นกกระเรียนไทย | |
---|---|
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Animalia |
ไฟลัม: | Chordata |
ชั้น: | Aves |
อันดับ: | |
วงศ์: | Gruidae |
สกุล: | |
สปีชีส์: | G. antigone |
ชื่อทวินาม | |
Grus antigone (Linnaeus, 1758) | |
ชนิดย่อย | |
| |
การกระจายพันธุ์ของนกกระเรียนไทยในปัจจุบัน (สีเขียว) | |
ชื่อพ้อง | |
|
นกกระเรียนไทย หรือ นกกระเรียน เป็นนกขนาดใหญ่ที่ไม่ใช่นกอพยพ พบในบางพื้นที่ของอนุทวีปอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศออสเตรเลีย เป็นนกบินได้ที่สูงที่สุดในโลก เมื่อยืนจะสูงถึง 1.8 เมตร สังเกตเห็นได้ง่าย ในพื้นที่ชุ่มน้ำเปิดโล่ง นกกระเรียนไทยแตกต่างจากนกกระเรียนอื่นในพื้นที่เพราะมีสีเทาทั้งตัวและมีสีแดงที่หัวและบริเวณคอด้านบน หากินในที่ลุ่มมีน้ำขังบริเวณน้ำตื้น กินราก หัว แมลง สัตว์น้ำ และสัตว์มีกระดูกสันหลังขนาดเล็กเป็นอาหาร นกกระเรียนไทยเหมือนกับนกกระเรียนอื่นที่มักมีคู่ตัวเดียวตลอดชีวิต นกกระเรียนจะปกป้องอาณาเขตและเกี้ยวพาราสีโดยการกางปีก ส่งเสียงร้อง กระโดดซึ่งดูคล้ายกับการเต้นรำ ในประเทศอินเดียนกกระเรียนเป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ในชีวิตแต่งงาน เชื่อกันว่าเมื่อคู่ตาย นกอีกตัวจะเศร้าโศกจนตรอมใจตายตาม ฤดูผสมพันธุ์หลักอยู่ในฤดูฝน คู่นกจะสร้างรังเป็น "เกาะ" รูปวงกลมจากกก อ้อ และพงหญ้า มีเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบสองเมตรและสูงเพียงพอที่จะอยู่เหนือจากน้ำรอบรัง นกกระเรียนไทยกำลังลดลงอย่างรวดเร็วในคริสต์ศตวรรษที่ผ่านมา คาดกันว่าประชากรมีเพียง 10 หรือน้อยกว่า (ประมาณร้อยละ 2.5) ของจำนวนที่มีอยู่ในคริสต์ทศวรรษ 1850 ประเทศอินเดียคือแหล่งที่มั่นของนกชนิดนี้ ที่ซึ่งนกเป็นที่เคารพและอาศัยอยู่ในพื้นที่การเกษตรใกล้กับมนุษย์ นกกระเรียนนั้นสูญหายไปจากพื้นที่การกระจายพันธุ์ในหลาย ๆ พื้นที่ในอดีต
ลักษณะ
นกกระเรียนไทยเป็นนกขนาดใหญ่ มีลำตัวและปีกสีเทา คอตอนบนและหัวเป็นหนังเปลือยสีแดงไม่มีขน ตรงกระหม่อมเป็นสีเทาหรือเขียว คอยาวเวลาบินคอจะเหยียดตรงไม่เหมือนกับนกกระสาซึ่งจะงอพับไปด้านหลัง ขนปลายปีกและขนคลุมขนปลายปีกสีดำ ขนคลุมขนปีกด้านล่างสีเทา ขนโคนปีกสีขาว ขายาวเป็นสีชมพู มีแผ่นขนหูสีเทา ม่านตาสีส้มแดง ปากแหลมสีดำแกมเทา นักวัยอ่อนมีปากสีค่อนข้างเหลืองที่ฐาน หัวสีน้ำตาลเทาหรือสีเนื้อปกคลุมด้วยขนนก
หนังเปลือยสีแดงบริเวณหัวจะแดงสดใสในช่วงฤดูผสมพันธุ์ หนังบริเวณนี้จะหยาบเป็นตะปุ่มตะป่ำ มีขนสีดำตรงข้างแก้มและท้ายทอยบริเวณแคบ ๆ ทั้งสองเพศมีลักษณะและสีคล้ายกัน เพศผู้ใหญ่กว่าเพศเมียเล็กน้อย ไม่มีความแตกต่างทางเพศอื่นที่ชัดเจนอีก นกกระเรียนไทยเพศผู้ในอินเดียมีขนาดสูงที่สุดคือประมาณ 200 เซนติเมตร ช่วงปีกยาว 250 เซนติเมตร ทำให้นกกระเรียนไทยเป็นนกที่บินได้ที่สูงที่สุดในโลก ในชนิดย่อย antigone มีน้ำหนัก 6.8–7.8 กิโลกรัม ขณะที่ sharpii มีน้ำหนักประมาณ 8.4 กิโลกรัม โดยทั่วไปแล้วจะมีน้ำหนัก 5–12 กิโลกรัม สูง 115–167 เซนติเมตร ช่วงปีกยาว 220–280 เซนติเมตร นกจากประเทศออสเตรเลียจะมีขนาดเล็กกว่านกจากเขตทางเหนือ
ในประเทศออสเตรเลีย นกกระเรียนไทยมักจะสับสนกับนกกระเรียนออสเตรเลีย สีแดงบนหัวของนกกระเรียนออสเตรเลียจะมีแค่บนหัวไม่แผ่ลงมาถึงคอ
การกระจายพันธุ์และถิ่นอาศัย
ในอดีต นกกระเรียนไทยมีการกระจายพันธุ์เป็นวงกว้างบนพื้นที่ราบลุ่มในประเทศอินเดียยาวตลอดแม่น้ำคงคา ทางใต้ไปถึงแม่น้ำโคทาวรี ทางตะวันตกไปถึงชายฝั่งรัฐคุชราต เขตถารปารกร (Tharparkar) ของประเทศปากีสถาน และทางตะวันออกถึงรัฐเบงกอลตะวันตกและรัฐอัสสัม ไม่พบการขยายพันธุ์ในรัฐปัญจาบมานานแล้ว แม้ว่าจะพบบ้างประปรายในฝั่งอินเดียในฤดูหนาว นกกระเรียนหาพบได้ยากและมีจำนวนน้อยมากในรัฐเบงกอลตะวันตกและรัฐอัสสัม และไม่พบมานานแล้วในรัฐพิหาร ในประเทศเนปาล การกระจายพันธุ์จำกัดอยู่เพียงที่ราบลุ่มฝั่งตะวันตก ประชากรส่วนมากอยู่ในเขตรูปันเทหี (Rupandehi) กบิลพัสดุ์ (Kapilvastu) และนวัลปราสี (Nawalparasi)
มีประชากรสองกลุ่มในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่แตกต่างกันคือ ประชากรตอนเหนืออยู่ในประเทศจีนและพม่า และประชากรตอนใต้อยู่ในกัมพูชาและเวียดนาม นอกจากนั้น ยังเคยพบในประเทศไทยและทางตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ แต่ในทั้งสองประเทศสูญพันธุ์ไปแล้วจากธรรมชาติ ในประเทศออสเตรเลียพบในบริเวณด้านเหนือของประเทศ และมีการอพยพไปยังบางพื้นที่ พิสัยการกระจายพันธุ์ของนกกระเรียนไทยกำลังลดลงและพื้นที่ที่เกิดมากที่สุดคือประเทศอินเดียซึ่งพื้นที่ลุ่มน้ำขนาดใหญ่ถูกทำลาย นกเหล่านี้จึงต้องอาศัยในนาข้าวในการเพิ่มจำนวน แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะพบนกกระเรียนในที่ราบลุ่ม แต่ก็มีรายงานว่าพบบนที่ราบสูงทางเหนือในฮาร์กิตซาร์ (Harkit Sar) และคาฮัง (Kahag) ในรัฐชัมมูและกัศมีร์ นอกการนี้นกกระเรียนยังขยายพันธุ์ในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลมาก ๆ เช่น ใกล้กับเขื่อนพอง (Pong Dam) ในรัฐหิมาจัลประเทศที่ซึ่งประชากรนกกระเรียนอาจจะเพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของการเพาะปลูกข้าวตามแหล่งกักเก็บน้ำ
นกกระเรียนมักอาศัยอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำ หรือนาข้าวที่ไม่ได้เพราะปลูกที่มีน้ำท่วมขัง (ในพื้นที่เรียกว่า khet-taavadi) สำหรับสร้างรัง การจับคู่ผสมพันธุ์มักจะเกิดในพื้นที่ชุ่มน้ำตามธรรมชาติมากกว่าแต่ก็ยังมีในนาข้าวหรือข้าวสาลีบ่อย ๆ
อนุกรมวิธานและชนิดย่อย
นกกระเรียนชนิดนี้จำแนกโดยลินเนียสในปี ค.ศ. 1758 และจัดอยู่ในสกุล Ardea ร่วมกับนกกระสาขนาดใหญ่ เอ็ดเวิร์ด ไบลท์ (Edward Blyth) ตีพิมพ์เอกสารเกี่ยวกับนกกระเรียนในปี ค.ศ. 1881 ซึ่งเขาพิจารณานกกระเรียนไทยในประเทศอินเดียเป็นสองชนิดคือ Grus collaris และ Grus antigone ปัจจุบันจำแนกออกเป็นหนึ่งชนิด สามชนิดย่อย ส่วนชนิดย่อยซึ่งมีประชากรอยู่ในประเทศฟิลิปปินส์และสูญพันธุ์ไปแล้วยังคงเป็นที่กังขา
- G. a. antigone หรือ นกกระเรียนอินเดีย เป็นนกกระเรียนที่พบในตอนเหนือและตอนกลางของประเทศอินเดีย เหลือประมาณ 10,000 ตัว เป็นชนิดย่อยมีขนาดใหญ่ที่สุด ที่มีลักษณะต่างไปจากชนิดย่อยอื่นคือมีปลอกคอสีขาวระหว่างหัวและคอ และตำแหน่งขนโคนปีกสีขาว
- G. a. sharpii หรือ นกกระเรียนอินโดจีน หรือ นกกระเรียนหัวแดง กระจายพันธุ์ทางตะวันออกของพม่าแผ่ไปถึงเกาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันเหลือเพียงในประเทศกัมพูชา เวียดนาม และลาว เหลือประมาณ 1,000 ตัว ชนิดย่อยนี้มีสีขนเข้มกว่า antigone ผู้แต่งบางคนพิจารณาว่า antigone และ sharpii เป็นตัวแทนของประชากรที่มาจากการเปลี่ยนแปลงของลักษณะที่แตกต่างแบบค่อยเป็นค่อยไป
- G. a. gilliae หรือ นกกระเรียนออสเตรเลีย พบในทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลีย เหลือประมาณ 4,000 ตัว เดิมจัดเป็น sharpii (บางครั้งสะกดเป็น sharpei แต่แก้ไขให้เป็นไปตามกฎไวยากรณ์ของภาษาละติน) ต่อมาจึงแยกออกมาและตั้งชื่อเป็น gilliae (บางครั้งสะกดว่า gillae หรือ gilli) ในปี ค.ศ. 1988 พบครั้งแรกในประเทศออสเตรเลียเมื่อปี ค.ศ. 1969 และถือเป็นนกอพยพ ในนกท้องถิ่นออสเตรเลีย นกกระเรียนไทยและนกกระเรียนออสเตรเลียคล้ายกันมากแต่ก็ยังมีความแตกต่างกัน มีการเรียกนกกระเรียนไทยว่า "นกกระเรียนที่จุ่มหัวลงไปในเลือด" ชนิดย่อยนี้มีขนสีเข้มกว่าอย่างเห็นได้ชัดและแผ่นขนหูสีเทาใหญ่กว่า มีขนาดเล็กที่สุด
- G. a. luzonica หรือ นกกระเรียนเกาะลูซอน อาศัยอยู่ในประเทศฟิลิปปินส์ แต่คาดว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว อาจเป็นชื่อพ้องกับ gilliae หรือ sharpii
วิวัฒนาการ
บันทึกซากดึกดำบรรพ์ของนกกระเรียนนั้นมีไม่มากพอ วงศ์ย่อยที่สามารถระบุได้ว่าเป็นนกกระเรียนนั้นพบในตอนปลายของยุคแรกเริ่มที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมถือกำเนิดขึ้นมาหรือสมัยอีโอซีน (ประมาณ 35 ล้านปีมาแล้ว) ส่วนสกุลนกกระเรียนในปัจจุบันปรากฏขึ้นเมื่อ 20 ล้านปีมาแล้ว จากการศึกษาทางชีวภูมิศาสตร์ (biogeography) ของซากดึกดำบรรพ์ที่รู้จักและอยู่ในอนุกรมวิธานของนกกระเรียนแสดงว่ากลุ่มอาจมีต้นกำเนิดมาจากโลกเก่า ความหลากหลายเท่าที่มีอยู่ในระดับสกุลมีศูนย์กลางอยู่ที่ทางตะวันออกของทวีปแอฟริกาแต่เป็นที่เศร้าใจมากที่ไม่มีบันทึกซากดึกดำบรรพ์ในสภาพดีจากที่นั่นเลย ในทางตรงกันข้ามกลับมีซากดึกดำบรรพ์ของนกกระยางเป็นจำนวนมากที่ได้รับการบันทึกไว้จากที่นั้น ซึ่งคาดกันว่ามันใช้ถิ่นอาศัยร่วมกับนกกระเรียน
จากบันทึกซากดึกดำบรรพ์ สกุล Grus สามารถสืบสาวย้อนไปได้ถึง 12 ล้านปีหรือมากกว่านั้น ด้วยการวิเคราะห์ไมโทคอนเดรียลดีเอ็นเอ (Mitochondrial DNA) จากตัวอย่างนกกระเรียนไทยที่มีอยู่อย่างจำกัดแสดงว่ามีการถ่ายเทเคลื่อนย้ายยีน (Gene Flow) ในประชากรแผ่นดินใหญ่ของทวีปเอเชียจนกระทั่งมีพิสัยลดลงในคริสต์ศตวรรษที่ 20 และในประเทศออสเตรเลียเป็นเพียงอาณานิคมเดียวเท่านั้นในตอนปลายของสมัยไพลสโตซีน (Pleistocene) ประมาณ 3,000 ช่วงอายุ หรือ 35,000 ปีมาแล้ว มีการวิเคราะห์ ยืนยัน 4 ครั้งจากกลุ่มตัวอย่าง ผลการวิจัยยังเสนอเพิ่มเติมว่าประชากรในออสเตรเลียมักมาจากการผสมพันธุ์ในพวกเดียวกัน และเนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดลูกผสมกับนกกระเรียนออสเตรเลียซึ่งมีพันธุกรรมที่แตกต่าง จึงคาดกันว่านกกระเรียนไทยในออสเตรเลียอาจจะเริ่มเป็นสปีชีส์ใหม่
ศัพท์มูลวิทยา
ชื่อสามัญ sarus มาจากชื่อในภาษาฮินดี ("sāras") ของนกกระเรียนชนิดนี้ คำในภาษาฮินดีมาจากคำในภาษาสันสกฤต sarasa แปลว่า "นกทะเลสาบ" (บางครั้งกร่อนเป็น sārhans) ขณะที่คนอินเดียให้ความนับถือในนกชนิดนี้ แต่ทหารอังกฤษในอาณานิคมอินเดียกลับล่านก ทหารเรียกนกว่า Serious หรือ cyrus ชื่อวิทยาศาสตร์ —ตั้งตามชื่อลูกสาวของเอดิปุสผู้แขวนคอตนเอง อาจเกี่ยวข้องกับผิวหนังเปลือยตรงศีรษะและลำคอ
นิเวศวิทยาและพฤติกรรม
นกกระเรียนไทยไม่ใช่นกอพยพทางไกลเหมือนนกกระเรียนชนิดอื่น ๆ แต่ก็มีการอพยพเป็นระยะทางช่วงสั้น ๆ ในฤดูแล้งและฤดูฝน ประชากรนกกระเรียนที่มีการอพยพนั้นพบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น นกกระเรียนที่จับคู่จะปกป้องอาณาเขตจากนกกระเรียนอื่นด้วยเสียงร้องกู่ร้องและการกางปีก นกที่ยังไม่จับคู่จะอยู่รวมกันเป็นฝูงหลากหลายขนาดจำนวนตั้งแต่ 1–430 ตัว ในพื้นที่กึ่งแห้งแล้ง คู่นกและลูกนกที่บินได้แล้วจะละทิ้งอาณาเขตในฤดูแล้งไปรวมฝูงกับนกที่ยังไม่ได้จับคู่ ในพื้นที่ชุ่มน้ำตลอดปี อย่างในรัฐอุตตรประเทศ คู่นกจะไม่ทิ้งอาณาเขต ฝูงนกกระเรียนที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในพื้นที่ 29 ตารางกิโลเมตรของ (Keoladeo) ซึ่งมีนกถึง 430 ตัว และจากพื้นที่ชุ่มน้ำในเขตอิฏาวา (Etawah) และไมนปุรี (Mainpuri) ในรัฐอุตตรประเทศ มีนกจำนวน 245–412 ตัว ฝูกนกที่มีสมาชิกเกิน 100 ตัวนั้นมีรายงานจากรัฐคุชราต และประเทศออสเตรเลียเป็นประจำ ในระหว่างฤดูผสมพันธุ์ นกที่จับคู่จะขับไล่นกกระเรียนที่ยังไม่จับคู่ออกจากพื้นที่ชุ่มน้ำบางแห่งและประชากรนกท้องถิ่นสามารถลดลงได้ ประชากรนกกระเรียนในอุทยานแห่งชาติเคียวลาเดียวเคยมีบันทึกว่าจากนกมากกว่า 400 ตัวในฤดูร้อนลดลงเหลือเพียง 20 ในระหว่างมรสุม
นกกระเรียนจะนอนในน้ำตื้น ๆ อาจเป็นเพราะจะได้ปลอดภัยจากสัตว์นักล่าบนพื้นดิน นกที่โตเต็มที่จะไม่ผลัดขนทุกปี แต่จะผลัดทุกสองถึงสามปี
การกินอาหาร
นกกระเรียนไทยหากินในน้ำตื้น (ปกติน้ำลึกน้อยกว่า 30 เซนติเมตร) หรือในทุ่งหญ้า บ่อยครั้งพบนกกระเรียนแหย่ปากหากินในปลักโคลน มันเป็นสัตว์กินได้ทั้งพืชและสัตว์ เช่น แมลง (โดยเฉพาะตั๊กแตน) พืชน้ำ ปลา (อาจแค่เฉพาะในกรงเลี้ยง) กบ สัตว์น้ำที่มีเปลือกแข็ง และเมล็ดพืช บางครั้งก็เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังขนาดใหญ่ เช่น งูน้ำ () มีบางกรณีที่พบได้ยากที่นกกระเรียนไทยกินไข่ของนกอื่น และเต่า ส่วนพืชก็อย่างเช่น พืชมีหัว หัวของพืชน้ำ หน่อหญ้า เมล็ดพืช และเมล็ดจากพืชที่เพาะปลูกอย่างถั่วลิสงและธัญพืชเช่นข้าว
การเกี้ยวพาราสีและการผสมพันธุ์
นกกระเรียนไทยมีเสียงร้อง "แกร๋...แกร๋..." ดังเหมือนแตร ที่สร้างมาจากหลอดลมที่ยาวม้วนพันกันอยู่ในบริเวณสันอกซึ่งคล้ายกันกับนกกระเรียนชนิดอื่น การเกี้ยวพาราสีของนกกระเรียน จะแสดงออกโดยคู่นกอาจแสดงการกางปีก กระพือปีก ส่งเสียงร้องด้วยท่าทางที่สวยงามและพร้อมเพียงกันไปรอบ ๆ พื้นที่ รวมถึงการ "เต้นระบำ" ที่กระทำทั้งในและนอกฤดูผสมพันธุ์ ซึ่งประกอบไปด้วยการกระโดดช่วงสั้น ๆ กระดกศีรษะขึ้นลง ตบเท้า ไปรอบ ๆ คู่ของมัน นอกจากนี้การเต้นระบำยังเป็นการข่มขู่ขับไล่เมื่อรังหรือลูกนกตกอยู่ในอันตรายอีกด้วย นกกระเรียนไทยส่วนใหญ่ผสมพันธุ์ในฤดูมรสุมในประเทศอินเดีย (กรกฎาคมถึงตุลาคม) แม้ว่าอาจมีการวางไข่ครั้งที่ 2 และมีบันทึกว่านกกระเรียนผสมพันธุ์ได้ทั้งปี และในตอนต้นฤดูฝนในประเทศออสเตรเลีย
นกกระเรียนสร้างรังขนาดใหญ่มีรูปร่างกลมแบนแบบง่าย ๆ จากต้นไม้จำพวกอ้อหรือกกและพืชต่าง ๆ ในหนองบึงหรือนาข้าว รังจะสร้างในน้ำตื้นโดยซ้อนทับไปบนกอกก กอข้าว หรือกอหญ้า เพื่อที่รังจะได้อยู่สูงจากระดับน้ำคล้ายกับเป็นเกาะเล็ก ๆ รังไม่มีสิ่งปกปิดมองเห็นได้ชัดเจนจากระยะไกล รังอาจมีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 2 เมตรสูงเกือบ 1 เมตร คู่นกจะหวงแหนแหล่งทำรังมาก บ่อยครั้งที่จะกับมาซ่อมแซมและใช้รังเดิมถึง 5 ฤดูผสมพันธุ์ ในหนึ่งครอกจะมีไข่ 1-2 ใบ (น้อยครั้งที่จะเป็น 3 หรือ 4 ใบ) พ่อแม่นกจะผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่ฟักไข่ ใช้เวลาฟักไข่ราว 31 วัน (ราว 27–35 วัน) ไข่นกกระเรียนไทยมีสีขาว (บางครั้งมีสีครีมแกมชมพูหรือสีเขียว) หนักประมาณ 240 กรัม พ่อแม่นกจะย้ายเปลือกไข่ออกจากรังหรือจะกลืนเปลือกไข่เข้าไปหลังลูกนกฟักเป็นตัว ลูกนกระเรียนจะมีขนอุยปกคลุมทั่วตัว ขนบริเวณหัวและคอมีสีน้ำตาลอมเหลือง ขนข้างอกและหลังด้านบนเป็นสีน้ำตาลเข้ม บริเวณอกและท้องเป็นสีขาว ลูกนกจะกินอาหารจากที่พ่อและแม่ป้อนในสองสามวันแรกและจะหากินเองหลังจากนั้นและจะตามพ่อแม่ไปหาอาหาร เมื่อเตือนภัย พ่อแม่นกจะร้อง "แคร่ร-รร" เสียงต่ำเพื่อส่งสัญญาณให้ลูกนกหยุดและนอนลง นกวัยอ่อนจะอยู่กับพ่อแม่มากกว่า 3 เดือน เชื่อกันว่านกกระเรียนจับคู่อยู่ด้วยกันตลอดชีวิต ถ้ามีตัวใดตัวหนึ่งตายลง นกที่เหลืออาจจับคู่กับนกตัวใหม่ได้ แต่นกกระเรียนเป็นนกที่จับคู่ยากมาก มันจะไม่ยอมจับคู่ใหม่จนกว่าจะพบคู่ที่พอใจ นอกจากนี้ยังมีรายงานการเปลี่ยนคู่บันทึกไว้
ปัจจัยคุกคาม
ไข่ของนกกระเรียนไทยในรังถูกอีกาทำลายอยู่บ่อยครั้ง ในประเทศออสเตรเลีย สัตว์นักล่านกวัยอ่อนนั้นรวมถึงดิงโกและหมาจิ้งจอกแดง ขณะที่เหยี่ยวแดงมักจะกินไข่ การนำไข่ไปจากรังโดยเกษตรกร (เพื่อลดความเสียหายของพืชผล) หรือเด็ก ๆ (นำไปเล่น) หรือคนงานเร่ร่อนเพื่อนำไปทำอาหาร เป็นปัจจัยคุกคามต่อไข่นกกระเรียนที่สำคัญ ประมาณร้อยละ 31–42 ของไข่ในรังจะไม่สามารถฟักเป็นตัวได้จากเหตุผลข้างต้น ลูกนกจะเป็นเหยื่อของสัตว์นักล่าประมาณร้อยละ 8 แต่มากกว่าร้อยละ 30 ของลูกนกที่ตายนั้นไม่ทราบสาเหตุ อัตราการรอดตายตั้งแต่เป็นไข่จนถึงนกวัยอ่อนจะอยู่ประมาณร้อยละ 20 ในบริเวณที่เกษตรกรยินยอมให้นกอาศัยโดยไม่ได้ทำอันตรายต่อนกนั้น มีอัตราการรอดเท่า ๆ กันกับในพื้นที่ชุ่มน้ำ คู่นกที่ทำรังช้าในฤดูกาลมีโอกาสการเลี้ยงลูกนกให้รอดตายต่ำกว่าปกติ แต่ถ้าในอาณาเขตมีพื้นที่ชุ่มน้ำมากอัตราการรอดจะดีขึ้น
เรื่องโรคและปรสิตของนกกระเรียนไทยเป็นที่รู้น้อยมาก รวมถึงผลกระทบที่มีต่อนกป่า จากการศึกษาที่สวนสัตว์โรมระบุบว่านกทนต่อโรคระบาด ปรสิตภายในที่มีการระบุบก็มี พยาธิตัวแบน Opisthorhis dendriticus จากตับของนกในกรงเลี้ยงที่สวนสัตว์ลอนดอน และปรสิตหนอนตัวแบน (Allopyge antigones) จากนกในประเทศออสเตรเลีย นกกระเรียนไทยมีแมลงปรสิตเหมือนกับนกทั่ว ๆ ไป ชนิดที่มีการบันทึกไว้ก็มี Heleonomus laveryi และ Esthiopterum indicum
ในกรงเลี้ยง นกกระเรียนไทยมีอายุยาวถึง 42 ปี การตายของนกกระเรียนที่ยังไม่โตเต็มที่บ่อยครั้งเป็นผลจากการกระทำของมนุษย์ มีอุบัติเหตุกับนกกระเรียนที่เกิดจากสารพิษอย่างโมโนโครโตฟอส (monocrotophos) และดีลดริน (dieldrin) ในพื้นที่เกษตรกรรมบันทึกไว้ เท่าที่ทราบ มีนกที่โตเต็มที่บินชนสายไฟและโดนไฟดูดตาย ซึ่งมีอัตราการตายจากสาเหตุนี้ประมาณร้อยละ 1 ของประชากรนกในพื้นที่ต่อปี
การอนุรักษ์
มีนกกระเรียนไทยเหลืออยู่ในธรรมชาติประมาณ 15,000–20,000 ตัวจากการประเมินในปี ค.ศ. 2009 ประชากรชนิดย่อย นกกระเรียนอินเดีย เหลือน้อยกว่า 10,000 ตัวแต่ก็ถือว่ายังดีกว่าอีก 2 ชนิดย่อยที่เหลือ อาจเป็นเพราะได้รับความเคารพและธรรมเนียมที่สืบทอดกันมาทำให้นกไม่ได้รับอันตราย และในหลาย ๆ พื้นที่ นกกระเรียนไม่เกรงกลัวมนุษย์ นกกระเรียนไทยเคยพบในประเทศปากีสถานแต่ยังไม่พบอีกเลยตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 ประชากรนกกระเรียนในอินเดียมีการลดจำนวนลง จากการประมาณประชากรโดยรวมบนพื้นฐานของหลักฐานที่สะสมมาแสดงว่าประชากรในปี ค.ศ. 2000 ดีที่สุดคือร้อยละ 10 และเลวร้ายที่สุดคือร้อยละ 2.5 ของจำนวนทั้งหมดในปี ค.ศ. 1850 เกษตรกรหลายคนในอินเดียเชื่อว่านกกระเรียนนั้นเป็นตัวทำลายพืชผล โดยเฉพาะข้าว แม้ว่าจากการศึกษาแสดงว่าการจิกกินเมล็กข้าวโดยตรงนั้นมีการสูญเสียจำนวนน้อยกว่าร้อยละหนึ่งและการเหยียบย่ำทำให้สูญเสียเมล็ดประมาณ 0.4–15 กิโลกรัม ทัศนคติของเกษตรกรมีแนวโน้มเป็นบวกในเรื่องความเสียหายที่เกิดขึ้น และนี่เองเป็นการช่วยอนุรักษ์นกกระเรียนภายในพื้นที่เกษตรกรรม และการชดเชยความเสียหายความเสียหายแก่เกษตรกรตามความเป็นจริงอาจจะช่วยได้ ทุ่งนาอาจมีบทบาทที่สำหรับสำคัญในการช่วยอนุรักษ์นกชนิดนี้ เพราะพื้นที่ชุ่มน้ำตามธรรมชาตินั้นถูกคุกคามมากขึ้นด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ ประชากรนกกระเรียนในประเทศออสเตรเลียมีประมาณ 5,000 ตัวและอาจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม นกกระเรียนอินโดจีนกลับลดลงเป็นจำนวนมากจากสงครามและการเปลี่ยนแปลงที่อยู่อาศัย (เช่นการเกษตรแบบเร่งรัดและการระบายน้ำออกจากพื้นที่ชุ่มน้ำ) และเมื่อกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 นกกระเรียนอินโดจีนได้หายไปจากพื้นที่การจายพันธุ์ส่วนใหญ่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยแผ่ไปถึงตอนใต้ของประเทศจีน มีประชากรเหลือประมาณ 1,500–2,000 ตัวกระจายตัวเป็นกลุ่มประชากรเล็ก ๆ ประชากรในประเทศฟิลิปปินส์นั้นรู้น้อยมากและสูญพันธุ์ไปในตอนปลายของคริสต์ทศวรรษ 1960
นกกระเรียนไทยจัดอยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ในบัญชีแดงของสหภาพเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ และไซเตสจัดอยู่ในบัญชีอนุรักษ์ที่ 2 การคุกคามประกอบไปด้วยภัยคุกคามทำลายถิ่นที่อยู่หรือทำให้เสื่อมลง การล่าและดักจับ เช่นเดียวกับสิ่งแวดล้อมที่เป็นมลพิษ โรค และการแข่งขันในสปีชีส์ ผลของการผสมพันธุ์กันในเชื้อสายที่ใกล้เคียงกันมากในประชากรของประเทศออสเตรเลียยังต้องศึกษาต่อไป
นกกระเรียนไทยสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติแล้วในประเทศมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย มีโครงการนำนกกระเรียนกลับสู่ธรรมชาติในประเทศไทยโดยนำนกมาจากประเทศกัมพูชา
ประเทศไทย
นกกระเรียนไทยเป็นสัตว์ป่าสงวนหนึ่งใน 20 ชนิดตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 สถานะภาพปัจจุบันจัดเป็นสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติแล้ว ประเทศไทยพบนกกระเรียนในธรรมชาติครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. 2511 ที่บริเวณชายแดนติดกับกัมพูชา
โดยในอดีต ปี พ.ศ. 2448 สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงบันทึกไว้ว่า ทรงพบเห็นฝูงนกกระเรียนไทยจำนวนนับพันนับหมื่นตัว ทำรังวางไข่ที่ทุ่งมะค่า และเมื่อปี พ.ศ. 2488 มีรายงานการพบเห็นฝูงนกกระเรียนไทยบินผ่านท้องฟ้าบริเวณจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ นั่นนับเป็นการพบเห็นนกกระเรียนไทยบินรวมตัวเป็นฝูงครั้งสุดท้ายในประเทศไทย
ด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับมูลนิธิอนุรักษ์นกกระเรียนสากล (ICF) ได้ร่วมกันจัดทำโครงการนำนกกระเรียนคืนถิ่น (G. a. sharpii) โดยเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2525 ในปี พ.ศ. 2527 มูลนิธิฯ ได้ส่งลูกนกกระเรียนมาจำนวน 6 ตัว แต่ตายไป 1 ตัว ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2532 มูลนิธิฯ ได้ส่งลูกนกมาให้อีก 6 ตัว นกทั้งหมดนำมาเลี้ยงดูอยู่ที่ศูนย์เพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์สัตว์ป่าบางพระ และเนื่องจากพ่อแม่พันธุ์มีน้อยเกินไป ทางโครงการต้องจัดหาเพิ่มจากแหล่งอื่นอีก ต่อมาสวนสัตว์โคราชได้ลูกนกมาจากการได้รับบริจาคจากประชาชนในบริเวณชายแดนไทย ลาว และกัมพูชา ระหว่างปี พ.ศ. 2532-2540 จำนวนหลายตัว ทางโครงการจึงได้มีการติดต่อกับสวนสัตว์เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกัน
สวนสัตว์โคราชจัดเป็นสถานที่เพาะขยายพันธุ์นกกระเรียนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยได้เริ่มขยายพันธุ์ทั้งแบบธรรมชาติและการผสมเทียม มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 จนถึงปัจจุบัน จากประชากรเริ่มต้นจำนวน 26 ตัว จนถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 มีลูกนกที่เกิดมารวม 100 ตัว ขณะที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว และสถานีเพาะเลี้ยงนกน้ำบางพระ สามารถขยายพันธุ์ได้อีกไม่ต่ำกว่า 50 ตัว ทางสวนสัตว์จึงมีโครงการปล่อยนกกระเรียนกลับคืนสู่ธรรมชาติใน 6 แหล่งด้วยกันคือ และ ซึ่งในอดีต ประเทศไทยเคยปล่อยนกกระเรียนสามตัวกลับสู่ธรรมชาติที่ทุ่งกะมังในปี พ.ศ. 2540 แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ
ปี พ.ศ. 2554 ระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม คณะทำงานโครงการทดลองปล่อยนกกระเรียนพันธุ์ไทยคืนสู่พื้นที่ชุ่มน้ำธรรมชาติ (ประเทศไทย) และสวนสัตว์นครราชสีมาได้มีการทดลองปล่อยนกกระเรียนไทย อายุ 5–8 เดือน จำนวน 10 ตัว กลับคืนสู่ธรรมชาติที่บริเวณอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ จากการติดตามพบว่านกกระเรียนดังกล่าวสามารถดำรงชีวิตอยู่ในธรรมชาติได้ตามปกติ ในปีถัดมา ได้ปล่อยนกกระเรียนไทยกลับคืนสู่ธรรมชาติอีกครั้ง จำนวน 9 ตัว ที่อ่างเก็บน้ำสนามบิน อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อถึงปี พ.ศ. 2562 มีการปล่อยนกกระเรียนไทยคืนสู่พื้นที่ธรรมชาติแล้วถึง 105 ตัว สามารถมีชีวิตรอดในธรรมชาติ 71 ตัว และมีลูกนกเกิดในธรรมชาติไม่น้อยกว่า 15 ตัว
นกกระเรียนในวัฒนธรรม
นกกระเรียนไทยเป็นที่เคารพในประเทศอินเดียและมีตำนานที่ว่ามหาฤๅษีวาลมีกิ (Valmiki) ได้สาปแช่งผู้ที่ฆ่านกกระเรียนและได้แรงบันดาลใจจากนกกระเรียนในการเขียนมหากาพย์รามายณะ นกกระเรียนยังเป็นคู่แข่งของนกยูงอินเดียในการคัดเลือกนกที่จะเป็นนกประจำชาติอินเดีย ในชนเผ่าโคนที (Gondi) ซึ่งสักการะพระเจ้า 5 พระองค์ถือว่านกกระเรียนเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เนื้อนกกระเรียนถือว่าเป็นอาหารต้องห้ามในคัมภีร์ฮินดูโบราณ เป็นที่เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่านกกระเรียนจะมีคู่เพียงตัวเดียวตลอดชีวิต ถ้าเกิดตัวใดตัวหนึ่งตายลง อีกตัวหนึ่งจะตรอมใจตายตาม นกกระเรียนเป็นสัญลักษณ์คุณงามความดีศีลธรรมในชีวิตแต่งงานและในรัฐคุชราตมีประเพณีให้คู่แต่งงานใหม่ดูคู่นกกระเรียนเป็นตัวอย่าง ในที่ราบน้ำท่วมขังของแม่น้ำคงคา ได้มีการสังเกตการทางชีววิทยาของนกกระเรียนโดยจักรพรรดิโมกุล จาฮันกีร์ (Jahangir) ประมาณช่วงปี ค.ศ. 1607 เขาบันทึกว่านกกระเรียนวางไข่สองใบห่างกัน 48 ชั่วโมงและใช้เวลาฟัก 34 วัน
แม้ว่านกจะเป็นที่เคารพและได้รับการปกป้องจากชาวอินเดีย แต่นกกระเรียนยังคงถูกล่าในช่วงที่อินเดียเป็นอาณานิคม มีบันทึกว่าการฆ่านกจะทำให้คู่ของมันแผดเสียงไปหลายวัน และเชื่อกันว่าหลังจากนั้นมันจะตรอมใจตายตามคู่ไป แม้แต่ในคู่มือการล่านกเพื่อการกีฬายังไม่เห็นด้วยที่จะยิงนกชนิดนี้ ตามที่นักสัตววิทยาชาวอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ทอมัส ซี. เจอร์ดอน (Thomas C. Jerdon) กล่าวไว้ว่า นกวัยอ่อนกินอร่อย ขณะที่นกโตเต็มที่ "ไร้ค่าที่จะวางบนโต๊ะ" ไข่ของนกกระเรียนไทยใช้ในการรักษาแบบพื้นบ้านในบางส่วนของประเทศอินเดีย
ในสมัยก่อน บ่อยครั้งที่นกวัยอ่อนจะโดนจับและนำไปเลี้ยงไว้ในโรงเลี้ยงสัตว์ทั้งในประเทศอินเดียและทวีปยุโรป มีการขยายพันธุ์สำเร็จในกรงเลี้ยงในช่วงตอนต้นของคริสต์ทศวรรษ 1600 โดยจักรพรรดิจาฮันกีร์ และในยุโรปและในสหรัฐอเมริกาในตอนต้นของคริสต์ทศวรรษ 1930
... นกวัยอ่อนเลี้ยงง่ายด้วยการป้อนอาหารด้วยมือ นกจะเชื่องและติดคนป้อนอาหารมากโดยเดินตามอย่างกับสุนัข มันเป็นนกที่ตลกมากด้วยท่าเต้นที่พิสดารและแสดงท่าทางน่าตลกขบขัน ซึ่งคุ้มค่าที่จะเลี้ยงไว้ นกกระเรียนตัวหนึ่งที่ฉันเลี้ยง เมื่อให้ขนมปังกับนมแก่มัน มันจะนำขนมปังออกจากนมและล้างในอ่างน้ำของมันก่อนจะกินเข้าไป นกตัวนี้นำมาจากพระราชวังที่ลัคเนา (Lucknow) ซึ่งมันจะดุร้ายกับคนแปลกหน้าและสุนัขมาก โดยเฉพาะถ้าพวกเขามีท่าทีกลัวมัน มันส่งเสียงดังหนวกหูมากซึ่งเป็นข้อเสียเพียงข้อเดียวของมัน
— Irby, 1861
เครื่องบินใบพัด 14 ที่นั่งของอินเดียได้รับการตั้งชื่อตามนกกระเรียนนี้ว่า Saras
ในประเทศไทย เรื่องของนกกระเรียนปรากฏอยู่ใน "เล่าเรื่องกรุงสยาม" ของสังฆราชปาเลอกัวซ์ และ "ลานนกกระเรียน " ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ นอกจากนั้นยังปรากฏอยู่ในกาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดงของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ดังนี้
นกกระเรียนเวียนว่ายน้ำ | เลงแล |
ลงย่องร้องแกร๋แกร๋ | แจ่มจ้า |
ริมทุ่งกระทุงลอยแพ | ลงล่อง |
บินกลาดกลุ้มท้องฟ้าร่อนร้อง | เหลือหลาย |
เชิงอรรถ
- Meine & Archibald (1996) p. 126
- Johnsgard (1983) p. 239
- Flower (1938) บันทึกเพียงแค่ 26 ปีสำหรับนกเลี้ยง
อ้างอิง
- BirdLife International (2016). "Antigone antigone". IUCN Red List of Threatened Species. 2016: e.T22692064A93335364. doi:10.2305/IUCN.UK.2016-3.RLTS.T22692064A93335364.en. สืบค้นเมื่อ 20 February 2022.
- Blanford, W.T (1896). "A note on the two sarus cranes of the Indian region". Ibis. 2: 135–136.
- Wood, T.C. & Krajewsky, C. (1996). (PDF). The Auk. 113 (3): 655–663. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2008-10-15. สืบค้นเมื่อ 2010-04-16.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - Vyas, Rakesh (2002). "Status of Sarus Crane Grus antigone antigone in Rajasthan and its ecological requirements" (PDF). Zoos' Print Journal. 17 (2): 691–695.
- Rasmussen, PC & JC Anderton (2005). Birds of South Asia: The Ripley Guide. Vol. 2. Smithsonian Institution and Lynx Edicions. pp. 138–139.
- Johnsgard, Paul A. (1983). Cranes of the world. Indiana University Press, Bloomington. .
- Jones, Kenneth L.; Barzen, Jeb A.; Ashley, Mary V. (2005). "Geographical partitioning of microsatellite variation in the sarus crane". Animal Conservation. 8 (1): 1–8. doi:10.1017/S1367943004001842. S2CID 85570749.
- Azam, Mirza Mohammad & Chaudhry M. Shafique (2005). "Birdlife in Nagarparkar, district Tharparkar, Sindh" (PDF). Rec. Zool. Surv. Pakistan. 16: 26–32.[]
- Choudhury, A. (1998). "Mammals, birds and reptiles of Dibru-Saikhowa Sanctuary, Assam, India". Oryx. 32 (3): 192–200. doi:10.1017/S0030605300029951.
- Sundar, K.S.G.; Kaur, J.; Choudhury, BC (2000). "Distribution, demography and conservation status of the Indian Sarus Crane (Grus a. antigone) in India". Journal of the Bombay Natural History Society. 97 (3): 319–339.
- Sundar, KSG; Choudhury, BC (2003). "The Indian Sarus Crane Grus a. antigone: a literature review". Journal of Ecological Society. 16: 16–41.
- Archibald, G.W.; Sundar, KSG; Barzen, J. (2003). "A review of the three subspecies of Sarus Cranes Grus antigone". J. Ecol. Soc. 16: 5–15.
- Marchant, S.; Higgins, P.J. (1993). Handbook of Australian, New Zealand & Antarctic birds. Oxford University Press, Melbourne.
- Vigne, GT (1842). Travels in Kashmir, Ladak, Iskardo. Vol. 2. Henry Colburn,London.
- Sundar, KSG (2009). "Are rice paddies suboptimal breeding habitat for Sarus Cranes in Uttar Pradesh, India?". The Condor. 111 (4): 611–623. doi:10.1525/cond.2009.080032.
- Borad, C.K.; Mukherjee, A.; Parasharya, B.M. (2001). "Nest site selection by the Indian sarus crane in the paddy crop agrosystem". Biological Conservation. 98 (1): 89–96. doi:10.1016/s0006-3207(00)00145-2.
- Sundar, KSG; Choudhury, BC (2006). "Conservation of the Sarus Crane Grus antigone in Uttar Pradesh, India". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 103 (2–3): 182–190.
- Gmelin, JF (1788). Systema Naturae. 1 (13 ed.). p. 622.
- Blyth, Edward (1881). The natural history of the cranes. R H Porter. pp. 45–51.
- Sarus Crane Birding in India and South Asia
- Meine, Curt D. and George W. Archibald (Eds) (1996). The cranes: Status survey and conservation action plan. IUCN, Gland, Switzerland, and Cambridge, U.K. ISBN .
- หนังสือธรรมชาตินานาสัตว์ เล่ม 2 นายแพทย์ บุญส่ง เลขะกุล
- Yule, Henry, Sir. (1903). Hobson-Jobson: A glossary of colloquial Anglo-Indian words and phrases, and of kindred terms, etymological, historical, geographical and discursive. New ed. edited by William Crooke, B.A.. J. Murray, London.
- Stocqueler, JH (1848). The Oriental Interpreter. C. Cox, London.
- Livesey,TR (1937). "Sarus flocks". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 39 (2): 420–421.
- Prasad, SN; NK Ramachandran; HS Das & DF Singh (1993). "Sarus congregation in Uttar Pradesh". Newsletter for Birdwatchers. 33 (4): 68.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - Ramachandran, NK; Vijayan, VS (1994). "Distribution and general ecology of the Sarus Crane (Grus antigone) in Keoladeo National Park, Bharatpur, Rajasthan". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 91 (2): 211–223.
- Acharya,Hari Narayan G (1936). "Sarus flocks". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 38 (4): 831.
- Hartert, Ernst & F Young (1928). "Some observations on a pair of Sarus Cranes at Tring". Novitates Zoologicae. 34: 75–76.
- Law,SC (1930). "Fish-eating habit of the Sarus Crane (Antigone antigone)". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 34 (2): 582–583.
- Sundar, KSG (2000). "Eggs in the diet of the Sarus Crane Grus antigone (Linn.)". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 97 (3): 428–429.
- Chauhan, R; Andrews, Harry (2006). "Black-necked Stork and Sarus Crane Grus antigone depredating eggs of the three-striped roofed turtle ". Forktail. 22: 174–175.
- Fitch, WT (1999). "Acoustic exaggeration of size in birds via tracheal elongation: comparative and theoretical analyses" (PDF). J. Zool., Lond. 248: 31–48. doi:10.1111/j.1469-7998.1999.tb01020.x.
- Mukherjee, A. (2002). "Observations on the mating behaviour of the Indian Sarus Crane Grus antigone in the wild". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 99 (1): 108–113.
- Whistler, Hugh (1949). Popular Handbook Of Indian Birds. 4th edition. Gurney and Jackson, London. หน้า 446–447.
- Walkinshaw, Lawrence H. (1947). (PDF). The Auk. 64 (4): 602–615. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-06-07. สืบค้นเมื่อ 2010-04-16.
- Mukherjee, A; Soni, V.C.; Parasharya, C.K. Borad B.M. (December 2000). "Nest and eggs of Sarus Crane (Grus antigone antigone Linn.)" (PDF). Zoos' Print Journal. 15 (12): 375–385.
- Sundar, KSG & BC Choudhury (2005). (PDF). Forktail. 21: 179–181. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2008-10-11. สืบค้นเมื่อ 2010-04-16.
- Ricklefs RE, DF Bruning * G W Archibald. (PDF). The Auk. 103 (1): 125–134. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2010-06-09. สืบค้นเมื่อ 2010-04-16.
- มิ่งขวัญ วัตพนาศรัย, นกกระเรียนคืนถิ่น, Advanced Thailand Geographic ฉบับที่ 136 พ.ศ. 2555, ISSN 0859-5356
- Sundar, K.S.G.; Choudhury, B.C. (2003). (PDF). Forktail. 19: 144–146. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 11 October 2008.
- นกกระเรียนในประเทศไทย 2010-07-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน สถานีเพาะเลี้ยงนกน้ำบางพระ อ.ศรีราชา จังหวัดชลบุรี ส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า สำนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ กรมป่าไม้, bknowledge.org
- Ali, S (1957). "Notes on the Sarus Crane". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 55 (1): 166–168.
- นกกระเรียน[] สัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
- Sundar, KSG (2005). "Observations of mate change and other aspects of pair-bond in the Sarus Crane Grus antigone". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 102 (1): 109–112.
- Sundar, KSG (2009). "Are rice paddies suboptimal breeding habitat for Sarus Cranes in Uttar Pradesh, India?". The Condor. 111 (4): 611–623.
- Kaur, J.; Choudhury, B.C.; Choudhury, B.C. (2008). "Conservation of the vulnerable Sarus Crane Grus antigone antigone in Kota, Rajasthan, India: a case study of community involvement". Oryx. 42 (3): 452–455. doi:10.1017/S0030605308000215.
- Mukherjee, A; C. K. Borad & B. M. Parasharya (2002). "Breeding performance of the Indian sarus crane in the agricultural landscape of western India". Biological Conservation. 105 (2): 263–269. doi:10.1016/S0006-3207(01)00186-0.
- Kaur J & Choudhury, BC (2005). "Predation by Marsh Harrier Circus aeruginosus on chick of Sarus Crane Grus antigone antigone in Kota, Rajasthan". Journal of the Bombay Natural History Society. 102 (1): 102.
- Borad, CK; Mukherjee, Aeshita; Parasharya, BM & S.B. Patel (2002). "Breeding performance of Indian Sarus Crane Grus antigone antigone in the paddy crop agroecosystem". Biodiversity and Conservation. 11 (5): 795–805. doi:10.1023/A:1015367406200.
- Ambrosioni P & Cremisini ZE (1948). "Epizoozia de carbonchi ematico negli animali del giardino zoologico di Roma". Clin. Vet. (ภาษาอิตาลี). 71: 143–151.
- Lal, Mukund Behari (1939). "Studies in Helminthology-Trematode parasites of birds". Proceedings of the Indian Academy of Sciences. Section B. 10 (2): 111–200.
- Johnston, SJ (1913). "On some Queensland trematodes, with anatomical observations and descriptions of new species and genera". Quarterly Journal of Microscopical Science. 59: 361–400.
- Tandan, BK. "The genus Esthiopterum (Phthiraptera: Ischnocera)" (PDF). J. Ent. (B). 42 (1): 85–101.
- Flower, M.S.S. (1938). "The duration of life in animals - IV. Birds: special notes by orders and families". Proc. Zool. Soc. London: 195–235.
- Ricklefs, R. E. (2000). "Intrinsic aging-related mortality in birds" (PDF). J. Avian Biol. 31: 103–111. doi:10.1034/j.1600-048X.2000.210201.x.
- Pain, D.J., Gargi, R., Cunningham, A.A., Jones, A., Prakash, V. (2004). "Mortality of globally threatened Sarus cranes Grus antigone from monocrotophos poisoning in India". Science of the Total Environment. 326 (1–3): 55–61. doi:10.1016/j.scitotenv.2003.12.004. PMID 15142765.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - Muralidharan, S. (1993). "Aldrin poisoning of Sarus cranes (Grus antigone) and a few granivorous birds in Keoladeo National Park, Bharatpur, India". Ecotoxicology. 2 (3): 196–202. doi:10.1007/BF00116424.
- Sundar, KSG & BC Choudhury (2005). "Mortality of sarus cranes (Grus antigone) due to electricity wires in Uttar Pradesh, India". Environmental Conservation. 32: 260–269. doi:10.1017/S0376892905002341.
- BirdLife International (2001). (PDF). BirdLife International, Cambridge, UK. ISBN . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2016-02-10. สืบค้นเมื่อ 2010-04-16.
- Borad, C.K.; Mukherjee, A.; Parasharya, B.M. (2001). "Damage potential of Indian sarus crane in paddy crop agroecosystem in Kheda district Gujarat, India". Agriculture, Ecosystems and Environment. 86 (2): 211–215. doi:10.1016/S0167-8809(00)00275-9.
- Sundar, KSG (2009). "Are rice paddies suboptimal breeding habitat for Sarus Cranes in Uttar Pradesh, India?". The Condor. 111 (4): 611–623. doi:10.1525/cond.2009.080032.
- นกกระเรียน 2010-03-23 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน แฟ้มสัตว์โลก โลกสีเขียว
- Tanee T, Chaveerach A, Anuniwat A, Tanomtong A, Pinthong K, Sudmoon R & P., Mokkamul (2009). "Molecular Analysis for Genetic Diversity and Distance of Introduced Grus antigone sharpii L. to Thailand" (PDF). Pakistan Journal of Biological Sciences. 12 (2): 163–167. doi:10.3923/pjbs.2009.163.167. PMID 19579938.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list ()[] - นกกระเรียนไทย ฐานข้อมูลชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในประเทศไทย
- นกกระเรียน ชีวิตในตำนาน[] สารคดี
- หน้า 122-129, โฮป : ความหวังบนลานนกกระเรียน โดย พงษ์ชัย มูลสาร. นิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟิก ฉบับภาษาไทย ฉบับที่ 173: ธันวาคม 2558
- พรทิพย์ อังคปรีชาเศรษฐ์ นกกระเรียนคืนถิ่น[] สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
- โครงการนกกระเรียนคืนถิ่น 2009-10-23 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน บุบผา อ่ำเกตุ
- "นกกระเรียนไทย"ที่สวนสัตว์ดุสิตขยายพันธุ์สำเร็จ ไทยรัฐ วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
- กษมา หิรัณยรัชต์. ฉลองนกกระเรียนตัวที่ 100 พันธุ์ไทยแท้-แท้ ที่โคราช. มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 18 มิถุนายน 2552 หน้า 21
- เตรียมปล่อย “กระเรียนไทย”ใกล้สูญพันธุ์ สู่ธรรมชาติที่บุรีรัมย์อีก 9 ตัว 2016-02-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 27 มีนาคม 2555
- องค์การสวนสัตว์เปิดศูนย์อนุรักษ์นกกระเรียนพันธุ์ไทย แหล่งเรียนรู้ใหม่บุรีรัมย์, ไทยโพสต์, 05 สิงหาคม พ.ศ. 2562
- เปิดแหล่งเรียนรู้ "นกกระเรียนพันธุ์ไทย" ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ, Thai PBS, 5 สิงหาคม 2562
- Leslie, J. (1998). "A bird bereaved: The identity and significance of Valmiki's kraunca". Journal of Indian Philosophy. 26 (5): 455–487. doi:10.1023/A:1004335910775.
- Hammer, Niels (2009). "Why Sārus Cranes epitomize Karuṇarasa in the Rāmāyaṇa". Journal of the Royal Asiatic Society. 19: 187–211. doi:10.1017/S1356186308009334.
- Sundar, KS Gopi (2006). "Conservation of the Sarus Crane Grus antigone in Uttar Pradesh, India". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 103 (2–3): 182–190.
- Russell, RV (1916). The tribes and castes of the Central Provinces of India. Volume 3. Macmillan and Co., London. p. 66.
- The Sacred Laws of the Aryas. Parts 1 and 2. แปลโดย Bühler, Georg. New York: The Christian Literature Company. 1898. p. 64. LCCN 32034301.
- (1915). Indian sporting birds. Francis Edwards, London. pp. 117–120.
- Jerdon, TC (1864). Birds of India. Vol. 3. George Wyman & Co, Calcutta.
- Kaur, J & BC Choudhury (2003). "Stealing of Sarus crane eggs". Current Science. 85 (11): 1515–1516.
- Ali, S (1927). "The Moghul emperors of India as naturalists and sportsmen. Part 2". J. Bombay Nat. Hist. Soc. 32 (1): 34–63.
- Rothschild D (1930). "Sarus crane breeding at Tring". Bull. Brit. Orn. Club. 50: 57–68.
- Irby,LH (1861). "Notes on birds observed in Oudh and Kumaon". Ibis. 3 (2): 217–251. doi:10.1111/j.1474-919X.1861.tb07456.x.
- Norris, Guy (2005). "India works to overcome Saras design glitches". Flight International. 168 (5006): 28.
- Mishra, Bibhu Ranjan (16 November 2009). "After IAF, Indian Posts shows interest for NAL Saras". Business Standard. สืบค้นเมื่อ 13 January 2010.
แหล่งที่มาอื่น
- & Bateman, Robert (2001). The Birds of Heaven: Travels with Cranes. North Point Press, New York. ISBN
- Weitzman, Martin L. (1993). "What to preserve? An application of diversity theory to crane conservation". The Quarterly Journal of Economics. 108 (1): 157–183. doi:10.2307/2118499. ISSN 0033-5533. JSTOR 2118499.
- Haigh, J. C. & Holt, P. E. (1976). "The use of the anaesthetic "CT1341" in a Sarus crane". Can Vet J. 17 (11): 291–292. PMC 1697384. PMID 974983.
- Duan, W. & Fuerst, P. A. (2001). "Isolation of a sex-Linked DNA sequence in cranes". Journal of Heredity. 92 (5): 392–397. doi:10.1093/jhered/92.5.392. PMID 11773245.
- Menon, G. K.; R. V. Shah & M. B. Jani (1980). "Observations on integumentary modifications and feathering on head and neck of the Sarus Crane, Grus antigone antigone". Pavo. 18: 10–16.
- Sundar, K. S. G. (2006). "Flock size, density and habitat selection of four large waterbirds species in an agricultural landscape in Uttar Pradesh, India: implications for management". Waterbirds. 29 (3): 365–374. doi:10.1675/1524-4695(2006)29[365:fsdahs]2.0.co;2. S2CID 198154724.
แหล่งข้อมูลอื่น
- International Crane Foundation: . Retrieved 22 February 2007.
- Northern Prairie Wildlife Research Center: . Retrieved 22 February 2007.
- Sarus Crane (Grus antigone) from Cranes of the World (1983) by
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
nkkraeriynithysthanakarxnurks IUCN 3 1 karcaaenkchnthangwithyasastrxanackr Animaliaiflm Chordatachn Avesxndb wngs Gruidaeskul spichis G antigonechuxthwinamGrus antigone Linnaeus 1758 chnidyxyG a antigone Linnaeus 1758 nkkraeriynxinediy G a sharpii sharpei Blanford 1895 nkkraeriynxinodcin hrux nkkraeriynhwaedng G a gilliae gillae Schodde 1988 nkkraeriynxxsetreliy G a luzonica Hachisuka 1941 nkkraeriynekaalusxn suyphnthu karkracayphnthukhxngnkkraeriynithyinpccubn siekhiyw chuxphxngArdea antigone Linnaeus 1758 Grus sharpei Megalornis antigone nkkraeriynithy hrux nkkraeriyn epnnkkhnadihythiimichnkxphyph phbinbangphunthikhxngxnuthwipxinediy exechiytawnxxkechiyngit aelapraethsxxsetreliy epnnkbinidthisungthisudinolk emuxyuncasungthung 1 8 emtr sngektehnidngay inphunthichumnaepidolng nkkraeriynithyaetktangcaknkkraeriynxuninphunthiephraamisiethathngtwaelamisiaedngthihwaelabriewnkhxdanbn hakininthilumminakhngbriewnnatun kinrak hw aemlng stwna aelastwmikraduksnhlngkhnadelkepnxahar nkkraeriynithyehmuxnkbnkkraeriynxunthimkmikhutwediywtlxdchiwit nkkraeriyncapkpxngxanaekhtaelaekiywpharasiodykarkangpik sngesiyngrxng kraoddsungdukhlaykbkaretnra inpraethsxinediynkkraeriynepnsylksnkhxngkhwamsuxstyinchiwitaetngngan echuxknwaemuxkhutay nkxiktwcaesraoskcntrxmictaytam vduphsmphnthuhlkxyuinvdufn khunkcasrangrngepn ekaa rupwngklmcakkk xx aelaphnghya miesnphasunyklangekuxbsxngemtraelasungephiyngphxthicaxyuehnuxcaknarxbrng nkkraeriynithykalngldlngxyangrwderwinkhriststwrrsthiphanma khadknwaprachakrmiephiyng 10 hruxnxykwa pramanrxyla 2 5 khxngcanwnthimixyuinkhristthswrrs 1850 praethsxinediykhuxaehlngthimnkhxngnkchnidni thisungnkepnthiekharphaelaxasyxyuinphunthikarekstriklkbmnusy nkkraeriynnnsuyhayipcakphunthikarkracayphnthuinhlay phunthiinxditlksnakhnabin nkkraeriyncaehyiydkhxtrng phartpura praethsxinediy nkkraeriynithyepnnkkhnadihy milatwaelapiksietha khxtxnbnaelahwepnhnngepluxysiaedngimmikhn trngkrahmxmepnsiethahruxekhiyw khxyawewlabinkhxcaehyiydtrngimehmuxnkbnkkrasasungcangxphbipdanhlng khnplaypikaelakhnkhlumkhnplaypiksida khnkhlumkhnpikdanlangsietha khnokhnpiksikhaw khayawepnsichmphu miaephnkhnhusietha mantasismaedng pakaehlmsidaaekmetha nkwyxxnmipaksikhxnkhangehluxngthithan hwsinatalethahruxsienuxpkkhlumdwykhnnk hnngepluxysiaedngbriewnhwcaaedngsdisinchwngvduphsmphnthu hnngbriewnnicahyabepntapumtapa mikhnsidatrngkhangaekmaelathaythxybriewnaekhb thngsxngephsmilksnaaelasikhlaykn ephsphuihykwaephsemiyelknxy immikhwamaetktangthangephsxunthichdecnxik nkkraeriynithyephsphuinxinediymikhnadsungthisudkhuxpraman 200 esntiemtr chwngpikyaw 250 esntiemtr thaihnkkraeriynithyepnnkthibinidthisungthisudinolk inchnidyxy antigone minahnk 6 8 7 8 kiolkrm khnathi sharpii minahnkpraman 8 4 kiolkrm odythwipaelwcaminahnk 5 12 kiolkrm sung 115 167 esntiemtr chwngpikyaw 220 280 esntiemtr nkcakpraethsxxsetreliycamikhnadelkkwankcakekhtthangehnux inpraethsxxsetreliy nkkraeriynithymkcasbsnkbnkkraeriynxxsetreliy siaedngbnhwkhxngnkkraeriynxxsetreliycamiaekhbnhwimaephlngmathungkhxkarkracayphnthuaelathinxasyinxdit nkkraeriynithymikarkracayphnthuepnwngkwangbnphunthirabluminpraethsxinediyyawtlxdaemnakhngkha thangitipthungaemnaokhthawri thangtawntkipthungchayfngrthkhuchrat ekhttharparkr Tharparkar khxngpraethspakisthan aelathangtawnxxkthungrthebngkxltawntkaelarthxssm imphbkarkhyayphnthuinrthpycabmananaelw aemwacaphbbangpraprayinfngxinediyinvduhnaw nkkraeriynhaphbidyakaelamicanwnnxymakinrthebngkxltawntkaelarthxssm aelaimphbmananaelwinrthphihar inpraethsenpal karkracayphnthucakdxyuephiyngthirablumfngtawntk prachakrswnmakxyuinekhtrupnethhi Rupandehi kbilphsdu Kapilvastu aelanwlprasi Nawalparasi miprachakrsxngkluminexechiytawnxxkechiyngitthiaetktangknkhux prachakrtxnehnuxxyuinpraethscinaelaphma aelaprachakrtxnitxyuinkmphuchaaelaewiydnam nxkcaknn yngekhyphbinpraethsithyaelathangtawnxxkkhxngpraethsfilippins aetinthngsxngpraethssuyphnthuipaelwcakthrrmchati inpraethsxxsetreliyphbinbriewndanehnuxkhxngpraeths aelamikarxphyphipyngbangphunthi phisykarkracayphnthukhxngnkkraeriynithykalngldlngaelaphunthithiekidmakthisudkhuxpraethsxinediysungphunthilumnakhnadihythukthalay nkehlanicungtxngxasyinnakhawinkarephimcanwn aemwaswnihyaelwcaphbnkkraeriyninthirablum aetkmiraynganwaphbbnthirabsungthangehnuxinharkitsar Harkit Sar aelakhahng Kahag inrthchmmuaelaksmir nxkkarninkkraeriynyngkhyayphnthuinphunthisungcakradbnathaelmak echn iklkbekhuxnphxng Pong Dam inrthhimaclpraethsthisungprachakrnkkraeriynxaccaephimkhuntamkarephimkhunkhxngkarephaaplukkhawtamaehlngkkekbna nkkraeriynmkxasyxyuinphunthichumna hruxnakhawthiimidephraaplukthiminathwmkhng inphunthieriykwa khet taavadi sahrbsrangrng karcbkhuphsmphnthumkcaekidinphunthichumnatamthrrmchatimakkwaaetkyngmiinnakhawhruxkhawsalibxy xnukrmwithanaelachnidyxynkkraeriynthukchnidmiethahlngldrupaelayksungkhunchnid G a antigone hruxnkkraeriynxinediy nkkraeriynchnidnicaaenkodylineniysinpi kh s 1758 aelacdxyuinskul Ardea rwmkbnkkrasakhnadihy exdewird iblth Edward Blyth tiphimphexksarekiywkbnkkraeriyninpi kh s 1881 sungekhaphicarnankkraeriynithyinpraethsxinediyepnsxngchnidkhux Grus collaris aela Grus antigone pccubncaaenkxxkepnhnungchnid samchnidyxy swnchnidyxysungmiprachakrxyuinpraethsfilippinsaelasuyphnthuipaelwyngkhngepnthikngkha G a antigone hrux nkkraeriynxinediy epnnkkraeriynthiphbintxnehnuxaelatxnklangkhxngpraethsxinediy ehluxpraman 10 000 tw epnchnidyxymikhnadihythisud thimilksnatangipcakchnidyxyxunkhuxmiplxkkhxsikhawrahwanghwaelakhx aelataaehnngkhnokhnpiksikhaw G a sharpii hrux nkkraeriynxinodcin hrux nkkraeriynhwaedng kracayphnthuthangtawnxxkkhxngphmaaephipthungekaainexechiytawnxxkechiyngit pccubnehluxephiynginpraethskmphucha ewiydnam aelalaw ehluxpraman 1 000 tw chnidyxynimisikhnekhmkwa antigone phuaetngbangkhnphicarnawa antigone aela sharpii epntwaethnkhxngprachakrthimacakkarepliynaeplngkhxnglksnathiaetktangaebbkhxyepnkhxyip G a gilliae hrux nkkraeriynxxsetreliy phbinthangtawnxxkechiyngehnuxkhxngpraethsxxsetreliy ehluxpraman 4 000 tw edimcdepn sharpii bangkhrngsakdepn sharpei aetaekikhihepniptamkdiwyakrnkhxngphasalatin txmacungaeykxxkmaaelatngchuxepn gilliae bangkhrngsakdwa gillae hrux gilli inpi kh s 1988 phbkhrngaerkinpraethsxxsetreliyemuxpi kh s 1969 aelathuxepnnkxphyph innkthxngthinxxsetreliy nkkraeriynithyaelankkraeriynxxsetreliykhlayknmakaetkyngmikhwamaetktangkn mikareriyknkkraeriynithywa nkkraeriynthicumhwlngipineluxd chnidyxynimikhnsiekhmkwaxyangehnidchdaelaaephnkhnhusiethaihykwa mikhnadelkthisud G a luzonica hrux nkkraeriynekaalusxn xasyxyuinpraethsfilippins aetkhadwasuyphnthuipaelw xacepnchuxphxngkb gilliae hrux sharpiiwiwthnakar nkkraeriynkalngkangpik xinediy bnthuksakdukdabrrphkhxngnkkraeriynnnmiimmakphx wngsyxythisamarthrabuidwaepnnkkraeriynnnphbintxnplaykhxngyukhaerkerimthistweliynglukdwynmthuxkaenidkhunmahruxsmyxioxsin praman 35 lanpimaaelw swnskulnkkraeriyninpccubnpraktkhunemux 20 lanpimaaelw cakkarsuksathangchiwphumisastr biogeography khxngsakdukdabrrphthiruckaelaxyuinxnukrmwithankhxngnkkraeriynaesdngwaklumxacmitnkaenidmacakolkeka khwamhlakhlayethathimixyuinradbskulmisunyklangxyuthithangtawnxxkkhxngthwipaexfrikaaetepnthiesraicmakthiimmibnthuksakdukdabrrphinsphaphdicakthinnely inthangtrngknkhamklbmisakdukdabrrphkhxngnkkrayangepncanwnmakthiidrbkarbnthukiwcakthinn sungkhadknwamnichthinxasyrwmkbnkkraeriyn cakbnthuksakdukdabrrph skul Grus samarthsubsawyxnipidthung 12 lanpihruxmakkwann dwykarwiekhraahimothkhxnedriyldiexnex Mitochondrial DNA caktwxyangnkkraeriynithythimixyuxyangcakdaesdngwamikarthayethekhluxnyayyin Gene Flow inprachakraephndinihykhxngthwipexechiycnkrathngmiphisyldlnginkhriststwrrsthi 20 aelainpraethsxxsetreliyepnephiyngxananikhmediywethannintxnplaykhxngsmyiphlsotsin Pleistocene praman 3 000 chwngxayu hrux 35 000 pimaaelw mikarwiekhraah yunyn 4 khrngcakklumtwxyang phlkarwicyyngesnxephimetimwaprachakrinxxsetreliymkmacakkarphsmphnthuinphwkediywkn aelaenuxngcakmikhwamepnipidthicaekidlukphsmkbnkkraeriynxxsetreliysungmiphnthukrrmthiaetktang cungkhadknwankkraeriynithyinxxsetreliyxaccaerimepnspichisihm sphthmulwithya chuxsamy sarus macakchuxinphasahindi saras khxngnkkraeriynchnidni khainphasahindimacakkhainphasasnskvt sarasa aeplwa nkthaelsab bangkhrngkrxnepn sarhans khnathikhnxinediyihkhwamnbthuxinnkchnidni aetthharxngkvsinxananikhmxinediyklblank thhareriyknkwa Serious hrux cyrus chuxwithyasastr tngtamchuxluksawkhxngexdipusphuaekhwnkhxtnexng xacekiywkhxngkbphiwhnngepluxytrngsirsaaelalakhxniewswithyaaelaphvtikrrmnkkraeriynithyimichnkxphyphthangiklehmuxnnkkraeriynchnidxun aetkmikarxphyphepnrayathangchwngsn invduaelngaelavdufn prachakrnkkraeriynthimikarxphyphnnphbinexechiytawnxxkechiyngitethann nkkraeriynthicbkhucapkpxngxanaekhtcaknkkraeriynxundwyesiyngrxngkurxngaelakarkangpik nkthiyngimcbkhucaxyurwmknepnfunghlakhlaykhnadcanwntngaet 1 430 tw inphunthikungaehngaelng khunkaelaluknkthibinidaelwcalathingxanaekhtinvduaelngiprwmfungkbnkthiyngimidcbkhu inphunthichumnatlxdpi xyanginrthxuttrpraeths khunkcaimthingxanaekht fungnkkraeriynthiihythisudxyuinphunthi 29 tarangkiolemtrkhxng Keoladeo sungminkthung 430 tw aelacakphunthichumnainekhtxitawa Etawah aelaimnpuri Mainpuri inrthxuttrpraeths minkcanwn 245 412 tw fuknkthimismachikekin 100 twnnmirayngancakrthkhuchrat aelapraethsxxsetreliyepnpraca inrahwangvduphsmphnthu nkthicbkhucakhbilnkkraeriynthiyngimcbkhuxxkcakphunthichumnabangaehngaelaprachakrnkthxngthinsamarthldlngid prachakrnkkraeriyninxuthyanaehngchatiekhiywlaediywekhymibnthukwacaknkmakkwa 400 twinvdurxnldlngehluxephiyng 20 inrahwangmrsum nkkraeriyncanxninnatun xacepnephraacaidplxdphycakstwnklabnphundin nkthiotetmthicaimphldkhnthukpi aetcaphldthuksxngthungsampi karkinxahar nkkraeriynkalnghakinxyurimbungthiphartpura xinediy nkkraeriynithyhakininnatun pktinaluknxykwa 30 esntiemtr hruxinthunghya bxykhrngphbnkkraeriynaehypakhakininplkokhln mnepnstwkinidthngphuchaelastw echn aemlng odyechphaatkaetn phuchna pla xacaekhechphaainkrngeliyng kb stwnathimiepluxkaekhng aelaemldphuch bangkhrngkepnstwmikraduksnhlngkhnadihy echn nguna mibangkrnithiphbidyakthinkkraeriynithykinikhkhxngnkxun aelaeta swnphuchkxyangechn phuchmihw hwkhxngphuchna hnxhya emldphuch aelaemldcakphuchthiephaaplukxyangthwlisngaelathyphuchechnkhaw karekiywpharasiaelakarphsmphnthu nkkraeriynithymiesiyngrxng aekr aekr dngehmuxnaetr thisrangmacakhlxdlmthiyawmwnphnknxyuinbriewnsnxksungkhlayknkbnkkraeriynchnidxun karekiywpharasikhxngnkkraeriyn caaesdngxxkodykhunkxacaesdngkarkangpik kraphuxpik sngesiyngrxngdwythathangthiswyngamaelaphrxmephiyngkniprxb phunthi rwmthungkar etnraba thikrathathnginaelanxkvduphsmphnthu sungprakxbipdwykarkraoddchwngsn kradksirsakhunlng tbetha iprxb khukhxngmn nxkcaknikaretnrabayngepnkarkhmkhukhbilemuxrnghruxluknktkxyuinxntrayxikdwy nkkraeriynithyswnihyphsmphnthuinvdumrsuminpraethsxinediy krkdakhmthungtulakhm aemwaxacmikarwangikhkhrngthi 2 aelamibnthukwankkraeriynphsmphnthuidthngpi aelaintxntnvdufninpraethsxxsetreliy hlxdlmyawmwnphnknthiichsrangesiyngeriykdngkhlayaetrikhkhxngnkkraeriynithy nkkraeriynsrangrngkhnadihymiruprangklmaebnaebbngay caktnimcaphwkxxhruxkkaelaphuchtang inhnxngbunghruxnakhaw rngcasranginnatunodysxnthbipbnkxkk kxkhaw hruxkxhya ephuxthirngcaidxyusungcakradbnakhlaykbepnekaaelk rngimmisingpkpidmxngehnidchdecncakrayaikl rngxacmiesnphasunyklangmakkwa 2 emtrsungekuxb 1 emtr khunkcahwngaehnaehlngtharngmak bxykhrngthicakbmasxmaesmaelaichrngedimthung 5 vduphsmphnthu inhnungkhrxkcamiikh 1 2 ib nxykhrngthicaepn 3 hrux 4 ib phxaemnkcaphldepliynknthahnathifkikh ichewlafkikhraw 31 wn raw 27 35 wn ikhnkkraeriynithymisikhaw bangkhrngmisikhrimaekmchmphuhruxsiekhiyw hnkpraman 240 krm phxaemnkcayayepluxkikhxxkcakrnghruxcaklunepluxkikhekhaiphlngluknkfkepntw luknkraeriyncamikhnxuypkkhlumthwtw khnbriewnhwaelakhxmisinatalxmehluxng khnkhangxkaelahlngdanbnepnsinatalekhm briewnxkaelathxngepnsikhaw luknkcakinxaharcakthiphxaelaaempxninsxngsamwnaerkaelacahakinexnghlngcaknnaelacatamphxaemiphaxahar emuxetuxnphy phxaemnkcarxng aekhrr rr esiyngtaephuxsngsyyanihluknkhyudaelanxnlng nkwyxxncaxyukbphxaemmakkwa 3 eduxn echuxknwankkraeriyncbkhuxyudwykntlxdchiwit thamitwidtwhnungtaylng nkthiehluxxaccbkhukbnktwihmid aetnkkraeriynepnnkthicbkhuyakmak mncaimyxmcbkhuihmcnkwacaphbkhuthiphxic nxkcakniyngmirayngankarepliynkhubnthukiw pccykhukkham ikhkhxngnkkraeriynithyinrngthukxikathalayxyubxykhrng inpraethsxxsetreliy stwnklankwyxxnnnrwmthungdingokaelahmacingcxkaedng khnathiehyiywaedngmkcakinikh karnaikhipcakrngodyekstrkr ephuxldkhwamesiyhaykhxngphuchphl hruxedk naipeln hruxkhnnganerrxnephuxnaipthaxahar epnpccykhukkhamtxikhnkkraeriynthisakhy pramanrxyla 31 42 khxngikhinrngcaimsamarthfkepntwidcakehtuphlkhangtn luknkcaepnehyuxkhxngstwnklapramanrxyla 8 aetmakkwarxyla 30 khxngluknkthitaynnimthrabsaehtu xtrakarrxdtaytngaetepnikhcnthungnkwyxxncaxyupramanrxyla 20 inbriewnthiekstrkryinyxmihnkxasyodyimidthaxntraytxnknn mixtrakarrxdetha knkbinphunthichumna khunkthitharngchainvdukalmioxkaskareliyngluknkihrxdtaytakwapkti aetthainxanaekhtmiphunthichumnamakxtrakarrxdcadikhun eruxngorkhaelaprsitkhxngnkkraeriynithyepnthirunxymak rwmthungphlkrathbthimitxnkpa cakkarsuksathiswnstwormrabubwankthntxorkhrabad prsitphayinthimikarrabubkmi phyathitwaebn Opisthorhis dendriticus caktbkhxngnkinkrngeliyngthiswnstwlxndxn aelaprsithnxntwaebn Allopyge antigones caknkinpraethsxxsetreliy nkkraeriynithymiaemlngprsitehmuxnkbnkthw ip chnidthimikarbnthukiwkmi Heleonomus laveryi aela Esthiopterum indicum inkrngeliyng nkkraeriynithymixayuyawthung 42 pi kartaykhxngnkkraeriynthiyngimotetmthibxykhrngepnphlcakkarkrathakhxngmnusy mixubtiehtukbnkkraeriynthiekidcaksarphisxyangomonokhrotfxs monocrotophos aeladildrin dieldrin inphunthiekstrkrrmbnthukiw ethathithrab minkthiotetmthibinchnsayifaelaodnifdudtay sungmixtrakartaycaksaehtunipramanrxyla 1 khxngprachakrnkinphunthitxpikarxnurksnkkraeriynpkticaxyuepnkhuhruxfungkhnadelk minkkraeriynithyehluxxyuinthrrmchatipraman 15 000 20 000 twcakkarpraemininpi kh s 2009 prachakrchnidyxy nkkraeriynxinediy ehluxnxykwa 10 000 twaetkthuxwayngdikwaxik 2 chnidyxythiehlux xacepnephraaidrbkhwamekharphaelathrrmeniymthisubthxdknmathaihnkimidrbxntray aelainhlay phunthi nkkraeriynimekrngklwmnusy nkkraeriynithyekhyphbinpraethspakisthanaetyngimphbxikelytngaetplaykhristthswrrs 1980 prachakrnkkraeriyninxinediymikarldcanwnlng cakkarpramanprachakrodyrwmbnphunthankhxnghlkthanthisasmmaaesdngwaprachakrinpi kh s 2000 dithisudkhuxrxyla 10 aelaelwraythisudkhuxrxyla 2 5 khxngcanwnthnghmdinpi kh s 1850 ekstrkrhlaykhninxinediyechuxwankkraeriynnnepntwthalayphuchphl odyechphaakhaw aemwacakkarsuksaaesdngwakarcikkinemlkkhawodytrngnnmikarsuyesiycanwnnxykwarxylahnungaelakarehyiybyathaihsuyesiyemldpraman 0 4 15 kiolkrm thsnkhtikhxngekstrkrmiaenwonmepnbwkineruxngkhwamesiyhaythiekidkhun aelaniexngepnkarchwyxnurksnkkraeriynphayinphunthiekstrkrrm aelakarchdechykhwamesiyhaykhwamesiyhayaekekstrkrtamkhwamepncringxaccachwyid thungnaxacmibthbaththisahrbsakhyinkarchwyxnurksnkchnidni ephraaphunthichumnatamthrrmchatinnthukkhukkhammakkhundwykickrrmtang khxngmnusy prachakrnkkraeriyninpraethsxxsetreliymipraman 5 000 twaelaxacephimkhuneruxy xyangirktam nkkraeriynxinodcinklbldlngepncanwnmakcaksngkhramaelakarepliynaeplngthixyuxasy echnkarekstraebberngrdaelakarrabaynaxxkcakphunthichumna aelaemuxklangkhriststwrrsthi 20 nkkraeriynxinodcinidhayipcakphunthikarcayphnthuswnihysungkhrnghnungekhyaephipthungtxnitkhxngpraethscin miprachakrehluxpraman 1 500 2 000 twkracaytwepnklumprachakrelk prachakrinpraethsfilippinsnnrunxymakaelasuyphnthuipintxnplaykhxngkhristthswrrs 1960 fungnkkraeriyn prakxbipdwynkotetmthi 2 twaelankwyxxn 1 tw nkkraeriynithycdxyuinsphawaesiyngtxkarsuyphnthuinbychiaedngkhxngshphaphephuxkarxnurksthrrmchati aelaisetscdxyuinbychixnurksthi 2 karkhukkhamprakxbipdwyphykhukkhamthalaythinthixyuhruxthaihesuxmlng karlaaeladkcb echnediywkbsingaewdlxmthiepnmlphis orkh aelakaraekhngkhninspichis phlkhxngkarphsmphnthukninechuxsaythiiklekhiyngknmakinprachakrkhxngpraethsxxsetreliyyngtxngsuksatxip nkkraeriynithysuyphnthuipcakthrrmchatiaelwinpraethsmaelesiy filippins aelaithy miokhrngkarnankkraeriynklbsuthrrmchatiinpraethsithyodynankmacakpraethskmphucha praethsithy nkkraeriynithyepnstwpasngwnhnungin 20 chnidtamphrarachbyytisngwnaelakhumkhrxngstwpa ph s 2535 sthanaphaphpccubncdepnsuyphnthuipcakthrrmchatiaelw praethsithyphbnkkraeriyninthrrmchatikhrngsudthayinpi ph s 2511 thibriewnchayaedntidkbkmphucha odyinxdit pi ph s 2448 smedckrmphrayadarngrachanuphaphthrngbnthukiwwa thrngphbehnfungnkkraeriynithycanwnnbphnnbhmuntw tharngwangikhthithungmakha aelaemuxpi ph s 2488 mirayngankarphbehnfungnkkraeriynithybinphanthxngfabriewncnghwdechiyngrayaelaechiyngihm nnnbepnkarphbehnnkkraeriynithybinrwmtwepnfungkhrngsudthayinpraethsithy dwykhwamrwmmuxrahwangpraethsithykbmulnithixnurksnkkraeriynsakl ICF idrwmkncdthaokhrngkarnankkraeriynkhunthin G a sharpii odyerimtninpi ph s 2525 inpi ph s 2527 mulnithi idsngluknkkraeriynmacanwn 6 tw aettayip 1 tw ineduxnsinghakhm ph s 2532 mulnithi idsngluknkmaihxik 6 tw nkthnghmdnamaeliyngduxyuthisunyephaaeliyngaelakhyayphnthustwpabangphra aelaenuxngcakphxaemphnthuminxyekinip thangokhrngkartxngcdhaephimcakaehlngxunxik txmaswnstwokhrachidluknkmacakkaridrbbricakhcakprachachninbriewnchayaednithy law aelakmphucha rahwangpi ph s 2532 2540 canwnhlaytw thangokhrngkarcungidmikartidtxkbswnstwephuxaelkepliynprasbkarnrahwangkn swnstwokhrachcdepnsthanthiephaakhyayphnthunkkraeriynthiihythisudinpraethsithy odyiderimkhyayphnthuthngaebbthrrmchatiaelakarphsmethiym matngaetpi ph s 2540 cnthungpccubn cakprachakrerimtncanwn 26 tw cnthungeduxnmithunayn ph s 2552 miluknkthiekidmarwm 100 tw khnathiswnstwepidekhaekhiyw aelasthaniephaaeliyngnknabangphra samarthkhyayphnthuidxikimtakwa 50 tw thangswnstwcungmiokhrngkarplxynkkraeriynklbkhunsuthrrmchatiin 6 aehlngdwyknkhux aela sunginxdit praethsithyekhyplxynkkraeriynsamtwklbsuthrrmchatithithungkamnginpi ph s 2540 aetimprasbphlsaerc pi ph s 2554 rahwangeduxnminakhmthungeduxnphvsphakhm khnathanganokhrngkarthdlxngplxynkkraeriynphnthuithykhunsuphunthichumnathrrmchati praethsithy aelaswnstwnkhrrachsimaidmikarthdlxngplxynkkraeriynithy xayu 5 8 eduxn canwn 10 tw klbkhunsuthrrmchatithibriewnxangekbnahwycraekhmak xaephxemuxng cnghwdburirmy cakkartidtamphbwankkraeriyndngklawsamarthdarngchiwitxyuinthrrmchatiidtampkti inpithdma idplxynkkraeriynithyklbkhunsuthrrmchatixikkhrng canwn 9 tw thixangekbnasnambin xaephxpraokhnchy cnghwdburirmy emuxthungpi ph s 2562 mikarplxynkkraeriynithykhunsuphunthithrrmchatiaelwthung 105 tw samarthmichiwitrxdinthrrmchati 71 tw aelamiluknkekidinthrrmchatiimnxykwa 15 twnkkraeriyninwthnthrrmThe Floating Feather wadodyaemlkhiyxr odnedxkuetxr Melchior d Hondecoeter rawpi kh s 1680 nkinorngeliyngstwkhxngsmedcphraecawileliymthi 3 aehngxngkvsthiphrarachwngaehtol Het Loo Palace minkkraeriynithyxyuinchakhlng nkkraeriynithyepnthiekharphinpraethsxinediyaelamitananthiwamhavisiwalmiki Valmiki idsapaechngphuthikhankkraeriynaelaidaerngbndaliccaknkkraeriyninkarekhiynmhakaphyramayna nkkraeriynyngepnkhuaekhngkhxngnkyungxinediyinkarkhdeluxknkthicaepnnkpracachatixinediy inchnephaokhnthi Gondi sungskkaraphraeca 5 phraxngkhthuxwankkraeriynepnstwskdisiththi enuxnkkraeriynthuxwaepnxahartxnghaminkhmphirhinduobran epnthiechuxknxyangkwangkhwangwankkraeriyncamikhuephiyngtwediywtlxdchiwit thaekidtwidtwhnungtaylng xiktwhnungcatrxmictaytam nkkraeriynepnsylksnkhunngamkhwamdisilthrrminchiwitaetngnganaelainrthkhuchratmipraephniihkhuaetngnganihmdukhunkkraeriynepntwxyang inthirabnathwmkhngkhxngaemnakhngkha idmikarsngektkarthangchiwwithyakhxngnkkraeriynodyckrphrrdiomkul cahnkir Jahangir pramanchwngpi kh s 1607 ekhabnthukwankkraeriynwangikhsxngibhangkn 48 chwomngaelaichewlafk 34 wn phaphwadodyoyhnn michaexl eslicmnn Johann Michael Seligmann tiphimphinchwngpi kh s 1749 1776 inngankhxngcxrc exdewids George Edwards aemwankcaepnthiekharphaelaidrbkarpkpxngcakchawxinediy aetnkkraeriynyngkhngthuklainchwngthixinediyepnxananikhm mibnthukwakarkhankcathaihkhukhxngmnaephdesiyngiphlaywn aelaechuxknwahlngcaknnmncatrxmictaytamkhuip aemaetinkhumuxkarlankephuxkarkilayngimehndwythicayingnkchnidni tamthinkstwwithyachawxngkvsinkhriststwrrsthi 19 thxms si ecxrdxn Thomas C Jerdon klawiwwa nkwyxxnkinxrxy khnathinkotetmthi irkhathicawangbnota ikhkhxngnkkraeriynithyichinkarrksaaebbphunbaninbangswnkhxngpraethsxinediy insmykxn bxykhrngthinkwyxxncaodncbaelanaipeliyngiwinorngeliyngstwthnginpraethsxinediyaelathwipyuorp mikarkhyayphnthusaercinkrngeliynginchwngtxntnkhxngkhristthswrrs 1600 odyckrphrrdicahnkir aelainyuorpaelainshrthxemrikaintxntnkhxngkhristthswrrs 1930 nkwyxxneliyngngaydwykarpxnxahardwymux nkcaechuxngaelatidkhnpxnxaharmakodyedintamxyangkbsunkh mnepnnkthitlkmakdwythaetnthiphisdaraelaaesdngthathangnatlkkhbkhn sungkhumkhathicaeliyngiw nkkraeriyntwhnungthichneliyng emuxihkhnmpngkbnmaekmn mncanakhnmpngxxkcaknmaelalanginxangnakhxngmnkxncakinekhaip nktwninamacakphrarachwngthilkhena Lucknow sungmncaduraykbkhnaeplkhnaaelasunkhmak odyechphaathaphwkekhamithathiklwmn mnsngesiyngdnghnwkhumaksungepnkhxesiyephiyngkhxediywkhxngmn Irby 1861 ekhruxngbinibphd 14 thinngkhxngxinediyidrbkartngchuxtamnkkraeriynniwa Saras inpraethsithy eruxngkhxngnkkraeriynpraktxyuin elaeruxngkrungsyam khxngsngkhrachpaelxkws aela lannkkraeriyn khxngsmedc krmphrayadarngrachanuphaph nxkcaknnyngpraktxyuinkaphyhxokhlngpraphastharthxngaedngkhxngecafathrrmathiebsrdngni nkkraeriynewiynwayna elngaellngyxngrxngaekraekr aecmcarimthungkrathunglxyaeph lnglxngbinkladklumthxngfarxnrxng ehluxhlayechingxrrthMeine amp Archibald 1996 p 126 Johnsgard 1983 p 239 Flower 1938 bnthukephiyngaekh 26 pisahrbnkeliyngxangxingBirdLife International 2016 Antigone antigone IUCN Red List of Threatened Species 2016 e T22692064A93335364 doi 10 2305 IUCN UK 2016 3 RLTS T22692064A93335364 en subkhnemux 20 February 2022 Blanford W T 1896 A note on the two sarus cranes of the Indian region Ibis 2 135 136 Wood T C amp Krajewsky C 1996 PDF The Auk 113 3 655 663 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedim PDF emux 2008 10 15 subkhnemux 2010 04 16 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint multiple names authors list lingk Vyas Rakesh 2002 Status of Sarus Crane Grus antigone antigone in Rajasthan and its ecological requirements PDF Zoos Print Journal 17 2 691 695 Rasmussen PC amp JC Anderton 2005 Birds of South Asia The Ripley Guide Vol 2 Smithsonian Institution and Lynx Edicions pp 138 139 Johnsgard Paul A 1983 Cranes of the world Indiana University Press Bloomington ISBN 0 253 11255 9 Jones Kenneth L Barzen Jeb A Ashley Mary V 2005 Geographical partitioning of microsatellite variation in the sarus crane Animal Conservation 8 1 1 8 doi 10 1017 S1367943004001842 S2CID 85570749 Azam Mirza Mohammad amp Chaudhry M Shafique 2005 Birdlife in Nagarparkar district Tharparkar Sindh PDF Rec Zool Surv Pakistan 16 26 32 lingkesiy Choudhury A 1998 Mammals birds and reptiles of Dibru Saikhowa Sanctuary Assam India Oryx 32 3 192 200 doi 10 1017 S0030605300029951 Sundar K S G Kaur J Choudhury BC 2000 Distribution demography and conservation status of the Indian Sarus Crane Grus a antigone in India Journal of the Bombay Natural History Society 97 3 319 339 Sundar KSG Choudhury BC 2003 The Indian Sarus Crane Grus a antigone a literature review Journal of Ecological Society 16 16 41 Archibald G W Sundar KSG Barzen J 2003 A review of the three subspecies of Sarus Cranes Grus antigone J Ecol Soc 16 5 15 Marchant S Higgins P J 1993 Handbook of Australian New Zealand amp Antarctic birds Oxford University Press Melbourne Vigne GT 1842 Travels in Kashmir Ladak Iskardo Vol 2 Henry Colburn London Sundar KSG 2009 Are rice paddies suboptimal breeding habitat for Sarus Cranes in Uttar Pradesh India The Condor 111 4 611 623 doi 10 1525 cond 2009 080032 Borad C K Mukherjee A Parasharya B M 2001 Nest site selection by the Indian sarus crane in the paddy crop agrosystem Biological Conservation 98 1 89 96 doi 10 1016 s0006 3207 00 00145 2 Sundar KSG Choudhury BC 2006 Conservation of the Sarus Crane Grus antigone in Uttar Pradesh India J Bombay Nat Hist Soc 103 2 3 182 190 Gmelin JF 1788 Systema Naturae 1 13 ed p 622 Blyth Edward 1881 The natural history of the cranes R H Porter pp 45 51 Sarus Crane Birding in India and South Asia Meine Curt D and George W Archibald Eds 1996 The cranes Status survey and conservation action plan IUCN Gland Switzerland and Cambridge U K ISBN 2831703263 hnngsuxthrrmchatinanastw elm 2 nayaephthy buysng elkhakul Yule Henry Sir 1903 Hobson Jobson A glossary of colloquial Anglo Indian words and phrases and of kindred terms etymological historical geographical and discursive New ed edited by William Crooke B A J Murray London Stocqueler JH 1848 The Oriental Interpreter C Cox London Livesey TR 1937 Sarus flocks J Bombay Nat Hist Soc 39 2 420 421 Prasad SN NK Ramachandran HS Das amp DF Singh 1993 Sarus congregation in Uttar Pradesh Newsletter for Birdwatchers 33 4 68 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint multiple names authors list lingk Ramachandran NK Vijayan VS 1994 Distribution and general ecology of the Sarus Crane Grus antigone in Keoladeo National Park Bharatpur Rajasthan J Bombay Nat Hist Soc 91 2 211 223 Acharya Hari Narayan G 1936 Sarus flocks J Bombay Nat Hist Soc 38 4 831 Hartert Ernst amp F Young 1928 Some observations on a pair of Sarus Cranes at Tring Novitates Zoologicae 34 75 76 Law SC 1930 Fish eating habit of the Sarus Crane Antigone antigone J Bombay Nat Hist Soc 34 2 582 583 Sundar KSG 2000 Eggs in the diet of the Sarus Crane Grus antigone Linn J Bombay Nat Hist Soc 97 3 428 429 Chauhan R Andrews Harry 2006 Black necked Stork and Sarus Crane Grus antigone depredating eggs of the three striped roofed turtle Forktail 22 174 175 Fitch WT 1999 Acoustic exaggeration of size in birds via tracheal elongation comparative and theoretical analyses PDF J Zool Lond 248 31 48 doi 10 1111 j 1469 7998 1999 tb01020 x Mukherjee A 2002 Observations on the mating behaviour of the Indian Sarus Crane Grus antigone in the wild J Bombay Nat Hist Soc 99 1 108 113 Whistler Hugh 1949 Popular Handbook Of Indian Birds 4th edition Gurney and Jackson London hna 446 447 Walkinshaw Lawrence H 1947 PDF The Auk 64 4 602 615 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedim PDF emux 2011 06 07 subkhnemux 2010 04 16 Mukherjee A Soni V C Parasharya C K Borad B M December 2000 Nest and eggs of Sarus Crane Grus antigone antigone Linn PDF Zoos Print Journal 15 12 375 385 Sundar KSG amp BC Choudhury 2005 PDF Forktail 21 179 181 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedim PDF emux 2008 10 11 subkhnemux 2010 04 16 Ricklefs RE DF Bruning G W Archibald PDF The Auk 103 1 125 134 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedim PDF emux 2010 06 09 subkhnemux 2010 04 16 mingkhwy wtphnasry nkkraeriynkhunthin Advanced Thailand Geographic chbbthi 136 ph s 2555 ISSN 0859 5356 Sundar K S G Choudhury B C 2003 PDF Forktail 19 144 146 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedim PDF emux 11 October 2008 nkkraeriyninpraethsithy 2010 07 13 thi ewyaebkaemchchin sthaniephaaeliyngnknabangphra x sriracha cnghwdchlburi swnxnurksstwpa sankxnurksthrphyakrthrrmchati krmpaim bknowledge org Ali S 1957 Notes on the Sarus Crane J Bombay Nat Hist Soc 55 1 166 168 nkkraeriyn lingkesiy stwaephthy mhawithyalykhxnaekn Sundar KSG 2005 Observations of mate change and other aspects of pair bond in the Sarus Crane Grus antigone J Bombay Nat Hist Soc 102 1 109 112 Sundar KSG 2009 Are rice paddies suboptimal breeding habitat for Sarus Cranes in Uttar Pradesh India The Condor 111 4 611 623 Kaur J Choudhury B C Choudhury B C 2008 Conservation of the vulnerable Sarus Crane Grus antigone antigone in Kota Rajasthan India a case study of community involvement Oryx 42 3 452 455 doi 10 1017 S0030605308000215 Mukherjee A C K Borad amp B M Parasharya 2002 Breeding performance of the Indian sarus crane in the agricultural landscape of western India Biological Conservation 105 2 263 269 doi 10 1016 S0006 3207 01 00186 0 Kaur J amp Choudhury BC 2005 Predation by Marsh Harrier Circus aeruginosus on chick of Sarus Crane Grus antigone antigone in Kota Rajasthan Journal of the Bombay Natural History Society 102 1 102 Borad CK Mukherjee Aeshita Parasharya BM amp S B Patel 2002 Breeding performance of Indian Sarus Crane Grus antigone antigone in the paddy crop agroecosystem Biodiversity and Conservation 11 5 795 805 doi 10 1023 A 1015367406200 Ambrosioni P amp Cremisini ZE 1948 Epizoozia de carbonchi ematico negli animali del giardino zoologico di Roma Clin Vet phasaxitali 71 143 151 Lal Mukund Behari 1939 Studies in Helminthology Trematode parasites of birds Proceedings of the Indian Academy of Sciences Section B 10 2 111 200 Johnston SJ 1913 On some Queensland trematodes with anatomical observations and descriptions of new species and genera Quarterly Journal of Microscopical Science 59 361 400 Tandan BK The genus Esthiopterum Phthiraptera Ischnocera PDF J Ent B 42 1 85 101 Flower M S S 1938 The duration of life in animals IV Birds special notes by orders and families Proc Zool Soc London 195 235 Ricklefs R E 2000 Intrinsic aging related mortality in birds PDF J Avian Biol 31 103 111 doi 10 1034 j 1600 048X 2000 210201 x Pain D J Gargi R Cunningham A A Jones A Prakash V 2004 Mortality of globally threatened Sarus cranes Grus antigone from monocrotophos poisoning in India Science of the Total Environment 326 1 3 55 61 doi 10 1016 j scitotenv 2003 12 004 PMID 15142765 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint multiple names authors list lingk Muralidharan S 1993 Aldrin poisoning of Sarus cranes Grus antigone and a few granivorous birds in Keoladeo National Park Bharatpur India Ecotoxicology 2 3 196 202 doi 10 1007 BF00116424 Sundar KSG amp BC Choudhury 2005 Mortality of sarus cranes Grus antigone due to electricity wires in Uttar Pradesh India Environmental Conservation 32 260 269 doi 10 1017 S0376892905002341 BirdLife International 2001 PDF BirdLife International Cambridge UK ISBN 0946888426 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedim PDF emux 2016 02 10 subkhnemux 2010 04 16 Borad C K Mukherjee A Parasharya B M 2001 Damage potential of Indian sarus crane in paddy crop agroecosystem in Kheda district Gujarat India Agriculture Ecosystems and Environment 86 2 211 215 doi 10 1016 S0167 8809 00 00275 9 Sundar KSG 2009 Are rice paddies suboptimal breeding habitat for Sarus Cranes in Uttar Pradesh India The Condor 111 4 611 623 doi 10 1525 cond 2009 080032 nkkraeriyn 2010 03 23 thi ewyaebkaemchchin aefmstwolk olksiekhiyw Tanee T Chaveerach A Anuniwat A Tanomtong A Pinthong K Sudmoon R amp P Mokkamul 2009 Molecular Analysis for Genetic Diversity and Distance of Introduced Grus antigone sharpii L to Thailand PDF Pakistan Journal of Biological Sciences 12 2 163 167 doi 10 3923 pjbs 2009 163 167 PMID 19579938 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint multiple names authors list lingk lingkesiy nkkraeriynithy thankhxmulchnidphnthuthithukkhukkhaminpraethsithy nkkraeriyn chiwitintanan lingkesiy sarkhdi hna 122 129 ohp khwamhwngbnlannkkraeriyn ody phngschy mulsar nitysarenchnaenlcioxkrafik chbbphasaithy chbbthi 173 thnwakhm 2558 phrthiphy xngkhprichaesrsth nkkraeriynkhunthin lingkesiy sthabnwicywithyasastraelaethkhonolyiaehngpraethsithy okhrngkarnkkraeriynkhunthin 2009 10 23 thi ewyaebkaemchchin bubpha xaektu nkkraeriynithy thiswnstwdusitkhyayphnthusaerc ithyrth wnsukrthi 15 phvsphakhm ph s 2552 ksma hirnyrcht chlxngnkkraeriyntwthi 100 phnthuithyaeth aeth thiokhrach mtichnraywn chbbwnthi 18 mithunayn 2552 hna 21 etriymplxy kraeriynithy iklsuyphnthu suthrrmchatithiburirmyxik 9 tw 2016 02 01 thi ewyaebkaemchchin ASTVphucdkarxxniln 27 minakhm 2555 xngkhkarswnstwepidsunyxnurksnkkraeriynphnthuithy aehlngeriynruihmburirmy ithyophst 05 singhakhm ph s 2562 epidaehlngeriynru nkkraeriynphnthuithy thxngethiywechingniews Thai PBS 5 singhakhm 2562 Leslie J 1998 A bird bereaved The identity and significance of Valmiki s kraunca Journal of Indian Philosophy 26 5 455 487 doi 10 1023 A 1004335910775 Hammer Niels 2009 Why Sarus Cranes epitomize Karuṇarasa in the Ramayaṇa Journal of the Royal Asiatic Society 19 187 211 doi 10 1017 S1356186308009334 Sundar KS Gopi 2006 Conservation of the Sarus Crane Grus antigone in Uttar Pradesh India J Bombay Nat Hist Soc 103 2 3 182 190 Russell RV 1916 The tribes and castes of the Central Provinces of India Volume 3 Macmillan and Co London p 66 The Sacred Laws of the Aryas Parts 1 and 2 aeplody Buhler Georg New York The Christian Literature Company 1898 p 64 LCCN 32034301 1915 Indian sporting birds Francis Edwards London pp 117 120 Jerdon TC 1864 Birds of India Vol 3 George Wyman amp Co Calcutta Kaur J amp BC Choudhury 2003 Stealing of Sarus crane eggs Current Science 85 11 1515 1516 Ali S 1927 The Moghul emperors of India as naturalists and sportsmen Part 2 J Bombay Nat Hist Soc 32 1 34 63 Rothschild D 1930 Sarus crane breeding at Tring Bull Brit Orn Club 50 57 68 Irby LH 1861 Notes on birds observed in Oudh and Kumaon Ibis 3 2 217 251 doi 10 1111 j 1474 919X 1861 tb07456 x Norris Guy 2005 India works to overcome Saras design glitches Flight International 168 5006 28 Mishra Bibhu Ranjan 16 November 2009 After IAF Indian Posts shows interest for NAL Saras Business Standard subkhnemux 13 January 2010 aehlngthimaxun amp Bateman Robert 2001 The Birds of Heaven Travels with Cranes North Point Press New York ISBN 0 374 19944 2 Weitzman Martin L 1993 What to preserve An application of diversity theory to crane conservation The Quarterly Journal of Economics 108 1 157 183 doi 10 2307 2118499 ISSN 0033 5533 JSTOR 2118499 Haigh J C amp Holt P E 1976 The use of the anaesthetic CT1341 in a Sarus crane Can Vet J 17 11 291 292 PMC 1697384 PMID 974983 Duan W amp Fuerst P A 2001 Isolation of a sex Linked DNA sequence in cranes Journal of Heredity 92 5 392 397 doi 10 1093 jhered 92 5 392 PMID 11773245 Menon G K R V Shah amp M B Jani 1980 Observations on integumentary modifications and feathering on head and neck of the Sarus Crane Grus antigone antigone Pavo 18 10 16 Sundar K S G 2006 Flock size density and habitat selection of four large waterbirds species in an agricultural landscape in Uttar Pradesh India implications for management Waterbirds 29 3 365 374 doi 10 1675 1524 4695 2006 29 365 fsdahs 2 0 co 2 S2CID 198154724 aehlngkhxmulxunwikimiediykhxmmxnsmisuxthiekiywkhxngkb nkkraeriynithy wikispichismikhxmulphasaxngkvsekiywkb nkkraeriynithy International Crane Foundation Retrieved 22 February 2007 Northern Prairie Wildlife Research Center Retrieved 22 February 2007 Sarus Crane Grus antigone from Cranes of the World 1983 by