บทความนี้อาจต้องการตรวจสอบต้นฉบับ ในด้านไวยากรณ์ รูปแบบการเขียน การเรียบเรียง คุณภาพ หรือการสะกด คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ |
บทความนี้เขียนขึ้นด้วยมุมมองของแฟนคลับ ซึ่งอาจมีเนื้อหาหรือ โปรดช่วยกันแก้ไขเพื่อให้บทความมีคุณภาพดียิ่งขึ้นและ |
คาร์เพนเทอส์ (อังกฤษ: Carpenters) เป็นวงดนตรีสัญชาติอเมริกันซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นพี่น้องกัน คือ แคเรน คาร์เพนเทอร์ และ ริชาร์ด คาร์เพนเทอร์ เป็นวงดนตรีที่ได้รับความนิยมในยุค 70 แม้ว่าในช่วงยุคทศวรรษที่ 70 จะมีกระแสงความนิยมเพลงร็อก แต่ริชาร์ดและแคเรน ก็ทำเพลงในรูปแบบที่แตกต่าง ด้วยคุณภาพของน้ำเสียงที่เป็นหนึ่งในยุค 70s ของแคเรน และการเรียบเรียงเสียงประสานอันสุดยอดของริชาร์ด ทำให้บทเพลงพวกเขายังคงได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้และสามารถทำยอดขายมากที่สุดตลอดกาล
คาร์เพนเทอส์ | |
---|---|
ประธานาธิบดีนิคสันเชิญให้แสดงดนตรีในไวต์เฮาส์ | |
ข้อมูลพื้นฐาน | |
ที่เกิด | ลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา |
แนวเพลง | ป็อป, ซอฟท์ร็อก, เพลงร่วมสมัย |
ช่วงปี | 1969-1983 |
ค่ายเพลง | A&M |
สมาชิก | แคเรน คาร์เพนเทอร์ หัวหน้าวง รองหัวหน้าวง |
ประวัติ
จุดเริ่มต้น
ริชาร์ด คาร์เพนเทอร์ ([Richard Carpenter]) เกิดวันที่ 15 ตุลาคม 1946 ที่เมือง New Heaven Connecticut ส่วนแคเรน คาร์เพนเทอร์ ([Karen Carpenter]) ผู้เป็นน้องสาว เกิดวันที่ 2 มีนาคม 1950 ที่เมือง New Heaven Connecticut เช่นกัน ครอบครัวประกอบไปด้วย Harold Carpenter ผู้เป็นพ่อ และ Agnes Carpenter ผู้เป็นแม่ เป็นครอบครัวคนชั้นกลางในสหรัฐ ตั้งแต่สมัยเด็ก ริชาร์ดชอบที่จะขลุกอยู่กับห้องเก็บแผ่นเสียงของพ่อซึ่งเป็นคนที่ชอบสะสมแผ่นเสียงต่าง ๆ โดยริชาร์ดจะชอบฝึกเล่นเปียโนมากกว่าออกไปเล่นฟุตบอลเหมือนเด็กคนอื่น แต่เขาก็มีพรสวรรค์ทางดนตรีให้เห็นตั้งอายุยังน้อย ซึ่งเป็นที่ชื่นชมของ Agnes ผู้เป็นแม่เป็นอย่างมาก ว่าลูกชายเป็นคนเก่งและมีความเป็นอัจฉริยะทางดนตรี ถึงแม้ว่าแคเรนจะมีพรสวรรค์ แต่ขณะนั้นยังไม่มีใครมองเห็น เมื่อริชาร์ดเริ่มเรียนในสาขาดนตรี เขาสนใจในการแต่งและเรียบเรียงเสียงประสาน ในขณะที่แคเรนผู้เป็นน้องสาวจะมีลักษณะเป็นทอมบอยที่ชอบออกไปเล่นกีฬากลางแจ้ง เธอมักจะตามริชาร์ดเสมอ เพราะริชาร์ดคือคนที่เธอเชื่อและเป็นเหมือนไอดอลของเธอ เมื่อริชาร์ดเริ่มเล่นดนตรีจึงเป็นแรงผลักดันให้เธอเล่นดนตรีด้วย โดยในปี 1965 แคเรนฝึกเล่นกลองชุดเพื่อให้สามารถร่วมวงกับพี่ชายได้ นอกจากนี้เธอยังสามารถเล่นเบสได้ จากการสอนของ Gary Sims ซึ่งเป็นสมาชิกคนหนึ่งในวง และยังเป็นเพื่อนชายของเธอ ณ ตอนนั้นด้วย
ปี 1965-1968: Richard Carpenter Trio - Spectrum
เริ่มก่อตั้งวงครั้งแรกในปี ค.ศ.1965 โดยมีสมาชิก 3 คน คือ ริชาร์ด, แคเรน และ เวส จาคอปส์ ซึ่งเป็นเพื่อนของริชาร์ด ชื่อว่า "วงริชาร์ด คาร์เพนเทอร์ ทริโอ" เล่นเพลงแจ๊ส (ริชาร์ด: เปียโน, แคเรน: กลอง และ เวส จาคอปส์: เบสและทูบา) ในปี 1966 โจ ออสบอร์น ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของค่ายเพลง Magic Lamp Records ที่เป็นค่ายเพลงเล็ก ๆ (สำนักงานดัดแปลงจากโรงรถ) สนใจในน้ำเสียงของแคเรน จึงได้รับเป็นศิลปินในสังกัด และได้ออกซิงเกิลชื่อ Looking For Love ประมาณ 500 แผ่นเท่านั้น แต่ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากขาดการโปรโมตของค่าย ในกลางปี 1966 วงริชาร์ดคาร์เพนเทอร์ทริโอได้เข้าแข่งขันรายการ Hollywood Bowl Battle of the Bands และชนะเลิศในรายการดังกล่าว ทำให้พวกเขาได้รับความสนใจและเซ็นสัญญาเข้าสังกัด RCA Records พวกเขาได้บันทึกเสียงหลายเพลงด้วยกัน แต่เนื่องจากรูปแบบที่ทำออกมาไม่ได้เป็นไปตามกระแสนิยมของตลาดช่วงนั้น ซึ่งเพลงร็อกแอนด์โรลยังเป็นที่นิยมอย่างมาก ทำให้พวกเขาถูกระงับการออกอัลบั้ม ในปี 1967 ริชาร์ดได้ตั้งวงขึ้นมาใหม่ในชื่อ Spectrum และยุบวงในปี 1968
ปี 1969-1970: Offering - Close To You
แต่อย่างไรก็ดี ริชาร์ดได้ตัดสินใจทำงานดนตรีทั้งหมดด้วยตัวเองขึ้นมา ในชื่อ "คาร์เพนเทอร์ส" (ตั้งชื่อไม่ให้มี "เดอะ" นำหน้า เนื่องจากไม่ต้องการให้เหมือนชื่อวงดนตรีอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยมขณะนั้น โดยพวกเขา (ริชาร์ดและแคเรน) ทำงานกันเองทั้งหมด ทั้งการแต่งเนื้อร้อง ทำนอง เรียบเรียงดนตรี บรรเลง ร้องนำ และ ร้องประสาน ด้วยความที่ริชาร์ดเชื่อมั่นในน้ำเสียงของแคเรน ว่าสามารถเป็นนักร้องนำได้ เขาได้ส่งเทปเดโมไปยังค่ายเพลงต่าง ๆ จนในที่สุด Herb Alpert เจ้าของค่าย A&M Records ได้สะดุดกับการเรียบเรียงดนตรีของริชาร์ด และน้ำเสียงของแคเรน โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำเสียงของแคเรนประทับใจ Herb Alpert เป็นอย่างมาก ทำให้ Herb Alpert ตกลงใจที่จะรับให้พวกเขาเข้ามาเป็นศิลปินในสังกัดในต้นปี 1969 และในปลายปีนั้นเองก็ได้ออกอัลบั้มแรกในนามของวงคาร์เพนเทอร์ส Offering (เปลี่ยนชื่อและปกเป็น Ticket To Ride ตามซิงเกิลแรกที่ได้รับความนิยมในปี 1970) เป็นอัลบั้มแรกของพวกเขา โดยมีเพลง ซึ่ง cover มาจาก The Beatles ปล่อยมาเป็นซิงเกิลแรก โดยได้นำมาเรียบเรียงดนตรีใหม่ทั้งหมด จากเพลงเร็วกลายเป็นบัลลาดช้า ๆ ที่ไม่เหมือนของเดิมเลย Ticket To Ride ติดชาร์ทอันดับที่ 54 ของสหรัฐ อัลบั้มดังกล่าวมียอดขายที่ไม่มากนัก (ภายหลังมีการออกจำหน่ายใหม่โดยมีการเปลี่ยนปกและชื่ออัลบั้มเป็น "Ticket To Ride" แทน) แต่อย่างไรก็ดี Herb Alpert ก็ไม่ได้ให้เขาออกจากสังกัด แต่ยังให้โอกาสกับพวกเขาออกอัลบั้มที่ 2 อีกด้วย
ในขณะเดียวกันนั้น Burt Bacharach ซึ่งเป็นนักแต่งเพลงมือฉมัง ที่แต่งเพลงฮิตให้กับ Dionne Warwick มากมายหลายเพลง ได้ยินเพลง ในเวอร์ชันของคาร์เพนเทอร์สและสนใจพรสวรรค์ในการเรียบเรียงเสียงประสานของพวกเขา จึงได้ติดต่อกับ Herb ว่า เขาต้องการให้วงคาร์เพนเทอร์สซึ่งเป็นศิลปินในสังกัดได้ร่วมเปิดการแสดงให้เขาในงานคอนเสิร์ตการกุศล โดยให้พวกเขาเล่นเพลงที่แต่งโดย Burt Bacharach และ Hal David ซึ่งทาง Herb ก็ยินดีและได้ให้ชีทเพลงของ Bacharach และ David กับริชาร์ดหลายเพลงเพื่อนำมาเรียบเรียงใหม่เพื่อใช้แสดงในงานงานคอนเสิร์ตการกุศลดังกล่าว Herb ได้ถามริชาร์ดว่ารู้จักเพลง (They Long To Be) Close To You หรือไม่ เพราะจะให้นำมาใช้เล่นเป็นเมดเล่ย์ในคอนเสิร์ตด้วย แต่ริชาร์ดเองก็ไม่คุ้นเคยกับเพลงดังกล่าวอย่างใด เนื่องจากเพลงนี้ไม่ได้เป็นเพลงที่ฮิตของ Bacharach และ David แต่หลังจากที่ริชาร์ดได้นำชีทเพลงนี้ไป เขากลับมาบอกกับ Herb ว่าเปลี่ยนใจที่จะนำใช้แสดงในคอนเสิร์ต แต่จะนำมาทำเป็นเพลงของคาร์เพนเทอร์สเอง โดยหลังจากความพยายามของการเรียบเรียงและการปรับแก้ของ Herb ถึงสามครั้ง สุดท้ายสำเร็จอย่างที่ทุกคนต้องการ (They Long To Be) Close To You ถูกปล่อยเป็นซิงเกิลที่ 2 ของพวกเขา เพียงไม่กี่อาทิตย์ก็ขึ้นสู่อันดับที่ 1 บนชาร์ทซิงเกิล 100 อันดับของสหรัฐ และครองอันดับ 1 ได้นานถึง 4 สัปดาห์ เป็นแผ่นเสียงทองคำแผ่นแรกของพวกเขา และสามารถขึ้นชาร์ทอันดับที่ 6 ในอังกฤษได้ ทำให้พวกเขากลายเป็นศิลปินหน้าใหม่ที่ได้รับการความนิยมอย่างมาก อัลบั้ม กลายเป็นอัลบั้มขายดีขึ้นชาร์ทอันดับที่ 2 ของสหรัฐ และตามมาด้วยซิงเกิลที่ 3 จากอัลบั้มนั้นเอง ก็ได้รับความนิยมมากไม่ต่างจาก (They Long To Be) Close To You โดยขึ้นสู่อันดับที่ 2 บนชาร์ทซิงเกิล 100 อันดับของสหรัฐได้นานถึง 4 สัปดาห์ และเป็นแผ่นเสียงทองคำแผ่นที่สองของพวกเขาในปีเดียวกัน อัลบั้ม Close To You สามารถขึ้นอันดับ 2 ในสหรัฐ และ 23 ในอังกฤษ โดยมียอดจำหน่ายมากกว่า 1 ล้านแผ่น (ณ ขณะนั้น) และเพลง (They Long To Be) Close To You ก็ทำให้พวกเขาได้รับรางวัล Grammy ถึง 2 รางวัลในปี 1970 คือ Best New Artist (ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม) และ Best Contemporary Vocal Performance by a Duo, Group or Chorus (ปัจจุบันทั้ง (They Long To Be) Close To You และ We've Only Just Begun ถูกบรรจุไว้ใน Grammy Hall of Fame awards) ซึ่งตำนานของวงคาร์เพนเทอร์สได้เริ่มต้นขึ้น ณ จุดนั้นเอง
นอกจากนี้ยังมีเพลงหลายเพลงในชุด Close To You ที่ได้รับเช่น Reason To Believe (ริชาร์ดชอบเพลงนี้เป็นพิเศษและคิดจะตัดเพลงนี้เป็นซิงเกิลถัดไปด้วย), Maybe It's You (เป็นเพลงจากช่วงยุคก่อนวงคาร์เพนเทอส์ และกลายเป็นเพลงไฮไลทของชุดทีเดียว), Mr. Guder (เป็นเพลงที่ริชาร์และ John แต่งเพื่อร้องล้อเลียนนาย Guder ซึ่งเป็นหัวหน้างานของพวกเขาขณะที่พวกเขาทำงานพิเศษร้องเพลงในดิสนีแลนด์ แต่เนื่องจากไปร้องเพลงของ Beatle ตามคำขอของนักท่องเที่ยวซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้ร้องในดิสนี่แลนด์ทำให้พวกเขาถูกไล่ออก!!! เพลงนี้ได้รับความนิยมจากคนดูคอนเสิร์ตมาก), Love Is Surrender และ Help (ในครั้งแรกเพลงนี้ถูกวางแผนให้ตัดเป็นซิงเกิลแรกของชุด แต่หลังจากที่ Herb ได้ยินเพลง (They Long To Be) Close To You แล้วจึงเปลี่ยนความคิดทันที)
ปี 1971: Carpenters
ปลายปี 1970 พวกเขาได้ปล่อยซิงเกิลใหม่ตามมาคือ Merry Christmas, Darling ปรากฏว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงเทศกาลคริสต์มาส โดยเพลงนี้ขึ้นอันดับหนึ่งในคริสต์มาส ชาร์ทในปี 1970 และ 1971 หลังจากความสำเร็จอย่างท้วมท้นของซิงเกิล (They Long To Be) Close To You และ We've Only Just Begun ทำให้พวกเขาค่อนข้างเครียดกันมากว่าเพลงอะไรจะเป็นซิงเกิลต่อไปของพวกเขา เป็นปัญหาที่ริชาร์ดแก้ไม่ตกที่เดียว จนกระทั่งคืนที่พวกเขาไปแสดงเปิดคอนเสิร์ตให้กับ Engelbert Humperdinck ขณะช่วงเวลาพักผู้จัดการส่วนตัวของพวกเขาได้แนะนำให้พวกเขาไปผ่อนคลายด้วยการดูภาพยนตร์เรื่อง Lovers and Other Strangers เมื่อริชาร์ดได้ฟังเพลงประกอบภาพยนตร์นั่นเองทำให้เขาพบกับทางออกของปัญหา นั่นคือเพลง ในเรื่องสะดุดหูริชาร์ดเป็นอย่างมากเขาคิดว่าเพลงนี้ไม่ใช่แค่เหมาะกับเสียงร้องของแคเรนเท่านั้นแต่ยังเหมาะกับสไตล์ของวงอีกด้วย ทั้งคู่จดจำท่วงทำนองและนำกลับมาเรียบเรียงเสียงประสานใหม่ในแนวของคาร์เพนเทอส์ ซึ่งก็แน่นอนหลังจากเพลงนี้ถูกปล่อยเป็นซิงเกิลก็เริ่มไต่สู่ชาร์ท For All We Know กลายเป็นเพลงฮิตเพลงที่ 3 ของพวกเขา ขึ้นชาร์ทอันดับที่ 3 ในสหรัฐ และเป็นแผ่นเสียงทองคำแผ่นที่สาม ด้วยความดังของเพลงนี้ในเวอร์ชันคาร์เพนเทอส์ ทำให้เวอร์ชันเพลงประกอบภาพยนตร์ได้รับอิทธิพลไปด้วย ทำให้เพลงนี้ชนะรางวัลออสกาสาขา Academy Award for Best Original Song ในปี 1971 จากนั้นก็ได้เวลาของอัลบั้มชุดที่ 3 ของพวกเขา อัลบั๊มนี้นอกจากจะมีเพลง For All We Know แล้ว ยังมีซิงเกิลฮิตอีก 2 เพลงตามมาคือ และ Superstar ซึ่งทั้ง 2 เพลงก็เป็นเพลงฮิตที่ได้รับความนิยมสูงมาก ขึ้นอันดับ 2 ในสหรัฐ และเป็นแผ่นเสียงทองคำแผ่นที่สี่และห้าของพวกเขาอีกด้วย
สำหรับอัลบั๊ม Carpenters เป็นอัลบั๊มแรกที่พวกเขาเริ่มใช้โลโก้ "Carpenters" ที่คุ้นตาไว้บนหน้าปกอย่างเป็นทางการอีกด้วย อัลบั๊ม Carpenters ขึ้นสู่อันดับที่ 2 บนชาร์ทอัลบั๊ม 100 อันดับของสหรัฐ ทำยอดขายได้เกินล้านแผ่น และได้รับรางวัล Grammy "Best Pop Vocal Performance by a Duo or Group" ในปี 1971 อีกด้วย ซึ่งนอกจาก 3 ซิงเกิลดังแล้ว ยังมีอีกหลาย ๆ เพลงที่เป็นที่นิยมของแฟนเพลงเช่น Let Me Be The One, (A Place To) Hideaway และ One Love เพลง Let Me Be The One เป็นเพลงหนึ่งที่ริชาร์ดรู้สึกชื่นชอบเป็นพิเศษและคิดว่าถ้าหากตัดเป็นซิงเกิล เพลงคงจะเป็นหนึ่งในเพลงดังของวงอย่างแน่นอน (Let Me Be The One ถูกตัดเป็นแผ่นซิงเกิลในปี 1991 เพื่อโปรโมตอัลบั้มชุด "From The Top") เพลง (A Place To) Hideaway เป็นเพลงที่แฟนเพลงคาร์เพนเทอส์หลายคนโหวตว่าเป็นเพลงที่ดีที่สุดของวงเพลงหนึ่งเลยทีเดียว
ปี 1972: A Song For You
ด้วยการที่พวกเขามีอัลบั้มฮิตต่อเนื่อง 2 ชุด (Close To You และ Carpenters) รวมกับ 5 ซิงเกิลแผ่นเสียงทองคำ ทำให้สถานภาพและอนาคตของวงราบรื่นทีเดียว ซิงเกิลถัดไปเริ่มด้วย ซึ่ง cover จากวง Ruby and the Romantics ออกจำหน่ายปลายปี 1971 เป็นการเปิดตัวอัลบั๊มที่ 4 ของพวกเขา โดยออกจำหน่ายก่อนอัลบั๊มนานถึง 9 เดือน กลายเป็นเพลงฮิตเพลงถัดไปของพวกเขา โดยขึ้นอันดับ 2 ในสหรัฐ และเป็นแผ่นเสียงทองคำแผ่นที่หก ตามมาด้วย ซึ่ง cover งานของ Carole King และนับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ซิงเกิล Ticket To Ride ที่ซิงเกิลของพวกเขาไต่ไม่ถึง 3 อันดับแรกของชาร์ท It's Going To Take Some Time ขึ้นอันดับ 12 ในสหรัฐ และตามด้วยซิงเกิลลำดับที่ 3 ซึ่งเป็นเพลงที่ริชาร์ดและเพื่อนสนิทของเขา John Bettis แต่งขึ้น เป็นเพลงแรกที่ริชาร์ด โดยให้ Tony Peluso หนึ่งในสมาชิกหลักของวงซึ่งริชาร์ดพึ่งชวนเข้ามาร่วมงานในวง โซโลกีตาร์ในช่วงกลางและท้ายเพลง ด้วยการโซโลกีตาร์ที่ดุเดือด โดยเฉพาะท่อนโซโลท้ายเพลงที่นานกว่า 2 นาที ทำให้เพลง Goodbye To Love ออกมาเหมือนเป็นเพลงร็อกมากกว่าเพลงในสไตล์ที่วงเคยทำออกมา ทำให้พวกเขาได้รับจดหมายต่อว่าจากเพลงเป็นจำนวนมากว่าพวกเขาดังแล้วเปลี่ยนสไตล์ ไม่รักษารูปแบบเดิมอย่างที่ควรเป็น แต่อย่างไรก็ดี Goodbye To Love ก็กลายเป็นเพลงฮิต ขึ้นอันดับ 7 ในสหรัฐ และ 9 ในอังกฤษ และได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเพลงป๊อปที่มีการโซโลกีตาร์ที่ดีที่สุดเพลงหนึ่งด้วย และการโซโลกีตาร์ของ Tony Peluso ก็กลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของวงไปด้วย
อัลบั๊ม ขึ้นอันดับ 4 ของชาร์ทสหรัฐ และมียอดจำหน่ายเกินล้านชุด นอกจากนี้ยังมีเพลงฮิตอื่น ๆ ในชุดรวมอยู่ด้วยเช่น Bless The Beasts And Children ซึ่งเป็นเพลง ost จากภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน โดยเพลงนี้เปิดตัวครั้งแรกในด้านบี (side B) ของ Superstar โดยสามารถขึ้นอันดับที่ 67 ในสหรัฐ และยังได้มีโอกาสเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาเพลงประกอบด้วยเช่นเดียวกันกับ For All We Know แต่ไม่ได้รางวัล A Song For You เป็นเพลงแรกของแผ่นโดยแฟนเพลงส่วนใหญ่จะรู้จักเพลงนี้ดีอยู่แล้ว เป็นงานโคฟเวอร์ที่แฟนเพลงส่วนใหญ่คิดว่าเพลงนี้น่าจะถูกตัดเป็นซิงเกิลด้วยเช่นกัน, Crytal Lullaby, I Won't Last A Day Without You และ Top Of The World (สองเพลงหลังตัดเป็นซิงเกิลในช่วงเวลาต่อมา)
ปี 1973: Now And Then และ The Singles 1969-1973
จากการที่พวกเขาประสบความสำเร็จต่อเนื่องอย่างสุด ๆ ทำให้ตั้งแต่ปลายปี 1970 จนถึง 1972 พวกเขาแถบไม่มีเวลาสำหรับการเขียนหรือหาเพลงที่จะมาทำในอัลบั้มใหม่เลย ทั้งจากการทัวร์คอนเสิร์ตตลอดทั้งปี การแสดง รายการโทรทัศน์ มาถึงปี 1973 งานเก่าในสมัยที่เป็นวง Specturm ถูกนำมาใช้กับอัลบั้มชุด Ticket To Ride, Close To You, Carpenters และ A Song For You จนหมด แต่จากการแสดงสดในปี 1972 พวกเขาได้เลือกเอาเพลงดังในยุคปี 1960s มาแสดงด้วยและก็ได้รับการตอบรับอย่างสูง ริชาร์ดเองก็ได้คอนเซ็ปจากเหตุการณ์ดังกล่าวมาใช้ในการนำเสนออัลบั้มถัดไปนั่นคือแบ่งเพลงในอัลบั้มถัดไปเป็น 2 ส่วน ส่วนหน้าแรกจะเป็นเพลงใหม่ตามปกติ ส่วนหน้าหลังจะเป็นเมดเล่ย์เพลงดังในยุค 1960s โดยได้คอนเซ็ปนั้นมาเป็นเพลง ซึ่งบรรยายถึงความรู้สีกดี ๆ ที่มีต่อเพลงรักเก่า ๆ ที่เคยร้องคลอตาม เมื่อกลับมาได้ยินอีกครั้ง อัลบั้มที่ห้านี้ใช้ชื่อว่า ตามที่ Agnes มารดาของพวกเขาได้ตั้งให้ โดยมีเพลง เป็นซิงเกิลเปิดตัว Sing เป็นเพลงจากรายการเด็ก Sesame Street ทำให้สต๊าฟส่วนใหญ่ใน A&M ว่าพวกเขาที่บ้าไปแล้วที่ตัดเพลงนี้เป็นซิงเกิล แต่อย่างไรก็ดีหลังจาก Sing ออกจำหน่ายก็ได้รัยความนิยมอย่างมากทันที โดยขึ้นชาร์ทอันดับ 3 ในสหรัฐ และเป็นแผ่นเสียงทองคำแผ่นที่เจ็ดของพวกเขา และตามมาด้วย ซึ่งแต่งโดยริชาร์ดและ John Bettis กลายเป็นเพลงที่ดังที่สุดของพวกเขา ณ ขณะนั้น โดย โดยขึ้นชาร์ทอันดับ 2 ในสหรัฐและ 2 อังกฤษ และเป็นแผ่นเสียงทองคำแผ่นที่แปด เพลงนี้ได้รับความนิยมในหลายประเทศทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในญี่ปุ่น เพลงนี้กลายเป็นเพลงที่มียอดจำหน่ายสูงสุดตลอดกาลเพลงหนึ่งในญี่ปุ่นทีเดียว นอกจากนี้อัลบั้ม ยังมี highlight ที่เมดเล่ย์ oldies ในหน้าที่ 2 ที่รวมเอาเพลงดัง ๆ จากยุค 60s มา cover รวมกัน โดยทำให้เหมือนกับการฟังวิทยุที่มีดีเจดำเนินรายการ (Tony Peluso) คอยเปิดและแนะนำเพลงและมีคนเข้ามาร่วมทายปัญหาในรายการด้วยโดยมีเพลง เป็นเพลงนำเข้าและปิดเมดเล่ย์ อัลบั้ม ประสบความสำเร็จขึ้นสู่อันดับ 2 ทั้งในสหรัฐและอังกฤษ มียอดจำหน่ายเกินกว่าล้านแผ่น และประสบความสำเร็จอย่างมากในญี่ปุ่น ซึ่งทำให้วงคาร์เพนเทอส์เป็นที่นิยมสูงสุดในญี่ปุ่นอีกด้วย นอกจากสองเพลงดังแล้วยังมีเพลงฮิต (ที่ไม่ได้ถูดตัดเป็นซิงเกิลด้วย) ได้แก่ Jambalaya (On The Bayou) และ This Masquerade ซึ่งทั้งสองเพลงกลายเป็นเพลงฮิตที่แฟนเพลงทุกคนต้องรู้จัก
ซิงเกิลถัดไปพวกเขาเลือกที่จะเผยแพร่คือเพลง ซึ่งเป็นเพลงจากอัลบั้ม A Song For You ในปี 1972 ซึ่งก็ได้รับการค้านจากสต๊าฟส่วนใหญ่ใน A&M อีกเช่นกันเนื่องจากเป็นเพลงจากอัลบั้มเก่าเมื่อปีที่แล้ว และนอกจากนี้เพลงที่ตัดเป็นซิงเกิลจากอัลบั้ม A Song For You ก็มีมากแล้ว (Hurting Each Other, It's Going To Take Some Time และ Goodbye To Love รวมถึง ที่เป็น B-side ของซิงเกิล Superstar ด้วย) แต่ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่างที่เกี่ยวกับเพลง Top Of The World ทำให้ริชาร์ดเชื่อว่าเพลงนี้มีศักยภาพที่จะกลายเป็นเพลงดังเพลงต่อไปของพวกเขา เช่นการได้รับการตอบรับเหมือนเป็นเพลงฮิตเมื่อพวกเขาเล่นในคอนเสิร์ต Lynn Anderson นักร้องเพลงคันทรี cover เพลงนี้และสามารถไต่ขึ้นอันดับ 2 ของคันทรีชาร์ทได้, สถานีวิทยุต่าง ๆ ขึ้นชาร์ทเพลงนี้จากการขอเพลงทางวิทยุเพียงอย่างเดียว มีการตัดเพลงนี้ออกเป็นซิงเกิลในญี่ปุ่นและมียอดจำหน่ายในระดับแผ่นเสียงทองคำ รวมถึงแฟนเพลงต่างก็เรียกร้องให้ริชาร์ทตัดเพลงนี้ออกมาเป็นซิงเกิล อย่างไรก็ดีริชาร์ดเองรู้สีกไม่พอใจกับ steel กีตาร์ในเวอร์ชันเดิม รวมทั้งตัวแคเรนก็ยังไม่พอใจกับการร้องของตัวเอง จึงได้บันทึกเสียงเพลงนี้ใหม่ (เฉพาะเสียงร้องนำของแคเรน และ steel guitar เท่านั้น) ผลปรากฏว่าเพลง ขึ้นชาร์ทอันดับที่ 1 ในสหรัฐ และ 5 ในอังกฤษ และเป็นแผ่นเสียงทองคำแผ่นที่เก้า ด้วยความโด่งดังของเพลง Top Of The World ทำให้ A&M ต้องออกอัลบั้มรวมเพลงฮิต รวมผลงานซิงเกิลจากปี 1969 จนถึงเพลงล่าสุด แคเรนเองไม่พอใจกับการร้องของตัวเองในอัลบั้ม Ticket To Ride มาก โดยเธอได้บันทึกเสียงร้องและกลองใหม่ (แคเรนเล่นตำแหน่งกลองด้วยในการบันทึกเสียงชุด Ticket To Ride) ส่วนริชาร์ดเองได้ให้ Tony Peluso บันทึกเสียงกีตาร์เพิ่มเติมลงในเพลง Ticket To Ride ด้วย ซึ่งก็กลายมาเป็นเวอร์ชันที่คุ้นหูที่สุด (ในอัลบั้มรวมฮิตทั้งหมดจะเป็นเวอร์ชันนี้) อัลบั้ม มียอดจำหน่ายถล่มทลาย สามารถขึ้นอันดับ 1 ได้ทั้งในประเทศอังกฤษและสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอังกฤษอัลบั้มนี้สามารถครองอันดับ 1 ได้นานถึง 17 สัปดาห์ กลายเป็นอัลบั้มที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดอัลบั้มหนึ่งในยุค 70s ทีเดียว
ปี 1974: Live In Japan
หลังจากที่ Top Of The World ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นแล้ว ทีมงาน A&M ได้ปล่อยเพลง จากอัลบั้ม Now And Then ซึ่ง cover งานเพลงเก่าของราชาเพลงคันทรี Hang William ออกเป็นซิงเกิลจำหน่ายในหลายประเทศยกเว้นที่สหรัฐ (ซึ่งริชาร์ดอาจจะไม่ได้คิดถึงในจุดนี้) ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเกินคาดเพราะสามารถขึ้นอันดับที่ 12 ได้ในอังกฤษ รวมถึงมียอดจำหน่ายในระดับแผ่นเสียงทองคำในประเทศญี่ปุ่นและฮอลแลนด์ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฮอลแลนด์เพลง กลายเป็นซิงเกิลที่ขายดีที่สุดของคาร์เพนเทอส์ทีเดียว หลังจากออกอัลบั้ม แล้วพวกเขาแทบไม่มีวัตถุดิบในการทำงานชุดใหม่เหลือเลย อีกทั้งยังเหนื่อยมากจากการทัวร์คอนเสิร์ตที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี ด้วยเหตุนี้ในปี 1974 นี้ พวกเขาจึงยังไม่มีอัลบั้มใหม่ออกมา แต่มีซิงเกิลใหม่ตามออกมานั่นคือ เพลงจากอัลบั้ม ในปี 1972 ด้วยเหตุผลที่คล้ายกันกับ ทำให้เพลงนี้เป็นเพลงที่ 6 ที่ถูกตัดเป็นซิงเกิลจากอัลบั้ม A Song For You (นับรวม Bless The Beasts And Children) ประสบความสำเร็จอย่างดี เมื่อขึ้นชาร์ทอันดับที่ 11 ในสหรัฐ และ 32 ในอังกฤษ (เพลงนี้ขึ้นชาร์ทอันดับที่ 9 ในอังกฤษพร้อมกันกับ Goodbye To Love ในปี 1972 มาแล้วครั้งหนึ่ง) นอกจากนี้เพลงนี้ยังชนะรางวัล "World Disc Grand Prix" ในสาขาซิงเกิลแห่งปี 1974 ในประเทศญี่ปุ่นด้วย ซึ่ง ณ ขณะนี้ความนิยมของวงคาร์เพนเทอส์ในญี่ปุ่นพุ่งสูงขึ้นมากในระดับที่เทียบเท่ากับวง The Beattle ซึ่งในปีนั้นเองพวกเขาได้มีกำหนดการที่จะออกทัวร์คอนเสิร์ตตามประเทศต่าง ๆ ซึ่งแน่นอนหนึ่งในนั้นคือประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม ทำให้ทีมงาน A&M ประจำญี่ปุ่นนำการแสดงสดดังกล่าวมาทำและจัดจำหน่ายเป็นอัลบั้มคู่ ซึ่งก็ได้รับความนิยมและจำหน่ายได้ในระดับแผ่นเสียงทองคำเช่นกัน
ในปลายปี 1974 พวกเขากลับเขาสตูดิโออีกครั้งพร้อมกับบันทึกเสียงซิงเกิลใหม่ เพลง cover จากกลุ่มนักร้องสาวผิวสี Marvelettes โดยได้เรียบเรียงเสียใหม่ให้มีความกระชับกว่าเดิม ผลปรากฏว่า ขึ้นชาร์ทอันดับ 1 ในสหรัฐเป็นเพลงที่ 3 และยังขึ้นชาร์ทอันดับที่ 2 ในอังกฤษ และในอีกหลาย ๆ ประเทศ เพลงนี้ได้รับแผ่นเสียงทองคำในสหรัฐเป็นเพลงที่ 10 ของพวกเขา ริชาร์ดได้กล่าวว่า "เขาเคยคิดว่าเพลง Yesterday Once More เป็นเพลงที่ได้รับความนิยมที่สุดของพวกเขา แต่ตอนนี้ Please Mr. Postman คือเพลงที่โด่งดังที่สุดของพวกเขา" หลังจากนี้พวกเขายังปล่อยเพลง ซึ่งเป็นเพลงคริสต์มาสต์เพลงที่ 2 ของพวกเขาเป็นซิงเกิลถัดมา แม้จะไม่ได้รับความนิยมมากเท่า แต่เพลงนี้ก็ยังขึ้นอันดับ 35 ในฝั่งอังกฤษ ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เอง เป็นช่วงที่แคแรนเริ่มอาการของแอนนอริเซีย เนฟโวซา (Anorexia nervosa) ซึ่งเป็นโรคกลุ่มอาการผิดปกติในเรื่องการกินอาหาร
ปี 1975: Horizon
หลังจาก ประสบความสำเร็จโด่งดังไปทั่วโลกแล้ว ซิงเกิลถัดมา Only Yesterday ซึ่งเป็นผลงานการประพันธ์ของริชาร์ดร่วมกับคู่หู John Bettis เช่นเคย เพลงนี้ขึ้นอันดับ 4 ในสหรัฐ และ 7 ในอังกฤษ และโด่งดังในหลาย ๆ ประเทศ (โดยเพลงนี้ทำให้ริชาร์ดต้องเสียเงินค่าพนันจำนวน 1,000 เหรียญให้กับนักวิศวกรเสียง ด้วยเหตุว่าเขาคิดว่าเพลงนี้ไม่น่าจะดัง) และตามมาด้วยอัลบั้มที่ 6 ของพวกเขา Horizon แต่ช่วงกลางยุค 70s บรรยากาศแนวดนตรีเริ่มเปลี่ยนไป รวมถึงมีนักร้องคลื่นลูกใหม่ออกมาก เช่น ดิ อีเกิ้ล ทำให้ความนิยมของวงคาร์เพ็นเตอร์สในสหรัฐเริ่มลดลง โดยเห็นได้จากชาร์ตอัลบั้มที่ขึ้นไปที่อันดับ 13 แต่ความดังของพวกเขากับเพิ่มขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ เช่น อังกฤษและญึ่ปุ่น ที่ Horizon สามารถขึ้นอันดับ 1 ได้ ซิงเกิลที่ 3 ที่ตัดออกมา ขึ้นอันดับ 17 ในสหรัฐ และ 32 ในอังกฤษ
อย่างไรก็ดี อัลบั้มดังกล่าวก็ยังมียอดจำหน่ายที่ดีในระดับแพลตินั่มในสหรัฐ (เกินล้านแผ่น) อีกทั้งแฟนเพลงและนักวิจารณ์ชื่นชมกับอัลบั้มชุดนี้มากเกี่ยวกับน้ำเสียงและเทคนิคที่แคเรนร้อง (แคเรนใช้คีย์เสียงในระดับฐานของเสียง ซึ่งริชาร์ดบอกไว้ว่าเป็นคีย์เสียงที่ดีและไพเราะที่สุดของแคเรน) ทั้งบทเพลงและดนตรีที่ลงตัว รวมถึงการมิกซ์เสียง แต่อาจเนื่องจากเพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้มชุดนี้จะเป็นบัลลาดหนัก ๆ เสียส่วนใหญ่ ทำให้ในยุคนั้นคนยังนิยมเพลงแนวบุพพาชนเสียส่วนใหญ่ และนอกจากนี้ด้วยคอนเซ็ปของชุดนี้ที่เริ่มจากเพลง Arora และปิดท้ายด้วย Eventide ซึ่งทั้ง 2 เพลงมีทำนองและดนตรีเหมือนกันต่างเพียงเนื้อร้องและด้วยความที่มีความยาวของเพลงสั้นประมาณ 1:33 นาที ทำให้ทั้ง 2 เพลงเหมือนเป็น jingle ที่ทำหน้าที่เปิดและปิดอัลบั้มเท่านั้น ทำให้คนฟังมีความรู้สึกเหมือนว่าชุดนี้มีเพลงเพียงแค่ 8 เพลง แทนที่จะมี 10 เพลงเป็นอย่างน้อยเหมือนชุดอื่น ๆ
ส่วนเพลงอื่น ๆ ที่เป็นที่นิยมของแฟนเพลง เช่น (I'm Caught Between) Goodbye And I Love You, Happy (เป็นเพลงที่มีจังหวะเร็วกว่าเพลงอื่นในชุด ทำให้ริชาร์ดคิดว่าถ้าตัดสินใจใหม่ได้จะเลือกเพลงนี้เป็นซิงเกิลแทน Solitaire) เพลง Love Me For What I Am และเพลง Desperado (งานโคฟเวอร์ของดิ อีเกิ้ล ซึ่งครั้งแรกที่ริชาร์ดได้ยินเพลงนี้หลังการมิกซ์เสร็จก็ตัดสินใจที่จะเลือกเป็นซิงเกิลถัดไปเช่นกัน แต่เนื่องจากมีศิลปินมากมายนำไปโคฟเวอร์แล้ว ความคิดดังกล่าวจึงถูกยกเลิกไป)
ปี 1976: A Kind Of Hush
ในปี 1976 ริชาร์ดค่อนข้างกังวลกับปัญหาในเรื่องของความนิยมต่อวงคาร์เพนเทอส์ในสหรัฐที่กำลังลดลง ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างที่จะตั้งความหวังกับอัลบั้มถัดไปอย่างมาก โดยได้ปล่อยเพลง ซึ่งเป็นการโคฟเวอร์งานเก่าของวง Herman's Hermits ออกมาเป็นซิงเกิลแรก ซึ่งก็ขึ้นชาร์ท 12 ในสหรัฐ และ 22 ในอังกฤษ และตามมาด้วยเพลง ซิงเกิลที่สองอันเป็นผลงานการประพันธ์ของริชาร์ดร่วมกับคู่หู ซึ่งตัวริชาร์ดเองค่อนข้างตั้งความหวังไว้กับเพลงนี้สูงมาก เนื่องจากเป็นเพลงที่เขาตั้งใจแต่งและเพลงนี้ยังเป็นเพลงที่แคเรนชอบมากที่สุดที่เธอได้ร้องไว้ แต่ผลจากความนิยมที่ลดลง ทำให้เพลงดังกล่าวขึ้นชาร์ทได้เพียงอันดับที่ 25 ในสหรัฐ และ 36 ในอังกฤษ (อย่างไรก็ดีเพลงนี้ถูกนำมาตัดเป็นซิงเกิลใหม่ในปี 1995 ในญี่ปุ่น สามารถขึ้นสู่ชาร์ดได้ในอันดับที่ 5 และมียอดจำหน่ายกว่า 4 ล้านแผ่น ซึ่งสูงสุดในยอดจำหน่ายของปีนั้นที่เดียว สร้างปรากฏการณ์ที่หน้าประหลาดใจให้กับริชาร์ดเป็นอย่างมาก) และตามมาด้วยซิงเกิลที่ 3 ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับแฟนเพลงทั่วโลกในการเลือกเพลงนี้มาเป็นซิงเกิล โดยชาร์ทที่ตามมาก็ไม่น่าประหลาดใจ อยู่ในอันดับที่ 56 ในสหรัฐ ทำให้อัลบั้มที่ 7 ของพวกเขา ขึ้นอันดับที่ 33 ในสหรัฐ แต่ยังสามารถรักษาความนิยมในอังกฤษได้อันดับที่ 3 อย่างไรก็ดี ยังมียอดจำหน่ายที่ดีในระดับแผ่นเสียงทองคำในสหรัฐอยู่ เพลงที่ได้รับความนิยมเพลงอื่น ๆ ได้แก่เพลง You เป็นงานโคฟเวอร์เช่นกัน แต่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเพลงที่ดีที่สุดเพลงหนึ่งของวงด้วย ด้วยเสียงร้องที่โด่ดเด่นไพเราะของแคเรน เพลงนี้ได้รับความนิยมมากในประเทศญี่ปุ่น โดยมีแฟนเพลงจำนวนมากคิดว่าเพลงนี้น่าจะออกเป็นซิงเกิล แต่ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลใดที่ทำให้เพลงนี้ไม่ได้ถูกทำเป็นซิงเกิลแต่เลือกเพลง Breaking Up Is Hard To Do เป็นซิงเกิลที่ 3 สำหรับญี่ปุ่นแทน (สร้างความผิดหวังให้กับแฟนเพลงหลายคนทีเดียว ใครทราบสาเหตุรบกวนเล่าให้ฟังด้วยครับ) เพลง Sandy เป็นเพลงโปรดเพลงหนึ่งของริชาร์ด เขาแต่งเพื่อบรรยายถึงแซนดี้ ซึ่งเป็นช่างทำผมและดูแลเครื่องแต่งกาย ให้กับแคเรนและเขาก็เคยมีเดทกันนิดหน่อย (ซึ่งสุดท้ายก็ต้องเลิกกันไปสาเหตุเพราะแคเรนและแอกเนส) เพลง Can't Smile Without You เป็นเพลงที่อยู่แผนการตัดเป็นซิงเกิลเช่นกัน โดยมีการทำออกมาเวอร์ชันในปี 1978 และในปีเดียวกันนั้น Berry Manillow ได้โคฟเวอร์เพลงนี้จนทำให้กลายเป็นเพลงดังที่คนรู้จัก และเพลง I Have You
ขณะเดียวกันในช่วงเวลานี้เองวงคาร์เพนเทอส์มีงานทัวร์คอนเซิร์ททั่วโลกทั้งอังกฤษและญี่ปุ่นแทบเต็มตาราง ทำให้อาการป่วยของแคเรนจากโรคแอนนอริเซีย เนฟโวซา เริ่มแสดงอาการให้เห็นจากการที่เธอเป็นลมล้มลงกลางเวทีหลังจากร้องเพลง จนสุดท้ายต้องยกเลิกการแสดงทัวร์ที่ญี่ปุ่นไป ขณะเดียวกันริชาร์ดก็เริ่มมีอาการเสพติดการใช้ยานอนหลับด้วย
ปี 1977: Passage
เนื่องจากปัญหาความนิยมของวงที่ลดลงในสหรัฐ ทั้งยอดจำหน่ายอัลบั้มและชาร์ทซิงเกิล ประกอบกับช่วงเวลานั้นเป็นยุคทองของเพลงดิสโก้ ส่งผลให้เกิดความกดดันที่มหาศาลกับ ริชาร์ด คาร์เพนเทอร์ ซึ่งทำหน้าที่เกือบทุกอย่างในการผลิตอัลบั้มของวงในตลอดเวลาที่ผ่านมา ทำให้อัลบั้มใหม่นี้เขาไม่ต้องการให้ความนิยมของวงตกต่ำลงโดยไม่มีการจัดการหรือแก้ไขปัญหาอะไร นั่นจึงเป็นที่มาของอัลบั้ม Passage ซึ่งเขาลดบทบาทของเขาลงหลายอย่างและทดลองเพลงหลากหลายแนวทาง ในอัลบัมชุดนี้โดยที่พยายามรักษาความเป็นเอกลักษณ์ของวงคาร์เพนเทอส์เอาไว้โดยไม่ให้อิงไปกับกระแสดิสโก้ เช่น การใช้วงซิมโฟนี่และการประสานเสียงเต็มวง ในเพลง Don't Cry For Me Argentina และ Calling Occupants Of Interplanetary Craft รวมถึงเป็นอัลบั้มแรกที่ไม่มีเพลงที่เขาและคู่หูแต่งอยู่เลย โดยเพลงในชุดนี้จะมีความหลากหลายของแนวเพลงมากที่สุด โดยที่มีเพลง All You Get From Love Is A Love Song เป็นซิงเกิลแรกของอัลบั๊ม ซึ่งขึ้นชาร์ทได้ 35 ในสหรัฐ และตามมาด้วยเพลง Calling Occupants Of Interplanetary Craft ซึ่งเป็นซิงเกิลที่แปลกที่สุดและยาวที่สุดของวง เป็นซิงเกิลที่ 2 ของอัลบั๊ม ซึ่งสามารถขึ้นชาร์ทที่ 32 ในสหรัฐ สามารถขึ้นชาร์ทที่ 9 ได้ในอังกฤษและออสเตรเลีย ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับพวกเขาเป็นอย่างมาก ถัดมาเป็นเพลงคริสต์มาส The Christmas Song (Chestnut Roasting On An Open Fire) (ไม่ได้บรรจุในชุด Passage) และตามด้วยเพลง Sweet, Sweet Smile ในต้นปี 1978 ซึ่งขึ้นอันดับ 44 ในสหรัฐและ 40 ในอังกฤษ และเป็นครั้งแรกที่เพลงของวงสามารถขึ้นชาร์ทเพลงคันทรีได้ (อันดับที่ 9) นอกจากนี้ในอัลบั้ม Passage ยังมีเพลงที่น่าสนใจอีกเพลงคือ I Just Fall In Love Again ซึ่งจริง ๆ แล้วริชาร์ดต้องการจะตัดเพลงนี้เป็นซิงเกิลถัดไปมากกว่า แต่เนี่องจากช่วงเวลาดังกล่าวดีเจที่เปิดแผ่นจะไม่เปิดเพลงที่มีความยาวเกินกว่า 4 นาที คือเพลง I Just Fall In Love Again ซึ่งมีความยาว 4:04 ทำให้เพลงนี้ถูกลืมไป แต่อย่างไรก็ดีในปี 1978 แอน เมอร์เรย์ ได้โคฟเวอร์เพลงดังกล่าวและสามารถขึ้นชาร์ทลำดับที่ 12 ในสหรัฐได้ ต่อมาริชาร์ดทราบว่าเขาตัดสินใจเกี่ยวกับเพลงนี้ผิดไป
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าอัลบั้มชุดนี้จะมีความพยายามที่จะทำให้เกิดความแปลกใหม่อย่างมากมาย แต่ผลตอบรับโดยรวมไม่ได้รับความนิยมดั่งเช่นอัลบั้มในอดีต โดยอัลบั้ม Passage ขึ้นอันดับที่ 49 ในสหรัฐและอันดับที่ 12 ในอังกฤษ และเป็นครั้งแรกที่ยอดจำหน่ายของอัลบั้มต่ำกว่าระดับแผ่นเสียงทองคำ (ตั้งแต่เพลง Close To You จนถึงเพลง A Kind Of Hush ทุกชุดมียอดจำหน่ายเกินทั้งหมด)
ปี 1978: Christmas Portrait
ในปี 1978 พวกเขาเตรียมทำอัลบั้มคริสต์มาสโดยมีการทำรายการทีวีออกมาก่อน ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และตามมาด้วยอัลบั้มเต็ม Christmas Portrait ซึ่งในชุดนี้มีเพลง Merry Christmas, Darling ที่ได้ตัดเป็นซิงเกิลออกมาตั้งแต่ปี 1970 บรรจุอยู่ (ขับร้องใหม่โดยแคเรนในปี 1978) อัลบั้มชุดนี้ขึ้นอันดับที่ 145 ในสหรัฐ โดยมียอดจำหน่ายมากกว่า หนึ่งล้านแผ่นเลยทีเดียว ในยุคนั้นโดยปกติแล้วมีศิลปินไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำอัลบั้มคริสต์มาสแล้วจะได้รับการตอบรับและประสบความสำหรับ ซึ่งอัลบั้ม Christmas Portrait เป็นหนึ่งในอัลบั้มดังกล่าวที่ปัจจุบันยังคงเป็นที่นิยมเปิดกันในเทศกาลคริสต์มาสจนถึงทุกวันนี้ เพลงอื่น ๆ ที่เป็นไฮไลทของชุดนี้ได้แก่ เพลง Ave Maria, White Christmas, Silent Night, Have Yourself A Merry Little Christmas และ Christmas Waltz
ปลายปี 1978 พวกเขาได้บันทึกเสียงเพลงใหม่ ๆ สำหรับเตรียมออกอัลบั้มใหม่ และได้ออกซิงเกิลเพลงใหม่หนึ่งเพลงคือ I Believe You ซึ่งขึ้นอันดับที่ 68 ในสหรัฐ นอกจากนี้ยังออกอัลบั้มรวมเพลงฮิตชุดที่ 2 ชื่อ "The Singles 1974-1978" ซึ่งออกจำหน่ายเฉพาะในอังกฤษ และสามารถขึ้นชาร์ทได้ในอันดับที่ 2 (ขณะนั้นความนิยมของวงในสหรัฐลดลงจึงไม่ได้ออกจำหน่าย)
ปี 1979-1980: อัลบั้มเดี่ยวของแคเรน (Karen Carpenter)
ในช่วงต้นปี 1979 สุขภาพของทั้งคู่ย่ำแย่ลง ทั้งอาการติดยานอนหลับอย่างรุนแรงของริชาร์ด และอาการแอนนอริเซีย เนฟโวซา ของแคเรนก็พัฒนาอาการไปอย่างต่อเนื่อง (ซึ่งจะเห็นได้จากสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพจากหนังสือพิมพ์ วิดีโอ ทีวี) จนริชาร์ดตัดสินใจว่าเขาจะหยุดพักงานเพื่อบำบัดอาการติดยานอนหลับของเขาให้หายดีก่อน รวมถึงอาการป่วยของแคเรนด้วย แล้วจึงค่อยกลับเข้าห้องบันทึกเสียงใหม่ โดยที่แคเรนเองก็ต้องเข้ารับการบำบัดที่โรงพยาบาลในเมืองนิวยอร์ก ซึ่งตัวแคเรนไม่ค่อยเห็นด้วยกับพี่ชายนักในเรื่องการพักการออกอัลบั้มใหม่ ทำให้เธอตัดสินใจทำงานเดี่ยวไปด้วยในช่วงที่เธอพักรักษาตัว โดยได้ฟิล รามอน มาเป็นโปรดิวเซอร์ อัลบั้มดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นงานเพลงที่แต่งเองจากนักดนตรีที่ร่วมงานในขณะนั้น ทำให้เพลงส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องคุณภาพ อีกทั้งฟิล รามอน เองก็อยากให้เสียงร้องของแคเรนในงานเดี่ยวมีความแตกต่างจากที่เป็นแคเรนในนามของวงคาร์เพนเทอส์ ดังนั้นเมื่ออัลบั้มเสร็จออกมาจึงมีความแตกต่างจากงานที่เคยทำร่วมกับพี่ชายมาก ไม่ว่าจะเป็นดนตรี การเรียบเรียง เนื้อเพลง รวมถึงวิธีการร้องของแคเรนด้วย (ชุดนี้มีกลิ่นไอของดิสโก้อยู่มาก ซึ่งริชาร์ดได้เคยพูดห้ามในเรื่องนี้เอาไว้) ผลคือทำให้เมื่อนำเดโมที่เสร็จแล้วไปให้ริชาร์ดและผู้บริหารบริษัทเอแอนด์เอ็มฟัง ก็ไม่เป็นที่ประทับใจเท่าไหร่ ทำให้เธอตัดสินใจที่จะระงับการจำหน่ายอัลบั้มเดี่ยวดังกล่าวของเธอ (ซึ่งสร้างความสะเทือนใจกับแคเรนเป็นอย่างมาก) การทำอัลบั้มดังกล่าวยังใช้เงินส่วนตัวของแคเรนไปถึง 400,000 เหรียญสหรัฐด้วย
อัลบั้มดังกล่าวเสร็จสิ้นในปี 1980 แต่ถึงแม้ว่าแคเรนจะเสียชีวิตแล้วในปี 1983 ไปแล้วก็ตามแต่อัลบั้มดังกล่าวก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจำหน่าย แม้ว่าแฟนเพลงจำนวนมาก (ที่ทราบว่าอัลบั้มดังกล่าวมีอยู่จริง ๆ) ได้เขียนจดหมายถึงริชาร์ดว่าต้องการให้ออกจำหน่าย ซึ่งสุดท้ายแล้วอัลบั้ม Karen Carpenter ก็ได้ฤกษ์ออกจำหน่ายในปี 1996 ซึ่งหลาย ๆ เพลงในอัลบั้มชุด Karen Carpenter ก็มิได้แย่จนถึงขั้นที่จะต้องถูกระงับการจำหน่ายเลย ในอัลบั้มนี้มีซิงเกิลหนึ่งเพลงคือเพลง If I Had You (ริชาร์ดได้ให้ความคิดเห็นว่าเป็นเพลงที่ดีที่สุดในชุด แต่โดยความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนรู้สึกชอบ My Body Keeps Changing My Mind และ Making Love In The Afternoon มากกว่า) อย่างไรก็ดีริชาร์ดได้นำเอาเพลง 4 เพลงจากงานเดี่ยวดังกล่าวมาบรรจุไว้ในอัลบั้ม Loveliness (1989) ของวงคาร์เพนเทอส์ด้วย (Loveliness, If We Try, Remember When Loving' Took All Night และ If I Had You)
ในกลางปี 1980 แคเรนได้พบรักและแต่งงานกับนักธุรกิจ โทมมัส เบอริส โดยงานจัดที่ Crystal Room of the Beverly Hills Hotel และมีเพลงที่แต่งสำหรับงานดังกล่าว Because We Are in Love (The Wedding Song) ซึ่งบรรจุอยู่ในอัลบั้ม Made In America
ปี 1981: Made In America
หลังจากการบำบัดอาการติดยานอนหลับของริชาร์ดจนหายดี และการเสร็จสิ้นการรักษาอาการแอนนอริเซีย เนฟโวซา ของแคเรน (ซึ่งยังไม่ได้หายขาด) พวกเขาก็เตรียมตัวเข้าห้องบันทึกเสียงเพื่อออกอัลบั้มใหม่เลย นั่นคืออัลบั้ม Made In America โดยเริ่มจากเพลง Touch Me When We're Dancing เป็นซิงเกิลที่ 2 (I Believe You เป็นซิงเกิลแรก) ได้รับการตอบรับดีในระดับหนึ่ง (อันดับที่ 16 ในสหรัฐ และเป็นเพลงฮิต top 20 เพลงสุดท้าย) โดยริชาร์ดไม่ค่อยพอใจกับอันดับชาร์ทมากนักเนื่องจากเพลงนี้เป็นเพลงที่ดีที่น่าจะสามารถได้รับความนิยมในระดับ top 5 ได้ แต่เนื่องจากขณะนั้นมันพ้นช่วงยุคทองของวงไปแล้ว (ดีเจไม่ค่อยโปรโมตเพลงของวงคาร์เพนเทอส์ เพราะไม่ใช่เพลงในแนวกระแสในช่วงยุค 80) เพลงถัดมา (Want You) Back in My Life Again ขึ้นอันดับ 72 ในสหรัฐ ตามมาด้วยเพลง Those Good Old Dreams ขึ้นอันดับ 63 ในสหรัฐ (ริชาร์ดให้ความเห็นเกี่ยวกับเพลงนี้ว่าน่าจะขึ้นชาร์ทได้สูงกว่านี้) และเพลง Beech wood 4-5789 ขึ้นอันดับ 74 ในสหรัฐ (และเป็นเพลงสุดท้ายที่สามารถขึ้นชาร์ท top 100 ในสหรัฐได้) Made In America ไต่ชาร์ทอันดับที่ 52 ในสหรัฐและ 12 ในอังกฤษ
ปี 1983: Voice Of The Heart แคเรนเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ
ปลายปี 1982 อาการแอนนอริเซีย เนฟโวซา ของแคเรนก็ยังไม่ดีขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากน้ำหนักของแคเรนที่ลดลงอย่างมาก (ประมาณ 35 กิโลกรัม) ประกอบกับการที่เธอไม่ได้กลับมาทานอาหารอย่างปกติ แต่ใช้วิธีการฉีดสารอาหารเข้าสู่หลอดเลือดทำให้น้ำหนักของเธอกลับมาอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยพฤติกรรมการไม่ทานอาหาร การใช้สารทำให้อาเจียร (บูลิเมียร์) หลังจากทานอาหารเสร็จ รวมถึงการใช้การกลุ่มกระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์เพื่อเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานก็ยังเป็นอยู่ ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบต่อทั้งหลอดเสียงของเธอ ยังทำให้เกิดปัญหาหลอดเลือดแดงที่หัวใจบางและเปราะ รวมถึงกระตุ้นให้หัวใจทำงานหนัก (ปกติแล้วร่างกายคนที่ขาดอาหารจะไปลดอัตราการเต้นของหัวใจรวมถึงเมแทบอลิซึมเพื่อลดการใช้พลังงานลง แต่การใช้สารกระตุ้นการทำงานของหัวใจกับสภาพร่างกายของแคเรนที่ขาดสารอาหารยิ่งไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานมากขึ้น) ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะสมและค่อย ๆ ทำลายกล้ามเนื้อหัวใจของเธอเรื่อยมาจนวันหนึ่ง
ในคืนก่อนวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 1983 แคเรนได้โทรศัทพ์ไปคุยกับ ฟิล รามอน โดยเธอถามถึงอัลบั้มเดี่ยวที่เขาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ โดยถามเขาว่า "อัลบั้มดังกล่าวมันแย่มากเลยเหรอ?" ก่อนที่จะได้รับคำตอบแล้วจบบทสนทนาสุดท้ายกันไป และในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1983 ก่อนวันเกิดครบรอบ 33 ปีของแคเรนไม่กี่อาทิตย์ เธอล้มฟุบลงกับพื้นห้องแต่งตัวที่บ้านของ แอกเนส แม่ของเธอ ก่อนที่จะมีคนพบและเรียกรถพยาบาลมารับตัวเธอ ซึ่งวันนั้นจะเป็นวันที่เธอต้องไปจดทะเบียนหย่าโดยมีแอกเนสไปเป็นเพื่อน หลังจากนั้นทางโรงพยาบาลได้แจ้งว่าเธอได้เสียชีวิตแล้ว ด้วยสาเหตุหัวใจล้มเหลว ซึ่งข่าวดังกล่าวกลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกทั้งเรื่องการเสียชีวิตของเธอ และโรคแอนนอริเซีย เนฟโวซา ที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงในสหรัฐอย่างมากมาย (ประมาณ 50% ของผู้หญิงทั้งหมด) ซึ่งทำให้สหรัฐตื่นตัวกับโรคดังกล่าวอย่างจริง ๆ จัง ๆ และที่หน้าหลุมฝังศพของเธอมีการจารึกไว้ว่า "A star on earth - A star in heaven" และในเดือนตุลาคม 1983 วงคาร์เพนเทอส์ก็ได้รับการจารึกชื่อไว้ที่ star on the Hollywood Walk of Fame ด้วย
ในปี 1983 ริชาร์ดได้ออกอัลบั้ม Voice Of The Heart ซึ่งเป็นการรวบรวมงานเพลงที่ยังไม่ได้นำออกมาจำหน่าย ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพลงที่ถูกคัดออกจากอัลบั้มต่าง ๆ จากปี 1976 จนถึง 1981 โดยมีเพลงที่ร้องใหม่สำหรับชุดนี้จริง ๆ 2 เพลง (แคเรนร้องไว้ก่อนเสียชีวิต) คือ Now (เพลงสุดท้ายที่แคเรนร้องในห้องอัดเสียง) และ Your Baby Doesn't Love You Anymore (จากคำวิจารณ์ของแฟนเพลงหลายคนรวมถึงผู้เขียนต่างเห็นฟ้องต้องกันว่าเพลงในชุดนี้หลายเพลงมีคุณภาพดีกว่า Made In America หรือ Passage ด้วยซ้ำ) ซิงเกิลแรกของชุดนี้คือ Make Believe It's Your First Time (101 ในสหรัฐ และ 60 ในอังกฤษ) และตามมาด้วย Your Baby Doesn't Love You Anymore เป็นซิงเกิลที่ 2 Voice Of The Heart ขึ้นชาร์ทอันดับที่ 46 ในสหรัฐ และ 6 ในอังกฤษ โดยมียอดจำหน่ายในระดับแผ่นเสียงทองคำทั้งในสหรัฐและอังกฤษ นอกจากนี้ยังมีเพลงที่สำคัญเพลงอื่น ๆ ได้แก่ Look To Your Dreams (เป็นเพลงที่แคเรนขอร้องให้ริชาร์ดแต่งให้ แต่เนื่องจากตัวเพลงมีกลิ่นไอเพลงเก่าทำให้เพลงนี้ไม่ถูกนำมาบรรจุไว้ในอัลบั้มก่อนหน้านี้ Look To Your Dreams กลายเป็นเพลงที่แอกเนส มารดาของพวกเขาชอบมากที่สุด), At The End Of A Song, Sailing On The Tide และ You're Enough
ปี 1984: An Old-Fashioned Christmas
เนื่องจากโครงการทำอัลบั้ม Christmas Portrait พวกเขาได้บันทึกเสียงไปจำนวนหลายเพลงมาก ทำให้มีหลายเพลงที่ยังไม่ได้นำมาใช้ ในปีถัดมา ริชาร์ดได้จัดการมิกซ์ดนตรีของเพลงที่เหลือซึ่งแคแรนร้องไว้จำนวน 6 เพลง รวมกับที่ริชาร์ดบันทึกเสียงใหม่อีก 7 เพลง และอีก 1 เพลงเก่าที่พวกเขาเคยตัดเป็นซิงเกิลไว้แล้วในปี 1974 Santa Claus Is Comin' to Town มารวมไว้ในอัลบั้มคริสต์มาสชุดที่ 2 An Old-Fashioned Christmas ซึ่งชุดนี้มีเพลง Little Altar Boy ตัดเป็นซิงเกิล โดยมีเพลง Do You Hear What I Hear? เป็น B-side
ปี 1989: Loveliness
ในปี 1989 ได้มีการสร้างภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง "The Karen Carpenter Story" ซึ่งได้รับความนิยมสูง ทำให้อัลบั้มเก่าต่าง ๆ ของวงคาร์เพนเทอส์ได้รับความสนใจอย่างมากและทำให้ยอดจำหน่ายสูง (ตั้งแต่ปี 1989 - 1991) สื่อต่าง ๆ ให้การยอมรับผลงานของพวกเขาในด้านความไพเราะความเป็นอมตะมากขึ้น ในปีนั้นเองริชาร์ดได้วางแผนออกอัลบั้มถัดมาของวง Loveliness อัลบั้มนี้คล้ายกับอัลบั๊ม Voice Of The Heart คือเป็นการรวมเพลงที่ถูกคัดทิ้ง (ไม่ได้ถูกนำมาใช้) มีหลายเพลงที่นำมาจากทีวีซีรีส์ที่คาร์เพนเทอส์เป็นโฮส และอีก 4 เพลงจากอัลบั้มเดี่ยวของแคเรน (Karen Carpenter) ซึ่งซิงเกิลในชุดนี้คือ Honolulu City Lights ซื่งได้ตัดออกมาแล้วในปี 1985 เพลงหลายเพลงในชุดนี้กลายเป็นเพลงที่แฟนเพลงชื่นชอบ เช่น Where Do I Go From Here?, When I Fall In Love, Little Girl Blue, Slow Dance, You're The One และ Kiss Me The Way You Did Last Night (Kiss Me The Way You Did Last Night บันทึกเสียงในช่วงอัลบั้ม Made In America แต่ด้วยความที่เพลงนี้ยากต่อการมิกซ์เสียงและสมัยนั้นเทคโนโลยียังไม่ทันสมัย ทำให้ไม่ได้บรรจุอยู่อัลบั้มดังกล่าว แต่หลังจากที่มีเทคโนโลยีใหม่มาช่วยเพลงนี้จึงมีโอกาสให้แฟนเพลงได้รับฟังกัน) อัลบั้มชุดนี้ขึ้นอันดับ 73 ในอังกฤษ โดยแฟนเพลงหลายคนให้คำวิจารณ์ชื่นชอบอัลบั้มชุดนี้เช่นกัน
ปี 1994: Interpretations
ด้วยเหตุที่ริชาร์ดมีโปรเจกต์การออกอัลบั้ม Karaoke เพื่อจำหน่ายในญี่ปุ่น ในช่วงที่เตรียมเทปมาสเตอร์สำหรับโปรเจกต์ ริชาร์ดได้รื้อพบเทปที่ถูกลาเบลไว้ว่า "Only Yesterday" ซึ่งเมื่อนำมาตรวจสอบดูพบว่า เป็นเพลง Tryin' To Get The Feeling Again ที่แคเรนเคยร้องไว้ในปี 1975 ช่วงทำอัลบั้ม Horizon ซึ่งไม่ได้ถูกบรรจุไว้ในชุดนั้น แต่จากการลาเบลผิดและเก็บไว้ผิดที่จึงทำให้ต้นฉบับเพลงนี้ถูกลืม
เพลง Tryin' To Get The Feeling Again ถูกร้องไว้ครั้งแรกโดยแคเรน แต่เนื่องจากไม่ได้บรรจุใน Horizon และถูกเก็บลืม ซึ่งแคเรนได้ร้องเอาไว้ก่อนที่ Berry Manilow จะบันทึกเสียงและได้รับความนิยมในปี 1978 (3 ปีให้หลัง) จากเหตุผลนี้เองจึงเป็นที่มาของอัลบั้มชุดนี้ "Interpretations" และนอกจากนี้ยังเป็นการฉลองครบรอบ 25 ปี ที่วงคาร์เพนเทอส์ได้เซ็นสัญญาอยู่กับค่าย A&M ด้วย ภาพรวมของชุดนี้จะประกอบไปด้วยเพลงเก่าที่ริชาร์ดไม่ได้แต่งเอง 18 เพลง ทั้งที่เป็นเพลงฮิตและไม่ใช่ (หมายถึงการตีความหมายของเพลงที่พวกเขาเอามาร้องตามสไตล์ของคาร์เพนเทอส์) รวมกับ 3 เพลงใหม่ โดยที่ 2 เพลงจะมาจากรายการทีวี และเพลง Tryin' To Get The Feeling Again ซึ่งถูกตัดเป็นซิงเกิลออกมา สามารถขึ้นอันดับ 44 ในอังกฤษ อัลบั้มขึ้นได้ถึงอันดับที่ 29 ในอังกฤษ
ปี 1996: Karen Carpenters
จากผลงานอัลบั้มเดี่ยวในปี 1979-1980 ของแคเรนที่ถูกระงับการจำหน่าย ด้วยการตกลงกันอย่างลงตัวระหว่างโปรดิวเซอร์ ฟิล รามอน และริชาร์ด ทำให้อัลบั้ม Karen Carpenter มีโอกาสได้ออกจำหน่ายจริง ๆ ในปี 1996 ซึ่งแฟนเพลงจำนวนเผ้ารออัลบั้มชุดนี้ตลอด นอกจาก If I Had You ที่ถูกตัดเป็นซิงเกิลในปี 1989 แล้ว ยังมีเพลง Make Believe It's Your First Time (ในเวอร์ชันก่อน Voice Of The Heart) ที่จำหน่ายเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น เพลงที่เป็นไฮไลทของชุดนี้ ได้แก่ My Body Keeps Changing My Mind, Making Love In The Afternoon, Still Crazy After All These Years Lovelines และ If We Try นอกจากนี้ยังมีเพลงที่เหลือจากโปรเจกต์งานเดี่ยวอีกนับสิบเพลงที่ยังไม่ได้มีการผสมเสียง (ลองหาดาวน์โหลดฟังดู) ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะมาการปล่อยออกมาจำหน่ายอย่างเป็นทางการหรือไม่
ปี 2001: As Time Goes By
ริชาร์ดได้กล่าวไว้ว่าอัลบั้ม As Time Goes By เป็นสตูดิโออัลบั้มสุดท้ายของวงคาร์เพนเทอส์ เพลงส่วนใหญ่ถูกนำมาจากรายการทีวีต่าง ๆ บางเพลงเป็นเดโมสมัยช่วงยุคก่อนวงคาร์เพนเทอส์ (ก่อน 1969) บางเพลงมาจากการร้องสดในห้องส่ง โดยมี 2 เพลงเป็นเพลงที่ถูกคัดทิ้งจากอัลบั้มชุด Made In America และกลายเป็นซิงเกิลหนึ่งเดียวที่ทำหน่ายเฉพาะในญี่ปุ่น คือ The Rainbow Connection เพลงนี้เพลงเป็นหนึ่งที่แฟนเพลงได้ส่งจดหมายไปหาริชาร์ดให้นำเพลงนี้ออกมาจำหน่าย เนื่องจากมีแฟนเพลงกลุ่มหนึ่งทราบว่าแคเรนได้ร้องเอาไว้แต่ไม่ได้นำมาบรรจุไว้ในอัลบั้มชุดใด เพลงนี้ขึ้นอันดับที่ 47 ในญี่ปุ่น อัลบั้มนี้สามารถขึ้นอันดับที่ 18 ในญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีเพลงที่น่าสนใจ เช่น Leave Yesterday Behind, You're Just In Love และ And When He Smile (ร้องสด) และใน As Time Goes By จะมีเพลงเมดเลย์ที่แคเรนได้ร้องดูเอ็ดไว้กับสุดยอดนักร้องหญิงอเมริกัน Ella Fitzgerald ผู้ที่ได้รับสมญาว่า The First Lady Of Song อีกด้วย
รางวัลและความสำเร็จ
คาร์เพนเทอส์ มีเพลงอันดับ 1 บนชาร์ทบิลบอร์ดอยู่ 3 เพลง บนชาร์ทซิงเกิล 100 อันดับของฝั่งสหรัฐ ได้แก่ (They Long To Be) Close To You, Top Of The World และ Please Mr.Postman มีเพลงอันดับท๊อป 10 อยู่ 9 เพลง บนชาร์ทซิงเกิล 100 อันดับ ได้แก่ We've Only Just Begun (2), For All We Know (3), Rainy Days And Mondays (2), Superstar (2), Hurting Each Other (2), Goodbye To Love (7), Sing (3), Yesterday Once More (2) และ Only Yesterday (4) และ อันดับ 1 อีก 15 เพลงบนชาร์ท Adult Contemporary Singles Charts คาร์เพนเทอส์มียอดขายอัลบั้มและซิงเกิล รวมกันมากกว่า 100 ล้านชุด ปัจจุบันเพลง We've Only Just Begun และ (They Long To Be) Close To You ได้ถูกบรรจุอยู่ใน Hall of fame
ตลอดระยะเวลา 14 ปี คาร์เพนเทอส์ออกอัลบั้มอยู่ 11 ชุด มี 4 อัลบั้มที่มีเพลงติดใน 5 อันดับแรกบนชาร์ทคือ Close to You (2), Carpenters (2), A Song for You (4) และ Now & Then (2) โดยมีอัลบั้มรวมเพลง The Singles 1969-1973 ขึ้นอันดับหนึ่งทั้งฝั่งสหรัฐและอังกฤษ และออกซิงเกิล 40 ซิงเกิล , รายการโทรทัศน์ภาคพิเศษ 5 ครั้ง และออกละครโทรทัศน์ 1 ครั้ง พวกเขายังทัวร์ไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐ อังกฤษ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ฮอลแลนด์ และเบลเยี่ยม จนกระทั่งแคเรนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1983 ปัจจุบันพวกเขามียอดจำหน่ายแผ่นมากกว่า 100 ล้านแผ่นทั่วโลก
อัลบั้ม
ปีคศ. | ชื่ออัลบั้ม | ชาร์ท | หมายเหตุ |
---|---|---|---|
1969 | Offering/Ticket To Ride (re-title) | 150 US | Studio album |
1970 | Close To You | 2 US | Studio album |
1971 | Carpenters | 2 US | Studio album |
1972 | A Song For You | 4 US | Studio album |
1973 | Now & Then | 2 US | Studio album |
1970 | The Singles 1969-1973 | 1 US | Compilation |
1974 | Live In Japan | - | Live album |
1975 | Horizon | 13 US | Studio album |
1976 | A Kind Of Hush | 33 US | Studio album |
1976 | Live At The Palladium | - | Live album |
1977 | Passage | 49 US | Studio album |
1978 | The Singles 1974-1978 | - | Compilation |
1978 | Christmas Portrait | 145 US | Studio album |
1981 | Made In America | 52 US | Studio album |
1983 | Voice Of The Heart | 46 US | Studio album |
1984 | An Old Fashioned Christmas | 190 US | Studio album |
1985 | Yesterday Once More | - | Compilation |
1989 | Lovelines | - | Studio album |
1990 | Only Yesterday (a.k.a. Their Greatest Hits) | - | Compilation |
1991 | From The Top | - | Compilation + unrelease |
1994 | Interpretation | - | Compilation + unrelease |
1996 | Karen Carpenter | - | Studio album |
1997 | Love Songs | 106 US | Compilation |
2001 | As Time Goes By | - | Studio album |
2002 | Essential Collection | - | Compilation + unrelease |
2004 | Gold: 35th Anniversary Edition | 101 US | Compilation + unrelease |
2006 | The Ultimate Collection | - | Compilation |
2009 | 40/40 | 21 UK | Compilation |
ซิงเกิล
ปีคศ. | ชื่อเพลง | ชาร์ท | อัลบั้ม | หมายเหตุ |
---|---|---|---|---|
1966 | Looking for Love | - | From The Top / Essential Collection | ซิงเกิลแรกของแคเรน |
1969 | Ticket to Ride | 54 US | Offering / Ticket to Ride | - |
1970 | (They Long To Be) Close To You | 1 US / 6 UK | Close to You | Gold record |
1970 | We've Only Just Begun | 2 US / 28 UK | Close to You | Gold record |
1970 | Merry Christmas, Darling | 45 UK | Christmas Portrait | - |
1971 | For All We Know | 3 US / 18 UK | Carpenters | Gold record |
1971 | Rainy Days and Mondays | 2 US / 63 UK | Carpenters | Gold record |
1971 | Superstar | 2 US / 18 UK | Carpenters | Gold record |
1971 | Bless the Beasts and Children | 67 US | A Song For You | double-A side กับ Superstar |
1971 | Hurting Each Other | 2 US | A Song For You | Gold record |
1972 | It's Going to Take Some Time | 12 US | A Song For You | - |
1972 | Goodbye to Love | 7 US / 9 UK | A Song For You | - |
1973 | Sing | 3 US | Now & Then | Gold record |
1973 | Yesterday Once More | 2 US / 2 UK | Now & Then | Gold record |
1973 | Top of the World | 1 US / 5 UK | A Song For You | Gold record |
1973 | Jambalaya (On the Bayou) | 12 UK | Now & Then | ไม่ได้ตัดเป็นซิงเกิลในสหรัฐ |
1974 | I Won't Last a Day Without You | 11 US / (9/32) UK | A Song For You | - |
1974 | Please Mr. Postman | 1 US / 2 UK | Horizon | Gold record |
1974 | Santa Claus Is Comin' to Town | 35 UK | An Old-Fashioned Christmas | - |
1975 | Only Yesterday | 4 US / 7 UK | Horizon | - |
1975 | Solitaire | 17 US / 32 UK | Horizon | - |
1976 | There's a Kind of Hush | 12 US / 22 UK | A Kind Of Hush | - |
1976 | I Need to Be in Love | 25 US / 36 UK | A Kind Of Hush | - |
1976 | Goofus | 56 US | A Kind Of Hush | - |
1977 | All You Get from Love Is a Love Song | 35 US | Passage | - |
1977 | Calling Occupants of Interplanetary Craft | 32 US / 9 UK | Passage | - |
1977 | The Christmas Song (Chestnuts Roasting on an Open Fire) | - | Christmas Portrait | - |
1978 | Sweet, Sweet Smile | 44 US / 40 UK | Passage | - |
1978 | I Believe You | 68 US | Made In America | - |
1981 | Touch Me When We're Dancing | 16 US | Made In America | - |
1981 | (Want You) Back in My Life Again | 72 US | Made In America | - |
1981 | Those Good Old Dreams | 63 US | Made In America | - |
1981 | Beechwood 4-5789 | 74 US | Made In America | - |
1983 | Make Believe It's Your First Time | 101 / 60 UK | Voice OF The Heart | - |
1983 | Your Baby Doesn't Love You Anymore | - | Voice OF The Heart | - |
1984 | Little Altar Boy | - | An Old Fashioned Christmas | - |
1985 | Honolulu City Lights | - | Lovelines | - |
1989 | If I Had You | - | Karen Carpenter | - |
1991 | Let Me Be the One | - | Carpenters | Promo-CD |
1994 | Tryin' to Get the Feeling Again | 44 UK | Interpretation | - |
2001 | The Rainbow Connection | 47 JP | As Time Goes By | ไม่ได้ตัดเป็นซิงเกิลในสหรัฐ |
อ้างอิง
- Erlewine, Stephen Thomas. "Billboard - The Carpenters Biography". Billboard. สืบค้นเมื่อ 2007-12-28.
- Carpenter, Richard (2005). "Carpenters Biography 2005". The Carpenters Official Website. pp. 1–10. สืบค้นเมื่อ 2007-11-30.
- Coleman, Ray The Carpenters: The Untold Story Harpercollins New York 1994
- Tobler, John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998
- Coleman, Ray The Carpenters: The Untold Story Harpercollins New York 1994
- Tobler, John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998
- Coleman, Ray The Carpenters: The Untold Story Harpercollins New York 1994
- Tobler, John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998
- Coleman, Ray The Carpenters: The Untold Story Harpercollins New York 1994
- Tobler, John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998
- Coleman, Ray The Carpenters: The Untold Story Harpercollins New York 1994
- Tobler, John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998
- Coleman, Ray The Carpenters: The Untold Story Harpercollins New York 1994
- Tobler, John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998
- Coleman, Ray The Carpenters: The Untold Story Harpercollins New York 1994
- Tobler, John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998
- Coleman, Ray The Carpenters: The Untold Story Harpercollins New York 1994
- Tobler, John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998
- Coleman, Ray The Carpenters: The Untold Story Harpercollins New York 1994
- Tobler, John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998
- Coleman, Ray The Carpenters: The Untold Story Harpercollins New York 1994
- Tobler, John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998
- Coleman, Ray The Carpenters: The Untold Story Harpercollins New York 1994
- Tobler, John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998
- Coleman, Ray The Carpenters: The Untold Story Harpercollins New York 1994
- Tobler, John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998
- Coleman, Ray The Carpenters: The Untold Story Harpercollins New York 1994
- Tobler, John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998
- Coleman, Ray The Carpenters: The Untold Story Harpercollins New York 1994
- Tobler, John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998
- Coleman, Ray The Carpenters: The Untold Story Harpercollins New York 1994
- Coleman, Ray The Carpenters: The Untold Story Harpercollins New York 1994
- Coleman, Ray The Carpenters: The Untold Story Harpercollins New York 1994
Coleman, Ray The Carpenters: The Untold Story Harpercollins New York 1994
Tobler, John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
bthkhwamnixactxngkartrwcsxbtnchbb indaniwyakrn rupaebbkarekhiyn kareriyberiyng khunphaph hruxkarsakd khunsamarthchwyphthnabthkhwamidbthkhwamniekhiynkhundwymummxngkhxngaefnkhlb sungxacmienuxhamummxngdanediywhruximepnsaranukrm oprdchwyknaekikhephuxihbthkhwammikhunphaphdiyingkhunaelaepnklangbthkhwamnixangxingkhristskrach khristthswrrs khriststwrrs sungepnsarasakhykhxngenuxha kharephnethxs xngkvs Carpenters epnwngdntrisychatixemriknsungprakxbdwysmachikthiepnphinxngkn khux aekhern kharephnethxr aela richard kharephnethxr epnwngdntrithiidrbkhwamniyminyukh 70 aemwainchwngyukhthswrrsthi 70 camikraaesngkhwamniymephlngrxk aetrichardaelaaekhern kthaephlnginrupaebbthiaetktang dwykhunphaphkhxngnaesiyngthiepnhnunginyukh 70s khxngaekhern aelakareriyberiyngesiyngprasanxnsudyxdkhxngrichard thaihbthephlngphwkekhayngkhngidrbkhwamniymmacnthungthukwnniaelasamarththayxdkhaymakthisudtlxdkalkharephnethxsprathanathibdinikhsnechiyihaesdngdntriiniwtehaskhxmulphunthanthiekidlxsaexneclis aekhlifxreniy shrthxemrikaaenwephlngpxp sxfthrxk ephlngrwmsmychwngpi1969 1983khayephlngA amp Msmachikaekhern kharephnethxr hwhnawng rxnghwhnawngprawticuderimtn richard kharephnethxr Richard Carpenter ekidwnthi 15 tulakhm 1946 thiemuxng New Heaven Connecticut swnaekhern kharephnethxr Karen Carpenter phuepnnxngsaw ekidwnthi 2 minakhm 1950 thiemuxng New Heaven Connecticut echnkn khrxbkhrwprakxbipdwy Harold Carpenter phuepnphx aela Agnes Carpenter phuepnaem epnkhrxbkhrwkhnchnklanginshrth tngaetsmyedk richardchxbthicakhlukxyukbhxngekbaephnesiyngkhxngphxsungepnkhnthichxbsasmaephnesiyngtang odyrichardcachxbfukelnepiyonmakkwaxxkipelnfutbxlehmuxnedkkhnxun aetekhakmiphrswrrkhthangdntriihehntngxayuyngnxy sungepnthichunchmkhxng Agnes phuepnaemepnxyangmak walukchayepnkhnekngaelamikhwamepnxcchriyathangdntri thungaemwaaekherncamiphrswrrkh aetkhnannyngimmiikhrmxngehn emuxricharderimeriyninsakhadntri ekhasnicinkaraetngaelaeriyberiyngesiyngprasan inkhnathiaekhernphuepnnxngsawcamilksnaepnthxmbxythichxbxxkipelnkilaklangaecng ethxmkcatamrichardesmx ephraarichardkhuxkhnthiethxechuxaelaepnehmuxnixdxlkhxngethx emuxricharderimelndntricungepnaerngphlkdnihethxelndntridwy odyinpi 1965 aekhernfukelnklxngchudephuxihsamarthrwmwngkbphichayid nxkcakniethxyngsamarthelnebsid cakkarsxnkhxng Gary Sims sungepnsmachikkhnhnunginwng aelayngepnephuxnchaykhxngethx n txnnndwy pi 1965 1968 Richard Carpenter Trio Spectrum erimkxtngwngkhrngaerkinpi kh s 1965 odymismachik 3 khn khux richard aekhern aela ews cakhxps sungepnephuxnkhxngrichard chuxwa wngrichard kharephnethxr thriox elnephlngaecs richard epiyon aekhern klxng aela ews cakhxps ebsaelathuba inpi 1966 oc xxsbxrn phusungepnecakhxngkhayephlng Magic Lamp Records thiepnkhayephlngelk sanknganddaeplngcakorngrth snicinnaesiyngkhxngaekhern cungidrbepnsilpininsngkd aelaidxxksingekilchux Looking For Love praman 500 aephnethann aetimprasbkhwamsaercenuxngcakkhadkaropromtkhxngkhay inklangpi 1966 wngrichardkharephnethxrthrioxidekhaaekhngkhnraykar Hollywood Bowl Battle of the Bands aelachnaelisinraykardngklaw thaihphwkekhaidrbkhwamsnicaelaesnsyyaekhasngkd RCA Records phwkekhaidbnthukesiynghlayephlngdwykn aetenuxngcakrupaebbthithaxxkmaimidepniptamkraaesniymkhxngtladchwngnn sungephlngrxkaexndorlyngepnthiniymxyangmak thaihphwkekhathukrangbkarxxkxlbm inpi 1967 richardidtngwngkhunmaihminchux Spectrum aelayubwnginpi 1968 pi 1969 1970 Offering Close To You aetxyangirkdi richardidtdsinicthangandntrithnghmddwytwexngkhunma inchux kharephnethxrs tngchuximihmi edxa nahna enuxngcakimtxngkarihehmuxnchuxwngdntrixun thiidrbkhwamniymkhnann odyphwkekha richardaelaaekhern thanganknexngthnghmd thngkaraetngenuxrxng thanxng eriyberiyngdntri brrelng rxngna aela rxngprasan dwykhwamthirichardechuxmninnaesiyngkhxngaekhern wasamarthepnnkrxngnaid ekhaidsngethpedomipyngkhayephlngtang cninthisud Herb Alpert ecakhxngkhay A amp M Records idsadudkbkareriyberiyngdntrikhxngrichard aelanaesiyngkhxngaekhern odyechphaaxyangyingnaesiyngkhxngaekhernprathbic Herb Alpert epnxyangmak thaih Herb Alpert tklngicthicarbihphwkekhaekhamaepnsilpininsngkdintnpi 1969 aelainplaypinnexngkidxxkxlbmaerkinnamkhxngwngkharephnethxrs Offering epliynchuxaelapkepn Ticket To Ride tamsingekilaerkthiidrbkhwamniyminpi 1970 epnxlbmaerkkhxngphwkekha odymiephlng sung cover macak The Beatles plxymaepnsingekilaerk odyidnamaeriyberiyngdntriihmthnghmd cakephlngerwklayepnblladcha thiimehmuxnkhxngedimely Ticket To Ride tidcharthxndbthi 54 khxngshrth xlbmdngklawmiyxdkhaythiimmaknk phayhlngmikarxxkcahnayihmodymikarepliynpkaelachuxxlbmepn Ticket To Ride aethn aetxyangirkdi Herb Alpert kimidihekhaxxkcaksngkd aetyngihoxkaskbphwkekhaxxkxlbmthi 2 xikdwy inkhnaediywknnn Burt Bacharach sungepnnkaetngephlngmuxchmng thiaetngephlnghitihkb Dionne Warwick makmayhlayephlng idyinephlng inewxrchnkhxngkharephnethxrsaelasnicphrswrrkhinkareriyberiyngesiyngprasankhxngphwkekha cungidtidtxkb Herb wa ekhatxngkarihwngkharephnethxrssungepnsilpininsngkdidrwmepidkaraesdngihekhainngankhxnesirtkarkusl odyihphwkekhaelnephlngthiaetngody Burt Bacharach aela Hal David sungthang Herb kyindiaelaidihchithephlngkhxng Bacharach aela David kbrichardhlayephlngephuxnamaeriyberiyngihmephuxichaesdnginnganngankhxnesirtkarkusldngklaw Herb idthamrichardwaruckephlng They Long To Be Close To You hruxim ephraacaihnamaichelnepnemdelyinkhxnesirtdwy aetrichardexngkimkhunekhykbephlngdngklawxyangid enuxngcakephlngniimidepnephlngthihitkhxng Bacharach aela David aethlngcakthirichardidnachithephlngniip ekhaklbmabxkkb Herb waepliynicthicanaichaesdnginkhxnesirt aetcanamathaepnephlngkhxngkharephnethxrsexng odyhlngcakkhwamphyayamkhxngkareriyberiyngaelakarprbaekkhxng Herb thungsamkhrng sudthaysaercxyangthithukkhntxngkar They Long To Be Close To You thukplxyepnsingekilthi 2 khxngphwkekha ephiyngimkixathitykkhunsuxndbthi 1 bncharthsingekil 100 xndbkhxngshrth aelakhrxngxndb 1 idnanthung 4 spdah epnaephnesiyngthxngkhaaephnaerkkhxngphwkekha aelasamarthkhuncharthxndbthi 6 inxngkvsid thaihphwkekhaklayepnsilpinhnaihmthiidrbkarkhwamniymxyangmak xlbm klayepnxlbmkhaydikhuncharthxndbthi 2 khxngshrth aelatammadwysingekilthi 3 cakxlbmnnexng kidrbkhwamniymmakimtangcak They Long To Be Close To You odykhunsuxndbthi 2 bncharthsingekil 100 xndbkhxngshrthidnanthung 4 spdah aelaepnaephnesiyngthxngkhaaephnthisxngkhxngphwkekhainpiediywkn xlbm Close To You samarthkhunxndb 2 inshrth aela 23 inxngkvs odymiyxdcahnaymakkwa 1 lanaephn n khnann aelaephlng They Long To Be Close To You kthaihphwkekhaidrbrangwl Grammy thung 2 rangwlinpi 1970 khux Best New Artist silpinhnaihmyxdeyiym aela Best Contemporary Vocal Performance by a Duo Group or Chorus pccubnthng They Long To Be Close To You aela We ve Only Just Begun thukbrrcuiwin Grammy Hall of Fame awards sungtanankhxngwngkharephnethxrsiderimtnkhun n cudnnexng nxkcakniyngmiephlnghlayephlnginchud Close To You thiidrbechn Reason To Believe richardchxbephlngniepnphiessaelakhidcatdephlngniepnsingekilthdipdwy Maybe It s You epnephlngcakchwngyukhkxnwngkharephnethxs aelaklayepnephlngihilthkhxngchudthiediyw Mr Guder epnephlngthiricharaela John aetngephuxrxnglxeliynnay Guder sungepnhwhnangankhxngphwkekhakhnathiphwkekhathanganphiessrxngephlngindisniaelnd aetenuxngcakiprxngephlngkhxng Beatle tamkhakhxkhxngnkthxngethiywsungimidrbxnuyatihrxngindisniaelndthaihphwkekhathukilxxk ephlngniidrbkhwamniymcakkhndukhxnesirtmak Love Is Surrender aela Help inkhrngaerkephlngnithukwangaephnihtdepnsingekilaerkkhxngchud aethlngcakthi Herb idyinephlng They Long To Be Close To You aelwcungepliynkhwamkhidthnthi pi 1971 Carpenters playpi 1970 phwkekhaidplxysingekilihmtammakhux Merry Christmas Darling praktwaidrbkhwamniymepnxyangmakinchwngethskalkhristmas odyephlngnikhunxndbhnunginkhristmas charthinpi 1970 aela 1971 hlngcakkhwamsaercxyangthwmthnkhxngsingekil They Long To Be Close To You aela We ve Only Just Begun thaihphwkekhakhxnkhangekhriydknmakwaephlngxaircaepnsingekiltxipkhxngphwkekha epnpyhathirichardaekimtkthiediyw cnkrathngkhunthiphwkekhaipaesdngepidkhxnesirtihkb Engelbert Humperdinck khnachwngewlaphkphucdkarswntwkhxngphwkekhaidaenanaihphwkekhaipphxnkhlaydwykarduphaphyntreruxng Lovers and Other Strangers emuxrichardidfngephlngprakxbphaphyntrnnexngthaihekhaphbkbthangxxkkhxngpyha nnkhuxephlng ineruxngsadudhurichardepnxyangmakekhakhidwaephlngniimichaekhehmaakbesiyngrxngkhxngaekhernethannaetyngehmaakbsitlkhxngwngxikdwy thngkhucdcathwngthanxngaelanaklbmaeriyberiyngesiyngprasanihminaenwkhxngkharephnethxs sungkaennxnhlngcakephlngnithukplxyepnsingekilkerimitsucharth For All We Know klayepnephlnghitephlngthi 3 khxngphwkekha khuncharthxndbthi 3 inshrth aelaepnaephnesiyngthxngkhaaephnthisam dwykhwamdngkhxngephlngniinewxrchnkharephnethxs thaihewxrchnephlngprakxbphaphyntridrbxiththiphlipdwy thaihephlngnichnarangwlxxskasakha Academy Award for Best Original Song inpi 1971 caknnkidewlakhxngxlbmchudthi 3 khxngphwkekha Carpenters xlbmninxkcakcamiephlng For All We Know aelw yngmisingekilhitxik 2 ephlngtammakhux aela Superstar sungthng 2 ephlngkepnephlnghitthiidrbkhwamniymsungmak khunxndb 2 inshrth aelaepnaephnesiyngthxngkhaaephnthisiaelahakhxngphwkekhaxikdwy sahrbxlbm Carpenters epnxlbmaerkthiphwkekhaerimicholok Carpenters thikhuntaiwbnhnapkxyangepnthangkarxikdwy xlbm Carpenters khunsuxndbthi 2 bncharthxlbm 100 xndbkhxngshrth thayxdkhayidekinlanaephn aelaidrbrangwl Grammy Best Pop Vocal Performance by a Duo or Group inpi 1971 xikdwy sungnxkcak 3 singekildngaelw yngmixikhlay ephlngthiepnthiniymkhxngaefnephlngechn Let Me Be The One A Place To Hideaway aela One Love ephlng Let Me Be The One epnephlnghnungthirichardrusukchunchxbepnphiessaelakhidwathahaktdepnsingekil ephlngkhngcaepnhnunginephlngdngkhxngwngxyangaennxn Let Me Be The One thuktdepnaephnsingekilinpi 1991 ephuxopromtxlbmchud From The Top ephlng A Place To Hideaway epnephlngthiaefnephlngkharephnethxshlaykhnohwtwaepnephlngthidithisudkhxngwngephlnghnungelythiediyw pi 1972 A Song For You dwykarthiphwkekhamixlbmhittxenuxng 2 chud Close To You aela Carpenters rwmkb 5 singekilaephnesiyngthxngkha thaihsthanphaphaelaxnakhtkhxngwngrabrunthiediyw singekilthdiperimdwy sung cover cakwng Ruby and the Romantics xxkcahnayplaypi 1971 epnkarepidtwxlbmthi 4 khxngphwkekha odyxxkcahnaykxnxlbmnanthung 9 eduxn klayepnephlnghitephlngthdipkhxngphwkekha odykhunxndb 2 inshrth aelaepnaephnesiyngthxngkhaaephnthihk tammadwy sung cover ngankhxng Carole King aelanbepnkhrngaerknbtngaetsingekil Ticket To Ride thisingekilkhxngphwkekhaitimthung 3 xndbaerkkhxngcharth It s Going To Take Some Time khunxndb 12 inshrth aelatamdwysingekilladbthi 3 sungepnephlngthirichardaelaephuxnsnithkhxngekha John Bettis aetngkhun epnephlngaerkthirichard odyih Tony Peluso hnunginsmachikhlkkhxngwngsungrichardphungchwnekhamarwmnganinwng osolkitarinchwngklangaelathayephlng dwykarosolkitarthidueduxd odyechphaathxnosolthayephlngthinankwa 2 nathi thaihephlng Goodbye To Love xxkmaehmuxnepnephlngrxkmakkwaephlnginsitlthiwngekhythaxxkma thaihphwkekhaidrbcdhmaytxwacakephlngepncanwnmakwaphwkekhadngaelwepliynsitl imrksarupaebbedimxyangthikhwrepn aetxyangirkdi Goodbye To Love kklayepnephlnghit khunxndb 7 inshrth aela 9 inxngkvs aelaidrbkarklawkhanwaepnephlngpxpthimikarosolkitarthidithisudephlnghnungdwy aelakarosolkitarkhxng Tony Peluso kklayepnsylksnxyanghnungkhxngwngipdwy xlbm khunxndb 4 khxngcharthshrth aelamiyxdcahnayekinlanchud nxkcakniyngmiephlnghitxun inchudrwmxyudwyechn Bless The Beasts And Children sungepnephlng ost cakphaphyntrinchuxediywkn odyephlngniepidtwkhrngaerkindanbi side B khxng Superstar odysamarthkhunxndbthi 67 inshrth aelayngidmioxkasekhachingrangwlxxskarsakhaephlngprakxbdwyechnediywknkb For All We Know aetimidrangwl A Song For You epnephlngaerkkhxngaephnodyaefnephlngswnihycaruckephlngnidixyuaelw epnnganokhfewxrthiaefnephlngswnihykhidwaephlngninacathuktdepnsingekildwyechnkn Crytal Lullaby I Won t Last A Day Without You aela Top Of The World sxngephlnghlngtdepnsingekilinchwngewlatxma pi 1973 Now And Then aela The Singles 1969 1973 cakkarthiphwkekhaprasbkhwamsaerctxenuxngxyangsud thaihtngaetplaypi 1970 cnthung 1972 phwkekhaaethbimmiewlasahrbkarekhiynhruxhaephlngthicamathainxlbmihmely thngcakkarthwrkhxnesirttlxdthngpi karaesdng raykarothrthsn mathungpi 1973 nganekainsmythiepnwng Specturm thuknamaichkbxlbmchud Ticket To Ride Close To You Carpenters aela A Song For You cnhmd aetcakkaraesdngsdinpi 1972 phwkekhaideluxkexaephlngdnginyukhpi 1960s maaesdngdwyaelakidrbkartxbrbxyangsung richardexngkidkhxnespcakehtukarndngklawmaichinkarnaesnxxlbmthdipnnkhuxaebngephlnginxlbmthdipepn 2 swn swnhnaaerkcaepnephlngihmtampkti swnhnahlngcaepnemdelyephlngdnginyukh 1960s odyidkhxnespnnmaepnephlng sungbrryaythungkhwamrusikdi thimitxephlngrkeka thiekhyrxngkhlxtam emuxklbmaidyinxikkhrng xlbmthihaniichchuxwa tamthi Agnes mardakhxngphwkekhaidtngih odymiephlng epnsingekilepidtw Sing epnephlngcakraykaredk Sesame Street thaihstafswnihyin A amp M waphwkekhathibaipaelwthitdephlngniepnsingekil aetxyangirkdihlngcak Sing xxkcahnaykidrykhwamniymxyangmakthnthi odykhuncharthxndb 3 inshrth aelaepnaephnesiyngthxngkhaaephnthiecdkhxngphwkekha aelatammadwy sungaetngodyrichardaela John Bettis klayepnephlngthidngthisudkhxngphwkekha n khnann ody odykhuncharthxndb 2 inshrthaela 2 xngkvs aelaepnaephnesiyngthxngkhaaephnthiaepd ephlngniidrbkhwamniyminhlaypraethsthwolkodyechphaaxyangyinginyipun ephlngniklayepnephlngthimiyxdcahnaysungsudtlxdkalephlnghnunginyipunthiediyw nxkcaknixlbm yngmi highlight thiemdely oldies inhnathi 2 thirwmexaephlngdng cakyukh 60s ma cover rwmkn odythaihehmuxnkbkarfngwithyuthimidiecdaeninraykar Tony Peluso khxyepidaelaaenanaephlngaelamikhnekhamarwmthaypyhainraykardwyodymiephlng epnephlngnaekhaaelapidemdely xlbm prasbkhwamsaerckhunsuxndb 2 thnginshrthaelaxngkvs miyxdcahnayekinkwalanaephn aelaprasbkhwamsaercxyangmakinyipun sungthaihwngkharephnethxsepnthiniymsungsudinyipunxikdwy nxkcaksxngephlngdngaelwyngmiephlnghit thiimidthudtdepnsingekildwy idaek Jambalaya On The Bayou aela This Masquerade sungthngsxngephlngklayepnephlnghitthiaefnephlngthukkhntxngruck singekilthdipphwkekhaeluxkthicaephyaephrkhuxephlng sungepnephlngcakxlbm A Song For You inpi 1972 sungkidrbkarkhancakstafswnihyin A amp M xikechnknenuxngcakepnephlngcakxlbmekaemuxpithiaelw aelanxkcakniephlngthitdepnsingekilcakxlbm A Song For You kmimakaelw Hurting Each Other It s Going To Take Some Time aela Goodbye To Love rwmthung thiepn B side khxngsingekil Superstar dwy aetdwyehtuphlhlay xyangthiekiywkbephlng Top Of The World thaihrichardechuxwaephlngnimiskyphaphthicaklayepnephlngdngephlngtxipkhxngphwkekha echnkaridrbkartxbrbehmuxnepnephlnghitemuxphwkekhaelninkhxnesirt Lynn Anderson nkrxngephlngkhnthri cover ephlngniaelasamarthitkhunxndb 2 khxngkhnthricharthid sthaniwithyutang khuncharthephlngnicakkarkhxephlngthangwithyuephiyngxyangediyw mikartdephlngnixxkepnsingekilinyipunaelamiyxdcahnayinradbaephnesiyngthxngkha rwmthungaefnephlngtangkeriykrxngihricharthtdephlngnixxkmaepnsingekil xyangirkdirichardexngrusikimphxickb steel kitarinewxrchnedim rwmthngtwaekhernkyngimphxickbkarrxngkhxngtwexng cungidbnthukesiyngephlngniihm echphaaesiyngrxngnakhxngaekhern aela steel guitar ethann phlpraktwaephlng khuncharthxndbthi 1 inshrth aela 5 inxngkvs aelaepnaephnesiyngthxngkhaaephnthieka dwykhwamodngdngkhxngephlng Top Of The World thaih A amp M txngxxkxlbmrwmephlnghit rwmphlngansingekilcakpi 1969 cnthungephlnglasud aekhernexngimphxickbkarrxngkhxngtwexnginxlbm Ticket To Ride mak odyethxidbnthukesiyngrxngaelaklxngihm aekhernelntaaehnngklxngdwyinkarbnthukesiyngchud Ticket To Ride swnrichardexngidih Tony Peluso bnthukesiyngkitarephimetimlnginephlng Ticket To Ride dwy sungkklaymaepnewxrchnthikhunhuthisud inxlbmrwmhitthnghmdcaepnewxrchnni xlbm miyxdcahnaythlmthlay samarthkhunxndb 1 idthnginpraethsxngkvsaelashrth odyechphaaxyangyinginxngkvsxlbmnisamarthkhrxngxndb 1 idnanthung 17 spdah klayepnxlbmthimiyxdcahnaysungthisudxlbmhnunginyukh 70s thiediyw pi 1974 Live In Japan hlngcakthi Top Of The World prasbkhwamsaercxyangthwmthnaelw thimngan A amp M idplxyephlng cakxlbm Now And Then sung cover nganephlngekakhxngrachaephlngkhnthri Hang William xxkepnsingekilcahnayinhlaypraethsykewnthishrth sungrichardxaccaimidkhidthungincudni sungkidrbkartxbrbekinkhadephraasamarthkhunxndbthi 12 idinxngkvs rwmthungmiyxdcahnayinradbaephnesiyngthxngkhainpraethsyipunaelahxlaelnddwy odyechphaaxyangyinginhxlaelndephlng klayepnsingekilthikhaydithisudkhxngkharephnethxsthiediyw hlngcakxxkxlbm aelwphwkekhaaethbimmiwtthudibinkarthanganchudihmehluxely xikthngyngehnuxymakcakkarthwrkhxnesirtthiephimmakkhunthukpi dwyehtuniinpi 1974 ni phwkekhacungyngimmixlbmihmxxkma aetmisingekilihmtamxxkmannkhux ephlngcakxlbm inpi 1972 dwyehtuphlthikhlayknkb thaihephlngniepnephlngthi 6 thithuktdepnsingekilcakxlbm A Song For You nbrwm Bless The Beasts And Children prasbkhwamsaercxyangdi emuxkhuncharthxndbthi 11 inshrth aela 32 inxngkvs ephlngnikhuncharthxndbthi 9 inxngkvsphrxmknkb Goodbye To Love inpi 1972 maaelwkhrnghnung nxkcakniephlngniyngchnarangwl World Disc Grand Prix insakhasingekilaehngpi 1974 inpraethsyipundwy sung n khnanikhwamniymkhxngwngkharephnethxsinyipunphungsungkhunmakinradbthiethiybethakbwng The Beattle sunginpinnexngphwkekhaidmikahndkarthicaxxkthwrkhxnesirttampraethstang sungaennxnhnunginnnkhuxpraethsyipun sungkidrbkartxbrbxyanglnhlam thaihthimngan A amp M pracayipunnakaraesdngsddngklawmathaaelacdcahnayepnxlbmkhu sungkidrbkhwamniymaelacahnayidinradbaephnesiyngthxngkhaechnkn inplaypi 1974 phwkekhaklbekhastudioxxikkhrngphrxmkbbnthukesiyngsingekilihm ephlng cover cakklumnkrxngsawphiwsi Marvelettes odyideriyberiyngesiyihmihmikhwamkrachbkwaedim phlpraktwa khuncharthxndb 1 inshrthepnephlngthi 3 aelayngkhuncharthxndbthi 2 inxngkvs aelainxikhlay praeths ephlngniidrbaephnesiyngthxngkhainshrthepnephlngthi 10 khxngphwkekha richardidklawwa ekhaekhykhidwaephlng Yesterday Once More epnephlngthiidrbkhwamniymthisudkhxngphwkekha aettxnni Please Mr Postman khuxephlngthiodngdngthisudkhxngphwkekha hlngcakniphwkekhayngplxyephlng sungepnephlngkhristmastephlngthi 2 khxngphwkekhaepnsingekilthdma aemcaimidrbkhwamniymmaketha aetephlngnikyngkhunxndb 35 infngxngkvs inchwngewladngklawniexng epnchwngthiaekhaernerimxakarkhxngaexnnxriesiy enfowsa Anorexia nervosa sungepnorkhklumxakarphidpktiineruxngkarkinxahar pi 1975 Horizon hlngcak prasbkhwamsaercodngdngipthwolkaelw singekilthdma Only Yesterday sungepnphlngankarpraphnthkhxngrichardrwmkbkhuhu John Bettis echnekhy ephlngnikhunxndb 4 inshrth aela 7 inxngkvs aelaodngdnginhlay praeths odyephlngnithaihrichardtxngesiyenginkhaphnncanwn 1 000 ehriyyihkbnkwiswkresiyng dwyehtuwaekhakhidwaephlngniimnacadng aelatammadwyxlbmthi 6 khxngphwkekha Horizon aetchwngklangyukh 70s brryakasaenwdntrierimepliynip rwmthungminkrxngkhlunlukihmxxkmak echn di xiekil thaihkhwamniymkhxngwngkharephnetxrsinshrtherimldlng odyehnidcakchartxlbmthikhunipthixndb 13 aetkhwamdngkhxngphwkekhakbephimkhuninhlay praeths echn xngkvsaelayupun thi Horizon samarthkhunxndb 1 id singekilthi 3 thitdxxkma khunxndb 17 inshrth aela 32 inxngkvs xyangirkdi xlbmdngklawkyngmiyxdcahnaythidiinradbaephltinminshrth ekinlanaephn xikthngaefnephlngaelankwicarnchunchmkbxlbmchudnimakekiywkbnaesiyngaelaethkhnikhthiaekhernrxng aekhernichkhiyesiynginradbthankhxngesiyng sungrichardbxkiwwaepnkhiyesiyngthidiaelaipheraathisudkhxngaekhern thngbthephlngaeladntrithilngtw rwmthungkarmiksesiyng aetxacenuxngcakephlngswnihyinxlbmchudnicaepnblladhnk esiyswnihy thaihinyukhnnkhnyngniymephlngaenwbuphphachnesiyswnihy aelanxkcaknidwykhxnespkhxngchudnithierimcakephlng Arora aelapidthaydwy Eventide sungthng 2 ephlngmithanxngaeladntriehmuxnkntangephiyngenuxrxngaeladwykhwamthimikhwamyawkhxngephlngsnpraman 1 33 nathi thaihthng 2 ephlngehmuxnepn jingle thithahnathiepidaelapidxlbmethann thaihkhnfngmikhwamrusukehmuxnwachudnimiephlngephiyngaekh 8 ephlng aethnthicami 10 ephlngepnxyangnxyehmuxnchudxun swnephlngxun thiepnthiniymkhxngaefnephlng echn I m Caught Between Goodbye And I Love You Happy epnephlngthimicnghwaerwkwaephlngxuninchud thaihrichardkhidwathatdsinicihmidcaeluxkephlngniepnsingekilaethn Solitaire ephlng Love Me For What I Am aelaephlng Desperado nganokhfewxrkhxngdi xiekil sungkhrngaerkthirichardidyinephlngnihlngkarmiksesrcktdsinicthicaeluxkepnsingekilthdipechnkn aetenuxngcakmisilpinmakmaynaipokhfewxraelw khwamkhiddngklawcungthukykelikip pi 1976 A Kind Of Hush inpi 1976 richardkhxnkhangkngwlkbpyhaineruxngkhxngkhwamniymtxwngkharephnethxsinshrththikalngldlng dngnnekhacungkhxnkhangthicatngkhwamhwngkbxlbmthdipxyangmak odyidplxyephlng sungepnkarokhfewxrnganekakhxngwng Herman s Hermits xxkmaepnsingekilaerk sungkkhuncharth 12 inshrth aela 22 inxngkvs aelatammadwyephlng singekilthisxngxnepnphlngankarpraphnthkhxngrichardrwmkbkhuhu sungtwrichardexngkhxnkhangtngkhwamhwngiwkbephlngnisungmak enuxngcakepnephlngthiekhatngicaetngaelaephlngniyngepnephlngthiaekhernchxbmakthisudthiethxidrxngiw aetphlcakkhwamniymthildlng thaihephlngdngklawkhuncharthidephiyngxndbthi 25 inshrth aela 36 inxngkvs xyangirkdiephlngnithuknamatdepnsingekilihminpi 1995 inyipun samarthkhunsuchardidinxndbthi 5 aelamiyxdcahnaykwa 4 lanaephn sungsungsudinyxdcahnaykhxngpinnthiediyw srangpraktkarnthihnaprahladicihkbrichardepnxyangmak aelatammadwysingekilthi 3 sungsrangkhwamprahladicihkbaefnephlngthwolkinkareluxkephlngnimaepnsingekil odycharththitammakimnaprahladic xyuinxndbthi 56 inshrth thaihxlbmthi 7 khxngphwkekha khunxndbthi 33 inshrth aetyngsamarthrksakhwamniyminxngkvsidxndbthi 3 xyangirkdi yngmiyxdcahnaythidiinradbaephnesiyngthxngkhainshrthxyu ephlngthiidrbkhwamniymephlngxun idaekephlng You epnnganokhfewxrechnkn aetidrbkaryxmrbwaepnephlngthidithisudephlnghnungkhxngwngdwy dwyesiyngrxngthioddednipheraakhxngaekhern ephlngniidrbkhwamniymmakinpraethsyipun odymiaefnephlngcanwnmakkhidwaephlngninacaxxkepnsingekil aetimthrabwadwyehtuphlidthithaihephlngniimidthukthaepnsingekilaeteluxkephlng Breaking Up Is Hard To Do epnsingekilthi 3 sahrbyipunaethn srangkhwamphidhwngihkbaefnephlnghlaykhnthiediyw ikhrthrabsaehturbkwnelaihfngdwykhrb ephlng Sandy epnephlngoprdephlnghnungkhxngrichard ekhaaetngephuxbrryaythungaesndi sungepnchangthaphmaeladuaelekhruxngaetngkay ihkbaekhernaelaekhakekhymiedthknnidhnxy sungsudthayktxngelikknipsaehtuephraaaekhernaelaaexkens ephlng Can t Smile Without You epnephlngthixyuaephnkartdepnsingekilechnkn odymikarthaxxkmaewxrchninpi 1978 aelainpiediywknnn Berry Manillow idokhfewxrephlngnicnthaihklayepnephlngdngthikhnruck aelaephlng I Have You khnaediywkninchwngewlaniexngwngkharephnethxsminganthwrkhxnesirththwolkthngxngkvsaelayipunaethbetmtarang thaihxakarpwykhxngaekherncakorkhaexnnxriesiy enfowsa erimaesdngxakarihehncakkarthiethxepnlmlmlngklangewthihlngcakrxngephlng cnsudthaytxngykelikkaraesdngthwrthiyipunip khnaediywknrichardkerimmixakaresphtidkarichyanxnhlbdwy pi 1977 Passage enuxngcakpyhakhwamniymkhxngwngthildlnginshrth thngyxdcahnayxlbmaelacharthsingekil prakxbkbchwngewlannepnyukhthxngkhxngephlngdisok sngphlihekidkhwamkddnthimhasalkb richard kharephnethxr sungthahnathiekuxbthukxyanginkarphlitxlbmkhxngwngintlxdewlathiphanma thaihxlbmihmniekhaimtxngkarihkhwamniymkhxngwngtktalngodyimmikarcdkarhruxaekikhpyhaxair nncungepnthimakhxngxlbm Passage sungekhaldbthbathkhxngekhalnghlayxyangaelathdlxngephlnghlakhlayaenwthang inxlbmchudniodythiphyayamrksakhwamepnexklksnkhxngwngkharephnethxsexaiwodyimihxingipkbkraaesdisok echn karichwngsimofniaelakarprasanesiyngetmwng inephlng Don t Cry For Me Argentina aela Calling Occupants Of Interplanetary Craft rwmthungepnxlbmaerkthiimmiephlngthiekhaaelakhuhuaetngxyuely odyephlnginchudnicamikhwamhlakhlaykhxngaenwephlngmakthisud odythimiephlng All You Get From Love Is A Love Song epnsingekilaerkkhxngxlbm sungkhuncharthid 35 inshrth aelatammadwyephlng Calling Occupants Of Interplanetary Craft sungepnsingekilthiaeplkthisudaelayawthisudkhxngwng epnsingekilthi 2 khxngxlbm sungsamarthkhuncharththi 32 inshrth samarthkhuncharththi 9 idinxngkvsaelaxxsetreliy sungsrangkhwamprahladicihkbphwkekhaepnxyangmak thdmaepnephlngkhristmas The Christmas Song Chestnut Roasting On An Open Fire imidbrrcuinchud Passage aelatamdwyephlng Sweet Sweet Smile intnpi 1978 sungkhunxndb 44 inshrthaela 40 inxngkvs aelaepnkhrngaerkthiephlngkhxngwngsamarthkhuncharthephlngkhnthriid xndbthi 9 nxkcakniinxlbm Passage yngmiephlngthinasnicxikephlngkhux I Just Fall In Love Again sungcring aelwrichardtxngkarcatdephlngniepnsingekilthdipmakkwa aetenixngcakchwngewladngklawdiecthiepidaephncaimepidephlngthimikhwamyawekinkwa 4 nathi khuxephlng I Just Fall In Love Again sungmikhwamyaw 4 04 thaihephlngnithuklumip aetxyangirkdiinpi 1978 aexn emxrery idokhfewxrephlngdngklawaelasamarthkhuncharthladbthi 12 inshrthid txmarichardthrabwaekhatdsinicekiywkbephlngniphidip xyangirktam thungaemwaxlbmchudnicamikhwamphyayamthicathaihekidkhwamaeplkihmxyangmakmay aetphltxbrbodyrwmimidrbkhwamniymdngechnxlbminxdit odyxlbm Passage khunxndbthi 49 inshrthaelaxndbthi 12 inxngkvs aelaepnkhrngaerkthiyxdcahnaykhxngxlbmtakwaradbaephnesiyngthxngkha tngaetephlng Close To You cnthungephlng A Kind Of Hush thukchudmiyxdcahnayekinthnghmd pi 1978 Christmas Portrait inpi 1978 phwkekhaetriymthaxlbmkhristmasodymikartharaykarthiwixxkmakxn sungidrbkartxbrbepnxyangdi aelatammadwyxlbmetm Christmas Portrait sunginchudnimiephlng Merry Christmas Darling thiidtdepnsingekilxxkmatngaetpi 1970 brrcuxyu khbrxngihmodyaekherninpi 1978 xlbmchudnikhunxndbthi 145 inshrth odymiyxdcahnaymakkwa hnunglanaephnelythiediyw inyukhnnodypktiaelwmisilpinimkikhnethannthithaxlbmkhristmasaelwcaidrbkartxbrbaelaprasbkhwamsahrb sungxlbm Christmas Portrait epnhnunginxlbmdngklawthipccubnyngkhngepnthiniymepidkninethskalkhristmascnthungthukwnni ephlngxun thiepnihilthkhxngchudniidaek ephlng Ave Maria White Christmas Silent Night Have Yourself A Merry Little Christmas aela Christmas Waltz playpi 1978 phwkekhaidbnthukesiyngephlngihm sahrbetriymxxkxlbmihm aelaidxxksingekilephlngihmhnungephlngkhux I Believe You sungkhunxndbthi 68 inshrth nxkcakniyngxxkxlbmrwmephlnghitchudthi 2 chux The Singles 1974 1978 sungxxkcahnayechphaainxngkvs aelasamarthkhuncharthidinxndbthi 2 khnannkhwamniymkhxngwnginshrthldlngcungimidxxkcahnay pi 1979 1980 xlbmediywkhxngaekhern Karen Carpenter inchwngtnpi 1979 sukhphaphkhxngthngkhuyaaeylng thngxakartidyanxnhlbxyangrunaerngkhxngrichard aelaxakaraexnnxriesiy enfowsa khxngaekhernkphthnaxakaripxyangtxenuxng sungcaehnidcaksuxtang imwacaepnphaphcakhnngsuxphimph widiox thiwi cnrichardtdsinicwaekhacahyudphknganephuxbabdxakartidyanxnhlbkhxngekhaihhaydikxn rwmthungxakarpwykhxngaekherndwy aelwcungkhxyklbekhahxngbnthukesiyngihm odythiaekhernexngktxngekharbkarbabdthiorngphyabalinemuxngniwyxrk sungtwaekhernimkhxyehndwykbphichaynkineruxngkarphkkarxxkxlbmihm thaihethxtdsinicthanganediywipdwyinchwngthiethxphkrksatw odyidfil ramxn maepnoprdiwesxr xlbmdngklawswnihyepnnganephlngthiaetngexngcaknkdntrithirwmnganinkhnann thaihephlngswnihymipyhaeruxngkhunphaph xikthngfil ramxn exngkxyakihesiyngrxngkhxngaekherninnganediywmikhwamaetktangcakthiepnaekherninnamkhxngwngkharephnethxs dngnnemuxxlbmesrcxxkmacungmikhwamaetktangcaknganthiekhytharwmkbphichaymak imwacaepndntri kareriyberiyng enuxephlng rwmthungwithikarrxngkhxngaekherndwy chudnimiklinixkhxngdisokxyumak sungrichardidekhyphudhamineruxngniexaiw phlkhuxthaihemuxnaedomthiesrcaelwipihrichardaelaphubriharbristhexaexndexmfng kimepnthiprathbicethaihr thaihethxtdsinicthicarangbkarcahnayxlbmediywdngklawkhxngethx sungsrangkhwamsaethuxnickbaekhernepnxyangmak karthaxlbmdngklawyngichenginswntwkhxngaekhernipthung 400 000 ehriyyshrthdwy xlbmdngklawesrcsininpi 1980 aetthungaemwaaekherncaesiychiwitaelwinpi 1983 ipaelwktamaetxlbmdngklawkyngimidrbxnuyatihxxkcahnay aemwaaefnephlngcanwnmak thithrabwaxlbmdngklawmixyucring idekhiyncdhmaythungrichardwatxngkarihxxkcahnay sungsudthayaelwxlbm Karen Carpenter kidvksxxkcahnayinpi 1996 sunghlay ephlnginxlbmchud Karen Carpenter kmiidaeycnthungkhnthicatxngthukrangbkarcahnayely inxlbmnimisingekilhnungephlngkhuxephlng If I Had You richardidihkhwamkhidehnwaepnephlngthidithisudinchud aetodykhwamehnswntwkhxngphuekhiynrusukchxb My Body Keeps Changing My Mind aela Making Love In The Afternoon makkwa xyangirkdirichardidnaexaephlng 4 ephlngcaknganediywdngklawmabrrcuiwinxlbm Loveliness 1989 khxngwngkharephnethxsdwy Loveliness If We Try Remember When Loving Took All Night aela If I Had You inklangpi 1980 aekhernidphbrkaelaaetngngankbnkthurkic othmms ebxris odyngancdthi Crystal Room of the Beverly Hills Hotel aelamiephlngthiaetngsahrbngandngklaw Because We Are in Love The Wedding Song sungbrrcuxyuinxlbm Made In America pi 1981 Made In America hlngcakkarbabdxakartidyanxnhlbkhxngrichardcnhaydi aelakaresrcsinkarrksaxakaraexnnxriesiy enfowsa khxngaekhern sungyngimidhaykhad phwkekhaketriymtwekhahxngbnthukesiyngephuxxxkxlbmihmely nnkhuxxlbm Made In America odyerimcakephlng Touch Me When We re Dancing epnsingekilthi 2 I Believe You epnsingekilaerk idrbkartxbrbdiinradbhnung xndbthi 16 inshrth aelaepnephlnghit top 20 ephlngsudthay odyrichardimkhxyphxickbxndbcharthmaknkenuxngcakephlngniepnephlngthidithinacasamarthidrbkhwamniyminradb top 5 id aetenuxngcakkhnannmnphnchwngyukhthxngkhxngwngipaelw diecimkhxyopromtephlngkhxngwngkharephnethxs ephraaimichephlnginaenwkraaesinchwngyukh 80 ephlngthdma Want You Back in My Life Again khunxndb 72 inshrth tammadwyephlng Those Good Old Dreams khunxndb 63 inshrth richardihkhwamehnekiywkbephlngniwanacakhuncharthidsungkwani aelaephlng Beech wood 4 5789 khunxndb 74 inshrth aelaepnephlngsudthaythisamarthkhuncharth top 100 inshrthid Made In America itcharthxndbthi 52 inshrthaela 12 inxngkvs pi 1983 Voice Of The Heart aekhernesiychiwitdwyorkhhwic playpi 1982 xakaraexnnxriesiy enfowsa khxngaekhernkyngimdikhun thngnienuxngcaknahnkkhxngaekhernthildlngxyangmak praman 35 kiolkrm prakxbkbkarthiethximidklbmathanxaharxyangpkti aetichwithikarchidsarxaharekhasuhlxdeluxdthaihnahnkkhxngethxklbmaxyuinradbthiehmaasm odyphvtikrrmkarimthanxahar karichsarthaihxaeciyr buliemiyr hlngcakthanxaharesrc rwmthungkarichkarklumkratunkarthangankhxngtxmithrxydephuxephimxtrakarephaphlayphlngngankyngepnxyu sungnxkcakcasngphlkrathbtxthnghlxdesiyngkhxngethx yngthaihekidpyhahlxdeluxdaedngthihwicbangaelaepraa rwmthungkratunihhwicthanganhnk pktiaelwrangkaykhnthikhadxaharcaipldxtrakaretnkhxnghwicrwmthungemaethbxlisumephuxldkarichphlngnganlng aetkarichsarkratunkarthangankhxnghwickbsphaphrangkaykhxngaekhernthikhadsarxaharyingipkratunihklamenuxhwicthanganmakkhun sungsingehlanisasmaelakhxy thalayklamenuxhwickhxngethxeruxymacnwnhnung inkhunkxnwnthi 3 kumphaphnth 1983 aekhernidothrsthphipkhuykb fil ramxn odyethxthamthungxlbmediywthiekhaepnoprdiwesxrih odythamekhawa xlbmdngklawmnaeymakelyehrx kxnthicaidrbkhatxbaelwcbbthsnthnasudthayknip aelainwnthi 4 kumphaphnth 1983 kxnwnekidkhrbrxb 33 pikhxngaekhernimkixathity ethxlmfublngkbphunhxngaetngtwthibankhxng aexkens aemkhxngethx kxnthicamikhnphbaelaeriykrthphyabalmarbtwethx sungwnnncaepnwnthiethxtxngipcdthaebiynhyaodymiaexkensipepnephuxn hlngcaknnthangorngphyabalidaecngwaethxidesiychiwitaelw dwysaehtuhwiclmehlw sungkhawdngklawklayepnkhawihyipthwolkthngeruxngkaresiychiwitkhxngethx aelaorkhaexnnxriesiy enfowsa thiekidkhunkbphuhyinginshrthxyangmakmay praman 50 khxngphuhyingthnghmd sungthaihshrthtuntwkborkhdngklawxyangcring cng aelathihnahlumfngsphkhxngethxmikarcarukiwwa A star on earth A star in heaven aelaineduxntulakhm 1983 wngkharephnethxskidrbkarcarukchuxiwthi star on the Hollywood Walk of Fame dwy inpi 1983 richardidxxkxlbm Voice Of The Heart sungepnkarrwbrwmnganephlngthiyngimidnaxxkmacahnay swnihyaelwepnephlngthithukkhdxxkcakxlbmtang cakpi 1976 cnthung 1981 odymiephlngthirxngihmsahrbchudnicring 2 ephlng aekhernrxngiwkxnesiychiwit khux Now ephlngsudthaythiaekhernrxnginhxngxdesiyng aela Your Baby Doesn t Love You Anymore cakkhawicarnkhxngaefnephlnghlaykhnrwmthungphuekhiyntangehnfxngtxngknwaephlnginchudnihlayephlngmikhunphaphdikwa Made In America hrux Passage dwysa singekilaerkkhxngchudnikhux Make Believe It s Your First Time 101 inshrth aela 60 inxngkvs aelatammadwy Your Baby Doesn t Love You Anymore epnsingekilthi 2 Voice Of The Heart khuncharthxndbthi 46 inshrth aela 6 inxngkvs odymiyxdcahnayinradbaephnesiyngthxngkhathnginshrthaelaxngkvs nxkcakniyngmiephlngthisakhyephlngxun idaek Look To Your Dreams epnephlngthiaekhernkhxrxngihrichardaetngih aetenuxngcaktwephlngmiklinixephlngekathaihephlngniimthuknamabrrcuiwinxlbmkxnhnani Look To Your Dreams klayepnephlngthiaexkens mardakhxngphwkekhachxbmakthisud At The End Of A Song Sailing On The Tide aela You re Enough pi 1984 An Old Fashioned Christmas enuxngcakokhrngkarthaxlbm Christmas Portrait phwkekhaidbnthukesiyngipcanwnhlayephlngmak thaihmihlayephlngthiyngimidnamaich inpithdma richardidcdkarmiksdntrikhxngephlngthiehluxsungaekhaernrxngiwcanwn 6 ephlng rwmkbthirichardbnthukesiyngihmxik 7 ephlng aelaxik 1 ephlngekathiphwkekhaekhytdepnsingekiliwaelwinpi 1974 Santa Claus Is Comin to Town marwmiwinxlbmkhristmaschudthi 2 An Old Fashioned Christmas sungchudnimiephlng Little Altar Boy tdepnsingekil odymiephlng Do You Hear What I Hear epn B side pi 1989 Loveliness inpi 1989 idmikarsrangphaphyntrothrthsneruxng The Karen Carpenter Story sungidrbkhwamniymsung thaihxlbmekatang khxngwngkharephnethxsidrbkhwamsnicxyangmakaelathaihyxdcahnaysung tngaetpi 1989 1991 suxtang ihkaryxmrbphlngankhxngphwkekhaindankhwamipheraakhwamepnxmtamakkhun inpinnexngrichardidwangaephnxxkxlbmthdmakhxngwng Loveliness xlbmnikhlaykbxlbm Voice Of The Heart khuxepnkarrwmephlngthithukkhdthing imidthuknamaich mihlayephlngthinamacakthiwisiristhikharephnethxsepnohs aelaxik 4 ephlngcakxlbmediywkhxngaekhern Karen Carpenter sungsingekilinchudnikhux Honolulu City Lights sungidtdxxkmaaelwinpi 1985 ephlnghlayephlnginchudniklayepnephlngthiaefnephlngchunchxb echn Where Do I Go From Here When I Fall In Love Little Girl Blue Slow Dance You re The One aela Kiss Me The Way You Did Last Night Kiss Me The Way You Did Last Night bnthukesiynginchwngxlbm Made In America aetdwykhwamthiephlngniyaktxkarmiksesiyngaelasmynnethkhonolyiyngimthnsmy thaihimidbrrcuxyuxlbmdngklaw aethlngcakthimiethkhonolyiihmmachwyephlngnicungmioxkasihaefnephlngidrbfngkn xlbmchudnikhunxndb 73 inxngkvs odyaefnephlnghlaykhnihkhawicarnchunchxbxlbmchudniechnkn pi 1994 Interpretations dwyehtuthirichardmioprecktkarxxkxlbm Karaoke ephuxcahnayinyipun inchwngthietriymethpmasetxrsahrbopreckt richardidruxphbethpthithuklaebliwwa Only Yesterday sungemuxnamatrwcsxbduphbwa epnephlng Tryin To Get The Feeling Again thiaekhernekhyrxngiwinpi 1975 chwngthaxlbm Horizon sungimidthukbrrcuiwinchudnn aetcakkarlaeblphidaelaekbiwphidthicungthaihtnchbbephlngnithuklum ephlng Tryin To Get The Feeling Again thukrxngiwkhrngaerkodyaekhern aetenuxngcakimidbrrcuin Horizon aelathukekblum sungaekhernidrxngexaiwkxnthi Berry Manilow cabnthukesiyngaelaidrbkhwamniyminpi 1978 3 piihhlng cakehtuphlniexngcungepnthimakhxngxlbmchudni Interpretations aelanxkcakniyngepnkarchlxngkhrbrxb 25 pi thiwngkharephnethxsidesnsyyaxyukbkhay A amp M dwy phaphrwmkhxngchudnicaprakxbipdwyephlngekathirichardimidaetngexng 18 ephlng thngthiepnephlnghitaelaimich hmaythungkartikhwamhmaykhxngephlngthiphwkekhaexamarxngtamsitlkhxngkharephnethxs rwmkb 3 ephlngihm odythi 2 ephlngcamacakraykarthiwi aelaephlng Tryin To Get The Feeling Again sungthuktdepnsingekilxxkma samarthkhunxndb 44 inxngkvs xlbmkhunidthungxndbthi 29 inxngkvs pi 1996 Karen Carpenters cakphlnganxlbmediywinpi 1979 1980 khxngaekhernthithukrangbkarcahnay dwykartklngknxyanglngtwrahwangoprdiwesxr fil ramxn aelarichard thaihxlbm Karen Carpenter mioxkasidxxkcahnaycring inpi 1996 sungaefnephlngcanwnepharxxlbmchudnitlxd nxkcak If I Had You thithuktdepnsingekilinpi 1989 aelw yngmiephlng Make Believe It s Your First Time inewxrchnkxn Voice Of The Heart thicahnayechphaainyipunethann ephlngthiepnihilthkhxngchudni idaek My Body Keeps Changing My Mind Making Love In The Afternoon Still Crazy After All These Years Lovelines aela If We Try nxkcakniyngmiephlngthiehluxcakoprecktnganediywxiknbsibephlngthiyngimidmikarphsmesiyng lxnghadawnohldfngdu sungyngimruwacamakarplxyxxkmacahnayxyangepnthangkarhruxim pi 2001 As Time Goes By richardidklawiwwaxlbm As Time Goes By epnstudioxxlbmsudthaykhxngwngkharephnethxs ephlngswnihythuknamacakraykarthiwitang bangephlngepnedomsmychwngyukhkxnwngkharephnethxs kxn 1969 bangephlngmacakkarrxngsdinhxngsng odymi 2 ephlngepnephlngthithukkhdthingcakxlbmchud Made In America aelaklayepnsingekilhnungediywthithahnayechphaainyipun khux The Rainbow Connection ephlngniephlngepnhnungthiaefnephlngidsngcdhmayipharichardihnaephlngnixxkmacahnay enuxngcakmiaefnephlngklumhnungthrabwaaekhernidrxngexaiwaetimidnamabrrcuiwinxlbmchudid ephlngnikhunxndbthi 47 inyipun xlbmnisamarthkhunxndbthi 18 inyipun nxkcakniyngmiephlngthinasnic echn Leave Yesterday Behind You re Just In Love aela And When He Smile rxngsd aelain As Time Goes By camiephlngemdelythiaekhernidrxngduexdiwkbsudyxdnkrxnghyingxemrikn Ella Fitzgerald phuthiidrbsmyawa The First Lady Of Song xikdwy rangwlaelakhwamsaerc kharephnethxs miephlngxndb 1 bncharthbilbxrdxyu 3 ephlng bncharthsingekil 100 xndbkhxngfngshrth idaek They Long To Be Close To You Top Of The World aela Please Mr Postman miephlngxndbthxp 10 xyu 9 ephlng bncharthsingekil 100 xndb idaek We ve Only Just Begun 2 For All We Know 3 Rainy Days And Mondays 2 Superstar 2 Hurting Each Other 2 Goodbye To Love 7 Sing 3 Yesterday Once More 2 aela Only Yesterday 4 aela xndb 1 xik 15 ephlngbncharth Adult Contemporary Singles Charts kharephnethxsmiyxdkhayxlbmaelasingekil rwmknmakkwa 100 lanchud pccubnephlng We ve Only Just Begun aela They Long To Be Close To You idthukbrrcuxyuin Hall of fame tlxdrayaewla 14 pi kharephnethxsxxkxlbmxyu 11 chud mi 4 xlbmthimiephlngtidin 5 xndbaerkbncharthkhux Close to You 2 Carpenters 2 A Song for You 4 aela Now amp Then 2 odymixlbmrwmephlng The Singles 1969 1973 khunxndbhnungthngfngshrthaelaxngkvs aelaxxksingekil 40 singekil raykarothrthsnphakhphiess 5 khrng aelaxxklakhrothrthsn 1 khrng phwkekhayngthwripthwolk imwacaepn shrth xngkvs yipun xxsetreliy hxlaelnd aelaebleyiym cnkrathngaekhernesiychiwitemuxwnthi 4 kumphaphnth kh s 1983 pccubnphwkekhamiyxdcahnayaephnmakkwa 100 lanaephnthwolkxlbmpikhs chuxxlbm charth hmayehtu1969 Offering Ticket To Ride re title 150 US Studio album1970 Close To You 2 US Studio album1971 Carpenters 2 US Studio album1972 A Song For You 4 US Studio album1973 Now amp Then 2 US Studio album1970 The Singles 1969 1973 1 US Compilation1974 Live In Japan Live album1975 Horizon 13 US Studio album1976 A Kind Of Hush 33 US Studio album1976 Live At The Palladium Live album1977 Passage 49 US Studio album1978 The Singles 1974 1978 Compilation1978 Christmas Portrait 145 US Studio album1981 Made In America 52 US Studio album1983 Voice Of The Heart 46 US Studio album1984 An Old Fashioned Christmas 190 US Studio album1985 Yesterday Once More Compilation1989 Lovelines Studio album1990 Only Yesterday a k a Their Greatest Hits Compilation1991 From The Top Compilation unrelease1994 Interpretation Compilation unrelease1996 Karen Carpenter Studio album1997 Love Songs 106 US Compilation2001 As Time Goes By Studio album2002 Essential Collection Compilation unrelease2004 Gold 35th Anniversary Edition 101 US Compilation unrelease2006 The Ultimate Collection Compilation2009 40 40 21 UK Compilationsingekilpikhs chuxephlng charth xlbm hmayehtu1966 Looking for Love From The Top Essential Collection singekilaerkkhxngaekhern1969 Ticket to Ride 54 US Offering Ticket to Ride 1970 They Long To Be Close To You 1 US 6 UK Close to You Gold record1970 We ve Only Just Begun 2 US 28 UK Close to You Gold record1970 Merry Christmas Darling 45 UK Christmas Portrait 1971 For All We Know 3 US 18 UK Carpenters Gold record1971 Rainy Days and Mondays 2 US 63 UK Carpenters Gold record1971 Superstar 2 US 18 UK Carpenters Gold record1971 Bless the Beasts and Children 67 US A Song For You double A side kb Superstar1971 Hurting Each Other 2 US A Song For You Gold record1972 It s Going to Take Some Time 12 US A Song For You 1972 Goodbye to Love 7 US 9 UK A Song For You 1973 Sing 3 US Now amp Then Gold record1973 Yesterday Once More 2 US 2 UK Now amp Then Gold record1973 Top of the World 1 US 5 UK A Song For You Gold record1973 Jambalaya On the Bayou 12 UK Now amp Then imidtdepnsingekilinshrth1974 I Won t Last a Day Without You 11 US 9 32 UK A Song For You 1974 Please Mr Postman 1 US 2 UK Horizon Gold record1974 Santa Claus Is Comin to Town 35 UK An Old Fashioned Christmas 1975 Only Yesterday 4 US 7 UK Horizon 1975 Solitaire 17 US 32 UK Horizon 1976 There s a Kind of Hush 12 US 22 UK A Kind Of Hush 1976 I Need to Be in Love 25 US 36 UK A Kind Of Hush 1976 Goofus 56 US A Kind Of Hush 1977 All You Get from Love Is a Love Song 35 US Passage 1977 Calling Occupants of Interplanetary Craft 32 US 9 UK Passage 1977 The Christmas Song Chestnuts Roasting on an Open Fire Christmas Portrait 1978 Sweet Sweet Smile 44 US 40 UK Passage 1978 I Believe You 68 US Made In America 1981 Touch Me When We re Dancing 16 US Made In America 1981 Want You Back in My Life Again 72 US Made In America 1981 Those Good Old Dreams 63 US Made In America 1981 Beechwood 4 5789 74 US Made In America 1983 Make Believe It s Your First Time 101 60 UK Voice OF The Heart 1983 Your Baby Doesn t Love You Anymore Voice OF The Heart 1984 Little Altar Boy An Old Fashioned Christmas 1985 Honolulu City Lights Lovelines 1989 If I Had You Karen Carpenter 1991 Let Me Be the One Carpenters Promo CD1994 Tryin to Get the Feeling Again 44 UK Interpretation 2001 The Rainbow Connection 47 JP As Time Goes By imidtdepnsingekilinshrthxangxingErlewine Stephen Thomas Billboard The Carpenters Biography Billboard subkhnemux 2007 12 28 Carpenter Richard 2005 Carpenters Biography 2005 The Carpenters Official Website pp 1 10 subkhnemux 2007 11 30 Coleman Ray The Carpenters The Untold Story Harpercollins New York 1994 ISBN 978 0 06 018345 5 Tobler John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998 ISBN 0 7119 6312 6 Coleman Ray The Carpenters The Untold Story Harpercollins New York 1994 ISBN 978 0 06 018345 5 Tobler John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998 ISBN 0 7119 6312 6 Coleman Ray The Carpenters The Untold Story Harpercollins New York 1994 ISBN 978 0 06 018345 5 Tobler John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998 ISBN 0 7119 6312 6 Coleman Ray The Carpenters The Untold Story Harpercollins New York 1994 ISBN 978 0 06 018345 5 Tobler John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998 ISBN 0 7119 6312 6 Coleman Ray The Carpenters The Untold Story Harpercollins New York 1994 ISBN 978 0 06 018345 5 Tobler John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998 ISBN 0 7119 6312 6 Coleman Ray The Carpenters The Untold Story Harpercollins New York 1994 ISBN 978 0 06 018345 5 Tobler John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998 ISBN 0 7119 6312 6 Coleman Ray The Carpenters The Untold Story Harpercollins New York 1994 ISBN 978 0 06 018345 5 Tobler John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998 ISBN 0 7119 6312 6 Coleman Ray The Carpenters The Untold Story Harpercollins New York 1994 ISBN 978 0 06 018345 5 Tobler John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998 ISBN 0 7119 6312 6 Coleman Ray The Carpenters The Untold Story Harpercollins New York 1994 ISBN 978 0 06 018345 5 Tobler John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998 ISBN 0 7119 6312 6 Coleman Ray The Carpenters The Untold Story Harpercollins New York 1994 ISBN 978 0 06 018345 5 Tobler John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998 ISBN 0 7119 6312 6 Coleman Ray The Carpenters The Untold Story Harpercollins New York 1994 ISBN 978 0 06 018345 5 Tobler John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998 ISBN 0 7119 6312 6 Coleman Ray The Carpenters The Untold Story Harpercollins New York 1994 ISBN 978 0 06 018345 5 Tobler John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998 ISBN 0 7119 6312 6 Coleman Ray The Carpenters The Untold Story Harpercollins New York 1994 ISBN 978 0 06 018345 5 Tobler John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998 ISBN 0 7119 6312 6 Coleman Ray The Carpenters The Untold Story Harpercollins New York 1994 ISBN 978 0 06 018345 5 Tobler John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998 ISBN 0 7119 6312 6 Coleman Ray The Carpenters The Untold Story Harpercollins New York 1994 ISBN 978 0 06 018345 5 Coleman Ray The Carpenters The Untold Story Harpercollins New York 1994 ISBN 978 0 06 018345 5 Coleman Ray The Carpenters The Untold Story Harpercollins New York 1994 ISBN 978 0 06 018345 5 Coleman Ray The Carpenters The Untold Story Harpercollins New York 1994 ISBN 978 0 06 018345 5 Tobler John The Complete Guide to the Music of the Carpenters Omnibus press London 1998 ISBN 0 7119 6312 6