พระมหากัสสปะ เป็นพระอรหันต์สาวกองค์หนึ่งของพระโคตมพุทธเจ้า เป็นเอตทัคคะที่ทรงยกย่องและให้ถือเป็นแบบอย่างในด้านผู้ทรงธุดงค์และสรรเสริญคุณแห่งธุดงค์ ภายหลังที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ท่านได้เป็นประธานในการ
พระมหากัสสปะ | |
---|---|
พระมหากัสสปะกระทำอัญชลีก่อนถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ พระพุทธรูปในวัดอินทารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร | |
ข้อมูลทั่วไป | |
ชื่อเดิม | ปิปผลิ |
สถานที่เกิด | หมู่บ้านมหาติตถะ แคว้นมคธ |
สถานที่บวช | ต้นไทรพหุปุตตนิโครธ ระหว่างเมืองราชคฤห์ กับนาลันทา |
วิธีบวช | โอวาทปฏิคคหณูปสัมปทา |
สถานที่บรรลุธรรม | พหุปุตตเจดีย์ |
เอตทัคคะ | ผู้ทรงธุดงควัตร |
อาจารย์ | พระโคตมพุทธเจ้า |
สถานที่นิพพาน | |
ฐานะเดิม | |
บิดา | กปิลพราหมณ์ |
วรรณะเดิม | พราหมณ์ |
สถานที่รำลึก | |
สถานที่ | ประตูถ้ำสัตตบรรณคูหาข้างภูเขาเวภาระ กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ สถานที่ทำสังคายนาครั้งแรก |
ส่วนหนึ่งของ |
ประวัติ
ก่อนบวช
พระมหากัสสปะมีนามว่า ปิปผลิ เป็นบุตรของกปิลพราหมณ์ เกิดที่หมู่บ้านมหาติตถะ แคว้นมคธ เมื่ออายุเข้าย่างสู่ 20 ปี มารดาบิดาของท่านรบเร้าให้ท่านแต่งงาน ท่านปฏิเสธเพราะตั้งใจว่าเมื่อดูแลมารดาบิดาจนทั้งสองเสียชีวิตแล้วก็จะออกบวช แต่มารดาบิดาของท่านยังยืนยันให้ท่านแต่งงานเพื่อดำรงวงศ์ตระกูล ปิปผลิจึงจ้างช่างหล่อทองคำเป็นรูปหญิงสาว ประดับด้วยผ้านุ่งสีแดง ดอกไม้ และเครื่องประดับต่าง ๆ แล้วบอกมารดาว่าถ้าหาหญิงสาวลักษณะตามรูปปั้นนี้ได้จึงจะยอมแต่งงาน มารดาของท่านจึงให้พราหมณ์ ๘ คนนำรูปหล่อไปตามหาหญิงสาวที่มีลักษณะตามนั้น เมื่อได้พบ จึงแจ้งให้กบิลพราหมณ์ทราบ ทั้งปิปผลิและภัททาต่างไม่อยากแต่งงานจึงแอบส่งจดหมายขอให้อีกฝ่ายหาคู่ครองใหม่ แต่คนถือจดหมายได้แปลงข้อความในจดหมาย ทั้งสองจึงได้แต่งงานกันในที่สุด
ออกบวช
วันหนึ่ง ปิปผลิไปตรวจนาเห็นฝูงนกจิกกินไส้เดือน จึงถามบริวารว่าบาปของสัตว์พวกนั้นตกแก่ใคร บริวารว่าตกแก่ท่านปิปผลิ ท่านสังเวชใจว่าถ้าอกุศลกรรมแบบนี้ตกแก่ท่านแล้ว ถึงเวียนว่ายตายเกิดสักพันชาติก็คงไม่พ้นทุกข์ กลับถึงบ้านแล้วจึงบอกภรรยาว่าจะออกบวช ภรรยาของท่านก็จะออกบวชเช่นกัน ทั้งสองปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสายะ ตั้งใจออกบวชเพื่ออุทิศพระอรหันต์ในโลกแล้วออกจากไปจนถึงทางแยกก็แยกกันเดินทาง ขณะที่แยกทางกันนั้นก็เกิดแผ่นดินไหว
บรรลุอรหัตผล
หลังจากบวชได้ครบ 7 วัน เข้าวันที่ 8 พระมหากัสสปะก็พบพระพุทธเจ้าขณะประทับที่พหุปุตตเจดีย์ พระองค์ประทานโอวาทแก่ท่าน 3 ข้อ คือ
- มีหิริและโอตตัปปะอย่างแรงกล้าในภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเถระ ผู้เป็นนวกะ และผู้เป็น
- ฟังธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งประกอบด้วยกุศล จักกระทำธรรมนั้นทั้งหมดให้เป็นประโยชน์ มนสิการถึงธรรมนั้นทั้งหมด จักประมวลจิตมาทั้งหมด เงี่ยโสตสดับธรรม
- ไม่ละกายคตาสติที่ประกอบด้วยความยินดี
พระมหากัสสปะฟังแล้วก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ จากนั้นท่านนำผ้าสังฆาฏิของตนปูถวายพระพุทธเจ้าให้ทรงประทับนั่ง พระพุทธเจ้าจึงประทานผ้าป่านบังสุกุลให้ท่านใช้แทน ขณะนั้นแผ่นดินก็ไหวขึ้นเพราะไม่เคยมีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะประทานจีวรที่ทรงใช้แล้วแก่พระสาวก พระมหากัสสปะประทับใจมากด้วยระลึกว่าท่านเป็น "บุตรของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้เกิดแต่อก เกิดแต่พระโอษฐ์ เกิดแต่พระธรรม อันพระธรรมเนรมิตแล้ว เป็นธรรมทายาท ได้รับผ้าป่านบังสุกุลที่ใช้สอยแล้ว"
ปฐมสังคายนา
พระมหากัสสปเถระได้ทราบข่าวการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้วได้ 7 วัน ขณะที่ท่านกำลังเดินทางอยู่ ณ เมืองปาวาพร้อมด้วยหมู่ศิษย์จำนวนมาก เมื่อได้ทราบข่าวนั้น เหล่าศิษย์ของพระมหากัสสปะซึ่งยังเป็นปุถุชนอยู่ ได้ร้องไห้คร่ำครวญกัน ณ ที่นั้น จึงมีพระภิกษุผู้บวชเมื่อแก่รูปหนึ่ง ชื่อว่าสุภัททะ ได้กล่าวขึ้นว่า "พอทีเถิด พวกท่านอย่าโศกเศร้า อย่าคร่ำครวญเลย พวกเรารอดพ้นดีแล้วจากพระมหาสมณะรูปนั้นที่คอยจ้ำจี้จ้ำไชพวกเราอยู่ว่า ‘สิ่งนี้ควรแก่พวกเธอ สิ่งนี้ไม่ควรแก่พวกเธอ’ บัดนี้ พวกเราปรารถนาสิ่งใด ก็จักทำสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใด ก็จักไม่ทำสิ่งนั้น" พระมหากัสสปะได้ฟังเช่นนั้นก็ดำริขึ้นว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานเพียง 7 วัน ก็มีผู้คิดที่จะทำให้เกิดความแปรปรวน หรือประพฤติปฏิบัติให้วิปริตไปจากพระธรรมวินัยเช่นนี้ จึงควรจะทำสังคายนาและจะชักชวนพระอรหันต์เถระทั้งหลาย ซึ่งล้วนทันเห็นพระพุทธเจ้า ได้ฟังคำสอนของพระองค์มาโดยตรง เป็นผู้รู้คำสอนของพระพุทธเจ้า และได้อยู่ในหมู่สาวกที่เคยสนทนาตรวจสอบกันอยู่เสมอ รู้ว่าสิ่งใดที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้มาประชุมกัน เพื่อช่วยกันแสดง ถ่ายทอด รวบรวม ประมวลคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วตกลงวางมติไว้ ใช้เวลา 7 เดือน พระเจ้าอชาตศัตรู เป็นผู้อุปถัมภ์
การจึงได้จัดขึ้นที่ถ้ำสัตบรรณคูหา กรุงราชคฤห์ ตามคำปรารภของพระมหากัสสปะเถระ โดยมีพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นองค์อุปถัมภ์ ใช้เวลาในการสังคายนารวบรวมพระธรรมวินัยอยู่ 7 เดือนจึงแล้วเสร็จ โดยในครั้งนั้น พระมหากัสสปะเถระเป็นประธานทำสังคายนา พระอานนท์เป็นองค์วิสัชชนาแสดงพระธรรม พระอุบาลีเป็นองค์วิสัชชนาพระวินัยปิฎก การสังคายนาครั้งนั้นนับเป็นต้นกำเนิดของพระไตรปิฎกภาษาบาลีที่ใช้ในนิกายเถรวาทในปัจจุบัน
อ้างอิง
- เชิงอรรถ
- ปฐมวรรค, พระสุตตัตนตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกกนิบาต ๑๔. เอตทัคควรรค ๑. ปฐมวรรค
- อรรถกถาสูตรที่ ๔ ประวัติพระมหากัสสปเถระ, อรรถกถาอังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอตทัคคบาลี วรรคที่ ๑
- จีวรสูตร, พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค [๕. กัสสปสังยุต]
- สังคีตินิทาน, พระวินัยปืฎก จูฬวรรค [๑๑. ปัญจสติก ขันธกะ] ๑. สังคีตินิทาน ๑๑. ปัญจกสติกขันธกะ
- บรรณานุกรม
- พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ก่อนหน้า | พระมหากัสสปะ | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
— | ประธานการสังคายนาครั้งที่ 1 | ประธานการสังคายนาครั้งที่ 2 |
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
phramhaksspa epnphraxrhntsawkxngkhhnungkhxngphraokhtmphuththeca epnextthkhkhathithrngykyxngaelaihthuxepnaebbxyangindanphuthrngthudngkhaelasrresriykhunaehngthudngkh phayhlngthiphraphuththecapriniphphan thanidepnprathaninkarphramhaksspaphramhaksspakrathaxychlikxnthwayphraephlingphraphuththsrira phraphuththrupinwdxintharamwrwihar krungethphmhankhrkhxmulthwipchuxedimpipphlisthanthiekidhmubanmhatittha aekhwnmkhthsthanthibwchtnithrphhuputtniokhrth rahwangemuxngrachkhvh kbnalnthawithibwchoxwathptikhkhhnupsmpthasthanthibrrluthrrmphhuputtecdiyextthkhkhaphuthrngthudngkhwtrxacaryphraokhtmphuththecasthanthiniphphanthanaedimbidakpilphrahmnwrrnaedimphrahmnsthanthiraluksthanthipratuthasttbrrnkhuhakhangphuekhaewphara krungrachkhvh aekhwnmkhth sthanthithasngkhaynakhrngaerkswnhnungkhxngsaranukrmphraphuththsasnaprawtikxnbwch citrkrrmphaphphramhaksspa inthakhisil xayurawstwrrsthi 6 phramhaksspaminamwa pipphli epnbutrkhxngkpilphrahmn ekidthihmubanmhatittha aekhwnmkhth emuxxayuekhayangsu 20 pi mardabidakhxngthanrberaihthanaetngngan thanptiesthephraatngicwaemuxduaelmardabidacnthngsxngesiychiwitaelwkcaxxkbwch aetmardabidakhxngthanyngyunynihthanaetngnganephuxdarngwngstrakul pipphlicungcangchanghlxthxngkhaepnruphyingsaw pradbdwyphanungsiaedng dxkim aelaekhruxngpradbtang aelwbxkmardawathahahyingsawlksnatamruppnniidcungcayxmaetngngan mardakhxngthancungihphrahmn 8 khnnaruphlxiptamhahyingsawthimilksnatamnn emuxidphb cungaecngihkbilphrahmnthrab thngpipphliaelaphththatangimxyakaetngngancungaexbsngcdhmaykhxihxikfayhakhukhrxngihm aetkhnthuxcdhmayidaeplngkhxkhwamincdhmay thngsxngcungidaetngngankninthisud xxkbwch wnhnung pipphliiptrwcnaehnfungnkcikkiniseduxn cungthambriwarwabapkhxngstwphwknntkaekikhr briwarwatkaekthanpipphli thansngewchicwathaxkuslkrrmaebbnitkaekthanaelw thungewiynwaytayekidskphnchatikkhngimphnthukkh klbthungbanaelwcungbxkphrryawacaxxkbwch phrryakhxngthankcaxxkbwchechnkn thngsxngplngphmnunghmphakasaya tngicxxkbwchephuxxuthisphraxrhntinolkaelwxxkcakipcnthungthangaeykkaeykknedinthang khnathiaeykthangknnnkekidaephndinihw brrluxrhtphl hlngcakbwchidkhrb 7 wn ekhawnthi 8 phramhaksspakphbphraphuththecakhnaprathbthiphhuputtecdiy phraxngkhprathanoxwathaekthan 3 khx khux mihiriaelaoxttppaxyangaerngklainphiksuthnghlayphuepnethra phuepnnwka aelaphuepn fngthrrmxyangidxyanghnungsungprakxbdwykusl ckkrathathrrmnnthnghmdihepnpraoychn mnsikarthungthrrmnnthnghmd ckpramwlcitmathnghmd engiyostsdbthrrm imlakaykhtastithiprakxbdwykhwamyindi phramhaksspafngaelwkidbrrluepnphraxrhnt caknnthannaphasngkhatikhxngtnputhwayphraphuththecaihthrngprathbnng phraphuththecacungprathanphapanbngsukulihthanichaethn khnannaephndinkihwkhunephraaimekhymimakxnthiphraphuththecacaprathanciwrthithrngichaelwaekphrasawk phramhaksspaprathbicmakdwyralukwathanepn butrkhxngphraphumiphraphakh epnphuekidaetxk ekidaetphraoxsth ekidaetphrathrrm xnphrathrrmenrmitaelw epnthrrmthayath idrbphapanbngsukulthiichsxyaelw pthmsngkhaynasthanthithasngkhaynakhrngaerk phramhaksspethraidthrabkhawkarpriniphphankhxngphraphuththeca emuxphraxngkhpriniphphanaelwid 7 wn khnathithankalngedinthangxyu n emuxngpawaphrxmdwyhmusisycanwnmak emuxidthrabkhawnn ehlasisykhxngphramhaksspasungyngepnputhuchnxyu idrxngihkhrakhrwykn n thinn cungmiphraphiksuphubwchemuxaekruphnung chuxwasuphththa idklawkhunwa phxthiethid phwkthanxyaoskesra xyakhrakhrwyely phwkerarxdphndiaelwcakphramhasmnarupnnthikhxycacicaichphwkeraxyuwa singnikhwraekphwkethx singniimkhwraekphwkethx bdni phwkeraprarthnasingid kckthasingnn imprarthnasingid kckimthasingnn phramhaksspaidfngechnnnkdarikhunwaphraphuththecapriniphphanephiyng 7 wn kmiphukhidthicathaihekidkhwamaeprprwn hruxpraphvtiptibtiihwipritipcakphrathrrmwinyechnni cungkhwrcathasngkhaynaaelacachkchwnphraxrhntethrathnghlay sunglwnthnehnphraphuththeca idfngkhasxnkhxngphraxngkhmaodytrng epnphurukhasxnkhxngphraphuththeca aelaidxyuinhmusawkthiekhysnthnatrwcsxbknxyuesmx ruwasingidthiepnkhasxnkhxngphraphuththeca ihmaprachumkn ephuxchwyknaesdng thaythxd rwbrwm pramwlkhasngsxnkhxngphraphuththeca aelwtklngwangmtiiw ichewla 7 eduxn phraecaxchatstru epnphuxupthmph karcungidcdkhunthithastbrrnkhuha krungrachkhvh tamkhaprarphkhxngphramhaksspaethra odymiphraecaxchatstruepnxngkhxupthmph ichewlainkarsngkhaynarwbrwmphrathrrmwinyxyu 7 eduxncungaelwesrc odyinkhrngnn phramhaksspaethraepnprathanthasngkhayna phraxannthepnxngkhwischchnaaesdngphrathrrm phraxubaliepnxngkhwischchnaphrawinypidk karsngkhaynakhrngnnnbepntnkaenidkhxngphraitrpidkphasabalithiichinnikayethrwathinpccubnxangxingechingxrrthpthmwrrkh phrasutttntpidk xngkhuttrnikay exkknibat 14 extthkhkhwrrkh 1 pthmwrrkh xrrthkthasutrthi 4 prawtiphramhaksspethra xrrthkthaxngkhuttrnikay exknibat extthkhkhbali wrrkhthi 1 ciwrsutr phrasuttntpidk sngyuttnikay nithanwrrkh 5 ksspsngyut sngkhitinithan phrawinypudk culwrrkh 11 pycstik khnthka 1 sngkhitinithan 11 pyckstikkhnthka brrnanukrmphraitrpidkphasaithy chbbmhaculalngkrnrachwithyalykxnhna phramhaksspa thdip prathankarsngkhaynakhrngthi 1 prathankarsngkhaynakhrngthi 2