โครโมโซม (อังกฤษ: chromosome) เป็นที่เก็บของหน่วยพันธุกรรม ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมและถ่ายทอดข้อมูล เกี่ยวกับ ลักษณะทางพันธุกรรมต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต เช่น ลักษณะของเส้นผม ลักษณะดวงตา เพศ และสีผิว
หน่วยพันธุกรรม หรือ ยีน (gene) ปรากฏอยู่บนโครโมโซม ประกอบด้วยดีเอ็นเอ ทำหน้าที่กำหนดลักษณะ ทางพันธุกรรมต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต หน่วยพันธุกรรมจะถูกถ่ายทอดจากสิ่งมีชีวิตรุ่นก่อนหน้าสู่ลูกหลาน เช่น ควบคุมกระบวนการเกี่ยวกับกิจกรรมทั่วไปทางชีวเคมีภายในเซลล์สิ่งมีชีวิต ไปจนถึงลักษณะปรากฏที่พบเห็นหรือสังเกตได้ด้วยตา เช่น รูปร่างหน้าตาของเด็กที่คล้ายพ่อแม่, สีสันของดอกไม้, รสชาติของอาหารนานาชนิด ล้วนแล้วแต่เป็นลักษณะที่บันทึกอยู่ในหน่วยพันธุกรรมทั้งสิ้น
การค้นพบ
ประมาณ ค.ศ. 1860 เกรกอร์ เม็นเดิล (Gregor Mendel) ได้ศึกษาลักษณะต่าง ๆ ของต้นถั่วลันเตา ที่มีการถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่ง ไปยังต้นถั่วที่ปลูกในรุ่นถัดไป เขาตั้งสมมุติฐานว่า มีอะไรบางอย่าง นำลักษณะต่าง ๆ จากรุ่นพ่อแม่ ไปสู่รุ่นลูก
หน่วยพันธุกรรมที่เม็นเดิลค้นพบนั้น เม็นเดิลไม่ได้มองเห็นหน่วยพันธุกรรมจริง เพียงแต่อาศัยข้อมูล ที่ได้จากการทดลอง และหาเหตุผลทางคณิตศาสตร์ หน่วยพันธุ์กรรมที่เม็นเดิลค้นพบ เป็นเพียงนามธรรมเท่านั้น (และเขาก็ไม่ได้ใช้คำว่า ยีน หรือ หน่วยพันธุกรรม โดยตรง)
ในขณะที่เม็นเดิลค้นคว้าอยู่นั้น นักชีววิทยากลุ่มหนึ่งที่ใช้กล้องจุลทรรศน์ เป็นเครื่องค้นคว้า ได้พบรายละเอียดของเซลล์มากขึ้น จนกระทั่ง ค.ศ. 1889 นักชีววิทยาจึงสามารถ เห็นรายละเอียดภายในนิวเคลียส ขณะที่มีการแบ่งเซลล์ ได้พบว่าภายในนิวเคลียส มีโครงสร้างที่ติดสีได้และมีลักษณะเป็นเส้นใย เรียกว่า โครโมโซม (Chromosome)
ปี ค.ศ.1902 หลังจากการค้นพบผลงานของเม็นเดิล 2 ปี นักชีววิทยาชาวอเมริกัน และ นักชีววิทยาชาวเยอรมัน ได้เสนอว่า "หน่วยพันธุ์กรรมที่เม็นเดิลค้นพบ อยู่ในโครโมโซม" ซัตตันได้ศึกษาเซลล์ในอัณฑะตั๊กแตน และเสนอไว้ว่าโครโมโซม ที่เข้าคู่กันในขณะที่มีการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส จะแยกจากกันไปอยู่ต่างเซลล์กัน เหมือนการแยกของยีนที่เป็นแอลลีนกัน ตามกฎแห่งการแยกตัว จึงสรุปได้ว่ายีนอยู่บนโครโมโซม ซึ่งเป็นการค้นพบครั้งใหญ่ในสมัยนั้น
ลักษณะของโครโมโซม
ในภาวะปกติเมื่อมองผ่านกล้องจุลทรรศน์จะเห็นโครโมโซมมีลักษณะคล้ายเส้นด้ายบาง ๆ เรียกว่า “โครมาติน (chromatin) ” ขดตัวอยู่ในนิวเคลียส เมื่อเซลล์เริ่มแบ่งตัว เส้นโครมาตินจะหดตัวสั้นเข้ามีลักษณะเป็นแท่ง จึงเรียกว่า “โครโมโซม” แต่ละโครโมโซมประกอบด้วยแขนสองข้างที่เรียกว่า “โครมาทิด (chromatid) ” ซึ่งแขนทั้งสองข้างจะมีจุดเชื่อมกัน เรียกว่า “เซนโทรเมียร์ ( centromere)
โครโมโซมเป็นโครงสร้างที่อยู่ในนิวเคลียสของเซลล์ ในขณะที่เซลล์ไม่แบ่งตัว โครโมโซมจะยืดยาวออกคล้ายเส้นใยเล็ก ๆ สานกันอยู่ในนิวเคลียส เมื่อมีการแบ่งเซลล์จะมีการแบ่งโครโมโซม โดยโครโมโซมจะจำลองตัวเองขึ้นมา เป็นเส้นคู่ที่เหมือนกันทุกประการ แล้วค่อย ๆ ขดตัวสั้นเข้า โครโมโซมจะโตมาก การศึกษาโครโมโซมจึงต้องศึกษาในระยะแบ่งเซลล์ ถ้ามีเทคนิคในการเตรียมที่ดี ก็จะสามารถมองเห็นรูปร่างลักษณะ ของโครโมโซมจากกล้องจุลทรรศน์ และอาจนับจำนวนโครโมโซมได้
โครโมโซมเป็นโครงสร้างที่อยู่ในนิวเคลียสของเซลล์ ในขณะที่เซลล์ไม่แบ่งตัวหรืออยู่ในระยะ (interphase) เราจะไม่เห็นโครโมโซมเนื่องจากโครโมโซมอยู่ในลักษณะเป็นเส้นใยเล็ก ๆ สานกันอยู่ในนิวเคลียส เส้นใยนี้เรียกว่า โครมาทิน (Chromatin) แต่เมื่อเซลล์จะแบ่งตัวโครมาทินแต่ละเส้นจะแบ่งจาก 1 เป็น 2 เส้น แล้วขดตัวสั้นเข้า และหนาขึ้นจนมองเห็นเป็นแท่งในระยะ และ และเรียกชื่อใหม่ว่า โครโมโซม ทำให้เรามองเห็นรูปร่างลักษณะและจำนวนโครโมโซมได้ โครโมโซมที่เห็นได้ชัดในระยะเมทาเฟต ประกอบด้วย โครมาทิด 2 อัน ยึดติดกันตรงเซนโทรเมียร์ ส่วนของโครโมโซมที่ยื่นออกไปจากเซนโทรเมียร์ เรียกว่า แขน
อันสั้นเรียกว่า แขนสั้น อันยาวเรียกว่า แขนยาว ในโครโมโซมบางอัน มีเนื้อโครโมโซมเล็ก ๆ ยึดติดกับส่วนใหญ่โดยเส้นเล็ก ๆ เรียกว่า เนื้อโครโมโซมเล็ก ๆ นั้นว่า stellite และเส้นโครโมโซมเล็ก ๆ นั้น เรียกว่า secondary constriction
โครมาทิน เป็นสารนิวคลีโอโปรตีน ซึ่งก็คือ DNA สายยาวสายเดียวที่พันรอบโปรตีนที่ชื่อ (histone) เอาไว้ ทำให้รูปร่างโครมาทินคล้ายลูกปัดที่เรียงต่อ ๆ กัน แล้วมี DNA พันรอบลูกปัดนั้น ในเซลล์ทั่ว ๆ ไป เมื่อย้อมสีเซลล์ ส่วนของโครมาทินจะติดสีได้ดีและมองดูคล้ายตาข่ายละเอียด ๆ จึงเห็นนิวเคลียสชัดเจน
รูปร่าง ลักษณะ โครโมโซม
แต่ละโครโมโซมประกอบด้วย 2 โครมาทิด ที่เหมือนกัน ซึ่งเกิดจากการที่โครโมโซมจำลองตัวเองในระยะอินเตอร์เฟส (Interphase) เพื่อจะแยกออกจากกันในระยะแอนาเฟส (Anaphase) ของการแบ่งเซลล์ โครมาทิดทั้งสองจะติดกันอยู่ตรงส่วนที่เรียกว่า เซนโทรเมียร์ (Centromere) รวมเรียกเซนโทรเมียร์แบ่งเป็น 2 ส่วน แต่ละโครมาทินก็เรียกว่าโครโมโซม นั่นคือ 1 โครโมโซม มี 1 เซนโทรเมียร์ โครโมโซม ของเซลล์ร่างกายจะอยู่กันเป็นคู่ ๆ แต่ละคู่เรียกว่า โฮโมโลกัสโครโมโซม (Homologous Chromosome)
การนำโครโมโซมขนาดต่าง ๆ มาเรียงกันกันเรียกว่า แครีโอไทป์ (Karyotype) โดยจำแนกตามลักษณะ ขนาด และตำแหน่งของเซนโทรเมียร์อาจจะอยู่ตรงกลาง ค่อนไปทางปลาย หรือ ปลายโครโมโซม จึงแบ่งลักษณะโครโมโซมเป็นแบบต่าง ๆ ได้ดังนี้
- Metacentric เมตาเซนตริก เป็นโครโมโซมที่มีแขนยื่น 2 ข้างออกจากเซนโทรเมียร์เท่ากันหรือเกือบเท่ากัน
- Submetacentric ซับเมตาเซนตริก เป็นโครโมโซมที่มีแขนยื่นออกมา 2 ข้างจากเซนโทรเมียร์ไม่เท่ากัน
- Acrocentric อะโครเซนตริก เป็นโครโมโซมที่มีลักษณะเป็นแท่ง โดยมีเซนโทรเมียร์อยู่ใกล้กับปลายข้างใดข้างหนึ่ง จึงเห็นส่วนเล็ก ๆ ยื่นออกจากเซนโทรเมียร์
- Telocentric เทโลเซนตริก เป็นโครโมโซมที่มีลักษณะเป็นแท่ง โดยมีเซนโทรเมียร์อยู่ตอนปลายสุดของโครโมโซม
โครมาทิต 2 โครมาทิต มีตัวเชื่อมคือ เซนโทรเมียร์
ยูคาริโอต
ในเซลล์ยูคาริโอต โครโมโซมจะอยู่ในนิวเคลียส มีโปรตีนยึดจับให้ขมวดเป็นรูปร่างเรียกว่าโครมาติน การจับขมวดรูปร่างเช่นนี้ทำให้สายดีเอ็นเอซึ่งยาวมากสามารถอยู่ในนิวเคลียสได้ โครงสร้างของโครโมโซมและโครมาตินนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละระยะของ เมื่อโครมาตินถูกขมวดแน่นขึ้นไปอีกก็จะเรียกว่าโครโมโซม เป็นหน่วยย่อยที่สำคัญของการแบ่งเซลล์ ซึ่งการแบ่งเซลล์จะสำเร็จได้นั้น โครโมโซมจะต้องผ่านกระบวนการทำซ้ำ (replication) แยกตัว (division) และส่งต่อไปยังเซลล์ลูกทั้งสองได้อย่างสมบูรณ์ เพื่อให้สิ่งมีชีวิตนั้น ๆ สามารถสืบทอดเผ่าพันธุ์และคงความหลากหลายทางพันธุกรรมเอาไว้ได้ โครโมโซมนั้นอาจจะอยู่เดี่ยว (unduplicated) หรืออยู่เป็นคู่ (duplicated) ก็ได้แล้วแต่ระยะ โดยโครโมโซมเดี่ยวนั้นประกอบจากสายดีเอ็นเอสายเดียวขดพันกัน ส่วนโครโมโซมที่เป็นคู่นั้นประกอบด้วยสายดีเอ็นเอที่เหมือนกันทุกประการสองสาย เรียกว่า หรือซิสเตอร์โครมาทิด เชื่อมกันด้วย
ยูคาริโอต (เซลล์ที่มีนิวเคลียส เช่นในพืช ยีสต์ หรือสัตว์) มีโครโมโซมขนาดใหญ่หลายสายอยู่ในนิวเคลียส แต่ละโครโมโซมมีหนึ่งเซนโทรเมียร์ ซึ่งมีแขนหนึ่งหรือสองแขนยื่นออกมา อย่างไรก็ตาม ในสภาวะส่วนใหญ่จะไม่สามารถสังเกตเห็นแขนเหล่านี้ได้ นอกจากนี้ ยูแคริโอตส่วนใหญ่ยังมีไมโทคอรเดรียลดีเอ็นเอเป็นวงกลมขนาดเล็ก และยูแคริโอตบางชนิดมีดีเอ็นเอทั้งแบบเส้นและวงแหวนขนาดเล็กอยู่ในไซโทพลาซึม
ในโครโมโซมในนิวเคลียสของยูคาริโอต สายดีเอ็นเอที่ไม่ได้อัดแน่น (uncondensed) จะมีโครงสร้างที่กึ่งมีระเบียบ โดยพันอยู่รอบโปรตีนฮิสโตน เป็นสารเชิงซ้อนเรียกว่า โครมาติน
โครมาติน
โครมาตินเป็นสารเชิงซ้อนระหว่าง DNA กับโปรตีนในนิวเคลียสของเซลล์ยูคาริโอต โครงสร้างของโครมาตินจะแตกต่างกันไปตามขั้นตอนในวัฏจักรเซลล์ ขึ้นกับความต้องการของสายดีเอ็นเอ
โครมาตินในอินเตอร์เฟส
ในช่วงอินเตอร์เฟส (ช่วงของวัฏจักรเซลล์ที่เซลล์ไม่ได้แบ่งตัว) สามารถพบโครมาตินได้สองประเภทคือ:
- ยูโครมาติน (Euchromatin)ประกอบด้วย active DNA นั่นคือ ดีเอ็นเอที่แสดงลักษณะเป็นโปรตีน
- เฮเทอโรโครมาติน (Heterochromatin) ส่วนใหญ่เป็น inactive DNA ซึ่งเชื่อว่ามีหน้าที่เกี่ยวกับการค้ำจุนทางโครงสร้างในขั้นตอนต่าง ๆ เฮเทอโรโครมาตินสามารถแบ่งเป็นสองแบบได้แก่:
- Constitutive heterochromatin ไม่แสดงลักษณะทางพันธุกรรม ตั้งอยู่บริเวณเซนโทรเมียร์และมักมีลำดับเบสซ้ำ
- Facultative heterochromatin ซึ่งมีการแสดงลักษณะทางพันธุกรรมเป็นบางครั้ง
โครมาตินในเมตาเฟสและการแบ่งตัว
ในขั้นตอนแรก ๆ ของการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสหรือไมโอซิส สายโครมาตินจะอัดตัวหนาแน่นขึ้น เป็นโครงสร้างที่กระทัดรัดและขนส่งได้ง่าย ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงรหัสพันธุกรรม(เพื่อทำการถอดรหัส)ได้อีกต่อไป โครงสร้างที่อัดแน่นนี้ทำให้สามารถสังเกตเห็นโครโมโซมแต่ละอันได้ชัดเจน และมีลักษณะเป็นสี่แขนแบบที่มักคุ้นเคย กล่าวคือเป็นคู่ของที่ติดกัน ณ แขนที่สั้นกว่าเรียกว่า p arms (จากภาษาฝรั่งเศส petit แปลว่า เล็ก) และแขนที่ยาวกว่าเรียกว่า q arms (เพราะ q ตามหลัง p ในอักษรละติน หรือบางแหล่งกล่าวว่า q มาจาก queue แปลว่า สูง ในภาษาฝรั่งเศส) สภาวะนี้เป็นแบบเดียวในธรรมชาติที่สามารถเห็นโครโมโซมแต่ละอันแยกจากกันอย่างชัดเจนโดยใช้กล้องจุลทรรศน์แสง
ในไมโทซิส ไมโครทูบูลจะยืดออกมาจากเซนโทรโซมทั้งสองที่อยู่ขั้วตรงข้ามกันของเซลล์ และไปยึดกับเซนโทรเมียร์ที่โครงสร้างพิเศษเรียกว่า ไคนีโทคอร์ (kinetochore) ซึ่งจะมีหนึ่งอันต่อหนึ่งโครมาทิด บริเวณไคนีโทคอร์จะมีลำดับเบส DNA กับโปรตีนพิเศษที่ทำให้เกิดการยึดเกาะได้แน่นหนา จากนั้นไมโครทูบูลจะดึงเอาโครมาทิดออกจากกันไปสู่เซนโทรโซม ทำให้เซลล์ลูกแต่ละเซลล์ได้รับโครมาทิดหนึ่งชุด เมื่อเซลล์แบบตัวแล้ว โครมาทิดจะคลายตัวออกเป็นสายดีเอ็นเอที่สามารถทำการถอดรหัสได้อีกครั้งหนึ่ง โครโมโซมมีความอัดแน่นทางโครงสร้างสูงมาก ซึ่งทำให้สายดีเอ็นเอขนาดใหญ่สามารถอยู่ในนิวเคลียสได้ (Fig. 2)
โครโมโซมมนุษย์
โครโมโซมของมนุษย์อาจแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่ม คือออโตโซม และโครโมโซมเพศ ลักษณะทางพันธุกรรมบางอย่างนั้นมีความเชื่อมโยงกับเพศ และถ่ายทอดไปทางโครโมโซมเพศ ส่วนลักษณะอื่น ๆ ที่เหลือ ถูกเก็บไว้บนออโตโซม โครโมโซมทั้งสองประเภทมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงขณะแบ่งเซลล์ในลักษณะเดียวกัน เซลล์มนุษย์มีโครโมโซมรวมแล้ว 23 คู่ เป็นออโตโซม 22 คู่ และโครโมโซมเพศอีก 1 คู่ รวมเป็นมีโครโมโซม 46 แท่ง ต่อหนึ่งเซลล์ นอกจากนี้ยังมีไมโตคอนเดรียลจีโนม หรือข้อมูลพันธุกรรมในไมโตคอนเดรีย อีกหลายร้อยชุดต่อเซลล์ ข้อมูลที่ได้จากการหาลำดับดีเอ็นเอ (DNA sequencing) ของจีโนมมนุษย์ทำให้ได้ข้อมูลของโครโมโซมแต่ละแท่งมากขึ้น ตารางข้างล่างแสดงข้อมูลทางสถิติของโครโมโซมแต่ละแท่ง ข้อมูลนี้มาจากข้อมูลจีโนมมนุษย์ใน ของ จำนวนยีนบนโครโมโซมแต่ละแท่งเป็นค่าประมาณจาก ความยาวทั้งหมดของโครโมโซมเป็นค่าประมาณเช่นกัน รวมถึงการประมาณขนาดของบริเวณซึ่งไม่ได้รับการถอดลำดับ
โครโมโซม | จำนวนยีน | จำนวนคู่เบสทั้งหมด | คู่เบสที่ลำดับแล้ว | สะสม(%) |
---|---|---|---|---|
1 | 2,000 | 247,199,719 | 224,999,719 | 7.9 |
1,300 | 242,751,149 | 237,712,649 | 16.2 | |
1,000 | 199,446,827 | 194,704,827 | 23.0 | |
1,000 | 191,263,063 | 187,297,063 | 29.6 | |
900 | 180,837,866 | 177,702,766 | 35.8 | |
1,000 | 170,896,993 | 167,273,993 | 41.6 | |
900 | 158,821,424 | 154,952,424 | 47.1 | |
700 | 146,274,826 | 142,612,826 | 52.0 | |
800 | 140,442,298 | 120,312,298 | 56.3 | |
700 | 135,374,737 | 131,624,737 | 60.9 | |
1,300 | 134,452,384 | 131,130,853 | 65.4 | |
1,100 | 132,289,534 | 130,303,534 | 70.0 | |
300 | 114,127,980 | 95,559,980 | 73.4 | |
800 | 106,360,585 | 88,290,585 | 76.4 | |
600 | 100,338,915 | 81,341,915 | 79.3 | |
800 | 88,822,254 | 78,884,754 | 82.0 | |
1,200 | 78,654,742 | 77,800,220 | 84.8 | |
200 | 76,117,153 | 74,656,155 | 87.4 | |
1,500 | 63,806,651 | 55,785,651 | 89.3 | |
500 | 62,435,965 | 59,505,254 | 91.4 | |
200 | 46,944,323 | 34,171,998 | 92.6 | |
500 | 49,528,953 | 34,893,953 | 93.8 | |
X (โครโมโซมเพศ) | 800 | 154,913,754 | 151,058,754 | 99.1 |
Y (โครโมโซมเพศ) | 50 | 57,741,652 | 25,121,652 | 100.0 |
รวม | 20,000 ถึง 25,000 | 3,079,843,747 | 2,857,698,560 | 100.0 |
ยีนกับโครโมโซม
ยีน หมายถึง ส่วนของ DNA ที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม โครโมโซม เป็นโครงสร้างที่มี DNA และโปรตีนเป็นองค์ประกอบ โครโมโซมจึงเป็นที่อยู่ของยีน และในแต่ละโครโมโซมมียีนอีกมากมายมาเรียงต่อ ๆ กัน ดังนั้นลักษณะทางพันธุกรรม ที่ถูกถ่ายทอดไปจึงถูกควบคุม โดยยีนในโครโมโซมนั่นเอง ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ยีนในออโตโซมหรือยีนในโครโมโซมร่างกาย และยีนในโครโมโซมเพศ
มัลติเปิลอัลลีนส์
(Multiple alleles) คือ กลุ่มของอัลลีลส์ที่มียีนควบคุมลักษณะ มากกว่า 2 แบบขึ้นไป ควบคุมลักษณะใดลักษณะหนึ่งของสิ่งมีชีวิต กฎของเม็นเดิลสามารถใช้ทำนายโอกาสที่จะเกิดหมู่เลือด หมู่ใดหมู่หนึ่งได้
ยีนในโครโมโซมเดียวกัน
เนื่องจากในโครโมโซมแต่ละแท่งมียีนอยู่มากมาย ถ้ากลุ่มของยีนที่อยู่บนโครโมโซมเดียวกัน ถูกถ่ายทอดไปพร้อมกันโดยไม่แยกตัวไปรวมกลุ่มกันอย่างอิสระตามกฎข้อที่ 2 ของเม็นเดิล ยีนเหล่านี้เรียกว่า ยีนที่เกี่ยวเนื่องกัน หรือ ลิงก์ยีน (linked gene)
จำนวนโครโมโซมของสิ่งมีชีวิต
จำนวนโครโมโซมของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ๆ จะมีจำนวนเท่ากันเสมอ สิ่งมีชีวิตต่างชนิดกันอาจมีจำนวนโครโมโซมเท่ากันได้ ด้วยเหตุนี้นักวิทยาศาสตร์จึงไม่ใช้จำนวนของโครโมโซมมาจำแนกความแตกต่างระหว่างสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด เช่น แม้ว่าจำนวนโครโมโซมจะมาก แต่กลับไม่มีผลต่อขนาดของสิ่งมีชีวิต ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ยูกลีนา ที่มีขนาดเล็กมากแม้มีจำนวนโครโมโซมถึง 90 แท่ง หรือ 45 คู่
สิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ มีจำนวนโครโมโซมแตกต่างกัน จำนวนโครโมโซมในเซลล์ร่างกายทั่วไปมีอยู่ 2 ชุด หรือเรียกว่า 2n ส่วนในเซลล์สืบพันธุ์มีจำนวนโครโมโซมเพียงชุดเดียวเรียกว่า n หรือ จำนวนแฮพลอยด์
การกำหนดเพศในมนุษย์
การกำหนดเพศของสิ่งมีชีวิต โดยทั่วไปจะพิจารณาจากลักษณะของโครโมโซม
สำหรับในมนุษย์มีจำนวนโครโมโซม 46 โครโมโซม หากนำมาจัดเป็นคู่จะได้ 23 คู่ซึ่งจะมี 22 คู่ ที่เหมือนกันในเพศชายและเพศหญิงเราจะเรียกคู่โครโมโซมเหล่านี้ว่า โครโมโซมร่างกาย (autosome) ซึ่งจะมีบทบาทในการกำหนดลักษณะทางพันธุกรรมต่าง ๆ ในร่างกาย
สำหรับโครโมโซมที่เหลืออีก 1 คู่จากทั้งหมด 23 คู่ จะเป็นโครโมโซมที่ทำหน้าที่กำหนดเพศ เรียกว่า โครโมโซมเพศ (Sex chromosome) โดยโครโมโซมจะเป็นการจับคู่กันของโครโมโซม 2 ตัวที่มีลักษณะต่างกันคือ โครโมโซม X เป็นตัวกำหนดเพศหญิง และโครโมโซม Y เป็นตัวกำหนดเพศชาย ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าโครโมโซม X
เซลล์เพศที่ถูกสร้างขึ้นมาแต่ละเซลล์จะมีโครโมโซมเพศเพียงชุดเดียวโดยที่เซลล์สืบพันธุ์เพศชาย (สเปิร์ม) จะมีเซลล์สืบพันธุ์ ซึ่งมีโครโมโซม 2 ชนิด คือ 22+X หรือ 22+Y ส่วนเซลล์สืบพันธุ์ของเพศหญิงจะมีโครโมโซมได้เพียงชนิดเดียว คือ 22+X ดังนั้นโอกาสในการเกิดทารกเพศหญิง (โครโมโซม 44+XX) หรือทารกเพศชาย (โครโมโซม 44+XY) จึงเท่ากัน ขึ้นอยู่กับสเปิร์มที่เข้าผสมกับไข่จะเป็นสเปิร์มชนิดใด
โครโมโซมในร่างกายมนุษย์มีทั้งหมด 46 แท่ง แบ่งเป็น
- โครโมโซมร่างกาย (autosome) จำนวน 44 แท่ง
- โครโมโซมเพศ (sex chromosome) จำนวน 2 แท่ง มีรูปแบบเป็น XX หรือ XY
- มนุษย์ผู้หญิงมีโครโมโซม 44+XX แท่ง
- มนุษย์ผู้ชายมีโครโมโซม 44+XY แท่ง
- เซลล์ไข่มีโครโมโซม 22+X แท่ง
- เซลล์อสุจิมีโครโมโซม 22+X แท่ง หรือ 22+Y แท่ง
อ้างอิง
- "Chromosome Mapping: Idiograms" Nature Education - August 13, 2013
- Vega.sanger.ad.uk ข้อมูลทั้งหมดในตารางมาจากแหล่งข้อมูลนี้ November 11, 2008.
- ร้อยละของเบสที่ลำดับแล้ว มาจากเศษส่วนของยูโครมาตินเท่านั้น เนื่องจากโครงการจีโนมมนุษย์ ต้องการลำดับเฉพาะส่วนของจีโนมที่เป็นยูโครมาตินเท่านั้น เทโลเมียร์ และบริเวณของเฮเทอโรโครมาตินอื่น ๆ ไม่ได้ทำการลำดับ รวมถึง unclonable gaps จำนวนหนึ่ง ดูเพิ่มที่http://www.ncbi.nlm.nih.gov/genome/seq/
- . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-06-29. สืบค้นเมื่อ 2015-05-31.
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
okhromosm xngkvs chromosome epnthiekbkhxnghnwyphnthukrrm sungthahnathikhwbkhumaelathaythxdkhxmul ekiywkb lksnathangphnthukrrmtang khxngsingmichiwit echn lksnakhxngesnphm lksnadwngta ephs aelasiphiwphaphkhxngokhromosm idaek 1 hruxkhanghnunginthngsxngkhangkhxngokhromosmthiehmuxnknthukprakarinrayathiely ipaelw 2 khuxcudthiokhrmathidthngsxngxnsmphskn 3 aekhnkhangsn aela 4 aekhnkhangyawokhromosmmnusy hnwyphnthukrrm hrux yin gene praktxyubnokhromosm prakxbdwydiexnex thahnathikahndlksna thangphnthukrrmtang khxngsingmichiwit hnwyphnthukrrmcathukthaythxdcaksingmichiwitrunkxnhnasulukhlan echn khwbkhumkrabwnkarekiywkbkickrrmthwipthangchiwekhmiphayinesllsingmichiwit ipcnthunglksnapraktthiphbehnhruxsngektiddwyta echn rupranghnatakhxngedkthikhlayphxaem sisnkhxngdxkim rschatikhxngxaharnanachnid lwnaelwaetepnlksnathibnthukxyuinhnwyphnthukrrmthngsinkarkhnphbpraman kh s 1860 ekrkxr emnedil Gregor Mendel idsuksalksnatang khxngtnthwlneta thimikarthaythxdcakrunhnung ipyngtnthwthiplukinrunthdip ekhatngsmmutithanwa mixairbangxyang nalksnatang cakrunphxaem ipsurunluk hnwyphnthukrrmthiemnedilkhnphbnn emnedilimidmxngehnhnwyphnthukrrmcring ephiyngaetxasykhxmul thiidcakkarthdlxng aelahaehtuphlthangkhnitsastr hnwyphnthukrrmthiemnedilkhnphb epnephiyngnamthrrmethann aelaekhakimidichkhawa yin hrux hnwyphnthukrrm odytrng inkhnathiemnedilkhnkhwaxyunn nkchiwwithyaklumhnungthiichklxngculthrrsn epnekhruxngkhnkhwa idphbraylaexiydkhxngesllmakkhun cnkrathng kh s 1889 nkchiwwithyacungsamarth ehnraylaexiydphayinniwekhliys khnathimikaraebngesll idphbwaphayinniwekhliys miokhrngsrangthitidsiidaelamilksnaepnesniy eriykwa okhromosm Chromosome pi kh s 1902 hlngcakkarkhnphbphlngankhxngemnedil 2 pi nkchiwwithyachawxemrikn aela nkchiwwithyachaweyxrmn idesnxwa hnwyphnthukrrmthiemnedilkhnphb xyuinokhromosm sttnidsuksaesllinxnthatkaetn aelaesnxiwwaokhromosm thiekhakhukninkhnathimikaraebngesllaebbimoxsis caaeykcakknipxyutangesllkn ehmuxnkaraeykkhxngyinthiepnaexllinkn tamkdaehngkaraeyktw cungsrupidwayinxyubnokhromosm sungepnkarkhnphbkhrngihyinsmynnlksnakhxngokhromosmokhromosmmnusychwng inphawapktiemuxmxngphanklxngculthrrsncaehnokhromosmmilksnakhlayesndaybang eriykwa okhrmatin chromatin khdtwxyuinniwekhliys emuxesllerimaebngtw esnokhrmatincahdtwsnekhamilksnaepnaethng cungeriykwa okhromosm aetlaokhromosmprakxbdwyaekhnsxngkhangthieriykwa okhrmathid chromatid sungaekhnthngsxngkhangcamicudechuxmkn eriykwa esnothremiyr centromere okhromosmepnokhrngsrangthixyuinniwekhliyskhxngesll inkhnathiesllimaebngtw okhromosmcayudyawxxkkhlayesniyelk sanknxyuinniwekhliys emuxmikaraebngesllcamikaraebngokhromosm odyokhromosmcacalxngtwexngkhunma epnesnkhuthiehmuxnknthukprakar aelwkhxy khdtwsnekha okhromosmcaotmak karsuksaokhromosmcungtxngsuksainrayaaebngesll thamiethkhnikhinkaretriymthidi kcasamarthmxngehnrupranglksna khxngokhromosmcakklxngculthrrsn aelaxacnbcanwnokhromosmid okhromosmepnokhrngsrangthixyuinniwekhliyskhxngesll inkhnathiesllimaebngtwhruxxyuinraya interphase eracaimehnokhromosmenuxngcakokhromosmxyuinlksnaepnesniyelk sanknxyuinniwekhliys esniynieriykwa okhrmathin Chromatin aetemuxesllcaaebngtwokhrmathinaetlaesncaaebngcak 1 epn 2 esn aelwkhdtwsnekha aelahnakhuncnmxngehnepnaethnginraya aela aelaeriykchuxihmwa okhromosm thaiheramxngehnrupranglksnaaelacanwnokhromosmid okhromosmthiehnidchdinrayaemthaeft prakxbdwy okhrmathid 2 xn yudtidkntrngesnothremiyr swnkhxngokhromosmthiyunxxkipcakesnothremiyr eriykwa aekhn xnsneriykwa aekhnsn xnyaweriykwa aekhnyaw inokhromosmbangxn mienuxokhromosmelk yudtidkbswnihyodyesnelk eriykwa enuxokhromosmelk nnwa stellite aelaesnokhromosmelk nn eriykwa secondary constriction okhrmathin epnsarniwkhlioxoprtin sungkkhux DNA sayyawsayediywthiphnrxboprtinthichux histone exaiw thaihruprangokhrmathinkhlaylukpdthieriyngtx kn aelwmi DNA phnrxblukpdnn inesllthw ip emuxyxmsiesll swnkhxngokhrmathincatidsiiddiaelamxngdukhlaytakhaylaexiyd cungehnniwekhliyschdecnruprang lksna okhromosmaetlaokhromosmprakxbdwy 2 okhrmathid thiehmuxnkn sungekidcakkarthiokhromosmcalxngtwexnginrayaxinetxrefs Interphase ephuxcaaeykxxkcakkninrayaaexnaefs Anaphase khxngkaraebngesll okhrmathidthngsxngcatidknxyutrngswnthieriykwa esnothremiyr Centromere rwmeriykesnothremiyraebngepn 2 swn aetlaokhrmathinkeriykwaokhromosm nnkhux 1 okhromosm mi 1 esnothremiyr okhromosm khxngesllrangkaycaxyuknepnkhu aetlakhueriykwa ohomolksokhromosm Homologous Chromosome karnaokhromosmkhnadtang maeriyngknkneriykwa aekhrioxithp Karyotype odycaaenktamlksna khnad aelataaehnngkhxngesnothremiyrxaccaxyutrngklang khxnipthangplay hrux playokhromosm cungaebnglksnaokhromosmepnaebbtang iddngni Metacentric emtaesntrik epnokhromosmthimiaekhnyun 2 khangxxkcakesnothremiyrethaknhruxekuxbethakn Submetacentric sbemtaesntrik epnokhromosmthimiaekhnyunxxkma 2 khangcakesnothremiyrimethakn Acrocentric xaokhresntrik epnokhromosmthimilksnaepnaethng odymiesnothremiyrxyuiklkbplaykhangidkhanghnung cungehnswnelk yunxxkcakesnothremiyr Telocentric etholesntrik epnokhromosmthimilksnaepnaethng odymiesnothremiyrxyutxnplaysudkhxngokhromosm okhrmathit 2 okhrmathit mitwechuxmkhux esnothremiyryukharioxtkarcdraebiyb DNA inesllyukharioxt inesllyukharioxt okhromosmcaxyuinniwekhliys mioprtinyudcbihkhmwdepnruprangeriykwaokhrmatin karcbkhmwdruprangechnnithaihsaydiexnexsungyawmaksamarthxyuinniwekhliysid okhrngsrangkhxngokhromosmaelaokhrmatinnnaetktangknipinaetlarayakhxng emuxokhrmatinthukkhmwdaennkhunipxikkcaeriykwaokhromosm epnhnwyyxythisakhykhxngkaraebngesll sungkaraebngesllcasaercidnn okhromosmcatxngphankrabwnkarthasa replication aeyktw division aelasngtxipyngeslllukthngsxngidxyangsmburn ephuxihsingmichiwitnn samarthsubthxdephaphnthuaelakhngkhwamhlakhlaythangphnthukrrmexaiwid okhromosmnnxaccaxyuediyw unduplicated hruxxyuepnkhu duplicated kidaelwaetraya odyokhromosmediywnnprakxbcaksaydiexnexsayediywkhdphnkn swnokhromosmthiepnkhunnprakxbdwysaydiexnexthiehmuxnknthukprakarsxngsay eriykwa hruxsisetxrokhrmathid echuxmkndwy Fig 2 okhrngsranghlkkhxngkarekb DNA DNA esniy lukpdbnesnday 10 nm esniy 30 nm fibre aelaokhromosminemtaefs yukharioxt esllthiminiwekhliys echninphuch yist hruxstw miokhromosmkhnadihyhlaysayxyuinniwekhliys aetlaokhromosmmihnungesnothremiyr sungmiaekhnhnunghruxsxngaekhnyunxxkma xyangirktam insphawaswnihycaimsamarthsngektehnaekhnehlaniid nxkcakni yuaekhrioxtswnihyyngmiimothkhxredriyldiexnexepnwngklmkhnadelk aelayuaekhrioxtbangchnidmidiexnexthngaebbesnaelawngaehwnkhnadelkxyuinisothphlasum inokhromosminniwekhliyskhxngyukharioxt saydiexnexthiimidxdaenn uncondensed camiokhrngsrangthikungmiraebiyb odyphnxyurxboprtinhisotn epnsarechingsxneriykwa okhrmatin okhrmatin okhrmatinepnsarechingsxnrahwang DNA kboprtininniwekhliyskhxngesllyukharioxt okhrngsrangkhxngokhrmatincaaetktangkniptamkhntxninwtckresll khunkbkhwamtxngkarkhxngsaydiexnex okhrmatininxinetxrefs inchwngxinetxrefs chwngkhxngwtckresllthiesllimidaebngtw samarthphbokhrmatinidsxngpraephthkhux yuokhrmatin Euchromatin prakxbdwy active DNA nnkhux diexnexthiaesdnglksnaepnoprtin ehethxorokhrmatin Heterochromatin swnihyepn inactive DNA sungechuxwamihnathiekiywkbkarkhacunthangokhrngsranginkhntxntang ehethxorokhrmatinsamarthaebngepnsxngaebbidaek Constitutive heterochromatin imaesdnglksnathangphnthukrrm tngxyubriewnesnothremiyraelamkmiladbebssa Facultative heterochromatin sungmikaraesdnglksnathangphnthukrrmepnbangkhrngokhrmatininemtaefsaelakaraebngtw okhromosmmnusyinemthaefs inkhntxnaerk khxngkaraebngesllaebbimothsishruximoxsis sayokhrmatincaxdtwhnaaennkhun epnokhrngsrangthikrathdrdaelakhnsngidngay thaihimsamarthekhathungrhsphnthukrrm ephuxthakarthxdrhs idxiktxip okhrngsrangthixdaennnithaihsamarthsngektehnokhromosmaetlaxnidchdecn aelamilksnaepnsiaekhnaebbthimkkhunekhy klawkhuxepnkhukhxngthitidkn n aekhnthisnkwaeriykwa p arms cakphasafrngess petit aeplwa elk aelaaekhnthiyawkwaeriykwa q arms ephraa q tamhlng p inxksrlatin hruxbangaehlngklawwa q macak queue aeplwa sung inphasafrngess sphawaniepnaebbediywinthrrmchatithisamarthehnokhromosmaetlaxnaeykcakknxyangchdecnodyichklxngculthrrsnaesng inimothsis imokhrthubulcayudxxkmacakesnothrosmthngsxngthixyukhwtrngkhamknkhxngesll aelaipyudkbesnothremiyrthiokhrngsrangphiesseriykwa ikhniothkhxr kinetochore sungcamihnungxntxhnungokhrmathid briewnikhniothkhxrcamiladbebs DNA kboprtinphiessthithaihekidkaryudekaaidaennhna caknnimokhrthubulcadungexaokhrmathidxxkcakknipsuesnothrosm thaiheslllukaetlaesllidrbokhrmathidhnungchud emuxesllaebbtwaelw okhrmathidcakhlaytwxxkepnsaydiexnexthisamarththakarthxdrhsidxikkhrnghnung okhromosmmikhwamxdaennthangokhrngsrangsungmak sungthaihsaydiexnexkhnadihysamarthxyuinniwekhliysid Fig 2 okhromosmmnusy okhromosmkhxngmnusyxacaebngxxkidepnsxngklum khuxxxotosm aelaokhromosmephs lksnathangphnthukrrmbangxyangnnmikhwamechuxmoyngkbephs aelathaythxdipthangokhromosmephs swnlksnaxun thiehlux thukekbiwbnxxotosm okhromosmthngsxngpraephthmikrabwnkarepliynaeplngkhnaaebngesllinlksnaediywkn esllmnusymiokhromosmrwmaelw 23 khu epnxxotosm 22 khu aelaokhromosmephsxik 1 khu rwmepnmiokhromosm 46 aethng txhnungesll nxkcakniyngmiimotkhxnedriylcionm hruxkhxmulphnthukrrminimotkhxnedriy xikhlayrxychudtxesll khxmulthiidcakkarhaladbdiexnex DNA sequencing khxngcionmmnusythaihidkhxmulkhxngokhromosmaetlaaethngmakkhun tarangkhanglangaesdngkhxmulthangsthitikhxngokhromosmaetlaaethng khxmulnimacakkhxmulcionmmnusyin khxng canwnyinbnokhromosmaetlaaethngepnkhapramancak khwamyawthnghmdkhxngokhromosmepnkhapramanechnkn rwmthungkarpramankhnadkhxngbriewnsungimidrbkarthxdladb khapramankhxngcanwnyinaelakhuebs hnwyemkakhuebs bnokhromosmmnusyaetlaaethngokhromosm canwnyin canwnkhuebsthnghmd khuebsthiladbaelw sasm 1 2 000 247 199 719 224 999 719 7 91 300 242 751 149 237 712 649 16 21 000 199 446 827 194 704 827 23 01 000 191 263 063 187 297 063 29 6900 180 837 866 177 702 766 35 81 000 170 896 993 167 273 993 41 6900 158 821 424 154 952 424 47 1700 146 274 826 142 612 826 52 0800 140 442 298 120 312 298 56 3700 135 374 737 131 624 737 60 91 300 134 452 384 131 130 853 65 41 100 132 289 534 130 303 534 70 0300 114 127 980 95 559 980 73 4800 106 360 585 88 290 585 76 4600 100 338 915 81 341 915 79 3800 88 822 254 78 884 754 82 01 200 78 654 742 77 800 220 84 8200 76 117 153 74 656 155 87 41 500 63 806 651 55 785 651 89 3500 62 435 965 59 505 254 91 4200 46 944 323 34 171 998 92 6500 49 528 953 34 893 953 93 8X okhromosmephs 800 154 913 754 151 058 754 99 1Y okhromosmephs 50 57 741 652 25 121 652 100 0rwm 20 000 thung 25 000 3 079 843 747 2 857 698 560 100 0yinkbokhromosmyin hmaythung swnkhxng DNA thithahnathithaythxdlksnathangphnthukrrm okhromosm epnokhrngsrangthimi DNA aelaoprtinepnxngkhprakxb okhromosmcungepnthixyukhxngyin aelainaetlaokhromosmmiyinxikmakmaymaeriyngtx kn dngnnlksnathangphnthukrrm thithukthaythxdipcungthukkhwbkhum odyyininokhromosmnnexng sungaebngepn 2 praephth khux yininxxotosmhruxyininokhromosmrangkay aelayininokhromosmephsmltiepilxllins Multiple alleles khux klumkhxngxllilsthimiyinkhwbkhumlksna makkwa 2 aebbkhunip khwbkhumlksnaidlksnahnungkhxngsingmichiwit kdkhxngemnedilsamarthichthanayoxkasthicaekidhmueluxd hmuidhmuhnungidyininokhromosmediywknenuxngcakinokhromosmaetlaaethngmiyinxyumakmay thaklumkhxngyinthixyubnokhromosmediywkn thukthaythxdipphrxmknodyimaeyktwiprwmklumknxyangxisratamkdkhxthi 2 khxngemnedil yinehlanieriykwa yinthiekiywenuxngkn hrux lingkyin linked gene canwnokhromosmkhxngsingmichiwitcanwnokhromosmkhxngsingmichiwitchnidhnung camicanwnethaknesmx singmichiwittangchnidknxacmicanwnokhromosmethaknid dwyehtuninkwithyasastrcungimichcanwnkhxngokhromosmmacaaenkkhwamaetktangrahwangsingmichiwitaetlachnid echn aemwacanwnokhromosmcamak aetklbimmiphltxkhnadkhxngsingmichiwit twxyangthiehnidchdkhux yuklina thimikhnadelkmakaemmicanwnokhromosmthung 90 aethng hrux 45 khu singmichiwitchnidtang micanwnokhromosmaetktangkn canwnokhromosminesllrangkaythwipmixyu 2 chud hruxeriykwa 2n swninesllsubphnthumicanwnokhromosmephiyngchudediyweriykwa n hrux canwnaehphlxydkarkahndephsinmnusykarkahndephskhxngsingmichiwit odythwipcaphicarnacaklksnakhxngokhromosm sahrbinmnusymicanwnokhromosm 46 okhromosm haknamacdepnkhucaid 23 khusungcami 22 khu thiehmuxnkninephschayaelaephshyingeracaeriykkhuokhromosmehlaniwa okhromosmrangkay autosome sungcamibthbathinkarkahndlksnathangphnthukrrmtang inrangkay sahrbokhromosmthiehluxxik 1 khucakthnghmd 23 khu caepnokhromosmthithahnathikahndephs eriykwa okhromosmephs Sex chromosome odyokhromosmcaepnkarcbkhuknkhxngokhromosm 2 twthimilksnatangknkhux okhromosm X epntwkahndephshying aelaokhromosm Y epntwkahndephschay sungmikhnadelkkwaokhromosm X esllephsthithuksrangkhunmaaetlaesllcamiokhromosmephsephiyngchudediywodythiesllsubphnthuephschay sepirm camiesllsubphnthu sungmiokhromosm 2 chnid khux 22 X hrux 22 Y swnesllsubphnthukhxngephshyingcamiokhromosmidephiyngchnidediyw khux 22 X dngnnoxkasinkarekidtharkephshying okhromosm 44 XX hruxtharkephschay okhromosm 44 XY cungethakn khunxyukbsepirmthiekhaphsmkbikhcaepnsepirmchnidid okhromosminrangkaymnusymithnghmd 46 aethng aebngepn okhromosmrangkay autosome canwn 44 aethng okhromosmephs sex chromosome canwn 2 aethng mirupaebbepn XX hrux XYmnusyphuhyingmiokhromosm 44 XX aethng mnusyphuchaymiokhromosm 44 XY aethng esllikhmiokhromosm 22 X aethng esllxsucimiokhromosm 22 X aethng hrux 22 Y aethngxangxing Chromosome Mapping Idiograms Nature Education August 13 2013 Vega sanger ad uk khxmulthnghmdintarangmacakaehlngkhxmulni November 11 2008 rxylakhxngebsthiladbaelw macakessswnkhxngyuokhrmatinethann enuxngcakokhrngkarcionmmnusy txngkarladbechphaaswnkhxngcionmthiepnyuokhrmatinethann etholemiyr aelabriewnkhxngehethxorokhrmatinxun imidthakarladb rwmthung unclonable gaps canwnhnung duephimthihttp www ncbi nlm nih gov genome seq khlngkhxmulekaekbcakaehlngedimemux 2015 06 29 subkhnemux 2015 05 31 bthkhwamkaywiphakhsastrniyngepnokhrng khunsamarthchwywikiphiediyidodykarephimetimkhxmuldk