เพลงขับวีรกรรม (ฝรั่งเศส: chanson de geste, "บทเพลงวีรกรรมของวีรบุรุษ") เป็นเรื่องเล่าสมัยกลาง เป็นมหากาพย์ประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงแรกเริ่มของวรรณกรรมฝรั่งเศส เพลงขับวีรกรรมที่เก่าแก่ที่สุดอยู่ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 11 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 ไม่นานก่อนเกิด (lyric poetry) ของตรูบาดูและ และ (chivalric romance) เพลงขับวีรกรรมถึงจุดสูงสุดช่วง ค.ศ. 1150–1250
เพลงขับวีรกรรมประพันธ์ในรูปร้อยกรอง มีความยาวปานกลาง (โดยเฉลี่ยที่ 4,000 บาท) เดิมขับร้องและภายหลังท่องโดยวณิพกและนักแสดงสัญจร มีต้นฉบับเพลงขับวีรกรรมประมาณ 300 ชิ้นที่เหลือรอดจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมาจากสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 12–15
ที่มา
นับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 มีการอภิปรายถึงต้นกำเนิดของเพลงขับวีรกรรม โดยเฉพาะระยะเวลาของการประพันธ์กับเหตุการณ์จริงที่อ้างถึง เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เพลงกล่าวถึงเกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 8–10 เพลงขับวีรกรรมที่เก่าแก่ที่สุดเกิดขึ้นช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 11 มีเพียงเพลงขับวีรกรรม 3 ชิ้นที่แต่งก่อนปี ค.ศ. 1150 ได้แก่ (Chanson de Guillaume), (Chanson de Roland) และ (Gormond et Isembart) ครึ่งแรกของ เพลงแห่งกีโยม อาจแต่งขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 11 ขณะที่นักวิชาการคนหนึ่งเสนอว่า กอร์มงและอีซ็องบาร์ อาจแต่งขึ้นในปี ค.ศ. 1068 ส่วน เพลงแห่งรอล็อง อาจแต่งขึ้นระหว่างหลัง ค.ศ. 1086 ถึงประมาณ ค.ศ. 1100
มีทฤษฎี 3 ทฤษฎีที่พยายามอธิบายที่มาของเพลงขับวีรกกรรม ทฤษฎีที่ 1 บรรยายว่าเป็นการสืบเนื่องจากงานวรรณกรรมที่เก่าแก่กว่านั้นอย่างมหากาพย์ และบทกวีร้อยแก้ว นักวิจารณ์หลายคน เช่น , และ เสนอว่าบทกวีลีริกเป็นบทกวีตามธรรมชาติที่ผู้คนขับขานก่อนจะถูกนำมารวมกันเป็นมหากาพย์ เมื่อสิ้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 เสนอว่าเพลงขับวีรกรรมอาจได้รับอิทธิพลจากกลุ่มชนเจอร์แมนิก หลังพบความคล้ายคลึงระหว่างเพลงขับวีรกรรมกับเรื่องเล่าเจอร์แมนิกเก่า/เมรอแว็งเฌียง
ทฤษฎีที่ 2 ของ เสนอว่าเพลงขับวีรกรรมพัฒนาจากร้อยแก้วเดิมที่พรรณนาถึงเหตุการณ์จริง
ทฤษฎีที่ 3 (ซึ่งไม่ได้รับการยอมรับในปัจจุบัน) ของ เสนอว่าเพลงขับวีรกรรมเกิดขึ้นราว ค.ศ. 1000 โดยนักร้อง (ร่วมกับนักบวช) ที่พยายามเลียนเพลงสวดนักบุญในโบสถ์ โดยนำเนื้อหามาจากวีรบุรุษที่มีสักการสถานหรือหลุมศพอยู่ในเส้นทางจาริกแสวงบุญ ทั้งนี้เพื่อดึงดูดให้ผู้แสวงบุญมาที่โบสถ์ นักวิจารณ์ยังเสนอความเห็นว่าความรู้ในภาษาละตินของนักบวชยังมีส่วนช่วยในการประพันธ์เพลงเหล่านี้
การอภิปรายสมัยหลังสนใจเพลงขับวีรกรรมในด้านจารีต (เป็นส่วนหนึ่งของธรรมเนียมประชานิยม) และปัจเจก (ประพันธ์โดยผู้เขียนคนเดียว) นักวิชาการพยายามค้นคว้าต้นฉบับเพื่อสืบหาวีรบุรุษตามตำนาน สำรวจความสืบเนื่องของธรรมเนียมวรรณกรรมละติน รวมถึงศึกษาในแง่มุขปาฐะ แม้นักวิชาการบางส่วนจะเน้นย้ำว่าการเขียนมีความสำคัญต่อเพลงขับวีรกรรมมากกว่าในแง่การอนุรักษ์เนื้อหาและการรักษาฉันทลักษณ์
เนื้อหาและโครงสร้าง
เพลงขับวีรกรรมประพันธ์ด้วย มีเนื้อหาเกี่ยวกับตำนาน (ซึ่งบางครั้งอิงเหตุการณ์จริง) ในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8–10 สมัยชาร์ล มาร์แตล, ชาร์เลอมาญ และจักรพรรดิหลุยส์ผู้ศรัทธา โดยเน้นย้ำการสงครามกับชาวมัวร์และ รวมถึงความขัดแย้งของกษัตริย์กับขุนนาง
เนื้อหาเพลงขับวีรกรรมเรียกรวม ๆ ว่า ในทำนองเดียวกับปกรณัมเกี่ยวกับบริเตนที่มีเรื่องราวของพระเจ้าอาร์เทอร์และอัศวินโต๊ะกลม และที่มีเรื่องราวของอเล็กซานเดอร์มหาราชและจูเลียส ซีซาร์
ปัจจัยสำคัญที่แยกเพลงขับวีรกรรมจากบทร้อยกรองวีรคติ (ซึ่งมักสำรวจบทบาทของบุคคล) คือการวิจารณ์และการเฉลิมฉลองกลุ่มคน (มักแสดงภาพวีรบุรุษในเรื่องเป็นบุคคลตามเทวลิขิต) รวมถึงเป็นตัวแทนของความซับซ้อนทางความสัมพันธ์และการรับใช้ในระบบฟิวดัล
เนื้อหาของเพลงขับวีรกรรมเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสสังคม การยุทธ์และความกล้าหาญเป็นแก่นหลักของเพลงขับวีรกรรมช่วงแรก ก่อนจะมีส่วนอื่น ๆ เช่น เงินตรา ฉากในเมือง ตัวละครหญิง และความรักเข้ามาเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบทางจินตนิมิตและการผจญภัยซึ่งรับมาจากบทร้อยกรองวีรคติอย่างเวทมนตร์ ยักษ์ และอสุรกาย เพลงขับวีรกรรมบางส่วนที่เล่าถึงสงครามครูเสดครั้งที่หนึ่งมีเรื่องราวการผจญภัยทางตะวันออกซึ่งมาจากคำบอกเล่าของนักรบครูเสด ขณะที่เพลงขับวีรกรรมในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ที่เล่าถึงสงครามร้อยปีมีเนื้อหาชาตินิยมและโน้มน้าวใจ
ฉันทลักษณ์
เพลงขับวีรกรรมยุคแรกมักประพันธ์แบบหนึ่งบาทมี (decasyllable) และมี (assonance) กล่าวคือมีสระเน้นตัวสุดท้ายเหมือนกัน แต่พยัญชนะต่างกันไปในแต่ละบาท ตัวอย่างของ แสดงรูปแบบดังกล่าว โดยสระกระทบในบทนี้คือสระ e:
Desuz un pin, delez un eglanter
Un faldestoed i unt, fait tout d'or mer:
La siet li reis ki dulce France tient.
Blanche ad la barbe et tut flurit le chef,
Gent ad le cors et le cuntenant fier.
S'est kil demandet, ne l'estoet enseigner.
เพลงขับวีรกรรมยุคหลังเป็นแบบ (monorhyme) หรือมีเสียงสระตรงพยางค์สุดท้ายของแต่ละบาทเหมือนกัน นอกจากนี้เพลงขับวีรกรรมยุคหลังมักประพันธ์ด้วย (alexandrine) ซึ่งมีสิบสองพยางค์ บทเปิดเรื่องของ เลเชติฟ (Les Chétifs) แสดงรูปแบบดังกล่าว โดยสัมผัสคือ ie:
Or s'en fuit Corbarans tos les plains de Surie,
N'enmaine que .ii. rois ens en sa conpaignie.
S'enporte Brohadas, fis Soudan de Persie;
En l'estor l'avoit mort a l'espee forbie
Li bons dus Godefrois a le chiere hardie
Tres devant Anthioce ens en la prairie.
การแสดง
เพลงขับวีรกรรมใช้การบอกเล่าเป็นหลัก เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ในคริสต์ศตวรรษที่ 11–13 ยังขาดการรู้หนังสือ (ยกเว้นสมาชิกราชสำนักและตระกูลขุนนาง) ยังคงมีการถกเถียงว่าในยุคแรกมีการเขียนเนื้อเพลงลงบนไว้ก่อน แล้วให้ผู้แสดงอ่านจากต้นฉบับนั้น (แต่กระดาษหนังมีราคาค่อนข้างสูง) หรือให้ผู้แสดงท่องจำเนื้อเพลงไว้ก่อนการแสดง หรือผู้แสดงด้นสดบางส่วน หรือผู้แสดงด้นสดทั้งหมดไปก่อน แล้วจึงบันทึกเนื้อเพลงตามทีหลัง นอกจากนี้ยังมีความเห็นในหมู่นักวิชาการถึงสภาพสังคมและการรู้หนังสือของผู้แสดง โดยจากการศึกษาพบว่าการบอกเล่ามีบทบาทสำคัญต่อผู้แสดงและผู้ชม
นักวิชาการยังมีความเห็นที่แตกต่างกันต่อวิธีการแสดง โดยทั่วไปเชื่อว่าเดิมกวี วณิพก และนักแสดงสัญจรขับร้อง (บางครั้งบรรเลงร่วมกับ เครื่องสายคล้ายไวโอลินในปัจจุบัน) ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นการท่องจำในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 13 มีการคำนวณว่าผู้แสดงสามารถขับร้องได้ประมาณ 1,000 บทต่อหนึ่งชั่วโมง และบางครั้งจำกัดที่ 1,000–1,300 บทต่อการแสดงหนึ่งครั้ง จึงเป็นไปได้ที่การแสดงเพลงขับวีรกรรมอาจเกิดขึ้นหลายวัน
แม้จะมีหลักฐานว่าเพลงขับวีรกรรมอย่าง เพลงแห่งรอล็อง ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ชม แต่นักวิจารณ์บางส่วนเสนอว่าเพลงขับวีรกรรมไม่ใช่วรรณกรรมประชานิยม และเพลงขับวีรกรรมบางชิ้นแต่งขึ้นเพื่อผู้ชมระดับอภิชนและนักรบ
อ้างอิง
- France, Peter (1995). The new Oxford companion to literature in French. . ISBN .
- Hasenohr, 242.
- Holmes, 66.
- Hasenohr, 239.
- Hasenohr, 520–522.
- Holmes, 102–104.
- Holmes, 90–92.
- La Chanson de Roland, 10.
- Hasenohr, 1300.
- Holmes, 68.
- Holmes, 66–67.
- Holmes, 67.
- see also Hasenohr, 239.
- La Chanson de Roland, 11.
- Holmes, 68-9.
- see also Hasenohr, 240.
- Classen, Albrecht, บ.ก. (2015). Handbook of Medieval Culture: Fundamental Aspects and Conditions of the European Middle Ages. Vol. 2. Berlin, Germany: De Gruyter. p. 893. ISBN . สืบค้นเมื่อ 17 July 2016.
- Janin, Hunt; Carlson, Ursula (2013). Mercenaries in Medieval and Renaissance Europe. Jefferson, NC, USA: McFarland. p. 32. ISBN . สืบค้นเมื่อ 17 July 2016.
- La Chanson de Roland, 16–17.
- Hasenohr, 242
- La Chanson de Roland, 12.
- Bumke, 429.
- La Chanson de Roland, 14.
- Bumke, 521-2.
- Bumke, 522.
- Brault, 28.
- Brault, 353 (note 166).
- see Brault, 28.
แหล่งข้อมูลอื่น
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
ephlngkhbwirkrrm frngess chanson de geste bthephlngwirkrrmkhxngwirburus epneruxngelasmyklang epnmhakaphypraephthhnungthiekidkhuninchwngaerkerimkhxngwrrnkrrmfrngess ephlngkhbwirkrrmthiekaaekthisudxyuinchwngplaykhriststwrrsthi 11 thungtnkhriststwrrsthi 12 imnankxnekid lyric poetry khxngtrubaduaela aela chivalric romance ephlngkhbwirkrrmthungcudsungsudchwng kh s 1150 1250aepdchwngkhxng inhnungphaph ephlngkhbwirkrrmpraphnthinruprxykrxng mikhwamyawpanklang odyechliythi 4 000 bath edimkhbrxngaelaphayhlngthxngodywniphkaelankaesdngsycr mitnchbbephlngkhbwirkrrmpraman 300 chinthiehluxrxdcnthungpccubn sungmacaksmykhriststwrrsthi 12 15thimanbtngaetkhriststwrrsthi 19 mikarxphipraythungtnkaenidkhxngephlngkhbwirkrrm odyechphaarayaewlakhxngkarpraphnthkbehtukarncringthixangthung ehtukarnthangprawtisastrthiephlngklawthungekidkhuninkhriststwrrsthi 8 10 ephlngkhbwirkrrmthiekaaekthisudekidkhunchwngplaykhriststwrrsthi 11 miephiyngephlngkhbwirkrrm 3 chinthiaetngkxnpi kh s 1150 idaek Chanson de Guillaume Chanson de Roland aela Gormond et Isembart khrungaerkkhxng ephlngaehngkioym xacaetngkhuninkhriststwrrsthi 11 khnathinkwichakarkhnhnungesnxwa kxrmngaelaxisxngbar xacaetngkhuninpi kh s 1068 swn ephlngaehngrxlxng xacaetngkhunrahwanghlng kh s 1086 thungpraman kh s 1100 mithvsdi 3 thvsdithiphyayamxthibaythimakhxngephlngkhbwirkkrrm thvsdithi 1 brryaywaepnkarsubenuxngcaknganwrrnkrrmthiekaaekkwannxyangmhakaphy aelabthkwirxyaekw nkwicarnhlaykhn echn aela esnxwabthkwilirikepnbthkwitamthrrmchatithiphukhnkhbkhankxncathuknamarwmknepnmhakaphy emuxsinkhriststwrrsthi 19 esnxwaephlngkhbwirkrrmxacidrbxiththiphlcakklumchnecxraemnik hlngphbkhwamkhlaykhlungrahwangephlngkhbwirkrrmkberuxngelaecxraemnikeka emrxaewngechiyng thvsdithi 2 khxng esnxwaephlngkhbwirkrrmphthnacakrxyaekwedimthiphrrnnathungehtukarncring thvsdithi 3 sungimidrbkaryxmrbinpccubn khxng esnxwaephlngkhbwirkrrmekidkhunraw kh s 1000 odynkrxng rwmkbnkbwch thiphyayameliynephlngswdnkbuyinobsth odynaenuxhamacakwirburusthimiskkarsthanhruxhlumsphxyuinesnthangcarikaeswngbuy thngniephuxdungdudihphuaeswngbuymathiobsth nkwicarnyngesnxkhwamehnwakhwamruinphasalatinkhxngnkbwchyngmiswnchwyinkarpraphnthephlngehlani karxphipraysmyhlngsnicephlngkhbwirkrrmindancarit epnswnhnungkhxngthrrmeniymprachaniym aelapceck praphnthodyphuekhiynkhnediyw nkwichakarphyayamkhnkhwatnchbbephuxsubhawirburustamtanan sarwckhwamsubenuxngkhxngthrrmeniymwrrnkrrmlatin rwmthungsuksainaengmukhpatha aemnkwichakarbangswncaennyawakarekhiynmikhwamsakhytxephlngkhbwirkrrmmakkwainaengkarxnurksenuxhaaelakarrksachnthlksnenuxhaaelaokhrngsrangephlngkhbwirkrrmpraphnthdwy mienuxhaekiywkbtanan sungbangkhrngxingehtukarncring inprawtisastrfrngesschwngkhriststwrrsthi 8 10 smycharl maraetl charelxmay aelackrphrrdihluysphusrththa odyennyakarsngkhramkbchawmwraela rwmthungkhwamkhdaeyngkhxngkstriykbkhunnang enuxhaephlngkhbwirkrrmeriykrwm wa inthanxngediywkbpkrnmekiywkbbrietnthimieruxngrawkhxngphraecaxarethxraelaxswinotaklm aelathimieruxngrawkhxngxelksanedxrmharachaelacueliys sisar pccysakhythiaeykephlngkhbwirkrrmcakbthrxykrxngwirkhti sungmksarwcbthbathkhxngbukhkhl khuxkarwicarnaelakarechlimchlxngklumkhn mkaesdngphaphwirburusineruxngepnbukhkhltamethwlikhit rwmthungepntwaethnkhxngkhwamsbsxnthangkhwamsmphnthaelakarrbichinrabbfiwdl enuxhakhxngephlngkhbwirkrrmepliynaeplngiptamkraaessngkhm karyuththaelakhwamklahayepnaeknhlkkhxngephlngkhbwirkrrmchwngaerk kxncamiswnxun echn engintra chakinemuxng twlakhrhying aelakhwamrkekhamaephimetim nxkcakniyngmixngkhprakxbthangcintnimitaelakarphcyphysungrbmacakbthrxykrxngwirkhtixyangewthmntr yks aelaxsurkay ephlngkhbwirkrrmbangswnthielathungsngkhramkhruesdkhrngthihnungmieruxngrawkarphcyphythangtawnxxksungmacakkhabxkelakhxngnkrbkhruesd khnathiephlngkhbwirkrrminkhriststwrrsthi 14 thielathungsngkhramrxypimienuxhachatiniymaelaonmnawicchnthlksnephlngkhbwirkrrmyukhaerkmkpraphnthaebbhnungbathmi decasyllable aelami assonance klawkhuxmisraenntwsudthayehmuxnkn aetphyychnatangknipinaetlabath twxyangkhxng aesdngrupaebbdngklaw odysrakrathbinbthnikhuxsra e Desuz un pin delez un eglanter Un faldestoed i unt fait tout d or mer La siet li reis ki dulce France tient Blanche ad la barbe et tut flurit le chef Gent ad le cors et le cuntenant fier S est kil demandet ne l estoet enseigner ephlngkhbwirkrrmyukhhlngepnaebb monorhyme hruxmiesiyngsratrngphyangkhsudthaykhxngaetlabathehmuxnkn nxkcakniephlngkhbwirkrrmyukhhlngmkpraphnthdwy alexandrine sungmisibsxngphyangkh bthepideruxngkhxng elechtif Les Chetifs aesdngrupaebbdngklaw odysmphskhux ie Or s en fuit Corbarans tos les plains de Surie N enmaine que ii rois ens en sa conpaignie S enporte Brohadas fis Soudan de Persie En l estor l avoit mort a l espee forbie Li bons dus Godefrois a le chiere hardie Tres devant Anthioce ens en la prairie karaesdngephlngkhbwirkrrmichkarbxkelaepnhlk enuxngcakphukhnswnihyinkhriststwrrsthi 11 13 yngkhadkarruhnngsux ykewnsmachikrachsankaelatrakulkhunnang yngkhngmikarthkethiyngwainyukhaerkmikarekhiynenuxephlnglngbniwkxn aelwihphuaesdngxancaktnchbbnn aetkradashnngmirakhakhxnkhangsung hruxihphuaesdngthxngcaenuxephlngiwkxnkaraesdng hruxphuaesdngdnsdbangswn hruxphuaesdngdnsdthnghmdipkxn aelwcungbnthukenuxephlngtamthihlng nxkcakniyngmikhwamehninhmunkwichakarthungsphaphsngkhmaelakarruhnngsuxkhxngphuaesdng odycakkarsuksaphbwakarbxkelamibthbathsakhytxphuaesdngaelaphuchm nkwichakaryngmikhwamehnthiaetktangkntxwithikaraesdng odythwipechuxwaedimkwi wniphk aelankaesdngsycrkhbrxng bangkhrngbrrelngrwmkb ekhruxngsaykhlayiwoxlininpccubn kxnthicaepliynepnkarthxngcainchwngklangkhriststwrrsthi 13 mikarkhanwnwaphuaesdngsamarthkhbrxngidpraman 1 000 bthtxhnungchwomng aelabangkhrngcakdthi 1 000 1 300 bthtxkaraesdnghnungkhrng cungepnipidthikaraesdngephlngkhbwirkrrmxacekidkhunhlaywn aemcamihlkthanwaephlngkhbwirkrrmxyang ephlngaehngrxlxng idrbkartxbrbthidicakphuchm aetnkwicarnbangswnesnxwaephlngkhbwirkrrmimichwrrnkrrmprachaniym aelaephlngkhbwirkrrmbangchinaetngkhunephuxphuchmradbxphichnaelankrbxangxingFrance Peter 1995 The new Oxford companion to literature in French ISBN 0198661258 Hasenohr 242 Holmes 66 Hasenohr 239 Hasenohr 520 522 Holmes 102 104 Holmes 90 92 La Chanson de Roland 10 Hasenohr 1300 Holmes 68 Holmes 66 67 Holmes 67 see also Hasenohr 239 La Chanson de Roland 11 Holmes 68 9 see also Hasenohr 240 Classen Albrecht b k 2015 Handbook of Medieval Culture Fundamental Aspects and Conditions of the European Middle Ages Vol 2 Berlin Germany De Gruyter p 893 ISBN 978 3 11 037763 7 subkhnemux 17 July 2016 Janin Hunt Carlson Ursula 2013 Mercenaries in Medieval and Renaissance Europe Jefferson NC USA McFarland p 32 ISBN 978 1 4766 1207 2 subkhnemux 17 July 2016 La Chanson de Roland 16 17 Hasenohr 242 La Chanson de Roland 12 Bumke 429 La Chanson de Roland 14 Bumke 521 2 Bumke 522 Brault 28 Brault 353 note 166 see Brault 28 aehlngkhxmulxunwikisxrs mingantnchbbekiywkb ephlngkhbwirkrrm