มีการแนะนำว่า กาสาวพัสตร์ ควรย้ายมากับบทความนี้หรือส่วนนี้ () |
ไตรจีวร คือ ผ้าจีวร ๓ ผืน คนไทยเรียกสั้น ๆ ว่า ผ้าไตร เป็นชื่อเรียกผ้านุ่งผ้าห่มที่พระสงฆ์ใช้สอย หมายถึงผ้า 3 ผืน ซึ่งมีทั้งผ้านุ่งและผ้าห่ม อันได้แก่ สังฆาฏิ (ผ้าพาดบ่า) อุตราสงค์ (ผ้าจีวรสำหรับห่ม) และอันตรวาสก (ผ้าสบงสำหรับนุ่ง) แต่นิยมเรียกรวมกันว่า ไตรจีวร ไตรจีวรเป็นปัจจัยหรือบริขารของพระสงฆ์อย่างหนึ่งในจำนวน 8 อย่าง
นอกจากนี้ยังมีอีกคำหนึ่งที่ใช้เรียกไตรจีวรทั้งนิกายเถรวาทและมหายานคือคำว่า กาสาวะ กาสายะ หรือ กาษายะ (บาลี: kasāva kasāya กาสาว กาสาย; สันสกฤต: काषाय kāṣāya กาษาย; จีน: 袈裟; พินอิน: jiāshā; ญี่ปุ่น: 袈裟; : kesa; เกาหลี: 가사; ฮันจา: 袈裟; อาร์อาร์: gasa; เวียดนาม: cà-sa) ซึ่งหมายเอาตามชื่อสีที่ใช้ย้อมทำจีวรเป็นหลัก โดยผ้ากาสาวะ หมายถึงผ้าย้อมด้วยน้ำฝาด ซึ่งก็คือผ้าไตรจีวรทั้งสามผืนนั่นเอง
ความเป็นมาของจีวร
ในสมัยพุทธกาล เมื่อครั้งเจ้าชายสิทธัตถะออกผนวช ก็มีหลักฐานว่า ทรงใช้ผ้านุ่งห่มที่เรียกว่าจีวร แต่ในช่วงต้นพุทธกาล พระภิกษุยังคงใช้ผ้าที่หาได้มาเย็บต่อ ๆ กัน ไม่เป็นระเบียบ หรือบางครั้งภิกษุบางรูปได้รับถวายผ้าอย่างดีจากคหบดีก็มีการถูกลักขโมยบ่อยครั้ง เนื่องด้วยผ้าเป็นสิ่งที่หายากในสมัยพุทธกาล
ลายคันนาบนจีวร
จนต่อมาพระพุทธเจ้าได้ทอดพระเนตรนาของชาวมคธ จึงทรงดำริให้ตัดผ้าจีวร เป็นสี่เหลี่ยมผืนเล็กๆ มาต่อกัน จึงมีลักษณะเป็นผ้าที่เศร้าหมอง คือผู้อื่นมักไม่ต้องการไปตัดเย็บอีก เหมาะสมกับสมณะ ผ้าสี่เหลี่ยมผืนเล็กๆ ที่เย็บต่อกันนั้น ปรากฏลวดลายเป็นลายคันนา ออกแบบโดยพระอานนท์ ดังปรากฏข้อความในพระวินัยปิฎก ว่า
"อานนท์ เธอเห็นนาของชาวมคธ ซึ่งเขาพูนดินขึ้นเป็นคันนาสี่เหลี่ยม พูนคันนายาวทั้งด้านยาวและด้านกว้าง พูนคันนาคั่นในระหว่างๆ ด้วยคันนาสั้นๆ พูนคันนาเชื่อมกันทาง 4 แพร่ง ตามที่ซึ่ง คันนากับคันนา ผ่านตัดกันไปหรือไม่? ... เธอสามารถแต่งจีวรของภิกษุทั้งหลาย ให้มีรูปอย่างนั้นได้หรือไม่?"
พระอานนท์ตอบว่า "สามารถ พระพุทธเจ้าข้า."
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ทักขิณาคิรีชนบทตามพระพุทธาภิรมย์ แล้วเสด็จ กลับมาพระนครราชคฤห์อีก ครั้งนั้นท่านพระอานนท์แต่งจีวรสำหรับภิกษุหลายรูป ครั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคได้กราบทูลว่า
"ขอพระผู้มีพระภาคจงทอดพระเนตรจีวรที่ข้าพระพุทธเจ้าแต่งแล้ว พระพุทธเจ้าข้า."
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
"ภิกษุทั้งหลาย อานนท์เป็นคนฉลาด อานนท์ได้ซาบซึ้ง ถึงเนื้อความแห่งถ้อยคำที่เรากล่าวย่อได้โดยกว้างขวาง ...จีวรจักเป็นผ้าที่ตัดแล้ว เศร้าหมองด้วยศัสตรา สมควรแก่สมณะ และพวกศัตรูไม่ต้องการ"
ไตรจีวร
หลังจากพระอานนท์ถวายจีวรที่ตัดแต่งแล้ว ให้ทอดพระเนตร พระพุทธองค์ทรงพอพระทัย และอนุญาตให้ใช้ ผ้า 3 ผืน คือ สังฆาฏิชั้นเดียว จีวร และสบง
ต่อมาทรงอนุญาต ไตรจีวร คือ ผ้าสังฆาฏิสองชั้น จีวร และสบง ทั้งนี้เพื่อให้พระสงฆ์ ใช้ป้องกันความหนาวเย็น และรับสั่งว่า ภิกษุไม่พึงมีจีวรมากกว่านี้ (รูปใดมีมากกว่านี้ เป็นอาบัติ)
อติเรกจีวร คือ จีวรที่มีเกินกว่าผ้าที่อธิษฐานเป็นไตรจีวร ตามพระวินัย ภิกษุสามารถเก็บไว้ได้ไม่เกิน 10 วัน และสามารถทำเป็น วิกัปอติเรกจีวร คือ ทำให้เป็นจีวรที่มี 2 เจ้าของ เพื่อจะได้ไม่ต้องอาบัติ เพราะเก็บไว้เกินกำหนด
ความเป็นมาของเรื่องอติเรกจีวรนี้ เนื่องจากมีผู้ถวายจีวรแก่พระอานนท์ แล้วท่านประสงค์จะเก็บไว้ ถวายพระสารีบุตร ซึ่งขณะนั้นอยู่ต่างเมือง ประมาณ 10 วัน จึงจะเดินทางมาถึง พระอานนท์ได้เข้าไป ทูลถามพระพุทธองค์ว่า จะปฏิบัติอย่างไร กับอติเรกจีวรดี จึงทรงมีพุทธบัญญัติ ให้เก็บรักษาอติเรกจีวร ไว้ได้ไม่เกิน 10 วัน
ผ้าที่ใช้ทอจีวร
สมัยต่อมา มีจีวรหลายประเภทเกิดขึ้น ภิกษุทั้งหลายไม่แน่ใจว่า จีวรชนิดใดที่ทรงอนุญาต จึงกราบทูลเรื่องนั้นต่อพระศาสดา พระพุทธองค์ทรงอนุญาตจีวร 6 ชนิด คือ
- จีวรทำด้วยเปลือกไม้
- ทำด้วยฝ้าย
- ทำด้วยไหม
- ทำด้วยขนสัตว์
- ทำด้วยป่าน
- ทำด้วยของเจือกัน
สีจีวร
ในพระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค 2 บันทึกว่า แต่เดิมนั้นพระภิกษุย้อมสีจีวรต่างกันไป พระโคตมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำย้อม 6 อย่าง คือ น้ำย้อมเกิดแต่รากหรือเหง้า 1 น้ำย้อมเกิดแต่ต้นไม้ 1 น้ำย้อมเกิดแต่เปลือกไม้ 1 น้ำย้อมเกิดแต่ใบไม้ 1 น้ำย้อมเกิดแต่ดอกไม้ 1 น้ำย้อมเกิดแต่ผลไม้ 1"
ส่วนสีที่ทรงห้ามมี 7 สี คือ สีเขียวครามเหมือนดอกผักตบชวา, สีเหลืองเหมือนดอกกรรณิการ์, สีแดงเหมือนชบา, สีหงสบาท (สีแดงกับเหลืองปนกัน), สีดำเหมือนลูกประคำดีควาย, สีแดงเข้มเหมือนหลังตะขาบ และสีแดงกลายเหมือนสีดอกบัว
บางแห่งระบุว่า สีต้องห้าม คือ สีดำ สีคราม สีเหลือง สีแดง สีบานเย็น สีแสด และสีชมพู
กาสาวะของพุทธศาสนายุคแรก
การครองจีวร หรือ กาสาวะในช่วงพุทธศาสนายุคแรก หรือในยุคที่พุทธศาสนายังรุ่งเรืองในอินเดีย (Indian Buddhism) มีความแตกต่างหลากหลายไปตามคณะนิกายต่างๆ ความแตกต่างนี้ไม่เพียงสื่อถึงสำนักนิกายในสังกัดเท่านั้น แต่ยังสื่อถึงความแตกต่างในพระวินัยอีกด้วย ระหว่างปี ค.ศ. 148 - 170 อันซื่อเกา (安世高) พระภิกษุชาวปาร์เตีย (Parthia) จาริกมาถึงแผ่นดินจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่น เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา ท่าน ได้แปลปกรณ์วิเศษเกี่ยวกับการครองผ้า และสีสันจีวรของ 5 นิกายหลักของพุทธศาสนาในอินเดีย ปกรณ์วิเศษที่ว่านี้มีชื่อว่า "มหาภิกษุเสขิยวัตร 3,000 ประการ" (大比丘三千威儀) อีกปกรณ์ที่พรรณนาถึงการครองผ้าและสีจีวรในลักษณะเดียวกันคือคัมภีร์ศาริปุตรปริปฤจฉา ข้อแตกต่างระหว่าง 2 คัมภีร์ก็คือ สีจีวรของนิกายสรวาสติวาทกับนิกายธรรมคุปตกะสลับกัน
นิกาย | มหาภิกษุเสขิยวัตร | ศาริปุตรปริจจฉา |
---|---|---|
สรวาสติวาท | แดงเข้ม | ดำ |
ธรรมคุปตกะ | ดำ | แดงเข้ม |
มหาสังฆิกะ | เหลือง | เหลือง |
มหีศาสกะ | น้ำเงิน | น้ำเงิน |
กาศยปียะ | สีจำปา | สีจำปา |
กาสาวะของพุทธศาสนามหายาน
กาสาวะในจีน พุทธจักรในจีน เรียกจีวร หรือผ้ากาสาวะว่า "เจียซา" (袈裟) ในสำเนียงมาตรฐานปัจจุบัน แต่ในสำเนียงจีนโบราณออกเสียงว่า "เกียซา" หรือ "กาซา" ในช่วงแรกที่พุทธศาสนาเผยแผ่เข้าสู่แผ่นดินจีนนั้น พระภิกษุครองจีวรสีแดงเป็นหลัก แต่ต่อมาคณะนิกายมีความแตกต่างหลากหมายมากขึ้นสีสันจึงมีความแตกต่างมากขึ้น ดังเช่นคณะนิกายในอินเดีย อย่างไรก็ตาม ในกรณีของจีนนั้น สีของกาสาวะมักแตกต่างกันโดยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่ต่างๆ เป็นสำคัญ มากกว่าที่จะใช้แยกแยะความแตกต่างระหว่างคณะนิกาย โดยในแถบเจียงหนาน ทางภาคใต้ มักครองสีดำเข้ม ขณะที่แถบไคเฟิง ทางภาคกลางมักครองสีกรัก เป็นต้น
ในเวลาต่อมาสายการอุปสมบทในจีนเหลือเพียงสายที่อิงกับพระวินัยของนิกายธรรมคุปตกะเท่านั้น ดังนั้นความแตกต่างระหว่างสีกาสาวะกับคณะนิกายจึงไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป โดยเหตุนี้ในสมัยราชวงศ์ถังเป็นต้นมา พระภิกษุในจีนมักครองกาสาวะสีเทาเหลือบดำ ผู้คนจึงเรียกพระภิกษุว่า "จืออี" (緇衣) หรือผู้ห่มผ้าดำ ซึ่งเป็นสีกาสาวะของนิกายธรรมคุปตกะนั่นเอง
นอกจากสีดำแล้ว ในสมัยราชวงศ์ถังยังมีธรรมเนียมการถวายจีวรสีม่วงให้กับพระภิกษุสงฆ์ผู้ประกอบด้วยคุณงามความดีอันยอดยิ่ง โดยธรรมเนียมนี้มีที่มาจากตำนานเล่าขานเกี่ยวกับพระศาณะวาสิน ศิษย์ของพระอานนท์ ที่ถือกำเนิดมาพร้อมกับจีวร ต่อมาในแผ่นดินจีนมีเรื่องราวคล้ายคลึงกัน โดยพระภิกษุรุปหนึ่ง นามว่า ฮุ่ยเหลิง (慧稜) ถือกำเนิดมาพร้อมกับจีวรเช่นกัน แต่เป็นจีวรสีม่วง ประจวบเหมาะกับสีม่วงเป็นสีเครื่องแบบของขุนนางชั้นสูง ด้วยเหตุนี้ ตามธรรมเนียมจีนกาสาวะม่วงจึงไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของการเกิดมาเพื่อดดำรงสมณะเพศแต่กำเนิดเท่านั้น ยังหมายถึงสมณะผู้มีคุณงามความดีความอันโดดเด่นด้วย ซึ่งการถวายจีวรสีม่วงแก่พระเถระ เกิดขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยของพระนางเจ้าอู๋เจ๋อเทียน หรือพระนางบูเช็กเทียน ในสมัยราชวงศ์ถัง
อย่างไรก็ตาม พระภิกษุที่เคร่งครัดในสมัยราชวงศ์ถังไม่ยินดีนักกับการครองกาสาวะม่วง อันเป็นสัญลักษณ์ที่ยังข้องอยู่กับทางโลก กระนั้นก็ตาม เมื่อถึงสมัยราชวงศ์ซ่ง ทางการขาดแคลนรายได้อย่างหนัก ถึงกับประกาศขายกาสาวะสีม่วง (หรือนัยหนึ่งคือสมณะศักดิ์) แก่พระภิกษุ หรือผู้ที่ปรารถนาจะซื้อแล้วถวายแก่พระภิกษุ ตราบนั้นเป็นต้นมา กาสาวะสีม่วงจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเสื่อมโทรมของพุทธจักร
กาสาวะในเกาหลี พุทธจักรในเกาหลีเรียกจีวรว่า กาซา หรือ คาซา (อักษรฮันจา 袈裟 อักษรฮันกึล 가사) นับตั้งแต่พุทธศาสนาเผยแพร่เข้าสู่คาบสมุทรเกาหลี การครองจีวรส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากจีน ซึ่งแตกต่างไปตามนานานิกาย อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ราชวงศ์โชซอน (1392–1910) เป็นต้นมา ภิกษุส่วนใหญ่ครองกาสาวะสีเทาครองสังฆาติสีแดง ต่อมาหลังการปฏิรูปพุทธศาสนาครั้งใหญ่ระหว่างปี 1947 - 1962 พุทธจักรในเกาหลีแยกเป็น 2 นิกาย คือนิกายแทโก (อักษรฮันจา 太古宗 อักษรฮันกึล 태고종) ซึ่งครองอุตราสงค์สีเทา หรือสีน้ำเงิน สังฆาฏิสีแดง ขณะที่นิกายโชเก (อักษรฮันจา 曹溪宗 อักษรฮันกึล 조계종) ครองอุตราสงค์สีเทา หรือสีน้ำเงิน สังฆาฏิสีกรัก
กาสาวะในญี่ปุ่น พุทธจักรในญี่ปุ่นเรียกกาสาวะว่า เกสะ (袈裟) นับแต่พุทธศาสนาเผยแพร่เข้าสู่ดินแดนนี้ ลักษณะการครองและสีสันของผ้าแตกต่างกันไปตามนิกายที่มีอยู่หลากหลาย อีกทั้งยังมีการจำแนกแยกย่อยกาสาวะตามคุณลักษณะการใช้งาน เช่นการครองผ้าตามวัตรปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และการครองผ้าสำหรับงานพิธีกรรม อย่างน้อยมีการแบ่งกาสาวะตามลักษณะต่างๆ ดังที่ว่านี้ ด้วยชื่อเรียกถึง 20 ชื่อ นอกจากนี้ ยังมี "วะเกสะ" หรือกาสาวะครึ่งแบบ และ "ฮังเกสะ" หรือกาสาวะเล็ก สำหรับอุบาสกผู้รับศีล
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่แล้วมักครองผ้าสีดำหรือสีเทาในยามปกติ นอกจากนี้ ยังรับธรรมเนียมการถวายกาสาวะสีม่วงจากสมัยราชวงศ์ถังมาด้วย แต่ธรรมเนียมนี้ถูกยกเลิกไปในศตวรรษที่ 17 ในรัชสมัยโชกุนตระกูลโทะกุงะวะ การประกาศยกเลิกธรรมเนียมยังผลให้พระจักพรรดิทรงขัดเคืองพระทัยอย่างหนัก ถึงกับทรงสละราชสมบัติ เมื่อพระราชาคณะชั้นสูงประท้วงคำสั่งและไม่กระทำการตามประกาศ ภายหลังเหตุการณ์ที่เป็นข้อขัดแย้งสิ้นสุด พระภิกษุส่วนหนึ่งได้ถูกทางการเนรเทศ
กาสาวะในเวียดนาม พุทธจักรในเวียดนามครองกาสาวะ หรือ กาสะ (cà-sa) ใกล้เคียงกับในจีน มีสีเหลือง สีส้ม สีกรัก สีแดง
กาสาวะในทิเบต พุทธจักรในทิเบตถือตามพระวินัยของนิกายมูลสรวาสติวาท กาสาวะส่วนใหญ่ของคณะนิกายต่างๆ ในทิเบตจึงมีสีแดงตามนิกายมูลสรวาสติวาท แต่ส่วนประกอบอื่นๆ มีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันไปตามแต่ละนิกาย
ตัวอย่างการห่มจีวร
- การห่มจีวรแบบห่มคลุมของพระภิกษุมหานิกายเถรวาท (ที่ประพฤติแบบธรรมยุติ)สายหนองป่าพง ที่ใช้การย้อมจีวรด้วยแก่นขนุน เพื่อให้สีใกล้เคียงกับสมัยพุทธกาล
- การห่มคลุมของพระสงฆ์ในนิกายธรรมยุติ
- การห่มจีวรของพระภิกษุในนิกายเถรวาทแบบพม่า
- การห่มจีวรของพระภิกษุนิกายฉาน (เซน) แบบจีน
- การห่มจีวรของพระภิกษุนิกายฉาน (เซน) แบบญี่ปุ่น
- การห่มจีวรของพระภิกษุนิกายวัชรยานแบบทิเบต
- การห่มจีวรของพระภิกษุนิกายมหายานแบบเกาหลี
- การห่มจีวรของพระภิกษุนิกายมหายานแบบเวียดนาม
อ้างอิง
- พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ ราชบัณฑิต พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด, [วัดราชโอรสาราม] กรุงเทพฯ พ.ศ. 2548
- สุรีย์-วิเชียร มีผลกิจ " พระพุทธกิจ ๔๕ พรรษา "
- มหาวรรค ภาค ๒ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๕
แหล่งข้อมูลอื่น
- วิธีการห่มจีวรของนิกายเถรวาท 2009-02-08 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- "พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๕ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒". โปรแกรมตรวจหาและเทียบเคียงพุทธวจน. ม.ป.ป. สืบค้นเมื่อ 2556-01-16.
{{}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
และ|date=
((help)) - . สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดพะเยา. ม.ป.ป. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-05. สืบค้นเมื่อ 2556-01-16.
{{}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
และ|date=
((help))
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
mikaraenanawa kasawphstr khwryaymarwmkbbthkhwamnihruxswnni xphipray itrciwr khux phaciwr 3 phun khnithyeriyksn wa phaitr epnchuxeriykphanungphahmthiphrasngkhichsxy hmaythungpha 3 phun sungmithngphanungaelaphahm xnidaek sngkhati phaphadba xutrasngkh phaciwrsahrbhm aelaxntrwask phasbngsahrbnung aetniymeriykrwmknwa itrciwr itrciwrepnpccyhruxbrikharkhxngphrasngkhxyanghnungincanwn 8 xyangphraphiksuinphraphuththsasnamikarnunghmciwrdwysitang tamkhtiaelawinyinaetlanikay nxkcakniyngmixikkhahnungthiicheriykitrciwrthngnikayethrwathaelamhayankhuxkhawa kasawa kasaya hrux kasaya bali kasava kasaya kasaw kasay snskvt क ष य kaṣaya kasay cin 袈裟 phinxin jiasha yipun 袈裟 thbsphth kesa ekahli 가사 hnca 袈裟 xarxar gasa ewiydnam ca sa sunghmayexatamchuxsithiichyxmthaciwrepnhlk odyphakasawa hmaythungphayxmdwynafad sungkkhuxphaitrciwrthngsamphunnnexngkhwamepnmakhxngciwrinsmyphuththkal emuxkhrngecachaysiththtthaxxkphnwch kmihlkthanwa thrngichphanunghmthieriykwaciwr aetinchwngtnphuththkal phraphiksuyngkhngichphathihaidmaeybtx kn imepnraebiyb hruxbangkhrngphiksubangrupidrbthwayphaxyangdicakkhhbdikmikarthuklkkhomybxykhrng enuxngdwyphaepnsingthihayakinsmyphuththkal laykhnnabnciwr citrkrrmrupphraphiksucinaelaphraphiksuchawexechiyklang smyphuththstwrrsthi 14 15 oprdsngektlwdlaykhxngciwr sungepnlaysiehliymeliynaebblaytarangkhnna xnepnexklksnkhxngciwrinphuththsasnathuknikay imwacathadwywsduidaelaepnsiidktam cntxmaphraphuththecaidthxdphraentrnakhxngchawmkhth cungthrngdariihtdphaciwr epnsiehliymphunelk matxkn cungmilksnaepnphathiesrahmxng khuxphuxunmkimtxngkariptdeybxik ehmaasmkbsmna phasiehliymphunelk thieybtxknnn praktlwdlayepnlaykhnna xxkaebbodyphraxannth dngpraktkhxkhwaminphrawinypidk wa xannth ethxehnnakhxngchawmkhth sungekhaphundinkhunepnkhnnasiehliym phunkhnnayawthngdanyawaeladankwang phunkhnnakhninrahwang dwykhnnasn phunkhnnaechuxmknthang 4 aephrng tamthisung khnnakbkhnna phantdkniphruxim ethxsamarthaetngciwrkhxngphiksuthnghlay ihmirupxyangnnidhruxim phraxannthtxbwa samarth phraphuththecakha khrngnn phraphumiphraphakhprathbxyu n thkkhinakhirichnbthtamphraphuththaphirmy aelwesdc klbmaphrankhrrachkhvhxik khrngnnthanphraxannthaetngciwrsahrbphiksuhlayrup khrnaelw ekhaipefaphraphumiphraphakhidkrabthulwa khxphraphumiphraphakhcngthxdphraentrciwrthikhaphraphuththecaaetngaelw phraphuththecakha ladbnn phraphumiphraphakhthrngthathrrmiktha inephraaehtuepnekhamulnn inephraaehtuaerkekidnn aelwrbsngkaphiksuthnghlaywa phiksuthnghlay xannthepnkhnchlad xannthidsabsung thungenuxkhwamaehngthxykhathieraklawyxidodykwangkhwang ciwrckepnphathitdaelw esrahmxngdwysstra smkhwraeksmna aelaphwkstruimtxngkar itrciwr karhmciwr hlngcakphraxannththwayciwrthitdaetngaelw ihthxdphraentr phraphuththxngkhthrngphxphrathy aelaxnuyatihich pha 3 phun khux sngkhatichnediyw ciwr aelasbng txmathrngxnuyat itrciwr khux phasngkhatisxngchn ciwr aelasbng thngniephuxihphrasngkh ichpxngknkhwamhnaweyn aelarbsngwa phiksuimphungmiciwrmakkwani rupidmimakkwani epnxabti xtierkciwr khux ciwrthimiekinkwaphathixthisthanepnitrciwr tamphrawiny phiksusamarthekbiwidimekin 10 wn aelasamarththaepn wikpxtierkciwr khux thaihepnciwrthimi 2 ecakhxng ephuxcaidimtxngxabti ephraaekbiwekinkahnd khwamepnmakhxngeruxngxtierkciwrni enuxngcakmiphuthwayciwraekphraxannth aelwthanprasngkhcaekbiw thwayphrasaributr sungkhnannxyutangemuxng praman 10 wn cungcaedinthangmathung phraxannthidekhaip thulthamphraphuththxngkhwa captibtixyangir kbxtierkciwrdi cungthrngmiphuththbyyti ihekbrksaxtierkciwr iwidimekin 10 wnphathiichthxciwrsmytxma miciwrhlaypraephthekidkhun phiksuthnghlayimaenicwa ciwrchnididthithrngxnuyat cungkrabthuleruxngnntxphrasasda phraphuththxngkhthrngxnuyatciwr 6 chnid khux ciwrthadwyepluxkim thadwyfay thadwyihm thadwykhnstw thadwypan thadwykhxngecuxknsiciwrinphrawinypidk mhawrrkh phakh 2 bnthukwa aetedimnnphraphiksuyxmsiciwrtangknip phraokhtmphuththecacungtrswa phiksuthnghlay eraxnuyatnayxm 6 xyang khux nayxmekidaetrakhruxehnga 1 nayxmekidaettnim 1 nayxmekidaetepluxkim 1 nayxmekidaetibim 1 nayxmekidaetdxkim 1 nayxmekidaetphlim 1 swnsithithrnghammi 7 si khux siekhiywkhramehmuxndxkphktbchwa siehluxngehmuxndxkkrrnikar siaedngehmuxnchba sihngsbath siaedngkbehluxngpnkn sidaehmuxnlukprakhadikhway siaedngekhmehmuxnhlngtakhab aelasiaedngklayehmuxnsidxkbw bangaehngrabuwa sitxngham khux sida sikhram siehluxng siaedng sibaneyn siaesd aelasichmphukasawakhxngphuththsasnayukhaerkkarkhrxngciwr hrux kasawainchwngphuththsasnayukhaerk hruxinyukhthiphuththsasnayngrungeruxnginxinediy Indian Buddhism mikhwamaetktanghlakhlayiptamkhnanikaytang khwamaetktangniimephiyngsuxthungsanknikayinsngkdethann aetyngsuxthungkhwamaetktanginphrawinyxikdwy rahwangpi kh s 148 170 xnsuxeka 安世高 phraphiksuchawparetiy Parthia carikmathungaephndincininsmyrachwngshn ephuxephyaephphraphuththsasna than idaeplpkrnwiessekiywkbkarkhrxngpha aelasisnciwrkhxng 5 nikayhlkkhxngphuththsasnainxinediy pkrnwiessthiwanimichuxwa mhaphiksueskhiywtr 3 000 prakar 大比丘三千威儀 xikpkrnthiphrrnnathungkarkhrxngphaaelasiciwrinlksnaediywknkhuxkhmphirsariputrpripvccha khxaetktangrahwang 2 khmphirkkhux siciwrkhxngnikaysrwastiwathkbnikaythrrmkhuptkaslbkn nikay mhaphiksueskhiywtr sariputrpriccchasrwastiwath aedngekhm dathrrmkhuptka da aedngekhmmhasngkhika ehluxng ehluxngmhisaska naengin naenginkasypiya sicapa sicapakasawakhxngphuththsasnamhayankasawaincin phuththckrincin eriykciwr hruxphakasawawa eciysa 袈裟 insaeniyngmatrthanpccubn aetinsaeniyngcinobranxxkesiyngwa ekiysa hrux kasa inchwngaerkthiphuththsasnaephyaephekhasuaephndincinnn phraphiksukhrxngciwrsiaedngepnhlk aettxmakhnanikaymikhwamaetktanghlakhmaymakkhunsisncungmikhwamaetktangmakkhun dngechnkhnanikayinxinediy xyangirktam inkrnikhxngcinnn sikhxngkasawamkaetktangknodykhunxyukbenguxnikhthangphumisastrkhxngphunthitang epnsakhy makkwathicaichaeykaeyakhwamaetktangrahwangkhnanikay odyinaethbeciynghnan thangphakhit mkkhrxngsidaekhm khnathiaethbikhefing thangphakhklangmkkhrxngsikrk epntn inewlatxmasaykarxupsmbthincinehluxephiyngsaythixingkbphrawinykhxngnikaythrrmkhuptkaethann dngnnkhwamaetktangrahwangsikasawakbkhnanikaycungimmikhwamcaepnxiktxip odyehtuniinsmyrachwngsthngepntnma phraphiksuincinmkkhrxngkasawasiethaehluxbda phukhncungeriykphraphiksuwa cuxxi 緇衣 hruxphuhmphada sungepnsikasawakhxngnikaythrrmkhuptkannexng nxkcaksidaaelw insmyrachwngsthngyngmithrrmeniymkarthwayciwrsimwngihkbphraphiksusngkhphuprakxbdwykhunngamkhwamdixnyxdying odythrrmeniymnimithimacaktananelakhanekiywkbphrasanawasin sisykhxngphraxannth thithuxkaenidmaphrxmkbciwr txmainaephndincinmieruxngrawkhlaykhlungkn odyphraphiksuruphnung namwa huyehling 慧稜 thuxkaenidmaphrxmkbciwrechnkn aetepnciwrsimwng pracwbehmaakbsimwngepnsiekhruxngaebbkhxngkhunnangchnsung dwyehtuni tamthrrmeniymcinkasawamwngcungimephiyngaetepnsylksnkhxngkarekidmaephuxddarngsmnaephsaetkaenidethann ynghmaythungsmnaphumikhunngamkhwamdikhwamxnoddedndwy sungkarthwayciwrsimwngaekphraethra ekidkhunkhrngaerkinrchsmykhxngphranangecaxuecxethiyn hruxphranangbuechkethiyn insmyrachwngsthng xyangirktam phraphiksuthiekhrngkhrdinsmyrachwngsthngimyindinkkbkarkhrxngkasawamwng xnepnsylksnthiyngkhxngxyukbthangolk krannktam emuxthungsmyrachwngssng thangkarkhadaekhlnrayidxyanghnk thungkbprakaskhaykasawasimwng hruxnyhnungkhuxsmnaskdi aekphraphiksu hruxphuthiprarthnacasuxaelwthwayaekphraphiksu trabnnepntnma kasawasimwngcungklayepnsylksnkhxngkhwamesuxmothrmkhxngphuththckr kasawainekahli phuththckrinekahlieriykciwrwa kasa hrux khasa xksrhnca 袈裟 xksrhnkul 가사 nbtngaetphuththsasnaephyaephrekhasukhabsmuthrekahli karkhrxngciwrswnihyidrbxiththiphlcakcin sungaetktangiptamnananikay xyangirktamnbtngaetrachwngsochsxn 1392 1910 epntnma phiksuswnihykhrxngkasawasiethakhrxngsngkhatisiaedng txmahlngkarptirupphuththsasnakhrngihyrahwangpi 1947 1962 phuththckrinekahliaeykepn 2 nikay khuxnikayaethok xksrhnca 太古宗 xksrhnkul 태고종 sungkhrxngxutrasngkhsietha hruxsinaengin sngkhatisiaedng khnathinikayochek xksrhnca 曹溪宗 xksrhnkul 조계종 khrxngxutrasngkhsietha hruxsinaengin sngkhatisikrk kasawainyipun phuththckrinyipuneriykkasawawa eksa 袈裟 nbaetphuththsasnaephyaephrekhasudinaednni lksnakarkhrxngaelasisnkhxngphaaetktangkniptamnikaythimixyuhlakhlay xikthngyngmikarcaaenkaeykyxykasawatamkhunlksnakarichngan echnkarkhrxngphatamwtrptibtiinchiwitpracawn aelakarkhrxngphasahrbnganphithikrrm xyangnxymikaraebngkasawatamlksnatang dngthiwani dwychuxeriykthung 20 chux nxkcakni yngmi waeksa hruxkasawakhrungaebb aela hngeksa hruxkasawaelk sahrbxubaskphurbsil xyangirktam aemcamikhwamhlakhlay aetswnihyaelwmkkhrxngphasidahruxsiethainyampkti nxkcakni yngrbthrrmeniymkarthwaykasawasimwngcaksmyrachwngsthngmadwy aetthrrmeniymnithukykelikipinstwrrsthi 17 inrchsmyochkuntrakulothakungawa karprakasykelikthrrmeniymyngphlihphrackphrrdithrngkhdekhuxngphrathyxyanghnk thungkbthrngslarachsmbti emuxphrarachakhnachnsungprathwngkhasngaelaimkrathakartamprakas phayhlngehtukarnthiepnkhxkhdaeyngsinsud phraphiksuswnhnungidthukthangkarenreths kasawainewiydnam phuththckrinewiydnamkhrxngkasawa hrux kasa ca sa iklekhiyngkbincin misiehluxng sism sikrk siaedng kasawainthiebt phuththckrinthiebtthuxtamphrawinykhxngnikaymulsrwastiwath kasawaswnihykhxngkhnanikaytang inthiebtcungmisiaedngtamnikaymulsrwastiwath aetswnprakxbxun miraylaexiydplikyxyaetktangkniptamaetlanikaytwxyangkarhmciwrwidths 170px karhmciwraebbhmkhlumkhxngphraphiksumhanikayethrwath thipraphvtiaebbthrrmyuti sayhnxngpaphng thiichkaryxmciwrdwyaeknkhnun ephuxihsiiklekhiyngkbsmyphuththkal karhmkhlumkhxngphrasngkhinnikaythrrmyuti karhmciwrkhxngphraphiksuinnikayethrwathaebbphma karhmciwrkhxngphraphiksunikaychan esn aebbcin karhmciwrkhxngphraphiksunikaychan esn aebbyipun karhmciwrkhxngphraphiksunikaywchryanaebbthiebt karhmciwrkhxngphraphiksunikaymhayanaebbekahli karhmciwrkhxngphraphiksunikaymhayanaebbewiydnamxangxingphrathrrmkittiwngs thxngdi suretoch p th 9 rachbnthit phcnanukrmephuxkarsuksaphuththsasn chud khawd wdrachoxrsaram krungethph ph s 2548 suriy wiechiyr miphlkic phraphuththkic 45 phrrsa mhawrrkh phakh 2 phraitrpidk elmthi 5aehlngkhxmulxunwithikarhmciwrkhxngnikayethrwath 2009 02 08 thi ewyaebkaemchchin phraitrpidk chbbbalisyamrth phasaithy elmthi 5 phrawinypidk elmthi 5 mhawrrkh phakh 2 opraekrmtrwchaaelaethiybekhiyngphuththwcn m p p subkhnemux 2556 01 16 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite web title aemaebb Cite web cite web a trwcsxbkhawnthiin accessdate aela date help sanknganphraphuththsasnacnghwdphaeya m p p khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2016 03 05 subkhnemux 2556 01 16 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite web title aemaebb Cite web cite web a trwcsxbkhawnthiin accessdate aela date help bthkhwamsasnaphuththniyngepnokhrng khunsamarthchwywikiphiediyidodykarephimetimkhxmuldk