ต่อมลูกหมาก (อังกฤษ: prostate) เป็นของในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมส่วนใหญ่และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังบางชนิด ต่อมลูกหมากมีความแตกต่างกันอย่างมากไปตามแต่ละสปีชีส์ ทั้งในทางกายวิภาคศาสตร์ เคมี และสรีรวิทยา ในภาษาอังกฤษคำว่า prostate มาจากภาษากรีกโบราณว่า προστάτης (prostátēs) แปลตรงตัวได้ว่า "สิ่งที่ตั้งอยู่มาก่อน", "ผู้คุ้มครอง", "ผู้ปกครอง" ส่วนในภาษาไทยราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายคำว่าลูกหมากในแง่อวัยวะไว้ว่า เป็นต่อมในเพศชายรูปร่างคล้ายเนื้อในของผลหมาก
ต่อมลูกหมาก | |
---|---|
กายวิภาคเพศชาย | |
รายละเอียด | |
คัพภกรรม | ของท่อปัสสาวะ |
หลอดเลือดแดง | , , และ |
หลอดเลือดดำ | , , , |
ประสาท | |
น้ำเหลือง | |
ตัวระบุ | |
ภาษาละติน | Prostata |
MeSH | D011467 |
TA98 | A09.3.08.001 |
TA2 | 3637 |
FMA | 9600 |
[แก้ไขบนวิกิสนเทศ] |
ในทางกายวิภาคศาสตร์ ต่อมลูกหมากสามารถถูกแบ่งย่อยได้สองวิธี คือ แบ่งเป็นบริเวณ หรือ แบ่งเป็นกลีบ ต่อมลูกหมากไม่มีปลอกหรือถุงหุ้ม ในทางตรงกันข้ามจะมีแถบเส้นใยกล้ามเนื้อฝังใน (integral fibromuscular band) ล้อมรอบแทน โดยถูกหุ้มห่ออยู่ในกล้ามเนื้อของฐานเชิงกรานอีกที ซึ่งกล้ามเนื้อจะหดตัวในระหว่างที่มีการหลั่งน้ำอสุจิ นอกจากนี้ตัวต่อมลูกหมากเองยังมีกล้ามเนื้อเรียบบางส่วน คอยช่วยในการขับน้ำอสุจิออกมาในระหว่างการหลั่งน้ำอสุจิด้วย
หน้าที่ของต่อมลูกหมากคือการหลั่งของเหลว ซึ่งเป็นส่วนประกอบในปริมาตรของน้ำอสุจิ น้ำต่อมลูกหมาก (prostatic fluid) นี้มีลักษณะเป็นด่างเล็กน้อย ปรากฏเป็นสีน้ำนมหรือสีขาว และในมนุษย์มักจะมีน้ำต่อมลูกหมากประกอบอยู่ประมาณร้อยละ 30 ของปริมาตรน้ำอสุจิ ส่วนอีกร้อยละ 70 เป็นและน้ำ โดยความเป็นด่างของน้ำอสุจิช่วยทำให้สภาพกรดของช่องคลอดเป็นกลาง ทำให้อายุของตัวอสุจิยาวนานขึ้น
น้ำต่อมลูกหมากจะถูกขับออกมาในช่วงแรกของการหลั่งน้ำอสุจิ พร้อมกับตัวอสุจิส่วนมาก เมื่อเทียบกับสเปอร์มาโทซูนที่ถูกขับออกมาพร้อมกับน้ำถุงน้ำอสุจิเป็นหลัก จะพบว่า สเปอร์มาโตซูนที่อยู่ในน้ำต่อมลูกหมากจะมีการเคลื่อนไหวเองที่ดีกว่า อยู่รอดได้นานขึ้น และปกป้องสารพันธุกรรมไวัได้ดีกว่า
โรคของต่อมลูกหมาก ประกอบด้วย ต่อมลูกหมากโต, ต่อมลูกหมากอักเสบ, ต่อมลูกหมากติดเชื้อ และมะเร็งต่อมลูกหมาก
โครงสร้าง
ต่อมลูกหมากเป็นใน ในผู้ใหญ่จะมีขนาดประมาณผลวอลนัต ต่อมลูกหมากตั้งอยู่ในเชิงกราน ภายในต่อมเป็นทางผ่านของท่อปัสสาวะที่มาจากกระเพาะปัสสาวะ เรียกว่า ซึ่งมีอีกสองท่อมารวมเข้าด้วย
ต่อมลูกหมากปกติของผู้ใหญ่มีน้ำหนักประมาณ 11 กรัม และมักแปรผันอยู่ระหว่าง 7 ถึง 16 กรัม ส่วนปริมาตรของต่อมลูกหมากสามารถประมาณได้จากสูตร 0.52 × ความยาว × ความกว้าง × ความสูง โดยต่อมลูกหมากที่มีปริมาตรมากกว่า 30 ลบ.ซม. จะถือว่าเป็นต่อมลูกหมากโต (prostatomegaly) การศึกษาระบุว่า ปริมาตรต่อมลูกหมากในบรรดาผู้ป่วยที่ผลการตัดเนื้อออกตรวจเป็นลบ มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับน้ำหนักและส่วนสูง (ดัชนีมวลกาย) ดังนั้น จึงมีความจำเป็นในการควบคุมน้ำหนัก ต่อมลูกหมากนั้นล้อมรอบท่อปัสสาวะอยู่ทางด้านล่างของกระเพาะปัสสาวะ จึงสามารถสัมผัสได้ผ่าน
ชั้นเส้นใยโดยรอบต่อมลูกหมากบางครั้งจะเรียกว่า ปลอกหุ้มต่อมลูกหมาก (prostatic capsule) หรือ พังผืดต่อมลูกหมาก (prostatic fascia) และล้อมรอบด้วยแถบเส้นใยกล้ามเนื้อฝังใน
การแบ่งย่อย
ต่อมลูกหมากสามารถถูกแบ่งย่อยได้สองวิธี คือ แบ่งเป็นบริเวณ หรือ แบ่งเป็นกลีบ เนื่องจากความแปรปรวนในคำอธิบายและคำจำกัดความของกลีบ จึงทำให้การแบ่งเป็นบริเวณนั้นโดดเด่นกว่า
กลีบ
การจัดแบ่งเป็น "กลีบ" (lobe) นั้นพบการใช้ได้บ่อยครั้งในทางกายวิภาคศาสตร์ ซึ่งต่อมลูกหมากจะถูกแบ่งออกเป็นห้ากลีบอย่างไม่สมบูรณ์ ดังนี้
กลีบหน้า (Anterior lobe) (หรือ isthmus) | สอดคล้องโดยประมาณกับบริเวณเชื่อม |
กลีบหลัง (Posterior lobe) | สอดคล้องโดยประมาณกับบริเวณรอบนอก |
กลีบข้างซ้ายและขวา (Right & left Lateral lobes) | ครอบคลุมทุกบริเวณ |
กลีบใน (Median lobe) หรือกลีบกลาง (or middle lobe) | สอดคล้องโดยประมาณกับบริเวณกลาง |
บริเวณ
ต่อมลูกหมากสามารถถูกแบ่งออกได้เป็นสามหรือสี่บริเวณ การจัดแบ่งเป็น "บริเวณ" (zone) นี้พบการใช้ได้บ่อยครั้งในทางพยาธิวิทยา ซึ่งต่อมลูกหมากมีบริเวณต่อม (glandular region) ที่แตกต่างกันอยู่สี่บริเวณ โดยสองจากสี่บริเวณนั้นเกิดมาจากส่วนที่แตกต่างกันของท่อปัสสาวะส่วนต่อมลูกหมาก ดังนี้
ชื่อ | ส่วนของต่อมในผู้ใหญ่ | คำอธิบาย |
บริเวณรอบนอก (Peripheral zone หรือ PZ) | 70% | ส่วนกึ่งปลอกหุ้มของมุมด้านหลังของต่อมลูกหมากที่ล้อมรอบท่อปัสสาวะส่วนปลาย มะเร็งต่อมลูกหมากร้อยละ 70–80 มีจุดเริ่มต้นมาจากส่วนนี้ของต่อม |
บริเวณกลาง (Central zone หรือ CZ) | 20% | บริเวณนี้ล้อมรอบ บริเวณกลางมีสัดส่วนในมะเร็งต่อมลูกหมากประมาณร้อยละ 2.5 โดยมะเร็งจากบริเวณนี้มีแนวโน้มจะก้าวร้าวมากกว่า และมีแนวโน้มที่จะลามไปยังถุงน้ำอสุจิ |
บริเวณเชื่อม (Transition zone หรือ TZ) | 5% | บริเวณเชื่อมล้อมรอบท่อปัสสาวะส่วนต้น มะเร็งต่อมลูกหมากมีจุดเริ่มต้นจากบริเวณนี้ประมาณร้อยละ 10–20 บริเวณนี้เป็นบริเวณที่เติบโตได้ตลอดชีวิตของต่อมลูกหมาก อันเป็นที่มาของโรคการเจริญเกินของต่อมลูกหมาก |
บริเวณเส้นใยกล้ามเนื้อหน้า (Anterior fibro-muscular zone) (หรือ) | N/A | ส่วนนี้ไม่ถือเป็นบริเวณเสมอไป โดยปกติแล้วมักจะปราศจากซึ่งส่วนหรือส่วนประกอบของต่อม อันเป็นที่มาของชื่อ ซึ่งสื่อถึงกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน |
- กลีบของต่อมลูกหมาก
- บริเวณของต่อมลูกหมาก
หลอดเลือดและน้ำเหลือง
หลอดเลือดดำของต่อมลูกหมากมาจากข่ายที่เรียกว่า ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณรอบพื้นผิวด้านหน้าและด้านนอก ข่ายหลอดเลือดนี้ยังรับเลือดมาจากหลอดเลือดดำลึกด้านบนขององคชาตด้วย และเชื่อมต่อผ่านทางแขนงเข้าสู่และ โดยหลอดเลือดดำมีการระบายเข้าสู่และ
การระบายน้ำเหลืองจากต่อมลูกหมากขึ้นอยู่กับต่ำแหน่งของพื้นที่ ซึ่งหลอดน้ำเหลืองที่อยู่โดยรอบหลอดนำอสุจิ บางส่วนของหลอดน้ำเหลืองในถุงน้ำอสุจิ และหลอดน้ำเหลืองจากพื้นผิวด้านหลังของต่อมลูกหมาก จะถูกระบายเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองกระดูกปีกสะโพกนอก ขณะที่บางส่วนของหลอดน้ำเหลืองจากถุงน้ำอสุจิ หลอดน้ำเหลืองต่อมลูกหมาก และหลอดน้ำเหลืองจากด้านหน้าของต่อมลูกหมาก จะถูกระบายเข้าสู่ ส่วนหลอดน้ำเหลืองของตัวต่อมลูกหมากเองนั้นยังอาจระบายเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองออบทูเรเตอร์และได้ด้วย
- ชื่อต่อมน้ำเหลืองบางส่วนของเชิงกราน
- หลอดน้ำเหลืองของต่อมลูกหมาก
จุลกายวิภาคศาสตร์
เนื้อเยื่อของต่อมลูกหมากประกอบด้วย ต่อม (glands) และ ส่วนพยุง (stroma) โดยส่วนต่อมบุด้วยเซลล์รูปคอลัมนาร์ (เนื้อเยื่อบุผิว) เนื้อเยื่อบุเหล่านี้มีการวางตัวแบบชั้นเดียวหรือไม่ก็แบบซูโดสแตรติไฟด์ เนื้อเยื่อบุผิวนั้นมีความแปรผันสูงและ และพื้นที่ที่มีเนื้อเยื่อบผิวแบบคิวบอยดัลหรือแบบสวามัสต่ำก็ยังมีให้เห็นได้ เช่นเดียวกับเนื้อเยื่อบุผิวแบบทรานซิชันแนลในส่วนปลายของท่อยาวด้วย ส่วนต่อมจะพบรูพรุนได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะมีการระบายลงสู่คลองยาว (long canal) และท่อหลัก 12–20 ท่อในลำดับถัดมา โดยต่อมาก็จะระบายลงสู่ท่อปัสสาวะที่ทอดตัวผ่านต่อมลูกหมาก นอกจากนี้ยังมีเซลล์เบซัลอยู่จำนวนน้อย ซึ่งวางตัวอยู่ถัดจากเยื่อฐานของต่อม ทำหน้าที่เป็นเซลล์ต้นกำเนิด
ส่วนพยุงของต่อมลูกหมาก ประกอบด้วย เนื้อเยื่อเส้นใย และกล้ามเนื้อเรียบ เนื้อเยื่อเส้นใยจะแยกต่อมออกเป็นกลีบ นอกจากนี้ยังวางตัวอยู่ระหว่างต่อมและเป็นส่วนประกอบอย่างสุ่มของมัดกล้ามเนื้อเรียบที่ต่อเนื่องกับกระเพาะปัสสาวะด้วย
เมื่อเวลาผ่านไป จะมีสิ่งหลั่งที่จับตัวหนาขึ้น เรียกว่า (corpora amylacea) ค้างอยู่ภายในต่อม
ประเภทของเซลล์ทางมิญชวิทยาที่ปรากฏอยู่ในต่อมลูกหมากนั้นมีอยู่สามชนิด ได้แก่ เซลล์ต่อม (glandular cells), เซลล์ไมโอเอพิทีเลียม (myoepithelial cells) และเซลล์ซับเอพิทีเลียมอินเตอร์สติเชียล (subepithelial interstitial cells)
การแสดงออกของยีนและโปรตีน
ยีนเข้ารหัสโปรตีนประมาณ 20,000 ชนิดแสดงอยู่ในเซลล์ของมนุษย์ และเกือบร้อยละ 75 ของยีนเหล่านี้พบแสดงอยู่ในต่อมลูกหมากปกติ ยีนเหล่านี้ประมาณ 150 ตัวมีการแสดงออกอย่างจำเพาะมากกว่าในต่อมลูกหมาก โดยมียีนประมาณ 20 ตัวที่มีความจำเพาะสูงในต่อมลูกหมาก โปรตีนจำเพาะที่เกี่ยวข้องจะถูกแสดงในเซลล์ต่อมและเซลล์หลั่งของต่อมลูกหมาก และมีหน้าที่สำคัญต่อลักษณะของน้ำอสุจิ โปรตีนจำเพาะของต่อมลูกหมากบางชนิดเป็นเอนไซม์ เช่น และโปรตีน
การพัฒนา
ส่วนต่อมลูกหมากของท่อปัสสาวะพัฒนาขึ้นจากส่วนกลาง (middle) และส่วนเชิงกรานของ ของเอนโดเดิร์มต้นดำเนิด ประมาณปลายเดือนที่สามของชีวิตของเอ็มบริโอ ปุ่ม (outgrowths) จะเจริญขึ้นมาจากส่วนต่อมลูกหมากของท่อปัสสาวะ และเจริญเติบโตไปสู่โดยรอบ เซลล์ที่บุในส่วนนี้ของท่อปัสสาวะเปลี่ยนสภาพไปเป็นเนื้อเยื่อบุผิวต่อมของต่อมลูกหมาก ส่วนเมเซนไคม์ที่เกี่ยวข้องจะเปลี่ยนสภาพไปเป็นส่วนพยุงหนาแน่นและกล้ามเนื้อเรียบของต่อมลูกหมาก
การรวมตัวกันของ ท่อปัสสาวะ และ ทำให้เกิดต่อมลูกหมากในผู้ใหญ่ขึ้น ซึ่งเป็นอวัยวะที่ประกอบไปด้วยส่วนประกอบที่เป็นต่อมและไม่เป็นต่อม เชื่อมอยู่ด้วยกันอย่างแน่นหนาหลายส่วน
เพื่อให้ทำงานได้อย่างเหมาะสม ต่อมลูกหมากต้องการฮอร์โมนเพศชาย () ซึ่งรับผิดชอบคุณลักษณะทางเพศของเพศชาย ส่วนฮอร์โมนหลักของเพศชาย คือ เทสโทสเตอโรน ซึ่งโดยหลักแล้วถูกผลิตขึ้นที่อัณฑะ ส่วนฮอร์โมนที่มีอำนาจเหนือกว่าที่ควบคุมต่อมลูกหมาก คือ (DHT) ซึ่งเป็นเมทาบอไลท์ของเทสโทสเตอโรน
ต่อมลูกหมากจะใหญ่ขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป จนถึงทศวรรษที่สี่ของชีวิต
หน้าที่
ตอบสนองทางเพศชาย
ในระหว่างการน้ำอสุจิในผู้ชาย ตัวอสุจิจะถูกส่งต่อมาจากเข้าสู่ท่อปัสสาวะผ่านท่อฉีดอสุจิ ซึ่งวางจัวอยู่ภายในต่อมลูกหมาก โดยการหลั่งน้ำอสุจิเป็นการขับน้ำอสุจิออกทางท่อปัสสาวะ ซึ่งน้ำอสุจิจะเข้าสู่ท่อปัสสาวะหลังจากการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบของหลอดนำอสุจิและถุงน้ำอสุจิ อันเกิดมาจากการกระตุ้นส่วนมากอยู่ที่หัวองคชาต การกระตุ้นจะส่งสัญญาณผ่านทางไปยังกระดูกสันหลังส่วนเอวด้านบน และสัญญาณประสาทที่ทำให้เกิดการหดตัวจะผ่านมาทาง หลังจากน้ำอสุจิเข้าสู่ท่อปัสสาวะแล้ว น้ำอสุจิจะพุ่งออกมาโดยการหดตัวของ
ในผู้ชายบางคนอาจบรรลุความเสียวสุดยอดทางเพศได้จากการกระตุ้นต่อมลูกหมากเพียงอย่างเดียว เช่น การนวดต่อมลูกหมาก หรือ การร่วมเพศทางทวารหนัก
สิ่งคัดหลั่ง
สิ่งคัดหลั่งของต่อมลูกหมากในมนุษย์ มีโปรตีนเป็นส่วนประกอบน้อยกว่าร้อยละ 1[] และมีความเป็นกรดเล็กน้อย สิ่งคัดหลั่งประกอบด้วยเอนไซม์ เอนไซม์ เอนไซม์ และ นอกจากนี้ยังมีสังกะสีอยู่ด้วย โดยมีความเข้มข้น 500–1,000 เท่าของความเข้มข้นสังกะสีในเลือด[]
ลักษณะสำคัญด้านการรักษา
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การอักเสบ
-->
อ้างอิง
- Harper, Douglas. "Prostate". Online Etymology Dictionary. สืบค้นเมื่อ 2013-11-03.
- "ลูกหมาก". Sanook Dictionary. สืบค้นเมื่อ 2020-04-24.
- Raychaudhuri, B.; Cahill, D. (2008). "Pelvic fasciae in urology". Annals of the Royal College of Surgeons of England. 90 (8): 633–637. doi:10.1308/003588408X321611. PMC 2727803. PMID 18828961.
- Huggins, Charles; Scott, William W.; Heinen, J. Henry (1942). "Chemical composition of human semen and of the secretions of the prostate and seminal vehicles". Am J Physiol. 136 (3): 467–473. doi:10.1152/ajplegacy.1942.136.3.467.
- Young, Barbara; O'Dowd, Geraldine; Woodford, Phillip (2013). Wheater's functional histology: a text and colour atlas (6th ed.). Philadelphia: Elsevier. pp. 347–8. ISBN .
- Leissner KH, Tisell LE (1979). "The weight of the human prostate". Scand. J. Urol. Nephrol. 13 (2): 137–42. doi:10.3109/00365597909181168. PMID 90380.
- Fowke JH, Motley SS, Cookson MS, Concepcion R, Chang SS, Wills ML, Smith-Jr JA (December 19, 2006). "The association between body size, prostate volume and prostate-specific antigen". Prostate Cancer and Prostatic Diseases. 10 (2): 137–142. doi:10.1038/sj.pcan.4500924. PMID 17179979.
- Standring, Susan, บ.ก. (2016). "Prostate". Gray's anatomy : the anatomical basis of clinical practice (41st ed.). Philadelphia. pp. 1266–1270. ISBN . OCLC 920806541.
- Myers, Robert P (2000). "Structure of the adult prostate from a clinician's standpoint". Clinical Anatomy. 13 (3): 214–5. doi:10.1002/(SICI)1098-2353(2000)13:3<214::AID-CA10>3.0.CO;2-N. PMID 10797630.
- "Basic Principles: Prostate Anatomy" 2010-10-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Urology Match. Www.urologymatch.com. Web. 14 June 2010.
- "Prostate Cancer Information from the Foundation of the Prostate Gland." Prostate Cancer Treatment Guide. Web. 14 June 2010.
- Cohen RJ, Shannon BA, Phillips M, Moorin RE, Wheeler TM, Garrett KL (2008). "Central zone carcinoma of the prostate gland: a distinct tumor type with poor prognostic features". The Journal of Urology. 179 (5): 1762–7, discussion 1767. doi:10.1016/j.juro.2008.01.017. PMID 18343454.
- . ana.ed.ac.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2003-04-30. สืบค้นเมื่อ 2011-08-03.
- "Prostate". webpath.med.utah.edu. สืบค้นเมื่อ 2019-11-17.
- (ในภาษาอังกฤษ) Gevaert, T; Lerut, E; Joniau, S; Franken, J; Roskams, T; De Ridder, D (2014). "Characterization of subepithelial interstitial cells in normal and pathologic human prostate". Histopathology. 65 (3): 418–28. doi:10.1111/his.12402. PMID 24571575.
- "The human proteome in prostate - The Human Protein Atlas". www.proteinatlas.org. สืบค้นเมื่อ 2017-09-26.
- Uhlén, Mathias; Fagerberg, Linn; Hallström, Björn M.; Lindskog, Cecilia; Oksvold, Per; Mardinoglu, Adil; Sivertsson, Åsa; Kampf, Caroline; Sjöstedt, Evelina (2015-01-23). "Tissue-based map of the human proteome". Science. 347 (6220): 1260419. doi:10.1126/science.1260419. ISSN 0036-8075. PMID 25613900.
- O'Hurley, Gillian; Busch, Christer; Fagerberg, Linn; Hallström, Björn M.; Stadler, Charlotte; Tolf, Anna; Lundberg, Emma; Schwenk, Jochen M.; Jirström, Karin (2015-08-03). "Analysis of the Human Prostate-Specific Proteome Defined by Transcriptomics and Antibody-Based Profiling Identifies TMEM79 and ACOXL as Two Putative, Diagnostic Markers in Prostate Cancer". PLOS ONE. 10 (8): e0133449. Bibcode:2015PLoSO..1033449O. doi:10.1371/journal.pone.0133449. ISSN 1932-6203. PMC 4523174. PMID 26237329.
- Sadley, TW (2019). Langman's medical embryology (14th ed.). Philadelphia: Wolters Kluwer. pp. 265–6. ISBN .
- Moore, Keith L.; Persaud, T. V. N.; Torchia, Mark G. (2008). Before We are Born: Essentials of Embryology and Birth Defects (7th ed.). ISBN .
- Barrett, Kim E. (2019). Ganong's review of medical physiology. Barman, Susan M.,, Brooks, Heddwen L.,, Yuan, Jason X.-J. (26th ed.). New York. pp. 411, 415. ISBN . OCLC 1076268769.
- Rosenthal, Martha (2012). Human Sexuality: From Cells to Society. . pp. 133–135. ISBN . สืบค้นเมื่อ September 17, 2012.
- Komisaruk, Barry R.; Whipple, Beverly; Nasserzadeh, Sara & Beyer-Flores, Carlos (2009). The Orgasm Answer Guide. JHU Press. pp. 108–109. ISBN . สืบค้นเมื่อ 6 November 2011.
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
txmlukhmak xngkvs prostate epnkhxnginstweliynglukdwynanmswnihyaelastwimmikraduksnhlngbangchnid txmlukhmakmikhwamaetktangknxyangmakiptamaetlaspichis thnginthangkaywiphakhsastr ekhmi aelasrirwithya inphasaxngkvskhawa prostate macakphasakrikobranwa prostaths prostates aepltrngtwidwa singthitngxyumakxn phukhumkhrxng phupkkhrxng swninphasaithyrachbnthitysthanidihkhwamhmaykhawalukhmakinaengxwywaiwwa epntxminephschayruprangkhlayenuxinkhxngphlhmaktxmlukhmakkaywiphakhephschayraylaexiydkhphphkrrmkhxngthxpssawahlxdeluxdaedng aelahlxdeluxdda prasathnaehluxngtwrabuphasalatinProstataMeSHD011467TA98A09 3 08 001TA23637FMA9600 aekikhbnwikisneths inthangkaywiphakhsastr txmlukhmaksamarththukaebngyxyidsxngwithi khux aebngepnbriewn hrux aebngepnklib txmlukhmakimmiplxkhruxthunghum inthangtrngknkhamcamiaethbesniyklamenuxfngin integral fibromuscular band lxmrxbaethn odythukhumhxxyuinklamenuxkhxngthanechingkranxikthi sungklamenuxcahdtwinrahwangthimikarhlngnaxsuci nxkcaknitwtxmlukhmakexngyngmiklamenuxeriybbangswn khxychwyinkarkhbnaxsucixxkmainrahwangkarhlngnaxsucidwy hnathikhxngtxmlukhmakkhuxkarhlngkhxngehlw sungepnswnprakxbinprimatrkhxngnaxsuci natxmlukhmak prostatic fluid nimilksnaepndangelknxy praktepnsinanmhruxsikhaw aelainmnusymkcaminatxmlukhmakprakxbxyupramanrxyla 30 khxngprimatrnaxsuci swnxikrxyla 70 epnaelana odykhwamepndangkhxngnaxsucichwythaihsphaphkrdkhxngchxngkhlxdepnklang thaihxayukhxngtwxsuciyawnankhun natxmlukhmakcathukkhbxxkmainchwngaerkkhxngkarhlngnaxsuci phrxmkbtwxsuciswnmak emuxethiybkbsepxrmaothsunthithukkhbxxkmaphrxmkbnathungnaxsuciepnhlk caphbwa sepxrmaotsunthixyuinnatxmlukhmakcamikarekhluxnihwexngthidikwa xyurxdidnankhun aelapkpxngsarphnthukrrmiwiddikwa orkhkhxngtxmlukhmak prakxbdwy txmlukhmakot txmlukhmakxkesb txmlukhmaktidechux aelamaerngtxmlukhmakokhrngsrangtxmlukhmaksungmi seminal vesicle aela seminal ducts mxngcakkhanghnaaelakhangbn txmlukhmakepnin inphuihycamikhnadpramanphlwxlnt txmlukhmaktngxyuinechingkran phayintxmepnthangphankhxngthxpssawathimacakkraephaapssawa eriykwa sungmixiksxngthxmarwmekhadwy txmlukhmakpktikhxngphuihyminahnkpraman 11 krm aelamkaeprphnxyurahwang 7 thung 16 krm swnprimatrkhxngtxmlukhmaksamarthpramanidcaksutr 0 52 khwamyaw khwamkwang khwamsung odytxmlukhmakthimiprimatrmakkwa 30 lb sm cathuxwaepntxmlukhmakot prostatomegaly karsuksarabuwa primatrtxmlukhmakinbrrdaphupwythiphlkartdenuxxxktrwcepnlb mikhwamsmphnthxyangminysakhykbnahnkaelaswnsung dchnimwlkay dngnn cungmikhwamcaepninkarkhwbkhumnahnk txmlukhmaknnlxmrxbthxpssawaxyuthangdanlangkhxngkraephaapssawa cungsamarthsmphsidphan chnesniyodyrxbtxmlukhmakbangkhrngcaeriykwa plxkhumtxmlukhmak prostatic capsule hrux phngphudtxmlukhmak prostatic fascia aelalxmrxbdwyaethbesniyklamenuxfngin karaebngyxy txmlukhmaksamarththukaebngyxyidsxngwithi khux aebngepnbriewn hrux aebngepnklib enuxngcakkhwamaeprprwninkhaxthibayaelakhacakdkhwamkhxngklib cungthaihkaraebngepnbriewnnnoddednkwa klib karcdaebngepn klib lobe nnphbkarichidbxykhrnginthangkaywiphakhsastr sungtxmlukhmakcathukaebngxxkepnhaklibxyangimsmburn dngni klibhna Anterior lobe hrux isthmus sxdkhlxngodypramankbbriewnechuxmklibhlng Posterior lobe sxdkhlxngodypramankbbriewnrxbnxkklibkhangsayaelakhwa Right amp left Lateral lobes khrxbkhlumthukbriewnklibin Median lobe hruxklibklang or middle lobe sxdkhlxngodypramankbbriewnklangbriewn txmlukhmaksamarththukaebngxxkidepnsamhruxsibriewn karcdaebngepn briewn zone niphbkarichidbxykhrnginthangphyathiwithya sungtxmlukhmakmibriewntxm glandular region thiaetktangknxyusibriewn odysxngcaksibriewnnnekidmacakswnthiaetktangknkhxngthxpssawaswntxmlukhmak dngni chux swnkhxngtxminphuihy khaxthibaybriewnrxbnxk Peripheral zone hrux PZ 70 swnkungplxkhumkhxngmumdanhlngkhxngtxmlukhmakthilxmrxbthxpssawaswnplay maerngtxmlukhmakrxyla 70 80 micuderimtnmacakswnnikhxngtxmbriewnklang Central zone hrux CZ 20 briewnnilxmrxb briewnklangmisdswninmaerngtxmlukhmakpramanrxyla 2 5 odymaerngcakbriewnnimiaenwonmcakawrawmakkwa aelamiaenwonmthicalamipyngthungnaxsucibriewnechuxm Transition zone hrux TZ 5 briewnechuxmlxmrxbthxpssawaswntn maerngtxmlukhmakmicuderimtncakbriewnnipramanrxyla 10 20 briewnniepnbriewnthietibotidtlxdchiwitkhxngtxmlukhmak xnepnthimakhxngorkhkarecriyekinkhxngtxmlukhmakbriewnesniyklamenuxhna Anterior fibro muscular zone hrux N A swnniimthuxepnbriewnesmxip odypktiaelwmkcaprascaksungswnhruxswnprakxbkhxngtxm xnepnthimakhxngchux sungsuxthungklamenuxaelaenuxeyuxekiywphnklibkhxngtxmlukhmak briewnkhxngtxmlukhmakhlxdeluxdaelanaehluxng hlxdeluxddakhxngtxmlukhmakmacakkhaythieriykwa sungswnihycaxyubriewnrxbphunphiwdanhnaaeladannxk khayhlxdeluxdniyngrbeluxdmacakhlxdeluxddalukdanbnkhxngxngkhchatdwy aelaechuxmtxphanthangaekhnngekhasuaela odyhlxdeluxddamikarrabayekhasuaela karrabaynaehluxngcaktxmlukhmakkhunxyukbtaaehnngkhxngphunthi sunghlxdnaehluxngthixyuodyrxbhlxdnaxsuci bangswnkhxnghlxdnaehluxnginthungnaxsuci aelahlxdnaehluxngcakphunphiwdanhlngkhxngtxmlukhmak cathukrabayekhasutxmnaehluxngkradukpiksaophknxk khnathibangswnkhxnghlxdnaehluxngcakthungnaxsuci hlxdnaehluxngtxmlukhmak aelahlxdnaehluxngcakdanhnakhxngtxmlukhmak cathukrabayekhasu swnhlxdnaehluxngkhxngtwtxmlukhmakexngnnyngxacrabayekhasutxmnaehluxngxxbthueretxraelaiddwy chuxtxmnaehluxngbangswnkhxngechingkran hlxdnaehluxngkhxngtxmlukhmakculkaywiphakhsastr khxngtxmlukhmakthiecriyekinkbtid enuxeyuxkhxngtxmlukhmakprakxbdwy txm glands aela swnphyung stroma odyswntxmbudwyesllrupkhxlmnar enuxeyuxbuphiw enuxeyuxbuehlanimikarwangtwaebbchnediywhruximkaebbsuodsaetrtiifd enuxeyuxbuphiwnnmikhwamaeprphnsungaela aelaphunthithimienuxeyuxbphiwaebbkhiwbxydlhruxaebbswamstakyngmiihehnid echnediywkbenuxeyuxbuphiwaebbthransichnaenlinswnplaykhxngthxyawdwy swntxmcaphbruphrunidepncanwnmak sungcamikarrabaylngsukhlxngyaw long canal aelathxhlk 12 20 thxinladbthdma odytxmakcarabaylngsuthxpssawathithxdtwphantxmlukhmak nxkcakniyngmiesllebslxyucanwnnxy sungwangtwxyuthdcakeyuxthankhxngtxm thahnathiepneslltnkaenid swnphyungkhxngtxmlukhmak prakxbdwy enuxeyuxesniy aelaklamenuxeriyb enuxeyuxesniycaaeyktxmxxkepnklib nxkcakniyngwangtwxyurahwangtxmaelaepnswnprakxbxyangsumkhxngmdklamenuxeriybthitxenuxngkbkraephaapssawadwy emuxewlaphanip camisinghlngthicbtwhnakhun eriykwa corpora amylacea khangxyuphayintxm praephthkhxngesllthangmiychwithyathipraktxyuintxmlukhmaknnmixyusamchnid idaek eslltxm glandular cells esllimoxexphithieliym myoepithelial cells aelaesllsbexphithieliymxinetxrstiechiyl subepithelial interstitial cells karaesdngxxkkhxngyinaelaoprtin yinekharhsoprtinpraman 20 000 chnidaesdngxyuinesllkhxngmnusy aelaekuxbrxyla 75 khxngyinehlaniphbaesdngxyuintxmlukhmakpkti yinehlanipraman 150 twmikaraesdngxxkxyangcaephaamakkwaintxmlukhmak odymiyinpraman 20 twthimikhwamcaephaasungintxmlukhmak oprtincaephaathiekiywkhxngcathukaesdngineslltxmaelaesllhlngkhxngtxmlukhmak aelamihnathisakhytxlksnakhxngnaxsuci oprtincaephaakhxngtxmlukhmakbangchnidepnexnism echn aelaoprtin karphthna swntxmlukhmakkhxngthxpssawaphthnakhuncakswnklang middle aelaswnechingkrankhxng khxngexnodedirmtndaenid pramanplayeduxnthisamkhxngchiwitkhxngexmbriox pum outgrowths caecriykhunmacakswntxmlukhmakkhxngthxpssawa aelaecriyetibotipsuodyrxb esllthibuinswnnikhxngthxpssawaepliynsphaphipepnenuxeyuxbuphiwtxmkhxngtxmlukhmak swnemesnikhmthiekiywkhxngcaepliynsphaphipepnswnphyunghnaaennaelaklamenuxeriybkhxngtxmlukhmak karrwmtwknkhxng thxpssawa aela thaihekidtxmlukhmakinphuihykhun sungepnxwywathiprakxbipdwyswnprakxbthiepntxmaelaimepntxm echuxmxyudwyknxyangaennhnahlayswn ephuxihthanganidxyangehmaasm txmlukhmaktxngkarhxromnephschay sungrbphidchxbkhunlksnathangephskhxngephschay swnhxromnhlkkhxngephschay khux ethsothsetxorn sungodyhlkaelwthukphlitkhunthixntha swnhxromnthimixanacehnuxkwathikhwbkhumtxmlukhmak khux DHT sungepnemthabxilthkhxngethsothsetxorn txmlukhmakcaihykhunemuxewlaphanip cnthungthswrrsthisikhxngchiwithnathitxbsnxngthangephschay inrahwangkarnaxsuciinphuchay twxsucicathuksngtxmacakekhasuthxpssawaphanthxchidxsuci sungwangcwxyuphayintxmlukhmak odykarhlngnaxsuciepnkarkhbnaxsucixxkthangthxpssawa sungnaxsucicaekhasuthxpssawahlngcakkarhdtwkhxngklamenuxeriybkhxnghlxdnaxsuciaelathungnaxsuci xnekidmacakkarkratunswnmakxyuthihwxngkhchat karkratuncasngsyyanphanthangipyngkraduksnhlngswnexwdanbn aelasyyanprasaththithaihekidkarhdtwcaphanmathang hlngcaknaxsuciekhasuthxpssawaaelw naxsucicaphungxxkmaodykarhdtwkhxng inphuchaybangkhnxacbrrlukhwamesiywsudyxdthangephsidcakkarkratuntxmlukhmakephiyngxyangediyw echn karnwdtxmlukhmak hrux karrwmephsthangthwarhnk singkhdhlng singkhdhlngkhxngtxmlukhmakinmnusy mioprtinepnswnprakxbnxykwarxyla 1 txngkarxangxing aelamikhwamepnkrdelknxy singkhdhlngprakxbdwyexnism exnism exnism aela nxkcakniyngmisngkasixyudwy odymikhwamekhmkhn 500 1 000 ethakhxngkhwamekhmkhnsngkasiineluxd txngkarxangxing lksnasakhydankarrksaswnnirxephimetimkhxmul khunsamarthchwyephimkhxmulswnniidkarxkesb xacmikardaeninephuxtrwcsxbwatxmlukhmaknnmikhnadihyephiyngidhruxwatxmlukhmaknnnimhruxim sungxachmaythungkarxkesb txngkarxangxing aephnphaphkhxngmaerngtxmlukhmakthikdxyubnthxpssawa sungsamarththaihekidxakaridaesdngtxmlukhmakxkesb lksnarwmknthangmiychwithyakhxng txmlukhmakxkesb txmlukhmakpktithiimtidechuxxyuthangdankhwakhxngphaph phaphtidaesdngtxmlukhmakpktiaelatxmlukhmakthiepnmaerng prostatic adenocarcinoma mumbnkhwakhxngphaph phaphtidkhxng gt xangxingHarper Douglas Prostate Online Etymology Dictionary subkhnemux 2013 11 03 lukhmak Sanook Dictionary subkhnemux 2020 04 24 Raychaudhuri B Cahill D 2008 Pelvic fasciae in urology Annals of the Royal College of Surgeons of England 90 8 633 637 doi 10 1308 003588408X321611 PMC 2727803 PMID 18828961 Huggins Charles Scott William W Heinen J Henry 1942 Chemical composition of human semen and of the secretions of the prostate and seminal vehicles Am J Physiol 136 3 467 473 doi 10 1152 ajplegacy 1942 136 3 467 Young Barbara O Dowd Geraldine Woodford Phillip 2013 Wheater s functional histology a text and colour atlas 6th ed Philadelphia Elsevier pp 347 8 ISBN 9780702047473 Leissner KH Tisell LE 1979 The weight of the human prostate Scand J Urol Nephrol 13 2 137 42 doi 10 3109 00365597909181168 PMID 90380 Fowke JH Motley SS Cookson MS Concepcion R Chang SS Wills ML Smith Jr JA December 19 2006 The association between body size prostate volume and prostate specific antigen Prostate Cancer and Prostatic Diseases 10 2 137 142 doi 10 1038 sj pcan 4500924 PMID 17179979 Standring Susan b k 2016 Prostate Gray s anatomy the anatomical basis of clinical practice 41st ed Philadelphia pp 1266 1270 ISBN 9780702052309 OCLC 920806541 Myers Robert P 2000 Structure of the adult prostate from a clinician s standpoint Clinical Anatomy 13 3 214 5 doi 10 1002 SICI 1098 2353 2000 13 3 lt 214 AID CA10 gt 3 0 CO 2 N PMID 10797630 Basic Principles Prostate Anatomy 2010 10 15 thi ewyaebkaemchchin Urology Match Www urologymatch com Web 14 June 2010 Prostate Cancer Information from the Foundation of the Prostate Gland Prostate Cancer Treatment Guide Web 14 June 2010 Cohen RJ Shannon BA Phillips M Moorin RE Wheeler TM Garrett KL 2008 Central zone carcinoma of the prostate gland a distinct tumor type with poor prognostic features The Journal of Urology 179 5 1762 7 discussion 1767 doi 10 1016 j juro 2008 01 017 PMID 18343454 ana ed ac uk khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2003 04 30 subkhnemux 2011 08 03 Prostate webpath med utah edu subkhnemux 2019 11 17 inphasaxngkvs Gevaert T Lerut E Joniau S Franken J Roskams T De Ridder D 2014 Characterization of subepithelial interstitial cells in normal and pathologic human prostate Histopathology 65 3 418 28 doi 10 1111 his 12402 PMID 24571575 The human proteome in prostate The Human Protein Atlas www proteinatlas org subkhnemux 2017 09 26 Uhlen Mathias Fagerberg Linn Hallstrom Bjorn M Lindskog Cecilia Oksvold Per Mardinoglu Adil Sivertsson Asa Kampf Caroline Sjostedt Evelina 2015 01 23 Tissue based map of the human proteome Science 347 6220 1260419 doi 10 1126 science 1260419 ISSN 0036 8075 PMID 25613900 O Hurley Gillian Busch Christer Fagerberg Linn Hallstrom Bjorn M Stadler Charlotte Tolf Anna Lundberg Emma Schwenk Jochen M Jirstrom Karin 2015 08 03 Analysis of the Human Prostate Specific Proteome Defined by Transcriptomics and Antibody Based Profiling Identifies TMEM79 and ACOXL as Two Putative Diagnostic Markers in Prostate Cancer PLOS ONE 10 8 e0133449 Bibcode 2015PLoSO 1033449O doi 10 1371 journal pone 0133449 ISSN 1932 6203 PMC 4523174 PMID 26237329 Sadley TW 2019 Langman s medical embryology 14th ed Philadelphia Wolters Kluwer pp 265 6 ISBN 9781496383907 Moore Keith L Persaud T V N Torchia Mark G 2008 Before We are Born Essentials of Embryology and Birth Defects 7th ed ISBN 978 1 4160 3705 7 Barrett Kim E 2019 Ganong s review of medical physiology Barman Susan M Brooks Heddwen L Yuan Jason X J 26th ed New York pp 411 415 ISBN 9781260122404 OCLC 1076268769 Rosenthal Martha 2012 Human Sexuality From Cells to Society pp 133 135 ISBN 978 0618755714 subkhnemux September 17 2012 Komisaruk Barry R Whipple Beverly Nasserzadeh Sara amp Beyer Flores Carlos 2009 The Orgasm Answer Guide JHU Press pp 108 109 ISBN 978 0 8018 9396 4 subkhnemux 6 November 2011 bthkhwamaephthysastrniyngepnokhrng khunsamarthchwywikiphiediyidodykarephimetimkhxmuldkhk