ประวัติศาสตร์ยะไข่ เริ่มจากชาวยะไข่เข้ามาตั้งหลักแหล่งในบริเวณรัฐยะไข่ปัจจุบันเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 15 ก่อนหน้านั้นบริเวณนี้เป็นที่อยู่ของชาวอินเดียที่มาจากฝั่งตะวันตกของอ่าวเบงกอล ราชวงศ์ที่ปกครองยะไข่ในช่วงแรกเป็นราชวงศ์ของชาวอินเดีย ศาสนาพุทธเข้าสู่ยะไข่ก่อนบริเวณอื่น ๆ ในพม่า บริเวณนี้มักถูกชาวไทใหญ่ พม่าและเบงกอลเข้าปล้นสะดม จนในที่สุด ชาวพม่าได้เข้ามาตั้งหลักแหล่งอย่างถาวร นครโบราณที่เคยเป็นศูนย์กลางอำนาจในยะไข่ ได้แก่ เมืองธัญญวดีและเมืองเวสาลี ที่คาดว่าปกครองโดยกษัตริย์จากอินเดียเชื้อสายจันทรวงศ์
เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 16 พระเจ้าอโนรธามังช่อแห่งอาณาจักรพุกามยกทัพมาโจมตียะไข่ ทำให้ยะไข่ต้องรบกับพุกาม จนกระทั่งพุกามแพ้มองโกลเมื่อ พ.ศ. 1830 ยะไข่จึงได้เป็นอิสระ แต่ไม่นานหลังจากนั้น ยะไข่เผชิญกับการรุกรานของแต่สามารถต้านทานไว้ได้ ต่อมาใน พ.ศ. 1947 พม่าได้แผ่อิทธิพลเข้ามาในยะไข่อีก ได้ไปขอความช่วยเหลือจากเบงกอล เบงกอลยกทัพมาช่วยยะไข่ขับไล่กองทัพพม่าออกไปได้ใน พ.ศ. 1973 แต่ยะไข่ก็ต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของเบงกอล กษัตริย์ยะไข่ต้องมีพระนามแบบอิสลามต่อท้ายแม้จะนับถือศาสนาพุทธก็ตาม จนกระทั่งหรืออาลีบัน พระอนุชาของพระเจ้านรเมขลาได้ประกาศเอกราชจากเบงกอล แต่ยังได้รับอิทธิพลทางการเมืองจากเบงกอลอยู่ กษัตริย์เบงกอลเป็นผู้พระราชทานนามแบบอิสลามให้แก่กษัตริย์ยะไข่จนถึง พ.ศ. 2074 ยะไข่ในรัชสมัยของพระเจ้าปสอผะยูยังสามารถยึดครองจิตตะกอง ได้และปกครองเรื่อยมาจนถึงพ.ศ. 2209
ในราวพุทธศตวรรษที่ 20 – 21 ยะไข่พบกับความวุ่นวายทางการเมือง มีความมั่นคงอีกครั้งในสมัยพระเจ้ามี่นบีน ซึ่งเป็นอิสระจากเบงกอลอย่างแท้จริง และต้านทานกองทัพของพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ได้ พระเจ้าบุเรงนองทรงมีแผนจะโจมตียะไข่ใน พ.ศ. 2124 แต่สิ้นพระชนม์เสียก่อน ยะไข่จึงเป็นฝ่ายเข้าปล้นหงสาวดีและยึดเมืองสิเรียมได้ กษัตริย์ยะไข่แต่งตั้งให้ฟิลิป เดอ บริโตเป็นเจ้าเมืองสิเรียม แต่ภายหลังบริโตแข็งข้อต่อยะไข่ ยะไข่ยกทัพมาปราบไม่สำเร็จ ภายหลังบริโตถูกพม่าจับตัวและสังหารในพ.ศ. 2154 ชาวโปตุเกสที่เหลือได้ยอมอ่อนน้อมต่อยะไข่
ในรัชกาลพระเจ้าสันทสุธรรม เป็นช่วงที่ยะไข่มีความรุ่งเรืองมาก แต่ในรัชกาลของพระองค์เกิดสงครามกับจักรวรรดิโมกุลของอินเดีย ราชวงศ์โมกุลยึดจิตตะกองไปได้ใน พ.ศ. 2209 หลังสงครามครั้งนั้น ยะไข่อ่อนแอลง เกิดความวุ่นวายภายในแคว้น จน พ.ศ. 2253 มหาดันดาโบปราบปรามกลุ่มต่าง ๆ ได้และขึ้นครองราชย์ในนามพระเจ้าสันทวิชัย พระองค์พยายามโจมตีเมืองแปรและเมืองมะลุนของพม่า และพยายามยึดจิตตะกองคืนจากเบงกอลแต่ไม่สำเร็จ หลังจากพระเจ้าสันทวิชัยถูกลอบปลงพระชนม์ใน พ.ศ. 2274 ยะไข่ก็เกิดความวุ่นวายทางการเมืองตลอดมาจนกระทั่ง พ.ศ. 2327 พม่าเข้ามายึดครองยะไข่ได้สำเร็จ
ในช่วงที่พม่าเข้าปกครองยะไข่ มีการบังคับกดขี่ชาวยะไข่มาก จนไม่เป็นที่พอใจทั้งชาวพุทธยะไข่และชาวมุสลิมโรฮีนจา มีการเกณฑ์ชาวยะไข่เข้าร่วมในกองทัพพม่าที่ไปโจมตีหัวเมืองล้านนาของสยาม เกณฑ์เชลยไปขุดทะเลสาบเมะทีลาและสร้างเจดีย์มินกุน ทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ชาวยะไข่บางส่วนหนีการกดขี่ของพม่าเข้าไปยังเบงกอลและเกิดกบฏของชาวยะไข่ขึ้นครั้งแรกใน พ.ศ. 2337 แต่ก็ไม่สิ้นสุดลง ปัญหากบฏยะไข่ทำให้พม่ากระทบกระทั่งกับอังกฤษที่เข้ามาปกครองเบงกอล กบฏครั้งสำคัญนำโดยซินบยันที่รวบรวมกำลังพลจากเขตฟื้นที่ปกครองของบริษัทอินเดียตะวันออกใน พ.ศ. 2354 สามารถยึดเมืองเมียวอองหรือมะโรอองได้แต่ต้องเลิกทัพกลับไปเพราะอังกฤษไม่สนับสนุน ซินบยันพำนักในเขตอำนาจของอังกฤษจนสิ้นชีวิตเมื่อ พ.ศ. 2358 อย่างไรก็ตาม ใน พ.ศ. 2457 พม่าได้ตามจับพนักงานของบริษัทอีสต์อินเดียที่เข้าไปจับช้างในยะไข่ แล้วเข้าไปในเขตพม่าจนบานปลายกลายเป็นสงครามอังกฤษ–พม่าครั้งที่หนึ่ง ซึ่งพม่าเป็นฝ่ายแพ้ พม่าต้องยกยะไข่ให้อังกฤษ และเมื่ออังกฤษยึดครองพม่าได้ทั้งหมด อังกฤษปกครองยะไข่ในฐานะส่วนหนึ่งของพม่าไม่ใช่รัฐของชนกลุ่มน้อย
การปกครองของอังกฤษทำให้ชาวอินเดียมุสลิมเข้ามาอยู่ในพม่ามากขึ้น โดยเฉพาะในยะไข่ ทำให้เกิดความขัดแย้งกับชาวยะไข่ที่นับถือศาสนาพุทธ จนเกิดการฆ่าฟันกัน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวพุทธยะไข่เข้าร่วมกับกลุ่มชาตินิยมพม่าที่ร่วมมือกับญี่ปุ่น ส่วนชาวมุสลิมโรฮีนจาร่วมมือกับอังกฤษและฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชนสองกลุ่มนี้ เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง สันนิบาตเสรีภาพประชาชนฯได้จัดให้ชาวยะไข่ที่นับถือพุทธที่อพยพมาอยู่ทางภาคใต้กลับขึ้นไปอยู่ทางเหนือที่มีมุสลิมอยู่หนาแน่นมากขึ้น จัดให้ชาวยะไข่พุทธมารับตำแหน่งบริหารแทนชาวมุสลิมที่อังกฤษแต่งตั้งไว้ ทำให้ชาวพุทธและมุสลิมปะทะกันอีก โรฮีนจาบางส่วนเรียกร้องให้นำยะไข่เหนือไปรวมกับปากีสถานตะวันออกแต่ปากีสถานไม่เห็นด้วย ในที่สุดยะไข่เป็นส่วนหนึ่งของสหภาพพม่าใน พ.ศ. 2491 ชาวมุสลิมโรฮีนจาได้เรียกร้องต่อมาให้ตั้งเขตบริหารชายแดนมยูขึ้นในยะไข่ ซึ่งรัฐบาลอูนุได้รับหลักการใน พ.ศ. 2504 แต่ในปีต่อมาเกิดรัฐประหารโดยนายพลเน วิน และการตั้งเขตบริหารชายแดนดังกล่าวถูกยกเลิกไป ยะไข่ได้ยกสถานะขึ้นเป็นรัฐในพม่าใน พ.ศ. 2517
มุสลิมในยะไข่ได้จัดตั้งกองกำลังมุญาฮิดีนเพื่อก่อกวนรัฐบาลและชาวพุทธ ส่วนยะไข่พุทธนั้นก็ก่อกบฏขึ้นใน พ.ศ. 2490 นำโดยพระสงฆ์ชื่ออูเซงดาเพื่อแยกยะไข่ออกจากพม่า กบฏนี้ได้รับความช่วยเหลือจากพรรคคอมมิวนิสต์พม่าแต่ฝ่ายรัฐบาลปราบปรามได้ เหตุการณ์กบฏในยะไข่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะชาวมุสลิม แต่รัฐบาลพม่าก็เข้ามาควบคุมสถานการณ์ได้มากขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2493 ในปัจจุบันความขัดแย้งระหว่างชาวยะไข่พุทธและโรฮีนจามุสลิมยังมีอยู่ในยะไข่
อ้างอิง
- วิไลเลขา ถาวรธนสาร. อาระกัน ใน สารานุกรมประวัติศาสตร์สากลสมัยใหม่: เอเชีย เล่ม 1 อักษร A-B ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กทม.ราชบัณฑิตยสถาน. 2539. หน้า 247 - 252
- ดุลยภาค ปรีชารัชช. โรฮิงญา รัฐ ชาติพันธุ์ ประวัติศาสตร์และความขัดแย้ง. กรุงเทพฯ: มติชน. 2558
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
prawtisastryaikh erimcakchawyaikhekhamatnghlkaehlnginbriewnrthyaikhpccubnemuxrawphuththstwrrsthi 15 kxnhnannbriewnniepnthixyukhxngchawxinediythimacakfngtawntkkhxngxawebngkxl rachwngsthipkkhrxngyaikhinchwngaerkepnrachwngskhxngchawxinediy sasnaphuththekhasuyaikhkxnbriewnxun inphma briewnnimkthukchawithihy phmaaelaebngkxlekhaplnsadm cninthisud chawphmaidekhamatnghlkaehlngxyangthawr nkhrobranthiekhyepnsunyklangxanacinyaikh idaek emuxngthyywdiaelaemuxngewsali thikhadwapkkhrxngodykstriycakxinediyechuxsaycnthrwngsxanackryaikh emuxrawphuththstwrrsthi 16 phraecaxonrthamngchxaehngxanackrphukamykthphmaocmtiyaikh thaihyaikhtxngrbkbphukam cnkrathngphukamaephmxngoklemux ph s 1830 yaikhcungidepnxisra aetimnanhlngcaknn yaikhephchiykbkarrukrankhxngaetsamarthtanthaniwid txmain ph s 1947 phmaidaephxiththiphlekhamainyaikhxik idipkhxkhwamchwyehluxcakebngkxl ebngkxlykthphmachwyyaikhkhbilkxngthphphmaxxkipidin ph s 1973 aetyaikhktxngtkxyuphayitxanackhxngebngkxl kstriyyaikhtxngmiphranamaebbxislamtxthayaemcanbthuxsasnaphuththktam cnkrathnghruxxalibn phraxnuchakhxngphraecanremkhlaidprakasexkrachcakebngkxl aetyngidrbxiththiphlthangkaremuxngcakebngkxlxyu kstriyebngkxlepnphuphrarachthannamaebbxislamihaekkstriyyaikhcnthung ph s 2074 yaikhinrchsmykhxngphraecapsxphayuyngsamarthyudkhrxngcittakxng idaelapkkhrxngeruxymacnthungph s 2209 inrawphuththstwrrsthi 20 21 yaikhphbkbkhwamwunwaythangkaremuxng mikhwammnkhngxikkhrnginsmyphraecaminbin sungepnxisracakebngkxlxyangaethcring aelatanthankxngthphkhxngphraecataebngchaewtiid phraecabuerngnxngthrngmiaephncaocmtiyaikhin ph s 2124 aetsinphrachnmesiykxn yaikhcungepnfayekhaplnhngsawdiaelayudemuxngsieriymid kstriyyaikhaetngtngihfilip edx briotepnecaemuxngsieriym aetphayhlngbriotaekhngkhxtxyaikh yaikhykthphmaprabimsaerc phayhlngbriotthukphmacbtwaelasngharinph s 2154 chawoptueksthiehluxidyxmxxnnxmtxyaikh inrchkalphraecasnthsuthrrm epnchwngthiyaikhmikhwamrungeruxngmak aetinrchkalkhxngphraxngkhekidsngkhramkbckrwrrdiomkulkhxngxinediy rachwngsomkulyudcittakxngipidin ph s 2209 hlngsngkhramkhrngnn yaikhxxnaexlng ekidkhwamwunwayphayinaekhwn cn ph s 2253 mhadndaobprabpramklumtang idaelakhunkhrxngrachyinnamphraecasnthwichy phraxngkhphyayamocmtiemuxngaepraelaemuxngmalunkhxngphma aelaphyayamyudcittakxngkhuncakebngkxlaetimsaerc hlngcakphraecasnthwichythuklxbplngphrachnmin ph s 2274 yaikhkekidkhwamwunwaythangkaremuxngtlxdmacnkrathng ph s 2327 phmaekhamayudkhrxngyaikhidsaerc inchwngthiphmaekhapkkhrxngyaikh mikarbngkhbkdkhichawyaikhmak cnimepnthiphxicthngchawphuththyaikhaelachawmuslimorhinca mikareknthchawyaikhekharwminkxngthphphmathiipocmtihwemuxnglannakhxngsyam eknthechlyipkhudthaelsabemathilaaelasrangecdiyminkun thaihphukhnlmtayepncanwnmak chawyaikhbangswnhnikarkdkhikhxngphmaekhaipyngebngkxlaelaekidkbtkhxngchawyaikhkhunkhrngaerkin ph s 2337 aetkimsinsudlng pyhakbtyaikhthaihphmakrathbkrathngkbxngkvsthiekhamapkkhrxngebngkxl kbtkhrngsakhynaodysinbynthirwbrwmkalngphlcakekhtfunthipkkhrxngkhxngbristhxinediytawnxxkin ph s 2354 samarthyudemuxngemiywxxnghruxmaorxxngidaettxngelikthphklbipephraaxngkvsimsnbsnun sinbynphankinekhtxanackhxngxngkvscnsinchiwitemux ph s 2358 xyangirktam in ph s 2457 phmaidtamcbphnkngankhxngbristhxistxinediythiekhaipcbchanginyaikh aelwekhaipinekhtphmacnbanplayklayepnsngkhramxngkvs phmakhrngthihnung sungphmaepnfayaeph phmatxngykyaikhihxngkvs aelaemuxxngkvsyudkhrxngphmaidthnghmd xngkvspkkhrxngyaikhinthanaswnhnungkhxngphmaimichrthkhxngchnklumnxy karpkkhrxngkhxngxngkvsthaihchawxinediymuslimekhamaxyuinphmamakkhun odyechphaainyaikh thaihekidkhwamkhdaeyngkbchawyaikhthinbthuxsasnaphuthth cnekidkarkhafnkn inchwngsngkhramolkkhrngthisxng chawphuththyaikhekharwmkbklumchatiniymphmathirwmmuxkbyipun swnchawmuslimorhincarwmmuxkbxngkvsaelafaysmphnthmitr thaihekidkhwamkhdaeyngrahwangchnsxngklumni emuxsngkhramolkkhrngthisxngyutilng snnibatesriphaphprachachnidcdihchawyaikhthinbthuxphuthththixphyphmaxyuthangphakhitklbkhunipxyuthangehnuxthimimuslimxyuhnaaennmakkhun cdihchawyaikhphuththmarbtaaehnngbriharaethnchawmuslimthixngkvsaetngtngiw thaihchawphuththaelamuslimpathaknxik orhincabangswneriykrxngihnayaikhehnuxiprwmkbpakisthantawnxxkaetpakisthanimehndwy inthisudyaikhepnswnhnungkhxngshphaphphmain ph s 2491 chawmuslimorhincaideriykrxngtxmaihtngekhtbriharchayaednmyukhuninyaikh sungrthbalxunuidrbhlkkarin ph s 2504 aetinpitxmaekidrthpraharodynayphlen win aelakartngekhtbriharchayaedndngklawthukykelikip yaikhidyksthanakhunepnrthinphmain ph s 2517 musliminyaikhidcdtngkxngkalngmuyahidinephuxkxkwnrthbalaelachawphuthth swnyaikhphuththnnkkxkbtkhunin ph s 2490 naodyphrasngkhchuxxuesngdaephuxaeykyaikhxxkcakphma kbtniidrbkhwamchwyehluxcakphrrkhkhxmmiwnistphmaaetfayrthbalprabpramid ehtukarnkbtinyaikhekidkhunxyangtxenuxngodyechphaachawmuslim aetrthbalphmakekhamakhwbkhumsthankarnidmakkhuntngaet ph s 2493 inpccubnkhwamkhdaeyngrahwangchawyaikhphuththaelaorhincamuslimyngmixyuinyaikhxangxingwiilelkha thawrthnsar xarakn in saranukrmprawtisastrsaklsmyihm exechiy elm 1 xksr A B chbbrachbnthitysthan kthm rachbnthitysthan 2539 hna 247 252dulyphakh pricharchch orhingya rth chatiphnthu prawtisastraelakhwamkhdaeyng krungethph mtichn 2558