ไดโอด (อังกฤษ: diode) เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มีสองขั้วคือขั้ว A (Anode) และขั้ว K (cathode) มีคุณสมบัติยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลในจากขั้ว A ไปหาขั้ว K เท่านั้น และ ไม่ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลจากขั้ว K ไปยังขั้ว A เมื่อกล่าวถึงไดโอด มักจะหมายถึงไดโอดที่ทำมาจากสารกึ่งตัวนำ (อังกฤษ: Semiconductor diode) ซึ่งก็คือผลึกของสารกึ่งตัวนำที่ต่อกันได้ขั้วทางไฟฟ้าสองขั้ว ส่วนไดโอดแบบหลอดสุญญากาศ (อังกฤษ: Vacuum tube diode) ถูกใช้เฉพาะทางในเทคโนโลยีไฟฟ้าแรงสูงบางประเภท เป็นหลอดสุญญากาศที่ประกอบด้วยขั้วอิเล็ดโทรดสองขั้ว ซึ่งจะคือแผ่นตัวนำ (อังกฤษ: plate) และแคโทด (อังกฤษ: cathode)
ภาพขยายของไดโอด แสดงรูปร่างของผลึกสารกึ่งตัวนำภายใน (ก้อนสีดำทางซ้ายมือ) | |
ชนิด | พาสซีฟ |
---|---|
ประดิษฐ์โดย | Thomas Edison |
ผลิตครั้งแรก | November 16, 1904 |
สัญลักษณ์ | |
ส่วนใหญ่เราจะใช้ไดโอดในการยอมให้กระแสไปในทิศทางเดียว โดยยอมให้กระแสไฟในทางใดทางหนึ่ง ส่วนกระแสที่ไหลทิศทางตรงข้ามกันจะถูกกั้น ดังนั้นจึงอาจถือว่าไดโอดเป็นตรวจสอบแบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างหนึ่ง ซึ่งนับเป็นประโยชน์อย่างมากในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ใช้เป็นตัวเรียงกระแสไฟฟ้าในวงจรแหล่งจ่ายไฟ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามไดโอดมีความสามารถมากกว่าการเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เปิด-ปิดกระแสง่าย ๆ ไดโอดมีคุณลักษณะทางไฟฟ้าที่ไม่เป็นเชิงเส้น ดังนั้นมันยังสามารถปรับปรุงโดยการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของพวกมันที่เรียกว่ารอยต่อ p-n มันถูกนำไปใช้ประโยชน์ในงานที่มีวัตถุประสงค์พิเศษ นั่นทำให้ไดโอดมีรูปแบบการทำงานได้หลากหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น ซีเนอร์ไดโอด เป็นไดโอดชนิดพิเศษที่ทำหน้าที่รักษาระดับแรงดันให้คงที่ ใช้ในการปรับแต่งสัญญาณในเครื่องรับวิทยุและโทรทัศน์ หรือทันเนลไดโอดใช้ในการสร้างสัญญาณความถี่วิทยุ และไดโอดเปล่งแสงเป็นอุปกรณ์ที่สร้างแสงขึ้น ไดโอดอุโมงค์มีความน่าสนใจตรงที่มันจะมีค่าความต้านทานติดลบ ซึ่งเป็นประโยชน์มากเมื่อใช้ในวงจรบางประเภท
ไดโอดตัวแรกเป็นอุปกรณ์หลอดสุญญากาศ โดยไดโอดแบบสารกึ่งตัวนำตัวแรกถูกค้นพบจากการทดสอบความสามารถในการเรียงกระแสของผลึกโดย นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ. 2417 เรียกว่า cat's whisker diodes และได้ถูกพัฒนาในปี พ.ศ. 2449 โดยทำไดโอดมากผลึกแร่กาลีนา แต่ทุกวันนี้ไดโอดที่ใช้ทั่วไปผลิตมาจากสารกึ่งตัวนำ เช่น ซิลิกอน หรือ เจอร์เมเนียม
ไดโอดเป็นอุปกรณ์ที่ทำจากสารกึ่งตัวนำ p - n สามารถควบคุมให้กระแสไฟฟ้าจากภายนอกไหลผ่านตัวมันได้ทิศทางเดียว ไดโอดประกอบด้วยขั้ว 2 ขั้ว คือ แอโนด (Anode; A) ซึ่งต่ออยู่กับสารกึ่งตัวนำชนิด p และ แคโธด (Cathode; K) ซึ่งต่ออยู่กับสารกึ่งตัวนำชนิด n
ประวัติ
ถึงแม้ว่าไดโอดแบบผลึกสารกึ่งตัวนำ (Crystal semiconductor diode) จะเป็นที่นิยมมาก่อนไดโอดแบบใช้ความร้อน (Thermionic diode) แต่ไดโอดทั้งสองแบบก็มีพัฒนาการเป็นแบบคู่ขนาน โดยในปี พ.ศ. 2416 ค้นพบหลักการพื้นฐานในการทำงานของไดโอดแบบใช้ความร้อน กัธรีค้นพบว่าประจุบวกในอิเล็กโทรสโคป สามารถคายประจุได้เมื่อนำแผ่นกราวด์มาโดนอิเล็กโทรสโคป แต่จะไปเกิดในประจุลบ เปรียบเสมือนกระแสไฟฟ้าที่ไหลไปในทิศทางเดียวเท่านั้น
จากหลักการข้างต้น ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2423 โธมัส อัลวา เอดิสัน ได้ตรวจสอบไส้หลอดไฟว่าทำไมไส้หลอดคาร์บอนบริเวณปลายฝั่งที่ต่อกับขั้วบวกจึงถูกเผาไหม้อยู่เสมอ เอดิสันจึงสร้างกระเปาะแบบพิเศษที่มีแผ่นตัวนำโลหะ (plate) ที่ปิดสนิทอยู่ในหลอดแก้ว เมื่อเอดิสันได้ทดสอบอุปกรณ์ชิ้นนี้แล้ว ก็ทำให้เขายืนยันได้ว่ากระแสที่มองไม่เห็นนั้นจะไหลจากไส้หลอดผ่านสุญญากาศไปยังแผ่นตัวนำโลหะ ซึ่งจะไปทางเดียวเท่านั้น คือแผ่นตัวนำโลหะที่ติดอยู่กับแหล่งจ่ายแรงดันขั้วบวก
เอดิสันวางแผนที่จะใช้อุปกรณ์นี้แทนที่ตัวต้านทานในวงจรโวลต์มิเตอร์กระแสตรง สิ่งประดิษฐ์ดังกล่าวได้สิทธิบัตรในปี พ.ศ. 2427 ไม่มีใครนำอุปกรณ์นี้ไปใช้งานจริงในเวลานั้น แต่การจดสิทธิบัตรเอาไว้ก่อนนั้นเป็นเสมือนการปกป้องสิทธิ์ของตนเองเอาไว้ก่อน เราจึงเรียกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในอุปกรณ์ตัวนี้ว่า "ปรากฏการณ์เอดิสัน" (Edison effect)
20 ปีต่อมา (ที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ของของกูลเยลโม มาร์โกนี และเป็นอดีตลูกจ้างของเอดิสัน) ตระหนักถึงความสำคัญของปรากฏการณ์เอดิสันว่าสามารถใช้ในการตรวจจจับคลื่นวิทยุได้อย่างแม่นยำ เฟรมมิ่งได้จดสิทธิบัตรไดโอดแบบใช้ความร้อนเป็นตัวแรกที่เกาะบริเตนใหญ่เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2447 (ใน U.S. Patent 803,684 กล่าวว่ามีการจดสิทธิบัตรในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2448)
ในปี พ.ศ. 2417 นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน ค้นพบคุณสมบัติการนำไฟฟ้าข้างเดียวของผลึก บรวนจดสิทธิบัตรการเรียงกระแสของผลึกในปี พ.ศ. 2442 โดยการเรียงตัวของผลึกคอปเปอร์ออกไซด์กับเซเลเนียมถูกนำไปประยุกต์ใช้ในงานไฟฟ้ากำลังในอีก 20 ปีต่อมา
นักวิทยาศาสตร์ชาวอินเดียค้นพบการใช้ประโยชน์ของการเรียงกระแสในผลึกมาใช้ในการตรวจจับคลื่นวิทยุเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2437 การใช้ผลึกในการตรวจจับคลื่นวิทยุถูกพัฒนาให้ใช้ได้จริงในทางปฏิบัติในเครื่องรับวิทยุแบบไร้สายโดยผู้บุกเบิกวงการวิทยุในสหรัฐอเมริกา ได้คิดค้นการนำผลึกซิลิกอนมาใช้ตรวจรับสัญญาณในปี พ.ศ. 2446 และทำการจดสิทธิบัตรในวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2449 ส่วนนักทดลองคนอื่น ๆ ก็ได้นำธาตุนานาชนิดมาทำการทดลอง แต่ที่นิยมใช้ในวงกว้างมากที่สุดคือแร่กาลีนา (lead sulfide สารประกอบของตะกั่วกับกำมะถัน)
ในช่วงระยะเวลาแห่งการค้นพบนั้น อุปกรณ์ดังกล่าวถูกตั้งชื่อว่า "ไดโอด" โดยผู้ที่ตั้งชื่อนั่นคือ นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ โดยคำนี้มาจากภาษากรีกคำว่า dia แปลว่าผ่าน และ ode (จากคำว่า ὅδος) แปลว่าเส้นทาง
ไดโอดแบบใช้ความร้อนและไดโอดแบบสภาวะแก๊ส
ไดโอดแบบใช้ความร้อนเป็นหลอดสุญญากาศ ภายในประกอบไปด้วยขั้วไฟฟ้า (electrode) ล้อมรอบด้วยสุญญากาศภายในหลอดแก้ว คล้าย ๆ กับหลอดไส้ (incandescent light bulb)
ในไดโอดแบบใช้ความร้อนนั้น กระแสจะไหลผ่านไส้ความร้อนและให้ความร้อนแก่ขั้วลบหรือขั้วแคโทด ซึ่งขั้วไฟฟ้าจะทำมาจากแบเรียมและสตรอนเชียมออกไซด์ ซึ่งเป็นออกไซด์ของโลหะแอลคาไลน์เอิร์ท ซึ่งมี (work function) ต่ำ (บางครั้งจะใช้วิธีให้ความร้อนโดยตรง โดยการใช้ไส้หลอดเป็นทังสเตน แทนไส้ความร้อนกับขั้วแคโทด) ความร้อนอันเกิดมาจากการส่งผ่านความร้อนของอิเล็กตรอนไปสู่สุญญากาศ ขั้นต่อไปคือขั้วบวกหรือขั้วแอโนดที่ล้อมรอบไส้ความร้อนอยู่จะทำหน้าที่เป็นประจุบวก นั่นจะเกิดการส่งผ่านอิเล็กตรอนด้วยไฟฟ้าสถิตย์ อย่างไรก็ตามอิเล็กจะไม่ถูกปล่อยไปโดยง่ายจากขั้วแอโนดเมื่อเราต่อกลับขั้ว เพราะขั้วแอโนดไม่มีความร้อน ดังนั้นไดโอดแบบใช้ความร้อนจะทำให้อิเล็กตรอนไหลทิศทางเดียว
สำหรับคริสต์ศตวรรษที่ 20 ไดโอดแบบใช้ความร้อนถูกใช้ในสัญญาณอนาล็อก และใช้เรียงกระแสในแหล่งจ่ายกำลังมากมาย ทุกวันนี้ไดโอดที่เป็นหลอดสุญญากาศในกีตาร์ไฟฟ้าและแบบไฮ-เอน รวมทั้งอุปกรณ์ที่ใช้แรงดันสูง ๆ
ไดโอดแบบสารกึ่งตัวนำ
ไดโอดชนิดสารกึ่งตัวนำแบบใหม่ ๆ มักจะใช้ผลึกสารกึ่งตัวนำจำพวกซิลิกอนที่ไม่บริสุทธิ์โดยทำการเจือสารให้เกิดฝั่งลบและฝั่งบวก โดยฝั่งลบจะมีประจุลบคืออิเล็กตรอนมากกว่าเรียกว่า "สารกึ่งตัวนำชนิด n (n-type semiconductor) " ส่วนฝั่งบวกจะมีประจุบวกหรือโฮลเรียกว่า "สารกึ่งตัวนำชนิด p (p-type semiconductor) " โดยไดโอดแบบสารกึ่งตัวนำเกิดมาจากการนำสารกึ่งตัวนำทั้งสองชนิดนี้มาติดด้วยวิธีการพิเศษ โดยส่วนที่สารกึ่งตัวนำทั้งสองชนิดอยู่ติดกันนั้นเรียกว่า "รอยต่อ p-n (p-n junction) " ไดโอดชนิดนี้จะยอมให้อิเล็กตรอนไหลผ่านจากสารกึ่งตัวนำชนิด n ไปยังสารกึ่งตัวนำชนิด p เท่านั้น จึงเรียกฝั่งที่มีสารกึ่งตัวนำชนิด n ว่าแคโทด และฝั่งที่มีสารกึ่งตัวนำชนิด p ว่าแอโนด แต่ถ้าพูดถึงทิศทางของกระแสสมมติที่ไหลสวนทางกับกระแสอิเล็กตรอนนั้น จะเห็นว่ากระแสสมติจะไหลจากขั้วแอโนดหรือสารกึ่งตัวนำชนิด p ไปยังขั้วแคโทดหรือสารกึ่งตัวนำชนิด n เพียงทิศทางเดียวเท่านั้น
ไดโอดแบบสารกึ่งตัวนำอีกรูปแบบหนึ่งที่สำคัญก็คือ (Schottky diode) ซึ่งมีหน้าสัมผัสระหว่างโลหะกับสารกึ่งตัวนำมากกว่ารอยต่อ p-n
คุณลักษณะเฉพาะของกระแสและแรงดัน
พฤติกรรมของไดโอดแบบสารกึ่งตัวนำในวงจรจะก่อให้เกิด (current-voltage characteristic) หรือเรียกว่ากราฟ I-V (กราฟด้านล่าง) รูปร่างของเส้นโค้งถูกกำหนดจากส่งผ่านประจุผ่านเขตปลอดพาหะ (depletion region หรือ depletion layer) ซึ่งอยู่ใยรอยต่อ p-n
สมการของไดโอดชอทท์กี้ (Schottky Diode)
สมการของไดโอดชอทท์กี้ในอุดมคติหรือกฎของไดโอด (ชื่อชอทท์กี้ได้มาจาก ผู้ร่วมประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์ "ไม่ใช่" ผู้ประดิษฐ์เทโทรด) ได้ให้สมการที่แสดงถึงกราฟคุณลักษณะเฉพาะของกระแสและแรงดันเอาไว้ว่า
เมื่อ
- I คือกระแสที่ไหลผ่านไดโอด
- IS คือกระแสอิ่มตัวเมื่อทำการไบอัสกลับ
- VD คือแรงดันที่ตกคร่อมไดโอด
- VT คือค่าความต่างศักย์อันเนื่องมาจากความร้อน
- n คือค่าตัวประกอบอุดมคติ (ideaity factor) หรือค่าตัวประกอบคุณภาพ (quality factor) หรือสัมประสิทธิ์การส่งผ่าน (emission coefficient) ทั้งนี้ค่าตัวประกอบอุดมคติมีค่าอยู่ที่ 1 ถึง 2 ขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิตและวัสดุที่นำมาใช้เป็นสารกึ่งตัวนำ ในหลายกรณีสามารถประมาณค่าเท่ากับ 1 ได้ (ดังนั้นค่า n จึงอาจถูกละไว้)
ค่าความต่างศักย์อันเนื่องมาจากความร้อน (thermal voltage) VT มีค่าประมาณ 25.85 mV ที่อุณหภูมิ 300 K ซึ่งเป็นอุณหภูมิห้องปฏบัติการณ์ แต่เราก็สามารถหาค่าดังกล่าวเมื่ออุณหภูมิอื่น ๆ ได้ จากสูตร:
เมื่อ
- k คือค่าคงที่ของโบลต์ซมานน์ มีค่าเท่ากับ 1.3806503×10−23J K−1
- T คืออุณหภูมิสัมบูรณ์ที่รอบต่อ p-n
- q คือประจุของอิเล็กตรอน มีค่าเท่ากับ 1.602176487×10−19
สมการของไดโอดชอทท์กี้ในอุดมคติหรือกฎของไดโอดนั้นเกิดมาจากการอ้างสมมติฐานของกระบวนการเกิดการกระแสไฟฟ้าในไดโอดว่า (เนื่องจากสนามไฟฟ้า) เป็นการลอยผ่าน, การแพร่, และการรวมความร้อนอีกครั้ง (thermal recombination-generation) นอกจากนี้ยังสันนิษฐานว่ากระแสจากการรวมตัวอีกครั้ง (recombination-generation: R-G) ในเขตปลอดพาหะไม่มีนัยสำคัญใด ๆ นั่นหมายความว่าสมการของไดโอดชอทท์กี้ไม่ต้องคำนวณผลของกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการพังทลายเมื่อกระแสย้อนกลับและโฟตอนที่ช่วยให้เกิด R-G
พฤติกรรมของสัญญาณขนาดเล็ก
ในการออกแบบวงจร แบบจำลองของสัญญาณขนาดเล็กจากพฤติกรรมของไดโอดถูกนำมาใช้งานอยู่บ่อยครั้ง
แบบจำลองสัญญาณขนาดเล็ก (Small-signal model) เป็นเทคนิคการวิเคราะห์ทางวิศวกรรมไฟฟ้า ที่อาศัยการประมาณพฤติกรรมของอุปกรณ์ทางไฟฟ้าที่ไม่มีความเป็นเชิงเส้น ด้วยสมการเชิงเส้น ความเป็นเชิงเส้นนี้ขึ้นอยู่กับจุดไบอัสกระแสตรง (DC bias point) ของอุปกรณ์ (นั่นก็คือระดับของ แรงดัน/กระแส ที่แสดงออกเมื่อไม่มีสัญญาณที่ถูกนำมาใช้) และสามารถทำให้ถูกต้องได้ด้วยการมองที่จุดนี้อีกด้วย
ความต้านทาน
เมื่อใช้สมการชอทท์กี้ไดโอด ค่าความต้านสัญญาณขนาดเล็ก () ของไดโอดสามารถเข้ามาเกี่ยวกับจุดปฏบัติการณ์ (Q-point) ที่กระแสไบอัสกระแสตรง () และแรงดันใช้งานที่จุดปฏิบัติการณ์ () แรกเริ่มเดิมทีค่าความนำสัญญาณขนาดเล็ก () ถูกตั้งขึ้น นั่นคือประจุไฟฟ้าในกระแสไฟฟ้าที่ไหลในไดโอดที่เกิดมาจากการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ของแรงดันที่ตกคร่อมไดโอดหารด้วยแรงดันตกคร่อมไดโอดนั้น ดังสมการ
การประมาณค่าเกิดมาจากการอนุมานว่ากระแสไบอัส นั้นมากพอที่จะทำให้ค่าตัวประกอบ (factor) ของส่วนที่ละเลยได้จากสมการชอทท์กี้มีค่าเท่า 1 โดยการประมาณนี้มีความถูกต้องแม้แรงดันจะมีค่าต่ำ เพราะแรงดันอันเนื่องมาจากความร้อน (thermal voltage) ที่อุณหภูมิ 300 เคลวิน (27 องศาเซลเซียส) ดังนั้น มีแนวโน้มมากขึ้น หมายความว่าตัวชี้กำลังมีค่าสูงมาก
แต่ไม่ใช่กับค่าความต้านทานสัญญาณขนาดเล็ก ซึ่งเป็นส่วนกลับของค่าความนำสัญญาณขนาดเล็ก ค่าความต้านทานสัญญาณขนาดเล็กไม่ขึ้นอยู่กับไฟฟ้ากระแสสลับ แต่จะขึ้นอยู่กับไฟฟ้ากระแสตรงเท่านั้น ดังสมการ
ความเก็บประจุ
ประจุไฟฟ้าจะนำพากระแสไฟฟ้า ตามสูตร
เมื่อ คือเวลาที่ประจุเคลื่อนที่ไป: ส่วนแรกตือประจุที่เคลื่อนที่ผ่านไดโอดแล้วเกิดกระแส ไหลผ่านไดโอด ที่ ส่วนที่สองคือประจุที่เก็บสะสมอยู่ที่รอยต่อ p-n จึงมีคุณลักษณะคล้ายกับตัวต้านทานง่าย ๆ มีคู่ขั้วทางไฟฟ้าที่มีประจุตรงข้ามกัน ประจุนั้นถูกกักเก็บที่ไดโอดอาศัยแค่แรงดันที่ตกคร่อมตัวมันเพียงแค่นั้น โดยไม่คำนึงถึงกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่าน
การหาค่าความเก็บประจุของไดโอด หาได้จากสมการ
เมื่อ คือค่าความเก็บประจุที่รอยต่อ p-n โดยประจุในส่วนแรกเรียกว่า ค่าความเก็บประจุแพร่ (diffision capacitance) เพราะเกี่ยวข้องกับกระแสที่แพร่ตรงรอยต่อของไดโอด
การฟื้นตัวกลับ
ช่วงท้ายของการไบอัสตรงของไดโอดแบบสารกึ่งตัวนำ จะเกิดกระแสไหลไฟฟ้าที่ไหลย้อนกลับในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ตัวอุปกรณ์จะยังไม่สามารถป้องกันกระแสไหลย้อนกลับได้เต็มที่จนกระทั่งกระแสที่เกิดไหลย้อนกลับนั้นได้สิ้นสุดลง
ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นมีความสลักสำคัญเมื่อมีการสวิตชิ่ง (switching) ของกระแสที่สูงและรวดเร็วมาก (di/dt มีค่า 100 A/µs หรือมากกว่านั้น) ค่าที่แน่นอนของ "เวลาฟื้นตัวกลับ (reverse recovery time) " (อยู่ในช่วงเวลาเป็นนาโนวินาที) อาจจะเคลื่อนย้าย "ประจุฟื้นตัวกลับ (reverse recovery charge) " (อยู่ในช่วงนาโนคูลอมป์) ออกจากไดโอด ในระยะเวลาระหว่างฟื้นตัวนี้ไดโอดจะสามารถทำงานในทิศทางตรงข้ามได้ แน่นอนว่าในความเป็นจริงผลกระทบนี้มีความสำคัญในการพิจารณาความสูญเสียที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากไดโอดไม่เป็นอุดมคติ อย่างไรก็ตามอัตราการแกว่ง (slew rate) ของกระแสไฟฟ้านั้นรุนแรงมาก (di/dt มีค่า 10 A/µs หรือนอ้ยกว่านั้น) ผลกระทบนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยจึงละเลยไว้ได้ ในการใช้งานไดโอดส่วนใหญ่จึงไม่มีผลกระทบที่สำคัญมากนัก
กรณีที่กระแสไหลย้อนกลับอย่างฉับพลันเมื่อประจุไฟฟ้าที่ถูกเก็บสะสมปลอดพาหะแล้วจะนำไปใช้ประโยชน์ในขั้นตอนการฟื้นตัวของไดโอดสำหรับกำเนิดสัญญาณพัลส์สั้นโดยเฉพาะ
ประเภทของไดโอดแบบสารกึ่งตัวนำ
LED เป็นไดโอดที่ใช้สารประเภทแกลเลี่ยมอาร์เซ็นไนต์ฟอสไฟต์ (Gallium Arsenide Phosphide ; GaAsP) หรือสารแกลเลี่ยมฟอสไฟต์ (Gallium Phosphide ; GaP) มาทำเป็นสารกึ่งตัวนำชนิด p และ n แทนสาร Si และ Ge สารเหล่านี้มีคุณลักษณะพิเศษ คือ สามารถเรืองแสงได้เมื่อได้รับไบอัสตรง การเกิดแสงที่ตัว LED นี้เราเรียกว่า อิเล็กโทรลูมินิเซนต์ (Electroluminescence) ปัจจุบันนิยมใช้ LED แสดงผลในเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ เช่น เครื่องคิดเลข, นาฬิกา เป็นต้น
โฟโตไดโอด เป็นไดโอดที่อาศัยแสงจากภายนอกผ่านเลนซ์ ซึ่งฝังตัวอยู่ระหว่างรอยต่อ p-n เพื่อกระตุ้นให้ไดโอดทำงาน การต่อโฟโตไดโอดเพื่อใช้งานจะเป็นแบบไบอัสกลับ ทั้งนี้เพราะไม่ต้องการให้โฟโตไดโอดทำงานในทันทีทันใด แต่ต้องการให้ไดโอดทำงานเฉพาะเมื่อมีปริมาณแสงสว่างมากพอตามที่กำหนดเสียก่อน กล่าวคือ เมื่อเลนซ์ของโฟโตไดโอดได้รับแสงสว่างจะเกิดกระแสรั่วไหล ปริมาณกระแสรั่วไหลนี้เพิ่มขึ้นตามความเข้มของแสง
ไดโอดกำลัง (Power Diode)
ไดโอดกำลัง เป็นไดโอดที่ออกแบบให้บริเวณรอยต่อมีช่วงกว้างมากกว่าไดโอดทั่วไป เพื่อนำไปใช้กับงานที่มีกำลังไฟฟ้าสูง กระแสสูงและทนต่ออุณหภูมิสุงได้ เช่น ประกอบเป็นวงจรเรียงกระแส ในอิเล็กทรอนิกส์กำลัง เป็นต้น จะเห็นได้ว่าเมื่อพิกัดกระแสไฟฟ้ามีค่าหลายร้อยแอมป์ ทำให้ไดโอดมีอุณหภูมิขณะทำงานสูง โดยทั่วไปจึงนิยมใช้ร่วมกับตัวระบายความรัอน (Heat Sinks) เพื่อเพิ่มพื้นที่ระบายความรัอนภายในตัวไดโอดกำลัง
ไดโอดวาแรกเตอร์หรือวาริแคปเป็นไดโอดที่มีลักษณะพิเศษ คือ สามารถปรับค่าคาปาซิแตนซ์เชื่อมต่อ (Ct) ได้โดยการปรับค่าแรงดันไบอัสกลับ ไดโอดประเภทนี้มีโครงสร้างเหมือนกับไดโอดทั่วไป ขณะแรงดันไบอัสกลับ (Reverse Bias Voltage ; Vr) มีค่าต่ำ Depletion Region จะแคบลงทำให้ Ct ตรงรอยต่อมีค่าสูง แต่ในทางตรงข้ามถ้าเราปรับ Vr ให้สูงขึ้น Depletion Region จะขยายกว้างขึ้น ทำให้ Ct มีค่าต่ำ จากลักษณะดังกล่าว เราจึงนำวาริแคปไปใช้ในวงจรปรับความถี่ เช่น วงจรจูนความถี่อัตโนมัติ (Automatic Fine Tunning ; AFC) และวงจรกรองความถี่ซึ่งปรับช่วงความถี่ได้ตามต้องการ (Variable Bandpass Filter) เป็นต้น
ซีเนอร์ไดโอดเป็นอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำที่นำกระแสได้เมื่อได้รับไบอัสกลับ และระดับแรงดันไบอัสกลับที่นำซีเนอร์ไดโอดไปใช้งานได้เรียกว่า ระดับแรงดันพังทลายซีเนอร์ (Zener Breakdown Voltage ; Vz) ซีเนอร์ไดโอดจะมีแรงดันไบอัสกลับ (Vr) น้อยกว่า Vz เล็กน้อย ไดโอดประเภทนี้เหมาะที่จะนำไปใช้ควบคุมแรงดันที่โหลดหรือวงจรที่ต้องการแรงดันคงที่ เช่น ประกอบอยู่ในแหล่งจ่ายไฟเลี้ยง หรือโวลเทจเรกูเลเตอร์
ไดโอดในทางอุดมคติ
ไดโอดในอุดมคติ (Ideal Diode) มีลักษณะเหมือนสวิตช์ที่สามารถนำกระแสไหลผ่านได้ในทิศทางเดียว ถ้าต่อขั้วแบตเตอรี่ให้เป็นแบบไบอัสตรงไดโอดจะเปรียบเป็นเสมือนกับสวิตช์ที่ปิด (Close Switch) หรือไดโอดลัดวงจร (Short Circuit) Id ไหลผ่านไดโอดได้ แต่ถ้าต่อขั้วแบตเตอรีแบบไบอัสกลับ ไดโอดจะเปรียบเป็นเสมือนสวิตช์เปิด (Open Switch) หรือเปิดวงจร (Open Circuit) ทำให้ Id เท่ากับศูนย์
ไดโอดในทางปฏิบัติ
ไดโอดในทางปฏิบัติ (Practical Diode) มีการแพร่กระจายของพาหะส่วนน้อยที่บริเวณรอยต่ออยู่จำนวนหนึ่ง ดังนั้น ถ้าต่อไบอัสตรงให้กับไดโอดในทางปฏิบัติก็จะเกิด แรงดันเสมือน (Ge >= 0.3V ; Si >= 0.7V) ซึ่งต้านแรงดันไฟฟ้าที่จ่ายเพื่อการไบอัสตรง ขนาดของแรงดันเสมือนจึงเป็นตัวบอกจุดทำงาน ดังนั้น จึงเรียก "แรงดันเสมือน" อีกอย่างหนึ่งว่า "แรงดันในการเปิด" (Turn-on Voltage ; Vt)
กรณีไบอัสกลับ เราทราบว่า Depletion Region จะขยายกว้างขึ้น แต่ก็ยังมีพาหะข้างน้อยแพร่กระจายที่รอยต่ออยู่จำนวนหนึ่ง แต่ก็ยังมีกระแสรั่วไหลอยู่จำนวนหนึ่ง เรียกว่า กระแสรั่วไหล (Leakage Current) เมื่อเพิ่มแรงดันไฟฟ้าขึ้นเรื่อย ๆ กระแสรั่วไหลจะเพิ่มขึ้นจนถึงจุดทีไดโอดนำกระแสเพิ่มขึ้นมาก ระดับกระแสที่จุดนี้ เรียกว่า "กระแสอิ่มตัวย้อนกลับ" (Reverse Saturation Current ; Is) แรงดันไฟฟ้าที่จุดนี้ เรียกว่า แรงดันพังทลาย (Breakdown Voltage) และถ้าแรงดันไบอัสสูงขึ้นจนถึงจุดสูงสุดที่ไดโอดทนได้ เราเรียกว่า "แรงดันพังทลายซีเนอร์" (Zener Breakdown Voltage ; Vz) ถ้าแรงดันไบอัสกลับสูงกว่า Vz จะเกิดความร้อนอย่างมากที่รอยต่อของไดโอด ส่งผลให้ไดโอดเสียหายหรือพังได้ แรงดันไฟฟ้าที่จุดนี้เราเรียกว่า แรงดันพังทลายอวาแลนซ์ (Avalance Breakdown Voltage) ดังนั้น การนำไดโอดไปใช้งานจึงใช้กับการไบอัสตรงเท่านั้น
ผลกระทบของอุณหภูมิ (Temperature Effects)
จากการทดลองพบว่า Is ของ Si จะมีค่าเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า ทุก ๆ ครั้งที่อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 10 องศาเซลเซียส ขณะที่ Ge มีค่า Is เป็น 1 หรือ 2 ไมโครแอมป์ ที่ 25 องศาเซลเซียส แต่ที่ 100 องศาเซลเซียสจะมีค่า Is เพิ่มขึ้นเป็น 100 micro-amp ระดับกระแสไฟฟ้าขนาดนี้จะเป็นปัญหาต่อการเปิดวงจรเรื่องจากได้รับการไบอัสกลับ เพราะแทนที่ Id จะมีค่าใกล้เคียงศูนย์ แต่กลับนำกระแสได้จำนวนหนึ่งตามอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น
อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
- ตัวเรียงกระแส
- ทรานซิสเตอร์
- หรือ SCR (Silicon Controlled Rectifier)
- วาริสเตอร์
อ้างอิง
- "Physical Explanation - General Semiconductors". 2010-05-25. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-05-16. สืบค้นเมื่อ 2010-08-06.
- "The Constituents of Semiconductor Components". 2010-05-25. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-05-16. สืบค้นเมื่อ 2010-08-06.
- 1928 Nobel Lecture: Owen W. Richardson, “Thermionic phenomena and the laws which govern them, ” December 12, 1929
- Thomas A. Edison "Electrical Meter" U.S. Patent 307,030 Issue date: Oct 21, 1884
- "Road to the Transistor". Jmargolin.com. สืบค้นเมื่อ 2008-09-22.
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-02-11. สืบค้นเมื่อ 2011-04-16.
- . Encyclobeamia.solarbotics.net. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-03. สืบค้นเมื่อ 2010-08-06.
- U.S. Patent 836,531
- R.C. Jaeger and T.N. Blalock (2004). Microelectronic Circuit Design (second ed.). McGraw-Hill. ISBN .
- (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-10-07. สืบค้นเมื่อ 2011-04-16.
- (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-10-07. สืบค้นเมื่อ 2011-04-16.
- (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-10-07. สืบค้นเมื่อ 2011-04-16.
แหล่งข้อมูลอื่น
- อิเล็คทรอนิกส์เบื้อต้นเรื่องไดโอด 2009-04-10 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
idoxd xngkvs diode epnxupkrnxielkthrxniksmisxngkhwkhuxkhw A Anode aelakhw K cathode mikhunsmbtiyxmihkraaesiffaihlincakkhw A iphakhw K ethann aela imyxmihkraaesiffaihlcakkhw K ipyngkhw A emuxklawthungidoxd mkcahmaythungidoxdthithamacaksarkungtwna xngkvs Semiconductor diode sungkkhuxphlukkhxngsarkungtwnathitxknidkhwthangiffasxngkhw swnidoxdaebbhlxdsuyyakas xngkvs Vacuum tube diode thukichechphaathanginethkhonolyiiffaaerngsungbangpraephth epnhlxdsuyyakasthiprakxbdwykhwxieldothrdsxngkhw sungcakhuxaephntwna xngkvs plate aelaaekhothd xngkvs cathode idoxdphaphkhyaykhxngidoxd aesdngruprangkhxngphluksarkungtwnaphayin kxnsidathangsaymux chnidphassifpradisthodyThomas EdisonphlitkhrngaerkNovember 16 1904sylksnidoxdchnidtang swnihyeracaichidoxdinkaryxmihkraaesipinthisthangediyw odyyxmihkraaesifinthangidthanghnung swnkraaesthiihlthisthangtrngkhamkncathukkn dngnncungxacthuxwaidoxdepntrwcsxbaebbxielkthrxniksxyanghnung sungnbepnpraoychnxyangmakinwngcrxielkthrxniks echn ichepntweriyngkraaesiffainwngcraehlngcayif epntn xyangirktamidoxdmikhwamsamarthmakkwakarepnxupkrnthiichepid pidkraaesngay idoxdmikhunlksnathangiffathiimepnechingesn dngnnmnyngsamarthprbprungodykarprbepliynokhrngsrangkhxngphwkmnthieriykwarxytx p n mnthuknaipichpraoychninnganthimiwtthuprasngkhphiess nnthaihidoxdmirupaebbkarthanganidhlakhlayrupaebb yktwxyangechn sienxridoxd epnidoxdchnidphiessthithahnathirksaradbaerngdnihkhngthi ichinkarprbaetngsyyaninekhruxngrbwithyuaelaothrthsn hruxthnenlidoxdichinkarsrangsyyankhwamthiwithyu aelaidoxdeplngaesngepnxupkrnthisrangaesngkhun idoxdxuomngkhmikhwamnasnictrngthimncamikhakhwamtanthantidlb sungepnpraoychnmakemuxichinwngcrbangpraephth idoxdtwaerkepnxupkrnhlxdsuyyakas odyidoxdaebbsarkungtwnatwaerkthukkhnphbcakkarthdsxbkhwamsamarthinkareriyngkraaeskhxngphlukody nkfisikschaweyxrmn inpi ph s 2417 eriykwa cat s whisker diodes aelaidthukphthnainpi ph s 2449 odythaidoxdmakphlukaerkalina aetthukwnniidoxdthiichthwipphlitmacaksarkungtwna echn silikxn hrux ecxremeniym idoxdepnxupkrnthithacaksarkungtwna p n samarthkhwbkhumihkraaesiffacakphaynxkihlphantwmnidthisthangediyw idoxdprakxbdwykhw 2 khw khux aexond Anode A sungtxxyukbsarkungtwnachnid p aela aekhothd Cathode K sungtxxyukbsarkungtwnachnid nprawtiokhrngsrangkhxngidoxdaebbhlxdsuyyakas xacmiephiyngishlxdepla hruxmichnwnkhlumdngphaph thungaemwaidoxdaebbphluksarkungtwna Crystal semiconductor diode caepnthiniymmakxnidoxdaebbichkhwamrxn Thermionic diode aetidoxdthngsxngaebbkmiphthnakarepnaebbkhukhnan odyinpi ph s 2416 khnphbhlkkarphunthaninkarthangankhxngidoxdaebbichkhwamrxn kthrikhnphbwapracubwkinxielkothrsokhp samarthkhaypracuidemuxnaaephnkrawdmaodnxielkothrsokhp aetcaipekidinpraculb epriybesmuxnkraaesiffathiihlipinthisthangediywethann cakhlkkarkhangtn inwnthi 13 kumphaphnth ph s 2423 othms xlwa exdisn idtrwcsxbishlxdifwathaimishlxdkharbxnbriewnplayfngthitxkbkhwbwkcungthukephaihmxyuesmx exdisncungsrangkraepaaaebbphiessthimiaephntwnaolha plate thipidsnithxyuinhlxdaekw emuxexdisnidthdsxbxupkrnchinniaelw kthaihekhayunynidwakraaesthimxngimehnnncaihlcakishlxdphansuyyakasipyngaephntwnaolha sungcaipthangediywethann khuxaephntwnaolhathitidxyukbaehlngcayaerngdnkhwbwk exdisnwangaephnthicaichxupkrnniaethnthitwtanthaninwngcrowltmietxrkraaestrng singpradisthdngklawidsiththibtrinpi ph s 2427 immiikhrnaxupkrnniipichngancringinewlann aetkarcdsiththibtrexaiwkxnnnepnesmuxnkarpkpxngsiththikhxngtnexngexaiwkxn eracungeriykpraktkarnthiekidkhuninxupkrntwniwa praktkarnexdisn Edison effect 20 pitxma thipruksathangwithyasastrkhxngkhxngkuleylom marokni aelaepnxditlukcangkhxngexdisn trahnkthungkhwamsakhykhxngpraktkarnexdisnwasamarthichinkartrwcccbkhlunwithyuidxyangaemnya efrmmingidcdsiththibtridoxdaebbichkhwamrxnepntwaerkthiekaabrietnihyemuxwnthi 16 phvscikayn ph s 2447 in U S Patent 803 684 klawwamikarcdsiththibtrineduxnphvscikayn ph s 2448 inpi ph s 2417 nkwithyasastrchaweyxrmn khnphbkhunsmbtikarnaiffakhangediywkhxngphluk brwncdsiththibtrkareriyngkraaeskhxngphlukinpi ph s 2442 odykareriyngtwkhxngphlukkhxpepxrxxkisdkbeseleniymthuknaipprayuktichinnganiffakalnginxik 20 pitxma nkwithyasastrchawxinediykhnphbkarichpraoychnkhxngkareriyngkraaesinphlukmaichinkartrwccbkhlunwithyuepnkhrngaerkinpi ph s 2437 karichphlukinkartrwccbkhlunwithyuthukphthnaihichidcringinthangptibtiinekhruxngrbwithyuaebbirsayodyphubukebikwngkarwithyuinshrthxemrika idkhidkhnkarnaphluksilikxnmaichtrwcrbsyyaninpi ph s 2446 aelathakarcdsiththibtrinwnthi 20 phvscikayn ph s 2449 swnnkthdlxngkhnxun kidnathatunanachnidmathakarthdlxng aetthiniymichinwngkwangmakthisudkhuxaerkalina lead sulfide sarprakxbkhxngtakwkbkamathn inchwngrayaewlaaehngkarkhnphbnn xupkrndngklawthuktngchuxwa idoxd odyphuthitngchuxnnkhux nkfisikschawxngkvs odykhanimacakphasakrikkhawa dia aeplwaphan aela ode cakkhawa ὅdos aeplwaesnthangidoxdaebbichkhwamrxnaelaidoxdaebbsphawaaekssylksnkhxngidoxdaebbichkhwamrxn cakdanbnthungdanlangkhuxkhwbwk anode khwlb cathode aelaiskhwamrxn heater filament idoxdaebbichkhwamrxnepnhlxdsuyyakas phayinprakxbipdwykhwiffa electrode lxmrxbdwysuyyakasphayinhlxdaekw khlay kbhlxdis incandescent light bulb inidoxdaebbichkhwamrxnnn kraaescaihlphaniskhwamrxnaelaihkhwamrxnaekkhwlbhruxkhwaekhothd sungkhwiffacathamacakaeberiymaelastrxnechiymxxkisd sungepnxxkisdkhxngolhaaexlkhailnexirth sungmi work function ta bangkhrngcaichwithiihkhwamrxnodytrng odykarichishlxdepnthngsetn aethniskhwamrxnkbkhwaekhothd khwamrxnxnekidmacakkarsngphankhwamrxnkhxngxielktrxnipsusuyyakas khntxipkhuxkhwbwkhruxkhwaexondthilxmrxbiskhwamrxnxyucathahnathiepnpracubwk nncaekidkarsngphanxielktrxndwyiffasthity xyangirktamxielkcaimthukplxyipodyngaycakkhwaexondemuxeratxklbkhw ephraakhwaexondimmikhwamrxn dngnnidoxdaebbichkhwamrxncathaihxielktrxnihlthisthangediyw sahrbkhriststwrrsthi 20 idoxdaebbichkhwamrxnthukichinsyyanxnalxk aelaicheriyngkraaesinaehlngcaykalngmakmay thukwnniidoxdthiepnhlxdsuyyakasinkitariffaaelaaebbih exn rwmthngxupkrnthiichaerngdnsung idoxdaebbsarkungtwnaidoxdethiybkbsylksnkhxngidoxdaebbsarkungtwna bnsud odyaekhbsidaaesdngfngthiepnkhwaekhothd idoxdchnidsarkungtwnaaebbihm mkcaichphluksarkungtwnacaphwksilikxnthiimbrisuththiodythakarecuxsarihekidfnglbaelafngbwk odyfnglbcamipraculbkhuxxielktrxnmakkwaeriykwa sarkungtwnachnid n n type semiconductor swnfngbwkcamipracubwkhruxohleriykwa sarkungtwnachnid p p type semiconductor odyidoxdaebbsarkungtwnaekidmacakkarnasarkungtwnathngsxngchnidnimatiddwywithikarphiess odyswnthisarkungtwnathngsxngchnidxyutidknnneriykwa rxytx p n p n junction idoxdchnidnicayxmihxielktrxnihlphancaksarkungtwnachnid n ipyngsarkungtwnachnid p ethann cungeriykfngthimisarkungtwnachnid n waaekhothd aelafngthimisarkungtwnachnid p waaexond aetthaphudthungthisthangkhxngkraaessmmtithiihlswnthangkbkraaesxielktrxnnn caehnwakraaessmticaihlcakkhwaexondhruxsarkungtwnachnid p ipyngkhwaekhothdhruxsarkungtwnachnid n ephiyngthisthangediywethann idoxdaebbsarkungtwnaxikrupaebbhnungthisakhykkhux Schottky diode sungmihnasmphsrahwangolhakbsarkungtwnamakkwarxytx p n khunlksnaechphaakhxngkraaesaelaaerngdn phvtikrrmkhxngidoxdaebbsarkungtwnainwngcrcakxihekid current voltage characteristic hruxeriykwakraf I V krafdanlang ruprangkhxngesnokhngthukkahndcaksngphanpracuphanekhtplxdphaha depletion region hrux depletion layer sungxyuiyrxytx p n krafkhunsmbtiechphaakhxngkraaesaelaaerngdnkhxngrxytx p n khxngidoxdsmkarkhxngidoxdchxththki Schottky Diode smkarkhxngidoxdchxththkiinxudmkhtihruxkdkhxngidoxd chuxchxththkiidmacak phurwmpradisththransisetxr imich phupradisthethothrd idihsmkarthiaesdngthungkrafkhunlksnaechphaakhxngkraaesaelaaerngdnexaiwwa I IS eVD nVT 1 displaystyle I I mathrm S left e V mathrm D nV mathrm T 1 right emux I khuxkraaesthiihlphanidoxd IS khuxkraaesximtwemuxthakaribxsklb VD khuxaerngdnthitkkhrxmidoxd VT khuxkhakhwamtangskyxnenuxngmacakkhwamrxn n khuxkhatwprakxbxudmkhti ideaity factor hruxkhatwprakxbkhunphaph quality factor hruxsmprasiththikarsngphan emission coefficient thngnikhatwprakxbxudmkhtimikhaxyuthi 1 thung 2 khunxyukbkrabwnkarphlitaelawsduthinamaichepnsarkungtwna inhlaykrnisamarthpramankhaethakb 1 id dngnnkha n cungxacthuklaiw khakhwamtangskyxnenuxngmacakkhwamrxn thermal voltage VT mikhapraman 25 85 mV thixunhphumi 300 K sungepnxunhphumihxngptbtikarn aeteraksamarthhakhadngklawemuxxunhphumixun id caksutr VT kTq displaystyle V mathrm T frac kT q emux k khuxkhakhngthikhxngobltsmann mikhaethakb 1 3806503 10 23J K 1 T khuxxunhphumismburnthirxbtx p n q khuxpracukhxngxielktrxn mikhaethakb 1 602176487 10 19 smkarkhxngidoxdchxththkiinxudmkhtihruxkdkhxngidoxdnnekidmacakkarxangsmmtithankhxngkrabwnkarekidkarkraaesiffainidoxdwa enuxngcaksnamiffa epnkarlxyphan karaephr aelakarrwmkhwamrxnxikkhrng thermal recombination generation nxkcakniyngsnnisthanwakraaescakkarrwmtwxikkhrng recombination generation R G inekhtplxdphahaimminysakhyid nnhmaykhwamwasmkarkhxngidoxdchxththkiimtxngkhanwnphlkhxngkrabwnkarthiekiywkhxngkbkarphngthlayemuxkraaesyxnklbaelaoftxnthichwyihekid R G phvtikrrmkhxngsyyankhnadelk inkarxxkaebbwngcr aebbcalxngkhxngsyyankhnadelkcakphvtikrrmkhxngidoxdthuknamaichnganxyubxykhrng aebbcalxngsyyankhnadelk Small signal model epnethkhnikhkarwiekhraahthangwiswkrrmiffa thixasykarpramanphvtikrrmkhxngxupkrnthangiffathiimmikhwamepnechingesn dwysmkarechingesn khwamepnechingesnnikhunxyukbcudibxskraaestrng DC bias point khxngxupkrn nnkkhuxradbkhxng aerngdn kraaes thiaesdngxxkemuximmisyyanthithuknamaich aelasamarththaihthuktxngiddwykarmxngthicudnixikdwy khwamtanthan emuxichsmkarchxththkiidoxd khakhwamtansyyankhnadelk rD displaystyle r D khxngidoxdsamarthekhamaekiywkbcudptbtikarn Q point thikraaesibxskraaestrng IQ displaystyle I Q aelaaerngdnichnganthicudptibtikarn VQ displaystyle V Q aerkerimedimthikhakhwamnasyyankhnadelk gD displaystyle g D thuktngkhun nnkhuxpracuiffainkraaesiffathiihlinidoxdthiekidmacakkarepliynaeplngelk khxngaerngdnthitkkhrxmidoxdhardwyaerngdntkkhrxmidoxdnn dngsmkar gD dIdV Q I0VTeVQ VT IQVT displaystyle g D frac dI dV Big Q frac I 0 V T e V Q V T approx frac I Q V T dd karpramankhaekidmacakkarxnumanwakraaesibxs IQ displaystyle I Q nnmakphxthicathaihkhatwprakxb factor khxngswnthilaelyidcaksmkarchxththkimikhaetha 1 odykarpramannimikhwamthuktxngaemaerngdncamikhata ephraaaerngdnxnenuxngmacakkhwamrxn thermal voltage VT 26mV displaystyle V T approx 26 mathrm mV thixunhphumi 300 ekhlwin 27 xngsaeslesiys dngnn VQ VT displaystyle V Q V T miaenwonmmakkhun hmaykhwamwatwchikalngmikhasungmak aetimichkbkhakhwamtanthansyyankhnadelk rD displaystyle r D sungepnswnklbkhxngkhakhwamnasyyankhnadelk khakhwamtanthansyyankhnadelkimkhunxyukbiffakraaesslb aetcakhunxyukbiffakraaestrngethann dngsmkar rD VTIQ displaystyle r D frac V T I Q dd khwamekbpracu pracuiffacanaphakraaesiffa IQ displaystyle I Q tamsutr Q IQtF QJ displaystyle Q I Q tau F Q J emux tF displaystyle tau F khuxewlathipracuekhluxnthiip swnaerktuxpracuthiekhluxnthiphanidoxdaelwekidkraaes IQ displaystyle I Q ihlphanidoxd thi swnthisxngkhuxpracuthiekbsasmxyuthirxytx p n cungmikhunlksnakhlaykbtwtanthanngay mikhukhwthangiffathimipracutrngkhamkn pracunnthukkkekbthiidoxdxasyaekhaerngdnthitkkhrxmtwmnephiyngaekhnn odyimkhanungthungkraaesiffathiihlphan karhakhakhwamekbpracukhxngidoxd CD displaystyle C D haidcaksmkar CD dQdVQ dIQdVQtF dQJdVQ IQVTtF CJ displaystyle C D frac dQ dV Q frac dI Q dV Q tau F frac dQ J dV Q approx frac I Q V T tau F C J dd emux CJ dQJdVQ displaystyle C J begin matrix frac dQ J dV Q end matrix khuxkhakhwamekbpracuthirxytx p n odypracuinswnaerkeriykwa khakhwamekbpracuaephr diffision capacitance ephraaekiywkhxngkbkraaesthiaephrtrngrxytxkhxngidoxd karfuntwklb chwngthaykhxngkaribxstrngkhxngidoxdaebbsarkungtwna caekidkraaesihliffathiihlyxnklbinchwngrayaewlasn twxupkrncayngimsamarthpxngknkraaesihlyxnklbidetmthicnkrathngkraaesthiekidihlyxnklbnnidsinsudlng phlkrathbthiekidkhunnnmikhwamslksakhyemuxmikarswitching switching khxngkraaesthisungaelarwderwmak di dt mikha 100 A µs hruxmakkwann khathiaennxnkhxng ewlafuntwklb reverse recovery time tr displaystyle t r xyuinchwngewlaepnnaonwinathi xaccaekhluxnyay pracufuntwklb reverse recovery charge Qr displaystyle Q r xyuinchwngnaonkhulxmp xxkcakidoxd inrayaewlarahwangfuntwniidoxdcasamarththanganinthisthangtrngkhamid aennxnwainkhwamepncringphlkrathbnimikhwamsakhyinkarphicarnakhwamsuyesiythiekidkhunxnenuxngmacakidoxdimepnxudmkhti xyangirktamxtrakaraekwng slew rate khxngkraaesiffannrunaerngmak di dt mikha 10 A µs hruxnxykwann phlkrathbniyngxyuineknththiplxdphycunglaelyiwid inkarichnganidoxdswnihycungimmiphlkrathbthisakhymaknk krnithikraaesihlyxnklbxyangchbphlnemuxpracuiffathithukekbsasmplxdphahaaelwcanaipichpraoychninkhntxnkarfuntwkhxngidoxdsahrbkaenidsyyanphlssnodyechphaapraephthkhxngidoxdaebbsarkungtwnaidoxdeplngaesnghruxaexlxidi Light Emitting Diode LED LED epnidoxdthiichsarpraephthaekleliymxaresnintfxsift Gallium Arsenide Phosphide GaAsP hruxsaraekleliymfxsift Gallium Phosphide GaP mathaepnsarkungtwnachnid p aela n aethnsar Si aela Ge sarehlanimikhunlksnaphiess khux samartheruxngaesngidemuxidrbibxstrng karekidaesngthitw LED nieraeriykwa xielkothrluminiesnt Electroluminescence pccubnniymich LED aesdngphlinekhruxngmuxxielkthrxniks echn ekhruxngkhidelkh nalika epntn ofotidoxd epnidoxdthixasyaesngcakphaynxkphanelns sungfngtwxyurahwangrxytx p n ephuxkratunihidoxdthangan kartxofotidoxdephuxichngancaepnaebbibxsklb thngniephraaimtxngkarihofotidoxdthanganinthnthithnid aettxngkarihidoxdthanganechphaaemuxmiprimanaesngswangmakphxtamthikahndesiykxn klawkhux emuxelnskhxngofotidoxdidrbaesngswangcaekidkraaesrwihl primankraaesrwihlniephimkhuntamkhwamekhmkhxngaesng idoxdkalng Power Diode idoxdkalng epnidoxdthixxkaebbihbriewnrxytxmichwngkwangmakkwaidoxdthwip ephuxnaipichkbnganthimikalngiffasung kraaessungaelathntxxunhphumisungid echn prakxbepnwngcreriyngkraaes inxielkthrxnikskalng epntn caehnidwaemuxphikdkraaesiffamikhahlayrxyaexmp thaihidoxdmixunhphumikhnathangansung odythwipcungniymichrwmkbtwrabaykhwamrxn Heat Sinks ephuxephimphunthirabaykhwamrxnphayintwidoxdkalng idoxdwaaerketxrhruxwariaekhpepnidoxdthimilksnaphiess khux samarthprbkhakhapasiaetnsechuxmtx Ct idodykarprbkhaaerngdnibxsklb idoxdpraephthnimiokhrngsrangehmuxnkbidoxdthwip khnaaerngdnibxsklb Reverse Bias Voltage Vr mikhata Depletion Region caaekhblngthaih Ct trngrxytxmikhasung aetinthangtrngkhamthaeraprb Vr ihsungkhun Depletion Region cakhyaykwangkhun thaih Ct mikhata caklksnadngklaw eracungnawariaekhpipichinwngcrprbkhwamthi echn wngcrcunkhwamthixtonmti Automatic Fine Tunning AFC aelawngcrkrxngkhwamthisungprbchwngkhwamthiidtamtxngkar Variable Bandpass Filter epntn sienxridoxd Zener Diode sienxridoxdepnxupkrnsarkungtwnathinakraaesidemuxidrbibxsklb aelaradbaerngdnibxsklbthinasienxridoxdipichnganideriykwa radbaerngdnphngthlaysienxr Zener Breakdown Voltage Vz sienxridoxdcamiaerngdnibxsklb Vr nxykwa Vz elknxy idoxdpraephthniehmaathicanaipichkhwbkhumaerngdnthiohldhruxwngcrthitxngkaraerngdnkhngthi echn prakxbxyuinaehlngcayifeliyng hruxowlethcerkueletxridoxdinthangxudmkhtiidoxdinxudmkhti Ideal Diode milksnaehmuxnswitchthisamarthnakraaesihlphanidinthisthangediyw thatxkhwaebtetxriihepnaebbibxstrngidoxdcaepriybepnesmuxnkbswitchthipid Close Switch hruxidoxdldwngcr Short Circuit Id ihlphanidoxdid aetthatxkhwaebtetxriaebbibxsklb idoxdcaepriybepnesmuxnswitchepid Open Switch hruxepidwngcr Open Circuit thaih Id ethakbsunyidoxdinthangptibtiidoxdinthangptibti Practical Diode mikaraephrkracaykhxngphahaswnnxythibriewnrxytxxyucanwnhnung dngnn thatxibxstrngihkbidoxdinthangptibtikcaekid aerngdnesmuxn Ge gt 0 3V Si gt 0 7V sungtanaerngdniffathicayephuxkaribxstrng khnadkhxngaerngdnesmuxncungepntwbxkcudthangan dngnn cungeriyk aerngdnesmuxn xikxyanghnungwa aerngdninkarepid Turn on Voltage Vt krniibxsklb erathrabwa Depletion Region cakhyaykwangkhun aetkyngmiphahakhangnxyaephrkracaythirxytxxyucanwnhnung aetkyngmikraaesrwihlxyucanwnhnung eriykwa kraaesrwihl Leakage Current emuxephimaerngdniffakhuneruxy kraaesrwihlcaephimkhuncnthungcudthiidoxdnakraaesephimkhunmak radbkraaesthicudni eriykwa kraaesximtwyxnklb Reverse Saturation Current Is aerngdniffathicudni eriykwa aerngdnphngthlay Breakdown Voltage aelathaaerngdnibxssungkhuncnthungcudsungsudthiidoxdthnid eraeriykwa aerngdnphngthlaysienxr Zener Breakdown Voltage Vz thaaerngdnibxsklbsungkwa Vz caekidkhwamrxnxyangmakthirxytxkhxngidoxd sngphlihidoxdesiyhayhruxphngid aerngdniffathicudnieraeriykwa aerngdnphngthlayxwaaelns Avalance Breakdown Voltage dngnn karnaidoxdipichngancungichkbkaribxstrngethannphlkrathbkhxngxunhphumi Temperature Effects cakkarthdlxngphbwa Is khxng Si camikhaephimkhunekuxb 2 etha thuk khrngthixunhphumiephimkhun 10 xngsaeslesiys khnathi Ge mikha Is epn 1 hrux 2 imokhraexmp thi 25 xngsaeslesiys aetthi 100 xngsaeslesiyscamikha Is ephimkhunepn 100 micro amp radbkraaesiffakhnadnicaepnpyhatxkarepidwngcreruxngcakidrbkaribxsklb ephraaaethnthi Id camikhaiklekhiyngsuny aetklbnakraaesidcanwnhnungtamxunhphumithiephimkhunxupkrnthiekiywkhxngtweriyngkraaes thransisetxr hrux SCR Silicon Controlled Rectifier warisetxrxangxing Physical Explanation General Semiconductors 2010 05 25 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2016 05 16 subkhnemux 2010 08 06 The Constituents of Semiconductor Components 2010 05 25 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2016 05 16 subkhnemux 2010 08 06 1928 Nobel Lecture Owen W Richardson Thermionic phenomena and the laws which govern them December 12 1929 Thomas A Edison Electrical Meter U S Patent 307 030 Issue date Oct 21 1884 Road to the Transistor Jmargolin com subkhnemux 2008 09 22 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2006 02 11 subkhnemux 2011 04 16 Encyclobeamia solarbotics net khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2016 03 03 subkhnemux 2010 08 06 U S Patent 836 531 R C Jaeger and T N Blalock 2004 Microelectronic Circuit Design second ed McGraw Hill ISBN 0 07 232099 0 PDF khlngkhxmulekaekbcakaehlngedim PDF emux 2011 10 07 subkhnemux 2011 04 16 PDF khlngkhxmulekaekbcakaehlngedim PDF emux 2011 10 07 subkhnemux 2011 04 16 PDF khlngkhxmulekaekbcakaehlngedim PDF emux 2011 10 07 subkhnemux 2011 04 16 aehlngkhxmulxunxielkhthrxniksebuxtneruxngidoxd 2009 04 10 thi ewyaebkaemchchinbthkhwamethkhonolyi hrux singpradisthniyngepnokhrng khunsamarthchwywikiphiediyidodykarephimetimkhxmuldk