อังกฤษสมัยแองโกล-แซกซัน (อังกฤษ: History of Anglo-Saxon England) (ค.ศ. 410 - ค.ศ. 1066) อังกฤษสมัยแองโกล-แซกซันเป็นประวัติศาตร์ของต้นยุคกลางของอังกฤษที่เริ่มตั้งแต่ปลายสมัยโรมันบริเตนจนมาถึงการก่อตั้งราชอาณาจักรต่าง ๆ ของแองโกล-แซกซัน ในคริสต์ศตวรรษที่ 5 และมาสิ้นสุดลงเมื่อชาวนอร์มันได้รับชัยชนะต่ออังกฤษ ในปี ค.ศ. 1066 ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึง คริสต์ศตวรรษที่ 6 เป็นสมัยที่รู้จักกันทางโบราณคดีว่า (Sub-Roman Britain) หรือที่รู้จักกันตามความนิยมว่า "ยุคมืด" (Dark Ages) ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 6 เป็นต้นมาก็เริ่มมีการก่อตั้งอาณาจักรที่ใหญ่ขึ้นที่เรียกกันรวม ๆ กันว่า "เจ็ดอาณาจักร" ในช่วงนี้อังกฤษแบ่งเขตการปกครองระหว่างอาณาจักรต่าง ๆ ของแองโกล-แซกซันและบริเตน การรุกรานของไวกิงในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 8 นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงหลายประการในบริเตน ผู้รุกรานชาวเดนมาร์กโจมตีที่ตั้งถิ่นฐานต่าง ๆ ไปทั่วบริเตน แต่การตั้งถิ่นฐานของชาวเดนมาร์กต่อมาจำกัดอยู่แต่เพียงในบริเวณทางด้านตะวันออกของเกาะอังกฤษ ขณะที่ผู้รุกรานจากนอร์เวย์ที่เข้ามาทางไอร์แลนด์โจมตีทางฝั่งตะวันตกของทั้งอังกฤษและเวลส์ แต่ในที่สุดแองโกล-แซกซันก็มีอำนาจในการปกครองไปทั่วทั้งเกาะอังกฤษสลับกับเดนมาร์กในบางช่วงในบางครั้ง ทางด้านความสัมพันธ์กับแผ่นดินใหญ่ยุโรปก็ความสำคัญมาจนกระทั่งปลายสมัยแองโกล-แซกซัน
ที่มา
ที่มาของแองโกล-แซกซันมีด้วยกันต่าง ๆ ทั้งหลักฐานทางเอกสารและทางตำนาน แต่หลักฐานทางเอกสารที่สำคัญมีด้วยกันสี่ฉบับ ๆ แรกมาจากบันทึก "การล่มสลายและการพิชิตบริเตน" (De Excidio et Conquestu Britanniae) โดย ที่เขียนราวค.ศ. 540 เป็นบันทึกที่หนักไปในทางการวิจารณ์กษัตริย์บริติชมากกว่าที่จะบรรยายเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ เอกสารฉบับที่สอง "ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับศาสนาของชนอังกฤษ" เขียนโดยนักบุญบีด ราว ค.ศ. 731 ใช้บันทึกของกิลดาส์เป็นพื้นฐานและก็อ้างอิงหลักฐานอื่นด้วย ฉบับที่สาม "ประวัติศาสตร์อังกฤษ" ที่กล่าวกันว่าเขียนโดยนักประพันธ์ชื่อเน็นเนียสที่อาจจะเขียนราว ค.ศ. 800 เน็นเนียสก็เช่นเดียวกับกิลดาส์บรรยายเหตุการณ์จากมุมมองของบริติช ฉบับสุดท้ายคือ "บันทึกเหตุการณ์ของชาวแองโกล-แซกซัน" ที่บางส่วนมีพื้นฐานมาจากงานของบีดแต่ก็ผสมตำนานเกี่ยวกับการก่อตั้งราชอาณาจักรเวสเซ็กซ์ แต่ที่สำคัญที่สุดในบรรดาเอกสารสี่ฉบับก็คือ "ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับศาสนาของชนอังกฤษ" ของบีด และ "บันทึกเหตุการณ์ของชาวแองโกล-แซกซัน"
หลักฐานอื่น ๆ ก็ใช้ประกอบหลักฐานทางเอกสาร เช่นหลักฐานการตั้งถิ่นฐานทางโบราณคดีที่เห็นได้จากประเพณีการฝังศพและการใช้ที่ดิน จากการวิจัยซากศพที่พบไม่ไกลจากแอ็บบิงดันอ้างว่าชาวแซกซันตั้งถิ่นฐานอยู่ด้วยกันกับชาวบริเตน ซึ่งเป็นปัญหาในการถกเถียงกันทางด้านการศึกษาว่าการตั้งถิ่นฐานของชาวแซกซันเป็นการตั้งถิ่นฐานแบบแทนที่ หรือเป็นการเข้ามาผสมกับผู้คนชาวโรมัน-บริเตนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่แต่เดิมในบริเวณทางใต้และตะวันออกของบริเตน ดาร์ก ("บริเตนและการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน" ค.ศ. 2002) และเลย์ค็อก ("รัฐบริทาเนียล่ม" ค.ศ. 2008) ต่างก็ถกกันในหัวข้อนี้และวิจัยจากหลักฐานสนับสนุนต่าง ๆ
หลักฐานอื่นก็มีต่าง ๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ตั้นแต่รัชสมัยของ (Æthelberht of Kent) และ (Ine of Wessex) และเพิ่มจำนวนขึ้นมากมายหลังจากรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอัลเฟรดมหาราช (Anglo-Saxon Charters) ที่ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการมอบที่ดินใช้เป็นหลักฐานได้ตลอดสมัย หลักฐานการเขียนอื่น ๆ ก็รวมทั้งวรรณกรรมนักบุญ, จดหมาย (มักจะเป็นการติดต่อระหว่างนักบวชและบางครั้งผู้นำทางการเมืองเช่นชาร์เลอมาญ และ) และ
ในช่วงสิบปีที่แล้วก็ได้มีการศึกษาทางพันธกรรมของชาวอังกฤษในสมัยปัจจุบันที่นำไปใช้ในการสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับประชากรในสมัยแองโกล-แซกซันและจำนวนผู้เข้ามาตั้งถิ่นฐาน ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 สรุปกันว่าการมาตั้งถิ่นฐานเป็นการตั้งถิ่นฐานของชนกลุ่มใหญ่ แต่เมื่อไม่นานมานี้เชื่อกันว่าเป็นการมาตั้งถิ่นฐานของชนชั้นผู้นำจำนวนไม่มากนักที่สนับสนุนจากการศึกษาโดยการวิจัยดีเอ็นเอ
การโยกย้ายถิ่นฐานและการก่อตั้งราชอาณาจักร (ค.ศ. 400-600)
การวางรากฐานของลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่โรมันออกจากบริเตนมาจนถึงการก่อตั้งราชอาณาจักรแองโกล-แซกซันเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เหตุการณ์เกี่ยวกับการออกจากบริเตนของโรมันบันทึกใน "" (Historia Regum Britanniae) เขียนโดยเจฟฟรีย์แห่งมอนมอธ (Geoffrey of Monmouth) ซึ่งเป็นบันทึกที่ไม่น่าเชื่อถือเท่าใดนักนอกจากจะใช้เป็นเอกสารสำหรับตำนานจากยุคกลาง และใช้ในการเป็นหลักฐานประกอบกับหลักฐานอื่น ๆ ราชอาณาจักรแองโกล-แซกซันแห่งเคนต์, , และ เชื่อกันว่ามีรากฐานมาจากข้อมูลของซึ่งทำให้เห็นว่ามีความต่อเนื่องทางการเมืองกับชนเคลต์ แต่อาณาจักรทางด้านตะวันตกเวสเซ็กซ์และเมอร์เซียเกือบจะไม่มีความสัมพันธ์กับเขตแดนที่มีอยู่ในขณะนั้น
หลักฐานทางโบราณคดีของคริสต์ทศวรรษหลัง ๆ ภายใต้การปกครองของโรมันแสดงให้เห็นสัญญาณของความเสื่อมโทรมในตัวเมืองและชีวิตในวิลลา นอกจากนั้นก็มีหลักฐานการโจมตีของแซกซันในบริเตนระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 4 และมีการก่อสร้างป้อมปราการตามชายฝั่งทะเลทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะอังกฤษ แต่นักวิชาการบางคนมีความเห็นว่าที่ตั้งเหล่านี้เป็นที่ตั้งทางการค้าขายที่ชาวแซกซันก่อตั้งขึ้นแทนที่จะเป็นการใช้ทางการทหาร เหรียญกษาปณ์ที่ตีหลัง ค.ศ. 402 หาดูได้ยากซึ่งทำให้ทราบได้ว่าการจ่ายค่าจ้างให้แก่กองทหารโรมันยุติลงไปแล้ว ต่อมา ผู้ได้รับการประกาศให้เป็นจักรพรรดิโดยกองทหารในปี ค.ศ. 407 ก็นำกองทัพบริติชข้ามช่องแคบอังกฤษแต่ทรงถูกสังหารในยุทธการในปี ค.ศ. 411 ในปี ค.ศ. 410 จักรพรรดิโฮโนเรียส (Honorius) ประกาศให้ชาวโรมัน-บริติชป้องกันตนเอง แต่ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 5 โรมัน-บริติชก็ยังมีความรู้สึกว่าสามารถยื่นคำร้องต่อกงสุล (Flavius Aëtius) ให้มาช่วยต่อต้านการรุกราน แม้ว่าการปกครองของโรมันจะยุติลงในบริเตนแต่วิถีการใช้ชีวิตอย่างชาวโรมันยังคงปฏิบัติกันอยู่ต่อมาอีกหลายชั่วคน
ดูเหมือนว่าโรมันบริเตนจะแบ่งแยกเป็นอาณาจักรย่อย ๆ หลายอาณาจักรแต่มีการควบคุมโดยทั่วไปโดยสภา กิลดาส์อ้างว่าสภานี้เป็นผู้ชวนทหารรับจ้างแซกซันเข้ามายังบริเตนเพื่อต่อต้านผู้ปล้นสดมภ์แต่ทหารแซกซันก็ปฏิวัติเมื่อไม่ได้รับค่าจ้าง บีดเชื่อว่าแซกซันเข้ามาในบริเตนราว ค.ศ. 446 แต่ปีที่ว่านี้ก็เป็นที่เคลือบแคลงกันในปัจจุบัน ช่วงระยะเวลาการต่อสู้ที่เกิดขึ้นก็นำชัยชนะมาให้ทั้งฝ่ายแซกซันและบริติช แม้ว่าลำดับเวลาจะเป็นสิ่งที่ยากที่จะเอาให้แน่นอนได้แต่ดูเหมือนว่าในปี ค.ศ. 495 ฝ่ายบริเตนก็ได้รับชัยชนะและสร้างความเสียหายอย่างหนักให้แก่ฝ่ายแองโกล-แซกซันใน (Battle of Mons Badonicus) หลักฐานทางโบราณคดีและจากบันทึกของกิลดาส์ระบุว่าเป็นการทำให้การมาตั้งถิ่นฐานของแซกซันหยุดชะงักลงชั่วระยะเวลาหนึ่ง ในคริสต์ศตวรรษที่ 6 แซกซันก็มาขึ้นฝั่งอีกครั้งที่บริเวณเซาท์แธมป์ตันและเดินทางขึ้นไปทางค็อตสวอลด์และชิลเทิร์นส์ ในคริสต์ศตวรรษที่ 7 แซกซันก็ควบคุมอาณาบริเวณทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษยกเว้นคอร์นวอลล์ซึ่งไม่ได้เข้ามาอยู่ภายไต้การปกครองของแซกซันอย่างเต็มที่จนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 10 แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วเราจะเรียกผู้ที่เข้ามาในช่วงนี้ว่า "แซกซัน" แต่อันที่จริงแล้วก็มีชนกลุ่มอื่นที่เข้ามาด้วยในขณะเดียวกันที่รวมทั้ง ชนแองเกิล, และชนจูต แซกซันอาจจะเป็นผู้ให้ชื่อ เอสเซ็กซ์, มิดเดิลเซ็กซ์, ซัสเซ็กซ์ และเวสต์เซ็กซ์ ส่วนชนแองเกิลตั้งถิ่นฐานในบริเวณอีสต์แองเกลีย, เมอร์เซีย, เบอร์นิเซีย และไดรา ขณะที่ชนจูตตั้งถิ่นฐานในบริเวณเคนต์และไอล์ออฟไวท์
จากหลักฐานทางโบราณคดีพบว่าเครื่องใช้ของแซกซันของสมัยแรกที่พบพบทางตะวันออกของอังกฤษมิใช้ในบริเวณเคนต์ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่กล่าว นอกจากนั้นแล้วก็ยังพบในบริเวณลุ่มแม่น้ำเทมส์ทางตอนเหนือแต่สันนิษฐานกันว่าเป็นสิ่งของที่เป็นของทหารรับจ้างของกษัตริย์บริติช กิลดาส์กล่าวถึงสงครามกลางเมืองระหว่างชนบริติชด้วยกันเองที่เกิดขึ้น นอกจากนั้นก็ยังมีสงครามระหว่างกลุ่มแซกซันต่าง ๆ ก่อนที่จะรวมกันเป็นอาณาจักรต่าง ๆ
ส่วนทางฝ่ายชนบริติชเองก็เริ่มมีการย้ายถิ่นฐานออกจากเกาะอังกฤษข้ามช่องแคบอังกฤษมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 และไปตั้งถิ่นฐานทางแหลมด้านตะวันตก ( (Armorica)) ของกอล และก่อตั้งเป็น หลังจากนั้นก็มีหลักฐานที่เชื่อกันว่ามีการโยกย้ายถิ่นฐานต่อมาอีกครั้งจากบริเวณเดวอนและคอร์นวอลล์ บางกลุ่มก็ย้ายไปตั้งถิ่นฐานทางด้านเหนือของสเปนในบริเวณที่เรียกว่า (Britonia) ในบริเวณปัจจุบัน แต่การโยกย้ายถิ่นฐานเหล่านี้ควรจะศึกษาร่วมกับการการโยกย้ายถิ่นฐานของชาวยุโรปโดยทั่วไปในยุคเดียวกัน และจากหลักฐานทางพันธุกรรมและทางโบราณคดีทำให้เกิดความเคลือบแคลงกันถึงขนาด (Anglo-Saxon migration to Britain)
สมัยเจ็ดอาณาจักรและการเข้านับถือคริสต์ศาสนา (ค.ศ. 600-800)
(Anglo-Saxon Christianity) ไปในหมู่ชนแองโกล-แซกซันเริ่มราว ค.ศ. 600 โดยมีอิทธิพลจาก (Celtic Christianity) จากทางตะวันตกเฉียงเหนือโดยสถาบันโรมันคาทอลิกจากทางตะวันออกเฉียงใต้ อัครบาทหลวงแห่งแคนเตอร์บรีองค์แรกรับหน้าที่เป็นอัครบาทหลวงในปี ค.ศ. 597 ในปี ค.ศ. 601 พระองค์ก็ได้ประทานศีลจุ่มให้แก่พระเจ้าแผ่นดินแองโกล-แซกซันองค์แรกที่เป็นคริสต์ศาสนิกชน (Penda of Mercia) พระเจ้าแผ่นดินนอกศาสนาองค์สุดท้ายของแองโกล-แซกซันเสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 655 การเผยแพร่คริสต์ศาสนาของแองโกล-แซกซันไปยังแผ่นดินใหญ่ยุโรปเริ่มขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 8 ที่เป็นผลทำให้จักรวรรดิแฟรงค์ (Frankish Empire) เกือบทั้งหมดกลายเป็นคริสเตียนภายในปี ค.ศ. 800.
ตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 7 และคริสต์ศตวรรษที่ 8 อำนาจก็โยกย้ายไปมาระหว่างราชอาณาจักรใหญ่ต่าง ๆ บีดบันทึกว่าเป็นประมุขผู้มีอำนาจมากกว่าผู้อื่นในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 6 แต่อำนาจก็ย้ายขึ้นไปทางเหนือไปยังราชอาณาจักรนอร์ทัมเบรียที่เป็นราชอาณาจักรที่เกิดจากการรวมราชอาณาจักรเบอร์นิเซียและไดราเข้าด้วยกัน อาจจะเป็นผู้มีอำนาจมากกว่าผู้ใดในบริเตนในขณะนั้นแต่ก็อาจจะเป็นเพียงความเห็นของบีดผู้ออกจะลำเอียงไปทางการเชิดชูราชอาณาจักรนอร์ทัมเบรียกว่าราชอาณาจักรอื่น แต่นอร์ทัมเบรียก็ประสบปัญหาผู้มีสิทธิในการครองราชอาณาจักรอยู่เป็นประจำ ซึ่งทำให้เมอร์เซียกลายเป็นอาณาจักรที่มีอำนาจโดยเฉพาะภายไต้การปกครองของ หลังจากการพ่ายแพ้ในยุทธการที่เทร้นท์ในปี ค.ศ. 679 ต่อเมอร์เซีย และในยุทธการที่เน็คเทนส์เมียร์ในปี ค.ศ. 685 ต่อ (Pict) นอร์ทัมเบรียก็หมดอำนาจ
ในคริสต์ศตวรรษที่ 8 เมอร์เซียก็กลายเป็นอาณาจักรที่มีอำนาจเหนืออาณาจักรอื่น ๆ แต่ก็ไม่ตลอดเวลา เอเธลบอลด์และเป็นกษัตริย์ผู้มีอำนาจสองพระองค์ โดยเฉพาะออฟฟาผู้ที่ชาร์เลอมาญทรงถือว่าเป็นโอเวอร์ลอร์ด (overlord) ของทางไต้ของบริเตน ที่เห็นได้จากความที่ทรงมีอำนาจพอที่จะระดมผู้คนให้มาสร้าง (Offa's Dyke) ซึ่งเป็นเขื่อนดินที่ยาวเกือบตลอดพรมแดนเวลส์และอังกฤษปัจจุบัน แต่การขยายอำนาจของเวสต์เซ็กซ์และการต่อต้านของอาณาจักรย่อย ๆ ทำให้เป็นการเป็นอุปสรรคต่ออำนาจของเมอร์เซียโดยตลอด และเมื่อมาถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 8 อำนาจของเมอร์เซียก็สิ้นสุดลง
ช่วงเวลานี้เรียกกันว่าสมัยเจ็ดอาณาจักรแต่ก็เป็นวลีที่เลิกใช้กันในบรรดาผู้ศึกษาในสถาบันกันแล้ว คำว่าเจ็ดอาณาจักรมาจากราชอาณาจักรที่ประกอบด้วย นอร์ทัมเบรีย, เมอร์เซีย, อีสต์แองเกลีย, , เคนต์, ซัสเซ็กซ์ และเวสเซ็กซ์ ที่เป็นอาณาจักรสำคัญทางไต้ของอังกฤษในของยุคนั้น แต่นักการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ชี้ให้เห็นว่ายังมีอาณาจักรอื่นที่มีความสำคัญตลอดสมัยนั้นที่รวมทั้ง: Hwicce, (Magonsaete), และมิดเดิลแองเกลีย
การรุกรานของไวกิงและการขยายอำนาจของเวสเซ็กซ์ (คริสต์ศตวรรษที่ 9)
บันทึกแรกที่กล่าวถึงการโจมตีของไวกิงเกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 793 ที่สำนักสงฆ์ (Lindisfarne) จากบันทึกในบันทึกเหตุการณ์ของชาวแองโกล-แซกซัน แต่ในขณะนั้นชนไวกิงก็ตั้งถิ่นฐานกันอย่างเป็นหลักแหล่งแล้วในออร์กนีย์และ (Shetland) นอกจากนั้นก็ยังคงมีการโจมตีที่เกิดขึ้นที่อื่นบ้างแล้วก่อนหน้านั้นที่ไม่ได้รับการบันทึก หลักฐานที่กล่าวถึงการโจมตีที่ (Iona) เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 794. การรุกรานของไวกิงโดยเฉพาะจาก (Great Heathen Army) ของชาวเดนมาร์กทำความสั่นสะเทือนให้แก่ระบบการปกครองและการสังคมในบริเตนและไอร์แลนด์ ชัยชนะของสมเด็จพระเจ้าอัลเฟรดมหาราชที่เอ็ดดิงทันในปี ค.ศ. 878 เป็นชนวนให้เกิดการรุกรานของเดนมาร์ก แต่เมื่อถึงเวลานั้นนอร์ทัมเบรียก็หมดอำนาจลงแล้วและกลายเป็นอาณาจักรเบอร์นิเซียกับอาณาจักรไวกิง ส่วนเมอร์เซียก็แบ่งแยกเป็นสองอาณาจักร และก็สลายตัวจากการเป็นอาณาจักรของแองโกล-แซกซัน การรุกรานของไวกิงมีผลคล้ายคลึงกันในอาณาบริเวณของชนไอริช, สกอต, พิกต์ และบางส่วนของเวลส์ โดยเฉพาะทางเหนือของอังกฤษที่เป็นสาเหตุของการก่อตั้งราชอาณาจักร (Alba) ที่ต่อมากลายมาเป็นสกอตแลนด์
หลังจากการสมัยของการโจมตีและปล้นสดมภ์แล้วไวกิงก็เริ่มตั้งถิ่นฐานในอังกฤษ ศูนย์กลางที่สำคัญของไวกิงอยู่ที่ยอร์ก หรือที่เรียกว่า (Jórvík) โดยไวกิง หลังจากนั้นไวกิงก็พยายามสร้างสัมพันธไมตรีระหว่างราชอาณาจักรยอร์คกับดับลินแต่ต่อมาก็ล้มเหลว การตั้งถิ่นฐานของชาวเดนส์และชาวนอร์เวย์มีความสำคัญพอที่จะทิ้งร่องรอยทางภาษาศาสตร์ไว้ในภาษาอังกฤษ; คำหลายคำที่ใช้ในภาษาอังกฤษมีรากมาจากภาษานอร์สโบราณ หรือชื่อทางภูมิศาสตร์ในบริเวณการตั้งถิ่นฐานก็มีรากมาจากสแกนดิเนเวีย
การรวมตัวของอังกฤษ (คริสต์ศตวรรษที่ 10)
หลังจากสมเด็จพระเจ้าอัลเฟรดมหาราชเสด็จสวรรคตเมื่อปี ค.ศ. 899 สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้อาวุโสพระราชโอรสก็ขึ้นครองราชสืบต่อจากพระองค์ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดและพระอนุชาเขยเอเธลเรดแห่งเมอร์เซียก็ทรงต่อต้านการโจมตีของเดนมาร์กและเริ่มโครงการขยายดินแดน, ยึดอาณาบริเวณที่เป็นของเดนมาร์ก และก่อตั้งระบบป้อมปราการเพื่อป้องกันอาณาบริเวณที่เป็นเจ้าของ เมื่อเอเธลเรดสิ้นพระชนม์เอเธลเฟลดพระขนิษฐาของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดก็ปกครองในพระนาม "Lady of the Mercians" และดำเนินการขยายดินแดนต่อร่วมกับเชษฐา ในปี ค.ศ. 918 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดก็ทรงควบคุมอังกฤษในบริเวณตั้งแต่ใต้แม่น้ำฮัมเบอร์ลงมาได้ทั้งหมด ปีเดียวกันนั้นเอเธลเฟลดก็สิ้นพระชนม์ ราชอาณาจักรเมอร์เซียก็รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรเวสเซ็กซ์
เอเธลสตันพระราชโอรสของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเป็นพระมหากษัตริย์องค์แรกที่ปกครองอังกฤษทั้งหมดหลังจากที่ทรงได้รับชัยชนะในนอร์ทัมเบรียในปี ค.ศ. 927 พระราชอิสริยศที่ทรงได้รับตามและบนเหรียญกษาปณ์ดูเหมือนว่าจะทรงมีอิทธิพลมากกว่าที่กล่าว หลังจากนั้นก็ทรงได้รับชัยชนะเมื่อนอร์ทัมเบรียพยายามแข็งข้อขึ้นอีกครั้งโดยการไปเป็นพันธมิตรกับกองทัพสกอต-ไวกิงใน (Battle of Brunanburh) แต่หลังจากที่พระเจ้าเอเธลสตันเสด็จสวรรคตการรวมตัวของอังกฤษก็ประสบอุปสรรคต่าง ๆ
พระเจ้าเอ็ดมันด์ที่ 1 และพระเจ้าเอเดรด ผู้ครองราชย์ต่อมาต่างก็เสียอำนาจในการปกครองนอร์ทัมเบรียให้กับการโจมตีของชนนอร์สใหม่ก่อนที่จะได้คืนมาอีกครั้ง แต่เมื่อมาถึงสมัยของพระเจ้าเอ็ดการ์ผู้ปกครองอังกฤษในบริเวณเดียวกับเอเธลสตันอังกฤษก็รวมตัวกันอย่างถาวร
ดูเพิ่ม
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
xngkvssmyaexngokl aesksn xngkvs History of Anglo Saxon England kh s 410 kh s 1066 xngkvssmyaexngokl aesksnepnprawtisatrkhxngtnyukhklangkhxngxngkvsthierimtngaetplaysmyormnbrietncnmathungkarkxtngrachxanackrtang khxngaexngokl aesksn inkhriststwrrsthi 5 aelamasinsudlngemuxchawnxrmnidrbchychnatxxngkvs inpi kh s 1066 rahwangkhriststwrrsthi 5 thung khriststwrrsthi 6 epnsmythiruckknthangobrankhdiwa Sub Roman Britain hruxthiruckkntamkhwamniymwa yukhmud Dark Ages tngaetkhriststwrrsthi 6 epntnmakerimmikarkxtngxanackrthiihykhunthieriykknrwm knwa ecdxanackr inchwngnixngkvsaebngekhtkarpkkhrxngrahwangxanackrtang khxngaexngokl aesksnaelabrietn karrukrankhxngiwkinginplaykhriststwrrsthi 8 namasungkhwamepliynaeplnghlayprakarinbrietn phurukranchawednmarkocmtithitngthinthantang ipthwbrietn aetkartngthinthankhxngchawednmarktxmacakdxyuaetephiynginbriewnthangdantawnxxkkhxngekaaxngkvs khnathiphurukrancaknxrewythiekhamathangixraelndocmtithangfngtawntkkhxngthngxngkvsaelaewls aetinthisudaexngokl aesksnkmixanacinkarpkkhrxngipthwthngekaaxngkvsslbkbednmarkinbangchwnginbangkhrng thangdankhwamsmphnthkbaephndinihyyuorpkkhwamsakhymacnkrathngplaysmyaexngokl aesksnthimathimakhxngaexngokl aesksnmidwykntang thnghlkthanthangexksaraelathangtanan aethlkthanthangexksarthisakhymidwyknsichbb aerkmacakbnthuk karlmslayaelakarphichitbrietn De Excidio et Conquestu Britanniae ody thiekhiynrawkh s 540 epnbnthukthihnkipinthangkarwicarnkstriybritichmakkwathicabrryayehtukarnthangprawtisastr exksarchbbthisxng prawtisastrekiywkbsasnakhxngchnxngkvs ekhiynodynkbuybid raw kh s 731 ichbnthukkhxngkildasepnphunthanaelakxangxinghlkthanxundwy chbbthisam prawtisastrxngkvs thiklawknwaekhiynodynkpraphnthchuxenneniysthixaccaekhiynraw kh s 800 enneniyskechnediywkbkildasbrryayehtukarncakmummxngkhxngbritich chbbsudthaykhux bnthukehtukarnkhxngchawaexngokl aesksn thibangswnmiphunthanmacakngankhxngbidaetkphsmtananekiywkbkarkxtngrachxanackrewsesks aetthisakhythisudinbrrdaexksarsichbbkkhux prawtisastrekiywkbsasnakhxngchnxngkvs khxngbid aela bnthukehtukarnkhxngchawaexngokl aesksn hlkthanxun kichprakxbhlkthanthangexksar echnhlkthankartngthinthanthangobrankhdithiehnidcakpraephnikarfngsphaelakarichthidin cakkarwicysaksphthiphbimiklcakaexbbingdnxangwachawaesksntngthinthanxyudwyknkbchawbrietn sungepnpyhainkarthkethiyngknthangdankarsuksawakartngthinthankhxngchawaesksnepnkartngthinthanaebbaethnthi hruxepnkarekhamaphsmkbphukhnchawormn brietnthitngthinthanxyuaetediminbriewnthangitaelatawnxxkkhxngbrietn dark brietnaelakarlmslaykhxngckrwrrdiormn kh s 2002 aelaelykhxk rthbrithaeniylm kh s 2008 tangkthkkninhwkhxniaelawicycakhlkthansnbsnuntang hlkthanxunkmitang thiynghlngehluxxyutnaetrchsmykhxng AEthelberht of Kent aela Ine of Wessex aelaephimcanwnkhunmakmayhlngcakrchsmykhxngsmedcphraecaxlefrdmharach Anglo Saxon Charters thiswnihyekiywkbkarmxbthidinichepnhlkthanidtlxdsmy hlkthankarekhiynxun krwmthngwrrnkrrmnkbuy cdhmay mkcaepnkartidtxrahwangnkbwchaelabangkhrngphunathangkaremuxngechncharelxmay aela aela inchwngsibpithiaelwkidmikarsuksathangphnthkrrmkhxngchawxngkvsinsmypccubnthinaipichinkarsrangthvsdiekiywkbprachakrinsmyaexngokl aesksnaelacanwnphuekhamatngthinthan inkhriststwrrsthi 19 srupknwakarmatngthinthanepnkartngthinthankhxngchnklumihy aetemuximnanmaniechuxknwaepnkarmatngthinthankhxngchnchnphunacanwnimmaknkthisnbsnuncakkarsuksaodykarwicydiexnexkaroykyaythinthanaelakarkxtngrachxanackr kh s 400 600 karwangrakthankhxngladbehtukarntngaetormnxxkcakbrietnmacnthungkarkxtngrachxanackraexngokl aesksnepneruxngthithaidyak ehtukarnekiywkbkarxxkcakbrietnkhxngormnbnthukin Historia Regum Britanniae ekhiynodyecffriyaehngmxnmxth Geoffrey of Monmouth sungepnbnthukthiimnaechuxthuxethaidnknxkcakcaichepnexksarsahrbtanancakyukhklang aelaichinkarepnhlkthanprakxbkbhlkthanxun rachxanackraexngokl aesksnaehngekhnt aela echuxknwamirakthanmacakkhxmulkhxngsungthaihehnwamikhwamtxenuxngthangkaremuxngkbchnekhlt aetxanackrthangdantawntkewsesksaelaemxresiyekuxbcaimmikhwamsmphnthkbekhtaednthimixyuinkhnann rachxanackraelahmuchninraw kh s 600 hlkthanthangobrankhdikhxngkhristthswrrshlng phayitkarpkkhrxngkhxngormnaesdngihehnsyyankhxngkhwamesuxmothrmintwemuxngaelachiwitinwilla nxkcaknnkmihlkthankarocmtikhxngaesksninbrietnrahwangkhriststwrrsthi 4 aelamikarkxsrangpxmprakartamchayfngthaelthangdantawnxxkechiyngitkhxngekaaxngkvs aetnkwichakarbangkhnmikhwamehnwathitngehlaniepnthitngthangkarkhakhaythichawaesksnkxtngkhunaethnthicaepnkarichthangkarthhar ehriyyksapnthitihlng kh s 402 haduidyaksungthaihthrabidwakarcaykhacangihaekkxngthharormnyutilngipaelw txma phuidrbkarprakasihepnckrphrrdiodykxngthharinpi kh s 407 knakxngthphbritichkhamchxngaekhbxngkvsaetthrngthuksngharinyuththkarinpi kh s 411 inpi kh s 410 ckrphrrdiohoneriys Honorius prakasihchawormn britichpxngkntnexng aetinklangkhriststwrrsthi 5 ormn britichkyngmikhwamrusukwasamarthyunkharxngtxkngsul Flavius Aetius ihmachwytxtankarrukran aemwakarpkkhrxngkhxngormncayutilnginbrietnaetwithikarichchiwitxyangchawormnyngkhngptibtiknxyutxmaxikhlaychwkhn duehmuxnwaormnbrietncaaebngaeykepnxanackryxy hlayxanackraetmikarkhwbkhumodythwipodyspha kildasxangwasphaniepnphuchwnthharrbcangaesksnekhamayngbrietnephuxtxtanphuplnsdmphaetthharaesksnkptiwtiemuximidrbkhacang bidechuxwaaesksnekhamainbrietnraw kh s 446 aetpithiwanikepnthiekhluxbaekhlngkninpccubn chwngrayaewlakartxsuthiekidkhunknachychnamaihthngfayaesksnaelabritich aemwaladbewlacaepnsingthiyakthicaexaihaennxnidaetduehmuxnwainpi kh s 495 faybrietnkidrbchychnaaelasrangkhwamesiyhayxyanghnkihaekfayaexngokl aesksnin Battle of Mons Badonicus hlkthanthangobrankhdiaelacakbnthukkhxngkildasrabuwaepnkarthaihkarmatngthinthankhxngaesksnhyudchangklngchwrayaewlahnung inkhriststwrrsthi 6 aesksnkmakhunfngxikkhrngthibriewnesathaethmptnaelaedinthangkhunipthangkhxtswxldaelachilethirns inkhriststwrrsthi 7 aesksnkkhwbkhumxanabriewnthangdantawntkechiyngitkhxngxngkvsykewnkhxrnwxllsungimidekhamaxyuphayitkarpkkhrxngkhxngaesksnxyangetmthicnkrathngkhriststwrrsthi 10 aemwaodythwipaelweracaeriykphuthiekhamainchwngniwa aesksn aetxnthicringaelwkmichnklumxunthiekhamadwyinkhnaediywknthirwmthng chnaexngekil aelachncut aesksnxaccaepnphuihchux exsesks midedilesks ssesks aelaewstesks swnchnaexngekiltngthinthaninbriewnxistaexngekliy emxresiy ebxrniesiy aelaidra khnathichncuttngthinthaninbriewnekhntaelaixlxxfiwth cakhlkthanthangobrankhdiphbwaekhruxngichkhxngaesksnkhxngsmyaerkthiphbphbthangtawnxxkkhxngxngkvsmiichinbriewnekhnttamhlkthanthangprawtisastrthiklaw nxkcaknnaelwkyngphbinbriewnlumaemnaethmsthangtxnehnuxaetsnnisthanknwaepnsingkhxngthiepnkhxngthharrbcangkhxngkstriybritich kildasklawthungsngkhramklangemuxngrahwangchnbritichdwyknexngthiekidkhun nxkcaknnkyngmisngkhramrahwangklumaesksntang kxnthicarwmknepnxanackrtang swnthangfaychnbritichexngkerimmikaryaythinthanxxkcakekaaxngkvskhamchxngaekhbxngkvsmatngaetkhriststwrrsthi 5 aelaiptngthinthanthangaehlmdantawntk Armorica khxngkxl aelakxtngepn hlngcaknnkmihlkthanthiechuxknwamikaroykyaythinthantxmaxikkhrngcakbriewnedwxnaelakhxrnwxll bangklumkyayiptngthinthanthangdanehnuxkhxngsepninbriewnthieriykwa Britonia inbriewnpccubn aetkaroykyaythinthanehlanikhwrcasuksarwmkbkarkaroykyaythinthankhxngchawyuorpodythwipinyukhediywkn aelacakhlkthanthangphnthukrrmaelathangobrankhdithaihekidkhwamekhluxbaekhlngknthungkhnad Anglo Saxon migration to Britain smyecdxanackraelakarekhanbthuxkhristsasna kh s 600 800 brietnraw kh s 802 aesdngihehnrachxanackraexngokl aesksnsiaedng sm aelarachxanackrekhltsiekhiyw Anglo Saxon Christianity ipinhmuchnaexngokl aesksnerimraw kh s 600 odymixiththiphlcak Celtic Christianity cakthangtawntkechiyngehnuxodysthabnormnkhathxlikcakthangtawnxxkechiyngit xkhrbathhlwngaehngaekhnetxrbrixngkhaerkrbhnathiepnxkhrbathhlwnginpi kh s 597 inpi kh s 601 phraxngkhkidprathansilcumihaekphraecaaephndinaexngokl aesksnxngkhaerkthiepnkhristsasnikchn Penda of Mercia phraecaaephndinnxksasnaxngkhsudthaykhxngaexngokl aesksnesdcswrrkhtinpi kh s 655 karephyaephrkhristsasnakhxngaexngokl aesksnipyngaephndinihyyuorperimkhuninkhriststwrrsthi 8 thiepnphlthaihckrwrrdiaefrngkh Frankish Empire ekuxbthnghmdklayepnkhrisetiynphayinpi kh s 800 tlxdkhriststwrrsthi 7 aelakhriststwrrsthi 8 xanackoykyayipmarahwangrachxanackrihytang bidbnthukwaepnpramukhphumixanacmakkwaphuxuninplaykhriststwrrsthi 6 aetxanackyaykhunipthangehnuxipyngrachxanackrnxrthmebriythiepnrachxanackrthiekidcakkarrwmrachxanackrebxrniesiyaelaidraekhadwykn xaccaepnphumixanacmakkwaphuidinbrietninkhnannaetkxaccaepnephiyngkhwamehnkhxngbidphuxxkcalaexiyngipthangkarechidchurachxanackrnxrthmebriykwarachxanackrxun aetnxrthmebriykprasbpyhaphumisiththiinkarkhrxngrachxanackrxyuepnpraca sungthaihemxresiyklayepnxanackrthimixanacodyechphaaphayitkarpkkhrxngkhxng hlngcakkarphayaephinyuththkarthiethrnthinpi kh s 679 txemxresiy aelainyuththkarthienkhethnsemiyrinpi kh s 685 tx Pict nxrthmebriykhmdxanac inkhriststwrrsthi 8 emxresiykklayepnxanackrthimixanacehnuxxanackrxun aetkimtlxdewla exethlbxldaelaepnkstriyphumixanacsxngphraxngkh odyechphaaxxffaphuthicharelxmaythrngthuxwaepnoxewxrlxrd overlord khxngthangitkhxngbrietn thiehnidcakkhwamthithrngmixanacphxthicaradmphukhnihmasrang Offa s Dyke sungepnekhuxndinthiyawekuxbtlxdphrmaednewlsaelaxngkvspccubn aetkarkhyayxanackhxngewstesksaelakartxtankhxngxanackryxy thaihepnkarepnxupsrrkhtxxanackhxngemxresiyodytlxd aelaemuxmathungplaykhriststwrrsthi 8 xanackhxngemxresiyksinsudlng chwngewlanieriykknwasmyecdxanackraetkepnwlithielikichkninbrrdaphusuksainsthabnknaelw khawaecdxanackrmacakrachxanackrthiprakxbdwy nxrthmebriy emxresiy xistaexngekliy ekhnt ssesks aelaewsesks thiepnxanackrsakhythangitkhxngxngkvsinkhxngyukhnn aetnkkarsuksaemuximnanmanichiihehnwayngmixanackrxunthimikhwamsakhytlxdsmynnthirwmthng Hwicce Magonsaete aelamidedilaexngekliykarrukrankhxngiwkingaelakarkhyayxanackhxngewsesks khriststwrrsthi 9 brietnraw kh s 886 aesdngihehnrachxanackrednssimwng rachxanackraexngokl aesksnsism aelarachxanackrekhltsiekhiyw bnthukaerkthiklawthungkarocmtikhxngiwkingekidkhunemux kh s 793 thisanksngkh Lindisfarne cakbnthukinbnthukehtukarnkhxngchawaexngokl aesksn aetinkhnannchniwkingktngthinthanknxyangepnhlkaehlngaelwinxxrkniyaela Shetland nxkcaknnkyngkhngmikarocmtithiekidkhunthixunbangaelwkxnhnannthiimidrbkarbnthuk hlkthanthiklawthungkarocmtithi Iona ekidkhuninpi kh s 794 karrukrankhxngiwkingodyechphaacak Great Heathen Army khxngchawednmarkthakhwamsnsaethuxnihaekrabbkarpkkhrxngaelakarsngkhminbrietnaelaixraelnd chychnakhxngsmedcphraecaxlefrdmharachthiexddingthninpi kh s 878 epnchnwnihekidkarrukrankhxngednmark aetemuxthungewlannnxrthmebriykhmdxanaclngaelwaelaklayepnxanackrebxrniesiykbxanackriwking swnemxresiykaebngaeykepnsxngxanackr aelakslaytwcakkarepnxanackrkhxngaexngokl aesksn karrukrankhxngiwkingmiphlkhlaykhlungkninxanabriewnkhxngchnixrich skxt phikt aelabangswnkhxngewls odyechphaathangehnuxkhxngxngkvsthiepnsaehtukhxngkarkxtngrachxanackr Alba thitxmaklaymaepnskxtaelnd hlngcakkarsmykhxngkarocmtiaelaplnsdmphaelwiwkingkerimtngthinthaninxngkvs sunyklangthisakhykhxngiwkingxyuthiyxrk hruxthieriykwa Jorvik odyiwking hlngcaknniwkingkphyayamsrangsmphnthimtrirahwangrachxanackryxrkhkbdblinaettxmaklmehlw kartngthinthankhxngchawednsaelachawnxrewymikhwamsakhyphxthicathingrxngrxythangphasasastriwinphasaxngkvs khahlaykhathiichinphasaxngkvsmirakmacakphasanxrsobran hruxchuxthangphumisastrinbriewnkartngthinthankmirakmacaksaekndienewiykarrwmtwkhxngxngkvs khriststwrrsthi 10 hlngcaksmedcphraecaxlefrdmharachesdcswrrkhtemuxpi kh s 899 smedcphraecaexdewirdphuxawuosphrarachoxrskkhunkhrxngrachsubtxcakphraxngkh phraecaexdewirdaelaphraxnuchaekhyexethlerdaehngemxresiykthrngtxtankarocmtikhxngednmarkaelaerimokhrngkarkhyaydinaedn yudxanabriewnthiepnkhxngednmark aelakxtngrabbpxmprakarephuxpxngknxanabriewnthiepnecakhxng emuxexethlerdsinphrachnmexethlefldphrakhnisthakhxngphraecaexdewirdkpkkhrxnginphranam Lady of the Mercians aeladaeninkarkhyaydinaedntxrwmkbechstha inpi kh s 918 phraecaexdewirdkthrngkhwbkhumxngkvsinbriewntngaetitaemnahmebxrlngmaidthnghmd piediywknnnexethlefldksinphrachnm rachxanackremxresiykrwmekhaepnswnhnungkhxngrachxanackrewsesks exethlstnphrarachoxrskhxngphraecaexdewirdepnphramhakstriyxngkhaerkthipkkhrxngxngkvsthnghmdhlngcakthithrngidrbchychnainnxrthmebriyinpi kh s 927 phrarachxisriysthithrngidrbtamaelabnehriyyksapnduehmuxnwacathrngmixiththiphlmakkwathiklaw hlngcaknnkthrngidrbchychnaemuxnxrthmebriyphyayamaekhngkhxkhunxikkhrngodykaripepnphnthmitrkbkxngthphskxt iwkingin Battle of Brunanburh aethlngcakthiphraecaexethlstnesdcswrrkhtkarrwmtwkhxngxngkvskprasbxupsrrkhtang phraecaexdmndthi 1 aelaphraecaexedrd phukhrxngrachytxmatangkesiyxanacinkarpkkhrxngnxrthmebriyihkbkarocmtikhxngchnnxrsihmkxnthicaidkhunmaxikkhrng aetemuxmathungsmykhxngphraecaexdkarphupkkhrxngxngkvsinbriewnediywkbexethlstnxngkvskrwmtwknxyangthawrduephimecdxanackr ormnbrietn iwking smedcphraecaxlefrdmharach chychnakhxngchawnxrmntxxngkvs smedcphraecahaorld kxdwinsn smedcphraecawileliymthi 1 aehngxngkvs