ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
แกรฟโตไลต์ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Graptolithina) เป็นชั้นย่อยของชั้น ซึ่งเป็นซากฟอสซิลจากยุคแคมเบรียนตอนกลาง (Miaolingian, Wuliuan) ถึงยุคคาร์บอนิเฟอรัสตอนต้น (Mississippian) แกรฟโตไลต์รุ่นแรกๆอาจเป็น Chaunograptus จากยุคแคมเบรียนตอนกลาง
แกรพโตไลต์ ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: ยุคแคมเบรียนตอนกลางถึงยุคคาร์บอนิเฟอรัส หรือปัจจุบัน510–320Ma | |
---|---|
ชนิดต้นแบบ Cryptograptus จากยุคไซลูเรียนในอเมริกาใต้ที่ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
โดเมน: | ยูแคริโอต |
อาณาจักร: | สัตว์ |
ไฟลัม: | |
ชั้น: | |
ชั้นย่อย: | Graptolithina |
อันดับ | |
|
ชื่อแกรฟโตไลต์มาจากศัพท์ภาษากรีกว่า graptos หมายถึง "ถูกเขียน" กับ lithos หมายถึง "หิน" ด้วยซากดึกดำบรรพ์ของแกรฟโตไลต์มีลักษณะคล้ายรอยขีดเขียนบนพื้นหิน เดิมทีลินเนียสได้พิจารณาให้เป็นเพียง 'รอยภาพที่คล้ายกับซากดึกดำบรรพ์' มากกว่าที่จะเป็นซากดึกดำบรรพจริง ๆ ภายหลังมีผู้ศึกษาหลายท่านจัดให้มันมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกไฮโดรซัว ปัจจุบันยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะ
อนุกรมวิธาน
มีชื่อเริ่มแรกว่า “Graptolithus” โดยคาโรลัส ลินเนียสในปี ค.ศ. 1735 ซึ่งพิจารณาให้เป็นสารอนินทรีย์ของแร่ที่ตกผลึกเกิดลวดลายคล้ายซากดึกดำบรรพ์ ต่อมาในปี ค.ศ. 1768 ใน (Systema Naturae) ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 12 ลินเนียส ได้ให้ Graptorithus sagittarius และ G. scalaris ว่าอาจเป็นซากดึกดำบรรพ์พืชและแกรฟโตไลต์ตามลำดับ หนังสือ Skånska Resa ฉบับปี ค.ศ. 1751 เขาได้แสดงรูปด้วยข้อความว่า “ซากดึกดำบรรพ์หรือแกรฟโตไลต์แปลกๆ” ซึ่งปัจจุบันจัดให้เป็น Climacographtus ซึ่งเป็นสกุลหนึ่งของแกรฟโตไลต์ไบเซอเรียล ต่อมาชื่อนี้ได้ถูกใช้อ้างอิงกลุ่มของสิ่งมีชีวิตจำเพาะ ต่อมาในปี ค.ศ. 1954 Graptolithus ได้ถูกยกเลิกโดย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเริ่มแรกเป็นชื่อเรียกกลุ่มของสารอนินทรีย์ที่มีความคล้ายซากดึกดำบรรพ์ (Bulman, 1970: V 6)
ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 ที่กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนมีความก้าวหน้า แกรฟโตไลต์จึงถูกพิจารณาให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความใกล้ชิดที่สุดกับพวก ซึ่งในปัจจุบันเป็นสัตว์ทะเลที่หายากกลุ่มหนึ่งถูกจัดอยู่ในไฟลั่ม Hemichordata เปรียบเทียบได้กับสัตว์ในไฟลั่มเฮมิคอร์ดาต้าปัจจุบันพวก และ ซึ่ง Cephalodiscus มีทั้งสิ้น 18 ชนิดถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1882
แกรฟโตไลต์เป็นซากดึกดำบรรพ์ดัชนี
แกรฟโตไลต์เป็นซากดึกดำบรรพ์ที่พบกระจายตัวได้ทั่วโลก โดยพบในปริมาณที่แปรเปลี่ยนตลอดช่วงธรณีกาลที่สามารถใช้กำหนดอายุของชั้นหินได้ทั่วโลก พบเป็นซากดึกดำบรรพ์ดัชนีที่สำคัญที่ใช้ระบุอายุของหินในมหายุคพาลีโอโซอิกได้ด้วยแกรฟโตไลต์มีวิวัฒนาการที่รวดเร็วก่อให้เกิดสายพันธุ์ที่หลากหลาย นักธรณีวิทยาชาวอังกฤษสามารถแยกชั้นหินยุคออร์โดว้เชียนและชั้นหินยุคไซลูเรียนออกจากกันได้โดยใช้โซนของแกรฟโตไลต์ซึ่งมีหลายโซนที่มีช่วงอายุน้อยกว่าหนึ่งล้านปี ยุคน้ำแข็งทั่วโลกในช่วงปลายของยุคออร์โดวิเชียนได้ทำให้แกรฟโตไลต์หลายชนิดสูญพันธุ์ โดยชนิดที่พบในช่วงยุคไซลูเรียนเป็นผลมาจากการแตกแขนงสายพันธุ์มาจากแกรฟโตไลต์หนึ่งหรือสองชนิดเท่านั้นที่รอดพ้นยุคน้ำแข็งยุคออร์โดวิเชียนมาได้
นอกจากนี้แกรฟโตไลต์ยังถูกนำมาใช้ในการประมาณค่าความลึกและอุณหภูมิของน้ำได้ด้วย
รูปลักษณ์สัณฐาน
โคโลนีของแกรฟโตไลต์แต่ละกลุ่มรู้จักกันในนามของ และมีจำนวนกิ่งก้านที่แปรผันเกิดจากซิคูล่าเดี่ยวๆเริ่มต้นอันหนึ่ง () โดยซูอิดแต่ละอันจะอยู่ในโครงสร้างคล้ายรูปท่อหรือคล้ายรูปถ้วยที่เรียกว่า “เธคา” บางโคโลนีมีเธคาสองขนาดซึ่งเชื่อได้ว่าเป็นผลสืบเนื่องมาจากการมีลักษณะคู่ทางเพศ จำนวนกิ่งก้านและการจัดเรียงเธคาเป็นลักษณะที่สำคัญในการวินิจฉัยซากดึกดำบรรพ์แกรฟโตไลต์
แกรฟโตไลต์ที่มีลักษณะของกิ่งก้านที่แตกแขนงแบบกิ่งไม้ถูกจัดให้เป็น (อันดับ Dendroidea) พบเป็นซากดึกดำบรรพ์รุ่นแรกๆในช่วงยุคแคมเบรียนและโดยทั่วไปจัดให้เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่บนพื้นท้องทะเลด้วยฐานที่มีลักษณะคล้ายราก แกรฟโตไลต์ที่มีกิ่งก้านสาขาน้อยจะวิวัฒนาการมาจากในช่วงต้นของยุคออร์โดวิเชียนซึ่งจัดให้อยู่ในอันดับ Graptoloidea ที่เป็นแกรฟโตไลต์อาศัยลอยอยู่ในน้ำทะเล หรือลอยอย่างอิสระบนพื้นผิวน้ำทะเล หรือยึดเกาะกับสาหร่ายทะเลที่ร่องลอยไปในทะเล ที่ถือได้ว่าเป็นกลุ่มที่ประสพความสำเร็จที่จัดเป็นแพงตรอนสัตว์ที่สำคัญจนกระทั่งได้ล้มตายสูญพันธุ์ไปในช่วงต้นของยุค ส่วนเดนดรอยด์แกรฟโตไลต์ดำรงเผ่าพันธุ์จนถึงยุค
การกลายเป็นซากดึกดำบรรพ์
ปรกติจะพบซากดึกดำบรรพ์แกรฟโตไลต์ในหินดินดานและหินโคลนซึ่งเป็นหินที่สะสมตังในท้องทะเลที่พบซากดึกดำบรรพ์น้อย หินเหล่านี้เกิดจากการสะสมตะกอนในทะเลลึกที่ไม่ค่อยมีกระแสน้ำหมุนวน มีปริมาณออกซิเจนน้อย และขาดสิ่งมีชีวิตที่จะมากินแกรฟโตไลต์เป็นอาหาร แกรฟโตไลต์ที่ตายก็จะตกจมลงสู่พื้นท้องทะเลถูกตะกอนปิดทับจนกลายเป็นซากดึกดำบรรพ์ในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตามก็พบแกรฟโตไลต์ในหินปูนและหินเชิร์ตได้ด้วยเหมือนกัน แต่โดยทั่วไปแล้วหินเหล่านี้จะเกิดสะสมตัวในสภาพที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสัตว์อื่นๆที่อาศัยอยู่บนพื้นท้องทะเล อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่ซากของแกรฟโตไลต์จะตกเป็นอาหารของสัตว์ดังกล่าว
ซากดึกดำบรรพ์ของแกรฟโตไลต์ปรกติจะพบแบนเรียบไปกับระนาบชั้นหินที่มันอยู่ ทั้งนี้อาจพบหนานูนขึ้นหากมันถูกแทนที่ด้วยแร่ไพไรต์ แกรฟโตไลต์มีรูปร่างที่แปรผันแต่โดยทั่วไปแล้วจะมีลักษณะแตกแขนงคล้ายกิ่งไม้ดังเช่น หรือรูปร่างคล้ายใบเลื่อย หรือรูปร่างคล้ายส้อม ดังเช่น ซากเหลือของแกรฟโตไลต์อาจเข้าใจผิดว่าเป็นซากดึกดำบรรพ์พืชโดยผู้พบเห็นทั่วไป
ปรกติแล้วแกรฟโตไลต์จะเกิดเป็นแผ่นฟิล์มสีดำบนพื้นผิวของแผ่นหิน บางครั้งจะเลือนลางจนยากที่จะสังเกตเห็น แต่หากเอียงแผ่นหินให้ทำมุมกับทิศทางของแสงจะทำให้เห็นเป็นร่องรอยเหลือบแสงชัดเจน นอกจากนี้อาจพบแกรฟโตไลต์ที่ถูกแทนที่ด้วยแร่ไพไรต์ได้ด้วยเหมือนกัน
แหล่งที่พบซากดึกดำบรรพ์ของแกรฟโตไลต์ที่มีชื่อเสียงของอังกฤษคือ พบอยู่ในหินยุคออร์โดวิเชียน
ซากดึกดำบรรพ์แกรฟโตไลต์ในประเทศไทย
สำหรับในประเทศไทยพบมากในหินดินดานสีดำยุคตอนต้น บริเวณหลัก กม. ที่ 105.9 ของถนนสายเชียงใหม่-อำเภอฝาง โดยพบเป็นแกรฟโตไลต์สกุล 3 ชนิด คือ , และ []
- Tetragraptus fruticosus จากหินยุคออร์โดวิเชียน ออสเตรเลีย
อ้างอิง
- Maletz, J. (2014). Hemichordata (Pterobranchia, Enteropneusta) and the fossil record. Palaeogeography, Palaeoclimatology, Palaeoecology, 398:16-27.
- Mitchell, C.E., Melchin, M.J., Cameron, C.B. & Maletz, J. (2013) Phylogenetic analysis reveals that Rhabdopleura is an extant graptolite. Lethaia, 46:34–56.
- Maletz, Jörg (2014). "The classification of the Pterobranchia (Cephalodiscida and Graptolithina)". Bulletin of Geosciences. 89 (3): 477–540. doi:10.3140/bull.geosci.1465. ISSN 1214-1119.
- Maletz, Jörg (2017). Graptolite Paleobiology. Wiley-Blackwell. ISBN .
แหล่งข้อมูลอื่น
- Classification of the Graptolithoidea - Graptolites and Pterobranchs
- Podcast on Graptolites by David Bapst - Palaeocast
- Graptolites gallery by Michael P. Klimetz - Graptolites
- What are Fossil Graptolites and why are they useful in geology? - Youtube
- Writing on the rocks - Stephen Hui Geological Museum
wikipedia, แบบไทย, วิกิพีเดีย, วิกิ หนังสือ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, mp3, วิดีโอ, mp4, 3gp, jpg, jpeg, gif, png, รูปภาพ, เพลง, เพลง, หนัง, หนังสือ, เกม, เกม, มือถือ, โทรศัพท์, Android, iOS, Apple, โทรศัพท์โมบิล, Samsung, iPhone, Xiomi, Xiaomi, Redmi, Honor, Oppo, Nokia, Sonya, MI, PC, พีซี, web, เว็บ, คอมพิวเตอร์
lingkkhamphasa inbthkhwamni miiwihphuxanaelaphurwmaekikhbthkhwamsuksaephimetimodysadwk enuxngcakwikiphiediyphasaithyyngimmibthkhwamdngklaw krann khwrribsrangepnbthkhwamodyerwthisud aekrfotilt chuxwithyasastr Graptolithina epnchnyxykhxngchn sungepnsakfxssilcakyukhaekhmebriyntxnklang Miaolingian Wuliuan thungyukhkharbxniefxrstxntn Mississippian aekrfotiltrunaerkxacepn Chaunograptus cakyukhaekhmebriyntxnklangaekrphotilt chwngewlathimichiwitxyu yukhaekhmebriyntxnklangthungyukhkharbxniefxrs hruxpccubn 510 320Ma PreꞒ Ꞓ O S D C P T J K Pg Nchnidtnaebb Cryptograptus cakyukhislueriyninxemrikaitthikarcaaenkchnthangwithyasastrodemn yuaekhrioxtxanackr stwiflm chn chnyxy Graptolithinaxndb chuxaekrfotiltmacaksphthphasakrikwa graptos hmaythung thukekhiyn kb lithos hmaythung hin dwysakdukdabrrphkhxngaekrfotiltmilksnakhlayrxykhidekhiynbnphunhin edimthilineniysidphicarnaihepnephiyng rxyphaphthikhlaykbsakdukdabrrph makkwathicaepnsakdukdabrrphcring phayhlngmiphusuksahlaythancdihmnmiswnekiywkhxngkbphwkihodrsw pccubnyxmrbxyangkwangkhwanginthanaxnukrmwithanmichuxerimaerkwa Graptolithus odykhaorls lineniysinpi kh s 1735 sungphicarnaihepnsarxninthriykhxngaerthitkphlukekidlwdlaykhlaysakdukdabrrph txmainpi kh s 1768 in Systema Naturae chbbprbprungkhrngthi 12 lineniys idih Graptorithus sagittarius aela G scalaris waxacepnsakdukdabrrphphuchaelaaekrfotilttamladb hnngsux Skanska Resa chbbpi kh s 1751 ekhaidaesdngrupdwykhxkhwamwa sakdukdabrrphhruxaekrfotiltaeplk sungpccubncdihepn Climacographtus sungepnskulhnungkhxngaekrfotiltibesxeriyl txmachuxniidthukichxangxingklumkhxngsingmichiwitcaephaa txmainpi kh s 1954 Graptolithus idthukykelikody swnhnungepnephraawaerimaerkepnchuxeriykklumkhxngsarxninthriythimikhwamkhlaysakdukdabrrph Bulman 1970 V 6 tngaetkhristthswrrs 1970 thiklxngculthrrsnxielktrxnmikhwamkawhna aekrfotiltcungthukphicarnaihepnsingmichiwitthimikhwamiklchidthisudkbphwk sunginpccubnepnstwthaelthihayakklumhnungthukcdxyuiniflm Hemichordata epriybethiybidkbstwiniflmehmikhxrdatapccubnphwk aela sung Cephalodiscus mithngsin 18 chnidthukkhnphbkhrngaerkinpi kh s 1882aekrfotiltepnsakdukdabrrphdchniaekrfotiltepnsakdukdabrrphthiphbkracaytwidthwolk odyphbinprimanthiaeprepliyntlxdchwngthrnikalthisamarthichkahndxayukhxngchnhinidthwolk phbepnsakdukdabrrphdchnithisakhythiichrabuxayukhxnghininmhayukhphalioxosxikiddwyaekrfotiltmiwiwthnakarthirwderwkxihekidsayphnthuthihlakhlay nkthrniwithyachawxngkvssamarthaeykchnhinyukhxxrodwechiynaelachnhinyukhislueriynxxkcakknidodyichosnkhxngaekrfotiltsungmihlayosnthimichwngxayunxykwahnunglanpi yukhnaaekhngthwolkinchwngplaykhxngyukhxxrodwiechiynidthaihaekrfotilthlaychnidsuyphnthu odychnidthiphbinchwngyukhislueriynepnphlmacakkaraetkaekhnngsayphnthumacakaekrfotilthnunghruxsxngchnidethannthirxdphnyukhnaaekhngyukhxxrodwiechiynmaid nxkcakniaekrfotiltyngthuknamaichinkarpramankhakhwamlukaelaxunhphumikhxngnaiddwyruplksnsnthanruplksnsnthankhxngaekrfotiltcak Encyclopaedia Britannica edndrxyd Thallograptus sphaericola tidkbkhistxydaekrfotilt Echinosphaerites aurantium yukhxxrodwiechiynthangtawnxxkechiyngehnuxkhxngexsoteniy okholnikhxngaekrfotiltaetlaklumruckkninnamkhxng aelamicanwnkingkanthiaeprphnekidcaksikhulaediywerimtnxnhnung odysuxidaetlaxncaxyuinokhrngsrangkhlayrupthxhruxkhlayrupthwythieriykwa ethkha bangokholnimiethkhasxngkhnadsungechuxidwaepnphlsubenuxngmacakkarmilksnakhuthangephs canwnkingkanaelakarcderiyngethkhaepnlksnathisakhyinkarwinicchysakdukdabrrphaekrfotilt aekrfotiltthimilksnakhxngkingkanthiaetkaekhnngaebbkingimthukcdihepn xndb Dendroidea phbepnsakdukdabrrphrunaerkinchwngyukhaekhmebriynaelaodythwipcdihepnstwthixasyxyubnphunthxngthaeldwythanthimilksnakhlayrak aekrfotiltthimikingkansakhanxycawiwthnakarmacakinchwngtnkhxngyukhxxrodwiechiynsungcdihxyuinxndb Graptoloidea thiepnaekrfotiltxasylxyxyuinnathael hruxlxyxyangxisrabnphunphiwnathael hruxyudekaakbsahraythaelthirxnglxyipinthael thithuxidwaepnklumthiprasphkhwamsaercthicdepnaephngtrxnstwthisakhycnkrathngidlmtaysuyphnthuipinchwngtnkhxngyukh swnedndrxydaekrfotiltdarngephaphnthucnthungyukhkarklayepnsakdukdabrrphprkticaphbsakdukdabrrphaekrfotiltinhindindanaelahinokhlnsungepnhinthisasmtnginthxngthaelthiphbsakdukdabrrphnxy hinehlaniekidcakkarsasmtakxninthaellukthiimkhxymikraaesnahmunwn miprimanxxksiecnnxy aelakhadsingmichiwitthicamakinaekrfotiltepnxahar aekrfotiltthitaykcatkcmlngsuphunthxngthaelthuktakxnpidthbcnklayepnsakdukdabrrphinewlatxma xyangirktamkphbaekrfotiltinhinpunaelahinechirtiddwyehmuxnkn aetodythwipaelwhinehlanicaekidsasmtwinsphaphthiehmaasmtxkardarngchiwitkhxngstwxunthixasyxyubnphunthxngthael xyangimtxngsngsyelywathisakkhxngaekrfotiltcatkepnxaharkhxngstwdngklaw sakdukdabrrphkhxngaekrfotiltprkticaphbaebneriybipkbranabchnhinthimnxyu thngnixacphbhnanunkhunhakmnthukaethnthidwyaeriphirt aekrfotiltmiruprangthiaeprphnaetodythwipaelwcamilksnaaetkaekhnngkhlaykingimdngechn hruxruprangkhlayibeluxy hruxruprangkhlaysxm dngechn sakehluxkhxngaekrfotiltxacekhaicphidwaepnsakdukdabrrphphuchodyphuphbehnthwip prktiaelwaekrfotiltcaekidepnaephnfilmsidabnphunphiwkhxngaephnhin bangkhrngcaeluxnlangcnyakthicasngektehn aethakexiyngaephnhinihthamumkbthisthangkhxngaesngcathaihehnepnrxngrxyehluxbaesngchdecn nxkcaknixacphbaekrfotiltthithukaethnthidwyaeriphirtiddwyehmuxnkn aehlngthiphbsakdukdabrrphkhxngaekrfotiltthimichuxesiyngkhxngxngkvskhux phbxyuinhinyukhxxrodwiechiynsakdukdabrrphaekrfotiltinpraethsithysahrbinpraethsithyphbmakinhindindansidayukhtxntn briewnhlk km thi 105 9 khxngthnnsayechiyngihm xaephxfang odyphbepnaekrfotiltskul 3 chnid khux aela txngkarxangxing Tetragraptus fruticosus cakhinyukhxxrodwiechiyn xxsetreliyxangxingMaletz J 2014 Hemichordata Pterobranchia Enteropneusta and the fossil record Palaeogeography Palaeoclimatology Palaeoecology 398 16 27 Mitchell C E Melchin M J Cameron C B amp Maletz J 2013 Phylogenetic analysis reveals that Rhabdopleura is an extant graptolite Lethaia 46 34 56 Maletz Jorg 2014 The classification of the Pterobranchia Cephalodiscida and Graptolithina Bulletin of Geosciences 89 3 477 540 doi 10 3140 bull geosci 1465 ISSN 1214 1119 Maletz Jorg 2017 Graptolite Paleobiology Wiley Blackwell ISBN 9781118515617 aehlngkhxmulxunwikimiediykhxmmxnsmisuxthiekiywkhxngkb aekrphotilt Classification of the Graptolithoidea Graptolites and Pterobranchs Podcast on Graptolites by David Bapst Palaeocast Graptolites gallery by Michael P Klimetz Graptolites What are Fossil Graptolites and why are they useful in geology Youtube Writing on the rocks Stephen Hui Geological Museum