ฟิสิกส์นิวเคลียร์ (อังกฤษ: Nuclear physics) หรือฟิสิกส์ของนิวเคลียส เป็นสาขาหนึ่งของวิชาฟิสิกส์ที่ศึกษาองค์ประกอบต่าง ๆ และปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันของนิวเคลียสทั้งหลายของอะตอม การประยุกต์ใช้ฟิสิกส์นิวเคลียร์ที่ทราบกันดีที่สุดคือ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์และเทคโนโลยีอาวุธนิวเคลียร์ แต่การวิจัยได้ประยุกต์ในหลายสาขา เช่น และการสร้างภาพด้วยเรโซแนนซ์แม่เหล็ก การปลูกฝังไอออนในวิศวกรรมศาสตร์วัสดุ และการหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสีในวิชาภูมิศาสตร์และโบราณคดี
นิวเคลียสเป็นสิ่งที่ยังไม่เป็นที่เข้าใจทางทฤษฏี เพราะมันประกอบไปด้วยอนุภาคจำนวนมาก (เช่น โปรตอน และนิวตรอน) แต่ไม่มีขนาดใหญ่พอที่จะอธิบายลักษณะได้ถูกต้องเหมือนอย่างผลึก จึงมีการใช้แบบจำลองของนิวเคลียสซึ่งใช้ศึกษาพฤติกรรมทางนิวเคลียร์ส่วนใหญ่ได้ โดยอาจใช้เป็นวิธีการเดียวหรือร่วมกับวิธีการอื่น ๆ
ประวัติ
ประวัติที่มาของฟิสิกส์นิวเคลียร์แตกต่างจากฟิสิกส์ของอะตอมเริ่มต้นด้วยการค้นพบของกัมมันตภาพรังสีโดย อองรี Becquerel ในปี 1896 ขณะที่กำลังสืบสวนการเรืองแสงของฟอสฟอรัส (อังกฤษ: phosphorescence) ในเกลือยูเรเนียม การค้นพบอิเล็กตรอนโดยนายเจ เจ ทอมสัน ในหนึ่งปีต่อมาก็บ่งชี้ว่าอะตอมมีโครงสร้างภายใน ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 รูปแบบที่ได้รับการยอมรับของอะตอมเป็นรูปแบบพลัมพุดดิ้งของเจเจทอมสันในที่ซึ่งอะตอมเป็นลูกกลมขนาดใหญ่ที่มีประจุบวกและมีอิเล็กตรอนประจุลบขนาดเล็กที่ฝังอยู่ภายในของมัน
หลายปีต่อมา ปรากฏการณ์ของกัมมันตภาพรังสีได้ถูกตรวจสอบอย่างกว้างขวาง ที่สะดุดตาก็เป็นของทีมงานสามีภรรยาปิแอร์ กูรีและมารี กูรี และของเออร์เนส รัทเธอร์ฟอร์ดและเพื่อนร่วมงานของเขา ในช่วงเปลี่ยนของศตวรรษ นักฟิสิกส์ยังได้ค้นพบสามชนิดของการแผ่รังสีที่เล็ดลอดออกมาจากอะตอม พวกมันมีชื่อว่าอนุภาคแอลฟา อนุภาคบีตา และรังสีแกมมา การทดลองในปี 1911 โดยอ็อตโต ฮาห์นและเจมส์ แชดวิค ได้ค้นพบในปี 1914 ว่าสเปคตรัมการสลายให้อนุภาคบีตาเป็นอย่างต่อเนื่องมากกว่าที่จะไม่ต่อเนื่อง นั่นคืออิเล็กตรอนจะถูกปลดปล่อยออกมาจากอะตอมที่มีช่วงหนึ่งของพลังงานมากกว่าจะเป็นปริมาณที่ไม่ต่อเนื่องของพลังงานที่ถูกสังเกตในการสลายได้รังสีแกมมาและการสลายให้อนุภาคแอลฟา นี่เป็นปัญหาหนึ่งสำหรับฟิสิกส์นิวเคลียร์ในช่วงเวลานั้น เพราะมันดูเหมือนจะบ่งบอกถึงพลังงานที่ไม่มีการอนุรักษ์ (พลังงานออกไม่เท่ากับพลังงานเข้า) ในการสูญสลายเหล่านี้
รางวัลโนเบลปี 1903 ในสาขาฟิสิกส์ได้มอบให้กับนาย Becquerel สำหรับการค้นพบของเขา ร่วมกับนายปิแอร์ กูรีและนางมารี กูรีสำหรับการวิจัยที่ตามมาของพวกเขาเกี่ยวกับกัมมันตภาพรังสี นายรัทเธอร์ฟอร์ดก็ได้รับรางวัลโนเบลในสาขาเคมีในปี 1908 สำหรับ'การสอบสวนเกี่ยวกับการสลายตัวขององค์ประกอบและคุณสมบัติทางเคมีของสารกัมมันตรังสี'ของเขา
ในปี 1905 Albert Einstein จัดรูปแบบความคิดของการสมดุลมวล-พลังงาน ในขณะที่งานด้านกัมมันตภาพรังสีของ Becquerel และมารี กูรี ได้ถือกำเนิดมาก่อน คำอธิบายของแหล่งที่มาของการใช้พลังงานของกัมมันตภาพรังสีจะต้องรอการค้นพบที่ว่าตัวนิวเคลียสเองก็ประกอบด้วยองค์ประกอบขนาดเล็กกว่า ที่เรียกว่า นิวคลีออน
ทีมงานของรัทเธอร์ค้นพบนิวเคลียส
ในปี 1907 นาย ได้ตีพิมพ์ "การแผ่รังสีของอนุภาค α จากเรเดียมผ่านทะลุสสาร" นายฮันส์ ไกเกอร์ ได้ขยายการทำงานนี้เข้าไปในการสื่อสารให้กับราชสโมสร ที่มีการทดลองที่เขาและรัทเธอร์ฟอร์ดได้ทำมา โดยการผ่านอนุภาค α ผ่านอากาศ อะลูมิเนียมและแผ่นทอง การทำงานมากขึ้นถูกตีพิมพ์ในปี 1909 โดยนายไกเกอร์และนาย Marsden และการทำงานที่ขยายตัวออกไปอย่างมากถูกตีพิมพ์ในปี 1910 โดยนายไกเกอร์ ในปี 1911-1912 นายรัทเธอร์ฟอร์ดได้อธิบายต่อหน้าราชสโมสรเรื่องการทดลองและนำเสนอทฤษฎีใหม่ของอะตอมของนิวเคลียสอย่างที่เราเข้าใจมันในตอนนี้
การทดลองที่สำคัญที่อยู่เบื้องหลังการประกาศครั้งนี้เกิดขึ้นในปี 1910 ที่มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ อย่างที่ทีมของเออร์เนส รัทเธอร์ฟอร์ดได้ดำเนินการทดลองที่น่าทึ่ง โดยที่นายฮันส์ ไกเกอร์และนายเออร์เนส Marsden ภายใต้การดูแลของเขาได้ยิงอนุภาคแอลฟา (นิวเคลียสของฮีเลียม) ไปที่ฟิล์มบางของฟอยล์ทองคำ 'รูปแบบของพลัมพุดดิ้ง' คาดการณ์ว่าอนุภาคแอลฟาน่าจะออกมาจากฟอยล์ที่มีวิถีโค้งของพวกมันงอเล็กน้อยเป็นส่วนใหญ่ รัทเธอร์ฟอร์ดมีความคิดที่จะสั่งให้ทีมงานของเขาที่จะมองหาบางสิ่งที่ตกใจเขาจะสังเกตเห็นจริง: อนุภาคไม่กี่ตัวกระจัดกระจายทะลุมุมขนาดใหญ่ แม้แต่วิ่งกลับหลังอย่างสมบูรณ์ในบางกรณี เขาเปรียบมันกับการยิงกระสุนไปที่กระดาษทิชชูและเห็นมันสะท้อนกลับ การค้นพบที่เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลของ Rutherford ในปี 1911 ในที่สุดนำไปสู่ Rutherford model ของอะตอมที่อะตอมมีขนาดที่เล็กมาก นิวเคลียสที่หนาแน่นมากประกอบด้วยมวลของมันเป็นส่วนใหญ่ และที่ประกอบด้วยอนุภาคหนักที่มีประจุบวกกับอิเล็กตรอนที่ฝังตัวเพื่อที่จะสร้างความสมดุลของประจุรวม (เนื่องจากตอนนั้นนิวตรอนยังไม่เป็นที่รู้จัก) ตัวอย่างเช่นในรูปแบบนี้ (ซึ่งไม่ได้เป็นแบบที่ทันสมัย) ไนโตรเจน-14 ประกอบด้วยหนึ่งนิวเคลียสที่มี 14 โปรตอนและ 7 อิเล็กตรอน (อนุภาครวมเป็น 21) และนิวเคลียสถูกล้อมรอบด้วยอีก 7 อิเล็กตรอนที่โคจรล้อมรอบ
Rutherford model ทำงานได้ค่อนข้างดีจนกระทั่งการศึกษาของสปินนิวเคลียร์ (อังกฤษ: nuclear spin) ได้มีการดำเนินการโดยนายฝรังโก Rasetti ที่สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนียในปี 1929 โดยในปี 1925 เป็นที่รู้จักกันว่าโปรตอนและอิเล็กตรอนมีสปินเท่ากับ 1/2 และใน Rutherford model ของไนโตรเจน-14, 20 จากทั้งหมด 21 อนุภาคนิวเคลียร์ควรจะมีการจับคู่กันเพื่อหักล้างการสปินของกันและกัน และอนุภาคแปลกสุดท้ายควรจะเหลือนิวเคลียสที่มีสปินสุทธิเท่ากับ 1/2 อย่างไรก็ตาม Rasetti ค้นพบว่าไนโตรเจน-14 มีสปินเท่ากับ 1
เจมส์ แชดวิก (๋James Chadwick) ค้นพบนิวตรอน
ในปี 1932 ตระหนักว่าการแผ่รังสีที่ได้รับการตรวจสอบโดยนายวอลเธอร์ Bothe นายเฮอร์เบิร์ท เบกเกอร์ นางไอรีนและนาย Frédéric Joliot-Curie เป็นจริงเนื่องจากอนุภาคที่เป็นกลางที่มีมวลเหมือนกับโปรตอน ที่เขาเรียกว่านิวตรอน (ตามข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความจำเป็นสำหรับอนุภาคดังกล่าวโดย Rutherford) ในปีเดียวกันนาย Dmitri Ivanenko แนะนำว่านิวตรอนที่จริงเป็นอนุภาคที่มีสปินเท่ากับ 1/2 และแนะนำอีกว่านิวเคลียสที่มีนิวตรอนเพื่อที่จะอธิบายว่ามวลไม่ได้มีแต่โปรตอนเท่านั้น และว่าไม่มีอิเล็กตรอนในนิวเคลียส - มีแต่โปรตอนและนิวตรอนเท่านั้น สปินของนิวตรอนแก้ปัญหาได้ทันทีในปัญหาของสปินของไนโตรเจน-14 โดยเป็นโปรตอนไม่จับคู่หนึ่งตัวกับนิวตรอนไม่จับคู่อีกหนึ่งตัว แต่ละตัวมีสปินที่ 1/2 ในทิศทางเดียวกัน ทำให้สปินรวมสุดท้ายเท่ากับ 1
กับการค้นพบนิวตรอน นักวิทยาศาสตร์ในที่สุดก็สามารถคำนวณสิ่งที่เป็นส่วนย่อยของพลังงานยึดเหนี่ยวที่แต่ละนิวเคลียสมีอยู่ จากการเปรียบเทียบมวลของนิวเคลียสกับมวลของโปรตอนและนิวตรอนที่ประกอบเป็นนิวเคลียสขึ้นมา ความแตกต่างระหว่างมวลของนิวเคลียสจะถูกคำนวณในลักษณะนี้และ เมื่อปฏิกิริยานิวเคลียร์ถูกวัด ถูกพบว่าเป็นไปตามการคำนวณของ Einstein ของความเท่าเทียมกันของมวลและพลังงานภายใน 1% ณ ปี 1934
สมการสนามโบซอนเวกเตอร์ (vector boson) ขนาดใหญ่ของ Proca
อเล็กซานเดอร์ Proca เป็นคนแรกที่พัฒนาและรายงานสมการสนาม boson เวกเตอร์ ขนาดใหญ่ (อังกฤษ: equations of the massive vector boson field) และทฤษฎีของสนาม mesonic ของแรงนิวเคลียร์ สมการของ Proca ของเป็นที่รู้จักโดย Wolfgang Pauli เขากล่าวถึงสมการที่พูดถึงในรางวัลโนเบลของเขา และสมการเหล่านี้ก็ยังเป็นที่รู้จักโดย Yukawa, Wentzel, Taketani, Sakata, Kemmer, Heitler และ Fröhlich ผู้ที่ชื่นชมเนื้อหาของสมการของ Proca สำหรับการพัฒนาทฤษฎีของนิวเคลียสของอะตอมในฟิสิกส์นิวเคลียร์
meson ของ Yukawa ถูกตั้งสมมติฐานในการยึดเหนี่ยวหลายนิวเคลียสเข้าด้วยกัน
ในปี 1935 นายฮิเดกิ ยูกาวะ ได้นำเสนอทฤษฎีสำคัญของแรงที่แข็งแกร่งเป็นครั้งแรกที่จะอธิบายว่านิวเคลียสยึดเหนี่ยวอยู่ด้วยกันได้อย่างไร ในการปฏิสัมพันธ์แบบ Yukawa อนุภาคเสมือนตัวหนึ่ง ที่ต่อมาถูกเรียกว่า meson ได้ใกล่เกลี่ยแรงระหว่างนิวคลีออนทั้งหมด รวมทั้งโปรตอนและนิวตรอน แรงนี้อธิบายว่าทำไมนิวเคลียสทั้งหลายจะไม่สลายตัวแยกออกจากกันภายใต้อิทธิพลของแรงขับโปรตอน และมันยังให้คำอธิบายว่าทำไมแรงดูดที่แข็งแกร่งถึงมีขอบเขตที่จำกัดมากกว่าแรงผลักแม่เหล็กไฟฟ้าระหว่างโปรตอนด้วยกัน ต่อมา การค้นพบ pi meson แสดงให้เห็นว่ามันจะมีคุณสมบัติของอนุภาคของ Yukawa
ด้วยเอกสารของ Yukawa รูปแบบที่ทันสมัยของอะตอมได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ศูนย์กลางของอะตอมจะมีลูกกลมแน่นของนิวตรอนและโปรตอน ซึ่งถูกยึดเข้าด้วยกันโดยแรงนิวเคลียสที่แข็งแกร่ง นอกเสียจากว่ามันจะมีขนาดใหญ่เกินไป นิวเคลียสที่ไม่เสถียรอาจสลายตัวไห้แอลฟา ที่พวกนิวเคลียสปล่อยนิวเคลียสของฮีเลียมที่มีพลังออกมา หรือการสลายที่ให้บีตาพวกนิวเคลียสปลดปล่อยอิเล็กตรอน (หรือโพซิตรอน) ออกมา หลังจากหนึ่งในการสูญสลายเหล่านี้ นิวเคลียสที่เป็นผลลัพธ์อาจจะถูกปล่อยให้อยู่ในสภาพที่ถูกกระตุ้น และในกรณีนี้มันจะสูญสลายไปสู่สภาพพื้นดินโดยการปลดปล่อยโฟตอนพลังงานสูง (การสลายให้แกมมา)
การศึกษาของแรงนิวเคลียสที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ (ตัวหลังถูกอธิบายโดย Enrico Fermi ผ่านการปฏิสัมพันธ์ของ Fermi ในปี 1934) ได้นำนักฟิสิกส์ไปสู่การชนของนิวเคลียสและอิเล็กตรอนที่พลังงานที่สูงขึ้นกว่าที่เคย การวิจัยครั้งนี้กลายเป็นวิทยาศาสตร์ของฟิสิกส์ของอนุภาค ซึ่งเป็นเพชรในมงกุฎที่เป็นรุ่นมาตรฐานของฟิสิกส์ของอนุภาคซึ่งอธิบายแรงที่แข็งแกร่ง ที่อ่อนแอและแรงแม่เหล็กไฟฟ้า
กัมมันตภาพรังสีในนิวเคลียร์
สำหรับกัมมันตภาพรังสีในตัวของมันกันครับ โดย เรนเก็น นั้นได้ค้นพบรังสีในตัวมันนั้นเอง และ เบคเคอเรล นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศสได้ค้นพบ สารกัมมันตภาพรังสี ยูเรนิก ในขณะที่กำลังค้นคว้าเรื่องรังสีเอ็กซ์
ธาตุกัมตภาพรังสีก็คือ สารธรรมชาติซึ่งมีอยู่ในตัวของมันเองและแพร่ออกมาได้เอง กัมมันตภาพรังสี เป็นปรากฏการ์ณของสารที่แผ่ออกมา โดยมี3ชนิดได้แก่ รังสีแอลฟา รังสีเบตา และรังสีแกมมา โดยเมื่อนำสารกัมมันตรังสีใส่ลงในตะกั่วที่เจาะรูเอาไว้ให้รังสีออกทางช่องทางเดียวไป ผ่านสนามไฟฟ้า พบว่ารังสีหนึ่งจะเบนเข้าหาขั้วบวกคือรังสีเบตา อีกรังสีหนึ่งเบนเข้าหาขั้วลบคือรังสีแอลฟาหรืออนุภาคแอลฟา ส่วนอีกรังสีหนึ่งเป็นกลางทางไฟฟ้าจึงไม่ถูกดูดหรือผลักด้วยอำนาจแม่เหล็กหรืออำนาจนำไฟฟ้า ให้ชื่อรังสีนี้ว่า รังสีแกมมา ดังรูป
ประโยชน์ของฟิสิกส์นิวเคลียร์
1.เพื่อใช้ทางด้านเกษตรกรรม
นักวิทยศาสตร์ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ กับรังสีของนิวเคลียร์เพื่อที่จะทดสอบกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมแต่ละที่
1.1 การปรับเปลี่ยนพันธุกรรม การใช้รังสีช่วยในการเพิ่มแร่ธาตุในดิน เช่นฟอสฟอรัส -32 ที่ปะปนอยู่ดินบริเวณต้นไม้นั้น รากของต้นไม้จะดูดซึม กัมมันตภาพรังสี เพื่อส่งต่อไปยังลำต้นของและส่วนอื่น ๆ ของต้นไม้ เพื่อที่จะรอปรุงอาหาร
1.2 มันสามารถทำให้เรารู้ปริมาณของปุ๋ย ที่ดูดซึมของต้นไม้ได้
1.3 ใช้ในการคัดเลือกโคนมโดยใช้ ตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์ซึ่งมีผลต่อปริมาณน้ำนมของโคนมอีกด้วย
1.4 กำจัดแมลงโดยอาบรังสีทำให้แมลงตายโดนใช้การแตกตัวของอะตอม ในเซลล์หรือหยุดการแพร่พันธุ์ของแมลง
2.เพื่อใช้ในการแพทย์
ปัจจุบันมีการใช้รังสีในด้านต่าง ๆ ในการแพทย์เช่นทำคีโม่ หรือ ล่าสุดมีการฉายรังสีเพื่อตรวจสอบการไหลเวียนของโลหิตเพื่อให้ การรักษาเส้นเลือดอุดตันมีประสิทธิภาพขึ้นอีกด้วย
2.1ประโยชน์จากรังสีไอโอโอดีน -131 ช่วยในการตรวจต่อมไทรอยด์อีกด้วย
2.2สามารถรักษาโรคมะเร็งได้ ด้วยรังสีโคบอลต์ –60
2.3การใช้ โซดียม 24 วินิจฉัยการอุดตันของระบบทางเดินโลหิต
3.เพื่อใช้ในด้านอุตสาหกรรม
ปัจจัยหลักที่จะทำให้อุตสาหกรรมก้าวหน้าไปได้ในสภาวะเศรษฐกิจของโลก ในขณะนี้ คือ การเพิ่มผลผลิต การควบคุมคุณภาพ และการลดต้นทุนการผลิต เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวในปัจจุบันไทยได้นำเทคโนโลยีนิวเคลียร์มาใช้ในการประกอบอุตสาหกรรมต่าง ๆ
3.1มีการใช้ รังสีในการตรวจสอบ สินค้าอุตสาหกรรมพวกแผ่นเหล็ก ว่าได้มาตรฐาน ตรงตามที่โรงงานกำหนดหรือไม่อีกด้วย
3.2การเชื่อมโลหะ โดยการหารอยรั่วของท่อลำเลียงน้ำมันด้วยรังสีแกมมา ทำให้ช่วยประหยัด ทั้งเวลา และแรงงาน
3.3สามารถวบคุมความหนาของแผ่นโลหะได้อย่างที่เรากำหนดให้สม่ำเสมออย่างต่อเนื่องด้วยกระบวนการผลิตด้วยรังสี
อันตรายจากกัมมันตภาพรังสี
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นได้มีการใช้ระเบิดปรมาณมากที่ญี่ปุ่น พลังงานอันมหาศาลของปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันได้ทำลายสิ่งก่อสร้างและชีวิตมนุษย์เป็นจำนวนมาก แต่เดิมนั้นคิดว่ามนุษย์ตายเพราะแรงระเบิดเท่านั้น เพราะยังไม่เคยมีการศึกษาหรือทดลองผลกระทบของกัมมันตภาพรังสีต่อสิ่งมีชีวิตในสมัยนั้น รวมทั้งไม่มีเครื่องมือตรวจสอบสารกัมมันตภาพรังสีที่อยู่บริเวณที่ถูกระเบิดและในร่างกายผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุการ์ณนั้น แต่หลังจากการระเบิดของระเบิดปรมาณูประมาณ 1 ปี ก็พบว่ามีคนจำนวนมากเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเพราะได้รับกัมมันตภาพรังสี ด้วยเหตุนี้โลกจึงเริ่มตื่นตัวศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของกัมมันตภาพรังสีที่มีต่อชีวิตมนุษย์ เมื่อกัมมันตภาพรังสีจากธาตุกัมมันตภาพรังสีผ่านเข้าไปในเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตจะทำให้เนื้อเยื่อเปลี่ยนแปลงคือ อาจทำให้เนื้อเยื่อตายทันทีหรือเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจนำไปสู่สาเหตุของการเป็นโรคมะเร็งได้
รูป 20.23 โครงสร้าง DNA
ความรุนแรงของอันตรายที่เกิดต่อร่างกาย
ความรุนแรงของอันตรายที่เกิดต่อร่างกายซึ่งได้รับกัมมันตภาพรังสี ขึ้นกับปริมาณของกัมมันตภาพรังสีในช่วงเวลาที่ร่างกายได้รับ และส่วนของร่างกายที่รับกัมมันตภาพรังสีนั้น ตามปกติมนุษย์ได้รับกัมมันตภาพรังสีจากสภาพแวดล้อมในธรรมชาติอยู่ตลอดเวลาแล้วแต่ในปริมาณที่น้อยจึงไม่เป็นอันตรายใด ๆ ต่อร่างกายของเราเลย การบำบัดช่วยให้เรามีภูมิคุ้มกันโรคด้วยสารกัมมันตภาพรังสีหรือการตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จะทำให้ร่างกายได้รับกัมมันตภาพรังสีในปริมาณสูง แต่ก็ยังไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายเฉียบพลันเหมือนกับอยู่ในเหตุการณ์การระเบิดของปรมาณูหรือการระเบิดในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ อาการที่ปรากฏหลังจากที่ร่างกายได้รับกัมมันตภาพรังสี จะมีอาการคลื่นไส้ เบื่ออาหาร ปวดศีรษะ ถ้าอาการหนักผมอาจร่วง แต่ส่วนใหญ่แล้วอาการเหล่านี้จะไม่ปรากฏในทันที ดังนั้นประชาชนและผู้เกี่ยวข้องกับกัมมันตภาพรังสีจึงไม่ใส่ใจต่อการป้องกันอันตราย เมื่อเนื้อเยื่อของร่างกายได้รับสารกัมมันตภาพรังสีจะทำให้อิเล็กตรอนหลุดจากอะตอม หรือพันธะเคมีเสียหายทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของเซลล์เกิดขึ้น ความเสียหายมีตั้งแต่เล็กน้อยที่ร่างกายสามารถรักษาตัวเองได้ จนถึงเสียหายมากก็ขึ้นอยู่กับปริมาณของกัมมันตภาพรังสีที่ได้รับและระยะเวลา โดยเฉพาะเนื้อเยื่อสมองและเนื้อเยื่อบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์เป็นตำแหน่งของร่างกายที่ไวต่อการรับกัมมันตภาพรังสีมากที่สุด สำหรับเนื้อเยื่อบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ทีนะ
อ้างอิง
- B. R. Martin (2006). Nuclear and Particle Physics. John Wiley & Sons, Ltd. .
- Henri Becquerel (1896). "Sur les radiations émises par phosphorescence". Comptes Rendus 122: 420–421.
- J.J. Thomson (1897) 'The Electrician 39, 104
- Philosophical Magazine (12, p 134-46)
- Proc. Roy. Soc. July 17, 1908
- ; (1909). "On the diffuse reflection of the α-particles". . 82 (557): 495. Bibcode:1909RSPSA..82..495G. doi:10.1098/rspa.1909.0054.
- H. Geiger, Roy. Soc. Proc. vol. LXXXIII (1910) 492
- J. Chadwick, Nature 192 (1932) 312
- W. Pauli, Nobel lecture, December 13, 1946
- Poenaru, Dorin N.; Calboreanu, Alexandru (2006). "Alexandru Proca (1897–1955) and his equation of the massive vector boson field". . 37 (5): 25–27. Bibcode:2006ENews..37...24P. doi:10.1051/epn:2006504.
- G. A. Proca, Alexandre Proca.Oeuvre Scientifique Publiée, S.I.A.G., Rome, 1988.
- Vuille, C.; Ipser, J.; Gallagher, J. (2002). "Einstein–Proca model, micro black holes, and naked singularities". General Relativity and Gravitation. 34 (5): 689. :1406.0497. Bibcode:2002GReGr..34..689V. doi:10.1023/a:1015942229041. S2CID 118221997.
- Scipioni, R. (1999). "Isomorphism between non-Riemannian gravity and Einstein–Proca–Weyl theories extended to a class of scalar gravity theories". Class. Quantum Gravity. 16 (7): 2471–2478. :gr-qc/9905022. Bibcode:1999CQGra..16.2471S. doi:10.1088/0264-9381/16/7/320. S2CID 6740644.
- Tucker, R. W; Wang, C (1997). "An Einstein–Proca-fluid model for dark matter gravitational interactions". Nuclear Physics B: Proceedings Supplements. 57 (1–3): 259–262. Bibcode:1997NuPhS..57..259T. doi:10.1016/s0920-5632(97)00399-x.
- On the Interaction of Elementary Particles I. Proceedings of the Physico-Mathematical Society of Japan. 3rd Series Vol. 17 (1935) p. 48-57
http://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?ID=77204
http://ikaen2520.wordpress.com/3-ฟิสิกส์-ม-6/5-ฟิสิกส์นิวเคลียร์/ 2014-03-14 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
เรียบเรียบงแก้ไข ล่าสุด วันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2557
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
fisiksniwekhliyr xngkvs Nuclear physics hruxfisikskhxngniwekhliys epnsakhahnungkhxngwichafisiksthisuksaxngkhprakxbtang aelaptismphnthrahwangknkhxngniwekhliysthnghlaykhxngxatxm karprayuktichfisiksniwekhliyrthithrabkndithisudkhux karphlitiffacakphlngnganniwekhliyraelaethkhonolyixawuthniwekhliyr aetkarwicyidprayuktinhlaysakha echn aelakarsrangphaphdwyerosaennsaemehlk karplukfngixxxninwiswkrrmsastrwsdu aelakarhaxayucakkharbxnkmmntrngsiinwichaphumisastraelaobrankhdi niwekhliysepnsingthiyngimepnthiekhaicthangthvsti ephraamnprakxbipdwyxnuphakhcanwnmak echn oprtxn aelaniwtrxn aetimmikhnadihyphxthicaxthibaylksnaidthuktxngehmuxnxyangphluk cungmikarichaebbcalxngkhxngniwekhliyssungichsuksaphvtikrrmthangniwekhliyrswnihyid odyxacichepnwithikarediywhruxrwmkbwithikarxun prawti Henri Becquerel nkfisikschawfrngess epnphukhnphbkmmntphaphrngsiinsarprakxbyuereniym eriykwa rngsiyuernik inkhnathithakarwiekhraahekiywkbrngsiexks kmmntphaphrngsimismbtiaetktangcakrngsiexks khux mikhwamekhmnxykwarngsiexks karaephrngsiekidkhunxyangtxenuxngtlxdewla prawtithimakhxngfisiksniwekhliyraetktangcakfisikskhxngxatxmerimtndwykarkhnphbkhxngkmmntphaphrngsiody xxngri Becquerel inpi 1896 khnathikalngsubswnkareruxngaesngkhxngfxsfxrs xngkvs phosphorescence inekluxyuereniym karkhnphbxielktrxnodynayec ec thxmsn inhnungpitxmakbngchiwaxatxmmiokhrngsrangphayin intxntnkhxngstwrrsthi 20 rupaebbthiidrbkaryxmrbkhxngxatxmepnrupaebbphlmphuddingkhxngececthxmsninthisungxatxmepnlukklmkhnadihythimipracubwkaelamixielktrxnpraculbkhnadelkthifngxyuphayinkhxngmn hlaypitxma praktkarnkhxngkmmntphaphrngsiidthuktrwcsxbxyangkwangkhwang thisadudtakepnkhxngthimngansamiphrryapiaexr kuriaelamari kuri aelakhxngexxrens rthethxrfxrdaelaephuxnrwmngankhxngekha inchwngepliynkhxngstwrrs nkfisiksyngidkhnphbsamchnidkhxngkaraephrngsithieldlxdxxkmacakxatxm phwkmnmichuxwaxnuphakhaexlfa xnuphakhbita aelarngsiaekmma karthdlxnginpi 1911 odyxxtot hahnaelaecms aechdwikh idkhnphbinpi 1914 wasepkhtrmkarslayihxnuphakhbitaepnxyangtxenuxngmakkwathicaimtxenuxng nnkhuxxielktrxncathukpldplxyxxkmacakxatxmthimichwnghnungkhxngphlngnganmakkwacaepnprimanthiimtxenuxngkhxngphlngnganthithuksngektinkarslayidrngsiaekmmaaelakarslayihxnuphakhaexlfa niepnpyhahnungsahrbfisiksniwekhliyrinchwngewlann ephraamnduehmuxncabngbxkthungphlngnganthiimmikarxnurks phlngnganxxkimethakbphlngnganekha inkarsuyslayehlani rangwloneblpi 1903 insakhafisiksidmxbihkbnay Becquerel sahrbkarkhnphbkhxngekha rwmkbnaypiaexr kuriaelanangmari kurisahrbkarwicythitammakhxngphwkekhaekiywkbkmmntphaphrngsi nayrthethxrfxrdkidrbrangwloneblinsakhaekhmiinpi 1908 sahrb karsxbswnekiywkbkarslaytwkhxngxngkhprakxbaelakhunsmbtithangekhmikhxngsarkmmntrngsi khxngekha inpi 1905 Albert Einstein cdrupaebbkhwamkhidkhxngkarsmdulmwl phlngngan inkhnathingandankmmntphaphrngsikhxng Becquerel aelamari kuri idthuxkaenidmakxn khaxthibaykhxngaehlngthimakhxngkarichphlngngankhxngkmmntphaphrngsicatxngrxkarkhnphbthiwatwniwekhliysexngkprakxbdwyxngkhprakxbkhnadelkkwa thieriykwa niwkhlixxn thimngankhxngrthethxrkhnphbniwekhliys inpi 1907 nay idtiphimph karaephrngsikhxngxnuphakh a cakerediymphanthalussar nayhns ikekxr idkhyaykarthanganniekhaipinkarsuxsarihkbrachsomsr thimikarthdlxngthiekhaaelarthethxrfxrdidthama odykarphanxnuphakh a phanxakas xalumieniymaelaaephnthxng karthanganmakkhunthuktiphimphinpi 1909 odynayikekxraelanay Marsden aelakarthanganthikhyaytwxxkipxyangmakthuktiphimphinpi 1910 odynayikekxr inpi 1911 1912 nayrthethxrfxrdidxthibaytxhnarachsomsreruxngkarthdlxngaelanaesnxthvsdiihmkhxngxatxmkhxngniwekhliysxyangthieraekhaicmnintxnni karthdlxngthisakhythixyuebuxnghlngkarprakaskhrngniekidkhuninpi 1910 thimhawithyalyaemnechsetxr xyangthithimkhxngexxrens rthethxrfxrdiddaeninkarthdlxngthinathung odythinayhns ikekxraelanayexxrens Marsden phayitkarduaelkhxngekhaidyingxnuphakhaexlfa niwekhliyskhxnghieliym ipthifilmbangkhxngfxylthxngkha rupaebbkhxngphlmphudding khadkarnwaxnuphakhaexlfanacaxxkmacakfxylthimiwithiokhngkhxngphwkmnngxelknxyepnswnihy rthethxrfxrdmikhwamkhidthicasngihthimngankhxngekhathicamxnghabangsingthitkicekhacasngektehncring xnuphakhimkitwkracdkracaythalumumkhnadihy aemaetwingklbhlngxyangsmburninbangkrni ekhaepriybmnkbkaryingkrasunipthikradasthichchuaelaehnmnsathxnklb karkhnphbthierimtndwykarwiekhraahkhxmulkhxng Rutherford inpi 1911 inthisudnaipsu Rutherford model khxngxatxmthixatxmmikhnadthielkmak niwekhliysthihnaaennmakprakxbdwymwlkhxngmnepnswnihy aelathiprakxbdwyxnuphakhhnkthimipracubwkkbxielktrxnthifngtwephuxthicasrangkhwamsmdulkhxngpracurwm enuxngcaktxnnnniwtrxnyngimepnthiruck twxyangechninrupaebbni sungimidepnaebbthithnsmy inotrecn 14 prakxbdwyhnungniwekhliysthimi 14 oprtxnaela 7 xielktrxn xnuphakhrwmepn 21 aelaniwekhliysthuklxmrxbdwyxik 7 xielktrxnthiokhcrlxmrxb Rutherford model thanganidkhxnkhangdicnkrathngkarsuksakhxngspinniwekhliyr xngkvs nuclear spin idmikardaeninkarodynayfrngok Rasetti thisthabnethkhonolyiaekhlifxreniyinpi 1929 odyinpi 1925 epnthiruckknwaoprtxnaelaxielktrxnmispinethakb 1 2 aelain Rutherford model khxnginotrecn 14 20 cakthnghmd 21 xnuphakhniwekhliyrkhwrcamikarcbkhuknephuxhklangkarspinkhxngknaelakn aelaxnuphakhaeplksudthaykhwrcaehluxniwekhliysthimispinsuththiethakb 1 2 xyangirktam Rasetti khnphbwainotrecn 14 mispinethakb 1 ecms aechdwik James Chadwick khnphbniwtrxn inpi 1932 trahnkwakaraephrngsithiidrbkartrwcsxbodynaywxlethxr Bothe nayehxrebirth ebkekxr nangixrinaelanay Frederic Joliot Curie epncringenuxngcakxnuphakhthiepnklangthimimwlehmuxnkboprtxn thiekhaeriykwaniwtrxn tamkhxesnxaenaekiywkbkhwamcaepnsahrbxnuphakhdngklawody Rutherford inpiediywknnay Dmitri Ivanenko aenanawaniwtrxnthicringepnxnuphakhthimispinethakb 1 2 aelaaenanaxikwaniwekhliysthiminiwtrxnephuxthicaxthibaywamwlimidmiaetoprtxnethann aelawaimmixielktrxninniwekhliys miaetoprtxnaelaniwtrxnethann spinkhxngniwtrxnaekpyhaidthnthiinpyhakhxngspinkhxnginotrecn 14 odyepnoprtxnimcbkhuhnungtwkbniwtrxnimcbkhuxikhnungtw aetlatwmispinthi 1 2 inthisthangediywkn thaihspinrwmsudthayethakb 1 kbkarkhnphbniwtrxn nkwithyasastrinthisudksamarthkhanwnsingthiepnswnyxykhxngphlngnganyudehniywthiaetlaniwekhliysmixyu cakkarepriybethiybmwlkhxngniwekhliyskbmwlkhxngoprtxnaelaniwtrxnthiprakxbepnniwekhliyskhunma khwamaetktangrahwangmwlkhxngniwekhliyscathukkhanwninlksnaniaela emuxptikiriyaniwekhliyrthukwd thukphbwaepniptamkarkhanwnkhxng Einstein khxngkhwamethaethiymknkhxngmwlaelaphlngnganphayin 1 n pi 1934 smkarsnamobsxnewketxr vector boson khnadihykhxng Proca xelksanedxr Proca epnkhnaerkthiphthnaaelarayngansmkarsnam boson ewketxr khnadihy xngkvs equations of the massive vector boson field aelathvsdikhxngsnam mesonic khxngaerngniwekhliyr smkarkhxng Proca khxngepnthiruckody Wolfgang Pauli ekhaklawthungsmkarthiphudthunginrangwloneblkhxngekha aelasmkarehlanikyngepnthiruckody Yukawa Wentzel Taketani Sakata Kemmer Heitler aela Frohlich phuthichunchmenuxhakhxngsmkarkhxng Proca sahrbkarphthnathvsdikhxngniwekhliyskhxngxatxminfisiksniwekhliyr meson khxng Yukawa thuktngsmmtithaninkaryudehniywhlayniwekhliysekhadwykn inpi 1935 nayhiedki yukawa idnaesnxthvsdisakhykhxngaerngthiaekhngaekrngepnkhrngaerkthicaxthibaywaniwekhliysyudehniywxyudwyknidxyangir inkarptismphnthaebb Yukawa xnuphakhesmuxntwhnung thitxmathukeriykwa meson idiklekliyaerngrahwangniwkhlixxnthnghmd rwmthngoprtxnaelaniwtrxn aerngnixthibaywathaimniwekhliysthnghlaycaimslaytwaeykxxkcakknphayitxiththiphlkhxngaerngkhboprtxn aelamnyngihkhaxthibaywathaimaerngdudthiaekhngaekrngthungmikhxbekhtthicakdmakkwaaerngphlkaemehlkiffarahwangoprtxndwykn txma karkhnphb pi meson aesdngihehnwamncamikhunsmbtikhxngxnuphakhkhxng Yukawa dwyexksarkhxng Yukawa rupaebbthithnsmy khxngxatxmidesrcsmburnaelw sunyklangkhxngxatxmcamilukklmaennkhxngniwtrxnaelaoprtxn sungthukyudekhadwyknodyaerngniwekhliysthiaekhngaekrng nxkesiycakwamncamikhnadihyekinip niwekhliysthiimesthiyrxacslaytwihaexlfa thiphwkniwekhliysplxyniwekhliyskhxnghieliymthimiphlngxxkma hruxkarslaythiihbitaphwkniwekhliyspldplxyxielktrxn hruxophsitrxn xxkma hlngcakhnunginkarsuyslayehlani niwekhliysthiepnphllphthxaccathukplxyihxyuinsphaphthithukkratun aelainkrninimncasuyslayipsusphaphphundinodykarpldplxyoftxnphlngngansung karslayihaekmma karsuksakhxngaerngniwekhliysthiaekhngaekrngaelaxxnaex twhlngthukxthibayody Enrico Fermi phankarptismphnthkhxng Fermi inpi 1934 idnankfisiksipsukarchnkhxngniwekhliysaelaxielktrxnthiphlngnganthisungkhunkwathiekhy karwicykhrngniklayepnwithyasastrkhxngfisikskhxngxnuphakh sungepnephchrinmngkudthiepnrunmatrthankhxngfisikskhxngxnuphakhsungxthibayaerngthiaekhngaekrng thixxnaexaelaaerngaemehlkiffakmmntphaphrngsiinniwekhliyrsahrbkmmntphaphrngsiintwkhxngmnknkhrb ody ernekn nnidkhnphbrngsiintwmnnnexng aela ebkhekhxerl nkfisikschawfrngessidkhnphb sarkmmntphaphrngsi yuernik inkhnathikalngkhnkhwaeruxngrngsiexks thatukmtphaphrngsikkhux sarthrrmchatisungmixyuintwkhxngmnexngaelaaephrxxkmaidexng kmmntphaphrngsi epnpraktkarnkhxngsarthiaephxxkma odymi3chnididaek rngsiaexlfa rngsiebta aelarngsiaekmma odyemuxnasarkmmntrngsiislngintakwthiecaaruexaiwihrngsixxkthangchxngthangediywip phansnamiffa phbwarngsihnungcaebnekhahakhwbwkkhuxrngsiebta xikrngsihnungebnekhahakhwlbkhuxrngsiaexlfahruxxnuphakhaexlfa swnxikrngsihnungepnklangthangiffacungimthukdudhruxphlkdwyxanacaemehlkhruxxanacnaiffa ihchuxrngsiniwa rngsiaekmma dngruppraoychnkhxngfisiksniwekhliyr1 ephuxichthangdanekstrkrrm nkwithysastrsuksakhnkhwaekiywkb kbrngsikhxngniwekhliyrephuxthicathdsxbkbkarepliynaeplngkhxngsphaphaewdlxmaetlathi 1 1 karprbepliynphnthukrrm karichrngsichwyinkarephimaerthatuindin echnfxsfxrs 32 thipapnxyudinbriewntnimnn rakkhxngtnimcadudsum kmmntphaphrngsi ephuxsngtxipynglatnkhxngaelaswnxun khxngtnim ephuxthicarxprungxahar 1 2 mnsamarththaiheraruprimankhxngpuy thidudsumkhxngtnimid 1 3 ichinkarkhdeluxkokhnmodyich trwckarthangankhxngtxmithrxydsungmiphltxprimannanmkhxngokhnmxikdwy 1 4 kacdaemlngodyxabrngsithaihaemlngtayodnichkaraetktwkhxngxatxm inesllhruxhyudkaraephrphnthukhxngaemlng 2 ephuxichinkaraephthy pccubnmikarichrngsiindantang inkaraephthyechnthakhiom hrux lasudmikarchayrngsiephuxtrwcsxbkarihlewiynkhxngolhitephuxih karrksaesneluxdxudtnmiprasiththiphaphkhunxikdwy 2 1praoychncakrngsiixoxoxdin 131 chwyinkartrwctxmithrxydxikdwy 2 2samarthrksaorkhmaerngid dwyrngsiokhbxlt 60 2 3karich osdiym 24 winicchykarxudtnkhxngrabbthangedinolhit 3 ephuxichindanxutsahkrrm pccyhlkthicathaihxutsahkrrmkawhnaipidinsphawaesrsthkickhxngolk inkhnani khux karephimphlphlit karkhwbkhumkhunphaph aelakarldtnthunkarphlit ephuxihbrrluwtthuprasngkhdngklawinpccubnithyidnaethkhonolyiniwekhliyrmaichinkarprakxbxutsahkrrmtang 3 1mikarich rngsiinkartrwcsxb sinkhaxutsahkrrmphwkaephnehlk waidmatrthan trngtamthiorngngankahndhruximxikdwy 3 2karechuxmolha odykarharxyrwkhxngthxlaeliyngnamndwyrngsiaekmma thaihchwyprahyd thngewla aelaaerngngan 3 3samarthwbkhumkhwamhnakhxngaephnolhaidxyangthierakahndihsmaesmxxyangtxenuxngdwykrabwnkarphlitdwyrngsixntraycakkmmntphaphrngsiinsmysngkhramolkkhrngthi 2 nnidmikarichraebidprmanmakthiyipun phlngnganxnmhasalkhxngptikiriyaniwekhliyrfiwchnidthalaysingkxsrangaelachiwitmnusyepncanwnmak aetedimnnkhidwamnusytayephraaaerngraebidethann ephraayngimekhymikarsuksahruxthdlxngphlkrathbkhxngkmmntphaphrngsitxsingmichiwitinsmynn rwmthngimmiekhruxngmuxtrwcsxbsarkmmntphaphrngsithixyubriewnthithukraebidaelainrangkayphuekhraahraycakehtukarnnn aethlngcakkarraebidkhxngraebidprmanupraman 1 pi kphbwamikhncanwnmakesiychiwitdwyorkhmaerngephraaidrbkmmntphaphrngsi dwyehtuniolkcungerimtuntwsuksaekiywkbphlkrathbkhxngkmmntphaphrngsithimitxchiwitmnusy emuxkmmntphaphrngsicakthatukmmntphaphrngsiphanekhaipinenuxeyuxkhxngsingmichiwitcathaihenuxeyuxepliynaeplngkhux xacthaihenuxeyuxtaythnthihruxepliynaeplngip sungxacnaipsusaehtukhxngkarepnorkhmaerngid rup 20 23 okhrngsrang DNA khwamrunaerngkhxngxntraythiekidtxrangkay khwamrunaerngkhxngxntraythiekidtxrangkaysungidrbkmmntphaphrngsi khunkbprimankhxngkmmntphaphrngsiinchwngewlathirangkayidrb aelaswnkhxngrangkaythirbkmmntphaphrngsinn tampktimnusyidrbkmmntphaphrngsicaksphaphaewdlxminthrrmchatixyutlxdewlaaelwaetinprimanthinxycungimepnxntrayid txrangkaykhxngeraely karbabdchwyiheramiphumikhumknorkhdwysarkmmntphaphrngsihruxkartngthinthanxyuiklorngiffaniwekhliyr cathaihrangkayidrbkmmntphaphrngsiinprimansung aetkyngimepnxntraytxrangkayechiybphlnehmuxnkbxyuinehtukarnkarraebidkhxngprmanuhruxkarraebidinorngiffaniwekhliyr xakarthiprakthlngcakthirangkayidrbkmmntphaphrngsi camixakarkhlunis ebuxxahar pwdsirsa thaxakarhnkphmxacrwng aetswnihyaelwxakarehlanicaimpraktinthnthi dngnnprachachnaelaphuekiywkhxngkbkmmntphaphrngsicungimisictxkarpxngknxntray emuxenuxeyuxkhxngrangkayidrbsarkmmntphaphrngsicathaihxielktrxnhludcakxatxm hruxphnthaekhmiesiyhaythaihmikarepliynaeplngthangkayphaphkhxngesllekidkhun khwamesiyhaymitngaetelknxythirangkaysamarthrksatwexngid cnthungesiyhaymakkkhunxyukbprimankhxngkmmntphaphrngsithiidrbaelarayaewla odyechphaaenuxeyuxsmxngaelaenuxeyuxbriewnxwywasubphnthuepntaaehnngkhxngrangkaythiiwtxkarrbkmmntphaphrngsimakthisud sahrbenuxeyuxbriewnxwywasubphnthuthinaxangxingB R Martin 2006 Nuclear and Particle Physics John Wiley amp Sons Ltd ISBN 0 470 01999 9 Henri Becquerel 1896 Sur les radiations emises par phosphorescence Comptes Rendus 122 420 421 J J Thomson 1897 The Electrician 39 104 Philosophical Magazine 12 p 134 46 Proc Roy Soc July 17 1908 1909 On the diffuse reflection of the a particles 82 557 495 Bibcode 1909RSPSA 82 495G doi 10 1098 rspa 1909 0054 H Geiger Roy Soc Proc vol LXXXIII 1910 492 J Chadwick Nature 192 1932 312 W Pauli Nobel lecture December 13 1946 Poenaru Dorin N Calboreanu Alexandru 2006 Alexandru Proca 1897 1955 and his equation of the massive vector boson field 37 5 25 27 Bibcode 2006ENews 37 24P doi 10 1051 epn 2006504 G A Proca Alexandre Proca Oeuvre Scientifique Publiee S I A G Rome 1988 Vuille C Ipser J Gallagher J 2002 Einstein Proca model micro black holes and naked singularities General Relativity and Gravitation 34 5 689 1406 0497 Bibcode 2002GReGr 34 689V doi 10 1023 a 1015942229041 S2CID 118221997 Scipioni R 1999 Isomorphism between non Riemannian gravity and Einstein Proca Weyl theories extended to a class of scalar gravity theories Class Quantum Gravity 16 7 2471 2478 gr qc 9905022 Bibcode 1999CQGra 16 2471S doi 10 1088 0264 9381 16 7 320 S2CID 6740644 Tucker R W Wang C 1997 An Einstein Proca fluid model for dark matter gravitational interactions Nuclear Physics B Proceedings Supplements 57 1 3 259 262 Bibcode 1997NuPhS 57 259T doi 10 1016 s0920 5632 97 00399 x On the Interaction of Elementary Particles I Proceedings of the Physico Mathematical Society of Japan 3rd Series Vol 17 1935 p 48 57 http www myfirstbrain com student view aspx ID 77204 http ikaen2520 wordpress com 3 fisiks m 6 5 fisiksniwekhliyr 2014 03 14 thi ewyaebkaemchchin eriyberiybngaekikh lasud wnthi 8 tulakhm ph s 2557 ptikiriyaniwekhliyr