กระสุนส่องวิถีคือกระสุนชนิดพิเศษที่ฐานใต้หัวกระสุนถูกดัดแปลงให้รองรับสารเคมีที่ก่อให้เกิดประกายไฟ สารเคมีจะลุกไหม้ทำให้เกิดแสงจ้าเมื่อกระสุนถูกยิงออกไป ทำให้ผู้ยิงรู้ถึงวิถีกระสุน ว่ากระทบกับเป้าหมายหรือไม่ เพื่อปรับการเล็งให้เที่ยงตรง โดยทั่วไปแล้วกระสุนส่องวิถีจะถูกบรรจุแทรกกับกับกระสุนทั่วไปทุกๆ สี่ถึงหกนัด เพื่อทำการส่องวิถีในการรบเวลากลางคืน แต่บางครั้งหัวหน้าชุดยิงอาจจะบรรจุกระสุนส่องวิถีทั้งซองเพื่อชี้เป้าให้สมาชิกชุดยิงคนอื่นๆ ทำการระดมยิงใส่เป้าหมาย
คนที่ถูกกระสุนส่องวิถียิงใส่จะเห็นว่ากระสุนแล่นมาด้วยความเร็วต่ำจากระยะไกล แต่เมื่อกระสุนแล่นเข้ามาใกล้ขึ้น ก็ดูเหมือนว่าความเร็วของกระสุนจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม มุมมองของผู้ถูกยิงนั้นเป็นภาพลวงตา
ประวัติ
กระสุนส่องวิถี เกิดขึ้นมา ครั้งแรกระหว่าง ชาวเติร์กและฮังการี่ สมัยนั้น เป็นกระสุนปืนใหญ่ ที่ไว้ยิง เพื่อทำลายและบุกยึดปราสาท โดยการระดมยิงตอนนั้น ยิงในเวลากลางคืนด้วยเหตุผลที่ว่า ปืนใหญ่ในสมัยนั้น ไม่สามารถบรรจุดินปืนในขณะปืนยังร้อนได้ ดังนั้น จึงเลือกโจมตีในเวลากลางคืน (ปืนใหญ่จะเย็นตัวเร็วในเวลากลางคืน ทำให้บรรจุดินปืนได้เร็วกว่าตอนกลางวัน และถ้าบรรจุ ดินปืนขณะลำกล้องยังร้อน จะทำให้ดินปืนติดไฟขณะบรรจุหรือกระทุ้งดินปืนได้) และการที่จะสามารถมองเห็นวิถีกระสุนในเวลากลางคืนเช่นนั้นได้จึงต้องใช้กระสุนที่ส่องแสงได้ โดยกระสุนสมัยนั้นจะเป็นก้อนหิน เอามาเกลาให้กลม และห่อร่วมกับผงถ่าน และดินปืนบางส่วน หอด้วยผ้าฝ้ายชุบน้ำมันแล้วตากแห้ง มัดด้วยเชือก และก่อนบรรจุลงปากกระบอกปืนใหญ่นั้น จะถูกทาด้วยมันหมูที่มีสภาพคล้ายจารบีเคลือบทั้งลูก และเมื่อถูกจุดกระสุนในปากกระบอกปืนใหญ่ แรงดันจะขับลูกกระสุนและลูกกระสุนจะติดไฟจากเชื้อเพลิงที่ห่อหุ้มลูกกระสุน จนทำให้เห็นเป็น ลูกไฟลอยฟ้า และเมื่อกระทบกับเป้าหมายจะยังติดไฟอยู่ด้วยซ้ำ ทำให้สามารถเล็งปรับวิถีและยิง กระสุนลูกต่อไปเข้าเป้าหมายได้โดยง่าย และนี้ ถือเป็นต้นกำเนิดแห่งกระสุนส่องวิถี
(อ้างอิงจากตำราบันทึก การผลิตดินปืนสมัยโบราณ)
ก่อนที่จะมีกระสุนส่องวิถี ผู้ยิงมักจะพึ่งการกระทบของกระสุนเพื่อปรับการเล็ง แต่การกระทบนั้นมองเห็นได้ยาก จนกระทั่งตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ผู้ออกแบบกระสุนได้พัฒนากระสุนสปอตไลท์ ที่ทำให้เกิดแสงวาบหรือกลุ่มควันตอนตกกระทบ เพื่อทำให้มองเห็นได้ง่ายขึ้น แต่กระสุนดังกล่าวถูกพิจารณาว่าเป็นการละเมิดว่าด้วยการห้ามใช้กระสุนระเบิด อีกทั้งยังไม่มีประโยชน์เมื่อใช้ต่อกรกับอากาศยานเนื่องจากกระสุนจะไม่ส่องแสงหรือควันถ้าไม่โดนเป้าหมาย ยังมีกระสุนอีกชนิดหนึ่งที่สามารถปล่อยควันตามวิถีกระสุนได้ แต่กระสุนชนิดนี้จะต้องเสียมวลไปในระดับหนึ่งเพื่อที่จะปล่อยควัน ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนที่ของกระสุนเป็นอย่างมาก
สหราชอาณาจักรเป็นประเทศแรกที่ผลิตกระสุนส่องวิถีขึ้นมาใน ค.ศ. 1915 โดยกระสุนดังกล่าวเป็น ที่ถูกดัดแปลงให้สามารถส่องวิถีได้ ต่อมาสหรัฐอเมริกาก็ผลิตกระสุนส่องวิถีขึ้นเช่นเดียวกันในปี 1917 โดยกระสุนมี
วิธีการผลิต
กระสุนส่องวิถีถูกผลิตขึ้นจากกระสุนฐานกลวง ที่มีสารเคมีที่ก่อให้เกิดประกายไฟอัดอยู่แน่น อาทิเช่นฟอสฟอรัส, แมกนีเซียมหรือสารเคมีอื่นๆ ที่ทำให้เกิดประกายไฟและให้ความสว่างมากพอ ในกระสุนมาตรฐานของนาโต้และสหรัฐฯ สารเคมีที่ใช้ส่วนใหญ่มาจากส่วนผสมของสารประกอบจำพวกสตรอนเชียม (สตรอนเชียมไนเตรต, สตรอนเชียมเพอร็อกไซด์ ฯลฯ) กับเชื้อเพลิงเชิงโลหะเช่นแมกนีเซียม ซึ่งเมื่อถูกเผาไหม้แล้วจะทำให้เกิดแสงสีแดงสว่างจ้า ส่วนกระสุนส่องวิถีของจีนกับรัสเซียใช้เกลือแบเรียมเป็นสารเคมีที่ใช้ในการเผาไหม้ จึงทำให้เกิดแสงสีเขียว กระสุนส่องวิถีรุ่นในใหม่ๆ บางรุ่นใช้สารประกอบที่ทำให้เกิดแสงน้อย และมักจะเป็นแสงอินฟราเรดที่สามารถมองเห็นได้ผ่านเท่านั้น
แม้ว่าจุดประสงค์หลักของกระสุนส่องวิถีคือช่วยผู้ยิงในการเล็งเป้า แต่ผู้ยิงไม่สามารถพึ่งพากระสุนส่องวิถีเพื่อช่วยปรับการเล็งเพียงอย่างเดียว เนื่องจากกระสุนส่องวิถีน้ำหนักและการเคลื่อนที่ในเชิงอากาศพลศาสตร์ที่ต่างไปจากกระสุนทั่วไป ด้วยเหตุที่ว่าเมื่อกระสุนส่องวิถีเดินทางออกจากลำกล้องปืน เชิ้อเพลิงที่อยู่ข้างในฐานกระสุนจะเกิดการเผาไหม้ ขณะที่กระสุนกำลังแล่นไปยังเป้าหมาย ทำให้วิถีการเคลื่อนที่ของกระสุนส่องวิถีกับกระสุนธรรมดาต่างกันอย่างเห็นได้ชัดในการยิงระยะไกล เพราะมวลในกระสุนส่องวิถีจะลดลงไปตามการเผาไหม้ของสารเคมี ในขณะที่มวลในกระสุนธรรมดาจะคงที่และมีวิถีการเคลื่อนที่ที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยตามแรงโน้มถ่วงเท่านั้น
ประเภท
มีกระสุนส่องวิถีอยู่สามประเภทด้วยกันได้แก่แบบส่องสว่าง, แบบส่องสว่างช้าและแบบส่องสว่างน้อย โดยประเภทมาตรฐานคือกระสุนส่องวิถีแบบส่องสว่าง ที่เริ่มการเผาไหม้ทันทีที่ออกจากปากกระบอกปืน ข้อเสียของกระสุนส่องวิถีประเภทนี้คือกระสุนจะบ่งชี้ตำแหน่งที่ตั้งของผู้ยิงให้กับศัตรู และยังทำให้อุปกรณ์มองกลางคืนใช้ไม่ได้ เพราะแสงที่เปล่งออกมานั้นสว่างเกินไป กระสุนส่องวิถีแบบส่องสว่างช้าจะเริ่มการเผาไหม้อย่างเต็มที่เมื่อกระสุนเดินทางไปแล้วประมาณหนึ่งร้อยหลาขึ้นไปเพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูรู้ตำแหน่งของผู้ยิง ส่วนกระสุนส่องวิถีแบบส่องสว่างน้อยจะให้ความสว่างน้อยมาก แต่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนผ่านอุปกรณ์มองกลางคืน
การใช้งาน
กระสุนส่องวิถี นอกจากจะใช้เพื่อชี้เป้าศัตรูและปรับการเล็งแล้วยังถูกนำไปใช้ในรถถังอีกด้วย โดยใช้กับปืนกลร่วมแกนร่วมกับเพื่อยิงชี้ตำบลกระสุนตกก่อนทำการยิงจริง ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองก็นำวิธีการชี้เป้าแบบนี้ไปใช้ โดยจะใช้ปืนกลอากาศยิงกระสุนส่องวิถีเพื่อชี้เป้าศัตรูก่อนที่จะใช้เพื่อให้เกิดความเที่ยงตรงสูงสุด
นอกจากจะใช้เพื่อชี้เป้าแล้ว กระสุนส่องวิถียังถูกใช้เพื่อเตือนผู้ยิงว่ากระสุนใกล้จะหมดแล้ว โดยบรรจุกระสุนชนิดดังกล่าวลงไป 2 นัดสุดท้ายของซองกระสุน ซึ่งมีประโยชน์มากในปืนที่ระบบลูกเลื่อนไม่เปิดค้างเมื่อกระสุนหมด (เช่นปืนเล็กยาวจู่โจม เอเค 47) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพอากาศโซเวียตได้นำวิธีการนี้ไปใช้กับปืนกลในเครื่องบินรบ แต่ข้อเสียเปรียบของการทำแบบนี้คือศัตรูก็จะรู้ว่ากระสุนกำลังจะหมด และเสี่ยงต่อการโจมตีกลับในทันทีเมื่อกระสุนหมด อย่างไรก็ตามข้อเสียเปรียบไม่ส่งผลต่อ เนื่องจากเมื่อกระสุนใกล้ ผู้ยิงจะทำการเตือนคนอื่นๆ ว่ากำลังจะทำการบรรจุกระสุนใหม่และต้องการให้คุ้มกัน ทำให้ศัตรูเสี่ยงต่อการยิงตอบโต้จากฝ่ายตรงข้ามที่ช่วยคุ้มกันให้อยู่
ในปัจจุบันอากาศยานพึ่งพาการใช้ขีปนาวุธ เรดาร์และการนำวิถีด้วยเลเซอร์เพื่อติดตามศัตรู ทำให้การใช้กระสุนส่องวิถีไม่สำคัญอีกต่อไป
ความปลอดภัย
เนื่องจากกระสุนส่องวิถีเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอัคคีภัย จึงถูกห้ามไม่ให้ใช้ในในสหราชอาณาจักร โดยทั่วไปแล้วการใช้กระสุนส่องวิถีจะได้รับอนุญาตระหว่างเท่านั้น
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2009 เกิดไฟป่าขึ้นในพื้นที่ทางทหารใกล้เมืองมาร์เซย์ ประเทศฝรั่งเศส โดยสาเหตุของเพลิงเกิดจากกระสุนส่องวิถี ทำให้พุ่มไม้ที่แห้งและติดไฟง่าย (ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในฤดูร้อน) ลุกไหม้ขึ้น
อ้างอิง
- Barnes, Frank; Skinner, Stan. Cartridges of the World. DBI Books, Inc., 1993 (pages 425-6).
- "History of the .303 British Calibre Service Ammunition Round." dave-cushman.net, 10 July 2001.
- Barnes, Frank; Skinner, Stan. Cartridges of the World. DBI Books, Inc., 1993 (page 426).
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-04-02. สืบค้นเมื่อ 2009-07-28.
- National Rifle Association of Great Britain Rules of shooting, Appendix 14/1
- , French army rapped over blaze as Europe battles fires
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
krasunsxngwithikhuxkrasunchnidphiessthithanithwkrasunthukddaeplngihrxngrbsarekhmithikxihekidprakayif sarekhmicalukihmthaihekidaesngcaemuxkrasunthukyingxxkip thaihphuyingruthungwithikrasun wakrathbkbepahmayhruxim ephuxprbkarelngihethiyngtrng odythwipaelwkrasunsxngwithicathukbrrcuaethrkkbkbkrasunthwipthuk sithunghknd ephuxthakarsxngwithiinkarrbewlaklangkhun aetbangkhrnghwhnachudyingxaccabrrcukrasunsxngwithithngsxngephuxchiepaihsmachikchudyingkhnxun thakarradmyingisepahmaythibrrcukrasunaelw playhwkrasunsxngwithithukthasiaedngephuxaeykpraephthxxkcakkrasunthrrmda khnthithukkrasunsxngwithiyingiscaehnwakrasunaelnmadwykhwamerwtacakrayaikl aetemuxkrasunaelnekhamaiklkhun kduehmuxnwakhwamerwkhxngkrasuncaephimkhuntamipdwy xyangirktam mummxngkhxngphuthukyingnnepnphaphlwngtaprawtikrasunsxngwithi ekidkhunma khrngaerkrahwang chawetirkaelahngkari smynn epnkrasunpunihy thiiwying ephuxthalayaelabukyudprasath odykarradmyingtxnnn yinginewlaklangkhundwyehtuphlthiwa punihyinsmynn imsamarthbrrcudinpuninkhnapunyngrxnid dngnn cungeluxkocmtiinewlaklangkhun punihycaeyntwerwinewlaklangkhun thaihbrrcudinpuniderwkwatxnklangwn aelathabrrcu dinpunkhnalaklxngyngrxn cathaihdinpuntidifkhnabrrcuhruxkrathungdinpunid aelakarthicasamarthmxngehnwithikrasuninewlaklangkhunechnnnidcungtxngichkrasunthisxngaesngid odykrasunsmynncaepnkxnhin examaeklaihklm aelahxrwmkbphngthan aeladinpunbangswn hxdwyphafaychubnamnaelwtakaehng mddwyechuxk aelakxnbrrculngpakkrabxkpunihynn cathukthadwymnhmuthimisphaphkhlaycarbiekhluxbthngluk aelaemuxthukcudkrasuninpakkrabxkpunihy aerngdncakhblukkrasunaelalukkrasuncatidifcakechuxephlingthihxhumlukkrasun cnthaihehnepn lukiflxyfa aelaemuxkrathbkbepahmaycayngtidifxyudwysa thaihsamarthelngprbwithiaelaying krasunluktxipekhaepahmayidodyngay aelani thuxepntnkaenidaehngkrasunsxngwithi xangxingcaktarabnthuk karphlitdinpunsmyobran kxnthicamikrasunsxngwithi phuyingmkcaphungkarkrathbkhxngkrasunephuxprbkarelng aetkarkrathbnnmxngehnidyak cnkrathngtxntnkhriststwrrsthi 20 phuxxkaebbkrasunidphthnakrasunspxtilth thithaihekidaesngwabhruxklumkhwntxntkkrathb ephuxthaihmxngehnidngaykhun aetkrasundngklawthukphicarnawaepnkarlaemidwadwykarhamichkrasunraebid xikthngyngimmipraoychnemuxichtxkrkbxakasyanenuxngcakkrasuncaimsxngaesnghruxkhwnthaimodnepahmay yngmikrasunxikchnidhnungthisamarthplxykhwntamwithikrasunid aetkrasunchnidnicatxngesiymwlipinradbhnungephuxthicaplxykhwn sngphlkrathbtxkarekhluxnthikhxngkrasunepnxyangmak shrachxanackrepnpraethsaerkthiphlitkrasunsxngwithikhunmain kh s 1915 odykrasundngklawepn thithukddaeplngihsamarthsxngwithiid txmashrthxemrikakphlitkrasunsxngwithikhunechnediywkninpi 1917 odykrasunmiwithikarphlitkrasunsxngwithikhnad playkrasunsiaedng krasunsxngwithithukphlitkhuncakkrasunthanklwng thimisarekhmithikxihekidprakayifxdxyuaenn xathiechnfxsfxrs aemkniesiymhruxsarekhmixun thithaihekidprakayifaelaihkhwamswangmakphx inkrasunmatrthankhxngnaotaelashrth sarekhmithiichswnihymacakswnphsmkhxngsarprakxbcaphwkstrxnechiym strxnechiyminetrt strxnechiymephxrxkisd l kbechuxephlingechingolhaechnaemkniesiym sungemuxthukephaihmaelwcathaihekidaesngsiaedngswangca swnkrasunsxngwithikhxngcinkbrsesiyichekluxaeberiymepnsarekhmithiichinkarephaihm cungthaihekidaesngsiekhiyw krasunsxngwithiruninihm bangrunichsarprakxbthithaihekidaesngnxy aelamkcaepnaesngxinfraerdthisamarthmxngehnidphanethann aemwacudprasngkhhlkkhxngkrasunsxngwithikhuxchwyphuyinginkarelngepa aetphuyingimsamarthphungphakrasunsxngwithiephuxchwyprbkarelngephiyngxyangediyw enuxngcakkrasunsxngwithinahnkaelakarekhluxnthiinechingxakasphlsastrthitangipcakkrasunthwip dwyehtuthiwaemuxkrasunsxngwithiedinthangxxkcaklaklxngpun echixephlingthixyukhanginthankrasuncaekidkarephaihm khnathikrasunkalngaelnipyngepahmay thaihwithikarekhluxnthikhxngkrasunsxngwithikbkrasunthrrmdatangknxyangehnidchdinkaryingrayaikl ephraamwlinkrasunsxngwithicaldlngiptamkarephaihmkhxngsarekhmi inkhnathimwlinkrasunthrrmdacakhngthiaelamiwithikarekhluxnthithiepliynipelknxytamaerngonmthwngethannpraephthmikrasunsxngwithixyusampraephthdwyknidaekaebbsxngswang aebbsxngswangchaaelaaebbsxngswangnxy odypraephthmatrthankhuxkrasunsxngwithiaebbsxngswang thierimkarephaihmthnthithixxkcakpakkrabxkpun khxesiykhxngkrasunsxngwithipraephthnikhuxkrasuncabngchitaaehnngthitngkhxngphuyingihkbstru aelayngthaihxupkrnmxngklangkhunichimid ephraaaesngthieplngxxkmannswangekinip krasunsxngwithiaebbsxngswangchacaerimkarephaihmxyangetmthiemuxkrasunedinthangipaelwpramanhnungrxyhlakhunipephuxpxngknimihstrurutaaehnngkhxngphuying swnkrasunsxngwithiaebbsxngswangnxycaihkhwamswangnxymak aetsamarthmxngehnidchdecnphanxupkrnmxngklangkhunkarichngannawikoythinshrth kalngsxmyingdwykrasunsxngwithi krasunsxngwithi nxkcakcaichephuxchiepastruaelaprbkarelngaelwyngthuknaipichinrththngxikdwy odyichkbpunklrwmaeknrwmkbephuxyingchitablkrasuntkkxnthakaryingcring insmysngkhramolkkhrngthisxngknawithikarchiepaaebbniipich odycaichpunklxakasyingkrasunsxngwithiephuxchiepastrukxnthicaichephuxihekidkhwamethiyngtrngsungsud nxkcakcaichephuxchiepaaelw krasunsxngwithiyngthukichephuxetuxnphuyingwakrasuniklcahmdaelw odybrrcukrasunchniddngklawlngip 2 ndsudthaykhxngsxngkrasun sungmipraoychnmakinpunthirabblukeluxnimepidkhangemuxkrasunhmd echnpunelkyawcuocm exekh 47 inchwngsngkhramolkkhrngthisxng kxngthphxakasosewiytidnawithikarniipichkbpunklinekhruxngbinrb aetkhxesiyepriybkhxngkarthaaebbnikhuxstrukcaruwakrasunkalngcahmd aelaesiyngtxkarocmtiklbinthnthiemuxkrasunhmd xyangirktamkhxesiyepriybimsngphltx enuxngcakemuxkrasunikl phuyingcathakaretuxnkhnxun wakalngcathakarbrrcukrasunihmaelatxngkarihkhumkn thaihstruesiyngtxkaryingtxbotcakfaytrngkhamthichwykhumknihxyu inpccubnxakasyanphungphakarichkhipnawuth erdaraelakarnawithidwyelesxrephuxtidtamstru thaihkarichkrasunsxngwithiimsakhyxiktxipkhwamplxdphyenuxngcakkrasunsxngwithiephimkhwamesiynginkarekidxkhkhiphy cungthukhamimihichininshrachxanackr odythwipaelwkarichkrasunsxngwithicaidrbxnuyatrahwangethann ineduxnkrkdakhm kh s 2009 ekidifpakhuninphunthithangthhariklemuxngmaresy praethsfrngess odysaehtukhxngephlingekidcakkrasunsxngwithi thaihphumimthiaehngaelatidifngay sungthuxepneruxngpktiinvdurxn lukihmkhunxangxingBarnes Frank Skinner Stan Cartridges of the World DBI Books Inc 1993 pages 425 6 History of the 303 British Calibre Service Ammunition Round dave cushman net 10 July 2001 Barnes Frank Skinner Stan Cartridges of the World DBI Books Inc 1993 page 426 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2012 04 02 subkhnemux 2009 07 28 National Rifle Association of Great Britain Rules of shooting Appendix 14 1 French army rapped over blaze as Europe battles fires