimthiyngkhngxyu sungmkcathukthxdxxkhlngcakkarkxsrangaelw mastababriwarimekhythukichnganhruxsrangesrcely aelaimphbkarfngsphtampkti inthisud kartrwcsxbkhrngaerkkhxngphiramidaehngimdumkphbthuksingitphunphiwkhxngkxngesshinhruxxiththiyngkhngsphaphsmburn hincakthikabngchnnxkthukkhomyiphlngcakthikhudphbethann sungthaihepnipidwaphiramidcaesiyhayxyanghnkmakkwaaebbkhxyepnkhxyip karphngthlaykhxngphiramiddngklawinrchsmykhxngfaorhsenefxrxuepnsaehtuthiepnipidsahrbkarepliynaeplngcakmumexiyng 54 maepnmumexiyng 43 xngsakhxngphiramidaehngthisxngkhxngphraxngkhthidahchur hruxphiramidokhngngx emuxkarsarwckhxngnopeliyninpi kh s 1799 phiramidimdumehluxephiyngsamchninpccubn odythwipsnnisthanwaphiramidyngkhngmihakhnxyuinkhriststwrrsthisibha aelakhxy phngthlaylngipxik ephraaxthibaywa mnduehmuxnphuekhahakhn aetemnedilsosnidxangwaxaccaepnphlmacakkaraeplaebblaexiyd aelakhaphudkhxngxl mkrisicaaeplepn phuekhahachn cathuktxngkwa sungepnkhaxthibaythitrngkbsthanapccubnkhxngphiramidthimiphnngkxxithaetktangknsiaethbthithanaelakhnbniddanbnphiramidkhnbnidaehngimduminchwngrachwngsthisicakhxcdhmayehtuphiphithphnthbrukhlin thangedininphiramidimdum phiramidkhnbnidaehngimduminchwngrachwngsthisicakhxcdhmayehtuphiphithphnthbrukhlinkarsarwcphiramidaephnthixiyiptlangobranaesdngthitngkhxngimdum phiramidimdumthukkhudodyinpi kh s 1837 inpi kh s 1843 aelacaknninchwngkhriststwrrsthi 19 sungphbwamikartngwiharbuchaphrabrmsphodyhnhnaipthangthistawnxxk inpi kh s 1920 idsuksaphunthidngklawephimetim tamdwyinpi kh s 1928 aelatamdwyxali xlkhxliinpi kh s 1970 phiramidxyuinsphaphepnsakprkhkphng odymiokhrngsrangsung 213 fut 65 emtr aelathangekhaxyuinaenwehnux it odythangekhaxyuthangehnuxsung 66 fut 20 emtr ehnuxradbphundininpccubn thangedinlngthisungchnyaw 57 fut 17 emtr naipsuthangedininaenwnxn sungxyutakwaradbphundinedimelknxy thinaipsuhxngfngsph sunghxngdngklawimnacathukichsahrbkarfngsphid flinedxrs phithriepnnkixykhuptwithyakhnaerkthisrangkhxethccringekiywkbkhnadaelasdswnkarxxkaebbdngedimkhxngphiramid inrupaebbphiramidemuxyutikarsrangaelw phiramidmikhnad 1 100 sxk 0 523 m odyrxbsung 175 sxk dngnncungaesdngsdswnediywkbmhaphiramidthikisa aeladngnncungmisylksnrupwngklmehmuxnkn phithriidekhiyninrayngankarkhudkhnpi kh s 1892 wa eracaehnwamithvsdithikhlaykhlungknthukprakarsahrbmitikhxngphiramidimdumaelamhaphiramid sunginaetlaxtraswnodypraman 7 44 thuknamaich dngthi xangthungrsmiaelawngklm sdswnehladngklawethakbhnadannxkthngsithiladexiyngekhainxyangaemnyathimum 51 842 xngsahrux 51 50 35 sungchawxiyiptobranekhaicaelaaesdngxxkwaepnkhwamchnthi 51 2 famux chinswnkhxngcarudhinpun sungepncarukbychipsustwkhxngphaehmi aelaxinixuest phrryakhxngekhacakchwngrachwngsthisibaepd cakhlumfngsph hmayelkh 34 inemuxngimdum praethsxiyipt phiphithphnthobrankhdixiyiptphithri krunglxndxn wiharbuchaphrabrmsphkhxngphiramidimdum esshinpun bnthukdwyhmuksidaodykhnnganekiywkbcanwnblxkhinthisngmxbihkbphiramidimdum caksmyrachwngsthisi cakesssakphiramid briewnmastaba hmayelkh 17 thiimdum praethsxiyipt phiphithphnthobrankhdixiyiptphithri krunglxndxn phaphkhxngphiramidimdumcakmastabakhxngenefxrmaxtxangxingPeust Carsten Die Toponyme vorarabischen Ursprungs im modernen Agypten PDF p 64 BBC History Ancient History in depth Development of Pyramids Gallery www bbc co uk phasaxngkvsaebbbritich subkhnemux 2019 05 29 Atalay Bulent Math and the Mona Lisa Smithsonian Books HarperCollins 2006 p 64 Mendelssohn Kurt 1974 The Riddle of the Pyramids London Thames amp Hudson Monnier Franck L ere des geants Editions de Boccard Paris 2017 pp 73 74 Lightbody 2008 22 Edwards 1979 269 Petrie 1892 6 Verner The Pyramids Their Archaeology and History 2003 pp 462brrnanukrmLightbody David I 2008 Egyptian Tomb Architecture The Archaeological Facts of Pharaonic Circular Symbolism British Archaeological Reports International Series S1852 ISBN 978 1 4073 0339 0 Petrie Flinders 1892 Medum David Nutt London Edwards I E S 1979 The Pyramids of Egypt Penguin Monnier Franck 2017 L ere des geants Editions de Boccard Verner Miroslav 2001 The Pyramids Their Archaeology and History Atlantic Books Mendelssohn Kurt 1976 The Riddle of the Pyramids Sphere Books Ltd London ISBN 0 351 17349 8 Meidum Site of the Broken Pyramid amp Remnants of the First True Pyramid Virtual Egypt 2018 07 02 thi ewyaebkaemchchin John Legon article on the Architectural Proportions of the Pyramid of Meidum 2019 05 26 thi ewyaebkaemchchinaehlngkhxmulxunArnold Dieter 1991 Building in Egypt Pharaonic Stone Masonry Oxford Oxford University Press ISBN 978 0 19 506350 9 Jackson K amp Stamp J 2002 Pyramid Beyond Imagination Inside the Great Pyramid of Giza London BBC Worldwide ISBN 978 0 563 48803 3