ดาวแคระน้ำเงิน (อังกฤษ; blue dwarf) คือดาวฤกษ์ตามการคาดการณ์อันวิวัฒนาการมาจากดาวแคระแดงหลังจากที่พวกมันได้ใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนส่วนใหญ่ไปแล้ว เนื่องจากดาวแคระแดงนั้นหลอมไฮโดรเจนของตัวเองอย่างเชื่องช้าและรวมถึงการพาความร้อนที่เต็มรูปแบบ (เชื้อเพลิงไฮโดรเจนทั้งหมดสามารถถูกใช้เพื่อหลอมได้ มิใช่เพียงแค่ที่แกนกลาง) จึงมีการคาดการณ์ไว้ว่าพวกมันสามารถมีอายุขัยได้นับล้านล้านปี ทว่าเอกภพในปัจจุบันนั้นยังเก่าแก่ไม่พอสำหรับการก่อตัวของดาวแคระน้ำเงิน ฉะนั้นการมีตัวตนของพวกมันจึงมีอยู่ในแบบจำลองทางทฤษฎีเพียงเท่านั้น
เหตุการณ์ตามสมมติฐาน
ดาวฤกษ์นั้นจะมีกำลังส่องสว่างที่มากขึ้นตามอายุ ดาวที่ยิ่งมีความสว่างมากยิ่งต้องแผ่พลังงานออกมาให้เร็วเพื่อรักษาสภาวะสมดุลของตนเอง ดาวฤกษ์ที่มีขนาดใหญ่กว่าดาวแคระแดงจะใช้วิธีเพิ่มขนาดของตัวเองและกลายเป็นดาวยักษ์แดงเพื่อเพิ่มพื้นที่ผิว ดาวแคระแดงที่มีมวลน้อยกว่า 0.25 มวลดวงอาทิตย์ได้รับการคาดการณ์ว่าแทนที่จะขยายตัวพวกมันจะเพิ่มอัตราการแผ่พลังงานด้วยการเพิ่มอุณหภูมิพื้นผิวและเปลี่ยนเป็นสีฟ้าหรือน้ำเงินเมื่อเวลาผ่านไป สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องด้วยชั้นพื้นผิวของดาวแคระแดงจะมีความทึบแสงที่ไม่มากนักเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น
แม้ว่าวัตถุเหล่านี้จะมีชื่อเรียกเช่นนี้แต่ก็ไม่จำเป็นที่ดาวแคระน้ำเงินจะต้องเพิ่มอุณหภูมิให้สูงเทียบเท่าหรือกลายเป็นดาวฤกษ์สีน้ำเงิน มีการสร้างแบบจำลองทร่ได้ทำนายถึงวิวัฒนาการในอนาคตของดาวแคระแดงที่มีมวลอยู่ที่ 0.06 และ 0.25 มวลดวงอาทิตย์ ซึ่งจากแบบจำลองนี้ก็ได้ทราบว่าดาวแคระน้ำเงินที่มีความเป็นสีน้ำเงินมากที่สุดนั้นเริ่มต้นจากดาวแคระแดงที่มีมวล 0.14 มวลดวงอาทิตย์ และจบลงด้วยอุณหภูมิพื้นผิวที่ประมาณ 8600 K ทำให้มันถูกจัดประเภทอยู่ในดาวฤกษ์ประเภท A ซึ่งเป็นดาวสีฟ้า-ขาว
จุดจบชีวิตดาว
เป็นที่เชื่อกันว่าดาวแคระน้ำเงินจะใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนของตัวเองจนหมดสิ้นในที่สุด และความดันภายในจะไม่เพียงพอต่อการหลอมรวมเชื้อเพลิงอื่น ๆ และเมื่อการหลอมนั้นจบลงจะไม่ใช่ดาวแคระในแถบลำดับหลักอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นดาวแคระขาว ถึงแม้ว่าจะถูกเรียกชื่อเช่นนี้แต่พวกมันไม่ใช่ดาวแคระในแถบลำดับหลักและไม่ใช่ดาวฤกษ์ หากแต่เป็นซากดาว
เมื่ออดีตดาวแคระน้ำเงินดวงนี้เริ่มเข้าสู่กระบวนการเสื่อม ซากที่หลงเหลือในชื่อของดาวแคระขาวจะเย็นตัวลงและเริ่มสูญเสียความร้อนที่หลงเหลืออยู่จากการหลอมไฮโดรเจนครั้งสุดท้ายในช่วงชีวิตของมัน กระบวนการเย็นตัวลงนี้จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานมาก ซึ่งยาวนานกว่าอายุของเอกภพในปัจจุบัน เฉกเช่นเดียวกันกับระยะเวลาที่เปลี่ยนพวกมันจากดาวแคระแดงไปสู่ช่วงสุดท้ายในชีวิตที่เรียกว่าดาวแคระน้ำเงิน ท้ายที่สุดแล้วซากหลงเหลือที่เป็นดาวแคระขาวจะเย็นตัวลงจนกลายเป็นดาวแคระดำ (เอกภพยังไม่เก่าแก่มากพอที่จะให้ซากหลงเหลือต่าง ๆ ได่เย็นตัวลงจนกลายเป็นสีดำ ฉะนั้นแม้ว่าตัวตนของดาวแคระดำจะมีความเป็นไปได้ แต่ยังคงเป็นเพียงวัตถุตามสมมติฐาน)
อ้างอิง
- Adams, F. C.; Bodenheimer, P.; Laughlin, G. (December 2005). "M dwarfs: planet formation and long term evolution". Astronomische Nachrichten (ภาษาอังกฤษ). 326 (10): 913–919. doi:10.1002/asna.200510440. ISSN 0004-6337.
- Laughlin, Gregory; Bodenheimer, Peter; Adams, Fred C. (June 10, 1997). "The End of the Main Sequence". The Astrophysical Journal. 482 (1): 420–432. doi:10.1086/304125. ISSN 0004-637X.
- Adams, F.C.; Laughlin, G.; Graves, G.J.M. (2004). Red dwarfs and the end of the Main Sequence. Revista Mexicana de Astronomía y Astrofísica. Vol. 22. pp. 46–49. CiteSeerX 10.1.1.692.5492.
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
dawaekhranaengin xngkvs blue dwarf khuxdawvkstamkarkhadkarnxnwiwthnakarmacakdawaekhraaednghlngcakthiphwkmnidichechuxephlingihodrecnswnihyipaelw enuxngcakdawaekhraaedngnnhlxmihodrecnkhxngtwexngxyangechuxngchaaelarwmthungkarphakhwamrxnthietmrupaebb echuxephlingihodrecnthnghmdsamarththukichephuxhlxmid miichephiyngaekhthiaeknklang cungmikarkhadkarniwwaphwkmnsamarthmixayukhyidnblanlanpi thwaexkphphinpccubnnnyngekaaekimphxsahrbkarkxtwkhxngdawaekhranaengin channkarmitwtnkhxngphwkmncungmixyuinaebbcalxngthangthvsdiephiyngethannehtukarntamsmmtithandawvksnncamikalngsxngswangthimakkhuntamxayu dawthiyingmikhwamswangmakyingtxngaephphlngnganxxkmaiherwephuxrksasphawasmdulkhxngtnexng dawvksthimikhnadihykwadawaekhraaedngcaichwithiephimkhnadkhxngtwexngaelaklayepndawyksaedngephuxephimphunthiphiw dawaekhraaedngthimimwlnxykwa 0 25 mwldwngxathityidrbkarkhadkarnwaaethnthicakhyaytwphwkmncaephimxtrakaraephphlngngandwykarephimxunhphumiphunphiwaelaepliynepnsifahruxnaenginemuxewlaphanip saehtuthiepnechnnikenuxngdwychnphunphiwkhxngdawaekhraaedngcamikhwamthubaesngthiimmaknkemuxxunhphumisungkhun aemwawtthuehlanicamichuxeriykechnniaetkimcaepnthidawaekhranaengincatxngephimxunhphumiihsungethiybethahruxklayepndawvkssinaengin mikarsrangaebbcalxngthridthanaythungwiwthnakarinxnakhtkhxngdawaekhraaedngthimimwlxyuthi 0 06 aela 0 25 mwldwngxathity sungcakaebbcalxngnikidthrabwadawaekhranaenginthimikhwamepnsinaenginmakthisudnnerimtncakdawaekhraaedngthimimwl 0 14 mwldwngxathity aelacblngdwyxunhphumiphunphiwthipraman 8600 K thaihmnthukcdpraephthxyuindawvkspraephth A sungepndawsifa khawcudcbchiwitdawepnthiechuxknwadawaekhranaengincaichechuxephlingihodrecnkhxngtwexngcnhmdsininthisud aelakhwamdnphayincaimephiyngphxtxkarhlxmrwmechuxephlingxun aelaemuxkarhlxmnncblngcaimichdawaekhrainaethbladbhlkxiktxip aetcaklayepndawaekhrakhaw thungaemwacathukeriykchuxechnniaetphwkmnimichdawaekhrainaethbladbhlkaelaimichdawvks hakaetepnsakdaw emuxxditdawaekhranaengindwngnierimekhasukrabwnkaresuxm sakthihlngehluxinchuxkhxngdawaekhrakhawcaeyntwlngaelaerimsuyesiykhwamrxnthihlngehluxxyucakkarhlxmihodrecnkhrngsudthayinchwngchiwitkhxngmn krabwnkareyntwlngnicaepntxngichrayaewlathiyawnanmak sungyawnankwaxayukhxngexkphphinpccubn echkechnediywknkbrayaewlathiepliynphwkmncakdawaekhraaedngipsuchwngsudthayinchiwitthieriykwadawaekhranaengin thaythisudaelwsakhlngehluxthiepndawaekhrakhawcaeyntwlngcnklayepndawaekhrada exkphphyngimekaaekmakphxthicaihsakhlngehluxtang ideyntwlngcnklayepnsida channaemwatwtnkhxngdawaekhradacamikhwamepnipid aetyngkhngepnephiyngwtthutamsmmtithan xangxingAdams F C Bodenheimer P Laughlin G December 2005 M dwarfs planet formation and long term evolution Astronomische Nachrichten phasaxngkvs 326 10 913 919 doi 10 1002 asna 200510440 ISSN 0004 6337 Laughlin Gregory Bodenheimer Peter Adams Fred C June 10 1997 The End of the Main Sequence The Astrophysical Journal 482 1 420 432 doi 10 1086 304125 ISSN 0004 637X Adams F C Laughlin G Graves G J M 2004 Red dwarfs and the end of the Main Sequence Revista Mexicana de Astronomia y Astrofisica Vol 22 pp 46 49 CiteSeerX 10 1 1 692 5492