พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติประจำจังหวัดน่าน ตั้งอยู่ภายในคุ้มของอดีตเจ้าผู้ครองนครน่าน (หอคำ) ถนนผากอง ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน
อาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน | |
ที่ตั้งในจังหวัดน่าน | |
ก่อตั้ง | 14 สิงหาคม 2530 |
---|---|
ที่ตั้ง | ตำบลในเวียง, อำเภอเมืองน่าน, จังหวัดน่าน |
พิกัดภูมิศาสตร์ | 18°46′35″N 100°46′15″E / 18.77627110313929°N 100.77087639169675°E |
ประเภท | พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ |
เจ้าของ | กรมศิลปากร |
เว็บไซต์ | www |
ประวัติ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน เดิมเป็นที่ประทับของพระเจ้าสุริยพงษ์ผลิตเดชฯ พระเจ้าน่าน ทรงสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2446 เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น มีมุขด้านหน้า หลังคามุงด้วยไม้แป้นเกล็ด บนเนื้อที่ 14 ไร่ 2 งาน 32 ตารางวา ครั้นเมื่อเจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองนครน่านองค์สุดท้ายถึงพิราลัย เจ้านายบุตรหลานของเจ้าผู้ครองนครน่านจึงได้มอบหอคำหลังนี้พร้อมที่ดินให้แก่รัฐบาล เพื่อใช้เป็นอาคารศาลากลางจังหวัดน่าน ต่อมาเมื่อกระทรวงมหาดไทยได้ก่อสร้างอาคารศาลากลางจังหวัดหลังใหม่ขึ้น กรมศิลปากรจึงได้ขอรับมอบอาคารเพื่อใช้เป็นสถานที่จัดตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ขึ้นในปี พ.ศ. 2517 และประกาศจัดตั้งอย่างเป็นทางการขึ้นในปี พ.ศ. 2528 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานประกอบพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2530
การจัดแสดง
อาคารชั้นล่าง
ประกอบด้วยส่วนหน้ามุขใช้เป็นห้องจำหน่ายบัตรเข้าชม หนังสือด้านวิชาการ สินค้าพื้นเมือง และของที่ระลึกอื่นๆ ส่วนโถงกลางรวมถึงปีกอาคารด้านทิศเหนือ ใช้แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับชาติพันธุ์วิทยาเกี่ยวกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาว และชาวไทยพื้นเมืองภาคเหนือ และส่วนหลังซึ่งส่วนปีกอาคารด้านทิศเหนือ ใต้ และเฉลียง จัดแสดงเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่และเครื่องใช้ของเผ่าชนต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดน่าน
อาคารชั้นบน
ประกอบด้วยส่วนหน้ามุขซึ่งใช้เป็นห้องจัดนิทรรศการพิเศษ พื้นที่ส่วนกลางเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ใช้จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ของเมืองน่าน และส่วนหลังซึ่งเป็นส่วนปีกของอาคารด้านทิศเหนือ ใต้ และเฉลียงหลัง จำวน 6 ห้อง ใช้จัดแสดงด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ศิลปะของเมืองน่านตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
โบราณวัตถุที่สำคัญ
- งาช้างดำ
- หีบพระธรรมไม้แกะสลัก ฝีมือช่างสกุลน่าน
- สมุดข่อยอาณาจักรหลักคำกฎหมายเมืองน่าน
- ครุฑยุคนาค ฝีมือช่างล้านนา
- ศิลาจารึกหลักที่ 64 อักษรสุโขทัย กล่าวถึงการกระทำสัตย์สาบานช่วยเหลือซึ่งกันและกันเมื่อเกิดศึกสงครามระหว่างเจ้าพระยาผากอง เจ้าผู้ครองนครน่าน และพระมหาธรรมราชาที่ 2 กษัตริย์แห่งสุโขทัย
- ศิลาจารึกหลักที่ 74 อักษรธรรมล้านนา กล่าวถึงพญาพลเทพกุรไชย เจ้าเมืองน่าน ได้ทำการบูรณะพระมหาวิหารให้วัดหลวงกลางเวียง (วัดช้างค้ำ)
งาช้างดำ
งาช้างดำ มีลักษณะเป็นงาปลียาว 97 เซนติเมตร วัดโดยรอบตรงส่วนใหญ่ที่สุด 47 เซนติเมตร โพรงตอนโคนลึก 14 เซนติเมตร สีออกน้ำตาลเข้มไม่ดำสนิท มีจารึกอักษรล้านนาว่า "กิ่งนี้หนักหนึ่งหมื่นห้าพัน" หรือประมาณ 18 กิโลกรัม สันนิษฐานว่าเป็นงาข้างซ้ายเพราะมีรอยเสียดสีกับงาชัดเจน ชาวจังหวัดน่านถือว่า งาช้างดำเป็นวัตถุมงคลคู่บ้านคู่เมืองน่านและถือเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของจังหวัดน่าน เป็นวัตถุโบราณที่หายากและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก ปัจจุบันงาช้างดำเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน
ความเป็นมาของงาช้างดำนี้ไม่มีหลักฐานแน่ชัด มีเพียงตำนานเล่าสืบต่อกันมา 2 เรื่อง
เรื่องแรก ในสมัยพระเจ้าสุมนเทวราช เจ้าผู้ครองนครเมืองน่าน (พ.ศ. 2353-2368) มีพรานคนเมืองน่านได้เข้าป่า ล่าสัตว์เข้าไปถึงเขตแดนระหว่างไทยกับเชียงตุงได้พบซากช้างตัวดำสนิทตายในห้วย พอดีกับพรานชาวเชียงตุงมาพบด้วยพรานทั้งสองจึงแบ่งงาช้างดำกันคนละข้าง ต่างคนก็นำมาถวายเจ้าเมือง ต่อมาเจ้าเมืองเชียงตุง ได้ส่งสารมาทูลเจ้าสุมนเทวราชว่า "ตราบใดงาช้างดำคู่นี้ไม่สูญหาย เมืองน่านกับเมืองเชียงตุงจะเป็นมิตรไมตรีกันตลอดไป..."
เรื่องที่สอง เมืองน่านยกทัพไปล้อมเมืองเชียงตุงหลายเดือน ทำให้ชาวเมืองเชียงตุงเดือดร้อน โหรเมืองเชียงตุงทูลเจ้าเมืองว่า "เป็นเพราะมีงาช้างดำอยู่ด้วยกัน ทางที่ดีควรแยกออกจากกัน..." จึงนำงาช้างดำกิ่งหนึ่งมอบให้กองทัพเมืองน่านแล้วกระทำสัตย์สาบานเป็นมิตรกันตลอดกาล ความสำคัญของงาช้างดำนี้เชื่อกันว่า พญาการเมือง เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 6 ราวพุทธศตวรรษที่ 20 ได้ทำพิธีสาปแช่งเอาไว้ว่า "ให้งาช้างดำนี้เป็นของคู่บ้านคู่เมืองน่านตลอดไป ผู้ใดจะนำไปเป็นสมบัติส่วนตัวมิได้ ต้องไว้ที่หอคำหรือวังเจ้าผู้ครองนครน่านเท่านั้น..."
ในส่วนของ ครุฑ ที่แบกรับงาช้างดำไว้นั้น แกะสลักจากไม้สักทั้งท่อนโดยช่างสกุลน่าน สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2469 เนื่องจากช่วงนั้นมีข่าวว่าเจ้าเมืองฝ่ายเหนือบางเมืองคิดแข็งข้อก่อการกบฏต่อราชวงค์จักรี เจ้าผู้ครองนครน่านจึงสั่งให้ทำพระครุฑพ่าห์ขึ้นมาแบกรับงาช้างดำวัตถุคู่บ้านคู่เมืองไว้ เพื่อเป็นการแสดงสัญลักษณ์ให้เห็นว่า "นครน่านในยุคนั้นยังคงจงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์อยู่ไม่เสื่อมคลาย..."
แหล่งข้อมูลอื่น
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
phiphithphnthsthanaehngchati nan epnphiphithphnthsthanaehngchatipracacnghwdnan tngxyuphayinkhumkhxngxditecaphukhrxngnkhrnan hxkha thnnphakxng tablinewiyng xaephxemuxngnan cnghwdnanphiphithphnthsthanaehngchati nanxakharphiphithphnthsthanaehngchati nanthitngincnghwdnankxtng14 singhakhm 2530 2530 08 14 thitngtablinewiyng xaephxemuxngnan cnghwdnanphikdphumisastr18 46 35 N 100 46 15 E 18 77627110313929 N 100 77087639169675 E 18 77627110313929 100 77087639169675praephthphiphithphnthsthanaehngchatiecakhxngkrmsilpakrewbistwww wbr finearts wbr go wbr th wbr nanmuseumprawtiphiphithphnthsthanaehngchati nan edimepnthiprathbkhxngphraecasuriyphngsphlitedch phraecanan thrngsrangkhunemuxpi ph s 2446 epnxakharkxxiththuxpun 2 chn mimukhdanhna hlngkhamungdwyimaepnekld bnenuxthi 14 ir 2 ngan 32 tarangwa khrnemuxecamhaphrhmsurthada ecaphukhrxngnkhrnanxngkhsudthaythungphiraly ecanaybutrhlankhxngecaphukhrxngnkhrnancungidmxbhxkhahlngniphrxmthidinihaekrthbal ephuxichepnxakharsalaklangcnghwdnan txmaemuxkrathrwngmhadithyidkxsrangxakharsalaklangcnghwdhlngihmkhun krmsilpakrcungidkhxrbmxbxakharephuxichepnsthanthicdtngphiphithphnthsthanaehngchati nan khuninpi ph s 2517 aelaprakascdtngxyangepnthangkarkhuninpi ph s 2528 odysmedcphraethphrtnrachsuda syambrmrachkumari idesdcphrarachdaeninepnxngkhprathanprakxbphithiepidxyangepnthangkaremuxwnthi 14 singhakhm ph s 2530karcdaesdngxakharchnlang prakxbdwyswnhnamukhichepnhxngcahnaybtrekhachm hnngsuxdanwichakar sinkhaphunemuxng aelakhxngthiralukxun swnothngklangrwmthungpikxakhardanthisehnux ichaesdngeruxngrawekiywkbchatiphnthuwithyaekiywkbwithichiwitkhwamepnxyukhxngchaw aelachawithyphunemuxngphakhehnux aelaswnhlngsungswnpikxakhardanthisehnux it aelaechliyng cdaesdngeruxngrawchiwitkhwamepnxyuaelaekhruxngichkhxngephachntang thixasyxyuincnghwdnan xakharchnbn prakxbdwyswnhnamukhsungichepnhxngcdnithrrskarphiess phunthiswnklangepnhxngothngkhnadihyichcdaesdngeruxngrawekiywkbphumisastrkhxngemuxngnan aelaswnhlngsungepnswnpikkhxngxakhardanthisehnux it aelaechliynghlng cawn 6 hxng ichcdaesdngdanobrankhdiaelaprawtisastrsilpakhxngemuxngnantngaetxditcnthungpccubnobranwtthuthisakhyngachangda hibphrathrrmimaekaslk fimuxchangskulnan smudkhxyxanackrhlkkhakdhmayemuxngnan khruthyukhnakh fimuxchanglanna silacarukhlkthi 64 xksrsuokhthy klawthungkarkrathastysabanchwyehluxsungknaelaknemuxekidsuksngkhramrahwangecaphrayaphakxng ecaphukhrxngnkhrnan aelaphramhathrrmrachathi 2 kstriyaehngsuokhthy silacarukhlkthi 74 xksrthrrmlanna klawthungphyaphlethphkurichy ecaemuxngnan idthakarburnaphramhawiharihwdhlwngklangewiyng wdchangkha ngachangda ngachangda milksnaepnngapliyaw 97 esntiemtr wdodyrxbtrngswnihythisud 47 esntiemtr ophrngtxnokhnluk 14 esntiemtr sixxknatalekhmimdasnith micarukxksrlannawa kingnihnkhnunghmunhaphn hruxpraman 18 kiolkrm snnisthanwaepnngakhangsayephraamirxyesiydsikbngachdecn chawcnghwdnanthuxwa ngachangdaepnwtthumngkhlkhubankhuemuxngnanaelathuxepnexklksnhnungkhxngcnghwdnan epnwtthuobranthihayakaelamikhunkhathangprawtisastrepnxyangmak pccubnngachangdaekbrksaiwthiphiphithphnthsthanaehngchati nan khwamepnmakhxngngachangdaniimmihlkthanaenchd miephiyngtananelasubtxknma 2 eruxng eruxngaerk insmyphraecasumnethwrach ecaphukhrxngnkhremuxngnan ph s 2353 2368 miphrankhnemuxngnanidekhapa lastwekhaipthungekhtaednrahwangithykbechiyngtungidphbsakchangtwdasnithtayinhwy phxdikbphranchawechiyngtungmaphbdwyphranthngsxngcungaebngngachangdaknkhnlakhang tangkhnknamathwayecaemuxng txmaecaemuxngechiyngtung idsngsarmathulecasumnethwrachwa trabidngachangdakhuniimsuyhay emuxngnankbemuxngechiyngtungcaepnmitrimtrikntlxdip eruxngthisxng emuxngnanykthphiplxmemuxngechiyngtunghlayeduxn thaihchawemuxngechiyngtungeduxdrxn ohremuxngechiyngtungthulecaemuxngwa epnephraamingachangdaxyudwykn thangthidikhwraeykxxkcakkn cungnangachangdakinghnungmxbihkxngthphemuxngnanaelwkrathastysabanepnmitrkntlxdkal khwamsakhykhxngngachangdaniechuxknwa phyakaremuxng ecaphukhrxngnkhrnanxngkhthi 6 rawphuththstwrrsthi 20 idthaphithisapaechngexaiwwa ihngachangdaniepnkhxngkhubankhuemuxngnantlxdip phuidcanaipepnsmbtiswntwmiid txngiwthihxkhahruxwngecaphukhrxngnkhrnanethann inswnkhxng khruth thiaebkrbngachangdaiwnn aekaslkcakimskthngthxnodychangskulnan srangemuxpi ph s 2469 enuxngcakchwngnnmikhawwaecaemuxngfayehnuxbangemuxngkhidaekhngkhxkxkarkbttxrachwngkhckri ecaphukhrxngnkhrnancungsngihthaphrakhruthphahkhunmaaebkrbngachangdawtthukhubankhuemuxngiw ephuxepnkaraesdngsylksnihehnwa nkhrnaninyukhnnyngkhngcngrkphkditxrachwngsckriaehngkrungrtnoksinthrxyuimesuxmkhlay aehlngkhxmulxunphiphithphnthsthanaehngchati