เสียงจากหู (อังกฤษ: otoacoustic emission, ตัวย่อ OAE) เป็นเสียงที่หูชั้นในสร้างขึ้น โดยนักวิทยาศาสตร์ได้พยากรณ์ว่ามี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 แล้วต่อมาจึงพิสูจน์ด้วยการทดลองได้ในปี 2521 เสียงมีเหตุจากการทำงานของเซลล์และกลไกการทำงานของหูชั้นใน งานศึกษาได้พิสูจน์แล้วว่า เสียง OAE จะหายไปหลังจากที่หูชั้นในเสียหาย และดังนั้น จึงมักจะใช้ในแล็บและคลินิกเพื่อตรวจสุขภาพหู โดยทั่วไปแล้ว มีการปล่อยเสียงสองแบบ คือ การปล่อยเสียงเอง (spontaneous otoacoustic emission, SOAE) และการปล่อยเสียงเนื่องด้วยสิ่งเร้า (evoked otoacoustic emission, EOAE) นักวิทยาศาสตร์บางพวกสันนิษฐานว่า เสียงที่เกิดขึ้นเป็นหลักฐานแสดงการขยายเสียงในหูชั้นใน เหมือนกับที่ระบบขยายเสียงหอนเมื่อทำงานเกิน
กลไก
OAE พิจารณาว่าสัมพันธ์กับหน้าที่การขยายเสียงของหูชั้นในรูปหอยโข่ง (คอเคลีย) เมื่อขาดสิ่งเร้าภายนอก การขยายเสียงของคอเคลียจะเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดเสียง
หลักฐานจากการศึกษาหลายแนวแสดงนัยว่า ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เซลล์ขนด้านนอก (outer hair cells, OHC) ของคลอเคลีย เป็นตัวเพิ่มความไวต่อเสียงและความถี่เสียง โดยเป็นตัวขยายเสียง ทฤษฎีหนึ่งเสนอว่า OHC ช่วยทำให้แยกแยะเสียงต่าง ๆ ได้ดีขึ้นโดยลดเสียงกลบ (masking effect) อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์พบว่า เมื่อกระตุ้น OHC ที่อยู่เดี่ยว ๆ ด้วยไฟฟ้า เซลล์จะสามารถยืดและหดได้โดยเป็นกระบวนการปรับทิศทางของโปรตีน prestin ที่อยู่บนเยื่อหุ้มเซลล์ ซึ่งเรียกว่า somatic electromotility (การเคลื่อนไหวของตัวเซลล์เองอาศัยไฟฟ้า)
แต่เนื่องจากว่า แม้แต่สัตว์ที่ไม่มี OHC ก็มีเสียง OAE จากหู ก็ไวเสียงที่ความถี่เฉพาะ ๆ และก็ไวเสียงค่อย ๆ เหมือนกัน ดังนั้น การเคลื่อนไหวของตัวเซลล์เองไม่น่าจะเป็นเหตุเดียวที่ให้เกิด OAE การทดลองในสภาพแวดล้อมเทียม (in vitro) แสดงว่า นอกจากจะมีหน้าที่ตรวจจับเสียงแล้ว ขนของเซลล์ขนยังสามารถออกแรงต่อหัวอุปกรณ์ทดลองภายใต้สถานการณ์บางอย่าง และจะทำงานใต้ภาวะไม่เสถียรที่เรียกว่า Hopf bifurcation ซึ่งแสดงถึงการกลับไปกลับมาของขนเซลล์ได้เอง สภาพเช่นนี้สามารถอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของหูชั้นในรวมทั้งการขยายเสียง การตอบสนองต่อความถี่ในที่เฉพาะ ๆ การไวต่อระดับเสียงดังค่อยไม่เท่ากัน ความไม่เสถียรของขน และการปล่อยเสียงจากหู การขยับเองของเซลล์ขนเช่นนี้เรียกว่า การเคลื่อนไหวเองของมัดขน (hair-bundle motility) ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เกิด OAE อีกอย่างหนึ่ง
รูปแบบ
เกิดเอง
เสียงปล่อยจากหูเอง (Spontaneous otoacoustic emission, SOAE) เป็นเสียงที่หูสร้างขึ้นโดยไม่มีสิ่งเร้าภายนอก และสามารถวัดได้ด้วยไมโครโฟนไวเสียงในช่องหูด้านนอก SOAE อย่างน้อยชนิดหนึ่งสามารถตรวจจับได้ในประชากรประมาณ 35-50% โดยมีความถี่ที่เสถียรระหว่าง 500-4,500 เฮิรตซ์ แต่มีระดับเสียงที่ไม่เสถียรระหว่าง -30-+10 dB SPL แม้คนโดยมากจะไม่รู้ว่าหูของตนสร้างเสียง แต่ก็มีคนประมาณ 1-9% ที่ได้ยิน SOAE โดยเป็นเสียงในหู (tinnitus)
มีงานศึกษาอื่นที่แสดงว่า 70% ของคนปกติทั้งในผู้ใหญ่และในเด็กอาจมี SOAE โดยเกิดจากกระบวนการขยายเสียงของหูชั้นใน เหมือนกับเครื่องขยายเสียงหอนเมื่อทำงานเกิน และต้องทำงานเช่นนี้เพื่อแก้สัญญาณเสียงที่ลดลงเนื่องจากต้องวิ่งผ่านน้ำและเนื้อเยื่อของหูชั้นใน มีแม้แต่รายงานจากแพทย์ว่า ได้ยินเสียงที่เกิดในหูของทารกเกิดใหม่
เร้าให้เกิด
เสียงปล่อยจากหูเองโดยเร้า (Evoked otoacoustic emission, EOAE) เกิดได้อย่างน้อยโดย 3 วิธี Stimulus Frequency OAEs (SFOAEs) เป็นค่าที่วัดเมื่อเร้าด้วยเสียงความถี่เดียว โดยวัดความต่างกันระหว่างเสียงที่ใช้เร้าและเสียงที่มาจากหู ส่วน Transient-evoked OAEs (TEOAEs หรือ TrOAEs) จะเกิดเมื่อใช้เสียงกริ๊กที่มีความถี่กว้าง หรือ toneburst ที่ใช้เวลาสั้น ๆ มีความถี่เดี่ยว เสียงจากหูที่ได้จากเสียงกริ๊กมีความถี่จนถึงประมาณ 4 กิโลเฮิรตซ์ ในขณะที่ toneburst จะทำให้เกิดเสียงในความถี่ที่ใกล้ ๆ กับความถี่เสียงที่ส่งแต่แรก
Distortion product OAEs (DPOAEs) จะเร้าด้วยเสียงคู่ที่ความถี่ และ โดยปกติดังที่ 65, 55 dBSPL หรือ 65 สำหรับทั้งสอง และมีอัตรา เสียงที่ปล่อยจากหูเพราะเสียงเร้าเหล่านี้อยู่ที่ความถี่ ซึ่งสัมพันธ์กันทางคณิต โดยความถี่สองอย่างที่ชัดที่สุดคือ ("cubic" distortion tone ซึ่งใช้เพื่อตรวจคัดกรองมากที่สุด) และ ("quadratic" distortion tone หรือ distortion tone)
โดยย่อ ๆ แล้ว เสียงกริ๊กที่ส่งเข้าในหูจะทำให้หูชั้นในส่งเสียงตอบรับภายในไม่กี่มิลลิวินาที โดยปกติจะตอบจำกัดที่ความถี่โดยเฉพาะ ๆ ถ้าตอบสนองเป็นเสียงความถี่สูงจะตอบเร็วกว่า (5 มิลลิวินาที) ถ้าเป็นความถี่ต่ำจะตอบช้ากว่า (20 มิลลิวินาที) และนี่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เสียงสะท้อน แต่เป็นเสียงที่คอเคลียตอบสนองต่อเสียงโดยแรงกล
ความสำคัญในการรักษา
เสียงจากหูสำคัญในการรักษาเพราะเป็นวิธีง่าย ๆ เพื่อตรวจสอบความพิการทางการได้ยินของทารกเกิดใหม่หรือเด็กเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถให้ความร่วมมือในการทดสอบทั่วไปได้ ประเทศตะวันตกหลายประเทศปัจจุบันมีโปรแกรมตรวจคัดกรองการได้ยินของเด็กเกิดใหม่ และก็ยังมีโปรแกรมตรวจการได้ยินของเด็ก ๆ ที่ใช้เทคโนโลยี OAE ด้วย โปรแกรมตัวอย่างหนึ่งก็คือ Early Childhood Hearing Outreach Initiative ที่ศูนย์ประเมินและการบริหารการได้ยินแห่งชาติ (NCHAM) ที่มหาวิทยาลัย Utah State University ที่ส่งเสริมโปรแกรมช่วยเหลือเด็กและครอบครัวที่ยากจน (Early Head Start) ทั่วสหรัฐอเมริกาเพื่อให้มีการตรวจคัดกรองแบบ OAE และปฏิบัติการอื่น ๆ เพื่อช่วยเด็กในเรื่องการศึกษาช่วงต้นชีวิต การตรวจคัดกรองหลักจะทดสอบการมี click-evoked OAE นอกจากนั้นแล้ว เสียงจากหูยังสามารถช่วยวินิจฉัยอาการต่าง ๆ ของคอเคลียและการไม่ได้ยินทางประสาทได้ละเอียดยิ่งขึ้น (เช่น auditory neuropathy) ได้มีการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างเสียงจากหูกับเสียงในหู (tinnitus) งานศึกษาหลายงานแสดงว่า คนปกติประมาณ 6-12% ที่มีทั้งอาการเสียงในหู และ SOAEs เสียงจากหูจะมีส่วนทำให้เกิดอาการเสียงในหู
งานศึกษาได้พบว่า บางคนที่มีอาการเสียงในหูมี EOAEs แบบขึ้น ๆ ลง ๆ หรือแบบสม่ำเสมอ แต่ในกรณีเหล่านี้ สันนิษฐานว่า เสียงจากหูและอาการเสียงในหูมีเหตุโรคอย่างเดียวกัน โดยเสียงจากหูไม่ได้เป็นเหตุ นอกจากจะใช้ทดสอบระดับการได้ยินแล้ว เสียงจากหูยังสามารถใช้ตรวจจับความเปลี่ยนแปลงของการได้ยินอีกด้วย
งานศึกษาพบว่า การได้ยินเสียงดัง ๆ สามารถลดการตอบสนองด้วย OAE คือ งานหนึ่งเปรียบคนงานอุตสาหกรรมที่ได้ยินเสียงระดับ 84.5 dBA เทียบกับคนงานที่ได้ยินระดับ 53.2 dBA โดยเปรียบเทียบเสียงเบาที่สุดที่ได้ยิน และ OAE ก่อนและหลังทำงานเป็นเวลา 5 วัน งานศึกษานี้แสดงว่า เสียงเบาที่สุดที่ได้ยินและ OAE จะแย่กว่าอย่างมีนัยสำคัญในคนงานที่ได้ยินเสียงที่ดังกว่า
งานศึกษาหนึ่งพบว่า distortion product otoacoustic emissions (DPOAE’s) จะสามารถตรวจจับการเสียการได้ยินแบบน้อย ๆ ต่อเสียงความถี่สูงเทียบกับ transient evoked otoacoustic emissions (TEOAE) ซึ่งชี้บอกว่า DPOAE สามารถช่วยตรวจจับการเสียการได้ยินที่เกิดจากเสียงดังได้ งานศึกษาหนึ่งที่วัดขีดเสียงเริ่มได้ยินและ DPOAE ในทหารพบว่า DPOAE ลดลงหลังจากได้ยินเสียงดัง แต่ขีดเสียงที่เริ่มได้ยินไม่เปลี่ยน ซึ่งเป็นหลักฐานแสดงว่า OAE สามารถตรวจจับความเสียหายต่อหูที่เกิดจากเสียงได้เร็ว
ความสำคัญทางชีวมิติ
ในปี 2552 นักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเซาแทมป์ตันได้ทำงานวิจัยเพื่อใช้เสียงจากหูเป็นตัวระบุบุคคลทางชีวมิติ โดยใช้อุปกรณ์ที่มีไมโครโฟนที่สามารถจับเสียงค่อย ๆ ที่ปล่อยจากหูเพื่อระบุบุคคล ดังนั้น ช่วยให้เปิดใช้อุปกรณ์ได้โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่านปกติ แต่สันนิษฐานกันว่า หวัด การทานยา การตัดขนหู การอัดเสียงไว้แล้วเล่นเสียงใส่ไมโครโฟนจะสามารถหลอกระบบได้
ดูเพิ่ม
เชิงอรรถและอ้างอิง
- Kemp, D. T. (1 January 1978). "Stimulated acoustic emissions from within the human auditory system". The Journal of the Acoustical Society of America. 64 (5): 1386–1391. Bibcode:1978ASAJ...64.1386K. doi:10.1121/1.382104. PMID 744838.
- Kujawa, SG; Fallon, M; Skellett, RA; Bobbin, RP (August 1996). "Time-varying alterations in the f2-f1 DPOAE response to continuous primary stimulation. II. Influence of local calcium-dependent mechanisms". Hearing Research. 97 (1–2): 153–64. doi:10.1016/s0378-5955(96)80016-5. PMID 8844195. S2CID 4765615.
- Chang, Kay W.; Norton, Susan (1 September 1997). "Efferently mediated changes in the quadratic distortion product (f2−f1)". The Journal of the Acoustical Society of America. 102 (3): 1719. Bibcode:1997ASAJ..102.1719C. doi:10.1121/1.420082.
- Principles of Neural Science, 5th edition (2013), "Chapter 31: The Inner Ear", pp. 671-674
- Lilaonitkul, W; Guinan JJ, Jr (March 2009). "Reflex control of the human inner ear: a half-octave offset in medial efferent feedback that is consistent with an efferent role in the control of masking". Journal of Neurophysiology. 101 (3): 1394–406. doi:10.1152/jn.90925.2008. PMC 2666406. PMID 19118109.
- Brownell, WE; Bader, CR; Bertrand, D; de Ribaupierre, Y (1985-01-11). "Evoked mechanical responses of isolated cochlear outer hair cells". Science. 227 (4683): 194–196. Bibcode:1985Sci...227..194B. doi:10.1126/science.3966153. PMID 3966153.
{{}}
: CS1 maint: multiple names: authors list () - Principles of Neural Science, 5th edition (2013), "Chapter 31: The Inner Ear", pp. 672-674
- [เซลล์ขนเต้นระบำ (คลิปภาพยนตร์แสดงเซลล์ขนด้านนอกเดี่ยว ๆ ไหวตอบสนองต่อการเร้าด้วยไฟฟ้า)] (ภาพยนตร์). คณะกายวิภาคศาสตร์, มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-07. สืบค้นเมื่อ 2021-08-11.
- Principles of Neural Science, 5th edition (2013), "Chapter 31: The Inner Ear", pp. 674
- Penner, M. J. (1990). "An estimate of the prevalence of tinnitus caused by spontaneous otoacoustic emissions". Arch Otolaryngol Head Neck Surg. 116 (4): 418–423. doi:10.1001/archotol.1990.01870040040010. PMID 2317322.
- Principles of Neural Science, 5th edition (2013), "Chapter 31: The Inner Ear", pp. 672
- Kujawa, SG; Fallon, M; Bobbin, RP (May 1995). "Time-varying alterations in the f2-f1 DPOAE response to continuous primary stimulation. I: Response characterization and contribution of the olivocochlear efferents". Hearing Research. 85 (1–2): 142–54. doi:10.1016/0378-5955(95)00041-2. PMID 7559170. S2CID 4772169.
- Bian, L; Chen, S (December 2008). "Comparing the optimal signal conditions for recording cubic and quadratic distortion product otoacoustic emissions". The Journal of the Acoustical Society of America. 124 (6): 3739–50. Bibcode:2008ASAJ..124.3739B. doi:10.1121/1.3001706. PMC 2676628. PMID 19206801.
- Principles of Neural Science, 5th edition (2013), "Chapter 31: The Inner Ear", pp. 672-673
- Eiserman, W; Shisler, L (2010). "Identifying Hearing Loss in Young Children: Technology Replaces the Bell". Zero to Three Journal. 30 (5): 24–28.
{{}}
: CS1 maint: uses authors parameter () - Eiserman, W; Hartel, D; Shisler, L; Buhrmann, J; White, K; Foust, T (2008). "Using otoacoustic emissions to screen for hearing loss in early childhood care settings". International Journal of Pediatric Otorhinolaryngology. 72: 475–482. doi:10.1016/j.ijporl.2007.12.006.
{{}}
: CS1 maint: uses authors parameter () - Eiserman, W; Shisler, L; Foust, T (2008-11-04). "Hearing screening in Early Childcare Settings". The ASHA Leader.
{{}}
: CS1 maint: uses authors parameter () - Norton, SJ; และคณะ (1990), "Tinnitus and otoacoustic emissions: is there a link?", Ear Hear, 11 (2): 159–166, doi:10.1097/00003446-199004000-00011, PMID 2340968.
- 勇, 加部; 安夫, 古賀; 勇, 幸地; 博幸, 宮内; 葵, 蓑添; 大介, 桑田; いづみ, 堤; 雅文, 中川; 茂, 田中 (2015-01-01). "製造業における騒音曝露作業者の耳音響放射(oae)に関する現場調査". 産業衛生学雑誌. 57 (6): 306–313. doi:10.1539/sangyoeisei.E15002.
- Kemp, D. T (2002-10-01). "Otoacoustic emissions, their origin in cochlear function, and use". British Medical Bulletin. 63 (1): 223–241. doi:10.1093/bmb/63.1.223. ISSN 0007-1420.
- Marshall, Lynne; Miller, Judi A. Lapsley; Heller, Laurie M.; Wolgemuth, Keith S.; Hughes, Linda M.; Smith, Shelley D.; Kopke, Richard D. (2009-02-01). "Detecting incipient inner-ear damage from impulse noise with otoacoustic emissions". The Journal of the Acoustical Society of America. 125 (2): 995–1013. doi:10.1121/1.3050304. ISSN 0001-4966.
- . Telegraph. 2009-04-25. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-04-29. สืบค้นเมื่อ 2017-05-19.
- . IEEE Spectrum. 2009-04-29. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-05-03. สืบค้นเมื่อ 2017-05-19.
แหล่งข้อมูลอื่น
- Kandel, Eric R; Schwartz, James H; Jessell, Thomas M; Siegelbaum, Steven A; Hudspeth, AJ (2013). Principles of Neural Science (5th ed.). United State of America: McGraw-Hill. ISBN .
- M.S. Robinette and T.J. Glattke (eds., 2007). Otoacoustic Emissions: Clinical Applications, third edition (Thieme).
- G.A. Manley, R.R. Fay, and A.N. Popper (eds., 2008). Active Processes and Otoacoustic Emissions (Springer Handbook of Auditory Research, vol. 30).
- S. Dhar and J.W. Hall, III (2011). Otoacoustic Emissions: Principles, Procedures, and Protocols (Plural Publishing).
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
esiyngcakhu xngkvs otoacoustic emission twyx OAE epnesiyngthihuchninsrangkhun odynkwithyasastridphyakrnwami tngaetpi ph s 2491 aelwtxmacungphisucndwykarthdlxngidinpi 2521 esiyngmiehtucakkarthangankhxngesllaelaklikkarthangankhxnghuchnin ngansuksaidphisucnaelwwa esiyng OAE cahayiphlngcakthihuchninesiyhay aeladngnn cungmkcaichinaelbaelakhlinikephuxtrwcsukhphaphhu odythwipaelw mikarplxyesiyngsxngaebb khux karplxyesiyngexng spontaneous otoacoustic emission SOAE aelakarplxyesiyngenuxngdwysingera evoked otoacoustic emission EOAE nkwithyasastrbangphwksnnisthanwa esiyngthiekidkhunepnhlkthanaesdngkarkhyayesiynginhuchnin ehmuxnkbthirabbkhyayesiynghxnemuxthanganekinklikOAE phicarnawasmphnthkbhnathikarkhyayesiyngkhxnghuchninruphxyokhng khxekhliy emuxkhadsingeraphaynxk karkhyayesiyngkhxngkhxekhliycaephimkhun thaihekidesiyng hlkthancakkarsuksahlayaenwaesdngnywa instweliynglukdwynm esllkhndannxk outer hair cells OHC khxngkhlxekhliy epntwephimkhwamiwtxesiyngaelakhwamthiesiyng odyepntwkhyayesiyng thvsdihnungesnxwa OHC chwythaihaeykaeyaesiyngtang iddikhunodyldesiyngklb masking effect xyangirkdi nkwithyasastrphbwa emuxkratun OHC thixyuediyw dwyiffa esllcasamarthyudaelahdidodyepnkrabwnkarprbthisthangkhxngoprtin prestin thixyubneyuxhumesll sungeriykwa somatic electromotility karekhluxnihwkhxngtwesllexngxasyiffa aetenuxngcakwa aemaetstwthiimmi OHC kmiesiyng OAE cakhu kiwesiyngthikhwamthiechphaa aelakiwesiyngkhxy ehmuxnkn dngnn karekhluxnihwkhxngtwesllexngimnacaepnehtuediywthiihekid OAE karthdlxnginsphaphaewdlxmethiym in vitro aesdngwa nxkcakcamihnathitrwccbesiyngaelw khnkhxngesllkhnyngsamarthxxkaerngtxhwxupkrnthdlxngphayitsthankarnbangxyang aelacathanganitphawaimesthiyrthieriykwa Hopf bifurcation sungaesdngthungkarklbipklbmakhxngkhnesllidexng sphaphechnnisamarthxthibaypraktkarntang khxnghuchninrwmthngkarkhyayesiyng kartxbsnxngtxkhwamthiinthiechphaa kariwtxradbesiyngdngkhxyimethakn khwamimesthiyrkhxngkhn aelakarplxyesiyngcakhu karkhybexngkhxngesllkhnechnnieriykwa karekhluxnihwexngkhxngmdkhn hair bundle motility sungxacepnehtuihekid OAE xikxyanghnungrupaebbekidexng esiyngplxycakhuexng Spontaneous otoacoustic emission SOAE epnesiyngthihusrangkhunodyimmisingeraphaynxk aelasamarthwdiddwyimokhrofniwesiynginchxnghudannxk SOAE xyangnxychnidhnungsamarthtrwccbidinprachakrpraman 35 50 odymikhwamthithiesthiyrrahwang 500 4 500 ehirts aetmiradbesiyngthiimesthiyrrahwang 30 10 dB SPL aemkhnodymakcaimruwahukhxngtnsrangesiyng aetkmikhnpraman 1 9 thiidyin SOAE odyepnesiynginhu tinnitus mingansuksaxunthiaesdngwa 70 khxngkhnpktithnginphuihyaelainedkxacmi SOAE odyekidcakkrabwnkarkhyayesiyngkhxnghuchnin ehmuxnkbekhruxngkhyayesiynghxnemuxthanganekin aelatxngthanganechnniephuxaeksyyanesiyngthildlngenuxngcaktxngwingphannaaelaenuxeyuxkhxnghuchnin miaemaetrayngancakaephthywa idyinesiyngthiekidinhukhxngtharkekidihm eraihekid esiyngplxycakhuexngodyera Evoked otoacoustic emission EOAE ekididxyangnxyody 3 withi Stimulus Frequency OAEs SFOAEs epnkhathiwdemuxeradwyesiyngkhwamthiediyw odywdkhwamtangknrahwangesiyngthiicheraaelaesiyngthimacakhu swn Transient evoked OAEs TEOAEs hrux TrOAEs caekidemuxichesiyngkrikthimikhwamthikwang hrux toneburst thiichewlasn mikhwamthiediyw esiyngcakhuthiidcakesiyngkrikmikhwamthicnthungpraman 4 kiolehirts inkhnathi toneburst cathaihekidesiynginkhwamthithiikl kbkhwamthiesiyngthisngaetaerk Distortion product OAEs DPOAEs caeradwyesiyngkhuthikhwamthi f1 displaystyle f 1 aela f2 displaystyle f 2 odypktidngthi 65 55 dBSPL hrux 65 sahrbthngsxng aelamixtra f1 f2 displaystyle f 1 mbox mbox f 2 esiyngthiplxycakhuephraaesiyngeraehlanixyuthikhwamthi fdp displaystyle f dp sungsmphnthknthangkhnit odykhwamthisxngxyangthichdthisudkhux fdp 2f1 f2 displaystyle f dp 2f 1 f 2 cubic distortion tone sungichephuxtrwckhdkrxngmakthisud aela fdp f2 f1 displaystyle f dp f 2 f 1 quadratic distortion tone hrux distortion tone odyyx aelw esiyngkrikthisngekhainhucathaihhuchninsngesiyngtxbrbphayinimkimilliwinathi odypkticatxbcakdthikhwamthiodyechphaa thatxbsnxngepnesiyngkhwamthisungcatxberwkwa 5 milliwinathi thaepnkhwamthitacatxbchakwa 20 milliwinathi aelaniimichepnephiyngaekhesiyngsathxn aetepnesiyngthikhxekhliytxbsnxngtxesiyngodyaerngklkhwamsakhyinkarrksaesiyngcakhusakhyinkarrksaephraaepnwithingay ephuxtrwcsxbkhwamphikarthangkaridyinkhxngtharkekidihmhruxedkelk thiimsamarthihkhwamrwmmuxinkarthdsxbthwipid praethstawntkhlaypraethspccubnmiopraekrmtrwckhdkrxngkaridyinkhxngedkekidihm aelakyngmiopraekrmtrwckaridyinkhxngedk thiichethkhonolyi OAE dwy opraekrmtwxyanghnungkkhux Early Childhood Hearing Outreach Initiative thisunypraeminaelakarbriharkaridyinaehngchati NCHAM thimhawithyaly Utah State University thisngesrimopraekrmchwyehluxedkaelakhrxbkhrwthiyakcn Early Head Start thwshrthxemrikaephuxihmikartrwckhdkrxngaebb OAE aelaptibtikarxun ephuxchwyedkineruxngkarsuksachwngtnchiwit kartrwckhdkrxnghlkcathdsxbkarmi click evoked OAE nxkcaknnaelw esiyngcakhuyngsamarthchwywinicchyxakartang khxngkhxekhliyaelakarimidyinthangprasathidlaexiydyingkhun echn auditory neuropathy idmikarthdsxbkhwamsmphnthrahwangesiyngcakhukbesiynginhu tinnitus ngansuksahlaynganaesdngwa khnpktipraman 6 12 thimithngxakaresiynginhu aela SOAEs esiyngcakhucamiswnthaihekidxakaresiynginhu ngansuksaidphbwa bangkhnthimixakaresiynginhumi EOAEs aebbkhun lng hruxaebbsmaesmx aetinkrniehlani snnisthanwa esiyngcakhuaelaxakaresiynginhumiehtuorkhxyangediywkn odyesiyngcakhuimidepnehtu nxkcakcaichthdsxbradbkaridyinaelw esiyngcakhuyngsamarthichtrwccbkhwamepliynaeplngkhxngkaridyinxikdwy ngansuksaphbwa karidyinesiyngdng samarthldkartxbsnxngdwy OAE khux nganhnungepriybkhnnganxutsahkrrmthiidyinesiyngradb 84 5 dBA ethiybkbkhnnganthiidyinradb 53 2 dBA odyepriybethiybesiyngebathisudthiidyin aela OAE kxnaelahlngthanganepnewla 5 wn ngansuksaniaesdngwa esiyngebathisudthiidyinaela OAE caaeykwaxyangminysakhyinkhnnganthiidyinesiyngthidngkwa ngansuksahnungphbwa distortion product otoacoustic emissions DPOAE s casamarthtrwccbkaresiykaridyinaebbnxy txesiyngkhwamthisungethiybkb transient evoked otoacoustic emissions TEOAE sungchibxkwa DPOAE samarthchwytrwccbkaresiykaridyinthiekidcakesiyngdngid ngansuksahnungthiwdkhidesiyngerimidyinaela DPOAE inthharphbwa DPOAE ldlnghlngcakidyinesiyngdng aetkhidesiyngthierimidyinimepliyn sungepnhlkthanaesdngwa OAE samarthtrwccbkhwamesiyhaytxhuthiekidcakesiyngiderwkhwamsakhythangchiwmitiinpi 2552 nkwithyasastrthimhawithyalyesaaethmptnidthanganwicyephuxichesiyngcakhuepntwrabubukhkhlthangchiwmiti odyichxupkrnthimiimokhrofnthisamarthcbesiyngkhxy thiplxycakhuephuxrabubukhkhl dngnn chwyihepidichxupkrnidodyimtxngichrhsphanpkti aetsnnisthanknwa hwd karthanya kartdkhnhu karxdesiyngiwaelwelnesiyngisimokhrofncasamarthhlxkrabbidduephimAuditory brainstem responseechingxrrthaelaxangxingKemp D T 1 January 1978 Stimulated acoustic emissions from within the human auditory system The Journal of the Acoustical Society of America 64 5 1386 1391 Bibcode 1978ASAJ 64 1386K doi 10 1121 1 382104 PMID 744838 Kujawa SG Fallon M Skellett RA Bobbin RP August 1996 Time varying alterations in the f2 f1 DPOAE response to continuous primary stimulation II Influence of local calcium dependent mechanisms Hearing Research 97 1 2 153 64 doi 10 1016 s0378 5955 96 80016 5 PMID 8844195 S2CID 4765615 Chang Kay W Norton Susan 1 September 1997 Efferently mediated changes in the quadratic distortion product f2 f1 The Journal of the Acoustical Society of America 102 3 1719 Bibcode 1997ASAJ 102 1719C doi 10 1121 1 420082 Principles of Neural Science 5th edition 2013 Chapter 31 The Inner Ear pp 671 674 Lilaonitkul W Guinan JJ Jr March 2009 Reflex control of the human inner ear a half octave offset in medial efferent feedback that is consistent with an efferent role in the control of masking Journal of Neurophysiology 101 3 1394 406 doi 10 1152 jn 90925 2008 PMC 2666406 PMID 19118109 Brownell WE Bader CR Bertrand D de Ribaupierre Y 1985 01 11 Evoked mechanical responses of isolated cochlear outer hair cells Science 227 4683 194 196 Bibcode 1985Sci 227 194B doi 10 1126 science 3966153 PMID 3966153 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint multiple names authors list lingk Principles of Neural Science 5th edition 2013 Chapter 31 The Inner Ear pp 672 674 esllkhnetnraba khlipphaphyntraesdngesllkhndannxkediyw ihwtxbsnxngtxkareradwyiffa phaphyntr khnakaywiphakhsastr mhawithyalyxxksfxrd khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2012 03 07 subkhnemux 2021 08 11 Principles of Neural Science 5th edition 2013 Chapter 31 The Inner Ear pp 674 Penner M J 1990 An estimate of the prevalence of tinnitus caused by spontaneous otoacoustic emissions Arch Otolaryngol Head Neck Surg 116 4 418 423 doi 10 1001 archotol 1990 01870040040010 PMID 2317322 Principles of Neural Science 5th edition 2013 Chapter 31 The Inner Ear pp 672 Kujawa SG Fallon M Bobbin RP May 1995 Time varying alterations in the f2 f1 DPOAE response to continuous primary stimulation I Response characterization and contribution of the olivocochlear efferents Hearing Research 85 1 2 142 54 doi 10 1016 0378 5955 95 00041 2 PMID 7559170 S2CID 4772169 Bian L Chen S December 2008 Comparing the optimal signal conditions for recording cubic and quadratic distortion product otoacoustic emissions The Journal of the Acoustical Society of America 124 6 3739 50 Bibcode 2008ASAJ 124 3739B doi 10 1121 1 3001706 PMC 2676628 PMID 19206801 Principles of Neural Science 5th edition 2013 Chapter 31 The Inner Ear pp 672 673 Eiserman W Shisler L 2010 Identifying Hearing Loss in Young Children Technology Replaces the Bell Zero to Three Journal 30 5 24 28 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint uses authors parameter Eiserman W Hartel D Shisler L Buhrmann J White K Foust T 2008 Using otoacoustic emissions to screen for hearing loss in early childhood care settings International Journal of Pediatric Otorhinolaryngology 72 475 482 doi 10 1016 j ijporl 2007 12 006 a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint uses authors parameter Eiserman W Shisler L Foust T 2008 11 04 Hearing screening in Early Childcare Settings The ASHA Leader a href wiki E0 B9 81 E0 B8 A1 E0 B9 88 E0 B9 81 E0 B8 9A E0 B8 9A Cite journal title aemaebb Cite journal cite journal a CS1 maint uses authors parameter Norton SJ aelakhna 1990 Tinnitus and otoacoustic emissions is there a link Ear Hear 11 2 159 166 doi 10 1097 00003446 199004000 00011 PMID 2340968 勇 加部 安夫 古賀 勇 幸地 博幸 宮内 葵 蓑添 大介 桑田 いづみ 堤 雅文 中川 茂 田中 2015 01 01 製造業における騒音曝露作業者の耳音響放射 oae に関する現場調査 産業衛生学雑誌 57 6 306 313 doi 10 1539 sangyoeisei E15002 Kemp D T 2002 10 01 Otoacoustic emissions their origin in cochlear function and use British Medical Bulletin 63 1 223 241 doi 10 1093 bmb 63 1 223 ISSN 0007 1420 Marshall Lynne Miller Judi A Lapsley Heller Laurie M Wolgemuth Keith S Hughes Linda M Smith Shelley D Kopke Richard D 2009 02 01 Detecting incipient inner ear damage from impulse noise with otoacoustic emissions The Journal of the Acoustical Society of America 125 2 995 1013 doi 10 1121 1 3050304 ISSN 0001 4966 Telegraph 2009 04 25 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2009 04 29 subkhnemux 2017 05 19 IEEE Spectrum 2009 04 29 khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2009 05 03 subkhnemux 2017 05 19 aehlngkhxmulxunKandel Eric R Schwartz James H Jessell Thomas M Siegelbaum Steven A Hudspeth AJ 2013 Principles of Neural Science 5th ed United State of America McGraw Hill ISBN 978 0 07 139011 8 M S Robinette and T J Glattke eds 2007 Otoacoustic Emissions Clinical Applications third edition Thieme G A Manley R R Fay and A N Popper eds 2008 Active Processes and Otoacoustic Emissions Springer Handbook of Auditory Research vol 30 S Dhar and J W Hall III 2011 Otoacoustic Emissions Principles Procedures and Protocols Plural Publishing